สุดสายป่าน ตอนที่ 2
เวลาต่อมาพุดตานซึ่งสวยสง่าสมวัยในชุดดีที่สุดที่มีอยู่ เดินมาเปิดลิ้นชัก หยิบกล่องขนมปังเก่าๆ ที่ เก็บไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดเปิดออก พร้อมกับหยิบรูปถ่ายเก่าๆ ของ ม.ร.ว. ฐิติเทพ 2-3 ใบ ขึ้นมาส่งให้ลูกชาย
ฐิติรับมาดูเห็นเป็นรูปคุณชายฐิติเทพ ท่านชายสุริยเทพ ท่านหญิงลักษมี ในชุดสากลเต็มยศ อีกใบเป็นรูปฐิติเทพในชุดผ้าม่วง เสื้อราชประแตน ยืนเป็นสง่าอยู่ และใบสุดท้ายเป็นรูปคู่ฐิติเทพกับพุดตาน
“พ่อของลูก คือ หม่อมราชวงศ์ฐิติเทพ สูรยกานต์ โอรสของหม่อมเจ้าวิสุทธิเทพและหม่อมเจ้าหญิงลักษมี สูรยกานต์จ้ะ”
พุดตานรำลึกถึงความหลังด้วยสีหน้าทั้งสุขทั้งเศร้า
“แต่พ่อของลูกมารักกับแม่ ที่เป็นแค่ข้าหลวงของท่านย่า พ่อกลัวว่าท่านปู่ ท่านย่าขัดขวางความรักของเรา ก็เลยพาแม่หนีออกจากวังมาอยู่ด้วยกันอย่างคนธรรมดา เพราะไม่อยากให้คนในวังตามมาพบ”
“อย่างนี้นี่เอง” ฐิติว่า
พุดตานหน้าเศร้า “พวกเราทำเรื่องเลวร้ายไปโดยไม่รู้เลยว่าท่านปู่ของลูกส่งคนออกตามหาพวกเรามาโดยตลอด จนท่านต้องตรอมพระทัย ประชวรหนัก...พ่อกับแม่ทำผิดต่อท่านจริงๆ”
ฐิติพยักหน้าเข้าใจก่อนจะนั่งเงียบเหมือนคิดอะไรสักอย่างอยู่ พุดตานมองฐิติอย่างประเมินความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลุกมานั่งใกล้ๆ
“แม่ว่าเราไปกันได้แล้วล่ะจ้ะ ป่านนี้ท่านปู่คงจะรอลูกอยู่แล้ว”
ฐิติรับคำแต่ท่าทางเหมือนกับยังไม่อยากจะเชื่อว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความฝัน
“ครับแม่”
“ติ...ไม่ว่าติจะยอมรับหรือไม่ก็ตาม แต่ติไม่ใช่ลูกแม่ค้าขายขนมจนๆอีกต่อไปแล้วนะลูก”
ครู่ต่อมาฐิติและพุดตานก้มลงกราบแทบพระบาทของท่านชายวิสุทธิเทพซึ่งนั่งพิงที่พนักเตียง ดวงหน้าอิดโรยอย่างคนป่วยหนัก แต่ดวงตาแจ่มใส น้ำตาไหลด้วยความปลื้มปีติ
“ไหน...ขอปู่ดูหน้าหลานให้ชัดๆ ซิ”
ฐิติลังเลนิดหนึ่ง
พุดตานจับแขนฐิติเหมือนจะเตือนฐิติให้เข้าไปหาท่านชายใกล้ๆ ฐิติมองหน้าพุดตานก่อนจะขยับเข้าไปใกล้ท่านชายวิสุทธิเทพ
ท่านชายยกมือลูบหน้าลูบตาฐิติอย่างยินดี
“หลานปู่...”
ท่านชายพยายามเพ่งมองที่ใบหน้าของฐิติสีหน้าปลาบปลื้ม
“เหมือน...ช่างเหมือนชายฐิติเทพเหลือเกิน ตั้งแต่นี้ปู่ก็คงจะนอนตายตาหลับ”
“รับสั่งอะไรอย่างนี้คะ ได้พบหลานชายแล้ว ท่านพี่ก็มีแต่จะแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ ต่างหาก”
ท่านชายไม่โต้ตอบท่านหญิง แต่หันไปพูดกับพุดตาน
“แม่พุดตาน...ขอบใจมากนะ ที่เลี้ยงดูหลานฉันมาอย่างดี ถึงฉันจะเพิ่งพบเค้า แต่ฉันก็แน่ใจว่าเค้าเหมาะสมทุกอย่างที่จะสืบทอดราชสกุลสูรยกานต์”
หม่อมเจ้าวิสุทธิเทพ มองฐิติด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรักและภาคภูมิใจ วางพระหัตถ์ไว้บนศีรษะของฐิติเหมือนจะถ่ายทอดเกียรติภูมิทุกอย่างของสูรยกานต์ ให้กับทายาทเพียงคนเดียวของราชสกุล บอกอย่างภาคภูมิ
“หลานปู่...จำไว้ ตั้งแต่นี้เจ้าคือ หม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์ ทายาทเพียงคนเดียวของราชสกุลสูรยกานต์ ขอให้ความดีงามทั้งหลายจงปรากฎแก่เจ้า และขอให้เจ้าเจริญด้วยอายุ วรรณะ สุขะ พละ ธนสารสมบัติสืบต่อไป”
ฐิติไหว้รับพรด้วยสีหน้าสงบ แต่นุ่มนวล
ท่านชายวิสุทธิเทพ ท่านหญิงลักษมี รวมทั้งพุดตานมองฐิติด้วยความรักและภาคภูมิใจ
ตอนบ่ายวันเดียวกัน สองพ่อลูกอยู่ที่โต๊ะนั่งเล่นในสนามบ้านกิริเนศวร กานดาวสียิ้มแย้มอย่างดีใจจริงๆ กับบิดา
“พ่อได้พบกับลูกชายของคุณชายฐิติเทพแล้วเหรอคะ”
“จ้ะลูก...ท่านหญิงทรงดีพระทัยมาก นี่ท่านก็พาหลานไปเฝ้าท่านชายแล้ว”
“ท่านชายคงดีพระทัยมากเลยนะคะ”
“แน่นอน ก็ท่านคอยอยู่ทุกลมหายใจอยู่แล้ว...อ้อ...แล้วลูกก็เตรียมตัวไว้ด้วยนะ”
“เตรียมตัวเรื่องอะไรคะ”
“พ่อจะพาลูกเข้าไปทำความรู้จักกับทายาทของท่าน ครอบครัวเราก็เข้านอกออกในที่นั่นอยู่บ่อยๆ ถือเป็นมารยาทน่ะลูก”
กานดาวสีพยักหน้ารับรู้
สองคนไม่รู้ว่าที่หลังต้นไม้ใกล้ๆ โต๊ะสนาม อุไรแอบฟังอยู่ด้วยความหมั่นไส้
อุไรกระแทกตัวลงนั่งบนเตียงลูกสาวอย่างแรงนารีรัตน์งงๆ
“คุณแม่โมโหใครมาเหรอคะ”
“ก็แม่พี่สาวนอกไส้แกน่ะสิ..บอกตรงๆแม่ละไม่ถูกชะตากับมันเลย นี่คุณพ่อก็จะพาทำความรู้จักกับหลานท่านชายอะไรนั่น ทีแกทำไมไม่พาไปพบปะผู้คนชั้นสูงบ้าง คิดแต่จะส่งเสริมนังลูกติดอยู่คนเดียว”
“โธ่เอ๊ยช่างเถอะค่ะ รัตน์เองก็ไม่อยากเข้าไปในวังนักหรอก ถ้าไปเที่ยวก็ว่าไปอย่าง ...แต่ตอนนี้รัตน์อยากจะอ่านหนังสือมากกว่าค่ะ คุณแม่ออกไปก่อนเถอะนะคะ รัตน์เสียสมาธิหมด”
นารีรัตน์รีบลุกมาทั้งโอบทั้งดันให้อุไรออกไปจากห้อง อุไรยิ้มเอ็นดู
“เอ้อ..ลูกนะลูก ไม่ได้อย่างใจแม่เล้ย เอาเถอะ แกตั้งอกตั้งใจเรียนก็ดีแล้วล่ะ จบเมื่อไรแม่จะให้คุณพ่อส่งแกไปนอกบ้าง จะได้ไม่น้อยหน้านังกานดาวสีมัน ลูกแม่ต้องเหนือกว่ามันให้ได้ รู้มั้ยลูก”
“ค่าๆๆ งั้นคุณแม่ก็รีบๆออกไปสิคะ รัตน์จะได้อ่านหนังสือต่อ”
นารีรัตน์ดันอุไรจนพ้นประตูรีบปิดประตู ถอนใจโล่งอก ก่อนจะวิ่งกลับมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ หยิบ
กระดาษเขียนจดหมายสีสวยที่ซ่อนไว้ในหนังสือเรียนเล่มหนึ่ง ออกมาเขียนต่อด้วยสีหน้าเคลิ้มฝัน
“รัตน์เองก็คิดถึงคุณประพันธ์เช่นกัน อดทนหน่อยนะคะ รัตน์จะพาคุณมากราบคุณพ่อคุณแม่ทันทีที่เรียนจบ รัตน์เชื่อว่าท่านจะต้องเข้าใจในความรักของเราค่ะ”
ทั้ง 4 หนุ่มอยู่ที่โต๊ะในมุมหนึ่งของไนต์คลับแห่งนั้น ทวิช เขต และอุดรต่างทำหน้าเหมือนไม่อยากเชื่อพอฟังฐิติเล่าจบ
เขตครางออกมาอย่างไม่อยากเชื่อ “Unbelievable! เป็นไปได้ไงวะเนี่ย”
ฐิติอึ้งไป ไม่รู้จะตอบยังไง ทวิชมองฐิติอย่างแหยงๆ
“นี่ฉันต้องใช้ราชาศัพท์กับแกแล้วสิวะ...พ่ะย่ะค่ะ พ่ะย่ะครับ พ่ะย่ะคะ พ่ะย่ะขา”
อุดรผสมโรง “เอาล่ะสิ ยุ่งตายโหงเลยว่ะ”
“ไอ้บ้า...ฉันเป็นแค่หม่อมหลวงนะโว้ย ก็พูดกันธรรมดา”
จังหวะเดียวกับที่ฐิติมองเข้าไปในฟลอร์แล้วชะงักกึก ขยับเข้าไปใกล้เพื่อจะดูให้ชัดๆ เขาเห็นกานดามณีกำลังเต้นรำด้วยท่าทางเซ็กซี่ ยั่วยวนอยู่ในฟลอร์ ฐิติมองอย่างไม่เชื่อสายตา ด้วยท่าทางกิริยาผิดไปจากกานดาวสีตัวจริง
ทวิช อุดร เขต เดินตามเข้ามา มองตามสายตาฐิติ
“มองอะไรวะ” เขตถาม
กานดามณีกำลังเต้นรำ ชะงักกึกอย่างตกใจสุดขีด ผวาจะวิ่งออกไปจากฟลอร์วิไลวรรณดึงแขนไว้อย่างตกใจ
“ยัยณี จะไปไหน”
“นายฐิติอยู่ที่นี่ ฉันไปก่อนล่ะ เดี๋ยวไปเจอกันข้างหลัง”
กานดามณีหันไปดูอีกที ฐิติสบตาพอดี กานดามณีรีบวิ่งหนีออกไป
ฐิติเรียกไว้ “คุณกาน”
ฐิติวิ่งตามกานดามณีที่เข้าใจว่าเป็นกานดาวสีมา เพื่อจับผิดที่กานดามณีทำท่าตกใจและวิ่งหนีไป ไม่ได้วิ่งตามตื้อ
ทวิช อุดร เขตวิ่งตามฐิติมาเป็นพรวน
“ไอ้ติ จะไปไหนวะ”
วิไลวรรณเห็นท่าไม่ดี รีบแก้สถานการณ์ แกล้งทำเป็นเต้นรำหมุนมาชนฐิติอย่างแรง จนล้มลงก้นกระแทกพื้น
“โอ๊ย...”
