แค้นเสน่หา ตอนที่ 8
ไม่นานต่อมา ศักดินากับยอดช่วยกันประคองร่างพจน์ลงมาจากชั้นบนอย่างเร็วรี่ จริมาตามลงมาด้วย คุณหญิงเพ็งร้องไห้นัยน์ตาแดงช้ำ แต่สีหน้าได้ปรับจนนิ่งสนิท
“ตัวเล็ก อยู่กับคุณย่า ริมากับน้าจันทร์จะไปโรงพยาบาล” จริมาสั่ง
“ไม่ รุ้งไปด้วย ป้าละเมียดดูคุณย่าด้วยนะคะ”
“ได้ ย่าอยู่ได้ พรุ่งนี้ย่าถึงจะไปโรงพยาบาล....ตอนนี้ย่าไปไม่ไหว” เสียงคุณหญิงเพ็งพยายามข่ม
อารมณ์อย่างหนัก “ริมา” หญิงชราสวมกอดหลานกระซิบบอก “ดูแลพ่อเขาให้ดี... นะลูก”
จริมานิ่งกับอกคุณย่า
รุ้งมองย่าหลานนิ่งๆ ตัวเองเศร้าหน้าสลดลง หันไปพูดกับชายเดียว
“คุณชายคะ คุณชายกลับวังก่อนนะคะ รุ้งขอร้อง”
“ให้ผมไปด้วยเถอะ เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง” ชายเดียวเป็นห่วง
“คุณชาย พูดไม่รู้เรื่องเหรอ นี่มันเรื่องในครอบครัวจะไปเกะกะทำไม” จริมาเอ็ดเอา
“ขอโทษ” ชายเดียวหน้าเสียมาก “ผมแค่...เป็นห่วง”
“มีเวลาเป็นห่วงอีกเยอะ เก็บไว้ก่อนเถอะ” จริมาไปที่รถเร็วรี่ “ตัวเล็กเร็ว”
รุ้งตามไป ศักดินายืนมองตามสีหน้าไม่ดีเอาเลย
ไม่นานต่อมาชายเดียวเดินหน้าเศร้า เข้ามาในวังรังสิยา
ผ่องเดินเข้ามาเร็วรี่ “คุณชายคะ เร็วค่ะ ท่านหญิงประชวร”
ศักดินากระโจนตามผ่องไป
ศักดินาเดินเข้าห้องบรรทมท่านหญิงแขไขอย่างรวดเร็ว ผีนางเฟืองที่กำลังก้มดูท่านหญิง เหลียวดูพร้อมกับที่ร่างเลือนหายอย่างเร็ว ผ่องทันได้เห็น ตกใจมาก
ชายเดียวก็เห็น “เอ๊ะ ผ่อง”
“คะ คุณชาย”
“เห็นเหมือนที่ฉันเห็นมั้ย”
ผ่องตอบทันควัน “ไม่เห็นค่ะคุณชายอะไรคะ”
“บอกไม่ถูก....ฉันคงตาฝาด” ชายเดียวเดินเข้าไปไวๆ “ท่านแม่...ท่านแม่...เป็นยังไงบ้างคะ”
“ชายไปไหน หายไปตั้งแต่บ่าย”
“ชายไปบ้านพี่ฉัตต์ค่ะ จะไปเอาที่อยู่พี่ฉัตต์ที่เมืองนอก เผื่อจะเขียนจดหมาย”
ท่านหญิงหน้าตึงขึ้นมา “ทำไมชอบไปบ้านนั้นนักนะชาย”
“ก็....ชาย”
ท่านหญิงขัดขึ้น “เพื่อนก็ไปเมืองนอกแล้ว ยังจะเทียวไล้เทียวขื่ออยู่นั่นแล้ว ชอบเด็กผู้หญิงคนไหนล่ะ”
“ท่านแม่ ทำไมรับสั่งอย่างนี้ล่ะคะ สองคนนั่นเป็นเพื่อนนะคะ”
“หรือว่าติดใจ...แม่ของเด็กนั่น”
ศักดินางงงวย “ท่านแม่ทรงหมายความว่ายังไงหรือคะ”
ท่านหญิงพาลแล้ว “ทำไม เขาทำอาหารอร่อย ทำขนมที่ชายชอบ หรือว่าเขาเอาอกเอาใจปรนนิบัติชาย
ชายเดียวยิ่งงงไปกันใหญ่ มองท่านแม่ด้วยสายตาพิศวง งงงวย
“ทำไมไม่ตอบแม่”
“ชาย...เอ้อ ตอบไม่ถูกค่ะท่านแม่ ยังไม่เข้าใจ”
ท่านหญิงนิ่งอึ้งไป เริ่มรู้สึกตัวว่าพาลพาโลลูกชาย
“ถ้าท่านแม่ไม่อยากให้ชายไป ต่อไปนี้ชายจะไม่ไปอีก”
ท่านหญิงพลิกตัว โบกมือให้ชายเดียวออกไป
“ท่านแม่”
“แม่ขอโทษที่พูดไม่ดีกับชาย เพราะแม่รู้สึกไม่สบายเลย ขอแม่อยู่คนเดียวนะชาย”
ชายเดียวก้าวออกมา ปิดประตูลง ท่านหญิงบอก
“ผ่องออกไปด้วย ไม่ต้องอยู่ ฉันอยากอยู่คนเดียว”
ผ่องเปิดประตูออกมา
พอสองคนลับตัวไป ท่านหญิงน้ำตาเต็มตา สะอื้นแผ่วๆ
“ชายเดียวติดบ้านนั้นจริงจัง ไม่รู้เพราะอะไร เพื่อนก็ไม่อยู่แล้วยังไปแล้วไปเล่า ไม่รู้ว่าชอบเด็กผู้หญิงนั้นคนไหน หรือว่า...”
ท่านหญิงนอนอยู่บนเตียง นางเฟืองกลับเข้ามาหมอบก้มหน้าต่ำอยู่หน้าเตียง
“หรือว่า...” ท่านหญิงลุกพรวด “แม่ลูกกันใช่มั้ยเฟือง เขาดึงดูดกันเพราะเขาเป็นแม่ลูกกันกันใชมั้ย” ท่านหญิงถอนสะอื้น
“หม่อมฉันทูลแล้วว่าเขาไม่ใช่...เขาตายไปแล้ว หม่อมฉันให้ไอ้ยอดมันเอาศพเขาไปโยนทิ้งกลางแม่น้ำ ตัวมันก็ตายด้วยเพราะหม่อมฉันเจาะเรือมัน มันไม่รอด ทั้งนายทั้งบ่าว ต่อไปนี้อย่าทรงวิตกเรื่องนี้อีก เพราะจะประชวร ประชวรไปมันยุ่งยากไม่มีใครดูแลเหมือนตอนที่หม่อมฉันยังไม่ตาย”
ผีนางเฟืองบอกเสียงแข็ง
ชายเดียวยืนเงี่ยหูฟังอยู่หน้าห้อง มีผ่องอยู่ด้วย
“ท่านแม่รับสั่งกับใครหรือผ่อง” ชายเดียวกระซิบถาม
ผ่องไม่มีพิรุธสักนิด “ไม่ได้ยินเลยค่ะคุณชาย”
ชายเดียวเหล่ผ่อง เริ่มสงสัย “ผ่องไม่ได้ยินเลยหรือ”
“ไม่ได้ยินเลยค่ะ”
“ผ่อง” ชายเดียวเสียงเครียด “หูหนวกเหรอ” พลางคว้าข้อมือผ่อง “มาฟังใกล้ๆ ฟังให้ดีๆ”
ผ่องเข้ามาอย่างอกสั่นขวัญแขวน ชายเดียวมายืนหูแนบประตูฟัง ผ่องมายืนด้วย
ฝ่ายท่านหญิงมองหน้าผีนางข้าหลวงคนสนิท สายตาเป็นทุกข์มาก นางเฟืองทำท่าให้นอน ท่านหญิงนอนแล้วชูมือขึ้นเหมือนจะขอมือมาจับนางเฟืองยื่นมือมา มือสองมือแตะกันได้ ต่างคนต่างมองหน้ากัน ท่านหญิงขยับจะพูด เฟืองส่ายหน้าว่า ไม่ต้องพูดด้วยรู้ว่าสองคนฟังอยู่ ท่านหญิงพยักหน้ารับ
“ไม่มีเสียงอะไร” ชายเดียวจับลูกบิดจะเปิด “ดูด้วยตาดีกว่ามีใครแอบอยู่”
“อย่าค่ะคุณชาย” ผ่องลืมตัวจับมือคุณชายหมับ
ชายเดียวมองมือแม่นมเขม็ง
“อุ๊ย” ผ่องรีบปล่อย “กลับห้องเถิดค่ะคุณชาย”
ชายเดียวหรี่ตามอง ผ่องพยายามทำหน้าปกติ สายตาปรามแบบผู้ใหญ่
“ฉันรู้ว่าไม่ใช่เรื่องปกติ” นัยน์ตาชายเดียวคมกริบขณะมองผ่อง “แต่ยังไม่รู้ว่าเรื่องอะไรก็เท่านั้น”
ผ่องและชายเดียวเดินห่างออกมา
“คุณชายจะไปเรียนเมืองนอกเมื่อไหร่คะ”
ชายเดียวหยุดชะงัก สีหน้านิ่งคิด ตริตรอง
“คะ”
“ผ่อง....ถ้าฉันไปผ่องจะคิดถึงฉันมั้ย”
“โถ ถามได้ ทูนหัว ทำไมจะไม่คิดถึงล่ะคะ”
“งั้นฉันไม่ไปแล้ว ตัดสินใจตรงนี้เลย”
“อะไรนะคะคุณชาย ไม่ได้หรอกค่ะ ท่านพ่อมีบัญชาไว้นะคะ”
“คอยดู” ศักดินาพูดด้วยสีหน้าเป็นต่อ
ภายในห้องคนป่วยที่โรงพยาบาล คืนนั้น พยาบาลฉีดยาพจน์ที่เตียงเสร็จแล้วเดินออกไปจันทร์หันไปบอกสองสาว
“สองคนกลับไปก่อน จวนสอบแล้ว พรุ่งนี้ต้องไปโรงเรียน ขาดไม่ได้”
จริมาน้ำตาเต็มตา จ้องอยู่ที่ร่างพจน์ ขณะพยาบาลเดินออก
“รุ้งอยากอยู่อีกประเดี๋ยวจ้ะแม่จันทร์”
“เชื่อแม่เถอะลูก”
พจน์เอ่ยขึ้น “ริมา”
จริมาลุกพรวดเดียวกระโจนมาถึงข้างเตียง “คุณพ่อ”
“กลับบ้าน...พ่อไม่เป็นไรแล้ว”
“คุณพ่อ ริมาขอโทษ ริมาไม่ได้ดูแลคุณพ่อเลย คุณพ่อเจ็บตั้งนานริมาก็ไม่รู้ ได้ยินคุณพ่อไอ แต่...” เด็กสาวสะอื้นขึ้นมาเต็มช่องอก “ไม่เฉลียวใจว่าคุณพ่อเป็นเยอะ...ริมาขอโทษ”
“เหลวไหล ขอโทษพ่อทำไม อยากให้พ่อหายเร็วต้องทำตามที่น้าจันทร์บอก กลับบ้านเตรียมตัวสอบ” พจน์ว่า
“แต่...” จริมาอิดออด ห่วงพ่อเหลือเกิน
รุ้งรับคำน้ำเสียงเข้มแข็ง “ค่ะ คุณลุง เราจะทำตามที่คุณลุงบอก จะมาใหม่พรุ่งนี้ ขอให้คุณลุงหายเร็วๆ นะคะ”
เวลาต่อมาจริมานั่งหน้าเครียดจัดอยู่หน้าห้องผู้ป่วย รุ้งยืนพูดอยู่กับหมอเจ้าของไข้ พยักหน้าอยู่ไปมา สุดท้ายรุ้งไหว้หมอ แล้วเดินมาหาจริมา
“คุณหมออธิบายโรคของคุณลุงว่า...”
