xs
xsm
sm
md
lg

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 15

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 15

ฤทธิ์ประคองณัฐชานอนลงที่เตียงตามเดิมแล้วห่มผ้าให้
“ไม่ต้องเป็นห่วงนะ พักผ่อนให้เต็มที่ ผมจะดูแลคุณกับไอริณเอง”
“คุณเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ไม่ใช่เหรอ อย่าลืมดูแลคนอื่นด้วยสิ”
“ผมรู้ แต่คุณต้องมาก่อน”
“ฮึ...สำคัญขนาดนั้นเชียว”
ฤทธิ์ยิ้มก่อนจะก้มลงจูบที่หน้าผากของณัฐชา
“สำหรับผม คุณสำคัญที่สุด”
ณัฐชาเขิน
“แหวะ เลี่ยน”
ฤทธิ์ยิ้มรับ

ฤทธิ์เดินกลับออกมาจากห้องณัฐชา ก่อนจะเห็นเงาคนวูบผ่านไป
“นั่นใคร”
ฤทธิ์รีบวิ่งไปดู แต่พอพ้นหัวมุมถึงเห็นแม่บ้านคนหนึ่งกำลังถูพื้น แม่บ้านตกใจ
“มีอะไรรึเปล่าคะ”
“ขอโทษ ผมเข้าใจผิด”
แม่บ้านรีบเดินหนีไปอย่างกลัวๆ ขณะที่ฤทธิ์เริ่มคิดว่าจะรับมือกับกรณ์ยังไง

อาคารร้างยามค่ำคืนบรรยากาศวังเวงน่ากลัว ภายในห้องโถง กรณ์ร้องครวญครางด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวเราะ มือของกรณ์เกาะผนังเพื่อพยุงตัวขึ้น ร่างกายของเขาเริ่มกลับเป็นปกติ
“ในที่สุด ฉันก็ทำสำเร็จ ทุกอย่างอยู่รวมกันในร่างกายของฉัน น้ำตามัจจุราช ไวรัส และพลังของพรายพิฆาต ฮ่าๆ”
ร่างกรณ์ในเงามืดแหกปากร้องคำราม ไฟฟ้าในบริเวณห้องโถงถูกคลื่นพลังของเขากระตุ้นจนสว่างขึ้นอีกครั้ง

ถนนสายเปลี่ยวมีรถมอเตอร์ไซด์แล่นผ่านไป หญิงขายบริการคนหนึ่งกำลังยืนเตร่อยู่แถวริมรั้วสวนสาธารณะ เธอยืนบ่นงึมงำ
“เงียบเป็นบ้า ไม่มีลูกค้าเลยหรือไงวะ”
หญิงขายบริการล้วงกระเป๋าสะพายจะหยิบบุหรี่มาสูบ แต่แล้วเธอก็เห็นเงาดำปรากฏขึ้นจึงหันมองไป และต้องตกตะลึงปากคอสั่นเมื่อเห็นกรณ์ยืนอยู่
“ฉัน…ต้องการ…เลือด”
หญิงขายบริการกรีดร้องเสียงหลง ก่อนจะถูกกรณ์กระชากคอไปดูเลือด เลือดกระเซ็นเปื้อนกำแพง

ฤทธิ์เข้ามาในรถบรรทุกที่จอดอยู่ในลานจอดรถของโรงพยาบาล คอมพิวเตอร์จำลองความคิดมาดามหลิวสแกนร่างกายของเขาอย่างละเอียด ฤทธิ์ไม่ได้สวมเสื้อและยืนอยู่ในเงามืดมีแสงเลเซอร์สแกนผ่านร่างของเขาไป
“ร่างกายคุณปราศจากเชื้อไวรัส”
“ผมเคยติดเชื้อมาแล้วครั้งหนึ่ง คุณคิดว่าผมจะมีภูมิต้านทานรึเปล่า”
“ในชั้นนต้น ฉันคิดว่าพอมีทางเป็นไปได้ แต่คงไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์”
“นั่นหมายถึงร่างกายของผม อาจจะต่อต้านไวรัสได้บ้างในระดับหนึ่ง”
“ฉันไม่แน่ใจ”
“แล้วกรณ์ล่ะ ไวรัสจะฆ่าเขาได้มั้ย”
“อาจได้ แต่กรณ์มีพลังของพรายพิฆาตแฝงอยู่ พลังนั่นจะช่วยคุ้มครองชีวิตของเขา...คุณเปรียบเทียบตัวเองกับกรณ์ทำไม”
“ผมจะใช้ไวรัสของพรายพิฆาตฆ่าเขา แต่ผมต้องแน่ใจซะก่อนว่า เขาจะต้องตายก่อนผม”
“คุณคิดจะตายพร้อมกับศัตรู”
“ถ้าจำเป็น…”
“คุณปรึกษาคนอื่นรึยัง”
ฤทธิ์ส่ายหน้า
“ผมไม่จำเป็นต้องปรึกษาใคร”
“อย่างน้อยคุณก็น่าจะบอกลาคนที่คุณรัก”

ฤทธิ์นิ่งงันไป ขณะที่ภาพจำลองของมาดามหลิวเหลือบมองไปที่มุมหนึ่ง ฤทธิ์เปิดดูกล่องเก็บของส่วนตัวของโซเฟีย และเห็นภาพถ่ายโพลารอยด์ของโซเฟียกับชาญ ก่อนจะเห็นกล้องโพลารอยด์ของชาญที่เขาฝากโซเฟียเก็บไว้

ณัฐชานอนดูทีวีอยู่ในห้อง สักพักก็ปิดทีวีอย่างเซ็งๆ
“หายไปไหนของเขา แล้วบอกจะดูแลกัน ไม่เห็นมาเลย”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ณัฐชารีบคว้าหนังสือมาอ่านเพื่อทำทีเป็นไม่สนใจ
“เชิญ”
ฤทธิ์โผล่หน้าเข้ามาในห้องพร้อมกล้องโพลารอยด์
“ยังไม่นอนอีกเหรอ”
ณัฐชาตามองหนังสือ
“ก็...ง่วงๆอยู่เหมือนกันนะ”
“ว้าแย่จัง ว่าจะพาเดินเล่นซะหน่อย”
ณัฐชาสนใจทันที
“ที่ไหน”
ฤทธิ์ชี้นิ้วขึ้นไปข้างบน ตอนนั้นณัฐชาถึงได้สังเกตกล้องในมือของเขา

ดาดฟ้าโรงพยาบาลท่ามกลางแสงจันทร์...ฤทธิ์ประคองณัฐชาออกมาเดินเล่นด้วยกัน สายลมเย็นๆที่พัดมาทำให้เธอรู้สึกสดชื่นหันมายิ้มให้เขาอย่างมีความสุข
“ถ่ายรูปกันหน่อยดีมั้ย”
“ที่ระลึกเหรอ”
“มั้ง”
“เนื่องในโอกาส...”
ฤทธิ์ส่ายหน้า
“ไม่มีโอกาสอะไรทั้งสิ้น”
ฤทธิ์กับณัฐชาถ่ายรูปคู่กันบนดาดฟ้าท่ามกลางแสงจันทร์นั้น เธอโอบกอดเขาและถือโอกาสเบียดซบบ่า ฤทธิ์เหลือบมองณัฐชาก่อนจะเชยคางเธอขึ้นจุมพิตอย่างนุ่มนวล และโอบกอดเธอไว้อย่างทะนุถนอม
“คุณมีอะไรจะบอกกับฉันรึเปล่า” ณัฐชาหวั่นใจ
“ผมอยากให้คุณรู้...ณัฐชา ความรู้สึกที่ผมมีต่อคุณตอนนี้มันมีค่ามากสำหรับผม สำหรับคนที่ผ่านความตายมาแล้ว คุณคือชีวิตใหม่ของผมคืออนาคตและความหวังสุดท้ายที่ผมมี”
ณัฐชานิ่งงัน ฤทธิ์กุมมือเธอมาแนบอก
“ชีวิตที่เหลืออยู่ของผมเป็นของคุณ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป...ผมรักคุณณัฐชา”
ณัฐชาตื้นตันกอดกระซับเข้าไปอีก
“ฉันก็เหมือนกัน ไม่ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกนี้จะอยู่กับฉันตลอดไป”
ฤทธิ์และณัฐชากอดกันท่ามกลางความมืดยามราตรี…