ฐิติประคองวิไลวรรณก้มลง
“ขอโทษครับ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“โอ๊ย...เจ็บค่ะ อู๊ย...เจ็บมากเลย” วิไลวรรณใส่จริตใหญ่ว่าเจ็บหนัก
ฐิติพยายามประคองวิไลวรรณให้ลุกขึ้น ก่อนจะมองหากานดามณีไปรอบๆ แต่ไม่เห็นแม้แต่เงากานดามณี
“แกวิ่งตามใครวะไอ้ติ”
“กานดาวสี” ฐิติบอก
วิไลวรรณแอบทำหน้าเจื่อนๆ
ฐิติวิ่งมาถึงด้านหลังไนต์คลับ ซึ่งอีกมุมหนึ่ง เห็นกานดามณีแอบอยู่หลังพุ่มไม้ เห็นฐิติมองซ้ายมองขวา อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งไปอีกทาง
กานดามณีแอบมองจนฐิติลับสายตาไป ถอนใจอย่างโล่งอก รีบเดินแกมวิ่ง เหลียวหน้าเหลียวหลังออกไปอีกทาง ก่อนจะเดินผ่านสวนที่มีต้นไม้ประดับไฟไว้แพรวพราวไปชนกับวสันต์อย่างจัง
“ว้าย...”
กานดามณีเสียหลัก เกือบจะล้ม รู้สึกหงุดหงิดที่มีคนทำให้เสียเวลา กำลังจะหันไปต่อว่า แต่เห็นวสันต์รูปหล่อ ดูดี แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าดูมีราคา สีหน้ากานดามณีเปลี่ยนไป และทำเป็นขาอ่อนจะล้มลง
วสันต์เข้าไปโอบเอวกานดามณีไว้
กานดามณีทำหน้าสวย เงยหน้ามาสบตาวสันต์อย่างจัง วสันต์ตะลึงในความงามของกานดามณี ก่อนจะได้สติ ประคองกานดามณีให้ยืนเผชิญหน้ากัน แต่ยังไม่คลายอ้อมกอด
กานดามณีแกล้งทำสะเทิ้น
“ขอบคุณนะคะ คุณ...”
“วสันต์ ประสบบุญครับ”
กานดามณีแอบอ้างเป็น “กานดาวสี กิริเนศวรค่ะ” เช่นเคย
วสันต์กระชับอ้อมกอดกานดามณีเข้ามาอีก กานดามณีทำเหมือนจะเบี่ยงตัวออกแต่กลายเป็นเบียดตัวเข้าหาวสันต์อย่างไม่ตั้งใจ วสันต์มองกานดามณีอย่างรู้ทัน
กานดามณีเงยสบตาวสันต์อย่างท้าทายและยั่วยวน
สักครู่หนึ่ง วิไลวรรณวิ่งกระโผลกกระเพลกออกมา มองไปรอบๆ ตัว แต่ไม่เห็นกานดามณี ปลงๆอย่างรู้กัน
“นังณีนะนังณี เผลอแป๊บเดียว สงสัยจะดอดไปขึ้นสวรรค์กับไอ้หนุ่มที่ไหนอีกแล้วเนี่ย”
รุ้งเช้าที่บ้านของวสันต์ ซึ่งเป็นบ้านหรูหรา รูปทรงทันสมัย แตกต่างจากบ้านผู้ดี ที่มีรูปทรงเลียนแบบสถาปัตยกรรมยุโรป
ภายในห้องนอนวสันต์ กานดามณีกับวสันต์นอนเคียงกันอยู่บนเตียง
สักครู่หนึ่งกานดามณีนอนซุกอยู่ใต้ผ้าห่มเริ่มขยับตัวตื่น มองไปรอบๆ ห้องอย่างพินิจพิจารณา วสันต์ไม่ได้อยู่บนเตียง กานดามณี เห็นห้องนอนที่โออ่า กว้างขวาง ตกแต่งอย่างทันสมัยด้วยเฟอร์นิเจอร์ที่ดูรู้ว่ามีราคา จึงค่อยๆ ลุกขึ้น รวบผ้าห่มขึ้นมาพันไว้รอบตัวก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงไปยืนที่หน้าต่าง
กานดามณี มองออกไปเห็นบริเวณบ้านกว้างใหญ่ สนามหญ้าที่ตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ที่โรงรถมีรถยุโรปจอดอยู่ กานดามณีมองอย่างตื่นตาตื่นใจ
วสันต์ในชุดทำงานเดินตามมากอดข้างหลัง
“ตื่นแล้วเหรอที่รัก”
กานดามณีหันไปสบตาวสันต์อย่างเซ็กซี่ ยั่วยวน วสันต์มองกานดามณีอย่างหลงใหล ดึงกานดามณีเข้ามาจูบคลอเคลียอย่างอดใจไว้ไม่อยู่
“คุณกานคุณสวยเหลือเกิน สวยจนผมไม่อยากจะออกไปไหนแล้ว”
“ไม่อยากไป แล้วจะไปทำไมล่ะคะ”
“ผมต้องไปทำงานน่ะสิ...ทำงานบริษัทฝรั่งก็น่าเบื่ออย่างงี้แหละ ยิ่งได้เงินเดือนเยอะ งานก็ยิ่งเยอะตามไปด้วย”
“ฉันเข้าใจค่ะ งั้นคุณก็ไปทำงานเถอะ”
กานดามณียิ้มยั่วยวน มือหนึ่งจับผ้าห่มที่พันรอบตัวไว้หลวม อีกมือลูบไล้ที่อกแกร่ง ทิ้งสายตาให้
วสันต์ ก่อนเดินเยื้องกรายเลี่ยงออกมา และปล่อยมือที่จับผ้าห่มออก จนผ้าห่มค่อยๆ หลุดเลื่อนออกจาก
ตัวกานดามณี
วสันต์ยืนตะลึง สายตาที่มองมาราวกับจะกลืนกินกานดามณีเข้าไปทั้งตัว กานดามณีหันมามองวสันต์อย่างยั่วยวน
วสันต์ได้สติ ผวาเข้าไปกระชากกานดามณีเข้ามาระดมจูบอย่างเร่าร้อน ก่อนจะล้มหายไปด้วยกันที่เตียง
เห็นเสื้อกับเนคไทของวสันต์ถูกโยนมากองไว้ที่พื้น ตามด้วยเสียงกานดามณีหัวเราะระรื่นอย่างพอใจ
ตอนสายวันเดียวกัน อุไรกำลังโวยวายกับวิเศษที่กำลังเตรียมตัวจะออกไปข้างนอก กานดาวสี แต่งตัวสวยงาม ในชุดกลางวันที่ดูสวยสง่ากว่าปกติ กำลังจะออกไปข้างนอกกับบิดา
“ไม่รู้ล่ะ ฉันไม่ยอมจริงๆ ยังไงคุณก็ต้องพาฉันกับยัยรัตน์ไปที่วังสูรยกานต์ด้วย”
“เอ๊ะ คุณจะเอายังไงกันแน่ แต่ก่อนนี้เวลาผมชวนคุณให้ไปเฝ้าท่านชายท่านหญิงคุณก็บอกว่าไม่อยากไป เพราะไม่ถนัดเพคะเพขา แล้วคราวนี้ทำไมถึงเกิดจะอยากไปขึ้นมาล่ะ”
“มันไม่เหมือนกันนี่คะ นี่มันโอกาสพิเศษ คุณควรจะพาดิฉันไปแนะนำตัวด้วยในฐานะภรรยา” อุไรค้อนกานดาวสี พูดประชด “หรือว่าตั้งแต่ลูกสาวคนโตกลับมา ดูคุณจะลืมไปเลยนะคะว่ายังมีดิฉันเป็นภรรยาอยู่ทั้งคน จะไปไหนก็เรียกหาแต่แม่กานดาวสี”
วิเศษมองอุไรอย่างรำคาญ ขยับจะพูดตอบ โทรศัพท์ที่มุมห้องดังขัดจังหวะขึ้นมา สาวใช้รับโทรศัพท์แล้วรีบเดินมาหาวิเศษ
“มีโทรศัพท์ด่วนถึงคุณผู้ชายค่ะ บอกว่าโทร.มาจากวังสูรยกานต์”
วิเศษทำหน้าประหลาดใจ ก่อนจะเดินไปรับโทรศัพท์ อุไรรีบเดินตามไปติดๆ
“ผมวิเศษครับ” วิเศษตกใจ “อะไรนะครับ...ครับๆ ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”
วิเศษวางโทรศัพท์ หน้าขรึมเศร้า อุไรผวาเข้าไปถามอย่างสงสัย
“ที่วังโทร.มาทำไม มีเรื่องอะไรเหรอคะ”
วิเศษหันไปบอกกานดาวสี
“ไปเปลี่ยนเป็นชุดดำซะลูก ท่านชายสิ้นแล้ว”
อ่านต่อหน้า 2
สุดสายป่าน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ขณะเดียวกัน ที่วังสูรยกานต์ ฐิติเข้ามากราบแทบพระบาทท่านชายวิสุทธิเทพ พุดตานซับน้ำตาอยู่ใกล้ๆ นมสายสะอื้นเสียงดัง ท่านหญิงลักษมีไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย แต่หน้าเศร้ามากปิ่มว่าจะขาดใจ
“ท่านบรรทมหลับไปเฉยๆ มหาดเล็กที่เฝ้าอยู่จะปลุกให้ท่านลุกขึ้นมาเสวยของเช้า ถึงได้เห็นว่าท่านสิ้นเสียแล้ว”
นมสายสะอื้นไปด้วย “ท่านก็ทรงรอจนได้เจอพระนัดดานะเพคะ ถึงได้จากไปอย่างสงบ”
ท่านชายนอนนิ่งเหมือนหลับสนิท ดวงหน้ายิ้มน้อยๆ อย่างมีความสุข ท่านหญิงหน้าหมอง ดูอ่อนแอผิดกับเมื่อวานมาก มองท่านชายด้วยความรักและอาลัยยิ่ง
ฐิติมองท่านหญิงอย่างเป็นห่วง ก่อนจะเข้าไปประคองท่านหญิงอย่างสุภาพ
“ท่านย่าไม่เป็นไรนะครับ ท่านปู่ไปสบายแล้ว”
ท่านหญิงหันมากอดฐิติ ร้องไห้ออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่
ไม่นานต่อมา ห้องโถงใหญ่ของวังสูรยกานต์อยู่ในบรรยากาศเตรียมจัดงานพระศพ ข้าวของเครื่องใช้ในวังถูกจัดไว้บนชั้นในห้องอย่างมีระเบียบ มุมหนึ่ง นมสายกำลังสั่งให้เด็กหยิบชุดกาแฟลงมาเสียงดัง พุดตานยืนจัดดอกไม้อยู่อีกด้าน
“เอ้าระวังๆ หน่อยแม่คุ๊ณ พวกหล่อนนี่เป็นยังไงนะสอนเท่าไรไม่รู้จักจำ มือหนักเท้าหนักกันจริง เดินก็ลงส้นกันตึงๆ หยิบข้าวของก็เดี๋ยวโครมเดี๋ยวคราม เฮอะ ถ้าหล่นลงมาแตกหักเสียหายล่ะก็หมดกัน รู้มั้ยยะ ของพวกนี้สะสมมาตั้งแต่ท่านพ่อของท่านหญิงทีเดียว...”