จริมาสวนขึ้น “ทำไมจะกลับบ้าน”
รุ้งเหวอ
“ทำไมไม่อยู่กับคุณพ่อ จะรีบไปหาใครที่บ้าน”
รุ้งเหวอเป็นครั้งที่สอง
“มีใครรอ” จริมาเสียงเข้มจัด
รุ้งพยักหน้าเข้าใจแล้ว “ไม่ใช่อย่างที่ริมาคิดหรอก แต่รุ้งทำตามที่คุณลุงบอก”
“คุณพ่อก็ต้องพูดอย่างนั้น เพราะคุณพ่อเป็นห่วงเรา แต่เราต้องเป็นห่วงคุณพ่อมากกว่าสิ”
“แต่เราอยู่ที่นี่ไม่มีประโยชน์”
จริมาพูดด้วยอารมณ์แรง “พูดบ้าๆ รุ้ง” เด็กสาวเน้นคำว่า “รุ้ง” เป็นพิเศษ “ริมาเหรอไม่มีประโยชน์กับคุณพ่อ ทำไม ต้องแม่ของเธอคนเดียวเหรอ”
รุ้งยืนนิ่งอึ้ง มองหน้าจริมาอย่างไม่เชื่อหู
แล้วรุ้งก็เดินไปจากตรงนั้นอย่างรวดเร็ว จริมายืนอึดอัดอยู่สักครู่ ก็รู้สึกผิดวิ่งตามไป
“ตัวเล็ก....ตัวเล็กรอด้วย” วิ่งมาจนถึง
รุ้งหยุดรอ จริมาจ้องหน้ารุ้งแล้วก้อนสะอื้นก็รื่นรินออกมาจนนัยน์ตาแดงก่ำ รุ้งอ้าแขนออก รับจริมาเข้ามาในอ้อมแขน
“ตัวเล็ก คุณพ่อริมาจะตายไหม”
รุ้งทั้งที่เตรียมใจ เข้มแข็งแล้ว แต่ก็อดสะดุ้งไม่ได้ “ทำไมริมาพูดอย่างนั้น”
“ก็ดูคุณพ่อสิ หน้าซีด ตัวเหลือง พูดก็เหมือนไม่มีแรงเพราะเสียเลือดไปมาก แล้วอย่างนี้จะอยู่ต่อได้ยังไง”
“ถ้าหมอเขาเห็นจำเป็น เขาก็ต้องให้เลือดช่วยคุณลุงอยู่แล้วค่ะ ริมาต้องเชื่อหมอนะ” รุ้งปลอบ
“ตัวเล็กอย่าโกรธริมาเลย ริมาก็เข้าใจนะว่าตัวเล็กรู้สึกยังไง ตัวเล็กเก่งกว่าริมา ริมาจะพยายามเข้มแข็งให้ได้เหมือนตัวเล็ก”
“ริมา” รุ้งลูบแขนปลอบโยน
“ริมาอยากเป็นอย่างรุ้งนะ ใครดูว่าอ่อนหวาน แต่ข้างในแข็งโป๊กกล้าคิดไปเรียนพยาบาล แต่ริมาคงกลัวหัวหด แค่ต้องหยิบเข็มมาฉีดยาคนไข้ก็คงสลบไปก่อน” จริมากลั้นสะอื้น “รุ้ง ถ้าคุณพ่อเป็นอะไรไปอีกคน ริมาจะเหลือใครนอกจากคุณย่าซึ่งก็แก่มาก ตัวเล็กอย่าว่าริมาเลย”
“ไม่ว่าค่ะ ไม่ว่า” รุ้งกอดจริมาเอาไว้
จากนั้นทั้งคู่ก็เลยกอดกันร้องไห้ด้วยความเสียใจ
อยู่มาวันหนึ่ง ที่ห้องครัวของวังรังสิยา สน สาลี่ พิกุล ละมัย และผ่อง สนทนากันอยู่ในนั้น
“จริงเหรอวะผ่องเอ๊ย” สาลี่ถามขึ้นพอฟังจบความ
“ปัทโธ่ พูดกี่หนแล้วว่าคุณชายพูดกับฉันเนี่ย สองหูได้ยินเต็มๆ ว่าคุณชายจะไม่ไปเรียนเมืองนอกจะเรียนหมออยู่ที่เมืองไทยนี่แหละ”
สาลี่ตบเข่าฉาด “เป็นไปไม่ได้ พินัยกรรมท่านชายทรงกำหนดไว้ใครหน้าไหนก็ขัดพระทัยไม่ได้”
“ก็ฉันได้ยิน...” ผ่องยืนยัน
“เออ...แกได้ยิน....ฉันก็ได้ยินแล้วว่าแกได้ยินแม่ผ่อง” สนว่า
“อ้าวแล้วไงล่ะ” ผ่องงง
“บางทีอะไรๆ ที่เราได้ยิน มันก็ไม่ใช่จะเกิดขึ้นซะทุกอย่างหรอกแม่ผ่องเอ๊ย” สนบอกอีก
“งั้นเหรอ... เฮ้อ...โง่ใช่มั้ยชั้นเนี่ย” ผ่องด่าตัวเอง
สาลี่บอกด้วยเสียงหนักแน่น “ใช่”
ผ่องร้อง “อ้าว”
ละมัยถาม “จริงเหรอยาย”
“งั้นอย่างหนูเนี่ยเรียกว่าอะไรล่ะ” พิกุลเอ่ยขึ้น
สาลี่บอกโดยไม่ต้องคิด “เซ่อซ่า...เอาวะอย่าเถียงกันเลย ไม่มีใครหน้าไหนจะเถียงข้าได้ เพราะพินัยกรรมย่อมศักดิ์สิทธิ์ที่สุด ยังไงๆ คุณชายต้องไปเรียนเมืองนอก...รับรองฟันธง”
บนตำหนักบรรยากาศตกอยู่ในความอึดอัด เรื่องที่ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส และคุณชายศักดินาสนทนา เป็นเรื่องที่เหล่าคนใช้คุยกันนั่นเอง
“ชายไม่ไป ท่านแม่คะได้โปรด”
“ชายจะขัดขืนพินัยกรรมของท่านพ่อรึ”
“ก็ชายมีเหตุผล....เป็นเหตุผลที่ถูกต้องด้วย” ชายเดียวยืนกราน
“เหตุผลอะไร”
“ชายพูดไปท่านแม่ก็คัดค้านอีก ชายไม่อยากพูด แต่จะทูลว่าเป็นเหตุผลที่สมควรอย่างยิ่ง”
“จะเรียนหมอในเมืองไทย เพราะเป็นห่วงแม่ใช่หรือไม่” ท่านหญิงเอ่ยขึ้น
“ชายจะทำอะไร ไม่เคยเลยที่ท่านแม่จะไม่ทรงทราบ ใช่ค่ะ ชายห่วงท่านแม่”
ท่านหญิงนิ่งไปนิด สีหน้าละมุน ด้วยความตื้นตันใจ “แม่ขอบใจ แต่แม่ยังไม่เป็นอะไรช่วงที่ชายไปเรียนหรอก แม่ยังไม่แก่ปานนั้น ไปเรียนเสียก่อนเถอะลูก ชายเรียนจบกลับมาตอนนั้นล่ะ แม่กำลังพร้อมเลย พร้อมให้ชายดูแลแม่”
“ชายไม่คอยถึงตอนนั้นหรอกค่ะ ชายจะดูแลท่านแม่ตั้งแต่เดี๋ยวนี้ เพราะถ้าปล่อยท่านแม่ตอนนี้ ถึงตอนนั้นอาจจะไม่ทันการก็ได้
ท่านหญิงถอนใจยาว “อย่าดื้อกับแม่สิลูก”
“ท่านแม่ก็อย่าทรงดื้อกับชายสิคะ”
“ถึงจะพูดกันไปอีกสามวันเจ็ดวัน ชายก็ต้องปฏิบัติตามพินัยกรรมของท่านพ่อ เราอย่าเถียงกันให้เหนื่อยเลย”
ชายเดียวยอมจำนน เถียงไม่ได้
“มีเวลาอีกไม่มาก ชายต้องเริ่มเตรียมตัวแล้วนะลูก สำคัญคือต้องฝึกภาษา เรียนหมอจะมี technical term มาก ต้องท่องจำ”
สีหน้าชายเดียวยามนี้ อึดอัดมาก แน่วแน่ว่าไม่ยอมไป
“ฟังแม่รึเปล่าชาย”
ชายเดียวไม่ตอบไหว้ที่เข่า แล้วลุกขึ้นเดินไป ท่านหญิงนั่งนิ่งสักครู่ จึงเอ่ยกับนางเฟืองขึ้นทั้งที่มองไม่เห็นตัว
“จะให้ฉันทำยังไงดีเฟือง ฉันเหนื่อยจริงๆ” ท่านหญิงหยุดนิ่งเหมือนฟัง “อะไรนะ เฟืองว่าอะไร” มีเสียงแผ่วเบาคล้ายเสียงกระซิบกระซาบ “ชายเดียวรักผู้หญิงรึ...” สีหน้าท่านหญิงตกใจแล้วเปลี่ยนเป็นตรึกตรอง “ผู้หญิงบ้านนั้น” ใบหน้าเข้มขึ้นอีกขณะถามออกไป “เฟืองแน่ใจหรือ”
อีกวันถัดมา พจน์อาการดีขึ้นมาก หน้าตาสดใส จันทร์กำลังปอกผลไม้อยู่มุมห้อง ยอดเคาะประตู แล้วโผล่เข้ามา มีกระเป๋าเล็กๆ มาด้วย
“ยอดหรือ” จันทร์ทัก
ยอดทำกิริยาตอบรับ
“ฉันอยู่เฝ้าคุณพจน์ไม่ได้ ต้องเป็นผู้ชายเหมือนกัน”
ยอดพยักหน้านอบน้อม
“กินอะไรมาหรือยัง”
ยอดทำท่าว่ากินแล้ว
จังหวะนั้นหมอเคาะประตูเข้ามา พยาบาลตามมาคนหนึ่ง เข้าไปหาพจน์
“รู้สึกยังไงบ้างครับตอนนี้...”
ยอดออกไปนั่งสีหน้าวิตกอยู่หน้าห้อง
“ผมจะอยู่อีกนานเท่าไหร่หรือหมอ” พจน์ตัดสินใจถามออกไป
“หกเดือนอย่างเร็ว แต่ไม่เกินหนึ่งปีครับ” หมอบอก
เสียงจันทร์สำลัก ตามด้วยเสียงสะอื้น
“ระหว่างนี้ไม่มีอาการอะไรแล้วครับ คุณพจน์จะกลับบ้านก็ได้นะครับ ผมจะได้เซ็นให้”
“ขอบคุณครับหมอ”
หมอรับไหว้แล้วเดินออกไปช้าๆ พจน์นั่งนิ่งสายตาทอดไปข้างหน้า จันทร์ก้มลงร้องไห้จนตัวสั่น
“จันทร์”
จันทร์ยังร้องไห้ แม้จะพยายามข่ม
“มาตรงนี้สิน้อง”
จันทร์ลุกเดินมา ยอดเคาะประตูแล้วเข้ามา
“ยอด คอยข้างนอกก่อน” จันทร์บอก
“ไม่เป็นไร ยอดอยู่ได้”
ยอดเดินเข้าไปยืนสงบเสงียมห่างออกไปนิด
“ยอด ฉันจะมีชีวิตอยู่ไม่เกิน 1 ปี” พจน์บอกออกมา
ยอดมีสีหน้าตกใจ พยายามส่ายมือว่าไม่ได้
“เวลาฉันมีเท่านั้น ฉันจะฝากบ้านไว้กับแก ที่บ้านไม่มีผู้ชาย แนบแก่แล้ว อาศัยอะไรไม่ได้ ถ้าแกไม่จำเป็นต้องไปไหนฉันขอร้องให้แกอยู่ที่บ้านตลอดไป”
ยอดทรุดลงนั่งก้มลงกราบที่ริมเตียง แล้วทำท่าว่า “ผมจะอยู่กับคุณจันทร์ตลอดไป”
“จันทร์ อย่าทำให้ทุกคนตกใจ น้องเองก็ต้องเข้มแข็ง เพราะพี่ได้ฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่น้อง เวลาที่เหลือมากพอที่พี่จะทำอะไรที่พี่ต้องการทำได้หลายอย่าง อย่ากังวลไปเลย”
คำพูดที่ราบเรียบไม่ส่อความสะพรึงกลัวต่อมัจจุราชที่คืบคลานเข้ามาใกล้ของพี่ชายต่างอุทรผู้แสนดี ทำให้จันทร์ร้องไห้ออกมาอีกอย่างตื้นตันสุดประมาณ
“คุณพี่คือร่มโพธิ์ร่มไทรของเราทุกคน ทำไมถึงต้อง...ต้องตาย” จันทร์คร่ำครวญ
“จันทร์ พูดอะไรอย่างนั้น น้องต้องอยู่เป็นหลักแก่บ้านเรา ลูกพี่ยังอายุน้อยต้องการคนชี้นำที่เป็นคนดีมีเมตตา ซึ่งน้องเป็นผู้ที่เหมาะสมที่สุด พี่จะได้นอนตายตาหลับ”
มองลงมาจากมุมสูง เห็นพจน์นั่งบนเตียงคนไข้ใบหน้าดูอิดโรย แต่สีหน้าเข้มแข็งมั่นคง จันทร์นั่งเช็ดน้ำตา ยอดยืนก้มหน้าอยู่อีกทาง
ที่ห้องรับแขกบ้านปัณณธรในเวลาต่อมา มือคุณหญิงเพ็งยื่นมาประสานกับมือพจน์ คุณหญิงตื้นตันน้ำตาคลอหน่วย พจน์ ทรุดตัวลงนั่ง กราบที่เข่าของคุณหญิง
คุณหญิงลูบหัวลูกชาย หยิบขวดน้ำมนต์ข้างๆ ตัว เทรดลงบนหัวของพจน์ ลูบหัวไปมา
“อายุมั่นขวัญยืนนะลูก รอดปลอดภัยหายเจ็บคราวนี้ขอให้อยู่ไปอีกนานๆ จนแก่จนเฒ่า เป็นหลักชัยให้ลูกหลาน”
พจน์กอดแม่ เหลือบไปสบตากับจันทร์
จริมา กับรุ้งในชุดนักเรียนนั่งยิ้มแต่น้ำตาคลอ จริมาลุกไปกอดพจน์กับย่า
รุ้งเขยิบไปกอดปลอบแม่ จันทร์กลั้นน้ำตาจนปวดกระบอกตา
บริวารทุกคนในบ้านปัณณธร นั่งกันอยู่ริมๆ ประตู ละเมียดนั่งข้างหน้า ซับน้ำตา ทุกคนตื้นตัน
อีกวันหนึ่ง ภายในห้องท่านหญิงแขไขเจิดจรัส ที่วังรังสิยา ท่านหญิงเอ่ยขึ้นกับผ่อง
“ทำไม... กลัวอะไรรึผ่อง”
“วันก่อนคุณชายเห็น... มังคะ”
“แล้วไง... คุณชายว่ายังไง”
“คุณชายก็... ไม่ได้ว่ายังไงมังคะ แต่หม่อมฉันเกรงว่าถ้าคุณชายเห็นอีกจะ...จะทำอะไรบางอย่างที่...”
