xs
xsm
sm
md
lg

สุดสายป่าน ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุดสายป่าน ตอนที่ 1

ภายในคลับหรูหรา อันเป็นรมณียสถานแหล่งหย่อนใจชื่อดังกลางกรุง ที่มีดนตรีและลีลาศด้วย ยิ่งราตรีนี้บรรยากาศแสนคึกคัก ด้วยคลาคล่ำไปด้วยนักเที่ยวชายหญิง บ้างมาเป็นคู่ และเป็นหมู่คณะ วงดนตรีของร้านกำลังบรรเลงเพลงจังหวะสนุกสนานครึกครื้นเร่งเร้าอารมณ์

บนฟลอร์เต้นรำด้านหน้าของวงดนตรี แลเห็นหนุ่มสาวหลายคู่กำลังเต้นรำอย่างสนุกสนาน นักเที่ยวตามโต๊ะต่างๆ มองมายังฟลอร์ รวมทั้งโต๊ะของกลุ่มชายหนุ่ม ที่ 3 ใน 4 นั่งมองสาวๆ ในฟลอร์ พร้อมพูดคุยอย่างคะนองปาก
“ติ เป็นอะไรวะ มาเที่ยวทั้งทีนั่งหน้าเศร้าอยู่ได้ ครึกครื้นหน่อยเพื่อนฝูง” เขตเอ่ยขึ้นขณะหันมาทางฐิติ
เป็นเขา ฐิติ สูรยกานต์ หนุ่มรูปงามที่นั่งเครียดเคร่งสีหน้าเบื่อโลกอยู่ตั้งแต่เข้ามาจนเวลาผ่านไปสักระยะแล้ว
“นั่นสิ..เห็นมั้ยวะที่ฟลอร์น่ะ สาวๆสวยๆทั้งนั้น ถ้าฉันโสดๆซิงๆอย่างแกนะไอ้ติเอ๊ย...” อุดรบอกพลางถูมือตัวเองท่าทางมันเขี้ยว
“เห็นด้วย..แกเลิกคิดถึงคุณกานอะไรของแกเสียทีเถอะวะไอ้ติ เป็นปีๆ แล้วที่เจ้าหล่อนลืมแกน่ะ” ทวิช เกลออีกคนในกลุ่มเสริม เขาพูดถึงหญิงสาวคนรักของเพื่อน
ฐิติ สวนทันควัน น้ำเสียงแข็งแววตาวาววับ “คุณกานไม่ได้ลืมฉัน”
“อ้าว แล้วที่หล่อนไม่ยอมติดต่อกลับมาหาแกเลย มันหมายความว่าอะไรล่ะวะ”
คำพูดของเขต ทำให้ฐิติอึ้งไปอย่างจนคำตอบ ชายหนุ่มทอดถอนใจ หลบสายตาเพื่อนมองไปที่ฟลอร์อย่างไม่ตั้งใจ ฐิติเห็นคู่ลีลาศพลิ้วผ่านสายตาไปคู่แล้วคู่เล่า
แต่แล้วฐิติกลับมีท่าทางตื่นเต้นตกใจที่เห็นชายหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งกำลังเต้นรำกันอย่างสวยงามผ่านไป ฐิติลุกพรวดขึ้นยืนจ้องอย่างตะลึง ก่อนจะพรวดพราดผละไปจากโต๊ะเร็วราวกับจรวด
เขต ทวิช และอุดร มองตามอย่างคาดไม่ถึง 3 หนุ่มร้องพร้อมกัน ด้วยความตกใจ
“เฮ้ยไอ้ติ..เดี๋ยว”
“มันจะไปไหนของมันวะนั่น” เขตงงหนัก

คู่เต้นรำที่ฐิติเห็นคือสาวสวย กานดาวสี กับปรีชา ที่เต้นรำจบลงพอดี ปรีชามองกานดาวสีอย่างทึ่งและชื่นชม
“จะเต้นต่อหรือจะพักก่อนดีครับ
“ขอพักเถอะค่ะ...รู้สึกคอแห้งจัง อยากดื่มน้ำสักหน่อย อีกอย่าง ป่านนี้รำเพยคงอยากเต้นรำกับว่าที่คู่หมั้นแล้วล่ะค่ะ”

สองคนหัวเราะให้กัน
ปรีชาผายมือเชิญให้กานดาวสีเดินออกจากฟลอร์ เวลาเดียวกับที่รำเพยเดินยิ้มแย้มออกมาจากฟลอร์กับชายหนุ่มคู่เต้นรำ รำเพยขอตัวเดินแยกมาหากานดาวสีและปรีชา
“ไงจ๊ะกาน..แฟนฉันเหยียบเท้าเธอเข้าบ้างหรือเปล่า” รำเพยสัพยอก
“อ้าวที่รักทำไมพูดแบบนี้ล่ะจ๊ะ.. คุณกานก็แค่อยากให้ฉันกลับไปเต้นรำกับว่าที่คู่หมั้นต่างหาก”
กานดาวสีมองรำเพยและปรีชาแหย่กันอย่างรักใคร่ พลอยมีความสุขไปด้วย
“แน่ะ เพลงใหม่ขึ้นแล้ว เธอสองคนออกไปเต้นรำกันเถอะ ฉันขอตัวไปนั่งพักก่อนล่ะ”
กานดาวสีรุนหลังเพื่อนทั้งสองคน ให้เข้าไปในฟลอร์ก่อนจะเดินเลี่ยงออกมา จะกลับไปที่โต๊ะ
แต่จู่ๆ ฐิติก็พรวดพราดเข้ามาคว้าข้อมือกานดาวสี ละล่ำละลักถามอย่างตื่นเต้นดีใจมาก
“คุณกาน..คุณกานจริงๆ คุณหายไปไหนมา รู้มั้ยผมตามหาคุณแทบพลิกแผ่นดิน”
กานดาวสีตกใจมาก รีบดึงมือตัวเองกลับ หน้าซีดเผือดจ้องฐิติอย่างตกตะลึง
“คุณไม่ดีใจเหรอที่เราได้พบกับอีก” ฐิติถามแปลกใจ
กานดาวสีฉงนหนัก “คุณเป็นใคร..ดิฉันไม่เคยรู้จักคุณ”
ฐิติงงมาก “อะไรนะ..คุณกาน นี่คุณพูดอะไรออกมา”
“ดิฉันไม่เคยรู้จักคุณมาก่อนจริงๆ ขอโทษนะคะ..คุณคงจำคนผิดแล้วล่ะค่ะ”
กานดาวสีรีบเดินหนี
“คุณกาน”
ฐิติอึ้ง ตะลึง นึกไม่ถึง แววเจ็บปวด ผิดหวังระบายทั่วใบหน้าหล่อเหลาของเขา

กานดาวสีก้าวเร็วๆ เดินไปที่โต๊ะ อีกมุมหนึ่งของคลับ ฐิติคว้าตัวกานดาวสีให้หันไปเผชิญหน้า
“คุณกาน..คุณโกรธอะไรผมถึงได้ทำหมางเมินกับผมขนาดนี้”
กานดาวสีชักโกรธ “เอ๊ะ..ปล่อยฉันนะ ปล่อยสิ คุณจะหยาบคายเกินไปแล้วนะ ปล่อย”
“หยาบคายเหรอ ถ้าแค่นี้หยาบคายแล้วเหตุการณ์ที่ประจวบมันหมายความว่าอะไร”
ฐิติมองจ้องอย่างคาดคั้น ในขณะที่กานดาวสีทั้งโกรธทั้งตกใจ
จังหวะนี้รำเพยกับปรีชาวิ่งเข้ามาหากานดาวสีอย่างตกใจ
“มีเรื่องอะไรกันน่ะ กาน..เธอรู้จักกับผู้ชายคนนี้ด้วยเหรอ”
“ไม่” เสียงของกานดาวสีหนักแน่นมาก
“คุณกาน...”
ฐิติครางครวญ มองมาอย่างเสียใจสุดๆ กานดาวสีผลักฐิติออกไปสุดแรง
รำเพยรีบเข้าไปหากานดาวสีอย่างเป็นห่วง แต่ไม่ทันฐิติที่เข้าไปคว้ากานดาวสีมากอดไว้อย่างลืมตัว พรั่งพรูความในใจออกมา
“คุณกานผมทำอะไรให้คุณไม่พอใจ ทำไมคุณถึงทำกับผมได้ขนาดนี้...รู้มั้ยตลอดเวลาหนึ่งปีที่เราไม่ได้พบกันผมคิดถึงคุณแทบบ้า..ผม...”
โดยไม่มีใครทันคาดคิด ปรีชากระชากฐิติชกเข้าเต็มๆ หน้า จนฐิติล้มไปแทบเท้าเขต อุดร และทวิชที่เข้ามาถึงพอดี
ฐิติรีบลุกขึ้นตรงเข้าชกปรีชาเอาคืนบ้าง เพื่อนทั้งสามตกใจ ผู้คนในร้านตื่นตระหนก
เขตถามเสียงดัง “อะไรกันวะ”
อุดรไม่ฟังเสียงใครทั้งนั้น ดันตัวทวิชให้เข้าไปขวางปรีชาไว้ เขตรีบวิ่งเข้าไปคว้าตัวฐิติแยกออกจากปรีชา
“เดี๋ยวๆ นี่มันเรื่องอะไรถึงกับต้องลงไม้ลงมือกันเนี่ย” เขตถามอีก
“ถามเพื่อนพวกคุณดูเอาเองสิ...ถ้าเมาก็กลับบ้านไปเสีย..อย่ามาทำรุ่มร่ามแถวนี้” ปรีชาบอกอย่างมอารมณ์
“แต่ผมรู้จักเพื่อนคุณจริงๆ คุณกานทำไมคุณไม่บอกทุกคนไปว่าเรารู้จักกัน เรารู้จักกันที่ประจวบ แล้วเราก็สัญญา...”
ฐิติไม่ทันจะได้พูดจบคำกานดาวสีก็สวนออกมาเสียงแข็ง
“พอทีเถอะค่ะ..ฉันไม่ทราบว่าคุณกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ฉันขอยืนยันต่อหน้าทุกคนตรงนี้อีกครั้งว่า ฉันไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน” สีหน้าแววตาของสาวสวยรูปโฉมสะคราญตา ดูจริงจังมาก

ขณะที่สีหน้าฐิติเต็มไปด้วยอารมณ์แห่งความเจ็บปวดรวดร้าวสุดจะประมาณ

ไม่นานจากนั้น กานดาวสี กับรำเพย เดินเร็วๆ ไปที่ลานจอดรถด้านหน้า กานดาวสีเหลียวมองหน้ามองหลังอย่างหวาดระแวง กลัวว่าฐิติจะตามมา