นมสายสั่งไปบ่นไปในขณะที่เดินกลับมาช่วยพุดตานจัดดอกไม้
“ไม่ไหวค่ะแม่พวกนี้...มือหนักเท้าหนักกันเหลือเกิ๊น...ดิฉันพูดจนปากเปียกปากแฉะก็ไม่เห็นจะเข้าหัวกันซักคน...” นมสายนึกขึ้นได้ “เออ...แล้วนี่คุณติเธอไปไหนล่ะคะ”
“เห็นบอกว่าจะรีบไปสะสางงาน เพราะคงต้องลาหยุดหลายวันค่ะ”
นมสายยิ้มอย่างชื่นชมและชื่นใจ
“พูดถึงคุณติ ดิฉันก็ต้องชมว่าคุณพุดตานเลี้ยงลูกได้ดีจริงๆ กริยามารยาทเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว” นมสายกระซิบกระซาบทั้งที่ไม่จำเป็น “ถามจริงๆเถอะค่ะ คุณติเธอมีใครหรือยังคะ”
พุดตานอึกอัก รีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ก็ยังหรอกค่ะ”
“ดีแล้วล่ะค่ะ..ตอนนี้คุณพุดตานจะปล่อยให้คุณติหาสะใภ้เองไม่ได้แล้วนะคะ ยังไงก็ต้องช่วยดูช่วยมอง ถ้าไปได้คนไม่ดีมาละก็ ท่านชาย ท่านหญิงคงเสียพระทัยแย่”
“ดิฉันเข้าใจดี และเชื่อว่าฐิติคงรู้แล้วว่าผู้หญิงแบบไหนที่คู่ควรกับเค้าค่ะ”
สองพ่อลูกอยู่ในห้องหนังสือบ้านกิริเนศวรด้วยกัน สร้อยเพชรจากกล่องกำมะหยี่อยู่ในมือของกานดาวสี ที่เงยหน้ามองพ่ออย่างตกใจ
“คุณพ่อจะให้ลูกใส่สร้อยเส้นนี้ไปเหรอคะ”
อุไรเดินผ่านมาได้ยิน ชะงัก!
“ใช่แล้วลูก คืนนี้ทุกคนที่มาล้วนแต่เป็นพระญาติและเจ้านายชั้นสูง พ่อไม่อยากให้ลูกต้องน้อยหน้าใคร”
กานดาวสีท้วง “คุณพ่อคะ...แต่ลูกว่า”
“พ่อรู้ว่าลูกจะพูดอะไร เชื่อพ่อเถอะ เป็นลูกผู้หญิงเนื้อตัวเกลี้ยงเกลาเกินไปก็ไม่ใคร่เหมาะนัก มาพ่อจะใส่ให้ดีมั้ย มันเป็นตะขอแบบเก่าลูกคงจะใส่ไม่ถนัด”
อุไรเดินเข้ามา ขัดขึ้น
“สร้อยเส้นนี้มันต้องเป็นของนารีรัตน์นะคะ ฉันรับปากลูกไว้แล้ว”
วิเศษเปิดประตูเข้ามาในห้องนอนด้วยท่าทางหงุดหงิด อุไรเดินตามมาอย่างกระชั้นชิด ดึงแขนวิเศษให้หันมาเผชิญหน้ากัน
“เดี๋ยว คุณวิเศษ พูดกันให้รู้เรื่องก่อน”
วิเศษหันมามองอุไรอย่างไม่พอใจ
“จะพูดอะไรอีก ทีตอนที่คุณไปสัญญิงสัญญากับยัยรัตน์ ก็ไม่เห็นคุณจะมาพูดกับผมซักคำ”
“ดิฉันขอโทษ...ตอนนั้นหนูกานดาอยู่เมืองนอก ดิฉันก็เลยลืมไป ใจคิดแต่ว่ายัยรัตน์เป็นลูกสาวคนโตของเรา ก็น่าจะเป็นคนได้รับสร้อยต้นตระกูลของคุณย่าแก...ก็เท่านั้น”
วิเศษบอกเสียงเข้ม “แต่ผมยกให้ยัยกานไปแล้ว ส่วนเรื่องยัยรัตน์ ในเมื่อคุณเป็นคนผูกคุณก็ต้องแก้เอาเอง”
วิเศษโมโห จะเดินกลับออกไปนอกห้อง อุไรตาเหลือก วิ่งตามมาคว้าแขนไว้ร้องเสียงหลง
“อย่าเพิ่งไปนะคะ คุณยังไปไหนไม่ได้นะ”
วิเศษไม่สนใจ เปิดประตูออก สองคนชะงักแทนสายตาเห็นกานดาวสียืนหน้าซีดอยู่หน้าประตู
วิเศษตกใจ
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณพ่อ ถ้ายัยรัตน์อยากได้ ก็ให้น้องไปเถอะค่ะ” กานดาวสีบอก
อุไรกับนารีรัตน์ที่ยืนแอบมายืนอยู่ที่หน้าต่างห้องนารีรัตน์ เห็นภาพรถวิเศษแล่นพ้นรั้วบ้านไป
อุไรหันกลับมาถอนใจใหญ่ด้วยความโล่งใจ คว้าสร้อยจากมือนารีรัตน์ แต่นารีรัตน์กำสร้อยไว้แน่น ถามอย่างไม่เข้าใจ
“ทำไมคุณแม่ต้องโกหกคุณพ่อด้วย รัตน์ไม่ได้อยากได้สร้อยเส้นนี้ซะหน่อย”
อุไรหน้าเสีย อึ้งไป แต่ทำหงุดหงิดกลบเกลื่อน
“แกไม่ต้องรู้หรอก เอาเป็นว่า ถ้าคุณพ่อถาม แกก็บอกไปว่าอยากได้ละกัน...เอาสร้อยมานี่”
อุไรพยายามยื้อสร้อยจากมือนารีรัตน์ แต่สร้อยหลุดมือกระเด็นตกไปที่พื้น ชิ้นส่วนหนึ่งของสร้อยกระเด็นหลุดออกมา อุไรตกใจ ยืนตะลึง นารีรัตน์ก็ตกใจ
“อุ๊ย ทำไมมันหลุดได้ล่ะคะ”
อุไรได้สติ รีบผวาเข้าไปเก็บสร้อยและชิ้นส่วนที่หลุดขึ้นมา ตกใจปนโกรธ
“ตกซะแรงขนาดนั้น มันก็ต้องหลุดน่ะสิ”
อุไรรีบเดินออกไป ทิ้งให้นารีรัตน์มองตามอย่างงงๆ
เย็นวันหนึ่งสร้อยเพชรอยู่ในมือราศี เจ้าของบ่อน ขณะที่อุไรเอ่ยขึ้น
“ครั้งนี้ดิฉันขอแสนนึงละกันนะคะ ช่วงนี้มือไม่ขึ้นเลย จะได้เอาไปแก้มือซะหน่อย”
ราศรีมองสร้อยในมือท่าทางพออกพอใจ โต้ตอบกับอุไรเสียงหวาน เอาอกเอาใจเต็มที่
“อู๊ย...ไม่มีปัญหาค่ะ ระดับคุณอุไร กิริเนศวร ซะอย่าง สองแสนก็ยังได้นะคะ
อุไรตาวาวดีใจ “ก็ดีค่ะ เล่นได้เมื่อไหร่ ดิฉันจะรีบมาไถ่คืนเลย” พูดแล้วสีหน้าเปลี่ยนเป็นกังวลขึ้นมานิดหนึ่ง “สร้อยเส้นนี้เป็นของเก่าแก่ทางตระกูลคุณวิเศษ ยังไงดิฉันก็ไม่ยอมปล่อยให้หลุดแน่ๆ”
ภาพเหตุการณ์เหล่านั้นเลือนหายไป อุไรดึงตัวเองกลับมา ครุ่นคิดอีกแล้วมองสร้อยปลอมอย่างเครียดๆ
“โชคดีนะที่นังกานดาวสีมันยอมถอดคืนให้ง่ายๆ ถ้าเกิดมันใส่ไปที่งาน แล้วมีใครปากเปราะ ทักขึ้นมาว่าเป็นของปลอม คุณวิเศษต้องถามแน่ๆ ว่าของจริงอยู่ที่ไหน”
อุไรพึมพำกับตัวเอง
ตกตอนเย็นฐิติในคราบวิศวกร เนื้อตัวมอมแมม กำลังเร่งตรวจสอบระบบเครื่องจักรขนาดใหญ่ในโรงงานแห่งหนึ่ง สักพักก็ชำเลืองดูนาฬิกาที่ข้อมือ แล้วหันกลับไปทำงานแข่งกับเวลาอีก
ทวิชเพื่อนซี้เนื้อตัวมอมแมมพอกัน เดินเข้ามาหา
“ติ แกรีบกลับไปเหอะ ที่เหลือนี่ฉันจัดการเอง”
ฐิติมองนาฬิกาอีกครั้ง ตัดใจละจากงาน “ขอบใจว่ะ งั้นฉันไปก่อนล่ะ...” ฐิติส่งม้วนกระดาษยาวๆ แบบแปลนงานก่อสร้างให้ทวิช “รายละเอียดอยู่ในนี้นะเว้ย”
“เออ ไม่ต้องห่วง...ไปได้แล้ว...” ทวิชนึกขึ้นได้ “เฮ้ย พวกฉันไปงานท่านปู่แกพรุ่งนี้นะ”
ฐิติพยักหน้าแล้วรีบเดินออกไป
ขณะเดียวกัน รถวิเศษเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าวังสูรยกานต์ เพื่อมาเคารพพระศพหม่อมเจ้าวิสุทธิเทพ กานดาวสีก้าวลงมามองตัววังและผู้คนมากมายอย่างคาดไม่ถึง วิเศษเข้ามายืนข้างๆ
“ลูกนึกไม่ถึงเลยว่าผู้คนจะมากันมากมายขนาดนี้”
“นอกจากพระญาติและเพื่อนสนิทมิตรสหายแล้วก็ยังมีลูกน้องเก่าๆ แล้วก็เพื่อนของโอรสท่านอีก”
คุณพระบรรณกิจเดินอย่างเร่งรีบเข้ามาหา เห็นวิเศษกับกานดาวสี
“อ้าว..คุณวิเศษมาแล้วรึ”
วิเศษรีบไหว้ กานดาวสีทำตาม คุณพระมองพอใจ
