xs
xsm
sm
md
lg

นางมาร ตอนที่ 17-18

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นางมาร ตอนที่ 17

บวรเป็นคนที่มายืนขวางประตูอยู่แล้วโดยที่เนตรอัปสรไม่ทันจะตั้งตัว

เขาเอาสร้อยพระ สวมใส่ที่คอ โดยไม่เปิดโอกาสให้เธอได้ตั้งตัวเลย รัศมีจากองค์พระที่สร้อยวาววาบขึ้นที่คอ เนตรอัปสรกรีดร้องอย่างเจ็บปวดสุดเสียงวิญญาณเฟื่องกระเด็นออกจากร่างทันที...เชตะวัน หมอก้อง ปารมี ต่างก็หยุดชะงักค้างไปตามๆกันเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องของเนตรอัปสร ทั้งคู่วิ่งไปที่ห้องเนตรอัปสรทันที 
เนตรอัปสรกรีดร้องสุดเสียงแล้วก็ล้มฟุบลงไปกับพื้น เป็นเวลาเดียวกันกับที่เชตะวัน หมอก้อง และปารมีวิ่งเข้ามาทุกคนเข้าไปรุมดูเนตรอัปสรที่นอนหมดสติอยู่ที่พื้น
“เกิดอะไรขึ้นกับเนตร” เชตะวันถามอย่างร้อนใจ
“น้าบวรเอาพระคล้องคอให้คุณพยาบาลน่ะค่ะ พอคล้องพระเสร็จ คุณพยาบาลก็ร้องกรี๊ด...แล้วก็เป็น อย่างที่เห็นนี่แหละค่ะคุณเชต” อนงค์เล่า
ปารมีหันไปถามทิพย์
“อย่าบอกนะว่า...นะโมถูกผีเข้าจริงน่ะทิพย์”
ทิพย์หน้าจ๋อยๆ
“แต่มันดูเหมือนจะเป็นอย่างนั้นนะปาน”
เชตะวันไม่เชื่อ
“ผีเผอที่ไหนมี พวกคุณเป็นหมอ เป็นพยาบาลกันประสาอะไร เชื่อเรื่องผีเข้าคนด้วย จะบ้ากันไปใหญ่แล้ว แล้วถ้าไม่คิดจะช่วยอะไรก็หลีกไป”
ขาดคำเชตะวันก็เดินพรวดเข้าไปอุ้มเนตรอัปสรขึ้น หมอก้องพยายามจะเข้าไปแย่ง แต่เชตะวันไม่ยอม
“หลีกไป”
หมอก้องยอมถอยออก ปล่อยให้เชตะวันอุ้มเนตรอัปสรไปที่เตียง ปารมีกับทิพย์ได้สติจึงรีบเข้าไปดู
“เราดูยายนะโมต่อเองก็ได้นะคะคุณเชต”
ทิพย์เสริม
“ใช่คะ ตอนนี้คนเยอะ นะโมต้องการอากาศที่หายใจสะดวกขึ้นนะคะ ออกไปก่อนละกันคะ”
เชตะวัน หมอก้อง และบวร จำยอมเดินออกจากห้องไป เหลือปารมี ทิพย์ และอนงค์ ที่อยู่ดูแลเนตรอัปสรต่อไป

ชายทั้ง 3 เดินออกมาจากห้องเนตรอัปสร เชตะวันกับหมอก้องมองหน้ากันอย่างไม่ชอบหน้ากันแล้วเชตะวันก็เดินแยกเข้าห้องตัวเองไป โดยไม่สนใจมารยาทของเจ้าของบ้านที่ดีเลย หมอก้องถอนใจ บวรรีบเข้าไปส่งภาษาใบ้ถามคุณหมอหิวมั๊ยครับ
หมอก้องหน้าเครียด
“ผมไม่หิวครับ ผมเป็นห่วงนะโมจนกินอะไรไม่ลงหรอกครับ น้าจะไปทำอะไรก็ทำเถอะครับ ถ้างั้นผมจะขอไปรออยู่ที่ห้องรับแขกจนกว่านะโมจะฟื้นละกันนะครับ”
บวรพาเชตะวันไปนั่งจนเรียบร้อยแล้วจึงเดินออกไป ผีเฟื่องเดินตามบวรไปแต่ไม่รู้ตัว

อนงค์ดูอาการเนตรอัปสร แล้วตะล่อมถามปารมีกับทิพย์เสียงกลัวๆ
“ตกลง...คุณพยาบาลถูกผีเข้าจริงๆหรือคะคุณ”
ปารมีส่ายหน้า
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“แต่อาการแบบนี้ นงค์ว่าชัวร์ค่ะ ก็นงค์บอกพวกคุณแล้วว่า นงค์เห็นคุณพยาบาลทำตัวแปลกๆมาหลายวันแล้วแล้วยังมีอีกนะคือ...”
อนงค์เหลียวมองไปรอบๆอย่างหวาดกลัว ทิพย์ร้อนใจอยากรู้มาก
“คืออะไร อะไรเหรอ”
“ตั้งแต่คุณเชตไปเที่ยวป่าครั้งล่าสุด พอกลับมา ที่บ้านนี้ก็มีอะไรประหลาดเกิดขึ้นหลายอย่างค่ะ แล้วนงค์ก็เคยเห็นผีผู้หญิงในบ้านนี้ด้วยนะคะ”
“ผีผู้หญิง” ทิพย์ตื่นเต้น
อนงค์เล่าถึงเหตุการณ์ที่เธอเห็นผีเฟื่อง กับความผิดปกติของเนตรอัปสรให้ฟัง
“แต่ก่อนบ้านนี้เคยมีผีซะที่ไหนกันคะ ถ้ามี นงค์ก็คงอยู่ไม่ได้นานแล้วล่ะค่ะ นงค์เลยสงสัยว่าผีเนี่ย มันต้องตามคุณเชตมาจากในป่า”
ทิพย์หน้าตื่น
“ผีป่า”
ปารมีหน้าเสีย
“น่ากลัวจังเลยทิพย์”
ทิพย์หวาดหวั่น
“ลงขึ้นชื่อว่า ผี ไงๆก็น่ากลัวละยายปาน แล้วปานว่า ตอนนี้ผีตัวนั้นมันจะยังอยู่แถวนี้มั๊ยล่ะ น่ากลัว”
สามสาวรีบมองรอบๆตัวเอง อย่างหวาดกลัว

ผีเฟื่องผลักบวรอย่างแรงจนผงะหลังกระแทกกำแพง บวรนัยน์ตาเหลือกลานด้วยความตกใจและหวาดกลัวสุดขีด ผีเฟื่องพุ่งเข้ามาจ้องหน้าเขาอยู่ด้วยแววตาแค้นเคือง นัยน์ตาแดงฉานตะคอกใส่
“อย่ายุ่งเรื่องของข้ากับชุน”
บวรทั้งกลัวทั้งงงว่าใครคือชุน ผีเฟื่องจ้องหน้า
“นายของเอ็งในชาตินี้เขาคือชุนของข้า ข้าเฝ้ารอเขามานานกว่า 200 ปีและข้าก็จะไม่มีวันยอมเสียเขาไปให้ใครเด็ดขาด เพราะฉะนั้น...อย่ามายุ่งกับชุนของข้า ข้าจะเตือนเอ็งครั้งนี้แค่ครั้งเดียว ถ้าเอ็งไม่เชื่อ...ข้าจะ...”
ผีเฟื่องหายตัวไปอย่างรวดเร็ว บวรยังยืนงงอยู่แต่ยังไม่ทันจะขยับตัวไปไหน มีดแหลมอันหนึ่งก็ร่อนมาจากไหนก็ไม่รู้ แล้วปักลงที่กำแพงตรงซอกคอบวรดัง ฉึก !
คมมีดเฉี่ยวโดนซอกคอบวรจนทำให้เลือดไหลซิบๆออกมาทันที บวรตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ยืนตัวสั่นอยู่ที่เดิม ก่อนจะเอามือสั่นๆของตัวเองดึงมีดที่ปักอยู่ข้างซอกคอออกจากกำแพงสุดแรง บวรรีบโยนมีดทิ้งไปไกลๆ หน้าซีดเผือดแล้วทันใดนั้นเสียงผีเฟื่องก็ดังก้องอยู่ข้างหูบวร
“ครั้งนี้ข้าจะยกโทษให้เอ็ง เพื่อเห็นแก่ว่า...เอ็งเคยเป็นบ่าวที่ซื่อสัตย์ของข้าเมื่อชาติก่อน แต่ครั้งหน้า...ข้าจะไม่ปราณีเอ็งเช่นนี้อีก...จำไว้”
บวรทรุดลงนั่งอย่างสิ้นเรี่ยวแรงอยู่ตรงนั้นเอง พร้อมกับที่หลอดไฟเหนือหัวของเขาหลอดหนึ่งแตกเปรี๊ยะ

ในสถานปฏิบัติธรรม...คุณสรวงลืมตาขึ้นอย่างฉับพลันกังวลใจมาก
“แม่เฟื่อง...อย่าก่อเวรก่อกรรมอีกเลยนะลูก เชื่อแม่นะ...ลูกเฟื่อง”
ผีเฟื่องอยู่มุมหนึ่ง เอามือปิดหู ไม่อยากได้ยินเสียงคุณสรวง
“ไม่...แม่อย่ามายุ่งกับข้า...อย่ามายุ่งกับข้า”
คุณสรวง กลัดกลุ้มใจเป็นอย่างยิ่ง ที่จะต้องเกิดเหตุการณ์เลวร้ายในภายหน้าต่อไปเป็นแน่

ในห้องรับแขก...เชตะวันเดินมาแอบดู เห็นปารมีกำลังเอามือแตะแผลที่มุมปากหมอก้องที่ถูกเชตะวันชกอย่างเบามือที่สุด เชตะวันเห็นหมอก้องส่ายหน้าหลบทั้งๆที่หลับอยู่ ปารมีถอนใจกลุ้มแล้วค่อยๆเอาผ้าพันคอของเธอคลุมให้เขาที่หลับอยู่ที่โซฟา เพื่อให้เขาอุ่น หมอก้องละเมอ
“ขอบคุณจ้ะ...นะโม”
ปารมีน้อยใจน้ำตาคลอ ทั้งหมดอยู่ในสายตาของเชตะวันทั้งสิ้น
“ปานไม่เคยอยู่ในสายตาของหมอเลยใช่ไหมคะ”
ปารมีพูดปนน้อยใจและมองดูหมอก้องที่เพ้อแต่เนตรอัปสร เชตะวันมองด้วยความสมเพชแล้วจึงเดินไปที่ห้องเนตรอัปสร

เชตะวันเดินมาเปิดประตูห้องเนตรอัปสรอย่างเบาเสียงที่สุด แล้วชะโงกหน้าเข้าไปดูภายในห้องโดยไม่ได้เดินเข้าไป เขาเห็นทิพย์กับอนงค์นอนเฝ้าเนตรอัปสรอยู่แบบตัวติดกันเพราะกลัวผี ส่วนเนตรอัปสรนั้นยังไม่ฟื้นตั้งแต่วิญญาณเฟื่องออกจากร่าง
“ยังไม่ฟื้นอีก...ยัยตัวดี”
เชตะวันส่ายหน้าอ่อนใจ แล้วก็เดินกลับไปที่ห้องนอน เขาทิ้งตัวลงนอนบนเตียง คิดถึงเนตรอัปสรที่ควรจะเป็นคนทำหน้าที่ดูแลเขาในเวลาที่เขาเข้านอน
“ยายพยาบาลบ้าเอ๊ย”
เชตะวันหงุดหงิดแล้วเอาเครื่องช่วยหายใจครอบลงบนหน้าตัวเองอย่างชำนาญ แล้วหลับตา ผีเฟื่องยืนมองดูอยู่ปลายเตียงอย่างรู้สึกเสียใจ
“ทำไมเจ้าต้องคิดถึงมันตลอดเวลา เจ้าลืมข้าเสียแล้วหรือไร...ชุน...เจ้าจะลืมข้าไม่ได้นะ” ผีเฟื่องตะโกนก้อง “ข้าจะไม่ยอมให้เจ้าลืมข้าเป็นอันขาด ชุน”

เช้าวันใหม่...เนตรอัปสร ลืมตาตื่นขึ้นมา แล้วเหลียวมองไปรอบๆอย่างงุนงงว่ามานอนตรงนี้ได้ยังไง เธอเห็นอนงค์กับทิพย์นอนฟุบหน้าอยู่ใกล้ๆก็ขมวดคิ้วสงสัย ยังไม่รู้ว่าใคร เนตรอัปสรเลยเดินไปยื่นหน้าดูใกล้ๆ อนงค์ลืมตาตื่นขึ้นมาพอดี พอเห็นเนตรอัปสรในระยะใกล้ก็ตกใจร้องกรี๊ดออกมา ทิพย์ตกใจเสียงอนงค์ก็พลอยร้องตามไปด้วยทั้งหมดเลยกรีดร้องกันเสียงดัง
หมอก้องกับปารมีสะดุ้งตื่นพร้อมกันเมื่อได้ยินเสียงร้องกรี๊ดของอนงค์ดังแว่วมา ทั้งคู่หันมามองหน้ากัน หน้าเก้อไปนิดหนึ่งเมื่อรู้ตัวว่านอนอยู่ใกล้กันทั้งคืน หมอก้องได้สติก่อน รีบวิ่งไปที่ห้องเนตรอัปสรทันที ปารมีจึงรีบตามไป
อนงค์โล่งใจเมื่อเห็นเป็นเนตรอัปสร
“โธ่...คุณพยาบาล ทำไมมาแกล้งกันอย่างนี้ละคะ นงค์ตกใจหมดเลย”
“ฉันไม่ได้แกล้งนะคะ ว่าแต่...ทั้งสองคนมาอยู่ที่นี่กันได้ยังไงเนี่ย”