“นี่ยัยกานฉันถามจริงๆ เถอะเธอไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นแน่นะ”
กานดาวสีถอนใจ “โธ่เอ๊ยรำเพย นี่เธอก็เป็นไปกับเขาด้วยเหรอ เธอก็เป็นเพื่อนฉันมานานฉันเคยโกหกอะไรเธอมั้ย”
“ก็ไม่นะ แต่ฉันแปลกใจน่ะสิ จะว่าเขาจำคนผิด แต่ทำไมเขาเรียกชื่อเธอถูกล่ะ”
“รำเพย อย่าลืมสิเขาเรียกฉันแค่คุณกาน มันอาจจะเป็นกานอย่างอื่นก็ได้ เช่น เอ่อ...กาญจนา กานดา หรือกานอะไรตั้งเยอะแยะ” กานดาวสีว่า
“เออ...จริงด้วยเนอะ เขาไม่ได้เรียกเธอว่ากานดาวสีสักหน่อยนี่ แต่เขาก็ดูมั่นอกมั่นใจมากเลยนะ” รำเพยยังคาใจไม่หาย
กานดาวสีเคียงขึ้งขึ้นมา “นั่นน่ะสิ คนอะไรก็ไม่รู้...บ้าจังเลย”
ปรีชาขับรถเข้ามาจอดเทียบ 2 สาว รำเพยขึ้นนั่งด้านหน้าคู่คนขับ กานดาวสีนั่งด้านหลัง รถแล่นออกไป
ฐิติเข้ามายืนตรงจุดที่สองสาวยืนเมื่อครู่ มองตามรถไปอย่างมั่นอกมั่นใจ
ไวเท่าความคิดฐิติวิ่งพรวดเดียวมาถึงรถ กำลังจะเปิดประตูรถ อุดร เขต และทวิช วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาขวางไว้
อุดรเหนื่อยใจ “เฮ้ย ติ ฉันว่าแกอาจจำคนผิดจริงๆ ก็ได้”
“ไม่..ฉันไม่มีทางจำคนผิด ฉันจำคุณกานของฉันได้ดี ผู้หญิงคนนี้คือกานดาวสีกิริเนศวร ไม่ผิดตัวแน่นอน”
“เอ้า ถ้าอย่างนั้นมีเหตุผลอะไร ที่เจ้าหล่อนถึงได้ทำเป็นไม่รู้จักแก” อุดรย้อน
“ก็มีอยู่เหตุผลเดียวแหละว้า เจ้าหล่อนคงเลิกรักไอ้ติแล้วน่ะสิ” ทวิชว่า
ฐิติอึ้งไปนิดหนึง ผลักเพื่อนออกไปให้พ้นทาง ก่อนจะขึ้นรถ ขับออกไปทันที
เขตและอุดรหันมาจ้องทวิชพร้อมกันอย่างไม่พอใจ ที่โพล่งออกมาอย่างนั้น
“มันน่าเอาตะกร้อครอบปากจริงๆ” อุดรบอก

มองจากภายนอก บ้านกิริเนศวร แลเห็นสนามกว้าง ตัดแต่งดูแลอย่างสวยงาม มองไปเห็นตึกขนาดกะทัดรัดรูปทรงเลียนแบบสถาปัตยกรรมยุโรป ตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่สุดขอบสนามด้านหนึ่ง
รถปรีชามาจอดหน้าบ้าน กานดาวสีก้าวลงมาโบกมือให้รำเพยกับปรีชา ก่อนที่รถจะแล่นออกไป กานดาวสีเดินไปที่ประตูเล็ก เปิดกระเป๋าถือหยิบกุญแจดอกหนึ่งขึ้นมาไขประตูเสร็จ แต่ยังไม่ทันเปิด มือฐิติเข้ามาคว้าข้อมือไว้ก่อน กานดาวสีตกใจมากหันมามอง
“คุณ”
“ตอนนี้มีแค่เราสองคน คุณเลิกแสดงละครได้แล้ว”
กานดาวสีพยายามสะบัดข้อมือแต่ไม่หลุด “ฉันไม่เข้าใจที่คุณพูด ปล่อยฉันนะ”
“ผมไม่ปล่อยจนกว่าคุณจะบอกเหตุผลว่าทำไมคุณถึงต้องแกล้งทำเป็นจำผมไม่ได้”
“ฉันไม่ได้แกล้ง โธ่นี่ทำไมคุณไม่เชื่อฉันบ้าง ฉันไม่รู้จักคุณเลย แล้วฉันจะแกล้งทำเป็นจำไม่ได้ไปทำไมกัน”
“ก็ได้..ถ้าคุณจำอะไรระหว่างเราไม่ได้เลยจริงๆ ผมก็จะช่วยรื้อฟื้นความทรงจำให้คุณเอง”
อย่างรวดเร็วฐิติตวัดร่างกานดาวสีเข้ามาจูบ กานดาวสีดิ้นรนเต็มที่จนหลุดตบหน้าฐิติฉาดใหญ่
ฐิติยืนงงได้แต่มองตามร่างกานดาวสีที่วิ่งเข้าบ้านไปอย่างรวดเร็ว
“คุณกาน..นี่คุณเป็นอะไรไป ทำไม..ทำไมต้องทำกับผมแบบนี้ ทำไม” ฐิติงุนงงครวญคร่ำอย่างปวดร้าว

กานดาวสีอยู่ในชุดนอนนั่งมองเงาตัวเองอย่างครุ่นคิด กับเหตุการณ์ที่ผ่านมา
ในตอนที่ฐิติเห็นกานดาวสีในฟลอร์ลีลาศแล้วเข้ามาทัก กานดาวสีมีสีหน้างุนงงไม่เข้าใจ
และตอนที่ฐิติเข้ามาคว้าตัวกานดาวสีแล้วพูดถึงเหตุการณ์ที่ประจวบ
กานดาวสีพึมพำ
“เหตุการณ์ที่ประจวบ..เขาพูดถึงอะไร”
กระทั่งตอนที่ฐิติคว้าตัวกานดาวสีมาจูบเพื่อต้องการให้กานดาวสีรื้อฟื้นความทรงจำ
นึกแล้วกานดาวสีหน้าแดงระเรื่อ ลุกขึ้นจ้องเงาตัวเองในกระจกพูดแกมโมโห
“ก็แค่ผู้ชายที่ชอบฉวยโอกาสคนหนึ่ง จะมีใครหน้าตาเหมือนเราได้อีก..ไร้สาระที่สุด”
กานดาวสียกมือลูบหน้าตาตัวเอง สีหน้าแววตาบ่งบอกกับตัวเองว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้

ที่ร้านขายขนม และบ้านพักของ พุดตาน แม่ของฐิติ เป็นห้องแถวเล็กๆ ประตูบานเฟี้ยมไม้ ที่เปิดเป็นร้านขายขนมด้วย มีป้ายชื่อร้านติด “บ้านขนมไทย”
เวลานั้นพุดตานถืออ่างใบเล็กพร้อมผ้าขนหนูเข้ามาในห้องนอน ยืนมองฐิติที่นอนอยู่บนเตียงส่ายหน้า
เอ็นดู
ฐิติเพ้อ “คุณกาน..ผมดีใจเหลือเกินที่ได้พบคุณ คุณกาน..ทำไม..ทำไม”
“คุณกาน..นี่หมายความว่าติเจอคนรักแล้วงั้นเหรอ”
สีหน้าพุดตานตื่นเต้นยินดีไปด้วย มองที่ฐิติค่อยๆ เงียบเสียงหลับสนิทไปแล้ว
“แม่ดีใจด้วยนะจ๊ะที่ติได้เจอคนที่ติรักเสียที ขอให้คุณกานเขารักลูกของแม่มากพอๆ กับที่ลูกรักและเฝ้ารอเขานะ ติจะได้มีความสุขเสียที”
พุดตานปัดผมให้พ้นหน้าผากฐิติไปอย่างเบาๆ ด้วยท่าทีรักใคร่ลูกชายเหลือแสน

บรรยากาศในไนต์คลับแห่งนั้นคึกคัก เสียงดนตรีกระหึ่ม ท่ามกลางแสงสี ผู้คนเต้นกันอยู่แน่นขนัด
กานดามณีเต้นลีลายั่วยวน อยู่กับชายหนุ่มอย่างสนุกสนาน พร้อมทั้งส่งยิ้มให้วิไลวรรณที่เต้นอยู่ข้างๆ
กัน จู่ๆ วิไลวรรณยิ้มค้างแทนสายตาเห็นสุชาติแหวกคนเข้ามากระชากแขนกานดามณีพาลากออกไป ทั้งๆที่กานดามณีพยายามสลัด
ชายหนุ่มที่เต้นอยู่มองตามไปอย่างไม่พอใจ ก่อนจะหันมาตะโกนถามวิไลวรรณ
“ไอ้หมอมั่นมันใครกัน อย่าบอกนะว่าเป็นแฟนของคุณกาน ก็เมื่อกี้คุณกานบอกผมว่ายังไม่แฟนนี่นา”
วิไลวรรณอึกอัก “เอ้อ..ก็เป็น..เป็นพี่ชายน่ะ อย่าเพิ่งถามอะไรเลย ฉันไปก่อนนะ”

จากนั้นวิไลวรรณรีบวิ่งตามออกไปอย่างเป็นห่วง

อ่านต่อหน้า 2

สุดสายป่าน ตอนที่ 1 (ต่อ)

ที่บริเวณด้านหน้าไนท์คลับ กานดามณีสะบัดแขนออกจากการฉุดรั้งของสุชาติอย่างโมโห ตวาดเสียงดัง

“ทำบ้าอะไรเนี่ย”
“ใครกันแน่ที่บ้า..ไหนบอกฉันว่าเธอจะไปงานวันเกิดวิไลวรรณแล้วทำไมมาเต้นล่อผู้ชายอยู่นี่ ถ้าฉันมาช้ากว่านี้เขามันคงงอกขึ้นมาบนหัวฉันแน่ๆ” สุชาติโมโหมาก
กานดามณีโกรธแล้วเปลี่ยนเป็นขำพูดเยาะๆ
“ตายจริงเธอนี่ความรู้สึกช้าจัง”
สุชาติโกรธ “หมายความว่ายังไง”
กานดามณีมองที่หัวสุชาติ “ฉันว่าเขามันขึ้นบนหัวเธอมาตั้งนานแล้วน่ะสิ” พร้อมกับหัวเราะเย้ยๆ
ขาดคำสุชาติตบเข้าเต็มๆที่หน้ากานดามณี กานดามณีล้มลงไป พร้อมๆกับที่วิไลวรรณวิ่งมาถึงชะงักอย่างตกใจสุชาติตรงเข้ากระชากกานดามณีขึ้นมาคำราม
“รู้จักฉันน้อยไปแล้วนังตัวดี”
สุชาติเงื้อมือสูงจะตบซ้ำเข้าอีก แต่กลับชะงักหน้าเสีย เพราะที่หน้าท้องสุชาติเห็นมือกานดามณีถือมีดสปริงจิ้มอยู่ กานดามณีเอาจริง
“ลองตบฉันอีกทีสิ ไส้แกทะลักแน่”
สุชาติค่อยๆ ลดมือลง
กานดามณีสะบัดหลุดถอยออกมาถือแต่ยังชูมีดขู่ไว้ วิไลวรรณรีบวิ่งเข้ามาหา
“ใจเย็นๆน่ากาน..เก็บมีดก่อนดีมั้ยจ๊ะที่รัก”
“ใครเป็นที่รักของแก แกกับฉันเลิกกันนับแต่วินาทีนี้ ไสหัวแกไปให้พ้น จำไว้ด้วยถ้าแกยังไม่เลิกมาตอแยฉันอีกแกได้ไปเที่ยวนรกแน่”
สีหน้าท่าทางกานดามณีเอาจริงจนดูน่ากลัวมาก