“หนูกาน เป็นยังไงบ้าง ตั้งแต่กลับมาจากปีนัง เรายังไม่เจอกันเลยนะ”
“สบายดีค่ะ”
คุณพระบรรณกิจมีท่าทางเหนื่อยอ่อน “คุณวิเศษรีบพาหลานขึ้นไปกราบท่านหญิงเสียสิ...แขกเหรื่อมากมายจนผมดูแลไม่ทั่วถึงแล้ว”
“ตอนนี้พระญาติคงทยอยกันมามากแล้ว ประเดี๋ยวค่อยขึ้นเฝ้าก็ได้ คุณพระมีอะไรให้ผมช่วยบ้างมั้ยล่ะครับ” วิเศษแสดงน้ำใจ
“ดีเลย งั้นก็ไปช่วยผมต้อนรับแขกผู้ใหญ่ทางด้านโน้นหน่อยเถอะ”
“ได้สิครับ” วิเศษหันมาทางกานดาวสี “เดี๋ยวพ่อมานะลูก”
คุณพระกับวิเศษพากันเดินไปแล้ว กานดาวสีมองรอบๆ ตัววังอย่างทึ่งๆ แกมชื่นชม ค่อยๆเดินสำรวจไปข้างๆ สนามอย่างตื่นตาตื่นใจ
ฐิติเดินเข้ามาตรงประตูใหญ่ของวังสูรยกานต์ เห็นแขกทยอยกันเข้ามาทุกคนแต่งตัวดีๆ ฐิติมองตัวเองที่เนื้อตัวมอมแมมอย่างรู้สึกผิดที่ผิดทาง พยายามหาทางเข้าทางอื่น
“นอกจากประตูใหญ่นี่แล้วยังมีทางเข้าทางอื่นอีกมั้ย”
“มีขอรับ ประตูเล็กด้านข้างวังขอรับกระผม”
“ขอบใจนะ”
ฐิติรีบเดินเร็วๆ ออกไป
ส่วนกานดาวสีเดินมาหยุดชื่นชมความงามของต้นไม้นานาพรรณตรงบริเวณค่อนข้างร่มครึ้มได้ยินเสียงกุกกักชะงักหันไปมองตกใจ เห็นฐิติเดินเข้ามา กานดาวสีทำอะไรไม่ถูก จะหลบก็ไม่ทัน
ฐิติเองก็ชะงักเมื่อเห็นกานดาวสีจ้องเขาอยู่ก่อน ความรู้สึกทั้งดีใจ ทั้งสะเทือนใจปนกันยุ่งไปหมด
กานดาวสีมองฐิติ พยายามถอยหลังห่างออกไปอย่างระวัง
“คุณมาที่นี่ทำไม”
ฐิติมองกานดาวสี ยิ้มเยาะอยู่ในสีหน้า ทั้งรักทั้งโกรธ
“ผมเป็นลูกแม่ค้า จะมาทำอะไรในวังใหญ่โตอย่างนี้ได้ นอกจากส่งขนม”
กานดาวสีมองอย่างไม่เชื่อใจนัก
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้ตามคุณมาแน่ๆ ไม่จำเป็นต้องหนีผมอย่างที่ไนต์คลับหรอก”
กานดาวสีงง “ไนต์คลับอะไรของคุณ”
ฐิติยิ่งรู้สึกเกลียดความปลิ้นปล้อน สับปลับของกานดาวสี
“อย่าลำบากแก้ตัวเลย ผมไม่สนใจอยู่แล้ว แค่นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงอย่างกานดาวสี กิริเนศวรนี่ช่างตีสองหน้าได้เก่งจริงๆ”
กานดาวสีไม่เข้าใจที่ฐิติพูด แต่เหนื่อยที่จะอธิบายเพราะรู้ว่ายังไงฐิติก็ไม่ฟัง
“ถ้าจะหาเรื่องกันทุกครั้งที่เจอแบบนี้ ก็อย่ามาพูดกันอีกเลย”
กานดาวสีสะบัดหน้า รีบเดินออกไปอย่างรวดเร็วฐิติกระชากตัวกานดาวสีเข้ามากอดไว้
กานดาวสีตกใจ พอได้สติก็ดิ้น
“อย่านะ คุณจะทำอะไรน่ะ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้”
ฐิติเสียงเข้มจริงจัง สายตามองอะไรบางอย่างที่พื้นอย่างระแวดระวัง
“อยู่นิ่งๆ ได้มั้ย อยากถูกงูกัดหรือไง”
กานดาวสีเห็นงูเลื้อยอยู่ที่พื้นดินข้างหน้า ในระยะและจังหวะที่กานดาวสีอาจจะเหยียบได้ ถ้าฐิติไม่ดึงตัวไว้ กานดาวสีสะดุ้ง ตกใจผงะไป กลายเป็นเบียดเข้าหาฐิติโดยไม่ได้ตั้งใจ
ฐิติกอดกานดาวสีแน่นขึ้นอย่างไม่ทันรู้ตัว ตายังคอยระวัง มองไปที่งูตัวนั้น
กานดาวสีรู้สึกปลอดภัยและอบอุ่นใจ ลืมตัวเหมือนอยู่ในห้วงความฝันชั่วขณะ จนเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ มารู้ตัวอีกทีตอนที่ฐิติคลายอ้อมกอดและผลักกานดาวสีออกห่างจากตัว กานดาวสียืนอึ้ง ยังดึงอารมณ์กลับมาแทบไม่ทัน
ฐิติเข้าใจว่ากานดาวสีนิ่งไปเพราะรังเกียจ
“ผมขอโทษ”
กานดาวสีสะดุ้ง อึ้งๆงงๆกับความรู้สึกตัวเอง
“ไม่ต้องทำท่าขยะแขยงขนาดนั้นก็ได้”
กานดาวสียังไม่เข้าใจว่าฐิติหมายความว่ายังไง เพราะตัวเองไม่ได้รู้สึกขยะแขยงฐิติสักนิด
“ผมมันก็แค่คนหาเช้ากินค่ำธรรมดา...ถ้าชอบเศรษฐี คุณก็มาถูกที่แล้วล่ะ เพราะคนที่มางานนี้ก็มีแต่พวกผู้ดีมีเงินทั้งนั้น...คงจะถูกใจคุณล่ะสิ”
กานดาวสีโกรธปนน้อยใจที่ฐิติมองตนในแง่ร้ายตลอดเวลา ประชดใส่
“ใช่...ทีนี้คุณคงเข้าใจแล้วนะว่าทำไมฉันถึงไม่อยากรู้จักกับคุณ”
กานดาวสีกับฐิติมองกัน ต่างคนต่างสะเทือนใจ แต่พยายามซ่อนความรู้สึก
กานดาวสีรู้สึกตัว รีบเดินหนีไป ฐิติมีสีหน้าสะเทือนใจ
“กานดาวสี ทำไมผมถึงลืมคุณไม่ได้ซะที”
ทุกคนอยู่ในห้องโถง กานดาวสีกราบที่ตักท่านหญิงลักษมี ก่อนจะเงยหน้าขึ้น ท่านหญิงเชยคางมองดูอย่างพอใจ
“กิริยามารยาทเรียบร้อยดีจริง ไม่เห็นเหมือนพวกไปอยู่เมืองฝรั่งบางคน กลับมาลืมขนมธรรมเนียมประเพณีไทยๆ หมด ว่ามั้ยแม่พุดตาน”
“เพคะ”
กานดาวสีหันมาไหว้พุดตาน พุดตานรับไหว้ ยิ้มอย่างพอใจเช่นกัน
“ชื่อเสียงเรียงนามอะไรล่ะพ่อวิเศษ” ท่านหญิงถาม
“กานดาวสีครับท่าน” วิเศษตอบ
“อ๋อ..กานดาวสี กิริเนศวร ชื่อเพราะสมตัว จริงมั้ยแม่พุดตาน”
พุดตานนั่งอึ้งตะลึงคาดไม่ถึง ไม่ทันตอบ ท่านหญิงหันมามองแปลกใจ
“เป็นอะไรไปพุดตาน ฉันถามไม่ได้ยินรึ”
“ขอประทานอภัยเพคะ..ได้ยินเพคะ เอ่อ...คือชื่อเพราะมาก ดิฉันเพิ่งเคยได้ยิน”
ท่านหญิงพอใจแล้วยิ้มมากขึ้นเมื่อมองไปทางประตูห้องโถง
“อ้าว มาพอดีหลานชายฉัน ตาติ เข้ามาสิลูก...ย่าจะแนะนำให้รู้จักกับลูกสาวพ่อวิเศษเค้า”
กานดาวสีค่อยๆ หันไปมอง แล้วถึงกับชะงักตะลึง
ฐิติแต่งตัวหล่อเหลา เนี้ยบยืนเป็นสง่าอยู่หน้าประตู เสียงท่านหญิงดังเข้ามา
“นี่หม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์ หลานชายคนเดียวของฉัน”
ฐิติมองกานดาวสีอย่างเย็นชา ขณะที่กานดาวสีอึ้งตะลึงงัน คาดไม่ถึงอยู่อย่างนั้น
อ่านต่อหน้า 3
สุดสายป่าน ตอนที่ 2 (ต่อ)
ท่านหญิงลักษมีมองท่าทางชะงักงันของกานดาวสีอย่างแปลกใจ
“มีอะไรหรือเปล่าแม่กานดาวสี หรือว่าเราสองคนเคยรู้จักกันมาก่อน”
ท่านหญิงมองหน้าฐิติกับกานดาวสี รอคำตอบ
กานดาวสีไม่กล้าตอบ วิเศษมีสีหน้าแปลกใจ ฐิติยิ้มเยือกเย็นขณะบอก
“เปล่าครับหม่อมย่า ผมกับคุณกานดาวสีเพิ่งเคยรู้จักกัน” ฐิติเน้นคำมองหน้ากานดาวสีอย่างเย็นชา “ที่นี่...เป็นครั้งแรก”