“เอาคนมาขับไล่ใช่มั้ย” ท่านหญิงเอ่ยออกมา
“มังคะ”
“เอาเถอะ... ฉันจะจัดการ แกไม่ต้องกลัว ขอบใจที่เป็นห่วง”
“ถึงยังไงหม่อมฉันก็คิดถึงบุญคุณพี่เฟืองเสมอมังคะ”
“ไม่กลัวแล้วรึ... อย่าลืมว่าแกเคยจะทิ้งฉันไปนะ”
“ไม่แล้วมังคะ หม่อมฉันรู้แล้วว่าถึงยังไงแกก็ไม่ทำร้ายหม่อมฉัน”
ขณะผ่องเดินจะออก เอื้อมมือหมายจะเปิด แต่ประตูเปิดออกเสียก่อนอย่างช้าๆ จนเปิดกว้าง
ผ่องรู้ทันทีว่าใครเปิด ยืนกลั้นใจ หันมามองทางท่านหญิง
ท่านหญิงพยักหน้าให้นิดๆ เหมือนจะบอกว่าอย่ากลัว
ผ่องเดินจะออกแล้วชะงัก เหมือนวิญญาณนางเฟืองสวนเข้ามาผ่านตัวผ่องไป ผ่องยืนตัวแข็งหน้าหวั่นๆ วิญญาณนางเฟืองพ้นไป ผ่องรีบออกไป ปิดประตูลง
“ได้ยินแล้วใช่มั้ย อย่าไปทำอะไรมัน มันเป็นคนซื่อ แล้วมันก็รักเฟืองมาก”
ผีนางเฟืองหมอบอยู่ ค่อยๆ เงยหน้า “เด็จไปบ้านปัณณธรเถิดมังคะ”
“ทำไม...มีอะไร”
“คุณชายไม่ยอมไปเรียนเพราะชอบผู้หญิงบ้านนั้น หม่อมฉันจะแสดงให้เห็นว่าชอบคนไหน”
“เฟืองจะทำยังไง”
“พามาที่นี่...มาทีละคนนะมังคะ” นางผีร้ายบอกแผน
ท่านหญิงพูดเหมือนถูกสะกด “ให้พาใครมาก่อน”
“นังรุ้ง” นางเฟืองบอกอย่างมาดหมาย
แค้นเสน่หา ตอนที่ 8 (ต่อ)
ที่ครัวบ้านปัณณธร อีกวันหนึ่ง ชาวครัวกำลังง่วนอยู่กับงานใครมัน มีจันทร์ควบคุมอยู่กับละเมียด
สำเนียงเอ่ยขึ้น “นังสำลี...ทำปลาเสร็จรึยัง ขอดทีละเกล็ดเรอะเอ็ง”
“เกล็ดสุดท้ายพอดีเลยแม่” สำลีบอก
สำเนียงปาหมากใส่หัวสำลี โดยไม่มองด้วย “เอ้า... เอามา”
“ฉันว่าให้สำลีลองแล่ปลาดูซินะพี่สำเนียง...จะได้ทำเป็น”
“ไม่เคยหรอกค่ะหวงวิชา” สำลีว่าแม่
“ฉันแล่ให้ดูนะ” จันทร์บอก
อ่อนเดินเข้ามาหา “คุณจันทร์คะท่านหญิงเสด็จค่ะ”
“จะหาใคร”
“คุณหญิงมั้ง...อ่อนบอกสารภีสิ สารภีอยู่กับคุณหญิง” ละเมียดว่า
“รับสั่งว่าจะหาคุณจันทร์ค่ะ คุณชายเดียวก็มาด้วยค่ะ” อ่อนบอก
จันทร์เดินมาเร็วๆ เห็นท่านหญิงแขไขเจิดจรัสเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่แล้ว จันทร์ทรุดตัวลงกราบ
“ฉันมารบกวนเวลารึเปล่า”
“เปล่าเลยมังคะ” จันทร์เงยหน้ามองไป
ชายเดียวไหว้จันทร์ จันทร์รีบรับไหว้ ท่านหญิงลอบมอง
“เผอิญช่วงนี้คุณพจน์ไม่ค่อยสบายมังคะ”
“เป็นอะไรมากหรือเปล่า”
“ไม่....ไม่มากมังคะ”
“เปล่า ฉันมีธุระกับคุณนั่นแหละ”
“มังคะ” จันทร์มีสีหน้าพิศวงงงงวย
“กับลูกสาวของคุณด้วย” ท่านหญิงบอกต่อ
“รุ้ง...” จันทร์พูดเสียงเบาๆ ยิ่งงงหนัก
“ใช่มั้ยชายเดียว ขอพบหนูรุ้งหน่อยเถิดคุณจันทร์มีเรื่องจะให้ช่วยสักหน่อย”
จันทร์หวั่นใจ
ไม่นานต่อมา ที่หน้าห้องโถง สีหน้าจันทร์ดูอึดอัดขณะยืนนิ่งอยู่ มีความกระวนกระวายอยู่ลึกๆ มองจ้องไปในห้อง
ส่วนในห้อง ท่านหญิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ รุ้งนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น ชายเดียวนั่งเก้าอี้ห่างออกมา
ท่านหญิงพูดและรุ้งฟังทำท่ารับคำ จันทร์มีสีหน้าหวั่นวิตกมาก ไม่รู้ว่าท่านหญิงจะทำอะไร
ชายเดียวหันไปมา เห็นจันทร์เดินมาหา ท่านหญิงเหลือบมองมาพอดี จันทร์เลยทำท่าจะเดินหนี
“คุณน้า...” ชายเดียวเรียกไว้
“คะ คุณชาย”
“คุณน้าคงไม่ขัดข้องนะครับ”
“ไม่... ไม่ขัดข้องค่ะ”
สีหน้าจันทร์ตรงกันข้ามกับคำพูดโดยสิ้นเชิง
อยู่มาวันหนึ่ง ที่ห้องครัวของวังรังสิยาเวลานั้น สาลี่ประหลาดใจมองจ้องรุ้ง คนอื่นๆ กำลังทำงานของตัวหันมามองเป็นตาเดียว
“เนี่ยเหรอ คุณรุ้ง”
รุ้งไหว้สาลี่ “เรียกหนูรุ้งเฉยๆ ค่ะป้าไม่ต้องเรียกคุณ”
“ไหว้พระเถอะแม่คุณ เออ ทำขนมเก่ง มาสอนคนแก่ด้วยเถอะ”
“ทำไม่เก่งเท่าไหร่หรอกค่ะ ยาย”
“คุณชายรับทานเหรอคะ ที่ว่าอร่อย ท่านหญิงถึงจะให้มาสอนน่ะค่ะ” สาลี่ถาม
“อร่อยจริงๆ สาลี่” ชายเดียวยิ้มยืนยัน
“อย่างอะไรมั่งล่ะคะ คุณชาย เพราะอิฉัน เองก็ใช่ว่าจะทำอาหารไม่อร่อยนะคะ”
“อะไรนะครับรุ้ง ครั้งหนึ่งผมทานขนมอะไรซักอย่าง สีฟ้ากับสีเหลือง ชื่อ...” ชายเดียวนึกใหญ่
“อ๋อ ชื่อบุหลันดั้นเมฆค่ะ” รุ้งบอก
สาลี่กำลังขยับจะลุกขึ้น นั่งแหมะลงไปอย่างเดิม “อะไรนะค้า”
“ขนมบุหลันดั้นเมฆ” รุ้งบอกย้ำ
“บุหลันดั้นเมฆ ยังจะมีใครทำเป็นอีกรึ ขนมโบร่ำโบราณขนาดนั้น” สาลี่ว่า
“แม่ของรุ้งทำเก่งค่ะ”
สาลี่นิ่งคิดสงสัยคาใจ เห็นเป็นเงาลางๆ อยู่ในใจ
“แม่ของหนูชื่อบุหลันใช่มั้ยคะ” สาลี่ถาม
สีหน้าละมัย และสีหน้าพิกุล จดจ้องมองรุ้ง
“บุหลันหรือคะ”
สาลี่จ้องด้วย รอฟังคำตอบ
“ไม่ใช่ค่ะ แม่ของรุ้งชื่อจันทร์ ค่ะ”
เวลาต่อมาชายเดียวพารุ้งเดินไปที่ท่าน้ำ
“ยายสาลี่ไปซื้อของคงอีกนานกว่าจะกลับ รุ้งอยากนั่งเรือเที่ยวมั้ยครับ”
“นั่งกันสองคนคงไม่สนุก รอวันไหนให้ริมามาด้วยนะคะ”
“ก็คงมีแค่ 3 คน ขาดพี่ฉัตต์”
ใบหน้ารุ้งหมองลง มองทอดสายตาไป
ชายเดียวไม่ทันเห็นสีหน้ารุ้ง “เดินไปทางนี้นะครับ ทางกลับตำหนัก”
จู่ๆ สีหน้ารุ้งนิ่งงันไปนิด เหมือนโดนสะกด
“รุ้ง”
“ทางโน้นมีอะไรคะ ต้นไม้ใหญ่ๆเยอะเลย” รุ้งชี้ไปคนละทางกับที่ชายเดียวบอก
กิ่งของต้นไม้ใหญ่โยกโยนตัว ลมพัดไปมา
“เป็นเรือนข้าหลวงเก่า ร้างแล้วครับ ไม่มีคนอยู่”
รุ้งนิ่งไปอึดใจ สีหน้านิ่งเหมือนมีอะไรดลใจ
“รุ้งอยากไปดู ได้มั้ยคะ”
“จะไปดูทำไมหรือครับ ไม่มีอะไรน่าดู”
นัยน์ตาของรุ้งเลื่อนลอย เป็นนัยน์ตาที่บ่งบอกว่ามีใครคนหนึ่งกำลังครอบงำ
รุ้งเดินตัวลอยนิดๆ แต่ไม่ถึงกับผิดสังเกตจนชายเดียวเห็น ชายเดียวใช้ไม้ฟาดต้นไม้ที่ค่อนข้างรกมาก และเห็นอะไรบางอย่าง ชายเดียวเดินไปดู ก้มลงดูใกล้ๆ รุ้งเดินเร็วขึ้น
เสียงหัวเราะแหลมเล็ก ดังแว่วๆ แผ่วๆ กังวานก้อง อย่างรื่นรมย์
รุ้งหยุดกึก...ได้ยิน แต่ชายเดียวไม่ได้ยิน เดินท่าทางธรรมดา
“มา...เข้ามา เข้ามาหาข้า”
รุ้งเดินอย่างรวดเร็วเข้าไปทันที
ประตูหน้าเรือนข้าหลวงที่ปิดสนิทในตอนแรกเปิดผลัวะออกมา ไม้กากบาทที่ปิดกระเด็นกระดอน เห็นนางเฟืองยืนเท้าสะเอวจังก้าอยู่หว่างประตู นัยน์ตาที่ลอยอยู่ในเบ้าลึกมองเขม็งมาที่รุ้ง แล้วก็แหงนหน้าอ้าปากหัวเราะเสียงแหลมชวนสยอง
“ในที่สุดวันที่ข้ารอคอยก็มาถึง ในที่สุดเอ็งก็มาหาข้าจนได้”
รุ้งตาเบิกโพลงยืนนิ่งไม่รู้สติสตัง ปีศาจเฟืองดูเหมือนจะมีพลังเหนือรุ้งแล้ว รุ้งสะบัดหน้าไปมาไม่ต้องการได้ยินเสียงหัวเราะแหลมบาดหัวใจ อากาศที่สดใสมีลมโชยแผ่วเบาเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นมืดครึ้ม เมฆดำลอยมาลิ่วๆ สายลมกรรโชกแรงพัดใบไม้แห้งปลิวว่อน รุ้งช่วยตัวเองไม่ได้เลยเพราะคล้ายกับว่ามีแรงดึงดูดบางอย่างดึงเข้าไปที่ห้องนั้น
“มา... เข้ามา นังตัวมาร...มารเหมือนแม่เอ็ง”
ท่ามกลางอากาศวิปริต เสียงหนึ่งแทรกซ้อนมากับลมพายุ แม้จะแผ่วเบาแต่ก็เรียกสติรุ้งคืนมา
“รุ้ง...นั่นจะไปไหน...กลับมาก่อน...รุ้ง....รุ้ง”
ชายเดียวเห็นแต่รุ้งคนเดียวยืนอยู่หน้าประตู กิริยาโงนเงน ทำท่าจะเข้าไปชนประตูที่ปิดอยู่ ทุกอย่างสงบ ไม่มีอะไรผิดปกติ
“รุ้ง...หยุดก่อน”
รุ้งเห็นนางเฟืองยิ้มแสยะ ร้องเรียก “เข้ามา”
“ไปไหน”
“มาหาข้าสิ ข้าคอยอยู่นานแล้ว”
“รุ้ง”
ขณะร้องเรียก ในสายตาของชายเดียวยังคงเห็นรุ้งยืนพูดคนเดียว ประตูก็ปิดอยู่
“ในนั้นหรือ ให้ฉันเข้าไปในนั้นหรือ” รุ้งเดินตรงเข้าไปจะชนประตูอยู่แล้ว
ชายเดียวกระโจนเข้าไป กระชากตัวรุ้งลงมา รุ้งมองเห็นว่านางเฟืองโกรธ สีหน้าขัดเคือง ขู่ฟ่อ มือไขว่คว้าหารุ้ง แล้วรุ้งก็หมดสติไปในบัดดล
“รุ้ง” ชายเดียวอุ้มขึ้น
ชายเดียวอุ้มรุ้ง วิ่งมาตามทางขึ้นตำหนักอย่างรวดเร็ว
ทอแสงรัศมีลงรถพอดี มองมา “พี่ชาย...อะไรคะนั่น” แล้ววิ่งไปขวางทันที
“ทอแสง หลีกไป รุ้งไม่สบาย”
“ไม่สบาย เป็นอะไร มารยารึเปล่า”
“ไม่.....รุ้งไม่สบายจริงๆ เป็นลม”
“รู้รึเปล่าว่ามันน่ะ มารยา เล่นละครจนเคยตัว มันทำยังไงเข้าล่ะ ถึงได้ต้องอุ้มกันมาอย่างนี้”
“หลีกไป หญิงทอแสง”
“ปล่อยมันสิ ทำไมต้องอุ้มด้วยล่ะ ปล่อย...มันมารยา”
“ทอแสงรัศมี” ชายเดียวตวาดลั่น “ไร้เหตุผล คนไม่สบายนะ...หลีกไป”
พร้อมกันนั้นชายเดียวดันหญิงทอแสงให้หลีกไป ตัวเองเดินพารุ้งขึ้นตำหนัก ทอแสงรัศมียืนอึ้ง เสียดแทงใจเหลือเกิน น้ำตาหลั่งพร่างพรูเรื่อยๆ ยืนไม่ติด ต้องทรุดตัวลงนั่ง มือปิดหน้าทั้งสองมือ เสียงร้องไห้ดังสะท้านใจ
ในเวลาต่อมารุ้งยังนอนอยู่ ผ่องให้ยาดมข้างๆ ชายเดียวพยายามถูมือรุ้ง พิกุลช่วยอยู่ด้วย
“จะว่าร้อน วันนี้ชายว่าก็มีลมเย็นๆ กว่าทุกวัน ไปถึงเรือนครัวรุ้งก็ยังคุยกับยายสาลี่ได้ แต่พอ...”
ท่านหญิงมองเขม็ง
“แต่อะไร...”