กานดามณีอยู่ที่บ้านวิไลวรรณ กำลังวางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะปัง! หลังกระดกเหล้าจนหมดแก้ว ท่าทางเริ่มเมา วิไลวรรณเดินเข้า
“ยังกินต่ออีกเหรอ”
กานดามณีหัวเราะ “ใช่สิ ฉันเป็นโสดอีกครั้งแล้ว แบบนี้มันก็ต้องฉลอง ไม่ใช่เหรอแก”
“เอ้อ..จะมีผู้ชายคนไหนทำให้แกรู้สึกเสียดายเขาบ้างมั้ยนังณี ปีนี้แกฉลองความเป็นโสดครั้งที่สี่แล้วนะ”
“ฮึ่อ ฉันไม่เคยเสียดายผู้ชายคนไหนสักคนเลยแก ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป หรือแกว่ามีคนไหนที่มันน่าเสียดายบ้างล่ะบัญชา ดิลก อาวุธ สุชาติ..ใครอีกน้าฉันชื่อจำไม่ได้”
วิไลวรรณนิ่งคิด “ฉันเสียดายคนที่เราเจอที่ประจวบเมื่อปีก่อนนะ”
“ใคร”

“ก็ที่ชื่อฐิติไง..หล่อ สุภาพ นี่ถ้าไม่ติดว่าแกคั่วอยู่ฉันคงรีบเสนอตัวเหมือนกันแหละ แบบนั้นน่ะสเป็กฉันเลยละแก”
กานดามณีนึกได้ขำมากขึ้น “โธ่นึกว่าใคร...จำได้ล่ะ ฮื่อที่จริงก็ไม่เลวหรอกนะ แต่เป็นไก่อ่อนไปหน่อย ขี้เกียจสอนให้ขัน เป็นสุภาพบุรุษจนน่ารำคาญ แถมดันจนนี่นะสิที่ฉันรับไม่ได้ โอ๊ยจะไปพูดถึงทำไม มาวิไลเรามาฉลองอิสรภาพกันดีกว่า เย้...”

เย็นนั้นเกลียวคลื่นซัดเข้าหาฝั่ง เสียงฐิติกับกานดามณีหัวเราะหยอกเย้าดังมาก่อนที่จะเห็นกานดามณีวิ่งเข้ามา มีฐิติไล่ตามจับมาติดๆ
“เร็วเข้าเร้วติขา..ถ้าจับได้จะมีรางวัลให้นะคะ”
ฐิติวิ่งตามมาคว้าเอวกานดามณีไว้ได้ กานดามณีหัวเราะกิ๊กกั๊ก
“อุ๊ยจั๊กกะจี้ค่ะ..ปล่อยก่อนค่ะ”
“ไม่ปล่อยครับจนกว่าคุณกานจะให้รางวัลผมเสียก่อน”
กานดามณีหันกลับมาเผชิญหน้าโอบรอคอฐิติ มองฐิติด้วยดวงตาหวานฉ่ำ
“ฉันรักคุณค่ะ ติ”
ฐิติมองกานดามณีด้วยความรักสุดหัวใจ
“ผมก็รักคุณ กานดาวสี”
กานดามณีมองฐิติอย่างยั่วยวนเต็มที่ ก่อนจะโน้มฐิติลงมาช้าๆ
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป ฐิติน้ำตาคลอ หน้าตาครุ่นคิด
“คุณกาน...คุณลืมเรื่องระหว่างเราทั้งหมดจริงๆ เหรอ”

เช้าวันต่อมา พุดตานกับฐิติกำลังช่วยกันทำขนม
“แม่ว่าติอย่าเสียเวลากับผู้หญิงคนนั้นเลยลูก เหตุการณ์ที่ติเจอเมื่อคืน ก็น่าจะทำให้ติเห็นธาตุแท้ของผู้หญิงคนนี้แล้วว่าเธอเป็นคนแบบไหน”
“ผมไม่อยากเชื่อ ไม่อยากเชื่อว่ากานดาวสีที่ผมรู้จักจะเห็นความรักเป็นแค่เกมเกมหนึ่งเท่านั้น” ฐิติลุกพรวดขึ้น “แม่ครับขอให้ผมได้พบเธออีกครั้ง ผมขอพิสูจน์อะไรบางอย่างถ้ามันเป็นอย่างที่ผมคิด ผมจะตัดใจจากผู้หญิงคนนี้ทันที”
สีหน้าฐิติเด็ดขาด พุดตานได้แต่มองอย่างไม่เข้าใจ

ทั่วอาณาบ้านกิริเนศวรยามเช้าแสนสดชื่น แจ่มใส วิเศษ นารีรัตน์ อุไร เดินคุยกันขณะที่จะเดินไปที่ห้องทานอาหาร
วิเศษเสียงเข้มงวด “ยัยรัตน์เมื่อคืนกลับบ้านกี่ทุ่ม”
นารีรัตน์สะดุ้งเงยหน้าสบตาอุไรที่จ้องเขม็งอยู่แล้วรีบตอบ
“เกือบสามทุ่มค่ะ..เอ่อ คือรัตน์กับเพื่อนอ่านหนังกันเพลินจนลืมเวลาไปหน่อยแล้วตอนกลับมารถก็เสียค่ะคุณพ่อ”
วิเศษมองอุไรพูดเรียบๆ “คุณนี่เก่งนะ..น่าจะไปเป็นหมอดู”
“คุณหมายความว่าอะไรคะ”
“อ้าว ก็ยัยรัตน์พูดเหมือนที่คุณพูดเมื่อวานไม่มีผิดเลย ทั้งเรื่องที่ไปอ่านหนังสือบ้านเพื่อนแล้วรถเสีย กลับถึงบ้านสามทุ่ม”
อุไรกับนารีรัตน์ถึงกับชะงักกึก นารีรัตน์สบตาอุไรอย่างหวั่นๆ ประมาณว่าพ่อต้องไม่เชื่อแน่ๆ จะทำไงดี
อุไรมองปรามนารีรัตน์ไม่ให้แสดงพิรุธอะไรออกมา กำลังจะอ้าปากแก้ตัว วิเศษไม่สนใจเดินเข้าไปในห้องอาหาร
อุไรค้อนนารีรัตน์ดุเบาๆ “ทีหลังจะไปไหนก็รีบกลับให้มันเร็วๆหน่อย แม่จะได้ไม่ต้องมาคอยแก้แทนแกอีก”
“แต่หนูไปอ่านหนังสือจริงๆ นะคะคุณแม่”
“ก็นั่นแหละ เป็นลูกผู้หญิงคุณพ่อไม่ชอบให้ไปไหนมาไหนมืดๆ ค่ำๆ รัตน์ก็รู้นี่”
อุไรค้อนนารีรัตน์อีกครั้ง ก่อนจะเดินตามวิเศษเข้าไป

วิเศษคุยกับกานดาวสี ระหว่างที่ทุกคนกำลังนั่งรับประทานอาหารเช้า

“เมื่อคืนทานข้าวกับเพื่อนๆ เป็นไงล่ะบ้างลูก”
“ก็ดีค่ะคุณพ่อ รำเพยกับปรีชาเค้าพาหนูไปเลี้ยงต้อนรับที่กลับมาจากปีนัง”
อุไรหมั่นไส้ “มิน่า คงสนุกกันใหญ่ล่ะสิ ถึงได้กลับบ้านตั้งเกือบสองยาม...นี่ยังดีนะคะ ที่ยัยรัตน์ไม่ใช่คนชอบเที่ยว วันๆ ก็เอาแต่ท่องหนังสือ ไม่งั้นชาวบ้านคงนินทาว่าลูกสาวบ้านนี้เปิ๊ดสะก๊าด กลับบ้านเอาเกือบเช้าทุกวัน”
กานดาวสีไม่อยากโต้ตอบ
วิเศษไม่พอใจ “คุณก็พูดเกินไป ตั้งแต่กลับมา ยัยกานก็เพิ่งจะกลับดึกแค่เมื่อคืน”
“ดิฉันก็แค่พูดให้ฟัง คุณก็รู้ว่าชาวบ้านน่ะเห็นหนึ่งก็บอกว่าสิบอย่างนี้ล่ะค่ะ”
อุไรหันไปกระแนะกระแหนกานดาวสีต่อด้วยเสียงอ่อนหวาน
“แล้วนี่หนูกานก็กลับมาได้ตั้งเดือนกว่าๆ แล้ว ยังหาการหางานอะไรทำไม่ได้เหรอจ๊ะอุตส่าห์ไปร่ำเรียนมาถึงเมืองนอกเมืองนา นี่คงไม่ได้คิดจะอยู่เฉยๆ คอยเกาะคุณพ่อไปจนแก่ใช่มั้ย”
กานดาวสีกำลังจะตอบอุไร วิเศษกระแทกช้อนในมือลงบนจานอย่างแรง พูดขัดขึ้น
“ยัยกานน่ะ ไม่ได้คิดอย่างนั้นหรอกคุณอุไร ผมนี่ล่ะที่ไม่ยอมให้แกไปทำงานที่อื่นผมจะเป็นคนพาแกไปฝากงานกับบริษัทที่ผมไว้ใจได้เอง”

อุไรยิ่งพาลหมั่นไส้กานดาวสี ประชดอีก “โธ่ ก็ดิฉันไม่รู้นี่คะว่าคุณคอยจัดแจงเตรียมหางานให้หนูกานเอาไว้แล้ว ดิฉันก็แค่ตักเตือนไปตามประสา” อุไรเน้นคำจ้องไปที่กานดาวสีขณะพูด “กลัวจะเป็นคนไม่เอาไหน เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ ก็เท่านั้นล่ะค่ะ”
วิเศษมองอุไรอย่างไม่พอใจและรู้ทัน อุไรรีบเปลี่ยนเรื่องตัดบท
“เที่ยงนี่คุณจะออกไปไหนหรือเปล่าคะ ถ้าไม่ไป ดิฉันจะทำหมี่กะทิของชอบให้ทาน”
“ไม่ล่ะ ฉันจะรีบไปที่วัง”
กานดาวสีถาม “เรื่องท่านชายใช่มั้ยคะ”
“ใช่ลูก...จนป่านนี้ก็ยังไม่มีใครตามหาตัวคุณชายฐิติเทพเจอเลย”