สมุนของกรณ์ถูกขังแออัดกันอยู่ในกรง เพราะต้องแยกต่างหากจากผู้ต้องหาทั่วไป สิงหากับปรีดาเดินเข้ามาถามไมตรี
“พวกมันกินอะไรบ้างรึเปล่า”
ไมตรีหวาดๆ
“ไม่รู้สิครับสารวัตร เห็นมันถามหายาเสพติดที่ชื่อน้ำตาสวรรค์ แล้วก็ไม่เอาอย่างอื่นเลยครับ”
ปรีดาแปลกใจ
“ไม่กินข้าวเหรอจ่า”
ไมตรีส่ายหน้า
“ฮึ...”
“แล้วจะกินอะไร”
“ก็เสียวอยู่นี่แหละหมู่ เห็นมันจ้องเอ๊าจ้องเอา เหมือนไม่อยากจะกินข้าว แต่อยากกินเขา”

คำพูดของไมตรีทำให้สิงหาต้องหันไปมองพวกสมุนของกรณ์ ที่ล้วนแต่นิ่งเงียบกันหมดเหมือนรอคอยอะไรบางอย่าง

เมธาหารือเรื่องที่เกิดขึ้นกับสิงหาอยู่ในห้องทำงาน
“อะไรนะ ยังขนย้ายไม่ได้อีกเหรอสารวัตร”
“ทางเรือนจำแจ้งว่านักโทษพวกนี้ต้องจัดพื้นที่ให้เป็นพิเศษครับ เพราะเกรงว่าถ้าเกิดมีเจ็บหรือตายขึ้นมา จะกลายร่างเป็นผีดิบ”
“อ้อ ทางโน้นเขากลัวว่างั้นเถอะ แล้วคิดว่าเราไม่กลัวหรือไงถ้ามันกลายร่างที่นี่ มีหวังวิ่งป่าราบกันทั้งกองปราบแน่”
“แต่ว่า…”
เมธาสวนทันที
“ผมไม่สน ที่ทางเขามีอยู่แล้วจะวุ่นวายอะไรนักหนา สารวัตร คุณต้องขนย้ายนักโทษคืนนี้ เดี๋ยวนี้เลย”
สิงหาได้แต่อึ้งไป

ฤทธิ์อยู่บนรถบรรทุก ตระเตรียมอาวุธกับชุดเกราะ แต่ร่องรอยถูกแทงที่ปรากฏอยู่กลางหลังทำให้เขาต้องคิดหนัก เสียงมาดามหลิวดังขึ้น
“กรณ์มีพลังมากกว่าเธอ”
ฤทธิ์หันไปเห็นภาพจำลองของมาดามหลิวปรากฏขึ้น
“ต้องใช้ไวรัสมากแค่ไหนถึงจะฆ่ามันได้”
“ถ้าดัดแปลงเป็นอาวุธชีวภาพ ปริมาณของไวรัสจะยิ่งเจือจาง ดังนั้นเธอต้องฉีดไวรัสเข้าสู่ร่างกายของมันโดยตรง”
“ไม่มีทางที่ผมจะเข้าถึงตัวมันแน่”
“โซเฟียคงคิดอยู่เหมือนกัน เขาถึงได้เตรียมบางอย่างไว้ให้เธอ”
ฤทธิ์นำกล่องบางอย่างที่ถูกเก็บไว้ออกมา ปรากฏว่ามันคือคันธนูกับลูกศรโลหะ มาดามหลิวอธิบาย
“หัวลูกศรถูกออกแบบให้เก็บไวรัสชนิดเข้มข้นเอาไว้ ทันทีที่ถูกกระแทก ไวรัสจะแพร่กระจายออกมา...เธอใช้มันได้รึเปล่า”
“อย่าลืมสิมาดาม ผมเคยอยู่หน่วยล่าสังหาร”
ฤทธิ์สะบัดคันธนูและทดลองง้างลูกศร

รถมอเตอร์ไซด์ตำรวจ แล่นนำรถขนนักโทษของกองปราบมาตามถนนเปลี่ยวสายหนึ่ง เพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนจำ สมุนของกรณ์ยังนั่งนิ่งกันอย่างเย็นชา ขณะที่ตำรวจซึ่งถือปืนคุมอยู่เหลือบมองพวกมันอย่างหวาดผวา ตำรวจที่เป็นคนขับบ่นกับเพื่อนที่นั่งมาด้วยกัน
“อะไรกันนักหนาโว้ย ค่ำมืดดึกดื่นทำไมต้องรีบขนย้าย ผู้ต้องหาด้วยวะ”
“ก็ดีแล้วน่า ขับกลางคืนทางสะดวก รถก็ไม่ติดด้วย”

ขณะที่รถมอเตอร์ไซด์กำลังแล่นนำรถขนนักโทษอยู่นั้น กรณ์ก็ปรากฏตัวขึ้นแล้วใช้ดาบซามูไรของวัฒน์ฟันฉับใส่ตำรวจ รถมอเตอร์ไซด์ล้มคว่ำร่างตำรวจล้มแน่นิ่ง ตำรวจซึ่งขับรถขนนักโทษรีบเหยียบเบรกทันที กรณ์ชูฝ่ามือขึ้นแล้วใช้พลังจิตบีบคอพลขับเอาไว้ เพื่อนที่นั่งมาด้วยกันตกใจ
“เฮ้ยเป็นอะไรวะเพื่อน เอ็งเป็นอะไร”
กรณ์บิดมือพลขับคอหักตายคาที่ทันที เพื่อนรีบโดดลงจากรถแล้วชักปืนออกมาเล็งใส่...
“ไอ้ตัวประหลาด เอ็งเป็นคนหรือเป็นผีกันแน่วะ”
กรณ์คำรามก่อนจะซัดพลังฝ่ามืออัดร่างตำรวจคนนั้นจนกระเด็นไปกระแทกต้นไม้จนตายคาที่ ก่อนที่จะเดินไปยังท้ายรถอย่างใจเย็น ตำรวจที่คุมนักโทษมองมันอย่างตื่นกลัวก่อนจะยกปืนเล็งใส่ กรณ์เพียงแค่ยิ้มให้อย่างสมเพช

ณัฐชานอนดูทีวีอยู่ในห้อง สักพักก็ปิดทีวีเซ็งๆ
“นายโทมัสเขาหายไปไหนของเขา ไหนบอกจะดูแลไง โธ่เอ๊ย เนี่ยนะสำคัญที่สุด ทิ้งกันเฉยเลย”
ณัฐชาหงุดหงิดสักพักโทรศัพท์ในห้องก็ดังขึ้น เธอเอื้อมมือไปรับสาย
“ฮัลโหล”
เสียงไอริณดังมาจากปลายสาย
“นี่ฉันเองนะณัฐชา ฉันไม่นอนไม่หลับ”
“เฮ้อ องค์หญิงไอริณเพคะ หม่อมฉันก็ป่วยอยู่เหมือนกันนะเพคะองค์หญิง”
“แต่ฉันกลัวนี่ มาเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ”
ณัฐชาปั้นหน้าเซ็ง

ณัฐชาเปิดประตูก่อนจะเดินกะโผลกกะเผลกออกมา เธอกัดฟันบิดตัวเหยียดแข้งเหยียดขาเรียกกำลัง
“เอ้า...ณัฐชาสู้ๆ ห้ามป่วย ห้ามตายเด็ดขาด โอ้ย ทำไมเราถึงต้องคอยดูแลคนอื่นด้วยเนี่ย ไม่เห็นมีใครมาดูเราบ้างเลย”
ณัฐชาบ่นกระปอดกระแปดก่อนจะเดินไปยังห้องไอริณ

ตำรวจคุมนักโทษล้มลงขาดใจกับพื้น ขณะที่ประตูลูกกรงถูกเปิดออก สมุนลงมาจากรถกันหมด
“สหาย ดีใจที่ได้เจอกันอีกครั้ง”
กรณ์โยนเป้ที่สะพายมาด้วยออกไป ภายในเป้มีน้ำตาสวรรค์อยู่จำนวนหนึ่ง
“เสพน้ำตาสวรรค์นี่ให้หมด แล้วพวกแกจะทวีความเป็นอมตะ”
สมุนคนหนึ่งถามขึ้น
“แต่ถ้าเสพมากขนาดนี้ พวกเราต้องตายนะหัวหน้า”
“นั่นล่ะที่ฉันต้องการ จงพิสูจน์ความภักดีของพวกแกด้วยยอมตายเพื่อฉัน”
กรณ์ยกปืนเล็งขู่ สมุนทั้งหลายมองหน้ากันอย่างหมดทางเลือก