“เราเดินลึกเข้าไปในสวน รุ้งเดินไปที่” ชายเดียวหยุดพูดราวกับพยายามลำดับเหตุการณ์
“ที่ไหน” สุ้มเสียงท่านหญิงเริ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด “ชายพารุ้งไปไหน เรือนข้าหลวงเก่าใช่ไหม”
“ค่ะ เราผ่านตรงนั้น”
“แล้วไปทำไม” ท่านหญิงเสียงดังขึ้น สีหน้าเย็นชา “มันไม่ใช่ที่ที่ควรจะพาแขกไปดู งูเงี้ยวเขี้ยวขอมีออกมากมาย”
“แต่รุ้งไม่ได้เจอสัตว์ร้าย เขาขึ้นไปบนเรือน ไปยืนหน้าห้องที่มีไม้ตอกปิดเอาไว้ ชายก็งงเหมือนกันเพราะรุ้งทำท่าเหมือนพูดอะไรกับใครก็ไม่รู้”
“คุณพระคุณเจ้าช่วย” ผ่องสะดุ้งขึ้นมาทั้งตัว หน้าซีดเผือด
“ผ่อง” ท่านหญิงเสียงเขียวจัด
“ห้องพี่เฟืองแน่แล้ว” ผ่องไม่วายครางเบาๆ
“ใครเป็นพี่เฟือง แม่ผ่องพูดถึงใครท่านแม่”
“เหลวไหลผ่อง”
ผ่องหลบตาก้มหน้านิ่ง
หญิงทอแสงเดินเข้ามาหา หน้าตายังมีรอยร้องไห้ ตาแดงก่ำ
“ท่านป้าขา”
“ทอแสง เป็นอะไรนั่น”
“พี่ชายเดียวว่าหญิงค่ะ ท่านป้า” ทอแสงรัศมีฟ้องทันที
“ก็มันน่ามั้ยล่ะ” ชายเดียวเสียงขุ่น
“เอ๊ะ ชายเดียว ทำเสียงกับน้องอย่างนั้นได้ไง สำรวมกิริยาหน่อย”
“ท่านแม่ไม่ทรงได้ยิน ไม่ทรงทราบหรอกค่ะ”
“หญิงพูดอีกทีก็ได้ มันทำมารยา เล่นละครเก่ง ที่เป็นลมไปเนี่ยอย่านึกว่าเป็นเรื่องจริง” ทอแสงรัศมีบอก
ชายเดียวสุดทนลุกขึ้น เดินมุ่งไปหาหญิงทอแสงมือกำแน่น จนหญิงทอแสงขยับหนี
“ชาย นั่นน้องนะ” ท่านหญิงแขไขปราม
“เป็นถึงหม่อมราชวงศ์ ระวังคำพูดหน่อย”
เสียงชายเดียวไม่ค่อย เลยได้ยินกันทั้งห้อง แม่ผ่องสะดุ้งเป็นคำรบสอง ส่วนพิกุลรีบคลานถอยหลบออกจากห้องอย่างรวดเร็ว คุณหญิงทอแสงรัศมีน้ำตาไหลพรู
“ท่านป้าขา ทรงได้ยินแล้วนะคะ พี่ชายเดียวปากจัดแค่ไหน หญิงแตะรุ้งเป็นไม่ได้ ป้องกันกันดีนัก”
“ก็หญิงทำไมจิกหัวเรียกคนอื่นอย่างนั้น เขาก็ลูกมีพ่อมีแม่เหมือนกัน หญิงทำถูกหรือไม่คิดดูให้ดี”
พอทอแสงรัศมีอ้าปากเตรียมเถียง ท่านหญิงเรียกไว้
“หญิง มานั่งข้างป้านี่แน่ะ”
รุ้งขยับตัว แม่ผ่องสังเกตเห็นคนแรก อุทานอย่างดีใจ
“เพื่อนคุณชาย ฟื้นแล้วค่ะ”
ชายเดียวปราดเข้าไปที่รุ้งทันที
แค้นเสน่หา ตอนที่ 8 (ต่อ)
ชายเดียวจับมือรุ้งถามอย่างห่วงใย
“รุ้ง...รุ้งครับ”
ทอแสงได้ยินอย่างนั้น ก็หันหน้าหนีอย่างสะเทือนใจ ท่านหญิงดูสถานการณ์อย่างวิตกวังวล ท่าทางชายเดียวอาทรกับรุ้งมากเหลือเกิน
ขณะเดียวกัน ท่านหญิงเล็ก ท่านชายวรจักร หญิงศศิลักษณา ต้อนรับท่านป้า ซึ่งเป็นหม่อมเจ้าหญิงพี่สาวของท่านชายวรจักร อยู่ในห้องโถงใหญ่
ท่านป้าเป็นคนเข้มงวด จริงจัง ผิดเป็นผิด ถูกเป็นถูก ใส่แว่นตากรอบทองกลมเล็กๆ มองคนลอดแว่น
ท่านชายวรจักร ทักถามท่านป้า
“เจ้าพี่จะเด็จยุโรปอีกเมื่อไหร่” ท่านชายวรจักรทอดเสียงนุ่มๆ
“ยัง...คงอีกนาน หมู่นี้เหนื่อยง่ายจริง”
“หาหมอหรือยังมังคะ” ท่านหญิงเล็กถาม
“แล้ว...ไม่ต้องห่วง อ้อ รู้หรือยังว่า คนไทยได้เป็นนางงามจักรวาลแล้วนะ” ท่านป้าว่า
“อาภัสราหรือมังคะ”
“ใช่ คนแรกของประเทศไทย ดี..ฝรั่งจะได้รู้จักไทยแลนด์เสียมั่ง ไม่งั้นเขาก็ยังนึกว่าคนไทยยังขี่ช้างไปไหนมาไหนกันอยู่นั่น”
สามคนหัวเราะเบาๆ
“หญิงศศิ พาป้าไปห้องน้ำหน่อย”
“ทางนี้มังคะท่านป้า”
สองคนออกไป
“เจ้าพี่ท่านทันสมัยจริงๆ” ท่านชายวรจักรปรารภ
“แหม...ใครๆก็รู้”
“ไม่ใช่เรื่องนางงามจักรวาล เรื่องที่ท่านสู้กับฝรั่งมามาก เรื่องที่ฝรั่งชอบมองเมืองไทยผิดๆ”
จังหวะนี้ทอแสงรัศมีเดินเข้ามาอย่างเร็ว “ท่านพ่อ ท่านแม่”
“มาเป็นพายุ มีอะไร ไปเฝ้าท่านป้าแขไขมาไม่ใช่รึ” ท่านหญิงเล็กถาม
“หญิงโกรธพี่ชายเดียว...โกรธที่สุด” หญิงทอแสงบอก
“เรื่องอะไร” ท่านหญิงเล็กถามด้วยน้ำเสียงธรรมดา
“ท่านแม่...ไม่ทรงคิดว่าเรื่องมันใหญ่มั่งหรือคะ ทำเสียงเฉยมากเลย” ทอแสงรัศมีบอก
ท่านหญิงเล็กร้องอ๋อ “อ๋อ...เรื่องใหญ่หรือ”
ท่านชายวรจักรติง “หญิง..ลูกกำลังมีเรื่อง นั่งก่อนสิ”
ท่านหญิงเล็กลุกเดินไปอีกทาง หญิงทอแสงหน้าบึ้งๆ มองตามหลังแม่ไป
“มีอะไรลูก พี่ชายเดียวทำไม”
“เห็นผู้หญิงคนอื่นดีกว่าหญิงค่ะท่านพ่อ เอาอกเอาใจ อุ้มกันประคองกันอยู่นั่น”
“ใคร ผู้หญิงที่ไหน เอ๊ะ ทำไมชายเดียวเป็นอย่างนั้น”
“ผู้หญิงไม่มีหัวนอนปลายเท้าเลยค่ะ..ไม่มีสกุลเลย”
ท่านป้าเดินยมาได้ยินพอดี “ทอแสง” เรียกเสียงเข้มจัด
ทอแสงรัศมีตกใจ “ท่านป้า...” เปลี่ยนท่าทีได้เก่งมาก “เด็จมาเมื่อไหร่มังคะ”
“จนจะกลับแล้ว ก็ยังกลับไม่ได้”
หญิงทอแสงถามอุบอิบ “ทำไมหรือมังคะ”
“ก็เพราะได้ยินเธอพูดจิกหัวคนแบบนั้น ดูถูกคนน่าเกลียดมาก เธอคิดว่าเธอเป็นใคร สูงแค่ไหน ถึงเหยียดหยามเหมือนเขาอยู่ใต้ฝ่าเท้าเธอ”
หญิงทอแสงนิ่งอั้น
“สั่งสอนลูกเสียมั่งชายวรจักร หญิงอัปสรา ที่ที่เราเกิดไม่ได้ทำให้เราสูงกว่าคนอื่นหรอกนะ ก็เป็นคนเท่าๆกันนั่นแหละ” ท่านป้าเดินออกไป ข้าหลวงรีบหยิบกระเป๋า เดินตามไปเร็วๆ
ทางนี้นิ่งเงียบ ไปไม่ถูกเลย
ขณะเดียวกันที่บ้านปัณณธร จันทร์คุยอยู่กับคุณหญิงเพ็ง
“ทำไมไม่ไปกับลูก ปล่อยไปคนเดียวได้ไง”
“กลัวค่ะ ...ท่านหญิงพักตร์เฉยมาก”
“น่าจะปฏิเสธไปนะจันทร์”
จันทร์หน้าสลดลง บวกกับความวิตกกังวล
“ได้ยินว่ามาที่นี่ทีไรมีพระอารมณ์เรื่อยๆ รึจันทร์ ..แม่ได้ยินริมาบ่นๆ อยู่มันก็แปลกดี”
จันทร์ตอบไม่ถูก
“ลูกชายก็มาวิ่งเล่นอยู่บ้านนี้ ทำไมถึงไม่เกรงใจเรา...” คุณหญิงมองหน้าจันทร์ “ริมาบอกว่าเป็นเฉพาะกับลูกด้วย..ใช่ไหมจันทร์”
จันทร์นิ่งงัน
คุณหญิงเดินไปบ่นไป “ตอนท่านเสกกับท่านชาย ลือลั่นกันว่าเหมือนกิ่งทองใบหยก ต่อมาก็ได้ยินว่าท่านชายทรงมีหม่อมเสียแล้ว ก็คงเพราะพระนิสัยเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายแบบนี้ล่ะ” คุณหญิงเดินลับตัวไป
เย็นนั้นสีหน้าท่านหญิงเครียดจัด นั่งห้อยเท้าอยู่ริมเตียง มือสองข้างท้าวอยู่ข้างๆ ตัว กิริยาอาการเหมือนว่ากำลังอดกลั้นใจอย่างหนัก สักครู่ทนไม่ไหว
“เฟือง”
เงียบ
“เฟือง...มาหาหญิงเดี๋ยวนี้” เงียบกริบ “มาเดี๋ยวนี้นะ” เงียบอยู่อย่างนั้น “เฟือง”
ผีนางเฟืองนั่งบนที่สูงหลังตู้ ด้านหลังท่านหญิง เห็นชัดว่าใจหวาดหวั่น
“หญิงบอกให้เฟืองออกมา..ออกมา เราต้องพูดกัน” ท่านหญิงเสียงดังมากขึ้นเพราะหมดความอดทน “ออกมา...”
ร่างของนางเฟืองทำท่าเหมือนจะสลายไป ท่านหญิงเหลียวกลับมาเห็นพอดี
ปีศาจนางเฟือง มองสบตา เหมือนจะร้องไห้นัยน์ตาแดงก่ำ
ท่านหญิงชี้มือเรียกอารมณ์แรงๆ “ลงมานะ มาพูดกัน”
ร่างของนางเฟืองเหมือนจะหายไป จางไปเกือบหมดแล้ว
ท่านหญิงพูดด้วยเสียงคุมสติอยู่ เสียงเบาแต่เข้มจัด
“ถ้าไป..ก็ไม่ต้องกลับมาอีกเลย ไปให้พ้นถึงกลับมาฉันจะไม่พูดด้วย เราอยู่กันคนละโลกก็ให้ขาดกันไป”
พริบตาเดียว นางเฟืองหมอบอยู่แทบเท้า
“ยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ทำกับเขาอย่างนี้ได้ยังไง”
นางเฟืองหมอบนิ่ง
“ถ้าเขาเป็นอะไรไปใครเดือดร้อน มีความคิดบ้างไหม”
“มันทำเสน่ห์เล่ห์กล คุณชายไม่ยอมไปเรียนต่อเพราะมัน ท่านหญิงไม่สบายพระทัย บังคับคุณชายก็ไม่ได้ เดี๋ยวท่านชายก็มาพิโรธท่านหญิงของหม่อมฉัน”
ท่านหญิงสวนทันที “ท่านชายเด็จไปสวรรค์แล้วไม่เหมือนเอ็งหรอกนังเฟือง”
นางเฟืองตะลึงงัน
“ไปไหนก็ไม่ได้เพราะจิตใจอาฆาตพยาบาท เป็นสัมภเวสีเร่รอนคอยรังควราญผู้คนอยู่อย่างนี้ หลอกหลอนคนในบ้านจนเขาระอากันหมดกลัวเขาก็ไม่กลัวแล้วจะบอกให้ นี่ยังบังอาจไปหลอกทำร้าคนนอกบ้าน คิดดูมั่งรึเปล่า เอ็งให้ข้าออกไปตามตัวเขามา เอ็งยังบังคับชายเดียวให้พาเขาไปที่เรือนเอ็ง แล้วเอ็งก็จะทำร้ายเขา เห็นแก่หน้าข้ากับคุณชายบ้างมั้ย เขามาตายที่วังนี้อะไรจะเกิดขึ้น”
“ก็ท่านหญิงคิดว่ามันเป็น...”