ทิพย์กับอนงค์หันไปมองหน้ากันอย่างลำบากใจ ไม่รู้ว่าจะตอบเนตรอัปสรยังไงดี

หมอก้องกับปารมีเข้ามาพอเนตรอัปสรหันไปเห็นสองคนนั่น ก็ยิ่งเหวอหนักเข้าไปอีก

“หมอก้อง ยายปาน เธอสองคนก็มาอยู่ที่นี่ด้วยเหรอ มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย ฉันงงไปหมดแล้ว”
“ก็ควรจะงงอยู่หรอกค่ะ คนถูกผีเข้ามักจะจำความอะไรไม่ได้ นงค์รู้ดีค่ะ นงค์ดูหนังผีบ่อยๆ”
เนตรอัปสรชะงัก
“ผีเข้า...อนงค์พูดอะไรน่ะ”
“อนงค์เขาพูดจริงนะ นะโม เมื่อคืนเราทุกคนเห็นกับตาตัวเองเลย” ทิพย์ยืนยัน
เนตรอัปสรมองหน้า
“เห็นอะไร เห็นผีเข้าฉันน่ะเหรอ”
ปารมีเข้ามาบอก
“ไม่เห็นตอนเข้าหรอก แต่เห็นตอนออก”
เนตรอัปสรหันไปหาหมอก้อง
“บ้าแล้ว...หมอคะ นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ”
“หมอก็ไม่รู้เหมือนกัน คือ...ถ้าจะให้สันนิษฐานตามหลักทางวิทยาศาสตร์ละก็ หมอก็คงต้องสันนิษฐานว่านะโมกลายเป็นคนสองบุคลิก”
ทิพย์พูดแทรกทันที
“แต่ถ้าสันนิษฐานตามหลักไสยศาสตร์แล้ว เธอถูกผีเข้าเมื่อวานนี้จ้ะ ยายนะโม”
ปารมีและอนงค์พากันพยักหน้าสนับสนุนว่าจริง เนตรอัปสรไม่เชื่อแต่อดสงสัยไม่ได้
“เมื่อวาน...ฉันทำอะไร ฉันจำไม่ได้เลย”
“นั่นแหละค่ะ อาการคนถูกผีเข้า จะจำอะไรไม่ได้ว่าทำอะไรไปบ้างช่วงที่ถูกผีเข้าน่ะค่ะ” อนงค์อธิบาย
ปารมีหันมาบอก
“แม่สรวงโทรไปตามฉัน บอกว่าเธอกำลังมีอันตรายแล้วพอฉันมาถึง เธอก็ท่าทางแปลกๆ พูดจาไม่รู้เรื่อง”
ทิพย์เสริม
“แล้วพอเอาพระคล้องคอให้ เธอก็ร้องกรี๊ด แล้วก็สลบไปเลย”
ปารมีมองเนตรอัปสรอย่างเป็นห่วง
“นะโม ฉันว่า...เธอควรจะกลับไปหาแม่สรวงนะ จะได้รู้ให้ชัดว่าเธอกำลังเผชิญอยู่กับอะไร”
“แต่หน้าที่ของฉันคือต้องดูแลคุณเชต ฉันไม่กล้าลาหยุดเขาแล้วไปหรอก”
หมอก้องขัดขึ้น
“แต่นะโมควรห่วงตัวเองก่อนนะ หมอว่าคุณเชตคงจะไม่ใจจืดใจดำกับนะโมจนไม่อนุญาตหรอก”
เนตรอัปสรนิ่งคิด เงียบไป

เนตรอัปสรคุยกับเชตะวันที่มุมหนึ่งในบ้าน
“ผมไม่อนุญาตให้คุณลาหยุด คุณเพิ่งมาทำงานได้ไม่กี่วัน จะลาหยุดแล้ว ไม่มีความรับผิดชอบเลย”
เนตรอัปสรเม้มปากอย่างไม่พอใจที่ถูกว่า แต่ก็เถียงไม่ออกเพราะเขาพูดถูก
“แต่...”
“อย่ามาอ้างโน่นอ้างนี่กับผมเลย ผมไม่ฟัง แต่ถ้าคุณยังดื้อดึงจะลาอีกละก็ ผมอนุญาตให้คุณลา...ลาออกไปเลย”
เนตรอัปสรอึ้ง หมอก้อง ปารมี ทิพย์เข้ามาหมอก้องสวนทันที
“งั้นก็ลาออกเลยนะโม อย่าอยู่ทำงานกับคนบ้าอำนาจอย่างงี้ต่อไปเลย”
เนตรอัปสรยังนิ่ง เธอไม่อยากเสียงานที่เงินดีอย่างดี เชตะวันมองออก ปารมีเห็นด้วยกับหมอก้อง
“ใช่...เก็บของเถอะนะโม เรากลับหอกันนะ”
ทิพย์เสริม
“มา...ฉันช่วย...”
เนตรอัปสรพูดเสียงอ่อย
“ไม่ต้องหรอกทิพย์ ปาน ฉันยังไม่กลับ”
หมอก้อง ปารมี และทิพย์ อ้าปากค้างไปตามๆกัน ในขณะที่เชตะวันยิ้มพอใจ

เนตรอัปสรเดินมาส่งหมอก้อง ปารมีและทิพย์ที่รถ หมอก้องหันมาถาม
“ไม่เปลี่ยนใจแน่เหรอนะโม”
ปารมีรีบชวนอย่างเป็นห่วง
“กลับหอกับพวกเราเถอะนะ”
“นะ...นะ”ทิพย์คะยั้นคะยอ
เนตรอัปสรส่ายหน้า
“พวกเธอก็รู้ว่าฉันเสียงานนี้ไม่ได้ ฉันต้องการเงินนะ”
“ถ้านะโมต้องอยู่กับคนบ้าอำนาจ เห็นแก่ตัวแบบนี้หมอว่าเงินของเขานะโมอย่ารับเลย” หมอก้อง เข้าไปหา “หมอเคยบอกแล้วใช่ไหม...ไม่ว่ายังไงหมอช่วยนะโมได้ทุกเรื่อง”
“แต่ถ้าเรื่องเงิน นะโมขอทำงานแลกกับเงินคะหมอ ยังไงก็ขอบคุณหมอมากนะคะ ที่สำคัญนะโมอยากดูแลคุณเชตด้วย ถ้าตอนนี้เขาไม่มีนะโมดูแลเขาอาจตายตอนไหนก็ได้ หน้าที่พยาบาลอย่างเราจะต้องดูแลคนไข้ให้ดีที่สุด จริงไหมทุกคน”
ปารมีและทิพย์ฟังก็อึ้งพูดไม่ออกจำต้องพยักหน้ายิ้มแหยๆพากันถอนใจ รู้ว่าเนตรอัปสรพูดถูก
“งั้นเธอสัญญากับฉันอย่างหนึ่งได้มั๊ย” ปารมีเน้น “อย่าถอดสร้อยพระออกจากคออีก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้พระ ติดตัวเอาไว้ตลอดเวลา” ปารมีจับมือเนตรอัปสร
ทิพย์ช่วยย้ำ
“แม้แต่ตอนอาบน้ำนะ สัญญาสิ”
เนตรอัปสรจำยอม
“จ้ะ ฉันสัญญา”
หมอก้องเข้ามาแทรก
“แล้วถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล หรือว่าไอ้หมอนั่นมันทำอะไรนะโม โทรหาหมอทันทีนะ”
“ค่ะหมอ”
เนตรอัปสรยืนส่งหมอก้อง ปารมี และทิพย์ขึ้นรถรถแล่นออกไป จากนั้นก็หันกลับเข้าบ้าน แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เมื่อเชตะวันเดินเข้ามาดักหน้าอย่างกะทันหัน
“คุณเชต”
เชตะวันยิ้มกวนๆ
“คุณนี่เสน่ห์แรงไม่เบาแฮะ ท่าทางหมอจะหลงรักคุณน่าดู”
“ฉันไม่รู้”
“แล้วคุณไม่รู้ด้วยใช่มั๊ย...ว่าเพื่อนคุณที่ชื่อปานนั่น เขาหลงรักหมอแสนดีของคุณอยู่น่ะ”
“เรื่องของพวกเรา คุณไม่เกี่ยว”
เนตรอัปสรแอบน้อยใจอุตส่าห์ทำงานต่อเพราะเป็นห่วง แต่เขาเอาแต่คอยจิกกัด
“หลีกไปค่ะ ฉันจะไปอาบน้ำ”
เชตะวันยื่นหน้าเข้าไปดมใกล้ๆ
“แต่กลิ่นคุณตอนยังไม่อาบน้ำนี่ก็ หอมยวนใจดีเหมือนกันนะ”
เนตรอัปสรหน้าตึงขึ้นมาทันที ผลักเขาออกไปอย่างแรง เชตะวันโมโห รวบข้อมือเธอแล้วกระชากตัวเข้ามาแนบอก
“เห็นคุณหน้าซื่อๆอย่างนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่าคุณจะรอบจัดเกินกว่าที่ผมจะคาดถึงเลยนะ เมื่อวานนี้คุณยังแกล้งยั่วยวนผม แต่วันนี้มาทำมึนตึงใส่ซะแล้ว คุณกำลังคิดจะปั่นหัวผมเล่นใช่มั๊ย ขอบอกก่อนนะว่า...ผมไม่ใช่ไก่อ่อน”
เนตรอัปสรโกรธ
“คุณจะไก่อ่อน ไก่แก่ อะไรฉันไม่สนใจ ปล่อยฉันนะ”
เนตรอัปสรดิ้นจนหลุดจากเขาแล้ววิ่งหนีไป เชตะวันไม่ยอมแพ้ วิ่งตามไปติดๆ เขาวิ่งไปจนทันดึงตัวเธอกระชากเข้ามาหาตัวอย่างแรง
“คุณแกล้งมาหลอกให้ผมรัก แล้วจะสลัดผมทิ้ง แกล้งทำเล่นตัวเพื่อที่ให้ผมหัวหมุนแล้วคุณจะได้เรียกร้องอะไรจากผมก็ได้...ยังงั้นเหรอ ผมไม่ยอมให้คุณ เล่นผมฝ่ายเดียวหรอก”
พูดจบเชตะวันก็จูบปากเธออย่างหนักหน่วง เนตรอัปสรตะลึง
“ผมจะทำให้คุณรักผมบ้าง ไม่เชื่อ...คอยดู”
เชตะวันจูบอีกเนตรอัปสรยังตื่นตะลึงยืนตัวแข็งอยู่ เชตะวันเห็นว่าเธอไม่ดิ้นสู้ ก็ยิ่งเข้าใจผิด ยิ่งรุกเนตรอัปสรมือไม้เริ่มเปะปะไปทั่ว เธอยิ่งตื่นตระหนกกลัวเขาจนน้ำตาคลอจะร้องไห้ออกมา เนตรอัปสรรวบรวมกำลังผลักเขาออกไปอย่างสุดแรง แล้วตบหน้าเขาผั๊วะ ตะโกนใส่หน้าเขา
“ฉันไม่มีวันรักผู้ชายเฮงซวย อย่างคุณ”
เชตะวันอึ้งเห็นเธอน้ำตาคลอ แววตาตื่นตระหนกสุดขีด ภาพในอดีตชาติของนวลที่
ร้องไห้ต่อหน้าชุนแว่บซ้อนเข้ามา เชตะวันตะลึงงันกระพริบตาถี่ๆ ไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงได้เห็นภาพซ้อนแว่บหนึ่งอย่างนั้น เนตรอัปสรฉวยจังหวะที่เขายังอยู่ในภาวะตะลึงงันอยู่นั้น วิ่งหนีไปทันที เชตะวันมองตามไปจนเธอหายไป เขายกมือขึ้นลูบแก้มข้างที่ถูกตบ แล้วยืนอึ้งอยู่ที่เดิม โดยไม่รู้ตัวเลยว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด...อยู่ในสายตาของผีเฟื่องที่ยืนดูเหตุการณ์นี้อย่างโกรธแค้น”
“ทำไมเจ้าทำเช่นนี้...ชุน ทำไม เจ้าหมดรักข้าแล้วหรือไร...ไม่จริง...เจ้ารักข้า...เจ้ารักข้าคนเดียว”
ผีเฟื่องทั้งโกรธทั้งเสียใจ และเจ็บปวด

เชตะวันกลับมานอนก่ายหน้าผาก คิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้น...
“ทำไม...ผมรู้สึกเหมือนว่า ผมเคยทำให้คุณ ต้องร้องไห้เพราะผมมาก่อน”
เชตะวันครุ่นคิด ไม่เข้าใจ

เนตรอัปสรปาดน้ำตาเช็ดถูปากตัวเองที่เพิ่งถูกเชตะวันจูบ ด้วยความแค้นใจ
“คนบ้า คนเฮงซวย ไม่เคยมีใครหยามน้ำใจฉันมากขนาดนี้มาก่อนเลย”

เนตรอัปสรแค้นใจเป็นอย่างยิ่ง แล้วก็นิ่งไป เธอตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

อ่านต่อ 17.00 น.