วิเศษดูหนักใจมาก

ขณะเดียวกันได้ยินเสียงของตก และเสียงท่านชายวิสุทธิเทพโวยวายมาจากห้องบรรทม

“ชาย..ชายอยู่ไหน...กลับมาหาพ่อนะ”
ท่านชายพยายามจะดิ้นรนลงจากเตียงให้ได้ ข้าวของที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงตกกระจายอยู่ที่พื้น
ท่านหญิง นมสาย พยายามจับตัวไว้
หมอพยายามจะเข้าไปฉีดยา แต่ดูละล้าละลังเพราะท่านชายดิ้นจะลงจากเตียงให้ได้
“หมอ จะถวายฉีดพระโอสถ ก็รีบเข้าสิคะ” นมสายบอก
“คุณนมจับองค์ท่านชายไว้สิครับ”
ท่านหญิงลักษมีปลอบ “ท่านพี่ ใจเย็นนะคะ คุณพระกำลังพยายามตามหาชายอยู่”
ท่านชายไม่ฟัง “ปล่อยฉัน ฉันจะไปหาชาย...บอกให้ปล่อย”
จังหวะนี้วิเศษเดินเร็วรี่เข้ามาด้วยท่าทางเป็นกังวลท่านหญิงหันไปเห็น
“พ่อวิเศษมาพอดี เร็วเข้าเถอะ มาช่วยกันจับองค์ท่านชายหน่อย”
“กระหม่อม”
วิเศษรีบเข้ามารีบเข้าจับตัวท่านชาย ให้หมอรีบเข้ามาฉีดยากล่อมประสาทซึ่งออกฤทธิ์ทันที เพราะฉีดเข้าเส้น ท่านชายสงบลง แต่ยังคร่ำครวญ
“ชายลูกพ่อ ลูกอยู่ที่ไหน พ่อคิดถึงชายเหลือเกิน”
ท่านหญิงมองท่านชายอย่างเป็นกังวล น้ำตารื้น ฝืนปลอบทั้งๆ ที่ใจก็ปวดร้าวไม่แพ้กัน
“ท่านพี่...ท่านพี่ต้องเข้มแข็งนะคะ อีกไม่นานเราต้องได้พบลูกชายแน่ๆ”
ท่านชายได้แต่นอนน้ำตาไหล
คุณพระบรรณกิจเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน คุกเข่าลงข้างเตียง
“กระหม่อมได้ข่าวคุณชายฐิติเทพแล้วกระหม่อม”

ท่านชายผวาลุกขึ้นอย่างดีใจ วิเศษกับคุณพระต้องช่วยกันประคองไว้
ท่านชายดีใจน้ำตาคลอ “ลูกฉันอยู่ที่ไหน พาฉันไปพบลูกชายเดี๋ยวนี้”
“คือ...คุณชายฐิติเทพสิ้นแล้วกระหม่อม”
ท่านหญิงตกใจ “หา...ไม่จริง! เป็นไปไม่ได้”
ท่านชายช็อกหายใจหอบถี่ หมดเรี่ยวแรงทันที ทรุดลงไปที่เตียง ทุกคนตกใจ
“ท่านพี่” ท่านหญิงลักษมีอุทานอย่างตกใจ

ไม่นานนักวิเศษกับคุณพระบรรณกิจเดินคุยกันมา หลังจากออกมาจากห้องบรรทมท่านชายวิสุทธิเทพ
“สงสารท่านชายกับท่านหญิงเหลือเกิน”
“ใช่..ท่านทรงรอคอยอย่างมีความหวังมาตลอด พอมารู้ว่าคุณชายฐิติเทพสิ้นแล้วแบบนี้ จะไม่ให้เสียพระทัยได้อย่างไร ก็คงต้องใช้เวลาสักพักกว่าจะทำพระทัยได้”
“หัวอกคนเป็นพ่อเป็นแม่ ไม่ว่าลูกจะจากเป็นหรือตาย ก็คงไม่มีวันทำใจได้หรอกครับคุณพระ” วิเศษว่า
“เออแน่ะ คุณวิเศษพูดราวกับว่าตัวเองเคยพรากจากลูกอย่างนั้นแหละ”
วิเศษอึ้งไป ก่อนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ รีบเปลี่ยนเรื่อง
“จริงสิ เมื่อกี้คุณพระบอกว่ามีเรื่องสำคัญจะทูลท่านหญิง มันเรื่องอะไรกันล่ะ”

ท่านหญิงอยู่ในห้องรับแขกของวังกับคุณพระ และวิเศษ สีหน้าท่าทางท่านหญิงดีพระทัยมาก ตาเป็นประกายขึ้นด้วยความหวัง
“ว่ายังไงนะ ชายมีลูกงั้นรึ” ถามอย่างร้อนใจ “แล้วตอนนี้หลานฉันอยู่ที่ไหน ทำไมคุณพระถึงไม่พาตัวมาด้วยเลย”
“คุณพุดตานกับลูกชาย ย้ายออกไปจากบ้านที่กระผมไปพบตั้งแต่คุณชายฐิติเทพเสีย หลังจากนั้น ก็ไม่มีใครได้ข่าวเธออีกเลยกระหม่อม”
“โธ่ หลานย่า...ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไง ตกระกำลำบากอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้”
“ชาวบ้านแถวนั้นบอกว่าลูกชายของคุณชายฐิติเทพเป็นเด็กดีกระหม่อม ขยันขันแข็ง ตั้งใจเรียนหนังสือ แล้วยังช่วยพ่อแม่ทำมาหากิน” คุณพระบอก
ท่านหญิงสะเทือนใจในชะตาชีวิตของลูกชายหลานชาย หันไปสั่งคุณพระเสียงเด็ดขาด
“คุณพระจะทำยังไงก็ได้ แต่ต้องหาตัวหลานฉันให้พบ”
“กระหม่อม”
“นี่ถ้าท่านพี่ได้พบหน้าหลาน ท่านต้องดีพระทัยมาก และพระอาการอาจจะดีขึ้นก็ได้”

ครู่ต่อมานมสาย เดินมาส่งคุณพระกับวิเศษที่หน้าตึกวัง
“คุณพระจะไปตามหาหม่อมและลูกของคุณชายที่ไหน ในเมื่อคนที่บ้านเก่าก็ไม่มีใครรู้ว่าพากันย้ายไปอยู่ที่ไหน”
คุณพระหนักใจ “ก็คงต้องเริ่มต้นจากศูนย์กันใหม่อีกครั้งนั่นแหละคุณวิเศษ”
นมสายถอนใจใหญ่อย่างกังวล
“ฉันล่ะเป็นห่วงคุณพุดตานกับคุณหลานจริงๆ ไม่รู้ว่าพากันไปอยู่ที่ไหน คุณพุดตานก็ไม่ได้มีความรู้อะไรติดตัว..นอกจากทำขนม”
วิเศษเครียด พยายามช่วยคิด ก่อนจะหันไปมองคุณพระอย่างตั้งใจจริง พร้อมจะร่วมแรงร่วมใจ
“เอางี้...ตอนนี้ผมก็เกษียณแล้ว พอจะมีเวลาว่างอยู่บ้าง ผมจะช่วยคุณพระตามหาอีกแรง”
คุณพระยิ้มมองวิเศษอย่างชื่นชมในน้ำใจมาก พลางพยักหน้าให้ นมสายท่าทางมีความหวังขึ้น
คุณพระบรรณกิจและวิเศษมีสีหน้าท่าทางมุ่งมั่นที่จะทำให้สำเร็จ

ที่โต๊ะสนามด้านข้างบ้าน ฐิติยืนข่มใจนิ่งอยู่ตรงนั้น กานดาวสีเดินเข้ามายืนเยื้องไปด้านหลังห่างพอควรถามอย่างแปลกใจ
“ขอโทษค่ะเห็นเด็กรับใช้บอกว่าคุณต้องการพบดิฉัน”
ฐิติหันกลับไปช้าๆ กานดาวสีตะลึง ได้สติรีบหันกลับเดินหนีเร็วๆ ฐิติรีบพูดขัดขึ้น
“ได้โปรดเถอะครับคุณกานดาวสี กิริเนศวร”
กานดาวสีชะงักหันกลับมามองอย่างแปลกใจมาก
“นี่คุณรู้จักชื่อและนามสกุลฉันได้ยังไง”
“คราวนี้คุณคงไม่ปฏิเสธอีกแล้วว่าเราไม่รู้จักกัน เพราะหากผมไม่รู้จักคุณก็คงไม่สามารถบอกทั้งชื่อและนามสกุลได้ถูกต้อง”
“ฉันไม่เข้าใจว่าคุณไปสืบชื่อและนามสกุลของฉันจากใครเพื่อจุดประสงค์อะไร”
ฐิติเค้นเสียงหัวเราะ “สืบ..ผมเนี่ยเหรอครับต้องสืบ คนที่บอกทั้งชื่อและนามสกุลก็คือตัวคุณเองลองคิดดูดีๆสิครับ”
ฐิติจ้องหน้ากานดาวสีเขม็ง เรื่องราวในอดีตผุดขึ้นมาในห้วงคิด
เช้านั้นฐิติวิ่งออกกำลังกายมาตามชายหาดทะเล จู่ๆได้ยินเสียงกานดามณีร้องเรียกให้ช่วย
“ช่วยด้วยค่ะช่วยด้วย”
ฐิติรีบมองหา เห็นกานดามณีกำลังจะจมน้ำ ฐิติรีบพุ่งลงไปช่วยอุ้มขึ้นมาวางที่ริมหาด
“เป็นยังไงบ้างครับคุณ”
“โอ๊ยขาฉันค่ะ..ขาฉันสงสัยจะเป็นตะคริว”
ฐิติรีบนวดให้ กานดามณียิ้มมองฐิติอย่างพอใจ ฐิติเงยหน้าถาม
“ดีขึ้นหรือยังครับ”
“ค่ะ..ถ้าไม่ได้คุณ..เอ้อ…”
“ผมฐิติครับ”
“ค่ะถ้าไม่ได้คุณฐิติ ฉันคงแย่ ขอบคุณมากนะคะ ฉันกานดาวสี กิริเนศวรค่ะ”

กานดามณียิ้มหวานแสดงความพอใจฐิติอย่างเปิดเผย ฐิติอึ้งตะลึงกับความงาม

อ่านต่อหน้า 3

สุดสายป่าน ตอนที่ 1 (ต่อ)