“เรารู้รึยังล่ะว่าใช่หรือไม่ใช่ หรือถึงใช่เอ็งก็ทำอะไรเขาไม่ได้”
“ทำไมจะไม่ได้”
“เอ็งหยุดเดี๋ยวนี้...นังเฟือง” นางเฟืองทำท่าจะเถียง “ข้าบอกให้หยุด..หยุด”
นางเฟืองหมอบลงไปจนแทบติดพื้น แล้วค่อยๆ พลิกหน้าแหงนเงยช้าๆ มองท่านหญิงสายตาเสียใจลึกซึ้ง นัยน์ตาแดงก่ำด้วยความกดดัน
“เอ็งทำอะไรเขาไม่ได้..อย่าทำเป็นอันขาด ถ้าไม่เชื่อ เอ็งไม่ต้องอยู่วังนี้อีกต่อไป ข้าจะไปหาคนมาขับไล่เอ็ง”
น้ำตาปีศาจเฟืองค่อยๆเอ่อ ไหลริน ผ่านดวงตาแดงก่ำสู่ใบหน้าซีดขาว เสียงสะอื้นสะท้อนขึ้นมาจากอก เป็นเสียงแหบพร่า ก้องกังวานอยู่ในห้อง แล้วร่างนั้นก็ค่อยๆ คลานเข่าออกไปอย่างเศร้าสร้อย ร่างจางหายไปตามลำดับ ทิ้งไว้แต่เสียงสะอื้นที่ดัง แล้วแผ่วหายจนในที่สุด
ท่านหญิงประทับยืนนิ่งงงงัน อารมณ์แรงค่อยๆผ่อนลง จากหายใจหอบแรง เบาลงๆตามลำดับ
ผ่องถือถาดใส่ถ้วยชา ได้ยินทุกคำ
ส่วนผีนางเฟืองหมอบนิ่งกับพื้นที่เรือนข้าหลวง คิดถึงความหลัง
วันนั้นผ่องนั่งหน้าเศร้าอยู่ที่ครัว คุยอยู่กับสาลี่
“มันร้ายไม่มีจบ ไม่มีสิ้น ตั้งแต่เป็นจนตาย”
“พี่เฟืองเขาจงรักภักดีท่านหญิง คนซื่อสัตย์อย่างนี้หายากนะพี่สาลี่”
“ซื่อสัตย์กับเจ้านายน่ะดี แต่ซื่อสัตย์จนฆ่าคนอื่นนี้ แกว่าดีเรอะผ่อง”
“พี่รู้ได้ไงว่าพี่เฟืองเขาฆ่า ยังไม่รู้แน่ อย่าพูดดีกว่าพี่สาลี่” ผ่องเถียง
“ไม่งั้นมันจะตกนรก เร่ร่อนเป็นผีเที่ยวขอส่วนบุญอยู่งี้เรอะ”
ผ่องนิ่งอึ้งไปอึดใจ เถียงไม่ถูก “ยังไงพี่เฟืองเค้าก็ดีกะชั้น” ผ่องลุกพรวดแล้วเดินหนีไปทันที
สาลี่พูดตามหลัง “เออ...ข้าก็ไม่ว่าเอ็งหรอก”
“ป้าสาลี่ ระวังป้าเฟืองเขาได้ยินหรอก ไม่เข็ดเรอะ” พิกุลเอ่ยขึ้น
“เข็ดอะไรนังพิกุล” สาลี่สงสัย
“เอ๊ะ ป้ากำลังจะพูดว่าไม่กลัว......เอ่อ...”
พิกุลเหลียวซ้ายขวา ไกลออกไปผีนางเฟืองนั่งอยู่ในเงามืด ได้ยิน แต่กำลังหมองเศร้า
“ผีป้าเฟืองรึ” พิกุลพูดต่อ
“ผีทำอะไรคนไม่ได้หรอก ถ้าคนมีสติซะอย่าง นังพิกุล จำไว้”
นางเฟือง หันมามองสาลี่ ช้าๆ สีหน้าตรึกตรอง
เย็นนั้น สนขับรถเข้ามาจอดหน้าตึกบ้านปัณณธร ชายเดียวกับรุ้งลงมา เดินมาด้วยกัน รุ้งหยุดเดิน
“คุณชาย”
“หือม์”
“รุ้งจะไม่เล่าเรื่องนั้นให้แม่ฟัง”
“เรื่องนั้น...อ๋อ....เพราะอะไรหรือ”
“แม่คงไม่สบายใจที่รู้ว่ารุ้งเป็นลม..อยู่ดีๆ ก็เป็นลม”
“นั่นสิ ทำไมรุ้งถึงเป็นลม แล้วยังทำท่าเหมือนเห็นอะไรบางอย่างรุ้งเห็นอะไรเหรอ”
รุ้งนิ่งงัน ก่อนพูดออกมา
“ไม่เห็น รุ้งไม่ได้เห็นอะไรเลยค่ะคุณชาย”
จันทร์นั่งเฝ้าดูสองคนอยู่ในบ้าน สีหน้าไม่สบายใจมาก
แค้นเสน่หา ตอนที่ 8 (ต่อ)
ตกตอนกลางคืน ในห้องนอนของจันทร์และรุ้งที่บ้านปัณณธร จริมาแวะมาคุยกับ 2 แม่ลูก
“พบใครมั่งลูก”
“ท่านหญิง ข้าหลวงที่ชื่อผ่อง ชื่อพิกุล แล้วแม่ครัวที่ชื่อป้าสาลี่จ้ะ”
“ท่านหญิงรับสั่งกับรุ้งว่าไงบ้างลูก”
“ไม่ดีหรอก ใช่มั้ย” จริมาพูดเป็นเชิงถามขึ้นทันที
“ดีค่ะ”
“ไม่เชื่อ ไม่เห็นเคยพูดดีกะใคร หน้าตาบึ้งตึงตลอดเวลา กับน้าจันทร์น่ะเหรอ บางทีพูดยังไม่มองหน้าเล้ย เฮ้อ..เสียอารมณ์จริงๆพูดถึงคนวังนี้นอนดีกว่า” จริมาล้มตัวลงนอนอย่างแรง
“รุ้ง..ต่อไปถ้าคุณชายชวนรุ้งไปวังของเธออีก แม่ว่ารุ้งอย่าไปเลยนะลูก” จันทร์เอ่ยขึ้น
จริมาหันหลังให้แต่ลืมตาฟังอยู่
รุ้งมองหน้าแม่นิ่งอยู่สักครู่ “จ้ะแม่”
จันทร์อึ้งไปนิด ที่ลูกสาวรับคำอย่างดี “แม่จะไปดูคุณลุง” จันทร์ลุกเดินออกไป
จริมากระเด้งตัวขึ้นนั่ง หน้าตาครุ่นคิดหนัก
“ทำไม...ตัวเล็ก”
“ทำไมน่ะเหรอ ทำไมริมาไม่ถามแม่จันทร์ล่ะคะ”
“ไม่ได้คำตอบแน่นอน...เดาซิ”
“เดาไม่ถูกค่ะ...นอนเถอะ”
“นี่ตัวเล็ก ทีหลังน้าจันทร์ห้ามอะไรแบบนี้ต้องถามเหตุผล เข้าใจมั้ย”
“ก็รุ้งไม่อยากรู้”
จริมาขัดใจนัก “ต้องอยาก คนเราทำอะไรต้องมีเหตุผล...”
“รู้ว่ามีเหตุผล แต่ไม่อยากรู้”
“ริมาว่าน่าจะเพราะน้าจันทร์น่ะ ไม่ชอบท่านหญิง”
“ไม่จริงหรอกริมา แม่จะไม่ชอบท่านเพราะอะไร”
“ไม่รู้”
“งั้นริมาคิดว่าไม่ชอบคุณชายเดียวเพราะอะไร” รุ้งถามทันที ตรงๆ
“ไม่ชอบ...ไม่มีเหตุผล” พร้อมกับทิ้งตัวลงนอนอย่างแรง แล้วลุกพรวดขึ้นเผชิญหน้ารุ้งอีก “ไม่ต้องบอกว่าให้หาเหตุผล หาแล้ว...ไม่มี”
“พูดอยู่เมื่อกี้ว่าคนเราทำอะไรต้องมีเหตุผล...พูดเองรึเปล่าคะ”
จริมาตอบไม่ได้
สารภีเคาะประตูเข้ามา
“คุณริมา คุณพ่อให้หาค่ะ”
จริมาหันมามอง
“หนูรุ้งด้วย” สารภีบอกต่อ
เวลาต่อมาพจน์นั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวใหญ่ในห้องทำงาน จริมานั่งอยู่ที่พื้นอิงๆ ขาของพ่อ รุ้งนั่งพับเพียบห่างออกมาหน่อย จันทร์นั่งเก้าอี้อยู่อีกทาง ติดกับคุณหญิงเพ็ง
“รุ้งสอบเมื่อไหร่” พจน์มองรุ้ง
“อีกเดือนหนึ่งค่ะ” รุ้งบอก
“สอบเสร็จริมาเตรียมตัวไปเรียนต่อ พ่อให้คนติดต่อมหาวิทยาลัยไว้ให้แล้ว ริมาต้องกรอกใบสมัคร ส่งประวัติ ต้องส่งผลการทดสอบภาษาอังกฤษไปด้วย”
“ริมาต้องอยู่จนจบเหมือนพี่ฉัตต์ใช่มั้ยคะ”
“ใช่ เรียนจบถึงจะกลับได้”
“ถ้าเกิดคุณพ่อไม่สบาย หรือใครเป็นอะไร” เสียงจริมาตะกุกตะกัก
“ก็ไม่ต้องกลับ ไม่จำเป็น ทางนี้ดูแลกันได้” พจน์บอกเป็นเชิงสั่ง
“คุณพ่อ” จริมาครางเสียงแผ่ว
“ริมาโตแล้ว คิดอย่างมีเหตุผลนะลูก ขอให้ตั้งใจมุ่งมั่นทำหน้าที่ของตัวให้ดีที่สุด ทำไมพ่อจะไม่อยากให้ริมากลับมาหาพ่อในเวลาที่พ่อ....หรือคุณย่าเจ็บหรือตาย” พจน์พูดด้วยน้ำเสียงธรรมดา
จริมากัดฟันแน่นพยายามไม่ร้องไห้
“ทำไมพ่อถึงไม่อนุญาตให้กลับมา ริมารู้มั้ยลูก”
“ไม่ทราบค่ะ...ไม่ทราบ” จริมาถอนสะอื้นแรงๆ “ริมาไม่อยากไป ไม่ไปได้มั้ยคะ”
“ลูกสาวพ่อหรือนี่” พจน์เย้า
จริมาสะอื้นถี่ๆ จนตัวสั่น
“นั่นสิ ลูกสาวผู้พิพากษาหรือนี่ ความมีเหตุผลหายไปไหน คิดว่าพ่อเขาอยากออกคำสั่งทำร้ายจิตใจลูกสาว ทำร้ายจิตใจแม่ ทำร้ายจิตใจตัวเองอย่างนั้นหรือ” คุณหญิงเพ็งเอ่ยขึ้น
จริมาร้องไห้เสียงดังอย่างอดกลั้นไม่ไหว รุ้งเข้าไปนั่งใกล้ กอดไว้
“ถ้าริมากลับมา ริมาจะไม่มีวันกลับไป ถึงเวลานั้นริมาจะไม่คิดถึงเรื่องเรียนเลย พ่อต้องการให้ริมากับฉัตต์เรียนให้จบ ฉัตต์จบปริญญาโท ริมาจบปริญญาตรีพอดี กลับเมืองไทยพร้อมกัน”
จริมาพยายามเช็ดน้ำตา
“พ่อพจน์บอกไปเถอะว่าเรามีเงิน ที่จะส่งลูกสองคนเรียนจนจบเท่านั้น ไม่มีสำหรับค่าเรือบินไป-กลับ” คุณหญิงบอก
“ใช่ พ่อไม่มีเงินมากนัก เงินเดือนข้าราชการที่พ่อเก็บไว้สำหรับลูกสองคนเรียนหนังสือ คุณย่าให้เงินบำนาญของคุณปู่ที่คุณย่าเก็บไว้จำนวนหนึ่ง”
คุณหญิงหันมาทางรุ้ง “ส่วนรุ้ง ย่าจะส่งให้เรียนจนจบมหาวิทยาลัย จะไปเรียนปีนังหรือสิงคโปร์ก็ได้”
รุ้งกราบลงแทบเท้ายืนยันคำเดิม “รุ้งจะเรียนพยาบาลค่ะ”
คุณหญิงเพ็ง พจน์ และจันทร์ ทุกคนรู้เหตุผล
คุณหญิงวางมือบนหัวรุ้งนิ่งๆ “ไม่เป็นไร คุณลุงหรือย่าเป็นอะไรก็ไปอยู่โรงพยาบาล”
“รุ้งจะเรียนพยาบาลค่ะ รุ้งไม่เปลี่ยนใจ”
“ย่าอยากให้รุ้งเรียนมหาวิทยาลัย รุ้งเคยบอกย่าว่าอยากเป็นครูไงลูก”
“ใช่” พจน์เสริม
รุ้งกราบเท้าพจน์เงยหน้าขึ้นมอง สีหน้าบอกว่าไม่เปลี่ยนใจ จันทร์ซับน้ำตา สบตากับพจน์ สงสารพจน์ จริมามองเห็นทั้งสองคน
คุณหญิงย่าเดินออกไป รุ้ง และริมา เดินตาม จริมาหันกลับไปดู เห็นพจน์ยืนหันหลัง มองออกไปนอกหน้าต่าง โดยจันทร์รินน้ำชาใส่ถ้วย อยู่ตรงโต๊ะที่พจน์นั่ง
“รุ้ง พาคุณย่าไปห้องนะ ริมาจะลงไปข้างล่าง” จริมาเดินไปทางบันได
“ค่ะ” รุ้งพาคุณหญิงเดินไปทางห้องท่าน
จริมาย่องกลับมาแอบดู
พจน์หันมา “จันทร์คงคิดว่าพี่ใจร้าย”
จันทร์นิ่ง
“พี่จะให้ริมาเห็นพี่ตายไม่ได้”
จริมาได้ยิน ปิดปากกลั้นเสียงร้อง
“ริมาไม่เข้มแข็งเหมือนรุ้ง ถึงพี่ตายก็ไม่ต้องบอกจนกว่าเขาเรียนจบ”
“ดิฉันทำไม่ได้”
พจน์เดินเข้ามาใกล้จ้องหน้าจันทร์ ยกมือเช็ดปาดน้ำตาให้เบาๆ “อย่าร้องไห้ พี่อยากเห็นน้อง
เข้มแข็ง....ดูแลลูกสองคน แม่หนึ่งคน พี่ไม่มีชีวิตอยู่ทำเองได้ พี่ไม่มีใครช่วยพี่ได้ ญาติพี่น้องเขาก็มีภาระของเขา”
“คุณฉัตต์กับคุณริมาจะไม่รู้หรือคะ ถ้าไม่มีจดหมายของคุณพี่เขียนส่งไป”
“พี่หาทางแก้ไขไว้แล้ว น้องไม่ต้องห่วง สองคนจะไม่รู้แน่”
จันทร์มองตาพจน์ พจน์สวมกอดจันทร์อย่างนุ่มนวล
จริมาค่อยๆ ถอยจากตรงนั้นไป
เวลาต่อมาพจน์นั่งเขียนจดหมาย หลายฉบับ สีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจ จันทร์วางเครื่องดื่มร้อนๆ มองสงสาร พจน์ไม่มองจันทร์ ก้มหน้าก้มตาเขียน
จริมานอนละเมอร้องไห้ออกมา น้ำตานองเต็มหน้า รุ้งลุกขึ้นมาดู แปลกใจ จริมาหันมาลืมตา
“ริมา...เป็นอะไร ฝันร้ายเหรอคะ”
จริมาลุกขึ้นมา งงนิดๆ รวบรวมความคิด ถอนใจยาวๆ “ตัวเล็ก ริมาไม่อยู่ฝากคุณย่ากับคุณพ่อด้วยนะ”
รุ้งยิ้มสว่างทั้งใบหน้า จับมือสองมือของจริมาตอบรับด้วยกิริยา
เด็กสาวสองคนจับมือกันอยู่บนเตียง แล้วรุ้งก็กอดจริมา ด้วยกิริยาของคนที่เข้มแข็งกว่า ลูบหลังเบาๆ จริมา สะอื้นในอก
“ริมา...เป็นอะไรร้องไห้ขนาดนี้” รุ้งได้แต่ถามอยู่อย่างนั้น
วันรุ่งขึ้น ที่บริเวณท่าน้ำ จริมาอยู่ในชุดนักเรียน ถามจันทร์ด้วยเสียงจริงจัง
“ทำไมน้าจันทร์ไม่บอกริมาว่าคุณพ่อกำลังจะตาย”
จันทร์ตกตะลึง หันไปทางรุ้งทันที
“ตัวเล็กรู้แล้วริมาบอกเอง ตัวเล็กนั่นแหละเป็นคนบอกให้ริมาพูดกับน้าจันทร์ตรงๆ ริมารู้ว่าคุณพ่อไม่ให้บอก...ทำไมคะ”
“คุณพจน์ไม่อยากให้คุณริมาเห็นคุณพ่อไม่สบาย”
“คุณพ่อเป็นพ่อ ริมาเห็นได้ไม่ว่าคุณพ่อจะเป็นยังไง ทำไมมันทรมานมาก หรือมันไม่น่าดู หรือ...”