นางมาร ตอนที่ 17 (ต่อ)

ปารมี หมอก้องและทิพย์อยู่กับคุณสรวงที่สถานปฏิบัติธรรม ทุกคนหน้าตาไม่ดี

“ยายนะโมไม่ยอมออกจากบ้านนั้นน่ะค่ะแม่สรวง ปานก็ไม่รู้จะทำยังไงดี” ปารมีหนักใจ
หมอก้องเครียด
“ผมเป็นห่วงนะโมเหลือเกินครับแม่สรวง”
ปารมีแอบเหลือบมองหมอก้องอย่างน้อยใจ ทิพย์พูดขึ้น
“แต่เราก็ย้ำเขาแล้วนะคะคุณแม่...ว่าห้ามถอดพระออกจากตัว แม้แต่เวลาอาบน้ำ นะโมเขาก็รับปาก”
คุณสรวงพยักหน้า
“นั่นช่วยได้มาก อำนาจคุณพระศรีรัตนตรัยจะปกปักรักษาเขาให้ปลอดภัยได้”
ปารมีกังวลใจ
“แล้วเราควรจะทำยังไงต่อดีคะแม่สรวง”
คุณสรวงส่ายหน้า
“ยังทำอะไรไม่ได้ พวกเขาเป็น เจ้ากรรมนายเวรต่อกัน มีกรรมที่ต้องชดใช้กัน เราช่วยได้แค่เตือนสติเขา เรื่องร้ายแรงจะได้เบาลง...ที่เหลือเป็นเรื่องที่นะโมต้องตัดสินใจเอง”
ทั้งหมดหน้าเครียดเป็นห่วงเนตรอัปสรแต่ก็ได้แต่ห่วง ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านั้น
“ค่ะ คงต้องเป็นอย่างที่แม่สรวงพูดแหละค่ะ ที่เหลือ...เป็นเรื่องที่ยายนะโมต้องตัดสินใจเอง” ปารมีถอนใจ

เชตะวันเดินกล้าๆ กลัวๆ มาที่ห้องเนตรอัปสร ไม่แน่ใจว่าเธอจะโกรธเขาแค่ไหน เชตะวันเคาะประตูห้องเบาๆ
“คุณเนตร”
ไม่มีเสียงตอบเขาเคาะประตูอีก
“คุณเนตร...เปิดประตูให้ผมหน่อยสิ เรามีเรื่องต้องเคลียร์กัน”
ในห้องยังเงียบอยู่อีก
“นี่คุณโกรธผมขนาดไม่ยอมพูดกับผมเลยเหรอ”
ไม่มีเสียงตอบ เชตะวันอดรนทนไม่ไหว ตัดสินใจเปิดประตูห้อง พบว่าประตูห้องไม่ได้ล็อค เขาแปลกใจ ผลักเข้าไป กวาดตามองไปทั่วห้องไม่มีใครอยู่เลย ห้องดูโล่งผิดปกติ เชตะวันตกใจ วิ่งเข้าไปดูที่ห้องน้ำ ไม่พบเนตรอัปสรก็เริ่มเอะใจ เขาวิ่งไปเปิดดูที่ตู้เสื้อผ้า พบว่าตู้เสื้อผ้าโล่งก็หน้าเหวอไปเลย กวาดตามองไปที่โต๊ะแต่งตัวเห็นมีกระดาษโน้ตแผ่นหนึ่งวางทิ้งไว้ เชตะวันรีบวิ่งไปหยิบเอาขึ้นมาดู
“ฉันขอลาออก”
เชตะวันตะลึง

ปารมี ทิพย์และหมอก้อง เดินหน้าตาเซ็งมาที่ห้องพัก
“ขอบคุณหมอมากนะคะที่อุตส่าห์มาส่ง” ปารมีหันไปบอกหมอก้อง
“ไม่เป็นไร เข้าห้องเถอะครับ พวกคุณจะได้พักกัน”
ปารมีพยักหน้าหงึก ไขกุญแจห้อง เปิดประตูเข้าไปพอประตูห้องเปิดออก ทั้งสามก็ต้องตะลึงเมื่อพบว่าเนตรอัปสรนั่งอยู่ในห้องอยู่ก่อนแล้ว
“นะโม”

เชตะวันอาละวาดใส่อนงค์กับบวร
“คนออกจากบ้านไปทั้งคน ทำไมไม่มีใครรู้ ไม่มีใครเห็น อยู่บ้านกันประสาอะไร มันน่าไล่ออกให้หมดเลย”
อนงค์กับบวรก้มหน้างุด เชตะวันโมโหสุดขีดเตะโต๊ะ เตะเก้าอี้แถวนั้นระบายอารมณ์ เสียงโต๊ะเก้าอี้ล้มดังไปทั่วบริเวณ อาทิตย์ยืนดูเชตะวันอาละวาดอย่างครุ่นคิด

พายัพส่องกระจก ดูรอยเขียวช้ำรอบคอจากการที่ถูกผีเดือนบังคับให้เขาบีบคอตัวเองจนเกือบตาย
“ไอ้ผีบ้าเอ๊ย เล่นกูเกือบตาย” พายัพหงุดหงิด
พงษ์เดินเข้ามา
“ไปตามหมอผีมาแล้วเรอะไอ้พงษ์”
พงษ์ทำท่าอึกอักๆ
“ตามมาแล้วครับ”
“อ้าว...งั้นก็ไปตามมาพบกูเลยสิ”
“หมอผีจะมาคืนนี้ครับนาย แต่...ตอนนี้...มีคนมาขอพบนายครับ”
“ใครล่ะ”
พงษ์ไม่ตอบแต่ตำรวจจำนวนหนึ่งเดินเข้ามาหา พายัพนิ่งอึ้งไปเลย

ตำรวจส่งภาพถ่ายหน้าของเล็กให้พายัพ เขารับมาดูแล้วเงยหน้าขึ้นบอกตำรวจหน้าตาเฉย
“ไม่รู้จักครับสารวัตร”
“แต่มีคนบอกว่า...เขาเป็นคนงานอยู่ที่รีสอร์ตนี้นะครับ คุณพายัพ”
“ผมไม่รู้จักคนงานที่นี่ทุกคนหรอกครับ แต่ถ้ายังไง ผมจะเรียกผู้จัดการมาให้สารวัตรสอบปากคำก็ได้นะครับ”
“ขอบคุณครับสารวัตร”
สารวัตรมองพายัพอย่างจับผิด พายัพทำหน้าใสซื่อจ้องตาสารวัตรไม่หลบ ไม่อยากให้มีพิรุธ สารวัตรเครียดๆ ผิดหวังที่จับผิดอะไรพายัพไม่ได้เลย

พายัพกับพงษ์ ยืนมองออกไปนอกหน้าต่างอย่างเครียดๆ พายัพ มองดูพวกสารวัตรที่ขึ้นรถกลับไปอย่างผิดหวัง สารวัตรยังเหลียวกลับมามองทางบ้านและสบตากันกับเขาอย่างวางเชิงซึ่งกันและกัน
“ไอ้สารวัตรนั่นมันคงกัดเราไม่ปล่อยแน่”
พายัพหน้าเครียด

ปารมี ทิพย์และหมอก้อง นั่งล้อมเนตรอัปสร...
“บอกหมอมาตามตรงนะ นะโม ทำไมนะโมถึงลาออกกะทันหันอย่างนี้”
ปารมีก็สงสัยไม่หาย
“นั่นสิ เมื่อเช้า พวกเราพูดเท่าไหร่ๆเธอก็ไม่ยอมลาออกแล้วทำไมจู่ๆเธอก็ออกซะเฉยๆอย่างงี้ มีอะไรรึเปล่า”
หมอก้องคาดคั้น
“คุณเชตะวันเขาทำอะไรนะโมรึเปล่า”
เนตรอัปสรโกหกไป
“เปล่าค่ะ เราแค่...ทะเลาะกัน...นิดหน่อย”
ทิพย์ไม่เชื่อ
“นิดหน่อย แต่ลาออกกะทันหันเลยเนี่ยนะ ฉันไม่เชื่อเธอหรอกยายนะโม”
เนตรอัปสรนิ่งเงียบ ปารมีเลยตัดบท
“เอาเถอะๆ ในเมื่อนะโมลาออกแล้วก็แล้วกันไปเถอะ เอาเป็นว่า...วันนี้เธอพักให้สบายๆสักวันหนึ่งก่อน แล้วเรื่องงาน ค่อยคิดอ่านกันต่อไป”
เนตรอัปสรหน้าสลด
“แต่ฉันคงต้องขอรบกวนเธอสองคน อยู่ที่นี่อีกสักพักนะ”
ปารมีค้อนๆ
“โธ่เอ๊ย...เป็นเพื่อนกันแท้ๆ มารบกงรบกวนอะไร้...ฉันดีใจเสียอีกนะที่นะโมกลับมาอยู่ด้วยกัน”
ทิพย์แทรกขึ้นมาทันที
“เอ้า ไหนๆก็อยู่กันพร้อมหน้ากันแล้ว”ทิพย์หันขวับไปหาหมอก้อง “หมอ เข้าครัวสิคะ ทำกับข้าวมาฉลองกันเดี๋ยวนี้เลย”
หมอก้องชี้หน้าตัวเองเป็นเชิงว่า หมอต้องทำกับข้าวอีกแล้วเหรอ ทิพย์พยักหน้าหงึก แล้วผลักไสปารมี
“ยายปาน ไปช่วยหมอก้องทำกับข้าวด้วย จะได้เร็วๆ ฉันหิวจนจะเป็นลมอยู่แล้วเนี่ย ไปสิ”
ทิพย์ผลักไสปารมีและหมอก้องเข้าครัวไป พอหมอก้องกับปารมีไป ทิพย์ก็หัวเราะชอบใจในผลงานของตัวเอง เนตรอัปสรเลยพลอยยิ้มออก

เชตะวันเดินงุ่นง่านๆอยู่คนเดียวในบ้าน อาละวาดพังข้าวของในบ้านระบายอารมณ์ อนงค์กับบวรโผล่หน้าเข้ามาดูแล้วก็ต้องรีบหลบออกไปเมื่อเชตะวันคว้าข้าวของเขวี้ยงใส่อย่างไม่ไว้หน้าใครเลย โดยมีอาทิตย์แอบมองตลอด

ค่ำนั้น...พายัพ กับพงษ์ นั่งอยู่ข้างหลังหมอผีที่จัดเตรียมข้าวของปราบผีอยู่ ประตูหน้าต่างทุกบานปิดลงกลอนสนิท ยกเว้นประตูทางเข้าห้องเท่านั้นที่เปิดกว้างอยู่คล้ายรอให้ใครเข้ามาโดยมีผู้ช่วยหมอผีเดินปิดผ้ายันต์ทั่วทุกหน้าต่าง ประตู ยกเว้นประตูทางเข้าที่อยู่ตรงหน้าหมอผีบานเดียวเท่านั้น พายัพมองทุกอย่างรอบตัวอย่างงงๆแต่พงษ์เป็นฝ่ายอดรนทนไม่ได้ เข้าไปสะกิดหมอผีถาม
“อาจารย์ ไม่โยงสายสิญจน์เหรอ”
“ไม่ต้อง นั่นโบราณแล้ว แค่ปิดผ้ายันต์ล้อมห้องก็พอแล้วเดี๋ยวข้าจะเรียกวิญญาณร้าย ที่ทำร้ายเอ็งมา แล้วจัดการมันซะ”
“แล้ว...” พงษ์มองหาแต่ไม่เห็น “ไม่มีหม้อดินเอาไว้ใส่ผีเหรอครับอาจารย์”
หมอผียิ้ม แล้วเอาขวดแก้วใสๆที่มีฝาปิดขวดหนึ่งเอาขึ้นมาตั้งตรงหน้าให้พายัพกับพงษ์ดู
“หม้อดินน่ะ เชยแล้ว เดี๋ยวนี้เขาใส่แบบนี้กันแล้วโว๊ย”
พงษ์หันไปกระซิบกับพายัพ
“หมอเดิ้นเนอะนายเนอะ”
“จะเชยหรือจะเดิ้น ฉันไม่สน ขอให้เก่งจริง สามารถปราบอีผีนั่นได้ ก็พอแล้ว”

หมอผีพูดโดยไม่หันมามองเหมือนมีหูทิพย์
 
อ่านต่อ 17.00 น.