พอได้ฟังจบแล้ว กานดาวสีส่ายหน้า

“คุณพูดเรื่องอะไร ฉันไม่เคยไปประจวบเลยแล้วเราจะไปรู้จักกันที่นั่นได้ยังไง”
“นี่คุณยังไม่ยอมรับอีกเหรอว่าคุณคือกานดาวสี กิริเนศวร”
“ใช่ ฉันคือกานดาวสี กิริเนศวร แต่ฉันก็ยังยืนยันว่าฉันไม่เคยรู้จักคุณมาก่อน ตั้งแต่เกิดมา ฉันเพิ่งเจอคุณเมื่อคืน แล้วคุณก็มาทึกทักเล่าเรื่องอะไรที่มันไร้สาระมาก”
ฐิติฟังแล้วเจ็บปวดมาก “ไร้สาระ..คุณว่าความรักของเราเป็นเรื่องไร้สาระอย่างนั้นเหรอคุณกานคุณพูดออกมาได้ยังไง คุณบอกว่าคุณรักผม คุณจะติดต่อกลับมาหาผมแต่แล้วคุณก็หายเงียบไป ผมคิดว่าจะเกิดเรื่องร้ายกับคุณผมออกตามหาคุณด้วยความเป็นห่วงแต่เมื่อเราเจอกันคุณกลับบอกว่าทุกอย่างมันเป็นเรื่องไร้สาระ”
กานดาวสีอึ้งเมื่อเห็นท่าทางเจ็บปวดจริงจังของฐิติ
มีเสียงรถแล่นเข้ามา กานดาวสีมองไปในระยะไกลเห็นรถวิเศษแล่นเข้ามา
วิเศษลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้านไป กานดาวสีไม่สบายใจรีบพูดกับฐิติ
“นี่ฉันจะพูดยังไงดีคุณถึงจะเข้าใจว่าฉันไม่ใช่คนที่คุณรู้จักอย่างแน่นอน คุณกลับไปเสียเถอะค่ะ”
กานดาวสีจะเดินหนีฐิติคว้าข้อมือไว้
“เดี๋ยว...” ฐิติมองตัวบ้านและรอบๆ “ผมเพิ่งรู้ว่าคุณร่ำรวยมาก เพราะเหตุนี้ใช่มั้ยคุณถึงรังเกียจผม จริงสิ ผมนึกได้แล้วคืนสุดท้ายที่เราพบกันคุณถามว่าที่บ้านผมทำอะไรผมตอบคุณว่าแม่ผมทำขนมขาย ผมเป็นแค่ลูกแม่ค้าขายขนมจนๆ แล้วเช้าวันรุ่งขึ้นคุณก็หนีผมไปโดยไม่ล่ำลา”
“คุณพูดอะไรของคุณ ฉันไม่เคยรู้เรื่องอะไรของคุณเลย”
“บอกความจริงผมมากานดาวสี แล้วผมจะไป คุณรังเกียจที่ผมจนใช่มั้ยคุณถึงหนีผมไปไม่ติดต่อกลับมา ไม่ยอมรับว่ารู้จักกันใช่มั้ย..ใช่มั้ย” ฐิติเสียงดังขึ้น
กานดาวสีเหลือบเห็นวิเศษออกมามองที่ระเบียงไกลๆ แล้วกลับเข้าบ้านไป หญิงสาวร้อนรนก่อนจะตัดสินใจโพล่งออกไป
“ใช่ค่ะ..ใช่ ฉันตอบคุณแล้ว ที่นี้คุณจะกลับไปได้หรือยัง”
ฐิติมืออ่อนหน้าซีดขาวปล่อยมือกานดาวสีมองอย่างผิดหวังที่สุดในชีวิต
“ขอบคุณ..ขอบคุณที่พูดความจริงออกมา ผมจะไม่มารบกวนคุณอีกคุณกานดาวสี กิริเนศวร”
ฐิติค่อยๆ ถอยหลังแล้วหันกลับเดินดุ่มๆ ออกไปอย่างไม่เหลียวหลัง ที่กานดาวสียืนอึ้งทำอะไรไม่ถูกได้แต่มองตามด้านหลังฐิติจนลับไป

กานดาวสีกำลังเดินขึ้นบันไดชะงักที่เห็นวิเศษแต่งตัวลงมาใหม่ วิเศษทัก
“เพื่อนกลับไปแล้วหรือลูก”
กานดาวสีอึกอัก “ค่ะ”
“พ่อมองไม่ถนัด เพื่อนคนไหนล่ะทำไมไม่ชวนทานข้าวเย็นด้วย วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลย เห็นเด็กว่าพากันออกไปบางลำพูกับคุณอาอุไรหมด”
“คือ...เขาแค่แวะมาเยี่ยมเพราะรู้ว่าลูกกลับมาจากปีนังน่ะค่ะ ว่าแต่คุณพ่อก็เพิ่งกลับมา นี่จะออกไปอีกแล้วเหรอคะ มีเรื่องอะไรด่วนหรือเปล่าคะ”
“จะว่าด่วนก็ด่วน เพราะพ่อต้องไปตามหาคนๆ หนึ่ง เอาไว้ว่างๆ พ่อจะเล่าให้ฟัง พ่อไปก่อนนะ”
“ค่ะคุณพ่อ”
กานดาวสีมองจนวิเศษลับไป ค่อยๆ เดินขึ้นบันไดไปอย่างไม่ค่อยสบายใจ

เวลาเดียวกันท่านหญิงลักษมีนำพวงมาลัยวางบนพานหน้ารูปคุณชายฐิติเทพ นมสายยื่นธูปที่จุดแล้วให้ท่านหญิงรับมาพูดต่อหน้ารูป
“แม่ไม่เคยคิดเลยว่าชายจะจากแม่ไปเร็วขนาดนี้ ชายคงรู้แล้วว่าท่านพ่อและแม่ไม่เคยโกรธชายเลย ถ้าวิญญาณชายยังอยู่ก็ช่วยดลจิตดลใจให้แม่หาเมียและลูกของชายพบโดยเร็วด้วยเถอะ”
ท่านหญิงปักธูปแล้ว ถอยมายืนมองรูป
“ยิ่งพูดก็ยิ่งอยากเห็นอยากเจอเร็วๆ นะเพคะ ไม่รู้ว่าหน้าตาเหมือนคุณชายหรือคุณพุดตาน แต่ป่านนี้คงจะโตเป็นหนุ่ม ดีไม่ดีอาจจะแต่งงานแต่งการไปแล้วก็ได้” นมสายว่า
ท่านหญิงถอนใจ “ถ้าเขาแต่งงานแล้วจริงๆ ก็ขอให้ได้ผู้หญิงดีๆ เป็นคู่ชีวิตเถอะนะ เพราะเขาจะต้องเป็นคนสืบทอดตระกูลและมรดกทั้งหมดของสูรยกานต์แต่เพียงผู้เดียว”
สีหน้าท่าทางท่านหญิงออกจะเป็นกังวลไม่น้อย

ขณะนั้นรถวิเศษวิ่งมาตามซอย ที่วิเศษนั่งสีหน้าครุ่นคิด ตัดไปที่คนขับๆไปสีหน้าแปลกใจพึมพำ
“เดินยังไงของเขายังกับคนเมา”
“บ่นอะไรหึ..ใครเมา”
“อ๋อคือผู้ชายที่เดินอยู่ข้างหน้าน่ะครับกระผม เห็นเดินโซซัดโซเซชอบกลเหมือนคนเมาไม่มีผิด”
วิเศษมองตาม เห็นฐิติเดินช้าๆ อยู่ริมฝั่งขวา
“เฮ้อ คนหนุ่มสมัยนี้มันยังไง ตะวันยังไม่ทันตกดินเมาหัวราน้ำเสียแล้ว ขับให้ห่างๆ ไว้แล้วกัน”
“ครับท่าน”
ขาดคำฐิติก็ก้าวพรวดจะข้ามไปทางซ้ายโดยไม่หันมามองรถ คนขับร้องตกใจเบรกรถเต็มที่
“เฮ้ย”

วิเศษและคนขับมีสีหน้าตกใจทั้งคู่ วิเศษพูดกับคนขับ
“ชนเข้าให้จนได้ เป็นอะไรมากหรือเปล่าก็ไม่รู้ ลงไปดูกันเร็ว”
ทั้งวิเศษและคนขับรีบลงจากรถ ที่พื้นหน้ารถเห็นฐิติกุมขาท่าทางเจ็บแต่ไม่ร้อง
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าพ่อหนุ่ม”
ฐิติค่อยๆ เขยกลุกขึ้น ยังมีท่าทางเจ็บอยู่
“ไม่..ไม่เป็นไรครับ”
“เป็นไงล่ะริกินเหล้าแต่หัววัน ถ้าเบรกไม่ทันฉันก็ซวยนะสิ” คนขับบอก
ฐิติท้วง “ผมไม่ได้ดื่มเหล้านะครับ”
วิเศษเข้ามาใกล้ “ฮึ่ม ไม่มีกลิ่นเหล้าเลยจริงๆ แล้วเธอเป็นอะไรไม่สบายหรือเปล่าฉันเห็นเธอเดินเซๆ”
“ผม..ผมไม่ค่อยสบายนิดหน่อย เลยลืมมองไปว่าจะมีรถมาข้างหลัง ขอโทษด้วยครับที่ทำให้ต้องวุ่นวาย”
ฐิติยกมือไหว้ก่อนจะค่อยๆ เดินเขยกๆจะไป วิเศษรีบเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อนพ่อหนุ่ม เอาอย่างนี้เถอะเดี๋ยวฉันจะไปส่งให้ที่บ้าน เธอไม่สบายแถมมาขาเจ็บเพราะฉันอีก”

รถของวิเศษแล่นมาจอดหน้าบ้านฐิติ และกำลังมองป้ายร้านที่หน้าบ้าน
“ร้านขนมไทย” วิเศษทวนชื่อ พลางหันมามองฐิติ “บ้านเธอขายขนมด้วยรึ”
“ครับ แต่เดี๋ยวนี้ขายไม่ค่อยดีเท่าไร”
“ใช่สิ..ตอนนี้คนส่วนมากหันไปนิยมพวกขนมเค้กของฝรั่งกันหมด แต่ฉันคนหนึ่งล่ะที่ชอบขนมไทยๆมากกว่า แต่พูดก็พูดเถอะนะว่าหาคนที่มีฝีมือทำขนมไทยอร่อยจริงๆน่ะ หายากเต็มที ที่ร้านเธอมีขนมอะไรบ้างล่ะ”
“มีทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง กลีบลำดวน จ่ามงกุฎ ขนมนางเล็ด อะไรพวกนี้ล่ะครับ แม่ผมเป็นคนทำเอง” ฐิติบอก
“ไม่เลว..เห็นทีฉันจะต้องขออุดหนุนเธอเสียหน่อยแล้ว ขนมพวกนี้เป็นของโปรดของท่านหญิงทั้งนั้น”
“ท่านหญิง...” ฐิติฉงน
“อ๋อ...ท่านเป็นคนที่ฉันเคารพน่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นเชิญคุณลงไปเลือกเองดีมั้ยครับ”

วิเศษพยักหน้าเห็นด้วย ฐิติเปิดประตูลงไปก่อน วิเศษตามลงไปติดๆ

วิเศษกำลังมองขนมในถาดหลายใบที่วางไว้บนโต๊ะหน้าร้านอย่างชอบใจ ในถาดมีขนมหลายชนิดที่ประดิดประดอยอย่างคนมีฝีมือ ดูละลานตาไปหมด วิเศษทึ่งเอามากๆ 

“ถ้าเธอไม่บอกว่าแม่เธอเป็นคนทำ ฉันต้องนึกว่า เป็นฝีมือชาววังแน่ๆ”
ฐิติยิ้ม ภูมิใจที่มีคนชมขนมฝีมือแม่
“ขอบคุณครับ ถ้าแม่รู้ว่ามีคนชมขนาดนี้ คงจะดีใจมาก”
วิเศษมองแล้วมองอีกอย่างทึ่งในฝีมือ แล้วจึงหันกลับไปมองฐิติด้วยท่าทางครุ่นคิด