ณัฐชากับไอริณนอนเบียดอยู่บนเตียงเดียวกัน ไอริณกอดณัฐชาอย่างมีความสุข
“คิดอะไรอยู่เหรอ”
“คิดว่าเมื่อไหร่เธอจะหลับซะที ฉันจะได้กลับห้อง”
“เอาน่า อยู่เป็นเพื่อนฉันอีกแป๊บเดียว” ไอริณยิ้มออกมา “เหมือนสมัยเด็กๆไงล่ะ ที่เธอ ฉันกับใจทิพย์เคยอยู่ด้วยกัน”
“คิดถึงใจทิพย์จังเลยเนอะ ไม่รู้ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้าง”
“ฉันคิดว่าอย่างน้อยใจทิพย์ ก็คงไม่ต้องเจอกับเรื่องวุ่นวายเหมือนเราตอนนี้”
“หัดมองมุมดีๆบ้างสิ”
“ใครจะไปเหมือนเธอ ฉันรู้นะว่าเธอกับคุณโทมัสน่ะ โอเคกันแล้วใช่มั้ย”
ณัฐชาชะงัก
“เดี๋ยว โอเคนี่หมายถึงแค่ไหน”
“ก็เป็นแฟนกันไง”
ณัฐชายิ้มเขิน
“แฟนเหรอ ไม่รู้สิ คงใช่มั้ง”
“ถ้าเราผ่านเรื่องนี้ไปได้ วันหนึ่งที่เธอแต่งงานกับเขา เธอต้องให้ฉันเป็นเพื่อนเจ้าสาวนะ”
“โห คิดไกลนะเนี่ย”
ไอริณสบตาณัฐชา สองสาวยิ้มให้กันด้วยความผูกพัน
“เธอคือพี่น้องของฉันณัฐชา เราจะอยู่ด้วยกันจนถึงวันนั้น”

รถขนนักโทษแล่นมาจอดที่ลานจอดรถของโรงพยาบาล สมุนกรณ์ลงจากรถในสภาพที่แปลกไปจากเดิม...ยามถอยกรูดมาที่หน้าประตู มือหนึ่งถือกระบอง อีกมือกำลังถือวิทยุสื่อสาร
“วอสองเรียกตำรวจให้ที มีคนบุกโรงบาล”
ขาดคำสมุนกรณ์ก็กรูกันรุมกัดกินยามคนนั้นทันที สมุนของกรณ์กลายเป็นผีดิบกันจนหมด

กระแสไฟของโรงพยาบาลอยู่ๆก็ดับวูบลงจนเหลือแต่ไฟฉุกเฉิน พยาบาลที่กำลังถือแฟ้มเดินผ่านแถวนั้นเงยหน้ามองอย่างแปลกใจ
“ไฟดับได้ไงเนี่ย”
พยาบาลหันหน้ามาตามเดิม และเห็นสมุนกรณ์ที่กลายเป็นผีดิบยืนคำรามอยู่ตรงหน้า มีเลือดเปื้อนอยู่เกรอะกรัง

ณัฐชากับไอริณลุกขึ้นนั่งเมื่อพบว่าไฟดับ ณัฐชาหันมาถาม
“มีอะไรเหรอไอริณ”
“ฉันได้ยินเสียงคนร้อง เธอฟังสิ”
สักพักก็ได้ยินเสียงคนหวีดร้องแว่วมา
คนไข้สะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงแผดร้องโหยหวนแว่วมา ก่อนที่ผีดิบจำนวนหนึ่งจะผลักประตูเข้ามาในห้องแล้วโผมาหาคนไข้ที่เตียงพร้อมกับกัดกินเลือดหยาดนองพื้น
ตำรวจในเครื่องแบบที่ทำหน้าที่คุ้มกันณัฐชากับไอริณ วิ่งกระหืดกระหอบมาที่ห้องณัฐชา
“คุณณัฐชา ตื่นเถอะครับ เราต้องไปจากที่นี่”

ตำรวจชะงักเมื่อไม่เห็นณัฐชาอยู่ในห้อง เขารีบปิดประตูลงตามเดิมและหันมาเจอผีดิบดักรออยู่ข้างๆ ตำรวจรีบชักปืนยิงใส่มัน แต่มันกลับคำรามก่อนจะโดดกัดคอเขาทันที

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 15 (ต่อ)

ณัฐชาหาอะไรมาค้ำยันประตูเอาไว้ ก่อนจะถอยไปสมทบกับไอริณที่เตียง ไอริณตื่นกลัว
“ณัฐชา”
ณัฐชายกนิ้วแตะริมฝีปากเพื่อบอกใบ้ให้เงียบเสียงที่สุดเท่าที่จะทำได้

ฤทธิ์กับมาดามหลิวได้ยินเสียงผิดปกติแว่วมา
“เกิดเหตุร้ายขึ้นข้างนอก” มาดามหลิวรีบบอก
“ผมจัดการเอง”
ฤทธิ์ผลักประตูจะออกไปข้างนอก แต่กลับเจอกรณ์ยืนอยู่ มันใช้พลังจิตกระแทกร่างเขาจนกระเด็น

ผีดิบเดินมาที่ประตูและมองผ่านช่องกระจกเข้ามา มันหายใจรดช่องกระจกจนเป็นฝ้าเมื่อเห็นณัฐชากับไอริณกอดกันอยู่ในห้อง มันคำรามก่อนจะออกแรงทุบประตูอย่างบ้าคลั่ง เล่นเอาณัฐชากับไอริณถึงกับสะดุ้งด้วยความหวาดผวา
พยาบาลวิ่งหนีผีดิบมาตามบันไดหนีไฟก่อนจะผลักประตูเพื่อหนีออกไปอีกชั้น แต่กลับเจอผีดิบอีกหลายตัวดักรออยู่ พยาบาลกรีดร้องสุดเสียง

ฤทธิ์เพิ่งตั้งหลักได้
“ไอ้กรณ์”
“รวดเร็วทันใจดีมั้ยเพื่อน”
ฤทธิ์รีบคว้ามีด กรณ์รีบใช้พลังกระชากร่างฤทธิ์ออกมานอกรถทันที

ผีดิบทุบและเขย่าประตูแรงขึ้นจนใกล้พัง ณัฐชาเห็นท่าไม่ดีจึงผละจากไอริณ
“ณัฐชา เธอจะไปไหน”
“เราต้องหาอาวุธป้องกันตัว”
ณัฐชากวาดสายตามองไปรอบๆ และสะดุดตาเข้ากับราวเหล็กอลูมิเนียม เธอจัดการรื้อถอนมันออกมา ผีดิบผลักประตูเข้าสำเร็จ มันตรงเข้าหาณัฐชาทันที
“ณัฐชา” ไอริณตกใจ
ณัฐชาหันไปใช้กระบองฟาดสมุนผีดิบของกรณ์จนหน้าหงาย ก่อนจะแทงซ้ำลงไปสุดแรง

ฤทธิ์กดปุ่มยิงใบมีดใส่กรณ์แต่กลับพลาดเป้าหมาย แถมกรณ์ยังคว้าเอ็นเชือกไว้ได้ มันกระตุกเชือกและฉวยโอกาสนั้นใช้พลังจิตตรึงร่างของฤทธิ์เอาไว้
“นี่คือการเริ่มต้น ของจุดจบ ระหว่างเรา”
ฤทธิ์กุมคอ…เพราะรู้สึกเหมือนถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น ขณะที่กรณ์มองดูอย่างสะใจ

ณัฐชาถือท่อนเหล็กนำไอริณออกมาจากห้องด้วยกัน ไอริณยังกุมแผลที่บาดเจ็บมาก่อนหน้านี้ ก่อนที่ทั้งคู่จะเจอศพตำรวจที่นอนจมกองเลือดอยู่ ไอริณรีบผละไปคว้าปืนพกจากมือของตำรวจมาถือไว้
“เอาไงณัฐชา จะหนีหรือจะซ่อน”
“เราไม่รู้ว่าพวกมันมีมากแค่ไหน ฉันคิดว่าเราหาที่ซ่อนกันดีกว่า”
ไอริณเห็นด้วย แต่แล้วสมุนผีดิบโผล่มาทางด้านหลังไอริณ
“ไอริณ” ณัฐชเห็น
ไอริณหันไปยิงแสกหน้าผีดิบตนนั้น นัดเดียวร่วง ไอริณหันมาสบตากับณัฐชา สองสาวมุ่งหน้าเดินต่อไปทันที