หมอผีพูดโดยไม่หันมามองเหมือนมีหูทิพย์

“ข้าปราบมันได้แน่นอนไอ้หนุ่ม ไม่เชื่อ คอยดู”
พูดจบหมอผีก็จุดเทียนตรงหน้า 1 เล่ม แล้วเริ่มบริกรรมคาถา ไม่นานเสียงลมก็พัดอู้อยู่ด้านนอก แล้วไฟทั้งบ้านก็ดับพรึ่บลง เหลือเพียงแสงจากเทียนที่จุดไว้ดวงนั้นเท่านั้น พายัพกับพงษ์เริ่มเลิ่กลั่กๆ แต่หมอผียังบริกรรมคาถาไม่สนใจ
“กูขอสั่ง อีนังผีที่ทำร้ายนายพายัพ จงปรากฏตัว ตรงหน้ากูเดี๋ยวนี้”
ลมภายนอกยิ่งพัดแรงกระหน่ำเหมือนมีพายุ หมอผีตะโกนสั่งเสียงดังลั่น
“มึงไม่ได้ยินกูหรือไร กูสั่งให้มึงปรากฏตัวเดี๋ยวนี้”
ขาดคำประตูหน้าต่างทุกบานที่ถูกปิดอยู่ก็มีเสียงทุบดังปังๆขึ้นมาอย่างแรง พายัพกับพงษ์สะดุ้งเฮือก เขยิบเข้ามานั่งชิดกันโดยไม่รู้ตัว
“ปรากฏตัวเดี๋ยวนี้”
ขาดคำหมอผี ผีเดือนก็ปรากฏตัวขึ้นตรงประตู ตรงหน้าหมอผี ซึ่งเปิดกว้างรออยู่แล้ว พายัพกับพงษ์สะดุ้งตกใจ
“เฮ้ย”
ผู้ชายปรามๆ
“ชู่ว...อย่าเสียงดัง อาจารย์ต้องการสมาธิ...”
พายัพกับพงษ์พยักหน้ารับ แล้วมองดูผีเดือนที่เดินย่างสามขุมเข้ามาอย่างน่ากลัว
“เรียกกูทำไม”
“กูอยากรู้ มึงทำร้ายนายพายัพทำไม”
ผีเดือนประกาศเสียงกร้าว แล้วชี้หน้าพายัพอย่างอาฆาตเคียดแค้น
“ก็เพราะมันสั่งมึง” ผีเดือนชี้หน้าพงษ์ “ไปดักฉุดกู แล้วก็ทำร้ายกูจนกูต้องตาย เพราะฉะนั้น...พวกมันก็สมควรจะต้องตายตกตามกูไป”
พูดจบผีเดือนก็จะพุ่งเข้าไปทำร้ายพายัพ แต่หมอผีเอาแส้ฟาดใส่เสียก่อน ผีเดือนสะดุ้งสุดตัวกรีดร้องเสียงดังลั่นไปทั่วบริเวณ

ดาลัดที่กำลังนั่งดูละครทีวีอยู่อย่างเพลิดเพลิน สะดุ้งเฮือกขึ้นมาทันทีที่ได้ยินเสียงร้องของผีเดือนแต่พอมองออกไปนอกหน้าต่างบ้าน ทุกอย่างก็สงบปกติดี
“เสียงทีวีบ้านไหนนะ ดังมาถึงนี่เลย”
ดาลัดไม่สนใจอีก เพราะติดละคร เธอวิ่งกลับไปดูต่อ

ผีเดือนทรุดฮวบลง ถูกแส้อาคมของหมอผีฟาดจนหมดเรี่ยวแรง
“ถ้ามึงไม่เลิกอาฆาตนายพายัพ กับพวกพ้องของนายกูก็จะจับมึงขังในขวดอาคม ไม่ให้มึงได้ไปผุดไปเกิดอีกเลย มึงจะเลิกอาฆาตทำร้ายนายพายัพมั๊ย”
ผีเดือนจ้องพายัพกับพงษ์อย่างอาฆาต ตาแดงวาบน่ากลัว
“ไม่...ถ้ากูจะไม่ได้ผุดได้เกิด พวกมันก็ต้องตาย แล้วไม่ได้ผุดได้เกิดอย่างกูเช่นกัน”
ขาดคำผีเดือนก็รวบรวมกำลังจะพุ่งเข้าทำร้ายพายัพกับพงษ์อีก สองคนนั่นถอยกรูดไปจนติดผนังห้อง ผีเดือนพุ่งเข้าไปถึงตัวพายัพกับพงษ์แล้วจับขาทั้งคู่คนละข้างแล้วลากเข้ามาหาตัวด้วยเรี่ยวแรงมากมายมหาศาล
พายัพกับพงษ์ถูกผีเดือนลากเข้าหาก็ร้องลั่นพยายามเอามือยึดข้าวของที่พอจะยึดจับได้ ไม่ให้ถูกลากตัวไปแต่ก็ไม่สำเร็จ
“อาจารย์ช่วยด้วย อีผีนี่มันจะหักคอพวกผมแล้ว” พงษ์ตื่นกลัวสุดๆ
หมอผีโกรธ
“อีผีสาวนี่ มึงช่างดื้อดึงนัก กูขอดีๆ ไม่เชื่อ ไม่ฟังกันเลยใช่มั๊ย”
ผีเดือนไม่หยุด หมอผีจึงตามเข้าไปจับหัวผีเดือนแล้วบริกรรมคาถาเสียงดัง ผีเดือนมีท่าทางเจ็บปวดที่หัวมาก จำต้องปล่อยมือออกจากขาของพายัพและพงษ์ออก สองหนุ่มรีบหดขาซุกตัวที่มุมห้องทันที แล้วมองดูหมอผีปราบผีเดือนต่อไปด้วยใจระทึก สักครู่ก็มีควันเหมือนไฟลุกไหม้ออกมาจากหัวของผีเดือน ผีเดือนร้องกรี๊ดด้วยความเจ็บปวดสุดขีด

บรรยากาศรอบตัวเหมือนมีลมหมุนอยู่ในห้อง ประตูหน้าต่างที่ปิดอยู่ดังกึงกังๆ อย่างน่ากลัว ผู้ช่วยหมอผีรีบเอาขวดแก้วเมื่อครู่ เปิดฝารีบเอาเข้ามาส่งให้หมอผีอย่างรู้งาน หมอผีก็รับเอาขวดนั้น แล้วเอาครอบลงบนหัวผีเดือนสลายร่างกลายเป็นควันสีดำถูกดูดวูบเข้าไปในขวด หมอผีรีบช้อนปากขวดขึ้น แล้วเอาฝาปิดปากขวดอย่างรวดเร็ว แล้วชูขวดขึ้นดูเห็นมีควันดำๆอยู่ภายใน หมอผีหัวเราะ พายัพกับพงษ์วิ่งเข้ามาดูด้วย
“อาจารย์ อีผีนั่นมันลงไปอยู่ในขวดนี้แล้วเรอะ” พายัพรีบถาม
หมอผีพยักหน้า พายัพกับพงษ์ถอนใจโล่งอก พายัพรีบบอกอย่างหวาดกลัว
“ถ้ามันอยู่ในนั้นแล้ว อาจารย์จะเอามันไปไหน ก็เอาไปเลยนะ เอาไปให้ไกลๆเลย อย่าให้มันกลับมาทำร้ายฉันได้อีก”
หมอผีพยักหน้ารับ
“ข้าจะเอามันไปรับใช้ข้า ไม่ต้องห่วง”
พายัพพยักหน้ารับ หมอผีเดินเอาขวดไปใส่กระเป๋าแล้วเริ่มเก็บข้าวของ ผู้ช่วยวิ่งเข้ามาหาพงษ์แล้วแบมือขอเงิน พงษ์ล้วงหยิบเงินส่งให้ ผู้ช่วยรับเงินไปนับพอนับครบจำนวนก็ยิ้มพอใจ ยกมือไหว้พงษ์และพายัพแล้วเก็บเงิน ก่อนจะเข้าไปช่วยหมอผีเก็บของแล้วพากันออกไป พายัพกับพงษ์ถอนใจเฮือก แล้วทันใดนั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อมือถือพายัพดังขึ้นกะทันหัน
“โฮ้ย ตกใจหมด” พงษ์ถอนใจ
พายัพตั้งสติเห็นเป็นอาทิตย์โทรมา แล้วกดรับสาย
“ผมเองครับพ่อ...ผมจะกลับเข้ากรุงเทพ พรุ่งนี้เช้าครับพ่อ นายเชตมันก่อเรื่องอะไรขึ้นอีกเหรอครับ”
“มันออกฤทธิ์จนแม่พยาบาลคนใหม่นั่นลาออกไปแล้ว”
“อะไรนะครับ ลาออกไปแล้ว”
“ใช่...ว่าแต่ว่าทำไมแกยังไม่กลับกรุงเทพสักทีล่ะ ที่นั่นมีปัญหาอะไรรึเปล่า”
“มีนิดหน่อยครับพ่อ ตำรวจมันมาดมกลิ่นแถวๆนี้อยู่”
“งั้นแกก็ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
“ครับพ่อ ไม่ต้องห่วงเดี๋ยวผมจัดการอะไรทางนี้เรียบร้อยแล้ว ผมจะกลับกรุงเทพฯทันทีครับพ่อ...”
อาทิตย์แอบกังวลเรื่องตำรวจเหมือนกันเมื่อพายัพบอก

เชตะวันนอนก่ายหน้าผากคิดเรื่องเนตรอัปสรอยู่ แล้วเขาก็คิดอะไรขึ้นมาได้รีบเด้งลุกขึ้นแล้วกดโทรศัพท์โทรออกอย่างร้อนใจทันที
“ผมเชตะวันนะครับ ผมขอเบอร์โทรติดต่อพยาบาลที่ชื่อเนตรอัปสร คนที่ดูแลเคสของผมหน่อยครับ ผมรู้ว่านี่มันดึกแล้ว แต่ผมมีธุระด่วนที่จะต้องติดต่อกับเธอ”
เชตะวันฟังปลายสาย แล้วหน้าตาโมโหขึ้นมาอีก
“อะไรนะครับ มีกฎว่าไม่ให้เบอร์โทรศัพท์ของพยาบาลกับคนไข้โดยตรง ต้องให้เจ้าตัวให้เอง ฮึ่ย ตั้งกฎได้ ก็แหกกฎได้สิ ถ้าคุณเอาเบอร์โทรคุณเนตรอัปสรให้ผม ผมจะให้เงินกับทางคุณ...”
เชตะวันนิ่งฟังปลายสายตอบกลับมาสักครู่ แล้วเขาก็มีสีหน้าดีขึ้น

เนตรอัปสร ปารมี ทิพย์ หมอก้องกำลังนั่งล้อมวงกินอาหารอยู่ด้วยกัน
“แหม...ฝีมือทำกับข้าวของหมอนี่ไม่เคยตกเลยนะคะ ทิพย์กินซะพุงกางทุกครั้งที่หมอทำเลย อิอิ” ทิพย์ชื่นชม
หมอก้องค้อน สามสาวหัวเราะหมอก้อง ทันใดนั้นมือถือเนตรอัปสรก็ดังขึ้นเธอหยิบมือถือขึ้นมาดู แล้วงง
“ใครโทรมาเหรอนะโม” ทิพย์ถามอย่างสงสัย
“ไม่รู้สิ เบอร์ไม่รู้จัก”
หมอก้องสงสัย
“คุณเชตรึเปล่า”
เนตรอัปสรงงๆ
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะหมอ แต่เนตรไม่เคยให้เบอร์เขาไว้ เลยไม่ได้เมมเบอร์กัน” เธอตัดสินใจกดรับ “สวัสดีค่ะ เนตรอัปสรพูดค่ะ...” เธอฟังปลายสายแล้วตาโตด้วยความตกใจ “คุณเชตะวัน”
คนอื่นๆรีบเข้าไปรุมทันที เนตรอัปสรตกใจ ทำอะไรไม่ถูกเลยกดปิดมือถือไปเลย เนตรอัปสรยังนั่งนิ่งอยู่หลังจากปิดมือถือไปแล้ว หมอก้องมองๆ
“นี่นะโมทะเลาะกับคุณเชตมาอย่างหนักเลยใช่มั๊ยเนี่ย เขาถึงตามมาอาละวาดกับนะโมอย่างนี้”
เนตรอัปสรตัดบท
“ช่างเขาเถอะค่ะหมอ เนตรลาออกแล้ว ไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก เนตรก็เลยปิดโทรศัพท์ไป...ก็เท่านั้น กินกันต่อเถอะค่ะ”
แล้วเนตรอัปสรก็ก้มหน้าก้มตากินต่อ แบบจะตัดบทไม่ยอมพูดอะไรอีกคนอื่นๆพากันถอนใจกลุ้มมองเนตรอัปสรอย่างสงสัย

เชตะวันตกใจที่เนตรอัปสรกดตัดสายเขาพยายามจะกดโทรหาอีกแต่เครื่องของเธอปิดไปแล้ว เชตะวันโมโหสุดขีดเขวี้ยงโทรศัพท์มือถือไปกระแทกข้างฝาอย่างแรง จนโทรศัพท์แตกเป็นเสี่ยง แต่เขาก็ไม่สนใจ เพราะโกรธที่เนตรอัปสรไม่ยอมพูดกับเขา เชตะวันเลยตะโกนระบายอารมณ์เสียงดังลั่นห้อง...ผีเฟื่องยืนอยู่ที่มุมห้อง น้ำตาไหล เริ่มรู้แล้วว่า ชุน เปลี่ยนไปแล้วจริงๆ
 