ส่วนสองสาวอยู่ในสวน รำเพยตกใจมากพอได้ฟังจบ
“ตายแล้ว..นี่ถ้าคุณพ่อเธอรู้ว่า มีผู้ชายบุกเข้ามาจับมือถือแขน แถมยังทึกทักว่าเธอเป็นคู่รักที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งของเขาละก็ ตายแน่ๆ”
“ก็เพราะอย่างนี้นะสิ ฉันถึงต้องตัดบทไปแบบนั้น”
“ถ้าฉันเป็นเธอฉันก็คงต้องทำอย่างนั้นแหละ”
“แต่ฉันไม่สบายใจเลย”
“ทำไมล่ะ ดีเสียอีกเขาจะได้ไม่มาตอแยเธอไงล่ะ” รำเพยว่า
“เธอไม่เห็นหน้าเขานี่รำเพย ขนาดฉันโกรธเขาอยู่ ฉันก็ยังอดสงสารเขาไม่ได้ เขาคงรักผู้หญิงคนที่คิดว่าเป็นฉันมากเหลือเกินนะ แล้วทำไมผู้หญิงคนนั้นถึงไม่เห็นค่าความรักของเขาก็ไม่รู้ ฉันอยากรู้จังว่าทำไม”
“โธ่เอ๊ยยัยกาน เรายังไม่รู้เลยว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า เธออย่าเพิ่งไปใจอ่อนง่ายๆ นะ คนสมัยเนี่ยร้อยเล่ห์พันเหลี่ยม เขาอาจจะกุเรื่องขึ้นมาเพราะเกิดชอบเธอก็ได้ ฉันยังนึกไม่ออกว่าจะมีคนหน้าตาเหมือนกันจนไม่รู้ว่าเป็นคนละคนเชียวเหรอ” รำเพยว่า
กานดาวสีอึ้ง สีหน้าและแววตาค่อนข้างสับสน

เช้าวันใหม่ ที่ร้านเสริมสวยกาญจนา มีป้ายชื่อร้าน “กาญจนา” ติดอยู่ด้วย เป็นตึกแถวเก่าๆ แต่ประตูบานเฟี้ยมเป็นกระจก ในร้านติดรูปดาราในทรงผมแบบต่างๆ
ในร้านบุญช่วยกำลังจัดข้าวของเตรียมจะเปิดร้าน เห็นกานดามณีเดินเข้ามา
“คุณณี...”
กานดามณีกำลังจะเดินผ่านไปอย่างไม่สนใจจะทักทายอะไร มากไปกว่าสั่งว่า
“ชงกาแฟขึ้นไปให้ฉันด้วยนะ”

กานดามณีเข้ามาในห้องท่าทางง่วงๆ โยนกระเป๋าไปทางหนึ่ง ถอดเสื้อคลุมขว้างไป
อีกทาง ก่อนจะทิ้งตัวนอนหลับตา เสียงเคาะประตู กานดามณีตะโกนทั้งๆ ที่ยังหลับตาอยู่
“เข้ามาเลยบุญช่วย”
เสียงประตูเปิดเข้ามา กานดามณีพูดต่อ
“เอาวางไว้บนโต๊ะนั่นแหละเดี๋ยวฉันลุกไปกินเอง”
กานดามณีพลิกไปมาอย่างขี้เกียจ ก่อนจะค่อยๆ ลืมตา เห็นเป็นหน้าวิสูตรชะโงกมองอยู่กานดามณีรีบลุกขึ้นนั่งอย่างไม่พอใจ

ด้านกาญจนานอนอยู่ได้ยินเสียงกุกกัก ปรือตามอง จึงเห็นบุญช่วยกำลังวางชามข้าวต้มที่โต๊ะหัวเตียงมีแก้วกาแฟอยู่ในถาดด้วย
“กาแฟนั่นของใคร คุณผู้ชายยังไม่ไปทำงานอีกเหรอ”
“ของคุณณีค่ะ สั่งให้หนูเอาไปให้ที่ห้อง” บุญช่วยกระซิบ “สงสัยจะยังไม่สร่าง เลยต้องเอากาแฟดำไปถอนมั้งคะ”
กาญจนาค่อยๆ ลุกขึ้น “พูดมากอีกแล้วนะแก นี่ยัยณีกลับมาแล้วเหรอ งั้นฉันเอาไปให้เอง”
“คุณไม่ค่อยสบายจะไปทำไมคะ เดี๋ยวเป็นอะไรขึ้นมาอีก คุณผู้ชายก็จะมาดุว่าหนูไม่ดูแลคุณ”
“ฉันไม่ได้เป็นอะไรมากหรอกน่า เอามาเถอะฉันมีเรื่องจะคุยกับยัยณีหน่อย ยิ่งหาตัวไม่ค่อยเจออยู่ด้วย แกจะไปทำอะไรก็ไป ไป๊”
บุญช่วยเบ้หน้าก่อนจะออกไป
กาญจนาลุกขึ้นเดินไปหวีผมที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งลวกๆ ก่อนจะเดินออกไป

ในเวลาต่อมา กานดามณีฉุนเฉียวเดินไปคว้าเสื้อคลุมมาสวมทับ
“เข้ามาทำไม ณีง่วงอยากนอน”
“เมื่อคืนแกไปไหนมาฮะ ทำไมไม่กลับบ้าน รู้มั้ยทุกวันนี้พ่อกับแม่แทบจะต้องเดินเอาปี๊บคลุมหัวอยู่แล้วเพราะความประพฤติของแก แกเป็นลูกผู้หญิงนะ มีแต่เสียกับเสีย” วิสูตรด่าใหญ่
กานดามณีลอยหน้าลอยตาพูด “ณีไม่เห็นจะแคร์ ชีวิตเป็นของณี เนื้อตัวก็ของณี จะเสียสักกี่ครั้งกี่หนมันก็เรื่องของณี”
“ยัยณี”
วิสูตรโกรธจนลืมตัวตบหน้ากานดามณีอย่างแรง กานดามณีหันขวับกลับมาตาวาววับโกรธสุดๆ เสียงดัง
กานดามณีโมโห “มีสิทธิ์อะไรมาตบหน้าฉัน”
“สิทธิ์ของความเป็นพ่อไงและถ้าแกพูดจาต่ำๆ แบบนี้อีกพ่อก็จะตบแกอีก ให้แกรู้ไว้ว่าพ่อทำทุกอย่างก็เพราะหวังดีกับแก”
“น่าสมเพช..หวังดีกับฉันเหรอนี่คงคิดว่าฉันโง่รู้ไม่เท่าทันว่าที่คุณโกรธทุกครั้งที่เห็นฉันกับผู้ชายคนอื่นก็เพราะคุณหึงหวงฉันใช่มั้ยล่ะ”
วิสูตรงงมาก “แกพูดอะไรของแกยัยณี พ่อเป็นพ่อ พ่อจะคิดบ้าๆ แบบนั้นได้ยังไง”
กานดามณีเค้นเสียงหัวเราะแค่นๆ “พ่อเหรอ..พ่อฉันชื่อวิเศษรับราชการเป็นใหญ่เป็นโตไม่ใช่ครูใหญ่กระจอกๆ แบบนี้”
วิสูตรตะลึง “อะไรนะ..ใครบอกเรื่องนี้กับลูก”
“ตกใจละสิที่ฉันรู้ความจริง แล้วก็รู้เท่าทันความคิดที่จะเคลมลูกเลี้ยงอย่างฉันด้วยทำเป็นรักทำเป็นห่วงที่แท้...”
“หยุดก้าวร้าวพ่อนะยัยณี...ถึงพ่อไม่ใช่พ่อที่แท้จริงของแก แต่พ่อไม่เคยคิดต่ำๆ แบบนั้นกับแกแม้นแต่ครั้งเดียว”
“ไม่จริง...ฉันไม่เชื่อ”
“ฟังพ่อให้ดีนะ พ่อเลี้ยงแกมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยอาบน้ำป้อนข้าวรักแกเหมือนลูกในไส้ ต่อให้แกแก้ผ้าอยู่ต่อหน้าพ่อ พ่อก็ไม่มีวันคิดเป็นอื่น”
กานดามณีมีสีหน้าร้ายกาจ ยิ้มเจ้าเล่ห์
“ก็ได้..งั้นเรามาพิสูจน์กัน”
ขาดคำกานดามณีถอดเสื้อคลุมออก วิสูตรตกใจ กานดามณีทำท่าจะถอดกระโปรง วิสูตรถลาเข้าคว้าข้อมือ
“นี่แกเสียสติไปแล้วรึยัยณีหยุดนะหยุดทำบ้าๆแบบนี้”
“ไม่...ฉันไม่หยุด ปล่อยสิ”
กานดามณีพยายามจะถอดเสื้อผ้า ขณะวิสูตรพยายามดึงมือไว้ สองคนยื้อยุดฉุดมือกันพัลวันจนพากันเซถลาล้มไปบนเตียง ในลักษณะที่วิสูตรคร่อมทับกานดามณีอยู่
เสียงกาญจนาหวีดร้องเสียงโหยหวน สองคนตกใจหันไปมองพร้อมกัน
วิสูตรและกานดามณี เห็นกาญจนายืนถือถ้วยกาแฟอยู่หน้าประตู ปล่อยถ้วยแตกกระจายก่อนจะ
ล้มลงหัวฟาดพื้นหมดสติทันที สองคนร้องอย่างตกใจมาก ร้องออกมาพร้อมๆ กัน

“กาญจนา” / “แม่”

อ่านต่อหน้า 4

สุดสายป่าน ตอนที่ 1 (ต่อ)

เย็นนั้นรถยนต์คันเก่าๆ แล่นมาจอดริมถนนเกือบถึงหน้ารั้วบ้าน ภายในรถนารีรัตน์ซึ่งอยู่ในชุดนักเรียนยิ้มหวานให้ประพันธ์ที่ขับรถมาส่ง