ร่างของฤทธิ์ถูกกรณ์ตรึงไว้กลางอากาศ เขาพยายามใช้พลังเคลื่อนย้ายมวลสารเพื่อหายตัวแต่ก็ทำไม่สำเร็จ กรณ์สังเกตเห็นร่างของฤทธิ์กระพริบวูบวาบก็รู้ทันทีว่าเกิดอะไรขึ้น
“คิดจะหายตัวเหรอเพื่อน ไม่สำเร็จหรอก ไม่มีใครหนีพลังของฉันพ้น”
กรณ์เหวี่ยงฝ่ามือออกไป ร่างของฤทธิ์กลิ้งไปกับพื้นทันที
“มาเลยฤทธิ์ ราวี สู้กับฉันเหมือนที่แกเคยสู้ตอนเป็นมนุษย์ เพราะแกจะไม่มีโอกาสนี้อีกแล้ว”
ฤทธิ์คำราม
“ฉันจะฆ่าแก”
“แน่จริงก็เข้ามาเลย”
ฤทธิ์พุ่งเข้าหากรณ์ และลงมือออกหมัดอย่างบ้าคลั่ง กรณ์ปัดป้องอย่างรวดเร็ว
“ฮ่าๆ ไม่มีอะไรเหมือนเก่าอีกแล้วเพื่อน ตอนนี้ฉันไวกว่าแก ฉันเหนือกว่าแกทุกอย่าง”
“ใช่ เหนือกว่าฉันทุกอย่าง ยกเว้นความเป็นคนของแกที่มันไม่เหลืออีกแล้ว”
กรณ์คำรามด้วยความโกรธก่อนจะซัดร่างฤทธิ์ออกไป

ไอริณกับณัฐชาหลบเข้ามาในห้องล็อกเกอร์ของพนักงาน ณัฐชาเดินสำรวจดูในห้อง ขณะที่ไอริณถือปืนเฝ้าต้นทางที่หน้าประตู
“ที่นี่ใช้หลบพวกมันไม่ได้หรอกณัฐชา”
“ฉันรู้แต่ในนี้อาจมีโทรศัพท์มือถือ หรือของจำเป็นอย่างอื่นก็ได้”
ณัฐชาลองรื้อค้นตู้ล็อกเกอร์ที่ไม่ได้ล็อก แต่ไม่พบอะไรที่ใช้การได้ จนกระทั่งเธอเจอเสื้อผ้ารองเท้าในตู้ๆหนึ่ง เธอหยิบรองเท้ามาอวดไอริณ
“อย่างน้อยเราก็ไม่ต้องวิ่งเท้าเปล่า”
ไอริณมองเท้าตัวเองแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ไอริณกับณัฐชาสวมเสื้อผ้ากับรองเท้าที่หาได้แล้วหนีลงมาทางบันไดหนีไฟ ก่อนจะพบสมุนผีดิบของกรณ์ที่กำลังรุมกัดกินร่างของนางพยาบาลอยู่ก็ชะงัก
“ทางนี้ผ่านไม่ได้”
“แต่ฉันมีกระสุนพอนะ”
“พวกมันจะแห่มาตามเสียงปืน เราต้องไปที่อื่น”
ณัฐชาพาไอริณล่าถอยไป แต่แล้วผีดิบงก็ผลักประตูเข้ามา ไอริณรีบยิงมันทันที เสียงปืนทำให้กลุ่มผีดิบที่รุมกัดร่างของนางพยาบาลมองมาที่สองสาว ณัฐชาตกใจ
“รีบหนีเร็วเข้า...ไป”
ณัฐชาพาไอริณวิ่งหนีไป

กรณ์ใช้พลังซัดใส่ ฤทธิ์พลิกตัวหนีกลับขึ้นไปบนรถบรรทุกอีกครั้ง
“ไอ้หน้าโง่ คิดเหรอว่าจะหนีพ้น”
กรณ์รีบตามไปที่รถบรรทุก แต่กลับเจอสิ่งไม่คาดฝันเมื่อมีลูกศรดอกหนึ่งถูกยิงสวนออกมา กรณ์คว้ามันไว้ได้ก่อนจะถึงคออยู่ฉิวเฉียด กรณ์เห็นปลายลูกศรถูกออกแบบให้บรรจุสารพิษเอาไว้
“ไวรัส”
ฤทธิ์ปรากฏตัวขึ้นพร้อมกับธนูในมือ
“ของขวัญสำหรับแกโดยเฉพาะ”
ฤทธิ์ยิงลูกศรอีกดอกใส่ กรณ์ตกใจและรีบหายตัวไปตั้งหลักทันที

ไอริณกับณัฐชาวิ่งหนีมาทางหนึ่ง เจอพวกผีดิบอีกสองสามตัวดักหน้า สองสาวรีบจัดการมันทันที ณัฐชาหวดท่อนเหล็กใส่พวกมันไม่ยั้ง ขณะที่ไอริณก็เผลอกระหน่ำยิงจนกระสุนหมด ขณะที่ผีดิบอีกตัวยังอยู่ตรงหน้า
“ณัฐชา” ไอริณตกใจ
ณัฐชาหันมาฟาดท่อนเหล็กใส่ผีดิบทันที
“เราต้องลงลิฟต์”
“ตอนแรกเธอบอกว่ามันอันตรายไม่ใช่เหรอ”
ณัฐชามองไปที่ผีดิบอีกสองสามตัวที่กำลังวิ่งมา
“ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ไปเถอะ”
ณัฐชากับไอริณรีบกดลิฟต์ ขณะที่ผีดิบวิ่งตรงเข้ามาไม่หยุด
“ปิดสิ รีบปิดสิโว้ย” ณัฐชารีบกดปุ่มปิดประตู
ประตูลิฟต์ปิดลงเฉียดฉิว

ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อลิฟต์มาถึงบริเวณชั้นล่าง ณัฐชาโผล่หน้ามาดูต้นทางอย่างกล้าๆกลัวๆ
“ทางสะดวก”
ณัฐชากับไอริณออกมาจากลิฟต์ ไอริณหันมาถาม
“ตกลงไม่ซ่อนแล้วเหรอ”
“มีเวลาให้ซ่อนที่ไหนล่ะ ฉันว่าเราลองเสี่ยงวิ่งออกไปดีกว่า เผื่อข้างนอกจะมีคนช่วย”
“แล้วถ้าไม่มีล่ะ”
“ก็วิ่งต่อไปเรื่อยๆแล้วกัน”
“ฉันยังบาดเจ็บอยู่นะ”
ณัฐชายักไหล่ไม่มีทางเลือกอื่น ไอริณตัดสินใจคว้าถังดับเพลิงขนาดย่อมที่แขวนอยู่ตรงผนังมาถือแทนอาวุธ สองสาวเดินย่องไปด้วยกัน ก่อนจะต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงลิฟต์ดังขึ้น เมื่อหันมองกลับไปทั้งคู่ก็แทบไม่เชื่อสายตาเมื่อเห็นสมุนผีดิบ ดินออกมาจากลิฟต์
“ใช้ลิฟต์เป็นด้วย” ณัฐชาอึ้ง
ไอริณก็อึ้งไม่แพ้กัน
“มันจำได้มั้ง”
ณัฐชากับไอริณจะวิ่งหนี แต่แล้วก็เห็นผีดิบอีกกลุ่มโผล่มาดักข้างหน้า
“แซนด์วิชแล้วไงคราวนี้”
“แค่เจ็ดแปดตัวเอง พอไหวมั้ง”
“เอา ไหวก็ไหว”

ไอริณกับณัฐชาหันหลังชนกัน ก่อนจะใช้ท่อนเหล็กกับถังดับเพลิงต่อสู้ฝูงผีดิบเหล่านั้น แต่แล้วระหว่างฟาดฟันกันอย่างเมามันนั้น ผีดิบที่ล้มไป กระชากข้อเท้าไอริณจนล้มลง
“ณัฐชา ช่วยฉันด้วย”
“ไอริณ”
จังหวะที่ณัฐชามัวหันไปมองทางอื่นนั้นพวกผีดิบก็เข้ามาประชิดตัวเธอได้สำเร็จและเกิดการยื้อยุดกันขึ้น ทันใดนั้นเสียงฤทธิ์ดังขึ้น
“หมอบลง”
ณัฐชากับไอริณหันไปและเห็นฤทธิ์กำลังถือธนูอยู่แต่ประทับลูกศรเล็งพร้อมกันสามถึงสี่ดอก พอได้สติณัฐชาก็สลัดพวกผีดิบแล้วพลิกไปชิดผนังทันที เช่นเดียวกับไอริณที่เหวี่ยงถังดับเพลิงฟาดหัวผีดิบ ก่อนจะหลบไปสมทบกับณัฐชา ฤทธิ์ยิงลูกธนูออกไป ลูกธนูพุ่งทะลวงผีดิบเหล่านั้น ดอกหนึ่งซัดไม่ต่ำกว่าสองตัว ชั่วพริบตาพวกผีดิบก็เกิดอาการติดเชื้ออย่างเร็ว พวกมันแผดร้องและล้มตายไปจนหมด ณัฐชากับไอริณมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างโล่งใจ ขณะที่ฤทธิ์ลดลูกศรในมือลง
“ไม่ต้องห่วง พวกคุณปลอดภัยแล้ว