แล้วในที่สุดผีเฟื่องก็กรีดร้องออกมาสุดเสียงด้วยความเสียใจอย่างที่สุด
 
โปรดอ่านต่อตอนที่ 18

นางมาร ตอนที่ 18

เช้ามืดวันใหม่...อนงค์กับบวรใส่บาตรพระองค์สุดท้าย น้า หลานก้มหน้าไหว้พระรับพรอยู่

“ยึดมั่น ตั้งมั่น อยู่ในศีลในธรรมนะโยม คุณความดีจะเป็นเกราะป้องกันภยันตรายทั้งหลายให้พวกโยมได้นะ”
“สาธุค่ะหลวงพ่อ”
พระเดินออกไป สองน้าหลานจบไหว้พร้อมกันแล้วกรวดน้ำ แต่พอเงยหน้าทั้งคู่ก็สะดุ้งเมื่อพบ เชตะวันยืนอยู่เงียบๆ
“คุณเชต ทำไมมายืนเงียบๆอย่างนี้ละคะ นงค์เกือบหัวใจวายตาย”
“ทำอะไรกัน”
“กรวดน้ำอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้กับ...” อนงค์มองไปรอบๆอีก “เขาจะได้ไม่มาทำร้ายหรือเข้าสิงใครให้ต้องเดือดร้อนกันอีกน่ะค่ะคุณเชต...เอ๊ะ ว่าแต่ทำไมวันนี้คุณเชตตื่นเช้าจังคะ”
“ตื่นอะไรล่ะ ฉันยังไม่ได้นอน”
อนงค์ตาโต
“นี่คุณเชตไม่ได้นอนเพราะรอคุณพยาบาลกลับมาหรือคะเนี่ย ตายแล้ว เดี๋ยวอาการก็กำเริบหรอกค่ะ”
เชตะวันเสียงดังอย่างคนอารมณ์เสีย
“กำเริบก็ยิ่งดีสิ จะได้ตายๆไปซะเลย ที่อยู่มาทุกวันนี้ก็ไม่เห็นมีใครสนใจว่าฉันจะอยู่ หรือฉันจะตายอยู่แล้วนี่ เดี๋ยวเปิดประตูบ้านด้วย ฉันจะไปข้างนอก”
เชตะวันก็เดินปังๆกลับเข้าบ้านไปอย่างคนอารมณ์เสีย อนงค์กับบวรหันมองหน้ากันแล้วถอนใจใหญ่

เนตรอัปสรเดินมาส่งหมอก้อง ปารมี ทิพย์ไปทำงาน
“ถ้าที่โรงพยาบาลมีประกาศเรียกพยาบาลพิเศษ ฉันจะรีบโทรมาบอกเธอนะ นะโม” ปารมีหันมาบอก
“ขอบใจจ้ะปาน”
“หมอไปก่อนนะ นะโม ต้องรีบกลับไปเปลี่ยนเสื้อที่บ้านก่อนเข้าเวรน่ะ เมื่อคืนไม่ได้เตรียมตัวมาอยู่คุยกันจนดึกอย่างนั้นเลย”
“ขับรถดีๆนะคะหมอ”
ทิพย์เข้ามาเตือน
“แล้วเธอก็อย่าลืมล่ะ ถึงจะไม่ได้อยู่ที่บ้านคุณเชตแล้วแต่ก็อย่าถอดสร้อยพระออกจากตัวเด็ดขาด กันไว้ดี กว่าแก้ เพราะถ้าแย่แล้วจะแก้ไม่ทัน”
เนตรอัปสรยิ้มรับ
“จ้ะ”
ทั้งสามเดินออกไป เนตรอัปสรเดินเข้าห้องหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเครื่อง พบว่าเชตะวันฝากข้อความเอาไว้มากมาย เธอจัดการลบข้อความทั้งหมดนั้น โดยไม่เปิดออกอ่านสักข้อความเดียว

แซลลี่นั่งดื่มเหล้าอยู่ที่คอนโดอย่างเครียดๆ มีเสียงออดที่หน้าประตูบ้าน เธอเดินโซเซไปเปิดเห็นเป็นสิทธิ์ ก็ถามเสียงห้วนไม่แคร์ไม่ใยดีสิทธิ์เลย สนใจแต่เชตะวันคนเดียว
“มาทำไมแต่เช้า”
“เช้าที่ไหน นี่มันเที่ยงแล้วรู้มั๊ย”
“จะเช้าหรือเที่ยง ก็ช่างหัวมัน ฉันไม่สนใจ”
สิทธิ์ยื่นหน้าเข้าไปดมลมหายใจที่ปากของแซลลี่ใกล้ๆ
“นี่คุณนั่งกินมาตั้งแต่เมื่อคืน หรือว่าตื่นมาซดแต่เช้ากันเนี่ย”
“ตั้งแต่เมื่อคืน”
“คนเดียว”
“อย่ายุ่งน่า กลับไป ไป๊ วันนี้ฉันไม่มีอารมณ์จะพูดกับใคร”
“แม้แต่ไอ้เชต”
แซลลี่ยิ่งโกรธหนักขึ้น เอาแก้วเหล้าที่ถือค้างอยู่ในมือเขวี้ยงไปกระทบกำแพงเต็มแรงจนแตกเปรี้ยงเสียงดัง สิทธิ์ตกใจ แล้วก็เข้าใจทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“ถูกมันหมางเมินใส่มาล่ะสิ”
แซลลี่ตบปากสิทธิ์แบบจะให้หยุดพูด สิทธิ์เอามือลูบปากที่ถูกตบแม้จะเจ็บแต่ก็กลับหัวเราะชอบใจ
“ไอ้เชตมันมีหญิงคนใหม่ล่ะสิ แม่พยาบาลส่วนตัวของมันใช่มั้ยล่ะ”
แซลลี่แค้นๆ
“นังพยาบาล ตั้งแต่มันมา เชตก็เปลี่ยนไปเลย ฉันเกลียดมัน”
“ผมกำจัดมันให้เอามั๊ยล่ะ”
แซลลี่ชะงักไป
“กำจัดมันเหรอ แล้วนายจะได้อะไร”
“ก็ได้ทำให้คุณพอใจไง...แซลลี่”
แซลลี่นิ่งไป แล้วสองคนมองตากันอย่างจะวัดใจกัน

อาทิตย์กับพายัพคุยกันอยู่ในห้องทำงานที่บ้าน
“อะไรนะ แกฆ่าไอ้เล็ก” อาทิตย์ตกใจกับสิ่งที่ลูกชายบอก
“มันจำเป็นครับพ่อ มันถูกตำรวจจับ มันต้องซัดทอดมาถึงเราแน่ ผมเลยปล่อยมันไว้ไม่ได้”
อาทิตย์กังวล
“แต่ตำรวจมันก็จะตามกลิ่นกลับมาที่แกจนได้นะ”
“แต่มันก็ไม่มีหลักฐานอะไรพอที่จะทำอะไรเราได้หรอกครับพ่อ ผมกลบเกลื่อนร่องรอยอย่างดี พ่อสบายใจได้ ผมไม่มีวันทำให้พ่อเดือดร้อนแน่ครับ”
อาทิตย์ยิ้มออก
“นี่ถ้าไอ้เชตมันเก่งได้แค่ครึ่งหนึ่งของแก...ก็คงจะดีหรอก”
“ครับพ่อ เออว่าแต่...มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือครับพ่อ แม่พยาบาลคนนั้นถึงได้ลาออกไปเร็วอย่างนี้ ก็เห็นท่าทางมีน้ำอดน้ำทนกว่าคนอื่นๆที่ผ่านมา”
“ก็นิสัยเจ้าชู้ของมันนั่นแหละ ถ้าคนไหนเล่นด้วย ไอ้เชตมันจะเล่นเดี๋ยวเดียว แล้วก็เบื่อ แต่คนนี้เขาไม่ยอมเล่นด้วยกับมัน ท่าทางถือตัวมากอยู่ ก็คงทนไอ้เชตมันไม่ได้ เลยชิงออกไปก่อน”
พายัพเซ็งๆ อาทิตย์มองหน้าอย่างรู้ใจลูก
“แกชอบแม่พยาบาลคนนั้นใช่มั๊ยพายัพ”
พายัพหัวเราะเก้อๆ
“พ่อรู้ใจผมเสมอ”
“ถ้าแกชอบแม่นั่น พ่อจะช่วย”
พายัพดีใจตาวาวโรจน์
“จริงหรือครับพ่อ”
อาทิตย์พยักหน้า
“ก็แกเป็นลูกรักของพ่อนี่”
สองพ่อลูกยิ้มกันชื่นมื่น

เนตรอัปสรเปิดตู้เย็นหาของกิน แต่พบว่าของหมด เธอผิดหวังเดินไปหยิบกระเป๋าเงินแล้วเปิดประตูห้องจะเดินออกไป แต่ทันทีที่เปิดประตูห้องเธอก็ต้องตกตะลึงเมื่อพบว่า เชตะวันยืนอยู่ที่หน้าห้องเธออยู่แล้ว
“คุณเชต”
เนตรอัปสรตกใจรีบปิดประตูทันที แต่เชตะวันก็รีบดึงออกทันควันเหมือนกัน เขาผลักประตูจนได้แล้วรีบบุกรวบตัวเธอจนมุม
“นี่คุณจะไม่ต้อนรับผมเลยเหรอคุณเนตร”
“คุณหาฉันเจอได้ยังไงเนี่ยคุณเชต”
“คุณก็รู้ว่าผมเป็นใคร นายเชตะวันมีเงินมากพอที่จะแลกกับที่อยู่ของคุณนะครับคุณเนตร ว่าแต่ขอบคุณนะครับที่ยังจำผมได้”
“ฉันไม่ใช่คนความจำเสื่อมนี่ ฉันถึงจะจำคุณไม่ได้ และฉันก็จำได้ด้วยว่า...ฉันลาออกแล้ว แล้วก็จำได้ดีอีกว่าก่อนหน้านี้คุณเคยพูดอนุญาตให้ฉันลาออกได้ ลาออกไปเลย เพราะฉะนั้นฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับคุณอีก หลีกไป ฉันจะไปซื้อของ”
เนตรอัปสรผลักเขาออกแล้วเดินแทรกออกไป เชตะวันไม่ยอมแพ้ตามไปติดๆ

เนตรอัปสรเดินเข้าไปที่ลิฟต์ที่กำลังเปิดออก แล้วเดินเข้าไปในลิฟต์ เชตะวันตามมา
“เดี๋ยวสิ”
เนตรอัปสรยกมือขึ้นกันไม่ให้เขาเข้ามาในลิฟต์ด้วย
“ผมมีเรื่องที่จะต้องคุยกับคุณอีก”
“แต่ฉันไม่มี”

เนตรอัปสรจะกดลิฟต์ปิด แต่เชตะวันขวางประตูลิฟต์ไว้

เธอนึกรู้ว่าเขาตามตื๊อไม่ยอมเลิกแน่ เลยนึกอุบาย มองไปข้างหลังเขา

“อุ๊ย...หมอก้องมาพอดี หมอช่วยด้วยค่ะ”
เชตะวันหลงกล หันไปมองข้างหลัง เนตรอัปสรฉวยจังหวะที่เขาเผลอนั้นกดปิดประตูลิฟต์ทันที เชตะวันหันกลับไปมอง เห็นประตูลิฟต์ปิดและลิฟต์เริ่มเลื่อนลงชั้นล่างแล้ว เขาเจ็บใจแต่ไม่ยอมแพ้ง่ายๆตัดสินใจวิ่งลงไปชั้นล่างทางบันได...ประตูลิฟต์เปิดออกเนตรอัปสรรีบออกมาจากลิฟต์กลัวเขาตามทันแล้วรีบออกไปนอกหอพักอย่างรีบร้อน
เนตรอัปสรรีบออกมาจากหอพัก เหลียวกลับไปมอง ก็นึกโล่งใจไปเมื่อเห็นว่า เชตะวันยังวิ่งตามเธอลงมาไม่ทัน เธอโบกมือเรียกรถแท็กซี่อย่างร้อนใจ กลัวว่าเขาจะตามมาทัน แต่ก็ไม่มีแท็กซี่ผ่านมาเลย เธอกระวนกระวายหนัก สักครู่ก็มีรถตู้คันหนึ่งแล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าเธอแล้วก็มีคนร้ายคนหนึ่งลงจากรถมาแล้วฉุดเธอจะให้ขึ้นรถ เนตรอัปสรตกใจ ดิ้นสู้สุดฤทธิ์ไม่ยอมขึ้นรถง่ายๆ คนร้ายเลยตัดสินใจต่อยเข้าที่ท้องอย่างแรง เนตรอัปสรจุกจนตัวงอลงทันที ร้องไม่ออกเลยสักคำ แล้วคนร้ายก็ฉุดเธอขึ้นรถได้สำเร็จ
เชตะวัน วิ่งตามออกมาจากหอพักทันเห็นคนร้ายฉุดเนตรอัปสรขึ้นรถตู้แล่นออกไป เชตะวันมองซ้ายมองขวาหาวิธีช่วย เขาเห็นรถเข็นขายผลไม้คันหนึ่งจอดอยู่ริมถนนก็รีบวิ่งไปที่รถเข็น แล้วจับรถเข็นนั้นเข็นสุดแรงไปขวางหน้ารถตู้ รถตู้ชนรถเข็นผลไม้ดังโครมต้องหยุดกะทันหัน เชตะวันฉวยจังหวะนั้นวิ่งที่รถตู้ เปิดประตูแล้วฉุดแขนเนตรอัปสรให้ลงจากรถ
“ลงมาเร็วคุณ”
เนตรอัปสรวิ่งลงมาจากรถ คนร้ายในรถ 2 คนหันมามองดูว่าใครมาช่วยเนตรอัปสรพอคนร้ายเห็นเชตะวันมันก็รีบสั่งเพื่อน
“เฮ้ย...ออกรถเร็ว”
คนร้ายที่เป็นคนขับรีบออกรถทันที เชตะวันมองตามรถตู้คันนั้นไปด้วยความโกรธ เนตรอัปสรเจ็บท้องที่ถูกชกจึงล้มลงไปเชตะวันประคองไว้แล้วตัดสินใจจะอุ้มเธอขึ้นแล้วกลับไปส่งที่ห้อง เนตรอัปสรรีบขัด
“ไม่ต้อง ฉันเดินเองได้”
“อย่าดื้อนักสิคุณ คุณเจ็บอยู่ ผมอุ้มไปส่งห้อง”
เชตะวันรีบรวบร่างเนตรอัปสรขึ้นอุ้มประคองไว้ทันที เธอพูดอะไรไม่ออกจึงจำยินยอมให้เขาไปส่งห้องแต่โดยดี