“ท่านกลัวคุณริมาขวัญเสีย ไม่ยอมไปเรียนต่อ”
“แต่ตอนนี้ริมาเสียใจมาก คุณพ่อบอกว่าใครจะเป็นจะตายไม่ให้บอกริมากับพี่ฉัตต์ มันไม่ยุติธรรมเลยนะคะ เราเป็นลูกมากีดกันเราได้ยังไง”
จันทร์นิ่งอึ้ง จริมาปาดน้ำตา
“ริมาจะทำยังไง ไม่ไปเรียนเหรอ” รุ้งถาม
สีหน้าจริมา จากเศร้าเปลี่ยนเป็นเข้มแข็ง...ตัดใจ
“ไป...ริมาจะไป ริมาจะไม่ทำให้คุณพ่อเสียใจ แต่น้าจันทร์กับตัวเล็กต้องมีข้อแลกเปลี่ยน”
“อะไรคะ”
“น้าจันทร์ต้องซื้อตั๋วเรือบินให้ริมากลับมาดูใจคุณพ่อถ้าไม่สัญญา ริมาไม่ไป”
จันทร์นิ่งฟังอย่างตื่นตะลึง
เสียงสำเนียงบ่นว่าสำลี ดังขึ้นในห้องครัว บ้านปัณณธร อีกวันหนึ่ง
“สำลี เอ็งโม่แป้งให้มันกระฉับกระเฉงกว่านี้ได้มั้ยวะ”
สำลีวางมือ “นวดเองดีกว่ามั้งแม่”
จันทร์กับรุ้งนั่งทำงาน มองหน้ากันอยู่ สีหน้าเศร้าทั้งคู่
“ดู๊...ลูกคนนี้ไม่ตกฟากนะเอ็งนังสำลี”
“คุณจันทร์ แม่จะทำขนมบุหลันดั้นเมฆค่ะ”
“ทำไมเกิดอยากทำล่ะคะป้าเนียง” จันทร์ถาม
“อิฉันจะลองทำ คุณจันทร์ช่วยดูสีดอกอัญชัญหน่อย อิฉันคั้นแล้วรู้สึกสีจะจางไปนะคะ สีต้องหม่นๆเหมือนฝนจะตกใช่มั้ยคะ”
“ทำเสร็จแล้ว รุ้งขอซักถาดหนึ่งนะคะป้าเนียง”
“ขอทำไมลูก”
“คุณชายเดียวอยากทาน เมื่อวานป้าสาลี่ไม่ทันได้ทำ รุ้งกลับเสียก่อน เสร็จแล้วให้ลุงแนบเอาไปให้ที่วังนะคะแม่ วันนี้วันอาทิตย์คุณชายจะได้ทานก่อนเข้าโรงเรียน”
จันทร์มีสีหน้าไม่ดีตั้งแต่ได้ยิน
เย็นวันนั้น ศักดินาถีบจักรยานมาถึงหน้าบ้านปัณณธร แลเห็นจริมาถีบจักรยานเลี้ยวออกไป หน้าหมอง กิริยาตั้งหน้าตั้งตาถีบ
จริมามาถึงบ้านสวนริมน้ำ ของหนูตุ่น เย็นจวนค่ำ ก้อนหินจากมือจริมา โยนลงน้ำทีละก้อน
หนูตุ่นเอาขันน้ำฝนมาวางให้
“ขอบใจ หนูตุ่น”
“แม่ให้ถามว่ากินข้าวมั้ย...คะ”
“ไม่...เดี๋ยวกลับแล้ว”
“ค่ะ” หนูตุ่นออกไป
จริมาคิดไปคิดมา ก้มหน้าซบกับเข่า แล้วร้องไห้สะอึกสะอื้น ศักดินายืนจ้องนิ่งๆ...เกิดความสงสัย ขยับตัวเดิน เท้าชายเดียวเหยียบใบไม้เข้ามา
“บอกแม่ว่าไปเดี๋ยวนี้ หนูตุ่น” จริมาเก็บข้าวของ มีหนังสือ 2-3 เล่มกับย่าม 1 ใบ พอเก็บเสร็จ ยืนนิ่งอึ้งอยู่สักครู่ กิริยาหมองเศร้าลงไปอีก สายตาชายเดียว สงสัยมากขึ้น
จริมาลุกขึ้น เจอชายเดียวยืนมองอยู่
“คุณชาย...มาจากไหนเนี่ย”
“ตามคุณมา”
“ตามมาทำไม ตามมาจากไหน เมื่อไหร่”
“ริมาเป็นอะไร ร้องไห้ทำไม”
“ไม่เป็นอะไร ร้องเล่นๆ”
“ริมา” ชายเดียวเข้ามาใกล้ ยกมือแตะคาง
จริมาปัดออกเต็มแรง “อะไรกันเนี่ย”
“แค่จะดูน้ำตาคุณให้ถนัดๆ เท่านั้น ขอโทษด้วยนะ”
“ไม่มีน้ำตา ไม่ได้ร้องไห้ จะกลับแล้ว”
“เดี๋ยวสิครับ...ขอพักเหนื่อยแป๊บ”
“ฉันไม่เหนื่อย” จริมาออกไปทันที
ชายเดียว นั่งลงไม่สนใจ แต่หน้าเสียไปเหมือนกัน จริมาเดินเร็วๆ แรงๆ จากไป ชายเดียวนั่งต่อคาดไม่ถึง เสียงเดินกลับมา
ชายเดียวรีบบอก “ไปเดี๋ยวนี้” พอหันไป เจอหนูตุ่นยืนหน้าเหรออยู่ “อ้าว หนูตุ่นเองเหรอ มีอะไร”
หนูตุ่นยื่นขันน้ำให้
“ขอบใจ” ชายเดียวรับมาดื่ม จนเกือบหมดขัน
“หายเหนื่อยรึยังคะ” หนูน้อยถาม
ชายเดียวหัวเราะขำ “ทำไม”
“หายแล้วก็รีบกลับ เดี๋ยวค่ำกลับลำบาก”
“อ๋อ ขอบใจมาก”
“คุณริมาบอกว่า คอยอยู่หน้าสวนค่ะ”
ศักดินาอึ้ง ประทับใจ ผู้หญิงคนนี้มีอะไรให้ คาดถึงอีกแล้ว
เย็นจวนใกล้ค่ำ สองคนขี่จักรยานมาด้วยกัน
“ขอบคุณนะที่คอย” ชายเดียวเอ่ยขึ้น
“จวนมืดแล้ว คนไม่ชำนาญทาง ก็จะลงหลุมลงบ่อ หกกะล้มหกกะลุกนอนเจ็บอยู่แถวนี้ ฉันจะบาปเปล่าๆ”
“ริมา...คุณเป็นคนใจดี ทำไมต้องแกล้งทำเป็นคนใจดำ”
“เฮ้ย..ฉันเป็นคนใจดำที่แกล้งทำเป็นคนใจดีต่างหาก”
ชายเดียวราเท้าแล้วหยุดรถ จริมาหยุดด้วย
“หยุดทำไมคุณชาย”
“คุณมีเรื่องเศร้า…”
จริมานิ่งอึ้ง “คุณรู้ได้ไง”
“ผมเห็นในสายตาคุณ...มีอะไร เล่าได้มั้ยครับริมา”
จริมานิ่งไปสักครู่ “ไม่หรอก...ไม่เศร้าเท่าไหร่ เมื่อวานสิเศร้ากว่านี้”
“เราเป็นเพื่อนกันนะ เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ ถึงคุณจะไม่ค่อยชอบผม แต่ผมก็ชอบคุณ”
“เฮ้ย..ได้ไง” จริมาโวย
“ชอบคุณแบบเพื่อน”
“อ้าว แล้วชอบใครแบบไม่ใช่เพื่อน” จริมาต่อปาก
ชายเดียวไม่ต่อคำ “คุณเป็นน้องของพี่ฉัตต์ ที่เป็นพี่ชายที่ผมรักมาก ผมก็ต้องรู้สึกว่า คุณเป็น...”
“เฮ้ย พูดให้ดีๆคุณชาย”
“พูดดีแล้ว ริมา คุณเป็นน้องสาวของพี่ชายที่ผมรักมาก ผมไม่มีวันรู้สึกไม่ดีกับคุณ”
“ก็...ควรเป็นอย่างนั้น”
ชายเดียวคาใจอยู่ “มีอะไรเศร้าเหรอริมา”
จริมานิ่งเงียบไปสักครู่ แล้วจะถีบต่อ ชายเดียวจับแฮนด์รถไว้ทันที มองหน้าจริมาสายตาเข้ม
“คุณพ่อไม่สบายมาก ฉันไม่อยากไปเรียนต่อ แต่คุณพ่อไม่ยอม..ฉันก็เลยต้องไป ทั้งๆ ที่ฉันเป็นห่วงคุณพ่อที่สุด...ฉันไม่อยากไป อยากเรียนในเมืองไทย”
“คุณบอกท่านรึเปล่า”
“บอก...ฉันบอกตั้งหลายหน แต่ทั้งคุณพ่อกับคุณย่าไม่ยอม”
“คุณว่าทั้งคุณพ่อคุณย่าทำไม่ถูกเหรอที่บังคับให้คุณไป”
จริมานิ่งเงียบ สีหน้าไม่สบายใจเลย
“ทั้งสองคนต้องเลือกอะไรที่ดีที่สุดให้คุณอยู่แล้วนะริมา”
“ก็เพราะอย่างนั้นน่ะสิ”
“รุ้งล่ะ ต้องไปด้วยใช่มั้ย”
สีหน้าจริมาเปลี่ยนไปนิด นึกว่าเขาเป็นห่วงรุ้ง “ถามรุ้งสิคุณชาย”
“ทำไมล่ะ คุณไม่รู้เหรอ”
“ฉันตอบเรื่องของฉัน เรื่องของรุ้งคุณต้องฟังจากปากรุ้งเอง”
สีหน้าชายเดียวพิศวงว่าทำไม
สองคนขี่จักรยานมาเงียบๆ จนถึงหน้าบ้านปัณณธร ประตูเปิด แนบขับรถออกมาจอด
“แนบไปไหน”
“เอาขนมไปส่งที่วังครับ คุณริมา”
“อ๋อ...”
ชายเดียวบอก “เดี๋ยวผมเอาไปเอง”
“อย่าเลย คุณชายถือไม่ถนัดหรอก”
แนบขับรถไป
“รุ้งทำขนมให้คุณชาย เขารู้ว่าคุณชายอยากทาน”
“ผมขอรุ้งให้ทำถวายหม่อมแม่” ศักดินาบอก
“รุ้งเก่ง ทำกับข้าว ทำขนมเป็นทุกอย่าง” จริมาหัวเราะสดใส “เขาเป็นแม่ศรีเรือนนะ”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น” นัยน์ตาชายเดียวเป็นประกาย
“ฉันจะเข้าบ้านล่ะ คุณชายกลับบ้านเถอะ”
“ผมยังไม่ได้พบรุ้งเลย”
“อ้าว...งั้นเหรอ...งั้นก็...ไปสิ นัดกันเหรอ” จริมาจูงจักรยานเข้าบ้าน
“ทำนองนั้น” ศักดินาตามเข้ามา
“งั้นก็...ฉันไปก่อนนะ คุณชายไปหารุ้งแล้วกัน”
“ครับ” ชายเดียวรับคำอย่างเร็ว
จริมาหันหลังกลับ สีหน้าเรียบเฉยนิ่งสนิท ขึ้นรถแล้วถีบไป
จันทร์กับรุ้งเดินออกจากครัว ตรงไปที่ตึก รุ้งถือจานขนม
“รุ้งเอาขนมไปให้คุณย่านะลูก แม่จะไปคุยกับคุณละเมียดเรื่องจัดของสังฆทานให้คุณลุง”
“เมื่อไหร่เหรอคะแม่”
“วันอาทิตย์นี้” จันทร์มองไปเห็นอ่อนวิ่งแกมเดินตรงมา “อ่อน...”