ณัฐชากับไอริณยืนอย่างโล่งใจ
“มาช้าจัง มัวทำอะไรอยู่เนี่ย”
ฤทธิ์ไม่ทันตอบ จู่ๆกรณ์ย้ายมวลสารมาปรากฏข้างหลังแล้วกระชากตัวไอริณไป
“ไอริณ” ณัฐชาตกใจ
“ไอ้กรณ์”
กรณ์หัวเราะร่า
“ฮ่าๆ มันยังไม่จบแค่นี้หรอกนักสู้มหากาฬ ไปเจอฉันที่รังพรายพิฆาต แล้วถ้าฉันเห็นคนอื่นนอกจากแกกับณัฐชาล่ะก็ นังนี่ตาย”
กรณ์ว่าแล้วก็ใช้พลังจิตของพรายพิฆาต พาไอริณหายตัวไปต่อหน้าต่อตา

วันต่อมา...สิงหาตกใจเมื่อทราบรายงานจากไมตรีและปรีดา
“แล้วตอนนี้นักสู้มหากาฬอยู่ที่ไหน”
“ไม่ทราบเหมือนกันครับสารวัตร พวกเรายังติดต่อไม่ได้” ไมตรีบอก
ปรีดาหน้าเครียด
“ผู้หมวดณัฐชากับคุณไอริณก็หายตัวไปเหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นรึเปล่า”
“หรือว่าจะถูกไอ้กรณ์จับตัวไป” สิงหาครุ่นคิด “รีบให้คนของเราแยกย้ายกันออกตามหานะ หมู่จ่า ไม่ว่ายังไงต้องช่วยพวกเขากลับมาให้ได้”
ไมตรีกับปรีดารับคำ
“ครับผม”

ไอริณถูกล่ามหรือแขวนไว้บนเสาสูงในห้องโถงตึกร้าง เธอเริ่มรู้สึกตัวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของกรณ์
“โชคร้ายหน่อยนะคุณไอริณ ความจริงผมตั้งใจจะเอาณัฐชามาด้วย แต่รีบร้อนไปหน่อยก็เลยพามาแค่คุณคนเดียว คงไม่ว่ากันนะ”
“อย่าทำอวดเก่งไปหน่อยเลยไอ้กรณ์ แกกำลังจบเห่แล้ว”
“งั้นเหรอ มองโลกในแง่ดีไปหน่อยมั้งคุณไอริณ ผมไม่จบง่ายๆแค่นี้หรอก ที่เลวร้ายกว่านี้ผมก็เคยผ่านมาแล้ว”
“นั่นเพราะแกมีเพื่อน มีลูกน้องคอยปกป้อง แต่ว่าตอนนี้แกไม่เหลือใครแล้ว”
“ก็ไม่เชิงนะ”
กรณ์ถอยออกไป สมุนผีดิบสองตัวที่เหลืออยู่ขยับมาหาไอริณ จะปีนไปคว้าเธอ แต่มือของมันก็แต่ได้เพียงปลายเท้านั้น
“ไอ้พวกผีดิบถอยไปนะ อย่ามายุ่งกับฉัน”

“เห็นรึยังว่าผมยังมีสมุนเหลืออยู่ ถึงจะเป็นแค่ครึ่งผี ครึ่งคนก็เหอะ ฮ่าๆ” กรณ์หัวเราะก้อง

รถบรรทุกของบริษัทมาดามหลิว จอดอยู่ที่มุมเปลี่ยวแถวๆอาคารร้าง ณัฐชาซุ่มอยู่หลังต้นไม้ ใช้กล้องส่องทางไกลจับตาดูความเคลื่อนไหวบริเวณอาคารร้าง บนรถบรรทุก ฤทธิ์ใช้เลื่อยตัดลูกศรให้สั้น เพื่อเตรียมทำเป็นอาวุธลับบางอย่าง สักครู่ณัฐชาตามขึ้นมาบนรถ
“ข้างนอกไม่เห็นมีใคร ฉันว่าจะเข้าไปสอดแนมข้างในซะหน่อย”
“อย่าดีกว่า ผมว่ากรณ์ต้องรู้ตัวแน่”
“แล้วเราจะบุกเข้าไปดื้อๆแบบนี้เลยเหรอ”
“ผมจะล่อกรณ์ไปที่อื่น ส่วนคุณไปช่วยไอริณ”
“แล้วคุณจะกลับมาที่รถได้ยังไง”
“ไม่ต้องรอผม คุณพาไอริณหนีไปได้เลย”
“อะไรนะ”
“เรามากันสุดทางแล้วณัฐชา ตอนนี้ผมจำเป็นต้องเสี่ยง”
“ไม่”
“คุณต้องเชื่อผม”
“ฉันไม่เอาด้วยเด็ดขาด”
ณัฐชาจะเดินหนี ฤทธิ์รีบปราดไปคว้าตัวเอาไว้แต่ณัฐชาก็หนีลงจากรถไป
“ณัฐชา”
ณัฐชาเดินลงจากรถมาด้วยความฉุนเฉียว ก่อนจะหยุดชะงักแล้วร้องไห้ออกอย่างตึงเครียด ฤทธิ์ตามมา
“คุณโกรธผมทำไม”
“ฉันไม่ได้โกรธคุณ แต่มีคนตายมามากพอแล้ว คุณกับฉันเราสูญเสียคนที่เรารักไปทีละคน และฉันไม่อยากเสียคุณไปอีก”
ฤทธิ์อึ้งไป ขณะที่ณัฐชาเริ่มระบายความรู้สึกออกมา
“ได้โปรด มันต้องมีทางเลือกอื่น มันต้องมีวิธีอื่นที่จะสู้กับกรณ์ ทุกอย่างมันไม่ควรจบลงแบบนี้”
“ผมรู้นิสัยของกรณ์ ถ้าเราตามคนมาช่วย เขาจะฆ่าไอริณ แล้วหนีไปกบดานที่อื่น กว่าเราจะเจอเขาอีกครั้ง ตอนนั้นเขาอาจฟื้นกองกำลังขึ้นมาใหม่ และกลายเป็นพรายพิฆาตคนที่สอง”
ณัฐชาวิงวอน
“ฤทธิ์”
“นี่เป็นโอกาสดี ที่เราจะปิดฉากฝันร้ายที่เกิดขึ้น”
“ถ้างั้นฉันจะอยู่กับคุณ คุณเคยสัญญาว่าจะดูแลฉัน”
ฤทธิ์เช็ดน้ำตาให้ณัฐชา
“ผมจะทำ” เขาฝืนยิ้ม “คุณยังจำรีสอร์ทที่เราหนีไปซ่อนตัวได้มั้ย”
“ฉันจำได้”
“มันเหมือนบ้าน บ้านที่ผมอยากมีมาตลอดชีวิต บ้านที่ผมจะได้อยู่อย่างสงบสุขกับ ครอบครัวของผม...ถ้ามีปัญหาอะไร ที่ทำให้เราติดต่อกันไม่ได้ ผมจะไปรอคุณที่นั่น”
“แน่นะ คุณต้องไปหาฉันจริงๆนะ”
ฤทธิ์พยักหน้า ณัฐชาโอบกอดเขาเอาไว้
กรณ์เตรียมตัวรับมือกับฤทธิ์ แต่แล้วมันก็สะดุ้งเฮือกเมื่อได้ยินเสียงกระดูกและกล้ามเนื้อของตัวเองลั่นครืดคราดราวกับถูกบิดอย่างแรง กรณ์ทรุดพิงกำแพง และพบว่าเชื้อไวรัสกำลังรุกลามบนแขนอีกครั้ง
“อะไรกันวะ ไวรัส มันมาอีกได้ยังไง เราฆ่ามันไปแล้วนี่”
เชื้อไวรัสลามจากแขนมาที่คอและขึ้นสู่ใบหน้าของกรณ์
“ไม่จริง เป็นไปไม่ได้”
เสียงลูกสาวพ่อค้ายาดังมา
“นี่คือความจริงกรณ์ พลังที่แกมีอยู่ ถูกดูดมาจากฉัน แต่ร่างกายของแกสร้างพลังขึ้นเองไม่ได้”
“ไม่จริง แกโกหก พรายพิฆาต แกตายไปแล้ว”
“อวสานของแก ใกล้เข้ามาแล้ว เมื่อพลังของแกหมดลง”
“ก็ให้มันรู้ไป ว่าฉันจะเป็นฝ่ายแพ้ ถึงยังไงก่อนตายฉันต้องฆ่า ไอ้ฤทธิ์ ราวีให้ได้”
“เชิญตามสบาย ระหว่างนักสู้มหากาฬกับแก ใครจะอยู่หรือตาย ฉันไม่สนใจอยู่แล้ว”
เสียงของพรายพิฆาตหายไป กรณ์รีบมองหาแต่แล้วเชื้อไวรัสก็ลุกลามมากขึ้นจนเขาแผดร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 15 (ต่อ)