เชตะวันอุ้มเนตรอัปสรเข้าห้อง เขาให้เธอนั่งลงแล้วมองอย่างเป็นห่วง
“อยู่ดีๆคนพวกนั้นมาฉุดคุณได้ยังไงเนี่ย”
“ฉันก็สงสัยอยู่เนี่ย ฉันก็เป็นแค่คนธรรมดาคนนึงไม่ได้มีศัตรูกับใคร จะมาทำร้ายฉันเพื่ออะไรกัน แล้วจะมาปล้นฉันเหรอ มันคิดผิดละ ฉันต้องขอเงินพวกมันด้วยซ้ำ”
เชตะวันคิดสงสัยใครกันที่ทำแบบนี้ เขาเริ่มเป็นห่วงเนตรอัปสรเพราะผู้หญิงคนนี้มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นแปลกๆเสมอ
“ต่อไปคุณต้องระวังตัวให้มากนะไปไหนมาไหนมันอันตรายรู้ไหม แล้วนี่ยังเจ็บอยู่มั้ย”
เนตรอัปสรเอามือกุมท้อง
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ เกิดมาก็เพิ่งเคยถูกชกก็วันนี้เอง เจ็บจนร้องไม่ออกเลย ขอบคุณนะคะที่คุณช่วยฉัน ไม่อย่างนั้นฉันคงแย่...”
เชตะวันยิ้ม
“ผมดีขนาดนี้แล้วเนี่ย คุณจะไม่ใจอ่อนกลับไปบ้านผม ไปเป็นพยาบาลส่วนตัวของผมตามเดิมเหรอครับ” เชตะวันส่งสายตาอ้อนวอน เนตรอัปสรนิ่งเงียบ
“คุณคงโกรธในสิ่งที่ผมทำลงไป ผม...ขอโทษ”
เนตรอัปสรยิ่งอึ้งหนัก ไม่นึกว่าจะได้ยินคำขอโทษ จากปากของเขามาก่อน
“กลับไปเป็นพยาบาลส่วนตัวให้ผมอย่างเดิมนะ น้า เอางี้...ผมขึ้นค่าจ้างให้คุณอีกเท่านึงก็ได้”
เนตรอัปสรเสียงแข็งเลย
“มันไม่ใช่เรื่องเงินนะคุณเชต คุณอยากจะเอาเงินฟาดหัวใครก็เชิญแต่ไม่ใช่กับฉัน เข้าใจไหม”
เนตรอัปสรลุกจะไป เชตะวันรีบดึงไว้รู้สึกผิด
“ผมรู้ล่ะครับ ผมรู้แล้วผมขอโทษ และผมก็สัญญาว่าจะไม่ทำอย่างนั้นอีก ตกลงมั๊ย”
เนตรอัปสรนิ่ง ลังเล
“นะ...คุณก็รู้ว่า ถ้าผมไม่มีคนดูแลตอนนอน ถ้าโรคมันกำเริบขึ้นมา ผมก็คงจะตายไปโดยที่ไม่มีใครรู้เลย”
เชตะวันหน้าเศร้า รู้สึกท้อใจกับโรคที่ตัวเองเป็น เนตรอัปสรหน้าของเขาก็เริ่มใจอ่อน ถอนใจเครียดๆ
“ขอฉันคิดดูก่อนได้มั๊ยคะ”
เชตะวันเห็นเธอไม่ปฏิเสธแข็งขันอย่างเคยก็รู้เลยว่าเขายังมีหวัง เชตะวันยิ้ม...

เนตรอัปสรเดินออกมาส่งเชตะวันที่หน้าห้อง
“จะไม่กลับไปกับผมตอนนี้จริงๆเหรอ เกิดคืนนี้ผมหยุดหายใจไปทำไง”
“คุณยังไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอกคุณเชต ขนาดโจรคุณยังไล่ไปได้ขนาดนั่น คุณน่ะมันคนเหล็ก”
“ผมไม่ใช่หุ่นยนต์นะ ผมมีหัวใจ” เขาเดินเข้าไปหาเธอ “และหัวใจของผมตอนนี้ก็รอคุณมาดูแลอยู่ไง...คุณพยาบาล”
เนตรอัปสรอึ้งรู้สึกใจแปล๊บๆบอกไม่ถูก ตัวชาจนหน้าแดงไปหมด สับสนไปหมดจนต้องรีบกลบเกลื่อน
“ฉันรู้แล้ว”
เนตรอัปสรปิดประตูห้องไป เชตะวันยิ้ม

คนร้าย 2 คนยืนหน้าจ๋อยโดนสิทธ์ยืนชี้หน้าด่าอย่างโมโห
“อะไรกัน ฉันจ้างพวกนายไปฉุดสาวให้ฉันแค่นี้ ทำไม่ได้ ห่วยแตกจริงๆ”
“จริงๆตอนแรกก็ฉุดนังนั่นขึ้นรถมาได้แล้วนะครับ แต่มีคนเข้ามาช่วยไว้...”
คนร้ายรู้ว่าเป็นเชตะวันแต่ยังไม่บอก อึกอักอยู่ คนร้ายอีกคนเสริม
“ใช่ครับ จริงๆจะจัดการทั้งสองคนก็ได้แต่พวกเราเห็นว่าคุณสิทธิ์สั่งแค่จัดการผู้หญิง แล้วก็ไม่กล้าจัดการคนที่มาช่วยด้วย พวกเราก็เลยปล่อยไปดีกว่าครับกลัวเรื่องจะบานปลาย”
“คนที่มาช่วย มันเป็นใคร” สิทธิ์ถามเสียงเข้ม
“เออ...คุณเชตครับ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย แล้วทำไมไม่บอกแต่แรก”
สิทธิ์อึ้งไม่คิดว่าเชตะวันจะตามเนตรอัปสรไปที่ห้องพักด้วย เขารู้ได้เลยทันทีว่าเชตะวันชอบเนตรอัปสรจริงๆเข้าแล้ว
“นี่ไอ้เชตชอบนังพยาบาลนั่นจริงๆเหรอเนี่ย”

เชตะวันเดินกลับเข้ามาในบ้าน แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อพายัพเดินเข้ามาขวางหน้าไว้
“ได้ข่าวว่าแกออกฤทธิ์ ออกเดช เสียจนคุณพยาบาลคนใหม่ทนไม่ไหว ลาออกไปแล้วเหรอ นี่...นายเชต เมื่อไหร่แกจะหายนิสัยเสีย ทำร้ายจิตใจคนอื่นอยู่ตลอดเวลาอย่างนี้สักทีนะ”
“พี่ยัพอย่ามายุ่งเรื่องของผมหน่อยเลยน่า ถึงผมจะเฮงซวย แต่ผมก็ไม่เคยชั่วช้าค้ายาทำลายชาติอย่างพี่หรอก”
พายัพหน้าตึงขึ้นมาทันที
“ไอ้เชต”
เชตะวันยืนยืดอกอย่างท้าทาย ไม่กลัวพายัพเลย
“พี่จะทำไมผม หึ...ชีวิตผม...มันอาจจะไม่ยืนยาวก็เพราะโรคที่ผมเป็นอยู่ แต่ผมก็เชื่อว่า...ชีวิตพี่ก็ไม่น่าจะยืนยาวเหมือนกัน เพราะค้ายามีโทษถึงประหารชีวิตเชียวนะครับ”
พายัพโมโหพุ่งเข้าไปชกเชตะวันทันที แต่จู่ๆผีเฟื่องก็พุ่งเข้ามาผลักหลังพายัพ ทำให้เขาหน้าคว่ำ ชกเชตะวันพลาดแล้วยังหน้าทิ่มล้มไปเองอีก เชตะวันมองอย่างงงๆ ไม่รู้ว่าพายัพล้มไปเพราะผีเฟื่องทำ คิดว่าพลาดเอง เชตะวันหัวเราะเยาะแล้วเดินออกไป พายัพยิ่งเจ็บใจที่โดนหัวเราะเยาะ เขาเตะถีบโต๊ะเก้าอี้แถวนั้นระบายอารมณ์ กัดฟันพูดคนเดียวด้วยความเคียดแค้น
“ฮึ่ย...ไอ้เชตนะไอ้เชต ถึงมึงจะเกิดมาเป็นน้องกู แต่มึงก็จวนจะได้ไปเกิดใหม่เต็มทีแล้วโว๊ย”
พายัพเคียดแค้นชิงชังเชตะวันเป็นอย่างมาก แล้วผีเฟื่องก็พุ่งเข้ามาพูดใส่หน้าพายัพอย่างเกลียดชังเขาไม่แพ้กันแต่พายัพก็ไม่รู้ตัว
“ไอ้พัน มึงนี่เลวมาตั้งแต่ชาติที่แล้ว มาจนถึงชาตินี้เลยนะ กูไม่มีวันยอมให้มึงแตะต้องชุนเป็นอันขาด วันไหนมึงแตะต้องผัวกู วันนั้นมึงกับกูเป็นได้เห็นดีกัน”

เชตะวันเดินเข้ามาในห้องเนตรอัปสร มองไปรอบๆห้อง คิดถึงหญิงสาวจับใจ เขาเห็นอะไรบางอย่างที่โต๊ะแต่งตัวเดินไปหยิบขึ้นมาดู เป็นของแต่งตัวกระจุกกระจิกที่เนตรอัปสรลืมทิ้งไว้ เชตะวันมองแล้วยิ้มเมื่อคิดถึงข้าวของ ผีเฟื่องมายืนดูการกระทำของเขาอยู่ เธอทั้งโกรธทั้งเสียใจ
“ข้าจะต้องทำอย่างไรนะ เจ้าถึงจะจำเรื่องราวของเราในครั้งเก่าก่อนได้ ข้าจะต้องทำอย่างไรนะ เจ้าถึงจะจำความรักของเราได้ ข้าอยากให้เจ้ากลับมาหาข้าเหลือเกิน...ชุน”

ผีเฟื่องร้องไห้
 

นางมาร ตอนที่ 18 (ต่อ)

ค่ำนั้น...ปารมี ทิพย์ หมอก้อง นั่งล้อมมองหน้าเนตรอัปสรอยู่ ทั้งสามตกใจไปตามๆกันเมื่อได้ยินสิ่งที่เนตรอัปสรบอก