ท่านหญิงพยักหน้าเข้าใจ ส่วนกานดาวสีมองฐิติอย่างรู้ตัวว่าโดนแกล้งเข้าแล้ว มีอารมณ์สับสน น้อยใจ ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองอยู่ลึกๆ
ครู่ต่อมากานดาวสีเดินงอนๆ อยู่ในสวน ดึงใบไม้ใบหญ้าระบายอารมณ์ไปด้วยอย่างเจ็บใจ
“คนบ้า”
วิเศษเข้ามาจากข้างหลัง
“หลบมานั่งอยู่นี่เอง”
กานดาวสีดีใจ “คุณพ่อ..เราจะกลับกันแล้วใช่มั้ยคะ”
“ยังลูก..พ่อจะมาบอกว่าท่านหญิงรับสั่งให้อยู่ทานอาหารกับท่านก่อน ก็มีแต่พระญาติสนิทและก็คนใกล้ชิดเท่านั้น พ่อคิดว่าถ้าปฏิเสธก็น่าเกลียด ก็เลยรับคำท่านไปแล้ว”
“เอ่อ แต่ลูก..คือ ลูกขอตัวกลับก่อนได้มั้ยคะ ลูกรู้สึกปวดหัวน่ะค่ะ ครั่นเนื้อครั่นตัวเหมือนจะไม่สบาย”
“เอ๊ะ แต่เมื่อตอนเย็นก็ยังดีๆ อยู่เลยนี่”
“คงเพิ่งจะเป็นเมื่อครู่นี่ล่ะครับ”
วิเศษกับกานดาวสีหันไปมอง ทั้งคู่เห็นฐิติเดินเข้ามามองกานดาวสีอย่างรู้ทัน
“คุณกานดาวสีอาจจะเจอเรื่องอะไรที่คาดไม่ถึงก็เลยตกใจเกินไป”
วิเศษหันไปมองกานดาวสีอย่างเป็นห่วง
“มีอะไรเหรอลูก”
กานดาวสีอึกอัก ฐิติตอบเสียงซื่อ
“เห็นคุณกานดาวสีบอกว่าวันนี้แขกเยอะกว่าที่คิดน่ะครับ ในห้องโถงก็แออัดไปหน่อย อาจจะทำให้ปวดหัวก็ได้”
วิเศษมีท่าทางเห็นด้วย มองกานดาวสีอย่างเป็นห่วง
“ถ้าลูกไม่ไหว เราก็กลับกันเลยดีกว่า พ่อจะไปทูลท่านหญิงว่าลูกไม่สบาย”
“อย่าเลยค่ะคุณพ่อ คุณพ่อรับปากท่านไปแล้ว เดี๋ยวลูกเรียกรถรับจ้างกลับเอง”
“ถ้าคุณวิเศษไม่รังเกียจและไว้ใจผมมากพอ ผมไปส่งคุณกานดาวสีให้ก็ได้ครับ”
วิเศษยิ้มอย่างขอบคุณ ตรงข้ามกับกานดาวสีที่สีหน้าอึดอัดใจได้แต่จ้องฐิติอย่างโกรธขึ้ง ฐิติยิ้มเยาะ
ท่านหญิงเดินนำวิเศษกับพุดตานไปที่ห้องทานอาหารวังสูรยกานต์
“นี่แม่กานดาวสีกับตาติเค้าไม่ได้รู้จักกันมาก่อนจริงๆ รึ พ่อวิเศษ”
วิเศษตอบอย่างมั่นใจ “ไม่เคยรู้จักกันแน่นอน กระหม่อม”
พุดตานค้อนวิเศษ อดประชดไม่ได้
“ดูคุณวิเศษมั่นใจ ราวกับลูกสาวอยู่ในสายตาตลอดเวลา ถึงได้รู้ว่าวันๆ หนูกานดาวสีไปทำอะไร กับใคร ที่ไหนมาบ้าง”
วิเศษกับท่านหญิงสะดุดใจในน้ำเสียงของพุดตาน หันมามองอย่างแปลกใจ
“เธอกำลังจะบอกอะไร แม่พุดตาน”
พุดตานรู้สึกตัวว่าไม่ควรแสดงอารมณ์ออกไป รีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไรเพคะ ดิฉันเห็นคุณวิเศษตอบเสียงหนักแน่นราวกับว่าเป็นตัวหนูกานดาวสีซะเอง ก็เลยพูดแหย่ไปเล่นๆ น่ะเพคะ”
ท่านหญิงสังเกตเห็นท่าทางพุดตานมีพิรุธ แต่ก็เก็บความสงสัยไว้ ไม่พูดอะไร
บนถนนสายนั้นค่อนข้างโล่ง มีรถวิ่งบางตา รถฐิติวิ่งมาช้าๆ ภายในรถ ฐิติขับรถหน้าเฉยเมย กานดาวสีมีท่าทางอึดอัด หันไปมองฐิติหลายครั้ง แต่ฐิติก็ไม่มีท่าทางจะสนใจ ทนไม่ไหวจึงถามขึ้น
“ในเมื่อคุณไม่เต็มใจที่จะมาส่งฉัน แล้วรับอาสาคุณพ่อให้ลำบากใจทำไมคะ”
“ใครบอกว่าผมลำบากใจ”
“ก็ท่าทางคุณนั่นแหละที่บอก”
“ผมว่าคนที่ลำบากใจน่าจะเป็นคุณมากกว่า เห็นสีหน้าตอนที่ผมรับอาสามาส่ง เหมือนคุณอยากจะกลั้นใจตายเสียให้ได้”
“นี่คุณ..ที่คุณยังทำกับฉันแบบนี้ เพราะคุณยังไม่ยอมเชื่อใช่มั้ยคะว่าฉันไม่ใช่กานดาวสีที่คุณรู้จักที่ประจวบนั่น”
สีหน้าฐิติเครียดขึ้นทันที หักรถเข้าจอดข้างทางอย่างรวดเร็ว ข่มอารมณ์ถาม
“ถ้าไม่ใช่ แล้ววันนั้นคุณยอมรับทำไม ตกลงคุณจะเอายังไงกันแน่ เดี๋ยวใช่เดี๋ยวไม่ใช่ หรือพอรู้ว่าผมเป็นใคร ก็เลยเกิดลังเลขึ้นมา”
กานดาวสีตบหน้าฐิติอย่างแรง
“คุณดูถูกฉันมากเกินไปแล้ว คุณฐิติ”
ฐิติลูบแก้ม “โกรธที่ผมรู้ใจคุณใช่มั้ย โชคดีจริงๆที่ผมได้รู้จักธาตุแท้ของคุณก่อนที่ผมจะเป็นหม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์”
กานดาวสีเงื้อมือฟาดลงมาอีกแต่ฐิติจับไว้ทัน และรวบร่างกานดาวสีเข้ามากอดจูบอย่างไม่ทันให้ตั้งตัว กานดาวสีตะลึงตกใจตัวสั่น จนฐิติต้องคลายอ้อมแขนออก กานดาวสีร้องไห้สะอื้น สีหน้าหวาดกลัวมาก ฐิติมองท่าทางของกานดาวสีอย่างแปลกใจ
“คุณ..เป็นอะไรไปคุณกาน”
กานดาวสีเมินหน้าออกนอกรถ พยายามระงับอารมณ์
“ถ้าคุณยังมีความเป็นลูกผู้ชายอยู่บ้าง กรุณาไปส่งฉันที่บ้านตามที่รับปากคุณพ่อไว้ด้วยเถอะค่ะ”
ฐิติหน้าตึง ถอยกลับไปแล้วตัดสินใจออกรถไปแต่โดยดี
ด้านกานดาวสีนอนก่ายหน้าผาก ก่อนจะพลิกไปมาอย่างกระสับกระส่าย สุดท้ายก็ลุกขึ้นนั่ง
เหตุการณ์ตอนที่กานดาวสีเงื้อมือฟาดลงมาอีกแต่ฐิติจับไว้ และรวบร่างกานดาวสีเข้ามา
กอดจูบอย่างไม่ทันให้ตั้งตัวผุดขึ้นมาหลอกหลอน
กานดาวสีร้องไห้ออกมาอีก
“คนป่าเถื่อน..คอยดูนะฉันจะไม่ยอมเจอหน้าคุณอีกเลย”
ส่วนฐิติขับรถกลับวัง หน้าตาครุ่นคิดถึงหลายเหตุการณ์ในเย็นวันนั้น ที่เขาเจอกานดามณี ตรงชายหาดในจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ฐิติกับกานดามณีเต้นรำด้วยกันอย่างดื่มด่ำที่ชายหาด ในบรรยากาศสวยๆ ก่อนพระอาทิตย์ตก บริเวณที่เต้นรำประดับด้วยดอกไม้ แลเห็นเปลวเทียนสะบัดไปมาวิบวับ สองคนมองตากันด้วยอารมณ์อ่อนหวานลึกซึ้ง ทั้งคู่เต้นรำอยู่บนชายหาด โดยมีวงดนตรีบรรเลงเพลงหวานซึ้ง และมีคู่เต้นรำอื่นๆ ด้วย
อีกมุมหนึ่งของชายหาดที่สงบเงียบ แลเห็นหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังวิ่งไล่จับกันมา หนุ่มสาวคู่นั้นเป็นฐิติกับกานดามณีในอาภรณ์ชุดบางพลิ้ว สองคนไล่จับกันลงไปในบริเวณน้ำตื้นๆ ริมหาด ชุดบางเบาของกานดามณีเปียกน้ำแนบเนื้อยิ่งดูเซ็กซี่ ฐิติคว้าตัวกานดามณีเข้ามาไว้ในอ้อมกอด ทั้งสองคนมองหน้ากัน กานดามณีโน้มศีรษะฐิติลงมาจนหน้าแนบหน้า
อีกเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ฟลอร์เต้นรำ ฐิติจูบกานดามณีนิ่งนาน ก่อนจะถอนริมฝีปากขึ้น มองหน้ากานดามณีอย่างแสนรัก กานดามณีสบตาฐิติอย่างยั่วยวน
“ฉันรักคุณค่ะ ฐิติ”
ฐิติมองกานดามณีอย่างหลงใหล