ณัฐชามองผ่านกล้องส่องทางไกล เห็นฤทธิ์พกพาอาวุธเต็มพิกัด สะพายธนูพร้อมมีดคู่ใจ เดินมุ่งหน้าไปยังอาคารร้าง ณัฐชาลดกล้องอย่างใจหาย ก่อนจะรีบไปเตรียมตัวทำหน้าที่ของเธอ
กรณ์ถูกไวรัสเล่นงาน จนร่างกายเริ่มผิดเพี้ยนจากคนธรรมดากลายเป็นซากศพที่เดินได้ เส้นผม ร่วงหลุดออกมา เขาร้องโหยหวนด้วยความทรมาน

ฤทธิ์เดินมาถึงหน้าทางเข้าอาคารร้าง และหยุดชะงักเพราะเสียงร้องโหยหวนของกรณ์ แต่สักครูก็เห็นประตูเปิดออกเองด้วยพลังจิตของกรณ์
“เข้ามาเลยเพื่อน ฉันกำลังรอแกอยู่”
ฤทธิ์มองเข้าไปในอาคารร้างอย่างเคียดแค้น

ไอริณพยายามรวบเชือกให้สั้นขึ้น เพื่อหนีจากสมุนผีดิบของกรณ์ ฤทธิ์ที่ถือธนูเดินเข้ามา เขารีบสะบัดคันธนูที่พับอยู่ออกมา ก่อนจะดึงลูกศรสองดอกเข้าประทับเล็งใส่ทันที ลูกศรสองดอกพุ่งมา และปักหัวของผีดิบทั้งสองอย่างแม่นยำ ทันใดนั้นเสียงกรณ์ดังขึ้น
“นักสู้มหากาฬ”
ฤทธิ์ชักลูกศรแล้วเล็งเป้าไปยังด้านบนซึ่งเป็นต้นเสียง ร่างของกรณ์ห้อยโหนตามเสาและขื่อสูงอย่างว่องไวเกินกว่าที่เขาจะจัดการได้ ก่อนที่จะหลบไปซุ่มหลังเสาต้นหนึ่ง
“ในที่สุดแกก็มาจนได้”
“นั่นแกเหรอ”
“ใช่...ฉันเอง”
กรณ์ค่อยๆปรากฏตัวออกมาในสภาพที่เหมือนคนป่วยที่พิกลพิการ
“ทุกอย่างมันมาสุดทางแล้ว แกว่ามั้ย”
“ในที่สุดแกก็ได้รับผลกรรมที่ตัวเองก่อไว้ นี่ไงคำตอบสำหรับความโลภของแก”
“ถูกต้อง และแกก็ต้องได้เหมือนกัน” กรณ์ยกฝ่ามือขึ้น
ฤทธิ์รีบยิงธนูใส่ทันที กรณ์หลบลูกศรไปได้ก่อนจะซัดพลังจิตจากฝ่ามือใส่ร่างของไอริณอย่างแรงจนโซ่ขาด ร่างของไอริณร่วงลงมากระอักเลือดกับพื้น ฤทธิ์ตกใจ
“ไอริณ”
จังหวะนั้นเองกรณ์ก็ชักดาบซามูไรออกมาแล้วบุกเข้าฟาดฟันใส่ทันที ฤทธิ์จำต้องทิ้งคันธนูไปและคว้ามีดคู่ออกมาปกป้องตัวเอง ระหว่างนั้นเองณัฐชาก็ถือปืนลูกซองยาวลักลอบเข้ามาเพื่อช่วยไอริณ เธอฉวยโอกาสที่ฤทธิ์กับกรณ์ต่อสู้กันอยู่รีบเข้าไปดูอาการของเพื่อนรัก
“ไอริณ นี่ฉันเอง เธอเป็นยังไงบ้าง”
“ณัฐชา ช่วยฉันด้วย”
“ฉันจะพาเธอไปจากที่นี่”
ณัฐชาประคองไอริณลุกขึ้น แต่กรณ์ที่กำลังต่อสู้กับฤทธิ์เหลือบเห็นเข้าเสียก่อน
“ไม่”
กรณ์ละมือข้างหนึ่งซัดพลังใส่ร่างของสองสาวจนกระเด็นไปด้วยกัน ฤทธิ์ฉวยโอกาสนั้นฟันมีดใส่แขนของกรณ์ และถูกตอบโต้ด้วยการถีบจนกระเด็นไป ครั้นเมื่อตั้งหลักหันมาอีกครั้งก็พบว่าบาดแผลของกรณ์ได้สมานตัวอย่างรวดเร็ว
“ไม่ง่ายอย่างที่คิด จริงมั้ย”
กรณ์ควงดาบเข้าเล่นงานฤทธิ์อีกระลอก ฤทธิ์ตอบโต้ด้วยความเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ คมอาวุธปะทะกันจนเกิดเป็นประกายไฟ ฤทธิ์แทงโดนกรณ์หลายแผลก่อนที่กรณ์จะใช้พลังฝ่ามือซัดฤทธิ์จนกระเด็นจนมีดหลุดมือ ครั้นพอฤทธิ์ตั้งหลักได้ก็หันมาเจอกรณ์แทงดาบเข้าใส่จนมิดและดันร่างฤทธิ์ถอยไปข้างหลัง ปลายดาบปักเข้ากับผนัง ณัฐชาพอเงยหน้ามาเห็นคนรักกำลังถูกทำร้าย ก็คว้าปืนลูกซองเล็งใส่กรณ์ทันที
“ไอ้กรณ์”
กรณ์ไม่ทันระวังตัวพอหันมาก็เจอปืนของณัฐชายิงจนกระเด็น ฤทธิ์ฉวยโอกาสนั้นคว้าด้ามดาบไว้ แล้วใช้กำปั้นต่อยจนดาบหักคา ขณะเดียวกันกรณ์ก็พยายามจะลุกขึ้นตั้งหลัก แต่ก็ถูกณัฐชายิงซ้ำอีกหลายนัดจนเซไปไม่เป็นท่า ณัฐชาย่ามใจขนาดเดินเข้าใกล้จะเอาปืนจ่อหัว
“แก...”
ณัฐชาเหนี่ยวไกปืน แต่กระสุนหมด เธอถึงเงยหน้ามองกรณ์ด้วยสีหน้าซีดเผือด
“ถึงตาฉันเอาคืนบ้างล่ะนะ”
กรณ์เดินมาหาณัฐชาที่กำลังถอยกรูด ขณะที่ฤทธิ์ดันตัวออกจากผนัง ทิ้งใบดาบซามูไรให้ถูกปักตรึงไว้เช่นเดิม แล้วพุ่งเข้าไปหา กรณ์กลับหันหน้ามาคว้าคอฤทธิ์แล้วจับโยนไปอย่างไร้จุดหมาย ร่างของฤทธิ์กระแทกข้าวของในห้องจนพังกระจาย

“เผด็จศึก”