“คุณเชตมาที่นี่” ปารมีถามอย่างตระหนก
เนตรอัปสรพยักหน้า หมอก้องถามอย่างร้อนรน
“แล้วเขาทำอะไรนะโมรึเปล่า”
ปารมีเหลือบตามองหมอก้อง นึกรู้ว่าเขาก็เอาแต่ห่วงเนตรอัปสรอยู่คนเดียวเลยแอบน้อยใจ แต่ก็สะกดอารมณ์เก็บไว้ เนตรอัปสรส่ายหน้า
“เปล่าค่ะหมอ เขามาช่วยเนตรเสียด้วยซ้ำ”
หมอก้องชะงัก
“ช่วย”
เนตรอัปสรนิ่งไป แล้วตัดสินใจไม่เล่าเรื่องที่ถูกคนฉุดดีกว่า เพราะกลัวเพื่อนๆเป็นห่วงเลยกลบเกลื่อนไป
“ช่วยเนตรซื้อของเข้าบ้านน่ะค่ะ”
ทิพย์สงสัย
“แล้วเขามาทำไมน่ะ นะโม”
“เขามาขอให้ฉันกลับไปทำงานอีกน่ะ”
หมอก้องมองหน้า
“นะโมคงจะไม่คิดกลับไปทำงานกับคนบ้า เอาแต่ใจตัว คนนั้นอีกนะ”
เนตรอัปสรเงียบ หมอก้องเริ่มใจไม่ดี หวงและห่วงเธอมาก ปารมีจ้องหน้าเพื่อน
“อย่าบอกนะว่า...นะโมคิดจะกลับไปทำงานให้คุณ เชตะวันอีกน่ะ”
เนตรอัปสรถอนใจกลุ้มๆ
“ฉันยังไม่ได้ตกปากรับคำเขาหรอก ฉันบอกเขาว่า ขอเวลาคิดดูก่อน”
หมอก้องรีบขัด
“ไม่เห็นต้องคิดเลยนะโม ปฏิเสธไปเลย หางานใหม่เถอะ หมอจะช่วยหาเอง”
“แต่งานใหม่ที่ไหน ก็คงจะไม่รายได้ดีเท่าที่เขาให้เนตรอีกแล้วล่ะค่ะหมอ เนตรเป็นคนจน คนจน...ไม่มีทางให้เลือกมากนักหรอกค่ะ จริงไหม”
เพื่อนทั้งสามมองเนตรอัปสรอย่างเครียดๆและเซ็งไปตามๆกัน ส่วนเนตรอัปสรเองแค่ใช้เงินเป็นเพียงข้ออ้าง จริงๆแล้วเธอเริ่มมีความรู้สึกที่ดีกับเชตะวันเข้าให้แล้ว

เชตะวัน ล้มตัวลงนอน เอาเครื่องช่วยหายใจครอบลงหน้าตัวเอง แล้วปิดไฟ...อนงค์กับบวรยืนมุมหนึ่งมองดูไฟห้องนอนเชตะวันปิดลง
“น้าว่ามะ หลังๆมานี่คุณเชตเปลี่ยนไปเยอะเลยเนอะ ไม่ออกเที่ยวดึกๆดื่นๆ ไม่จัดปาร์ตี้กะสาวๆในบ้าน เข้านอนแต่หัวค่ำ ดูผีเข้าผีออกเนอะ”
บวรพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แล้วอนงค์ก็นึกอะไรได้ เหลียวมองรอบๆตัวอย่างหวาดกลัว แล้วยกพระที่กลัดไว้ที่เสื้อตลอดเวลาขึ้นมาจบไหว้
“พูดถึงผีแล้ว...น้าว่า...ผีมันยังอยู่ในบ้านเรามั้ย”
บวรนิ่งเงียบไปหน้าเครียด อนงค์หันไปมองหน้านึกรู้ทันที
“ยังอยู่เรอะน้า”
บวรพยักหน้าแล้วหันไปเห็นมีเหมือนควันเย็นค่อยๆปล่อยออกมาจากประตูห้องเชตะวัน บวรสะกิดให้อนงค์ดู อนงค์ตกใจ ควันเย็นค่อยๆมากขึ้นเรื่อยๆ จนสองคนกอดกันตัวสั่น
“น้าจ๋า ฉันเชื่อแล้วว่าผียังอยู่ นี่เรากำลังถูกผีหลอกกันใช่ไหมจ๊ะ”
บวรพยักหน้า อนงค์เบ้ปากจะร้องไห้
“งั้นตัวใครตัวมันนะน้า อ๊าย”
อนงค์รีบวิ่งเตลิดออกไปเลย มีแต่บวรยืนสั่นงึกงักอยู่คนเดียวมองดูควันเย็นที่พุ่งออกมาจากขาวเป็นดำแล้วกลายเป็นผีเฟื่องยืนจ้องหน้าอยู่ บวรยืนตาค้างสั่นกลัวเห็นผีเฟื่องอีกแล้ว รีบแจ่นวิ่งหนีลนลานออกไปเลย ผีเฟื่องยืนมอง...
กลางดึก...เชตะวันนอนหลับสนิทโดยมีผีเฟื่องนอนกอดอยู่อย่างมีความสุข โดยที่เขาไม่รู้เรื่องเลย

แซลลี่ด่าสิทธิ์อยู่ในผับแห่งหนึ่ง
“โธ่...ฉันก็นึกว่านายจะแน่ ที่แท้ก็แค่ราคาคุย กะอีแค่ส่งคนไปฉุดผู้หญิงโง่ๆคนเดียว แค่นี้ก็ทำไม่สำเร็จ แล้วจะไปทำอะไรได้”
แชลลี่เอาเหล้าในแก้วสาดใส่หน้าสิทธิ์แล้วเดินออกไป สิทธิ์เจ็บใจมาก วิ่งตามไป...แซลลี่เดินออกมาที่ลานจอดรถ เปิดประตูรถค้างอยู่สิทธิ์วิ่งเข้ามาฉุดแขนไว้
“แล้วคุณเก่งนักเรอะ แซลลี่ ผมก็เห็นคุณวิ่งไล่ตามจับไอ้เชตมันอยู่ตั้งนานแล้ว ขนาดลงทุนไปนอนแบให้มันเปล่า มันก็ยังไม่เอา คุณมันก็ไม่มีน้ำยาเหมือนกันนั่นแหละ”
แซลลี่โกรธปรี๊ด หันมาตบผั๊วะ สิทธิ์โมโห คว้าตัวเธอมาปล้ำจูบอย่างรุนแรง แซลลี่ดิ้นสู้สุดฤทธิ์
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
แต่สิทธิ์หน้ามืดไปแล้ว เปิดประตูหลังรถของแซลลี่ แล้วผลักเธอล้มลงนอนที่เบาะหลังก่อนจะโถมตัวลงทับ แซลลี่ดิ้นสู้ไม่ยอม ทันใดนั้น...ชายคนหนึ่งกระชากบ่าสิทธิ์แล้วชกหน้าเขาเปรี้ยง สิทธิ์หน้าคว่ำไปเลยยิ่งโมโห
“เฮ้ย มึงเป็นใครวะ เสือกเข้ามายุ่งเรื่องของผัวเมีย”
“อย่าไปเชื่อค่ะ ฉันไม่ใช่เมียมัน” แซลลี่วิ่งเข้าไปหลบหลังชายคนนั้น “ช่วยฉันด้วยค่ะ ช่วยฉันด้วย”
“อ้าว...ยังงี้ก็สวยสิ”
ชายคนนั้นพุ่งเข้าใส่ สิทธิ์เบี่ยงตัวหลบแล้วถีบหน้าคว่ำไป แต่พอชายคนนั้นหันกลับมาอีกที ก็ถือปืนเล็งมา สิทธิ์ตกใจพุ่งเข้าแย่งปืนอย่างรวดเร็ว ทั้งสองปล้ำสู้แย่งปืนกันชุลมุน แล้วทันใดนั้นก็มีเสียงปืนลั่นขึ้นหนึ่งนัด ทั้งสิทธิ์และชายสะดุ้งเฮือกขึ้นพร้อมกัน แล้วผงะออกจากกัน เลือดแดงฉานซึมเปื้อนออกจากอกชายคนนั้นอย่างรวดเร็วเขาตาเหลือกลานด้วยความเจ็บ แซลลี่กรี๊ดลั่น แล้วมีผู้ชายอีกสองคนวิ่งเข้ามาประคองชายที่ถูกยิงทันที ชายคนหนึ่งหันมาชี้หน้าสิทธิ์
“มึงรู้รึเปล่าว่ามึงทำใคร”
สิทธิ์เริ่มรู้สึกตัวว่าทำเรื่องราวบานปลายไปใหญ่แล้ว เริ่มหน้าเสีย ชายคนหนึ่งไม่สน วิ่งกลับไปคว้าปืนในมือแล้วหันมายิงใส่สิทธิ์ทันที แต่สิทธิ์ไหวตัวทันก่อน ออกวิ่งหนีไม่คิดชีวิต โดยมีชายคนนั้นไล่ยิงตามหลังมาไม่ยั้ง ทันใดนั้นก็มีรถคันหนึ่งพุ่งเข้ามาดักหน้าสิทธิ์ไว้ แล้วประตูรถก็เปิดผ่างออก สิทธิ์ตกใจ แต่พอก้มลงมองหน้าคนขับก็ใจชื้นขึ้น
“พี่พายัพ”
“ขึ้นรถเร็ว”
ไม่ต้องรอฟังคำสั่งเป็นครั้งที่ 2 สิทธิ์ก็ขึ้นรถอย่างรีบร้อน แล้วรถพายัพก็แล่นออกจากที่นั้นไปอย่างรวดเร็ว

รถพายัพจอดพักรถอยู่ที่ริมข้างทาง
“โชคดีจริงๆที่พี่พายัพมาช่วยผมเอาไว้ได้ทันเวลาพอดีว่าแต่...พี่ไปแถวผับนั่นทำไมครับ”
“ผับนั่นพี่มีหุ้นอยู่ แต่ตอนนี้พี่ว่าแกไปมีเรื่องกับลูกท่าน เห็นทีจะลำบากซะแล้วล่ะ”
สิทธิ์หน้าเสีย
“ลูกท่าน แล้วนี่ผมควรจะทำยังไงดีครับพี่พายัพ เกิดมันตายไปเรื่องใหญ่แน่”
พายัพนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง
“เอายังงี้ พี่ว่าช่วงนี้แกไปกบดานอยู่ที่รีสอร์ตพี่ก่อน แล้วเดี๋ยวเรื่องทางนี้ พี่จะค่อยๆพยายามเคลียร์ให้แกเอง”
สิทธิ์ยกมือไหว้
“ขอบคุณมากครับพี่พายัพ ผมจะไม่ลืมบุญคุณของพี่ครั้งนี้เลย”
พายัพพยักหน้ารับ ยิ้มในหน้า มั่นใจว่าเขาจะได้คนมาช่วยกำจัดเชตะวันอีกแรงอย่างแน่นอน

เช้าวันใหม่...ปารมีกับทิพย์ออกมาจากในห้องพบอาหารเช้า 2 ที่จัดวางเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว ทิพย์พุ่งเข้าไปกินทันทีอย่างเอร็ดอร่อย
“อร่อยอย่างนี้ ฝีมือยายนะโมแน่ อิอิ ยายนะโมนี่ ทำกับข้าวเก่งไม่แพ้หมอก้องเลย...นี่ถ้าเขาสองคนเป็นแฟนกัน วันๆคงทำกับข้าวกันเพลินไปเลยนิ”
พูดแล้วทิพย์ก็รู้สึกตัวว่าไม่สมควรพูด เลยเอามือตบปากตัวเองเบาๆ ปารมีถอนใจ
“ช่างเถอะทิพย์ เรื่องของหัวใจ ไม่มีใครบังคับใจใครได้หรอก”
ทิพย์หน้าจ๋อย เนตรอัปสรเดินเข้ามา พอเห็นเพื่อนทั้งสองกำลังกินข้าวเช้าที่เธอทำเตรียมไว้ให้ก็ยิ้มพอใจ ปารมีหันไปถาม
“ทำไมตื่นแต่เช้าลุกขึ้นมาทำกับข้าวยังงี้ล่ะนะโม”
เนตรอัปสรหน้าเจื่อนลง
“คือ...ฉันนอนไม่หลับน่ะปาน”
“ตัดสินใจเรื่องคุณเชตไม่ตกล่ะสิ”
เนตรอัปสรพยักหน้า
“มันบอกไม่ถูกน่ะปาน ถึงแม้ว่าหลายครั้ง เขาจะทำให้ฉันโกรธเสียจนไม่อยากจะมองหน้าเลย แต่สักพัก ฉันก็โกรธเขาไม่ลง บางที...รู้สึกสงสารเขาซะด้วย ซ้ำไป”
ทิพย์หันมามองหน้าเพื่อน
“เริ่มใจอ่อนแล้วสิ อาการยังงี้อ่ะนะ เผลอๆ เธอกับเขาอาจจะเคยเป็นคู่เวรคู่กรรมกันมาก่อนตั้งแต่เมื่อชาติที่แล้วก็ได้นะเธอ มันถึงตัดกันไม่ขาดอย่างนี้น่ะ”

เนตรอัปสรหน้าเหวอ ปารมีนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็โพล่งขึ้น

เนตรอัปสรหน้าเหวอ ปารมีนิ่งคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่งก็โพล่งขึ้น

“นะโม ไปหาคุณแม่สรวงกับฉันเถอะ บางที...เรื่องบ้าๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเธอในเวลานี้ คุณแม่สรวงอาจจะบอกได้ว่ามันเกิดขึ้นเพราะอะไรกันแน่ ไป”


ในสถานปฏิบัติธรรม...คุณสรวงมองเนตรอัปสรอย่างพิจารณาครุ่นคิด ปารมีกับทิพย์นั่งอยู่ด้วย
“ใช่...ทุกเรื่องที่เกิดขึ้นกับหนูในเวลานี้ มันเกิดขึ้นเพราะกรรมเก่าที่เคยทำร่วมกันมากับพวกเขา เมื่อชาติที่แล้ว มันจึงต้องกลับมาพัวพันกันอยู่ในชาตินี้อีก”
“หนูกับคุณเชตเคยรู้จักกันมาตั้งแต่ชาติที่แล้วหรือคะ แม่สรวง”
คุณสรวงพยักหน้า
“แล้วชาติที่แล้ว คุณเชตเคยทำเวรทำกรรมอะไรมาหรือคะ ชาตินี้เขาถึงได้เป็นโรคประหลาดอย่างนี้คะ”
“เขาทำกรรม...ที่ก่อให้เกิดเป็นบ่วงผูกพันกับผู้หญิง 2 คน มาเมื่อครั้งอดีตชาติที่ผ่านมา ดังนั้นชาตินี้เมื่อเขาหลับใหล ดวงจิตที่ล่องลอยกลับไปไปสิ่งที่เขาเคยผูกพัน วันใดที่เขาปะเหมาะเคราะห์ร้าย จิตของเขาที่ล่องลอยออกจากร่างไปยามหลับ ก็ไม่กลับเข้าร่างอีกและวันนั้น...ก็คือวันตายของเขานั่นเอง”
“แล้วเนตรเป็นผู้หญิง 1 ใน 2 คนนั้นหรือเปล่าคะ”
สรวงนิ่ง ไม่ตอบ เนตรอัปสรเลยเปลี่ยนคำถาม
“แล้วโรคเวรโรคกรรมที่เขาเป็นอยู่ ไม่มีทางแก้ไขเลยหรือคะคุณแม่”
“โรคกรรม ต้องแก้ด้วยกรรม วิธีแก้เฉพาะหน้าทำได้แต่เพียงว่าต้องให้มีคนอยู่กับเขาทุกครั้งที่เขาหลับ เพื่อคอยดึงดวงจิตของเขาให้กลับคืนร่างทุกวัน ที่เหลือ..ต้องให้เจ้าตัวเขาทำบุญทำกุศลแก่ตัว โรคที่เป็นจึงทุเลาลงได้...”
เนตรอัปสรครุ่นคิดหนักใจ...