“ผมก็รักคุณ กานดาวสี”
ฐิติก้มลงจูบกานดามณีอย่างละมุนละไม
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป ฐิติซึ่งยังอยู่ในรถ ยิ้มเยาะออกมา
“ทำเป็นตกใจตัวเนื้อสั่นเหมือนไม่เคยถูกจูบ แบบนี้ล่ะมั้งที่เค้าว่ามารยาร้อยเล่มเกวียน...อย่าคิดว่าจะตบตาผมได้นะ กานดาวสี”
กานดาวสีแวะมาหารำเพยที่บ้านแต่เช้า รำเพยได้ฟังถึงสำลักน้ำชาที่กำลังจิบอยู่
“อะไรนะ..บอกสิยัยกาน ว่าเธอล้อฉันเล่น”
“ฉันพูดเรื่องจริง”
“เป็นไปได้ยังไงกันที่นายห่ามคนนั้นจะกลายเป็นทายาทของสูรยกานต์ขึ้นมาได้”
“แต่มันก็เป็นไปแล้วล่ะ ฉันถึงกลุ้มใจอยู่นี่ไง”
“กลุ้มทำไม..ดีเสียอีก”
“ดียังไง”
“เอ้าก็คุณฐิติเขาตามตื้อเธออยู่นี่นา วันก่อนเธอเองก็บอกว่าสงสารเขาไง งั้นก็ตกปากรับคำเค้าไปเลยสิ เธอจะได้พ้นจากแม่เลี้ยงใจร้ายเสียที” รำเพยว่า
กานดาวสีตกใจ “พูดอะไรน่ะรำเพย เธอก็รู้นี่ว่าที่เขามาวุ่นวายกับฉันก็เพราะเข้าใจผิด” พูดขึ้นมาแล้วแอบน้อยใจ “เขาไม่ได้รักฉัน เขารักผู้หญิงคนที่หน้าตาเหมือนฉัน คนที่แอบอ้างเอาชื่อกับนามสกุลฉันไปใช้ต่างหาก”
ตกกลางคืนรถวสันต์เข้าประตูมาจอดหน้าตัวบ้าน วสันต์รีบวิ่งลงมาเปิดประตูให้กานดามณีที่เมาหมดสภาพลงมา
“ค่อยๆ นะคุณกาน มาผมช่วย คุณเมามากระวังจะล้ม”
“คราย..ครายเมา..ไม่ต้องๆๆ ฉันเดินเองได้ ปล่อย”
กานดามณีปัดมือวสันต์ออก เดินเซไปได้สองสามก้าวก็ล้มลงไปนอนหมดสภาพที่สนาม แต่กลับ
หัวเราะกิ๊กกั๊ก
“เห็นมั้ยล่ะ..ฉันเดินมาถึงเตียงเองก็ได้....บอกแล้วว่าไม่มาว”
กานดามณีอ้อแอ้อีกนิดหน่อยก็เงียบเสียงไป
วสันต์ส่ายหัวทำท่าจะเข้าไปอุ้ม เสียงใครคนหนึ่งดังขึ้น
“พี่สันต์”
วสันต์ชะงักปล่อยกานดามณีลง มองอย่างตกใจ
วสันต์เดินเข้ามาในบ้าน มีหญิงสาวชื่อมนเดินหน้ามุ่ยตามมาติดๆ
“พี่สันต์พาผู้หญิงคนอื่นเข้ามาแบบนี้ได้ยังไง”
“เราตกลงกันแล้วนะมนว่าจะสนุกด้วยกันไม่ผูกมัดกัน ลืมแล้วเหรอ”
“มนไม่ลืม แต่ทำไมพี่ไม่พามันไปโรงแรมม่านรูด พี่พามันมาที่นี่ทำไม ไหนพี่บอกว่าพี่ไม่ให้ใครมาที่บ้านนี่ไง นี่แสดงว่าพี่รักมันมากกว่ามน มนไม่ยอม”
“ไร้สาระน่ามน..มนไปทำงานต่างจังหวัดตั้งหลายวัน พี่ก็เหงานะสิไม่ได้จริงจังอะไรหรอกน่า”
“มนไม่เชื่อ”
“จริงๆ นะ” วสันต์เข้ามาลูบไล้เนื้อตัวมน “ไม่มีใครสู้มนได้หรอกน่า รู้มั้ยที่พี่ต้องหาตัวแทนก็เพราะทนคิดถึงมนไม่ไหวนะ”
วสันต์กอดจูบกับมน จนร่างมนอ่อนระทวยล้มลงไปที่โซฟา เพลงรักบรรเลงไปตามท่วงทำนองอย่างร้อนเร่า
ในขณะที่กานดามณียังนอนหมดสภาพไม่รู้เรื่องอยู่ที่สนามหญ้า
รุ่งเช้ากานดามณีค่อยๆ ลืมตาตื่น ด้วยรู้สึกคัน ก้มมองตามแขนตัวเองที่เป็นจุดแดงๆ หลายจุด
จึงลุกขึ้นไปส่องกระจกเห็นรอยแดงเป็นจุดๆ เต็มตัวไปหมด
วสันต์เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินออกมาจากห้องน้ำ
“เอ...ทำไมตัวฉันมีรอยเหมือนกับโดนยุงกัดเยอะแยะไปหมดเลย”
วสันต์สะดุ้ง “หรือว่าคุณกานจะโดนยุงในไนต์คลับมันกัดเอา”
“ฉันเต้นไม่ได้หยุดอย่างนั้นมันจะมากัดเอาตอนไหนล่ะ เนี่ยคุณดูสิ เอ๊ะหรือว่าในห้องนี่จะมียุง”
“ก็..อาจจะใช่”
กานดามณีเหลือบไปเห็นกระเป๋าสตางค์วางอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งสีหน้าแปลกใจปนตกใจ
“เอ๊ะ ทำไมกระเป๋าสตางค์ฉันมาอยู่ตรงนี้ได้”
วสันต์ยิ้มๆ
“ลองเปิดดูสิครับ”
กานดามณีเปิดดูกระเป๋าสตางค์ เห็นเงินเป็นปึกอยู่ในกระเป๋าสตางค์ ตาลุกวาว
“นี่อะไรกันคะคุณสันต์”
“เงินโบนัสที่ผมเพิ่งได้มา ผมแบ่งให้คุณกานเอาไปเป็นค่าขนมเล็กๆ น้อยๆ ครับ”
กานดามณียิ้มอย่างพอใจ แต่เสแสร้ง “จะดีเหรอคะ กานรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
“เอาไปเถอะนะครับ อย่าทำร้ายน้ำใจผมแบบนี้สิครับ”
กานดามณียิ้มเจ้าเล่ห์
“งั้นก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะ”
ตอนสายวันเดียวกัน วิไลวรรณร้องถามกานดามณีอย่างตกใจ
“อะไรนะ...แกรู้จักเค้าแค่คืนเดียว นี่คิดจะหอบผ้าหอบผ่อนไปอยู่กับเขาเลยเหรอ”
“สำหรับฉันนะเวลาไม่สำคัญหรอก ขอแค่ถูกใจก็พอแล้ว”
“แสดงว่านายคนนี้คง...นี่ถามจริงๆ เมื่อคืนเขาพาแกขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นไหนยะ”
กานดามณีระริกระรื่นพอใจ “ชั้นเจ็ดเลยล่ะย่ะ”
“มิน่า.. ปกติแกก็เล่นตัวใช่ย่อย ไม่เห็นจะถูกใจใครง่ายๆ อย่างนี้เลย”
“นั่นก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่ที่สำคัญ เค้ามีเงินน่ะสิ ถึงจะเป็นลูกจ้าง แต่ก็ลูกจ้างบริษัทฝรั่ง ท่าทางเงินเดือนจะแพงลิบเชียวล่ะ บ้านช่องก็หรูหรากว่าบ้านนายสุชาติซะอีก”
“สรุปว่าแกตัดสินใจจะลงเอยกับผู้ชายคนนี้ใช่มั้ย”
“ถ้าแกหมายถึงตอนนี้ล่ะก็ใช่ แต่ใครจะรู้ ถ้าในอนาคต ฉันเกิดไปเจอคนอื่นที่ดีกว่านี้ ก็ไม่เห็นจะแปลกที่ฉันจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดไม่ใช่เหรอวรรณ”
กานดามณียิ้มอย่างเย่อหยิ่งๆ ภาคภูมิใจในความสวยและเสน่ห์ของตน
อ่านต่อหน้า 4
สุดสายป่าน ตอนที่ 2 (ต่อ)
นารีรัตน์กึ่งลากกึ่งจูงอุไรเดินเร็วๆ ไปตามถนนหน้าศูนย์การค้า
“เดินเร็วๆ หน่อยสิคะคุณแม่”
“จะรีบไปไหนนะยัยรัตน์ ร้านหนังสือมันไม่วิ่งหนีไปไหนหรอกน่า”
สองคนมาหยุดอยู่ที่หน้าร้านหนังสือ นารีรัตน์แอบยิ้ม พยายามระงับความความตื่นเต้น
นารีรัตน์เข้าไปในร้าน มองซ้ายมองขวาก่อนจะเห็นดวงเป็นประกายขึ้นมา เหมือนเจอบางอย่างที่ถูกใจ
“รีบซื้อซะให้เสร็จๆ สิ แม่มีธุระที่อื่นอีก”
อุไรหันไปดูหนังสืออยู่ที่มุมหนึ่งฆ่าเวลา
“ค่ะ”
นารีรัตน์เดินเข้าไประหว่างชั้นหนังสือ ตรงไปที่จุดหมาย นัยน์ตาเป็นประกายวิบวับ เมื่อเห็นประพันธ์กำลังเลือกหนังสืออยู่
“คุณประพันธ์คะ”
ประพันธ์เงยหน้าขึ้นเห็นเป็นนารีรัตน์ก็ดีใจ “คุณรั...”