ฤทธิ์พยายามชันกายลุกขึ้นแต่ก็ลุกไม่ไหว ขณะที่ณัฐชาเหลือบเห็นธนูของฤทธิ์กับลูกศรที่หล่นอยู่ก็คลานไปคว้ามา แล้วลองจับเก้ๆกังๆสักพักก่อนจะเล็งไปที่กรณ์ ขณะที่มันกำลังจะตรงไปเล่นงานฤทธิ์ ณัฐชาตัดสินใจผิวปากเรียกทำให้กรณ์หยุดชะงักหันมา ณัฐชาฉวยจังหวะนั้นยิงลูกศรใส่ทันทีแต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็คือนอกจากกรณ์จะคว้าลูกศรได้แล้ว มันยังปักลูกศรนั้นใส่ฤทธิ์อีกด้วย ณัฐชาตะลึง
“โทมัส”
ฤทธิ์ตาค้างขณะที่กรณ์โยนลูกศรทิ้งไปแล้วกระชากร่างของเขาขึ้นมา
“ผิดแผนมโหฬาร แกคงคิดไม่ถึงแน่ว่าตัวเองต้องมาตายแบบนี้”
ฤทธิ์กัดฟันมองหน้ากรณ์
“แกด้วย”
ฤทธิ์พูดจบก็ยกเข่าขึ้น ข้างน่องของเขานั้นซ่อนกลไกลูกศรเอาไว้ ทันทีที่เขาดึงสลักออก คมศรที่เตรียมไว้ก็พุ่งเข้าปักที่ใต้คางพอดี กรณ์ตาค้างก่อนจะซวนเซถอยออกไป ส่วนฤทธิ์เองก็ทรุดลงกับพื้น
“โทมัส”
“อย่าเข้ามา”
ณัฐชาอึ้งไป ขณะที่ฤทธิ์มองไปยังกรณ์ เห็นผิวหนังของเขาเริ่มมีปฏิกิริยาของการติดเชื้อไวรัส
“มันต้องไม่เป็นแบบนี้ มันต้องไม่จบแบบนี้” กรณ์แผดร้องก่อนจะดึงลูกศรออกไปด้วยความเจ็บปวด
ฤทธิ์กัดฟันด้วยความแค้น แล้วแข็งใจลุกขึ้นโซเซไปหากรณ์
“ทำไมแกถึงไม่เป็นอะไร ทำไม”
ฤทธิ์ร้องคำรามก่อนจะพุ่งเข้าหากรณ์อย่างไม่คิดชีวิต เขาเหวี่ยงหมัดชกใส่อย่างหนักหน่วง ก่อนจะชกซ้ำอย่างต่อเนื่องจนถึงหมัดที่สาม กรณ์ก็คว้ามือเขาไว้ก่อนจะพลิกมาล็อกตัว
“ไอ้ฤทธิ์ ราวี แกต้องตายพร้อมกับฉัน”
จังหวะนั้นฤทธิ์ก็กระชากยึดร่างของกรณ์ไว้เช่นกัน ก่อนจะหันมาตะโกนบอกณัฐชา
“ณัฐชายิงธนู”
ณัฐชาอึ้ง
“ผมบอกให้ยิงธนู”
“แกจะทำอะไรของแก ไอ้โง่” กรณ์งง
“ก็อย่างที่แกพูดไงไอ้กรณ์ เราจะไปนรกพร้อมกัน”
“ไม่”
“ณัฐชา”
ณัฐชาคว้าธนูขึ้นมาเล็งใส่กรณ์ซึ่งล็อกตัวอยู่กับฤทธิ์
“ฉัน..ฉันทำไม่ได้” เธอลังเล
กรณ์ยิ้มหยัน
“ก็เข้ามาใกล้ๆสิวะนังหนู เข้ามาเลย”
“ไม่ต้องห่วงผมณัฐชา ยิงเลย”
“แต่ว่าคุณ…”
“ผมถูกไวรัสแล้วณัฐชา แต่ก่อนตายผมต้องหยุดมัน ไม่อย่างนั้นมันจะกลับมาอีก”
ณัฐชานิ่งงันไป คิดถึงเหตุการณ์บนดาดฟ้าโรงพยาบาล ท่ามกลางแสงจันทร์ ฤทธิ์กุมมือณัฐชามาแนบอก
“ชีวิตที่เหลืออยู่ของผมเป็นของคุณ และจะเป็นเช่นนี้ตลอดไป...ผมรักคุณณัฐชา”
ณัฐชาตื้นตัน กอดเขาไว้
“ฉันก็เหมือนกัน ไม่ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ความรู้สึกนี้จะอยู่กับฉันตลอดไป”
ฤทธิ์และณัฐชากอดกันท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี…

เมื่อณัฐชาคิดถึงความรักที่เธอกับฤทธิ์มีต่อกัน ก็ลดธนูต่ำลง ขณะที่ฤทธิ์เริ่มยึดตัวของกรณ์ไว้ไม่อยู่
“ณัฐชา”
ณัฐชาได้สติ รีบยกธนูเล็งใส่กรณ์ซึ่งล็อกตัวอยู่กับฤทธิ์
“ฉันรักคุณ”
ฤทธิ์ยิ้มให้ณัฐชาอย่างเข้าใจ กรณ์ร้องลั่น
“อย่า”
ณัฐชาปล่อยลูกศรยิงทะลวงผ่านร่างของฤทธิ์และกรณ์ไปปักติดเสา กรณ์ทรุดล้มแน่นิ่งไป ก่อนที่ฤทธิ์จะทรุดตามไปอีกทางหนึ่ง ณัฐชารีบวิ่งเข้าไปดูอาการของฤทธิ์
“โทมัส”
“เราทำสำเร็จแล้วณัฐชา เราทำสำเร็จ”
ฤทธิ์ว่าไม่ทันขาดคำก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นกรณ์เริ่มกระดุกกระดิกและขยับตัวขึ้นมาอีกครั้ง

“มันยังไม่ตาย”

ฤทธิ์ตะลึง กรณ์ชันกายลุกขึ้นมาอีกครั้งอย่างอ่อนล้า ผิวหนังเริ่มแสดงอาการติดไวรัสมากขึ้น เส้นเลือดปูดโปนเป็นจังหวะ
“ฤทธิ์…ราวี…”
กรณ์คำรามก่อนจะรวบรวมพลังเฮือกสุดท้ายกระโจนเข้ามาหาณัฐชาและฤทธิ์อย่างรวดเร็ว แต่แล้วทันใดนั้นร่างของมันก็แตกโพล๊ะกลางอากาศกลายเป็นเศษเนื้อเหมือนโดนระเบิด ณัฐชามองไป
“ไอริณ”
ไอริณกำลังยืนอยู่ และค่อยๆลดฝ่ามือที่ปล่อยพลังลง สีหน้าที่เย็นชาของเธอทำให้ฤทธิ์พอเข้าใจ
“พรายพิฆาต”
พรายพิฆาตในร่างของไอริณไม่พูดอะไร แต่เดินตรงมาหาฤทธิ์ ณัฐชาเห็นท่าไม่ดีก็รีบขวางเอาไว้
“จะทำอะไรน่ะ”
“ไม่ต้องกลัว ฉันไม่จำเป็นต้องฆ่าเขา เพราะถึงยังไงเขาก็ตายอยู่ดี”
ฤทธิ์จ้องหน้า
“ผมทำงานให้คุณแล้ว และหวังว่าคุณ จะรักษาคำพูด”
“ทันทีที่พร้อม…ฉันจะคืนร่างของไอริณให้คุณ ในระหว่างสามปีนี้ พรายพิฆาตจะยุติความเคลื่อนไหว แต่หลังจากนั้นเราจะกลับมาอีกครั้ง”
ไอริณว่าแล้วเดินผ่านฤทธิ์กับณัฐชาไป
“ร่างกายของคุณมีภูมิต้านทานไวรัสฤทธิ์ ราวี แต่ฉันจะบอกให้ มันหยุดได้ไม่นานหรอก อีกไม่กี่เดือน….แค่อีกไม่กี่เดือนเท่านั้น”
ณัฐชาขนลุกซู่เมื่อเข้าใจความหมายของพรายพิฆาตในร่างของไอริณ ก่อนที่พรายพิฆาตจะหลับตาและพาร่างไอริณหายไป ณัฐชาหวั่นใจ
“โทมัส”
ฤทธิ์ฝืนยิ้ม
“ก็แค่คำขู่น่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ณัฐชายังหวั่นใจ ฤทธิ์ดึงร่างเธอมากอดไว้
“ทำใจให้สบาย ฝันร้ายมันผ่านไปแล้ว”
ณัฐชาไม่คิดว่าทุกอย่างจะยุติลงง่ายดายเช่นนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานข่าว...
“ชื่อของพรายพิฆาตกลายเป็นความหวาด ผวาที่ประชาชนต้องจดจำไปอีกนาน ถึงแม้ว่ากลุ่มก่อการร้ายนี้ จะประกาศยุติบทบาทลงชั่วคราว แต่ในอีกไม่ช้าพวกเขาก็จะต้องกลับมาอีกครั้ง”

หนึ่งเดือนต่อมา...
สตูดิโอแห่งหนึ่งกำลังถ่ายทำรายการเกี่ยวกับการสนทนาปัญหาบ้านเมือง พิธีกรและอาจารย์ท่านหนึ่งร่วมดำเนินรายการ...
“ไม่ทราบว่าอาจารย์มีความเห็นยังไงเกี่ยวกับเรื่องนี้ครับ” พิธีกรถาม
“อย่างแรกเราต้องมองที่จุดประสงค์ของพรายพิฆาตก่อน เพราะเขาไม่ได้คิดว่าตัวเองทำสิ่งชั่วร้าย แต่ตรงกันข้าม เขากลับคิดว่าสิ่งนั้นคือการสร้างสรรค์ สิ่งที่เรียกว่าโลกใหม่”
“ด้วยการทำลาย”
“ครับ ก็เหมือนทุบบ้านทิ้งเพื่อสร้างหลังใหม่ที่สมบูรณ์กว่า ซึ่งปฏิเสธไม่ได้เลยว่าต้องมีการสูญเสียเกิดขึ้น”
“แล้วอาจารย์เห็นด้วยรึเปล่าครับ กับทฤษฎีนี้”
“ผมอยากเรียนท่านผู้ดำเนินรายการ ประชาชนชนที่ดูอยู่ทางบ้าน และสมาชิกพรายพิฆาต...เอ่อถ้าเขาดูทีวีอยู่ตอนนี้นะ เรียนว่า…สังคมไทยยังมีความหวังครับ โลกเรายังมีความหวัง ยังมีคนดีๆอีกมากที่พร้อมจะดูแลโลกนี้ให้ดีขึ้น เพียงแต่ว่าเรายังขาดฮีโร่ที่จะเป็นศูนย์รวมจิตใจ”
“อย่างนักสู้มหากาฬนี่ถือว่าเป็นฮีโร่รึเปล่าครับอาจารย์”
อาจารย์ขำ
“โอ๊ย... ไล่ฆ่าคนตายเป็นเบือแบบนั้น มันผิดกฎหมายนะครับ ผมว่าเขาเป็นฆาตกรมากกว่า”