ในร้านเบเกอรี่...ปารมีกับทิพย์นั่งมองหน้าเนตรอัปสรแล้วพากันถอนใจกลุ้ม ปารมีกังวลใจ
“ยังไงๆ ฉันก็ไม่อยากให้นะโมกลับไปทำงานกับคุณเชตอีกเลยนะ”
ทิพย์เห็นด้วย
“นั่นสิ ฉันว่า...เขาเป็นตัวอันตรายสำหรับเธอนะ นะโม”
แต่เนตรอัปสรแย้งขึ้น
“แต่ถ้าฉันเป็นคนที่มีเวรกรรมผูกพันมากับเขา ฉันก็อยากจะแก้กรรมนั้น อยากจะช่วยให้เขาหลุดจากทุกข์ที่เขามีอยู่ จะได้หมดเวรหมดกรรมต่อกันในชาตินี้สักที”
ปารมีกับทิพย์นิ่งเงียบไป ทำอะไรไม่ได้ หมอก้องเดินเข้ามา แย้งทันที...
“แต่หมอจะไม่ยอมให้นะโมกลับไปที่บ้านนั้นอีก”
ทุกคนหน้าเหวอ ทิพย์รีบพูดดักคอ
“แล้วหมอเป็นอะไรกับยายนะโมหรือคะ ถึงจะมาคัดค้านการตัดสินใจของยายนะโมอย่างนี้”
หมอก้องหน้าเสีย อึ้งเงียบไปเลย

ค่ำนั้น เชตะวันกำลังพูดโทรศัพท์กับเนตรอัปสรอย่างดีใจมาก
“คุณตกลงจะกลับมาดูแลผม งั้นคุณรอผมเดี๋ยวนะ ผมจะไปรับคุณที่หอพักเอง”
เชตะวันก็กดวางสายแล้วเดินยิ้มออกไปทันที โดยเดินผ่านผีเฟื่องไปอย่างไม่รู้ตัว ผีเฟื่องมองตาม แล้วตัดสินใจตามเขาไปติดๆ เชตะวันกำลังเดินไปขึ้นรถด้วยท่าทางมีความสุขมาก พายัพแอบมองดูอยู่
“ยิ้มมีความสุขไปเถอะไอ้เชต กำลังมีความสุขอย่างนี้ มึงไม่ทันระวังตัวหรอก” ว่าแล้วพายัพก็กดโทรศัพท์ออก “ไอ้พงษ์ เริ่มงานมึงได้”
พายัพ ยิ้มเหี้ยม

เชตะวันขับรถออกจากบ้าน บวรเป็นคนเปิดปิดประตูบ้านให้มองไปในรถ เห็นผีเฟื่องนั่งไปในรถด้วยโดยที่เชตะวันไม่รู้ตัว บวรตกใจ พยายามจะเตือนเชตะวัน แต่ผีเฟื่องหันขวับมาจ้องหน้าบวรอย่างเอาเรื่องตาแดงวาววาบขึ้นมาทันที บวรจึงได้แต่อึกอักๆอยู่อย่างนั้นจนเชตะวันขับรถออกไป

ปารมียกสร้อยพระที่เนตรอัปสรใส่อยู่ที่คอขึ้นดูอีกครั้ง
“อย่าลืมนะ นะโม อย่าถอดสร้อยเส้นนี้ออกจากคอเด็ดขาด”
“รู้ล่ะน่า”
หมอก้องท่าทางหงุดหงิดมาก
“หมอไปส่งนะโมที่บ้านไอ้หมอนั่นเองก็ได้ ทำไมต้องให้เขามารับด้วย”
“เนตรไม่ได้ให้เขามารับ แต่เขาอาสามาเองค่ะหมอ”
“ไม่รู้ละ นะโมก็ปฏิเสธไปก็ได้นี่”
ทิพย์ตัดบท
“เอาเถอะค่ะ...หมอ ใครจะมารับ ใครจะไปส่ง ผลสุดท้ายก็คือยายนะโมของเราก็จะกลับไปทำงานในบ้านผีสิงนั่นอยู่ดีล่ะค่ะ”
ทุกคนถอนใจกลุ้ม ปารมีมองเพื่อนอย่างเป็นห่วง
“นะโม รับปากกับฉันนะ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลกลับมาเถอะนะ อย่าทนเลย บางที...เราก็ไม่อาจฝืนชะตากรรมได้หรอก”
“อย่าห่วงเลยปาน ฉันสัญญาว่าจะดูแลตัวเองอย่างดีที่สุดจ้ะ”
เพื่อนสาวทั้งสองกอดเนตรอัปสร เชตะวันขับรถยิ้มร่าเข้ามา หมอก้องทำหน้าหน่ายอย่างไม่ปิดบัง เชตะวันลงมารับกระเป๋าจากเนตรอัปสร หมอก้องเข้าไปยืนประชิดตัวเชตะวันอย่างท้าทาย
“ถ้าคุณแตะต้องนะโมแม้แต่ปลายเล็บ ผมเอาเรื่องคุณแน่”
เชตะวันไม่ตอบ แต่ทำหน้าเย้ย หมอก้องเจ็บใจ เชตะวันพาเนตรอัปสรขึ้นรถไป ผีเฟื่องที่นั่งอยู่ในรถ พอเนตรอัปสรก้าวขึ้นรถ แสงจากพระที่เนตรอัปสรคล้องคออยู่ก็วาบขึ้น ผีเฟื่องยกมือขึ้นปิดหน้ากรีดร้องอย่างหวาดกลัว แล้วก็หายตัวไปทันที

ผีเฟื่องพุ่งกลับมาที่ห้องเชตะวันพลางกรีดร้องอย่างคั่งแค้นใจ
“อีนวล มึงจะกลับมาที่นี่อีกทำไม กูเกลียดมึง อีนวล กูเกลียดมึง”
ผีเฟื่องกรีดร้องอีก...อนงค์กับบวรอยู่หลังบ้าน อนงค์โดดกอดคอบวรตัวสั่นงันงก
“น้า...ได้ยินเสียงไรมั๊ยนั่น เสียงผีแน่ๆ ฮือๆ”
บวรมองไปรอบๆ กลุ้มใจสุดๆเพราะทำอะไรไม่ได้เลย

เชตะวันขับรถมาโดยมีเนตรอัปสรนั่งข้างๆ
“ก่อนจะเข้าบ้าน คุณอยากแวะซื้ออะไรก่อนมั๊ย”
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ”
เชตะวันพยักหน้ารับ แล้วก็ขับรถต่อไป ผ่านมอเตอร์ไซค์คันหนึ่งที่จอดดักรออยู่ พอคนขับมอเตอร์เห็นรถเชตะวันขับผ่านหน้าไปก็สตาร์ทรถแล้วตาม
เชตะวันขับรถมาจวนจะถึงหน้าบ้านอยู่แล้ว มอเตอร์ไซค์ที่แล่นตามหลังมาก็เร่งเครื่องขึ้นมาใกล้และทันทีที่รถเชตะวันจอดที่หน้าประตูบ้าน เพื่อรอประตูบ้านเปิด มอเตอร์ไซค์คันนั้นก็พุ่งเข้ามาเทียบ เชตะวันมัวแต่มองหน้าเนตรอัปสรอย่างปลาบปลื้มดีใจที่เขาสามารถพาเธอกลับมาที่บ้านนี้ได้อีกครั้ง เนตรอัปสรมองข้ามไหล่เขาไปเห็นคนร้ายยกปืนขึ้นเล็งตรงมาที่เชตะวัน
“คุณเชต ระวัง” เนตรอัปสรตะโกนสุดเสียง
เชตะวันหันขวับไปมองข้างหลังทันที เป็นจังหวะเดียวกับที่คนร้ายเหนี่ยวไก กระสุนเฉี่ยวถากซอกคอเขาไป เลือดซึมขึ้นที่ข้างทันที เชตะวันร้องโอ๊ยเอามือกุมคอ คนร้ายเห็นเชตะวันไม่เป็นไรเพราะกระสุนไม่โดนจุดสำคัญ ก็ลงจากมอเตอร์ไซค์ แล้วเดินตรงมาหมายจะเข้ามายิงซ้ำ เชตะวัน เห็นภัยจวนตัว เขากลับห่วงเนตรอัปสรมากกว่าตัวเองรีบผลักไสเธอให้ลงจากรถ
“คุณ หนีไป”
เนตรอัปสรละล้าละลังกลัวก็กลัว แต่ก็ห่วงเขาด้วย เชตะวันผลักไสอีก
“ไปสิ”
คนร้ายเดินถือปืนเล็งใกล้เข้ามาเต็มที เนตรอัปสรเห็นเลือดที่ซอกคอเชตะวันไหลมากขึ้นเธอตัดสินใจไม่ยอมหนี แต่เอื้อมมือไปกดแตรรถไม่ยอมปล่อย เสียงแตรดังลั่นสนั่นไปทั่วบริเวณทันที

ผีเฟื่องที่กลับมารอเชตะวันอยู่ที่บ้านตาเบิกโพลงขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเสียงแตรรถที่หน้าบ้าน ผีเฟื่องพุ่งร่างไปที่หน้าบ้านอย่างรวดเร็ว...เนตรอัปสรยังคงกดแตรรถไม่ยอมปล่อย คนร้ายเห็นท่าไม่ดีเปลี่ยนใจเลิกยิงเชตะวันซ้ำรีบวิ่งกลับไปที่รถ แล้วขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปผีเฟื่องพุ่งตามไปติดๆ

พงษ์คือคนร้ายคนนั้น เขาขี่มอเตอร์ไซค์หนีมา แล้วเหลียวหลังไปดูว่ามีใครตามเขามาหรือไม่ แต่พอเหลียวหน้ากลับมาก็เห็นผีเฟื่องพุ่งออกมาจากข้างทาง มายืนดักหน้าไว้อย่างกะทันหัน พงษ์ตกใจสุดขีด หักรถมอเตอร์ไซค์พุ่งหลบโดยสัญชาตญาณจนรถเสียหลักพุ่งตกถนนไป

เนตรอัปสรพอเห็นว่าคนร้ายขี่มอเตอร์ไซค์ไปแล้ว ประกอบกับว่าพายัพ อาทิตย์ บวร อนงค์ วิ่งออกมาที่หน้าบ้าน เนตรอัปสรก็หยุดบีบแตรรถ แล้วหันไปดูอาการเชตะวัน
“คุณเชตเป็นยังไงบ้างคะ”
พวกพายัพวิ่งถึงที่รถพอดี พอเห็นสภาพเชตะวันก็แอบยิ้มพอใจ
“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
อาทิตย์ตกใจเพราะไม่รู้เรื่องที่พายัพสั่งคนมาเก็บเชตะวัน
“มีคนร้ายมาดักยิงคุณเชตค่ะ”
พายัพรีบวิ่งเข้ามาสมทบทำทีเป็นห่วงเชตะวัน
“อย่าเพิ่งพูดอะไรเลย รีบพานายเชตไปโรงพยาบาลกันก่อน เถอะครับพ่อ”
ทุกคนช่วยกันพยุง เชตะวันเจ็บจนลืมตาไม่ขึ้น สายตาของเขาเห็นหน้าเนตรอัปสรที่ก้มลงมองมาอย่างห่วงใย
 
เป็นภาพสุดท้ายก่อนที่เขาจะหมดสติไป
 
โปรดอ่านต่อตอนที่ 19
กำลังโหลดความคิดเห็น