“ไปก่อนนะคะ”
ประพันธ์จับมือไว้ “เดี๋ยวครับ แล้วเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่”
“ยังไม่ทราบเลยค่ะแค่วันนี้รัตน์ก็กลัวจะแย่อยู่แล้ว ถ้าคุณพ่อคุณแม่จับได้ว่ารัตน์โกหกเรื่องไปดูหนังสือบ้านเพื่อนล่ะก็ รัตน์แย่แน่ๆ”
“นี่ถ้าคุณพ่อคุณแม่รัตน์รู้ว่าผมอายุมากกว่ารัตน์ตั้งหลายปี แล้วยังเป็นแค่ข้าราชการชั้นตรีจนๆ ท่านต้องยิ่งไม่ชอบใจมาก” ประพันธ์หน้าหมองลง
นารีรัตน์ปลอบ “อย่ากังวลเลยนะคะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น รัตน์ก็จะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
พอนารีรัตน์จะลง ประพันธ์แตะแขนไว้อีก เด็กสาวชะงักหันมามอง
“ผมรักรัตน์นะ”
“รัตน์ก็รักคุณค่ะ”
นารีรัตน์กำลังจะเปิดประตูลงรถ จู่ๆ มีแท๊กซี่คันหนึ่งปราดเข้ามาจอดหน้ารถประพันธ์ แลเห็นอุไรลงมาจากรถแท็กซี่คันนั้น มองมาที่รถประพันธ์อย่างสงสัย
นารีรัตน์ชะงัก หน้าซีดเผือด รีบไถลตัวลงนั่งที่พื้นรถทันที ละล่ำละลักบอก
“คุณประพันธ์ขับออกไปเลยได้มั้ยคะ นั่นคุณแม่รัตน์เอง”
ประพันธ์ตกใจ แต่พยายามบังคับสีหน้าให้เป็นปกติ เพราะอุไรกำลังเดินตรงเข้ามาหา
“ไม่ทันแล้วล่ะครับ คุณแม่คุณกำลังเดินมาที่นี่”
นารีรีตน์ยิ่งตกใจมากขึ้น “ตายแล้ว รัตน์จะทำไงดีล่ะคะ”
ประพันธ์พยายามคิดแก้สถานการณ์ เห็นอุไรกำลังเดินฉับๆ ตรงเข้ามาอย่างสงสัย ประพันธ์ตัดสินใจลงจากรถ

อุไรเดินตรงเข้ามาหาประพันธ์ ถามเสียงเข้ม
“คุณมาจอดรถหน้าบ้านฉันทำไม หรือว่าจะมาหาใคร”
ประพันธ์ละล้าละลัง ยังคิดไม่ออกว่าจะตอบอุไรว่ายังไง
“สวัสดีครับ” ประพันธ์ทักทาย
อุไรมองประพันธ์ตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะมองพิจารณาที่รถ แล้วหันมาประพันธ์อีกครั้งอย่างไม่ชอบใจนัก ดูก็รู้ว่าประพันธ์ไม่ใช่คนรวย
“หรือว่ามาหาแม่กานดาวสี” อุไรถามอีก
ประพันธ์ถือโอกาสรับปากส่งๆเอาตัวรอดไปก่อน
“เอ่อ...ครับ คือ ผมกำลังจะกลับ ผมลานะครับ”
ประพันธ์ยกมือไหว้อุไรแล้วรีบเดินไปขึ้นรถ ขับออกไป อุไรมองตามอย่างไม่พอใจ
“นี่คงไปหว่านเสน่ห์ไว้ทั่วล่ะสิ หูตาแพรวพราวซะขนาดนั้น ผู้ชายถึงได้ตามมาถึงบ้าน ระวังเถอะจะท้องไม่มีพ่อเข้าสักวัน”
อุไรค้อนลมค้อนแล้งอย่างหมั่นไส้

ครู่ต่อมานารีรัตน์เดินหน้าตาใสซื่อ ไม่รู้ไม่ชี้เข้ามาในบ้านอุไรรีบเข้ามาลูบหน้าลูบหลังอย่างเอาอกเอาใจ
“กลับมาแล้วเหรอลูก เหนื่อยมั้ยจ๊ะ”
“เหนื่อยสิคะ รัตน์ท่องหนังสือจนมึนไปหมดแล้ว”
“โถ...ลูกแม่ ช่างขยันซะจริง งั้นขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าก่อนนะลูก จะได้หายเหนื่อย...แม่จะให้เด็กเอาน้ำส้มคั้นเย็นๆขึ้นไปให้”
“ขอบคุณค่ะ งั้นรัตน์ขึ้นไปข้างบนก่อนนะคะ”
นารีรัตน์ไม่รอคำตอบ รีบวิ่งขึ้นไปข้างบน อุไรมองตามอย่างภูมิใจ
“เฮ้อ...มีลูกดี ตั้งอกตั้งใจเรียน นี่มันน่าชื่นใจจริงจริ๊ง”

นารีรัตน์วิ่งเข้ามาในห้องนอน เหวี่ยงหนังสือเรียนกับกระเป๋าถือลงบนเตียงอย่างไม่ใส่ใจ ผวาไปที่หน้าต่าง เปิดม่านออก มองหาใครคนหนึ่ง จนเห็นว่าประพันธ์จอดรถแอบอยู่ริมรั้ว ยืนมองมาที่นารีรัตน์เช่นกัน
นารีรัตน์ยิ้มหวานมองประพันธ์ด้วยสายตาเป็นประกายเจิดจ้า โบกมือให้ ประพันธ์โบกมือตอบ แล้วส่งจูบกลับมา นารีรัตน์ส่งจูบกลับไปอย่างอายๆ แล้วรีบปิดม่านหน้าต่าง วิ่งไปนั่งที่เตียง เอามือปิดหน้ากระทืบเท้าท่าทีเขินจัด ก่อนทิ้งตัวนอนลงบนเตียง เอาหมอนปิดหน้าแล้วกรี๊ดกร๊าดออกมา
สักครู่จึงเอาหมอนออกจากหน้า นารีรัตน์หน้าตาเปล่งปลั่ง ดวงตาเป็นประกายเพ้อฝันอย่างคนที่กำลังมีความรัก

รุ่งเช้าฐิติช่วยพุดตานเปิดร้าน ยกโต๊ะเสร็จ ก็ยกถาดขนมไปตั้งหน้าร้าน อย่างกระฉับกระเฉง ปากก็คุยกับแม่ไปด้วย พุดตานจัดถาดขนม อาทิ ขนมจ่ามงกุฎและกลีบลำดวนวางเรียงบนโต๊ะ
“เมื่อวานติขายจ่ามงกุฎกับกลีบลำดวนให้แม่ซะหมดเกลี้ยงเลยนะลูก”
“คนที่มาส่งผมน่ะครับ ท่าทางเค้าจะชอบฝีมือแม่มาก ชมแล้วชมอีกอยู่ตั้งหลายครั้ง”
“ซื้อไปซะเยอะเลย สงสัยจะเอาไปขายต่อ”
“ไม่ใช่หรอกครับ เห็นบอกว่าจะซื้อไปถวายท่านหญิง...”
พุดตานสะกิดหู สีหน้าแปลกใจ “ท่านหญิง…”

ไม่นานต่อมาฐิติยกถาดขนมซ้อนกันหลายถาดเข้ามาในร้านขนมที่สั่งเอาไว้ ท่าทางขยันขันแข็ง
“มาส่งขนมครับ”
เจ้าของร้านยิ้มแย้ม ทักทายอย่างมักคุ้น “วางไว้เลยพ่อติ เดี๋ยวป้าจัดเอง”
เจ้าของร้านหยิบเงินยื่นให้ ฐิติรับมา ไหว้ขอบคุณ
“ผมไปก่อนนะครับ”
ฐิติหันกลับเดินเร็วรี่ออกจากร้าน ชนเปรี้ยงกับกานดาวสีที่เดินสวนมาโดยไม่ทันระวัง
กานดาวสีตกใจ แต่ยังไม่ทันเห็นฐิติ
“อุ๊ย...ขอโทษค่ะ”
ฐิติเงยหน้าขึ้นมากำลังเอ่ยปากขอโทษเช่นกัน แต่เห็นหน้าเสียก่อนว่าเป็นใคร กานดาวสีตะลึงไป ฐิติเองชะงักอยู่ชั่วอึดใจเดียว ก่อนจะเดินผ่านกานดาวสีออกไปอย่างไม่สนใจ

กานดาวสียืนตะลึง สีหน้ารู้สึกอับอายมากๆ

ตรงริมถนนในซอยปลอดคน ฐิติเดินกลับไปที่รถซึ่งจอดอยู่บริเวณนั้น

กานดาวสีเรียกไว้ “เดี๋ยวก่อน” พร้อมกับเดินไปดักหน้าฐิติ
“ถึงคุณจะไม่พอใจฉันแค่ไหน แต่ก็ควรจะมีมารยาทบ้าง”
ฐิติย้อน “ก็คุณเองไม่ใช่เหรอ ที่รังเกียจผมซะจนไม่อยากจะเห็นหน้า”
กานดาวสีพูดดีๆ พยายามอดทนเต็มที่ “ทำไมคุณถึงไม่ยอมฟังฉันบ้างนะ”
“เรื่องที่ผมจน ไม่คู่ควรกับลูกเศรษฐีอย่างคุณน่ะเหรอ”
กานดาวสีถอนใจ หมดอารมณ์จะอธิบายต่อ พยายามสงบจิตสงบใจ
“เอาล่ะ ถ้าคุณต้องการจะเข้าใจอย่างนั้นก็ตามใจ ถือซะว่าฉันไม่เคยพบเจอคนอย่างคุณมาก่อนละกัน”
ฐิติคว้าข้อมือกานดาวสีไว้ ทั้งคับแค้น ทั้งน้อยใจ
“ใช่สิ คนอย่างคุณมันลืมอะไรได้ง่ายๆ เห็นความรักเป็นของเล่น เป็นเรื่องสนุกไปวันๆ”
กานดาวสีสะบัดมือ “ปล่อยนะ”
ฐิติยิ่งบีบไว้แน่น
“คงเสียใจมากล่ะสิ ที่เคยมายุ่งกับคนอย่างผม”
กานดาวสีพยายามกระชากมือออกจากฐิติสุดแรง แต่ฐิติยึดไว้แน่น
“ใช่...ฉันเสียใจมาก” น้ำเสียงของเธอประชด “พอใจหรือยัง”
ฐิติกระชากกานดาวสีเข้ามาจูบอย่างกระแทกกระทั้น กานดาวสียิ่งดิ้น ฐิติก็ยิ่งกอดยิ่งจูบ
กานดาวสีสู้แรงฐิติไม่ได้ ยืนนิ่ง สะเทือนใจหนักหน่วง
ฐิติสะดุดใจ ถอนริมฝีปากออกจากใบหน้ากานดาวสี ที่ยืนนิ่ง น้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ฐิติอึ้งไป เสียใจ เป็นห่วงความรู้สึกกานดาวสี
“คุณกาน! ผมขอโทษ”
กานดาวสีตบหน้าฐิติฉาดใหญ่ก่อนจะวิ่งหนีไป
“คุณกาน...”
ฐิติได้แต่มองตามอย่างเสียใจ

รุ่งเช้ากานดามณีนั่งหน้าซีดอยู่หน้าห้องผ่าตัด ในโรงพยาบาล
วิสูตรเดินไปเดินมาอยู่หน้าห้องอย่างร้อนใจ กานดามณีลุกพรวดไปถามวิสูตร
“นี่แม่อยู่ในห้องผ่าตัดตั้งหลายชั่วโมงแล้วนะ ทำไมป่านนี้ยังไม่ออกมาอีกล่ะ ฉันเป็นห่วงแม่”
วิสูตรมองกานดามณีแบบไม่เชื่อ เหยียดยิ้มอย่างสมเพช
“ห่วงเหรอ..ที่แม่เป็นอย่างนี้ก็เพราะการกระทำบ้าๆของแก แล้วแกยังมีหน้ามาพูดว่าห่วงอีกเหรอกานดามณี ถ้าแม่แกเป็นอะไรไป ฉันจะไม่มีวันให้อภัยแกเลย”
กานดามณีขยับจะเถียง พอดีหมอเปิดประตูห้องผ่าตัดออกมา จึงเปลี่ยนไปถามหมออย่างร้อนใจ
“หมอคะ แม่ฉันปลอดภัยแล้วใช่มั้ย”
“เสียใจด้วยนะครับ หมอพยายามเต็มที่แล้ว”
หมอเดินเลี่ยงไป วิสูตรส่ายหน้าไม่อยากเชื่อ รีบผลักประตูห้องฉุกเฉินเข้าไป ทิ้งให้กานดามณียืนตะลึงน้ำตาไหลพราก
“ไม่จริง..แม่ต้องไม่ตาย..ไม่จริง” กานดามณีตะโกนสุดเสียง “ไม่จริง”
จากนั้นก็วิ่งผลุนผลันออกไปจากโรงพยาบาล