อุไรหันมาตามเสียง นารีรัตน์รีบปิดปากพร้อมดึงประพันธ์ไปที่มุมลับตาอีกด้าน อุไรไม่เห็นอะไรผิดสังเกต ก้มลงเลือกหนังสือต่อ
นารีรัตน์พูดเสียงเบา “จุ๊ๆๆ...คุณแม่มาด้วยค่ะ”
ประพันธ์มีสีหน้าผิดหวัง “งั้นวันนี้เราก็คงไม่มีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพังใช่มั้ยครับ”
“ค่ะ”
นารีรัตน์ชำเลืองมองอย่างระวังไปทางอุไรที่กำลังเดินไปดูหนังสือทางมุมอื่น
“รัตน์คงอยู่ได้ไม่นาน เดี๋ยวคุณแม่จะสงสัยเอา”
“ผมคิดถึงคุณเหลือเกิน”
นารีรัตน์กระซิบ “รัตน์ก็คิดถึงคุณค่ะ”
อุไรเดินใกล้เข้ามา ส่งเสียงมาก่อนตัว
“รัตน์ เสร็จหรือยังลูก”
นารีรัตน์กับประพันธ์รีบหันไปดูหนังสือกันคนละทาง อุไรเดินเข้ามาที่นารีรัตน์ ชำเลืองมองประพันธ์นิดหนึ่ง ตามประสาแม่ที่คอยระแวดระวังลูกสาว แต่ไม่ได้ผิดสังเกตอะไร หยิบหนังสือในมือนารีรัตน์มาดู
“เลือกอยู่ตั้งนาน ได้แค่เล่มเดียวเนี่ยนะ”
ประพันธ์ยืนตัวแข็ง
“ค่ะ” นารีรัตน์รีบตัดบท “รัตน์เสร็จแล้ว เราไปกันเถอะค่ะแม่”
นารีรัตน์รุนหลังอุไรให้เดินไปก่อน แล้วตัวเองจึงเดินตามไป แต่ก่อนจะเดินผ่านประพันธ์ นารีรัตน์หยิบจดหมายออกมาจากกระเป๋ากระโปรง ใส่ไว้ในหนังสือเล่มหนึ่ง แล้ววางไว้ที่ชั้นมองประพันธ์เหมือนจะให้รู้ความนัย แล้วรีบเดินออกไป
ประพันธ์มองตามก่อนจะหยิบหนังสือขึ้นมา เปิดหน้าที่มีจดหมายสอดอยู่ หยิบซองจดหมายสีสวยขึ้นมามองอย่างซาบซึ้ง
ตอนสายวันนั้น คุณนายราศีรับแหวนจากอุไรมาพลางสัพยอก
“แหม คุณอุไรนี่สมบัติเยอะจังนะคะ หยิบมาได้ไม่ขาดมือเลย ไหนดูซิ...ฝีมือช่างโบราณซะด้วย น้ำก็งาม...คราวนี้ซัก 5 หมื่นเป็นไงคะ”
อุไรหน้าไม่ดี “คือ ครั้งนี้ดิฉันร้อนเงินจริงๆ เอ่อ...ขอซัก 6 หมื่นได้มั้ยคะ”
ราศรีหัวเราะร่วน ท่าทางเป็นมิตรเต็มที่ “คุณอุไรก็ถือว่าเป็นลูกค้าประจำ เอางี้ ดิฉันให้ 8 หมื่นเลยค่ะ คุณอุไรจะได้เอาไปต่อทุน"
อุไรดีใจ “แหม...ขอบคุณนะคะคุณราศรี”
“อู้ย...ไม่เป็นไรเลยค่ะ เราก็คนกันเอง ที่บ้านยังมีอะไรเหลือก็เอามาอีกนะคะ ไม่ต้องเกรงใจ สำหรับคุณอุไรแล้ว...ดิฉันเต็มที่ค่ะ”
อุไรยิ้มอย่างย่ามใจ
ฐิติเพิ่งกลับจากทำงาน เดินคุยมากับพุดตาน
“แม่ดีใจจ้ะที่ลูกตัดใจจากผู้หญิงคนนั้นได้...แล้วถ้าเธอคิดจะกลับมาคืนดีกับติ เพราะว่าติคือหม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์ล่ะ”
“ไม่มีวันครับแม่ ผมจะไม่ยอมโง่อีกแล้ว”
“บอกตรงๆ ว่าแม่ไม่ไว้ใจผู้หญิงคนนี้ ติเองเคยรักเค้ามากขนาดไหน แม่ก็รู้ก็เห็นอยู่”
ฐิติอึ้งสีหน้าเจ็บปวด
พุดตานมองฐิติอย่างอ่อนโยน แต่น้ำเสียงเด็ดขาดจริงจังมาก
“ที่แม่ต้องพูด เพราะตอนนี้ติคือทายาทเพียงคนเดียวของราชสกุลสูรยกานต์แล้ว ติคงจะรู้นะลูกว่าผู้หญิงแบบไหน ที่จะคู่ควรกับตำแหน่งคุณผู้หญิงของที่นี่”
ฐิตินิ่ง
นมสายเข้ามาขัดจังหวะ สายตาที่มองฐิติรักใคร่ เทิดทูน
“แม่ลูกอยู่ที่นี่เอง ท่านหญิงให้เชิญคุณติกับคุณพุดตานไปที่ห้องทรงพระสำราญแน่ะค่ะ”
ไขศรี และ ไขนภากราบท่านหญิงในห้องนั่งเล่น
“น้องต้องกราบขอประทานโทษพี่หญิงด้วยเพคะที่ไม่ได้มาร่วมงานพี่ชาย” ไขศรีว่า
“ไม่เป็นไร ฉันได้ยินว่าเธอไปรับหญิงนภาที่ฝรั่งเศสไม่ใช่รึ”
“เพคะ หญิงนภาเรียนจบแล้ว น้องก็ตัดเลยตัดสินใจบินไปรับ แล้วก็เลยถือโอกาสเที่ยวยุโรปกันต่อ เพิ่งจะกลับมาถึงเมื่อวานนี้เองเพคะ”
ท่านหญิงหันไปที่ไขนภาอย่างรักและเอ็นดู
“แล้วนี่หลานเรียนจบอะไรมาล่ะ”
ไขนภาดูสวย สง่า กริยามารยาทอ่อนช้อยไม่มีที่ติ
“จบอักษรศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยซอร์บอนน์เพคะท่านป้า”
ท่านหญิงลักษมีมองหญิงไขนภาอย่างภูมิใจ ขณะส่งกล่องเครื่องเพชรให้
“เอ้า...ป้าให้เป็นรางวัลที่เธอเรียนจบกลับมา”
ไขนภาก้มกราบก่อนจะเงยหน้าขึ้นรับของ
ท่านหญิงมองข้ามไขนภามาที่ประตู เห็นฐิติเข้ามาจึงรีบทัก
“เอ้า...แม่พุดตาน ตาฐิติ เข้ามารู้จักหญิงไขนภาไว้สิลูก เอ...ถ้าจะนับตามศักดิ์ก็ต้องเรียกอาสินะ”
ฐิติมองไขนภาที่ค่อยๆ หันหน้ากลับมา ยกมือขึ้นจะไหว้ แล้วชะงักค้างอย่างตะลึง
เพราะไขนภายังดูสาวรุ่นราวคราวเดียวกับฐิติ และสวยหวาน ไขนภาทอดยิ้มให้ฐิติอย่างอ่อนโยน
สองคนเดินคู่กันมา ก่อนจะนั่งลงที่เก้าอี้ตรงโต๊ะสนาม ไขนภาหัวเราะเบาๆ
“นึกถึงหน้าคุณฐิติเมื่อครู่นี้แล้วหญิงอดขำไม่ได้”
“ก็ผมนึกไม่ถึงนี่ครับว่าตัวเองจะมีคุณอาหญิงที่สาวขนาดนี้”
ไขนภาตกใจ “ตายแล้วห้ามเรียกหญิงว่าอาอีกนะคะ หญิงโกรธจริงๆ ด้วย”
“ก็ท่านย่าบอกว่าคุณหญิงมีศักดิ์เป็นอานี่ครับ”
ไขนภางอนๆ นิดหนึ่ง “ไม่รู้ล่ะ ยังไงหญิงก็ไม่ยอมให้คุณฐิติมาเรียกหญิงว่าอาแน่ๆ”
“ที่จริงผมก็ไม่อยากเรียกเหมือนกัน เพราะคุณหญิงยังสาวเกินกว่าที่ผมจะเรียกอาได้โดยไม่กระดากปาก”
“ดีแล้วล่ะคะ ไม่เช่นนั้นคุณฐิติจะกลายเป็นหลานที่หน้าแก่ที่สุดของหญิงเลยล่ะ”
สองคนพากันหัวเราะขำกันใหญ่ โดยไม่รู้ว่าที่หน้าต่างชั้นบนพุดตานยืนมองอยู่อย่างแปลกใจ
ไม่นานต่อมา สองแม่ลูกยู่ในรถที่แล่นมาตามถนน ไขศรีเปิดดูกล่องเครื่องเพชร ยิ้มย่องด้วยสีหน้ายินดี
“แม่นึกอยู่แล้วว่าท่านป้าของหญิงต้องมีของรับไหว้แน่ๆ ถึงให้หญิงรีบมากราบท่านไง”
“คุณแม่คะ..ใครได้ยินเข้าน่าเกลียดแย่ ที่หญิงไปก็ไปเพราะความเคารพนะคะไม่ใช่คิดจะไปเอาของ”
ไขศรีค้อนไขนภาอย่างเอ็นดูแกมหมั่นไส้
“จ้า..แม่คนดี...อ้อ...แล้วกับตาฐิติเหมือนกัน พยายามสนิทสนมเข้าไว้ รู้มั้ยตอนนี้ทรัพย์สมบัติทั้งหมด ของท่านลุงตกเป็นของพ่อฐิติคนเดียวเท่านั้น”
“คุณแม่หมายความว่าอะไรคะ”
“อ้าว...ก็ถ้าตาฐิติชอบลูกหญิงขึ้นมา อะไรจะเกิดขึ้นล่ะลูก”
“คุณแม่..หญิงไม่ได้คิดอะไรแบบนั้นนะคะ อีกอย่างเราก็เป็นญาติกัน”
“อุ๊ย...ก็ญาติห่างๆ ไม่เห็นจะน่าเกลียดอะไรเลย ท่านพ่อของลูกเป็นแค่ลูกพี่ลูกน้องของท่านลุง”
ไขนภามีท่าทางลำบากใจ ไขศรีมองลูกสาวอย่างหมายมาด