อ่อนวิ่งมาถึง
“อ่อนมีอะไร”
“คุณชายเดียวมาขอพบคุณรุ้งค่ะ คุณจันทร์”
จันทร์ชะงัก รุ้งทำท่าจะไป ถามเบาๆ “อยู่ไหน” อ่อนตอบเร็ว “หน้าตึกค่ะ “
“อ่อนมาก็ดีแล้ว ไปช่วยขุดข่าให้หน่อย เลือกหน่อแก่ๆ นะ ฉันจะทำน้ำพริกข่า รุ้ง..ไปช่วยอ่อนขุดข่า”
“แม่จันทร์...ทำไมคะ” รุ้งหยุดชะงัก งงงัน
“คุณจันทร์จะทำเมื่อไหร่คะ”
“พรุ่งนี้”
“ขุดพรุ่งนี้ไม่ดีกว่าหรือคะ...สดๆ”
“ฉันบอกให้ขุดวันนี้” เสียงจันทร์คล้ายตวาดเล็กๆ “รุ้ง...ไปสิค่ำแล้ว รีบไปช่วยกัน อ่อนคนเดียวไม่ได้เยอะหรอก เดี๋ยวไม่พอ”
รุ้งรู้เหตุผล หน้านิ่งขึ้นมานิด “ค่ะแม่ แต่แม่ต้องไปบอกคุณชายนะคะ ว่ารุ้งไม่ออกไปพบ เดี๋ยวคุณชายคอยตาย”
“แม่รู้แล้ว” จันทร์เดินไปทันทีรุ้งยืนอึ้ง
ที่หน้าตึกบ้านปัณณธร ศักดินายืนตัวตรง มือไขว้หลัง กิริยาสง่างาม ไม่วอกแวกอยู่ตรงนั้น จันทร์แอบมองลูกชาย สายตาหมองเศร้ามาก ชายเดียวเริ่มรู้สึกว่านานแล้ว หันกลับมาชะเง้อมอง
จันทร์รีบเดินออกไป “คุณชาย”
ชายเดียวไหว้จันทร์ “คุณน้าครับ...สวัสดีครับ”
“รุ้งยังยุ่งอยู่ค่ะ คุณชาย”
“อ๋อ... ครับ ไม่เป็นไรครับ ผมเพียงแวะมาทักทาย”
“รุ้งจะยุ่งทุกวันเวลาเย็น ต้องดูแลเรื่องอาหารกับขนมค่ะ”
“ครับ...ผมขอโทษครับ งั้นผมลานะครับ”
“ดิฉันไปส่งค่ะ”
ชายเดียวจ้องหน้าจันทร์ นิ่งอยู่สักครู่ ใจสงบและอ่อนโยนลงอย่างน่าแปลกกับผู้หญิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า
“ครับ...ขอบคุณ”
ชายเดียวจูงจักรยานไป จันทร์เดินเยื้องไปข้างหลัง นัยน์ตามองจ้องลูกชายที่เห็นเสี้ยวหน้าก้มลงนิดๆ
เหมือนรู้สึกว่ามีคนมอง ชายเดียวหันมาทางจันทร์ จันทร์ถอนสายตาแทบไม่ทัน
ชายเดียวหัวเราะเบาๆ เขินๆ “ครับ คุณน้ามีอะไรหรือเปล่าครับ”
จันทร์ตอบด้วยท่าทีปกติ “เปล่าค่ะ...ไม่มี คุณชายหน้าเหมือนท่านพ่อนะคะ”
“คุณน้าเคยเห็นท่านพ่อผมด้วยหรือครับ”
“เห็นในรูปเมื่องานพระศพ”
“อ๋อ จริงครับ ใครๆ ก็บอกผมเหมือนท่านพ่อ ไม่เหมือนท่านแม่เลย”
จันทร์สะท้ออก ถอนใจหนักหน่วง
“คุณน้าครับ รุ้งจะไปเรียนเมืองนอกรึเปล่าครับ”
คืนนั้นจริมานอนเอกเขนกบนเตียง หนังสือวางบนอก หลับตา
จันทร์พับผ้า แล้วจัดผ้าให้เป็นระเบียบ “ไปอยู่เมืองนอกอย่าทำรกอย่างนี้นะคุณริมาดิฉันจัดให้วันเว้นวันนะคะ”
รุ้งทำมือปิดปาก บอกว่าจริมาหลับแล้ว
“คุณชายมาหารุ้งเรื่องอะไรคะแม่จันทร์” รุ้งกระซิบถาม “บอกรุ้งได้มั้ย”
“ทำไมจะบอกไม่ได้” จันทร์พูดเสียงเรียบเฉย จ้องหน้าลูก
รุ้งหลบตา
จันทร์ได้สติ เสียงดีขึ้น “จะมาถามว่ารุ้งไปเรียนเมืองนอกเมื่อไหร่”
“แม่จันทร์บอกว่าไงล่ะคะ”
“บอก...บอกแล้ว รุ้งจะเรียนที่เมืองไทย”
“เหรอคะ..เธอว่าไง”
จันทร์หน้าเครียดขึ้น รุ้งไม่ทันเห็น “เธอบอกว่า ตัวเธอก็จะเรียนเมืองไทย แม่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไม...เธอควรจะไปเรียนเมืองนอก”
จังหวะนี้จริมาลืมตา ได้ยินเต็มๆ
หลายวันต่อมา เวลายามเย็น ที่ท่าน้ำบ้านปัณณธร จริมาถือหนังสืออยู่ในมือ ทอดสายตามองสายน้ำเบื้องหน้า
เสียงจันทร์พูดกับรุ้งดังก้องในหู “พอแม่บอกว่ารุ้งไม่ไปเมืองนอก เธอก็บอกว่าจะเรียนเมืองไทย”
จริมานิ่งงัน สายตาเศร้าลึกซึ้งมาก
คืนเดียวกัน เสียงเคาะประตูดังขึ้น พจน์เก็บจดหมายที่กำลังเขียนอย่างรวดเร็ว
“เข้ามา”
จริมาเปิดประตูเข้ามา อยู่ในชุดนอน
“ริมาเหรอลูก...ยังไม่นอน”
“เพิ่งดูหนังสือเสร็จค่ะ สอบพรุ่งนี้” จริมาเข้ามานั่งแทบเท้าพจน์
พจน์ลูบผมเบาๆ “พร้อมหรือยัง”
“พร้อมค่ะ คุณพ่อไม่ต้องห่วง ริมารับรองไม่พลาด”
“พ่อรู้”
“ไม่พลาดที่ 1 ค่ะ”
“นั่นพ่อก็รู้เหมือนกัน”
จริมากอดขาซบหน้ากับขาพจน์ นิ่งอยู่
“สี่ปีเดี๋ยวเดียวนะริมา ตั้งใจเรียน”
“ค่ะ...คุณพ่อจะไปงานรับปริญญาของริมากับของพี่ฉัตต์...มั้ยคะ” น้ำเสียงจริมาแผ่ว และน้ำตาก็เอ่อเต็มตาเพราะรู้เต็มอก
“ไปสิลูก...ไม่ไปได้ไง”
จริมาปวดร้าวใจมาก
ไม่นานต่อมาจริมาเคาะประตูค่อนข้างแรง แล้วเปิดเข้ามาเต็มแรง ถลาพรวดเข้ามายืนเคว้งคว้าง จันทร์และรุ้งหันมาดูตกใจ
จริมาสะอึก สะกดกลั้นอารมณ์อยู่สักครู่ แล้วทนไม่ไหวระเบิดน้ำตาอย่างรุนแรง สะอึกสะอื้นเสียงดังน่าสงสารมาก สองคนรีบเข้ามาหา จันทร์รู้ดีว่าเพราะอะไร
“ริมา...เป็นอะไร”
จันทร์มองหน้ารุ้ง บอกด้วยสายตา รุ้งเข้าใจทันที
“น้าจันทร์...ริมาจะทนไม่ได้แล้วนะ อย่าให้ริมาไปเลย...ริมาไม่ไปไม่อยากไปไม่อยากทิ้งคุณพ่อ” จริมาสะอึกสะอื้น
จันทร์กอดปลอบโยน
“ตัวเล็ก...ช่วยด้วย”
เสียงรุ้งที่ถามเข้มแข็งมาก “ให้รุ้งช่วยอะไร”
“ช่วยกันขอคุณพ่อให้ริมาเรียนที่เมืองไทย..ได้มั้ยรุ้ง..น้าจันทร์ขา”
รุ้งมองจ้องหน้าจริมานิ่ง จริมาพยักหน้าขอร้อง
“ถ้าริมาไม่ไป รุ้งคิดว่าคุณลุงจะเสียใจผิดหวัง อาการของคุณลุงอาจจะแย่ลงคุณลุงอาจจะต้องจากเราไปเร็วขึ้น”
ก้อนสะอื้นในอกพุ่งขึ้นมาอย่างรุนแรงจนตัวจริมาสะท้านไปทั้งตัว
“ไป...แล้วรีบเรียน รีบกลับมา คุณลุงเห็นว่าริมากับคุณฉัตต์ทำอย่างที่คุณลุงหวังมาตลอด คุณลุงอาจจะอยู่ถึงวันที่ริมากลับมาก็ได้”
“รู้แล้ว ....รู้แล้วว่าริมาต้องไป” จริมาหันหลังกลับออกไปทันที
จันทร์เดินไปปิดประตู กลับมาเห็นรุ้งหันหลังให้ รู้ดีว่ารุ้งรู้สึกยังไง
“รุ้ง”
รุ้งตัวสั่นนิดๆ
จันทร์เดินไปจับแขน “รุ้ง...ลูกแม่”
รุ้งหันมา น้ำตาเต็มตา “ถ้ารุ้งเป็นริมา เป็นตายยังไงรุ้งก็ไม่มีวันไป”
จันทร์กอดรุ้งเข้าใจความรู้สึกลูกเป็นอย่างดี
หลายเดือนต่อมา เช้าวันนี้ศักดินาเข้าไปขออนุญาตท่านหญิงแขไขเจิดจรัสเพื่อไปส่งจริมา
“ขออนุญาตไปส่งจริมาค่ะท่านแม่”
ท่านหญิงมีสีหน้าอึดอัด
“จริมาจะไปเรียนต่อ”
ท่านหญิงสวนทันที “แม่ไม่ให้ไป”
“ท่านแม่....ท่านแม่คะ ขอชายไปเถิดค่ะ”
“จำเป็นหรือชาย...ไม่จำเป็นเลยนี่”
“ชายสัญญากับเขาว่าจะไปส่ง”
“สัญญากับเขาทั้งๆ ที่ยังไม่ขอแม่”
ชายเดียวนั่งนิ่งสนิท ผิดหวังมาก
“แม่ไม่อนุญาต ถ้าจะไปจริงๆ ก็ต้องขัดใจแม่แล้วกัน” ท่านหญิงลุกไปทันที “ก็ตามใจ”
ท่านหญิงลับตัวไปแล้ว หันกลับมาดูเห็นชายเดียวนั่งนิ่งขึงอยู่อย่างนั้น
แค้นเสน่หา ตอนที่ 8 (ต่อ)
ถึงวันที่จริมาเดินทางไปเรียนต่อ ท่านหญิงมองลงไปจากหน้าต่างห้องบรรทม เห็นชายเดียวถีบจักรยานออกไปนอกวัง ท่านหญิงยืนมองนิ่ง สีหน้าเคร่งจัด คิดถึงคำพูดที่ตัวเองขู่ไว้เมื่อวันก่อน
“ถ้าจะไปจริงๆ ก็ต้องขัดใจแม่แล้วกัน”
ท่านหญิงหน้าหมองลง ที่ลูกชายขัดคำสั่งห้าม และทนไม่ได้
ชายเดียวถีบรถไปเร็วๆ แต่สีหน้าไม่สบายใจ นึกถึงเหตุการณ์ที่คุยกับจริมาวันก่อน
“ริมาผมจะขอท่านอาจารย์กลับเร็วซักชั่วโมง วันศุกร์นี้”
“บอกฉันทำไมไม่ทราบ”
“จะรีบมาส่งคุณไง ศุกร์นี้คุณเดินทางใช่มั้ย”
ทุกๆ คนในบ้านปัณณธรรวมตัวอยู่ในห้องโถงแล้ว เว้นจริมา จันทร์พูดคุยกับคุณหญิงเพ็ง รุ้งอยู่ด้วย พจน์นั่งอยู่อีกมุม คนในครัว คนมใช้นั่งแอบๆ และคุยกันเบาๆ อยู่เช่นกัน
“ริมายังไม่ลงมา....ทำไมช้า....รุ้ง” คุณหญิงเรียก
“คะ”
“ทำไมริมายังไม่เสร็จเสียที”
“รุ้งไปตามนะคะ” รุ้งขยับตัว
“ไม่ต้องหรอกรุ้ง” ทุกคนมองพจน์เป็นตาเดียว “ลุงรู้...ว่าทำไมริมาถึงยังไม่ลงมา”
จริมาเงยหน้ามองรูปแม่ราตรี สีหน้านิ่งสงบ เข้มแข็งแล้วทำใจแล้ว พูดเสียงธรรมดา
“แม่คะ ริมาไม่อยากไปแต่ต้องไป ต้องไม่ให้คุณพ่อผิดหวัง เป็นอย่างเดียวที่ริมาจะทำให้คุณพ่อได้ น้าจันทร์กับรุ้งเขาดูแลคุณพ่อได้ แม่ไม่ต้องห่วงนะคะ เขาจะดูแลคุณย่าด้วยค่ะ”
จริมาก้มหน้านิ่งกับตัวเอง พยายามไม่ร้องไห้ อึดใจเต็มที่
“ริมาจะบอกแม่อีกอย่าง คุณพ่อไม่รักใครมากเท่าแม่นะคะ ริมารู้แน่นะคะแม่ ริมาดีใจที่สุด ที่เป็นลูกของผู้ชายที่จิตใจมั่นคงกับผู้หญิงคนหนึ่งตลอดชีวิต ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่อยู่แล้ว ริมาอยากพบบ้าง แต่คงไม่โชคดีเท่าแม่”