ที่บ้านวิไลวรรณไม่นานต่อมา วิไลวรรณปลอบกานดามณีที่ดูโทรมมาก นั่งกอดเข่าอยู่บนเตียง
“อย่าคิดอะไรมากเลยนะณี ถึงแม่แกตาย แต่แกก็ยังมีพ่ออีกทั้งคน”
“เขาไม่ใช่พ่อฉัน” กานดามณีบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
วิไลวรรณตกใจ “อะไรนะ”
กานดามณีย้ำ “เขาไม่ใช่พ่อฉัน”
วิไลวรรณไม่อยากเชื่อ “แกพูดบ้าอะไรเนี่ยณี นี่แกเสียใจจนสติแตกหรือเปล่า”
“ฉันพูดเรื่องจริง ฉันเองก็เพิ่งรู้ความจริงเมื่อไม่กี่ปีมานี่แหละ พ่อกับแม่ฉันแยกทางกันตั้งแต่ฉันเพิ่งเกิด พ่อแท้ๆของฉันเขาไม่ต้องการฉัน เขาเอาตัวพี่สาวฝาแฝดฉันไปคนเดียว”
“แกว่าอะไรนะ นี่แกมีพี่สาวฝาแฝดด้วยเหรอ”
กานดามณีพูดแค้นๆ “ใช่ หล่อนชื่อกานดาวสี กิริเนศวร”
วิไลวรรณตาโต “ฮ้า..ชื่อที่แกชอบเอามาหลอกพวกผู้ชายที่มาจีบแกน่ะเหรอ นี่กานดาวสี กิริเนศวรมีตัวตนจริงๆ เหรอ ตายละ แล้วถ้าพวกหนุ่มๆ พวกนั้นไปเจอเค้า แล้วคิดว่าเป็นแกโอ๊ย...ตายแล้วยัยณี นี่แกเล่นบ้าอะไรเนี่ย”
สีหน้ากานดามณีมีแต่ความสะใจ

ขณะเดียวกันที่เรือนครัวภายในวังสูรยกานต์ ขนมไทยที่วิเศษนำมาฝาก ถูกจัดใส่จานสวยงาม เสียงนมสายแจ้วๆ
“ใช่แล้วมันต้องจัดแบบนี้ ไม่ใช่สักแต่ว่าเทสุมๆ มาอย่างเมื่อตะกี้ รู้มั้ยจะกินจะอยู่มันต้องให้ได้ทั้งรสปากรสตา”
“รสปากน่ะเข้าใจเจ้าค่ะ แต่รสตาเป็นยังไงคะคุณนม” สาวรับใช้งง
“อ้าว..ก็มองแล้วมันน่าดูน่ากินน่ะสิยะ หึ..แต่ก็ใช่ว่ามองดูน่ากินแล้วมันจะอร่อยนะ เนี่ยถ้าไม่ติดว่าคุณวิเศษเธอซื้อมา ฉันก็จะไม่ให้เอาขึ้นโต๊ะแน่ๆ”
“แต่หนูว่าหน้าตาขนมดูดีขนาดนี้ ต้องอร่อยแน่ๆ เลยค่ะคุณนม”
“ถึงจะอร่อยยังไงก็สู้ฝีมือของฉันไม่ได้หรอก ท่านหญิงเองก็ไม่ทรงโปรดฝีมือใครนอกจากฉันกับ...” นามสายหยุดไปทันควัน
“ใครเหรอคะคุณนม” สาวใช้ถาม
นมสายเหมือนไม่อยากพูดชื่อ “ก็หม่อมของท่านชายฐิติเทพนะสิ เรื่องขนมไทยๆ ไม่มีใครสู้ได้ ฉันน่ะถ่ายทอดวิชาให้เองกับมือเชียวนะ”
นมสายออกเดินนำ พวกเด็กรับใช้ตามกันไปเป็นขบวน

วิเศษกุลีกุจอแบ่งขนมใส่จานเล็กส่งให้ท่านหญิงลักษมี มีคุณพระบรรณกิจ และนมสายอยู่ด้วยกันในห้องรับแขก
“ซื้อมาจากร้านเล็กๆ แถวๆ บางลำพูกระหม่อม รสชาติดีมาก กระหม่อมคิดว่าท่านหญิงคงจะโปรด”
ท่าทางวิเศษกระตือรือร้น สายตาเหมือนคาดหวังอะไรบางอย่างอยู่ ท่านหญิงมองขนมอย่างพอใจ
“ฝีมือปราณีตขนาดนี้นี่ทำขึ้นโต๊ะเสวยได้เลยนะ จริงมั้ยนมสาย...ไหน ขอชิมดูหน่อยซิ ว่าจะอร่อยอย่างที่พ่อวิเศษบอกหรือเปล่า”
ท่านหญิงทานขนม วิเศษมองอย่างตั้งใจ ท่าทางลุ้นมาก
ท่านหญิงชิมขนม สีหน้ายิ้มๆ กลับชะงักไปฉับพลัน ตะลึง พูดไม่ออก หันมามองหน้าวิเศษอย่างคิดไม่ถึง วิเศษยิ้มอย่างดีใจ
ด้วยแน่ใจว่าสิ่งที่ตนสงสัย คงจะเป็นจริงแน่ๆ

ฝ่ายพุดตานกำลังยุ่งอยู่กับการขายขนมหน้าร้าน
“ขอบใจนะจ๊ะ แหมมาอุดหนุนกันทุกวัน เอ้าวันนี้ฉันแถมให้กล่องหนึ่ง”
“ก็ขนมเธออร่อยจริงๆ นี่นา ขอบใจนะ ฉันไปล่ะ” ลูกค้าเดินไป
“จ้ะ...”
พุดตานจัดเอาขนมใหม่ด้านหลังขึ้นมาวางเรียง
วิเศษกับคุณพระบรรณกิจเดินเข้ามา มองหน้าพุดตานอย่างมาดหมายจริงจัง
พุดตานยกกล่องขนมหันมาเห็นรีบทัก
“รับขนมอะไรดีคะ”
“คุณพุดตานใช่มั้ยครับ”
พุดตานรับงงๆ “ใช่ค่ะ”
จังหวะนี้ท่านหญิงลักษมี เดินเข้ามาเพ่งมองยิ้มอย่างปลื้มปิติ
“พุดตาน...นี่หล่อนจริงๆ ด้วย”
พุดตานหันไปเห็นท่านหญิงก็ชะงัก ตะลึงอึ้งไป มือไม้อ่อนปล่อยกล่องขนมตกร่วงลงพื้น สีหน้าตกใจมาก
“ท่านหญิง”

เวลาต่อมาวิเศษกับคุณพระนั่งดื่มน้ำชาไปพลาง คุยกันไปพลาง
“นึกไม่ถึงเลยว่าโชคชะตาจะทำให้คุณวิเศษมาเจอคุณพุดตานเข้าจนได้” คุณพระทึ่งๆ
วิเศษมองขนมที่จัดไว้อย่างสวยงามในจาน
“เป็นเพราะท่านหญิงทรงจำรสมือของคุณพุดตานได้ต่างหากล่ะ”
“นมสายเคยเล่าให้ฟังว่า ท่านหญิงทรงโปรดคุณพุดตานมาก ท่านก็เลยโกรธมากตอนที่เธอหนีตามคุณชายฐิติเทพออกจากวัง” คุณพระว่าง
“แต่ท่านหญิงคงจะให้อภัยและหายโกรธคุณชายกับคุณพุดตานไปนานแล้วล่ะ ถึงได้ให้พวกเราช่วยกันตามหา”
ด้านพุดตานก้มกราบแทบพระบาทท่านหญิง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นน้ำตาไหลอาบแก้ม
“ทรงให้อภัยให้ดิฉันและคุณชายด้วยเถอะเพคะ ที่เป็นต้นเหตุให้ท่านชายตรอมพระทัย”
ท่านหญิงน้ำตาคลอ “ช่างมันเถอะ เรื่องมันก็แล้วไปแล้ว มานั่งคิดนั่งเสียใจเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์...ตอนนั้นเธอสองคนก็อายุยังน้อย ก็เลยคิดแก้ปัญหากันไปตามประสาเด็ก นี่หากว่าลูกชายมาเอ่ยปากขอเธอเสียตั้งแต่แรก เรื่องก็คงจบด้วยดี”
พุดตานไม่กล้าสู้หน้าท่านหญิงด้วยความรู้สึกผิด
นมสายแก้แทน “คุณชายกับคุณพุดตานก็คงจะไม่กล้าน่ะเพคะ”
“ไม่ต้องมาแก้แทนกันหรอกย่ะนมสาย ฉันก็ไม่ได้ถือโทษโกรธเคืองอะไรเค้าแล้ว...ว่าแต่...ฉันได้ยินว่าเธอกับชายมีลูกด้วยกันไม่ใช่รึ แล้วหลานชายฉันอยู่ที่ไหนล่ะ”
ขาดคำฐิติก็โผล่เข้ามา
“แม่ครับ..” ชายหนุ่มชะงักมองทุกคนตรงหน้าอย่างแปลกใจมาก
ท่านหญิงลักษมีตะลึงมองฐิติ น้ำตารื้นอย่างปลาบปลื้มและชื่นชม
“ติ.. เข้ามานี่สิลูก มากราบท่านหญิงลักษมี”
ฐิติเดินเข้ามาก้มลงกราบท่านหญิงที่ตะลึงมองอย่างปลาบปลื้ม พอฐิติเงยขึ้นก็ทรงสวมกอดอย่างดีใจ
“โอ..หลานย่า..หมดเคราะห์หมดโศกกันเสียทีนะ”
นมสายตื้นตันกับภาพที่เห็นจนถึงกับกลั้นน้ำตาไม่อยู่
ฐิติปล่อยให้ท่านหญิงกอด แต่ยังงงๆ กับท่าทางปลาบปลื้มยินดีอย่างมากมายของท่านหญิง หันไปสบตาพุดตานเป็นเชิงถาม
“หม่อมเจ้าหญิงลักษมี สูรยกานต์ ท่านเป็นท่านย่าแท้ๆของลูกจ้ะ”

ฐิติมีสีหน้าฉงนฉงาย และแปลกใจมาก ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
 
อ่านต่อตอนที่ 2
กำลังโหลดความคิดเห็น