“ไม่มีใครจะเหมาะสมกับตาฐิติเท่าลูกหญิงของแม่อีกแล้วล่ะ”
ด้านกานดาวสีกับรำเพยเดินคุยกันอยู่หน้าร้านขนมเค้กริมถนน
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อไปล่ะ เรื่องหม่อมหลวงฐิติ สูรยกานต์”
“ฉันก็ต้องหาหลักฐานมายืนยันให้ได้ว่า...ฉันกับผู้หญิงที่เขารักคนนั้น เป็นคนละคนกัน” ความน้อยใจเริ่มเอ่อขึ้นมาเป็นริ้วๆ “แต่จริงๆ ฉันอาจจะไม่ต้องทำอะไรเลยก็ได้ เพราะเค้าคงไม่มายุ่งกับฉันแล้วล่ะ”
“ก็นั่นน่ะสิ ไม่เห็นจะต้องทำอะไรเลย ก็สวมรอยเป็นผู้หญิงคนนั้นไปซะเลยก็สิ้นเรื่อง ราชนิกุลหนุ่มรูปหล่อขนาดนี้ หาไม่ได้ง่ายๆหรอกนะยัยกาน”
“บ้า...รำเพยนี่ พูดอะไรบ้าๆ”
กานดาวสีแอบรู้สึกหน่วงๆ ในใจ จนต้องเมินหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนความรู้สึกจากรำเพย แต่แล้วก็ต้องชะงักกึกกับภาพที่เห็น
“รำเพย เธอกลับไปก่อนเถอะ”
“อ้าว...ไหนว่าจะไปหาอะไรทานกันก่อนไง”
“พอดีฉันเพิ่งนึกได้ว่าฉัน...เอ่อ...ต้องไปรับยัยรัตน์แทนคุณพ่อน่ะ”
รำเพยมองกานดาวสีอย่างงงๆ
นารีรัตน์กำลังทานเค้กอยู่กับประพันธ์ที่โต๊ะมุมหนึ่ง อย่างสนิทสนมมาก
“ยัยรัตน์”
นารีรัตน์หันมาเห็นกานดาวสียืนอยู่ตรงหน้าก็ตกใจ
“พี่กาน”
“ถ้าคุณพ่อรู้ว่ารัตน์ไม่ได้ไปดูหนังสือ แต่มานั่งอยู่กับ...” กานดาวสีเน้นคำ “เพื่อนผู้ชาย...แบบนี้ พี่คิดว่าคุณพ่อคงไม่พอใจแน่ๆ ถ้าเธอไม่อยากให้เรื่องนี้ถึงหูคุณพ่อกับคุณอาอุไร ก็กลับบ้านกับพี่เดี๋ยวนี้”
นารีรัตน์หน้าซีด ไม่ได้กลัวกานดาวสี แต่กลัววิเศษกับอุไร จำใจต้องขอร้องพี่สาวต่างมารดา
“พี่กานอย่าบอกคุณพ่อคุณแม่ได้มั้ย รัตน์ขอร้อง”
“งั้นก็กลับบ้านกับพี่...”
นารีรัตน์ไม่พอใจกานดาวสี แต่ทำอะไรไม่ได้
“ถึงพี่กานจะห้ามรัตน์ไม่ให้เจอกับคุณประพันธ์ได้ แต่พี่กานก็ห้ามรัตน์ไม่ให้รักเค้าไม่ได้” นารีรัตน์มองกานดาวสีอย่างจริงจัง เน้นเสียง “รัตน์รักคุณประพันธ์ ได้ยิน มั้ยคะ...และรัตน์ก็จะรักเค้าตลอดไป”
“ยัยรัตน์!”
นารีรัตน์หันไปมองประพันธ์อย่างอาลัย ก่อนจะตัดใจเดินออกไป
กานดาวสีกำลังจะตามนารีรัตน์ออกไป ประพันธ์ละล่ำละลั่ก
“คุณกานดาวสีครับ กรุณาฟังผมอธิบายก่อน”
กานดาวสีหันมาเผชิญหน้ากับประพันธ์อย่างเยือกเย็น
ฐิติ ทวิช อุดร เขต นั่งคุยเฮฮาอยู่ในร้านอาหารอีกฝั่ง เป็นร้านธรรมดา สื่อให้เห็นว่าฐิติไม่ได้เห่อเหิมในยศศักดิ์
เขตหยิบขนมของพุดตานออกมาจากกล่องทีละ 2-3 ชิ้นใส่เข้าปากจนเต็มเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย แล้วกำลังจับเอื้อมหยิบอีกอย่างกลัวคนอื่นจะแย่งกิน
ทวิชคว้ากล่องขนมขึ้นมาอย่างขัดใจ
“นี่แกคิดจะกินคนเดียวให้หมดเลยหรือไงวะ”
“แน่ละ ถ้าต่อไปแม่ไอ้ติเลิกทำขนมขาย ฉันจะไปหาขนมอร่อยๆอย่างนี้จากที่ไหนวะ” เขตว่า
ฐิติขำๆ “เรื่องแค่นี้เนี้ยนะ ถึงจะไม่ได้ขาย แต่ถ้ารู้ว่าพวกแกอยากกิน แม่ฉันก็เต็มใจทำให้พวกแกกินอยู่ดีแหละ”
“นั่นดิ จะโวยวายหาอะไรวะ จะขายหรือไม่ขาย ฉันก็ไม่เคยเห็นแกเคยซื้อขนมแม่ไอ้ติเลยซักบาท มีแต่รอให้มันหอบมาให้กินฟรีทุกที” อุดรว่า
เขตหัวเราะอายๆ “เออ จริง”
ฐิติมองเขตอย่างขำๆ แล้วก็ชะงัก สายตามองไปอีกฝั่งของถนน
กานดาวสีจะเดินหนี ประพันธ์คว้ามือไว้
“ผมรักคุณรัตน์จริงๆ นะครับ และไม่เคยคิดจะทำอะไรให้เธอเสื่อมเสียเลย ถ้าคุณจะตำหนิ ก็ตำหนิผมเถอะครับ แต่ได้โปรดอย่าให้คุณพ่อคุณแม่ท่านต้องโกรธคุณรัตน์เลยนะครับ”
กานดาวสีสะบัดมือออก จ้องหน้าจริงจัง
“คุณก็รู้สิ่งที่คุณทำอยู่มันผิด ยัยรัตน์ยังเด็ก สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับแกตอนนี้คือการเรียน ไม่ใช่มัวไปหมกมุ่นอยู่กับเรื่องอื่นแบบนี้”
ประพันธ์บอกด้วยท่าทีร้อนรน “ผมรู้ครับ แต่ผมก็แค่อยากจะได้พบเธอบ้าง ผมสัญญาว่าจะไม่ให้มีอะไรเกินเลยแม้แต่น้อย”
“ฉันจะมั่นใจได้ยังไง คุณเองก็อายุมากกว่ายัยรัตน์หลายปี มีงานมีการทำแล้ว มีโอกาสที่จะพบกับผู้หญิงคนอื่นอีกมากมาย”
ประพันธ์หน้าสลดลงอย่างคนที่กำลังสิ้นหวังเรื่องความรัก
ขณะเดียวกัน ทั้ง 4 เกลอ อุดร ทวิช เขต และฐิติ ยังอยู่ที่ร้านอาหารอีกฝั่งถนน จู่ๆ ฐิติผุดลุกขึ้น
“จะไปไหนวะไอ้ติ” อุดรถาม
“พอดีฉันเห็นคนรู้จัก” ฐิติผุดสีหน้าร้ายแบบจ้องจับผิด “พวกแกรออยู่นี่แหละ เดี๋ยวฉันมา”
กานดาวสีเริ่มใจอ่อน มองประพันธ์อย่างเห็นใจ
“แต่ถ้าคุณรักน้องสาวฉันจริง คุณก็ต้องรอ”
“คุณหมายความว่ายังไงครับ” ประพันธ์ฉงน
“คุณต้องรอจนกว่ายัยรัตน์จะเรียนจบ แล้วทำทุกอย่ารงให้มันถูกต้อง ไม่ใช่มาลักลอบพบกันให้เกิดความเสียหายอย่างนี้”
ประพันธ์สีหน้าดีขึ้น เริ่มมีความหวัง
“ครับ ผมเข้าใจและยินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อพิสูจน์ความรักที่ผมมีต่อคุณรัตน์ ...ถ้าผมมีน้องสาว แล้วเกิดเรื่องแบบนี้กับน้องของผม ผมก็คงจะทำแบบเดียวกับคุณ”
กานดาวสีมองเห็นถึงความจริงใจที่ประพันธ์มีให้นารีรัตน์
“ฉันเข้าใจ...ถ้าคุณอยากจะเจอยัยรัตน์บ้าง แต่ฉันเห็นว่าคุณควรไปพบกันที่บ้าน ให้อยู่ในสายตาของผู้ใหญ่” กานดาวสีมีท่าทีลังเลนิดหนึ่ง “ดิฉันจะเป็นคนช่วยคุณเองเรื่องคุณพ่อกับคุณอาอุไร”
ประพันธ์มองกานดาวสีด้วยสายตาแห่งความดีใจ ขอบคุณและชื่นชม จับมือกานดาวสีไว้อย่างสำนึกในบุญคุณ
“ขอบคุณมากนะครับคุณกานดาวสีที่เข้าใจเราและให้สติผม”
“เชื่อดิฉันนะคะ ถ้าวันนี้เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง ไม่ว่าผลของมันจะทำให้เราพอใจหรือไม่ก็ตาม แต่มันก็ไม่มีวันจะเป็นสิ่งที่ผิดไปได้”
ประพันธ์กับกานดาวสียิ้มให้กันด้วยความเข้าใจ
ฐิติซึ่งข้ามถนนมาที่ฝั่งเดียวกับกานดาวสีแล้ว มองภาพกานดาวสีกับประพันธ์ด้วยความเข้าใจผิดไปยกใหญ่
สายตาของราชนิกุลรูปงามยามนี้มีทั้งรัก ทั้งเกลียด และผิดหวังในการกระทำของกานดาวสี นึกไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะเป็นไปได้ขนาดนี้
อ่านต่อตอนที่ 3