ด้านชายเดียวปั่นจักรยานสุดชีวิตถึงทางเลี้ยวโค้งพอดี มีผู้ชายคนหนึ่ง แต่งชุดสีเข้ม ก้าวพรวดลงมา เหมือนจะข้ามถนนจูงแฟนอยู่ ชายเดียวหักหลบ จักรยานพลิก ร่างชายเดียวกระเด็นตกกับพื้น
จริมาลงมาแล้ว กำลังกราบคุณย่าที่อก คุณย่าให้ศีลให้พร หันมาไหว้จันทร์ จันทร์จับมือ มองหน้ากันเป็นสัญญาแล้ว จนหันมากอดรุ้ง รุ้งกอดตอบ น้ำตาคลอ
จริมาแตะน้ำตารุ้ง หัวเราะเบาๆ ฝืนๆ อย่างเก่ง “ไม่ร้องนะตัวเล็ก ริมาไปเรียนหนังสือนะ ไม่ได้ไปตกระกำลำบากซะหน่อย”
สองสาวหัวเราะกันเบาๆ
จริมาหันไปไหว้ละเมียด และลาคนในครัวทุกคน ทุกคนหน้าหมองๆ แต่พยายามยิ้ม
“อย่าร้องไห้กันนะ เดี๋ยวเดียวริมาก็กลับแล้ว”
ทุกคนฝืนหัวเราะกันเบาๆ จริมาเข้าไปหาพจน์ กอดพจน์ ซบนิ่งกับอก สองมือกอดตัวของพจน์แน่น
พจน์ลูบหัวลูบหลังไปมา
“เอ้อ...เดี๋ยวพ่อเขาก็ไปส่งสนามบิน ร่ำลาอะไรเดี๋ยวนี้ ริมาเอ๊ย”
“ค่ะ..คุณย่า ริมาลาไว้ก่อน ถ้าลาที่สนามบินมีหวังร้องไห้โฮ”
พจน์มองหน้าลูก “ริมา ลาแม่แล้วนะลูก”
“ค่ะ.. คุณพ่อคะ”
“อะไรลูก”
“คุณพ่อจะไปงานรับปริญญาของริมากับพี่ฉัตต์มั้ยคะ” จริมามองจ้องเข้าไปที่นัยน์ตาพ่อ
พจน์ปรับหน้าให้เป็นปกติจนสุดความสามารถ “ถามพ่ออีกแล้ว”
“ไปมั้ยคะ”
พจน์หน้าหมองลงใจคอหายวับ พยายามฝืนยิ้ม “พ่อไปแน่นอน ถ้าพ่อไปได้”
จริมาจ้องหน้าพ่อแน่วแน่ “ริมาจะตั้งใจเรียนให้จบตามเวลา คุณพ่อก็ต้องตั้งใจที่จะไปงานรับปริญญาของริมา” จริมาพูดอย่างเน้นคำ
พจน์อ้าแขนโอบจริมาไว้ในอก แนบหน้ากับผมลูกสาว หลับตาอย่างสะเทือนใจ ทุกคนหน้าเศร้ากันไปตามๆกัน
จันทร์ก้มหน้าเช็ดน้ำตา รุ้งก็น้ำตาคลอเต็มตา
ค่ำแล้วท่านหญิง มองลงไปข้างล่าง สีหน้า ไม่มีความสุข แล้วหันมาเห็นผีนางเฟืองที่สนาม ใต้ต้นไม้ใหญ่ นางเฟืองหมอบอยู่ เงยหน้าขึ้นมามองอยู่แสนไกล แต่ท่านหญิงยังเห็น สีหน้าห่วงใย เศร้าสร้อย
“เฟือง ขึ้นมาหาหญิงซิ”
ขาดคำทันทีทันใด นางเฟืองหมอบอยู่ด้านหลังท่านหญิง
ท่านหญิงรู้ว่ามาแล้ว แม้จะไม่หันหน้ามา “เฟือง ชายเดียวเป็นลูกหญิง”
นางเฟืองแหงนมอง
“แต่เขาก็ไม่ใช่ลูกหญิง”
นางเฟืองเข้าใจทุกอย่าง)
“วันนี้เขาขัดใจหญิงเป็นครั้งแรก หญิงควรจะรู้ตั้งแต่แรกแล้ว” ท่านหญิงหันมาทางเฟือง “ไม่ควรจะหวังอะไรที่เป็นไปไม่ได้”
“คุณชายเป็นโอรสท่านหญิง” นางเฟืองพึมพำเสียงแหบพร่า “เป็นโอรสองค์เดียวของท่านหญิง ไม่ใช่ของใครหน้าไหน” เสียงตอนท้ายเข้ม ด้วยโกรธจัด
นางเฟืองหายตัวแวบไปทันที
“เฟือง...อย่านะ อย่าทำอะไรใครอีก”
เงียบ...มีแต่เสียงพัดลมมุมห้องส่ายไปมา เหมือนคนส่ายหน้าไม่ฟังคำ
“เฟือง” ท่านหญิงเรียกเสียงดัง
วังทั้งวังตกอยู่ในความมืดในตอนกลางคืน ลมแรงพัดมาวูบใหญ่ เสียงท่านหญิงดังขึ้น
“อย่า..อย่าทำบาปอีกนะ...เฟือง”
ปีศาจนางเฟืองวูบไปอย่างเร็ว
วิญญาณนางเฟืองวูบมาอย่างเร็วและแรง จะเข้าบริเวณบ้านปัณณธร แต่ปะทะกับการสกัดกั้นของพระภูมิเจ้าที่ จนร่างกระดอนกระเด็นอย่างรุนแรงมาที่พุ่มไม้รกๆ หน้าบ้าน ร่างปีศาจนางเฟืองกระแทกพื้นอย่างแรง ซบนิ่งอยู่ แล้วค่อยๆ เงยหน้า หันไปดูอย่างเคียดแค้น
พระภูมิเจ้าที่ เป็นชายชราผมขาวทั้งหัว ยืนสีหน้าสงบนิ่งแต่นัยน์ตาเป็นประกายกล้า นางเฟืองลุกพรวดขึ้นเผชิญหน้า
“บังอาจนักรึนางปีศาจ”
นางเฟืองยืนอัดอั้น
“เจ้าก็รู้ว่าเข้าไปไม่ได้”
นางผีร้ายคอตก แค้นแต่ทำอะไรไม่ได้
“กลับไป” พระภูมิตะโกนเสียงก้อง
พริบตานั้นร่างของนางปีศาจร้ายยืนโอนเอน แล้วซวนเซซบลงกับพื้นห้อง เหมือนร่างกายไม่มีกระดูก หน้าซบลงกับพื้นช้าๆ น้ำตาที่คลอเต็มตาไหลลงพื้น
ขณะเดียวกันพจน์ จริมา ลงบันไดมา ยอดช่วยแนบเอากระเป๋าใส่รถ ปิดกระโปรงรถเบาๆ
คนอื่นตามออกมาด้วย จริมามองไปทางหน้าบ้าน นึกถึงคำพูดศักดินา
“จะรีบมาส่งคุณไง ศุกร์นี้คุณเดินทางใช่มั้ย”
จริมาหน้าหมองลงนิดนึ่ง
รถแล่นเลี้ยวซ้ายออกไปประตูบ้าน สีหน้าจริมา เศร้าลึกๆ แต่หน้านิ่งสนิท
ยอดจะปิดประตูบ้าน ชายเดียวมาถึง จูงจักรยานมาเร็ว
“เอ่อ...ใบ้”
ยอดทำท่าตอบว่า คุณริมาไปแล้ว
“ไปแล้วหรือ...ฉันล้ม จักรยานพัง ขี่ไม่ได้ นี่เดินมานะ ไม่ใช่เดิน ...วิ่งเลยล่ะ โธ่เอ้ย..ยังไม่ทันอีก..จะรอซักนิดก็ไม่ได้”
จริมานั่งในรถนิ่งเงียบ มองไปข้างทาง
วันเวลาเคลื่อนคล้อย ทุกชีวิตดุ่มเดินไปบนบาทวิถีชีวิตของใครมัน
บนโต๊ะเขียนหนังสือของรุ้ง มีรูปรุ้งในชุดนักเรียนพยาบาล ปี 1ตามเครื่องแบบของวิทยาลัยการพยาบาล รุ้งนั่งเขียนจดหมายถึงจริมา
“ริมา รุ้งทำตามที่ริมาสั่ง เขียนจดหมายแทนริมา ส่งมาให้ริมาเผื่อให้ริมาส่งต่อคุณฉัตต์ เขียนไปสงสัยไปตลอดเวลาว่าทำไมเราต้องทำอะไรที่วกวนไปมาอย่างนี้”
ที่โต๊ะเขียนหนังสือของจริมา ในต่างประเทศ
จริมาเขียนจดหมายตอบรุ้ง
“ดีมากตัวเล็ก เชื่อเถอะว่านี่คือความถูกต้องที่สุดไม่มีอะไรจะถูกไปกว่านี้อีกแล้ว”
รุ้งอยู่ในสวนบ้านปัณณธร เขียนจดหมายตอบจริมา
“รุ้งเว้นไม่เขียนวันที่ ริมาอย่าลืมเติมให้ตรงกับวันที่ริมาส่งจดหมายถึงคุณฉัตต์
ฟากฉัตต์อ่านจดหมายของจริมาในห้องพักที่ต่างประเทศ
“ริมาสบายดี พี่ฉัตต์ล่ะคะยังโกรธง่ายหายยากเหมือนเดิมรึเปล่า อย่าโกรธใครๆ เขาแล้วมีเรื่องกันนะคะ ริมาเป็นห่วงพี่ฉัตต์มาก”
ฉัตต์เขียนจดหมายตอบจริมา
“จดหมายทุกฉบับริมาเป็นห่วงพี่ทุกฉบับเหมือนกัน พี่เป็นผู้ชายนะไม่น่าห่วงเท่าไหร่หรอก ตัวเองน่ะดูแลให้ดีๆนะ พี่ก็เป็นห่วงริมาเหมือนกัน”
เวลาผ่านไปอีก ที่โต๊ะเขียนหนังสือของรุ้ง มีรูปรุ้งซึ่งเวลานี้เป็นพยาบาลฝึกหัดแล้ว ยิ้มหวาน และยังมีรูปรุ้งถ่ายกับจริมาวันงานโรงเรียน อีกรูปเป็นภาพรุ้งตอนเป็นนักเรียนพยาบาลปี 1 และรูปสุดท้ายรุ้งในชุดนักเรียนพยาบาลปีสุดท้าย ถ่ายกับจันทร์
รุ้งนั่งเขียนจดหมายถึงฉัตต์ เขียนแทนจริมา
“ขอบคุณพี่ฉัตต์ที่เป็นห่วงริมา” สีหน้าเข้มจัด น้อยใจ “ริมาได้ข่าวว่าที่บ้านทุกคนสบายดี พี่ฉัตต์ไม่ต้องห่วงใครที่บ้านเลยก็ได้ค่ะ”
อยู่มาวันหนึ่งรุ้งอ่านจดหมายที่ฉัตต์เขียนมาหาจริมา แล้วจริมาส่งมาให้รุ้งต่อ
“ริมาพูดอะไรแปลกๆ เหมือนประชดใคร ทำไมพี่จะไม่ห่วงคุณพ่อ คุณย่า น้าจันทร์กับพวกผู้คนในครัวที่เขาปรนเปรอพี่ด้วยกับข้าวสารพัดอย่าง ขนมอื่นๆ ของชาววังหรอกที่ไม่ค่อยได้ทาน นอกจาก...ขนมอะไรนะ...ทองเอกใช่มั้ย”
รุ้งหน้าตาไม่ดี ลดจดหมายลง แล้วยกขึ้นอ่านใหม่อีกครั้ง
คราวนี้รุ้งอ่านดังๆ “ทำไมพี่จะไม่ห่วงคุณพ่อ คุณย่า น้าจันทร์ กับพวกผู้คนในครัว” ลดจดหมายแล้วอ่านอีกครั้ง “ห่วงคุณพ่อ คุณย่า น้าจันทร์ กับผู้คนในครัว”
รุ้งถอนหายใจยาว น้อยใจที่ไม่มีชื่อตัวเองเลย วางจดหมายลงแรงๆ สีหน้าขุ่นเคือง แล้วสักครู่ปัดจดหมายไปห่างตัวด้วยความน้อยใจ
ที่ห้องพักของฉัตต์ ในเมืองนอก เป็นห้องเล็กๆ ไม่น่าจะกว้างยาวเกิน 3 คูณ 4 เมตร ตบแต่งแบบห้องพักนักเรียนในต่างประเทศ สภาพห้องรกหน่อยๆ มีชั้นวางหนังสือข้างฝา เตียงใช้ที่นอนค่อนข้างหนาคลุมผ้ามีหนังสือเสื้อโค้ตวางพาดบนเตียง เก้าอี้ตัวใหญ่ๆ นุ่มๆ ริมหน้าต่าง มีต้นไม้ใบสวยๆ 2-3 ต้น ในห้อง บนโต๊ะหนังสือมีตำราวางระเกะระกะ โคมไฟ
ที่สำคัญมีรูปของรุ้งวันงานโรงเรียนใส่กรอบ เคียงๆ กันรูปของจริมาที่ใส่กรอบเหมือนกัน รูปพจน์ คุณย่าและแม่ราตรีกับฉัตต์วัยเด็กวางอยู่ด้วย
ฉัตต์นั่งจ้องมองภาพรุ้งในกรอบ สายตาฉัตต์ขุ่นมัวเล็กๆ แล้วย้ายไปที่รูปจริมา
ฉัตต์ลงมือเขียนจดหมาย
“ริมา น้องเป็นอะไร ไม่ตอบจดหมายพี่มาสองเดือนแล้วนะ ได้รับแต่จดหมายคุณพ่อ แต่คุณพ่อเขียนสั้นมาก เป็นห่วง...สั่งสอน แนะนำให้ทำโน่นนี่ตามเคย ไม่เหมือนจดหมายของริมาที่เล่าเรื่องทางเมืองไทยละเอียดดีมาก เพราะรุ้งเขียนเล่าให้ริมาฟังใช่มั้ย รู้มั้ย ว่าเขาไม่เคยเขียนถึงพี่เลย ตั้งแต่พี่จากเมืองไทยมา ร่วม 3 ปีแล้ว ใจดำแค่ไหนเด็กคนนี้”
ฉัตต์ตัดพ้อต่อว่ารุ้ง ผู้หญิงที่ตนคิดถึงสุดหัวใจตามเคย
อ่านต่อตอนที่ 9