ณัฐชาเก็บเอกสารและของใช้ส่วนตัวใส่ลังกระดาษ สิงหาเดินเข้ามายื่นซองขาวให้

“เสียใจด้วยนะ แต่ผู้กำกับไม่ยอมให้คุณลาออก”

ณัฐชาอึ้ง
“มีแบบนี้ด้วยเหรอคะ”
“เห็นใจกันบ้างสิคุณ เมื่อเดือนที่แล้วเราเสียกำลังคนไปเพียบเลยนะ สิ่งที่เมืองนี้ต้องการก็คือผู้รักษากฎหมาย ไม่ใช่ลัทธิบ้าๆอย่างพรายพิฆาต”
“ก็ได้ค่ะ แล้วฉันจะลองคิดดู”
“เออจริงสิ หมอนั่นเขาสบายดีรึเปล่า”
“สารวัตรจะฝากอะไรถึงเขารึเปล่าคะ”
สิงหากวนๆ
“ไว้รวบรวมพยานหลักฐานได้เมื่อไหร่ผมจับเขาแน่ นักสู้มหากาฬ”
ณัฐชายักไหล่ยิ้มๆ สิงหาเดินจากไป

ณัฐชาเดินอุ้มลังใส่ของออกมาจากออฟฟิศ เห็นไมตรีกับปรีดา ยืนรออยู่อย่างนอบน้อม
“ให้พวกเราช่วยมั้ยครับผู้หมวด”
“หมู่ จ่า ไม่ทำงานหรือไงเนี่ย”
“เอ่อ...พวกเราตั้งใจว่าจะมาส่งผู้หมวดครับ”
ไมตรีเสริม
“คือได้ข่าวจากสารวัตรว่าผู้หมวดจะลาพักยาว”
“หวังว่าคงไม่ลาแล้วลาลับ จนลืมพวกเรานะคร๊าบ”
“ไม่ลืมหรอกหมู่ จ่า ร่วมเป็นร่วมตายกันมาตั้งนาน ยังไงฉันต้องขอบใจมากนะ ที่คอยช่วยฉัน
ไมตรีกับ ปรีดายืนตรง
“ด้วยความยินดีครับผม”
ณัฐชายิ้มให้ทั้งคู่ ด้วยความประทับใจ

บริษัทบลูฟินิกซ์ เปิดดำเนินกิจการอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ฤทธิ์ขับรถคันหรูเข้ามาจอด ก่อนที่ยามจะรับรถไป ทันทีที่เห็นฤทธิ์ซึ่งสวมแว่นดำก้าวลงมาจากรถ บรรดานักข่าวกรูกันเข้ามาสอบถาม
“ขอสัมภาษณ์หน่อยค่ะ...คุณโทมัสคะ ตอนนี้คุณได้เป็นเจ้าของบริษัทบลูฟินิกซ์ฟาร์ม่าโดยสมบูรณ์แล้ว คุณรู้สึกยังไงบ้างคะ”
“ต้องขอบคุณมาดามหลิว คุณอาผู้ล่วงลับของผมครับที่ท่านวางใจให้ผมรับตำแหน่ง”
“แล้วที่บริษัทต้องปิดกิจการก่อนหน้านี้เพราะลือว่ามีปัญหากับพรายพิฆาต คุณโทมัสมีความเห็นยังไงครับ”
“บริษัทของเราขายเวชภัณฑ์และอุปกรณ์การแพทย์นะครับ เราไม่เคยอยากมีปัญหากับใคร”
“แล้วที่ลือกันว่าคุณคือนักสู้มหากาฬล่ะคะ เป็นความจริงรึเปล่า”

ฤทธิ์ชะงัก หันมามองหน้านักข่าว ก่อนจะลดแว่นดำลงส่งตาหวานให้เธอ
“นักสู้มหากาฬผมไม่รู้จักครับคุณนักข่าว ชีวิตผมเป็นได้อย่างเดียวก็คือ นักรักมหาเสน่ห์”
นักข่าวสาวแอบสะเทิ้นเขินอายกับสายตาหวานของฤทธิ์ ก่อนที่เขาจะปลีกตัวไป
“แล้วเจอกันครับทุกคน ขอบคุณที่ให้ความสนใจ ผมขออย่างเดียวถ้ารูปถ่ายไม่หล่ออย่าเอาออกสื่อนะครับ”
ฤทธิ์ยิ้มให้นักข่าวอย่างเป็นกันเองก่อนจะปลีกตัวเข้าไปในอาคาร

ห้องสมุดบริษัทมาดามหลิว...คอมพิวเตอร์จำลองความทรงจำของมาดามหลิว เริ่มใช้เลเซอร์สแกนร่างกายของฤทธิ์
“ร่างกายผมเป็นยังไงบ้าง”
“สมบูรณ์หกสิบสามเปอร์เซ็นต์”
“แล้วไวรัสล่ะ”
“ยังมีอยู่ในกระแสเลือดและกล้ามเนื้อบางส่วน”
ฤทธิ์หยิบเสื้อขึ้นมาสวม แล้วปลีกตัวไปหาเครื่องดื่ม
“เริ่มนับถอยหลังอยู่ใช่มั้ย”
“คุณมีเวลาอีกแค่เดือนเดียว ฉันเสียใจด้วย”
“ไม่จำเป็น เพราะคุณไม่ใช่มาดามหลิว แต่เป็นแค่คอมพิวเตอร์ที่มีความทรงจำของเธอ”
“คุณพูดประชดฉัน ตอนอยู่ข้างนอกคุณเสแสร้งทำตัวมีความสุข แปลว่า…คุณกลัว”
ฤทธิ์นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะสารภาพ
“ผมเป็นทหาร ผมไม่กลัวตาย แต่ผมเป็นห่วงคนที่ผมรัก ว่าพวกเขาจะเป็นยังไงบ้าง”

“ข้อมูลอย่างเดียวที่ฉันมี คือใช้เวลาที่เหลือให้เต็มที่ ให้ความทรงจำดีๆได้คงอยู่ต่อไป”

นักสู้มหากาฬ ตอนที่ 15 (ต่อ)

ณัฐชาเดินมาติดต่อประชาสัมพันธ์ ล็อบบี้บริษัทบลูฟินิกซ์
“ขอโทษค่ะ ฉันมาหาคุณโทมัส”
“ไม่ทราบว่าติดต่อเรื่องอะไรคะ”
“เอ่อ…”
“ผู้หมวดณัฐชา”
ณัฐชาหันไปมองตามเสียง แล้วตะลึง
“คุณ…”
ลิซ่าซึ่งหน้าเหมือนโซเฟียราวกับเป็นคนเดียวกัน เพียงแต่งตัวเหมือนสาวออฟฟิศและสวมแว่นตา
“ดิฉันลิซ่าค่ะ เป็นทนายและตัวแทนของมาดามหลิวยินดีที่ได้รู้จัก”
ณัฐชาจับมือกับลิซ่าอย่างงุนงง

ลิซ่าพาณัฐชาไปพบฤทธิ์ พลางชวนคุย
“ปกติฉันจะดูแลงานให้มาดามหลิวอยู่ที่ต่างประเทศค่ะ ก็เลยไม่ค่อยได้กลับมาที่เมืองไทย แต่ฉันเคยได้ยินมาดามหลิวพูดถึงคุณ”
“แง่บวกหรือแง่ลบคะ”
“เธอบอกว่าคุณเป็นตำรวจที่กล้าหาญ”
“ว้าว...เอ่อ แล้วคุณ..คุณเป็นอะไรกับโซเฟียคะเนี่ย”
“คุณคงรู้ว่าโซเฟียเกิดจากการโคลนนิ่ง”
“ค่ะ”
“ฉันกับเธอถูกสร้างขึ้นในรุ่นเดียวกันค่ะ พวกเรามีทั้งหมดหกคน”
“โอ้โห หน้าเหมือนกันหมดเลยเหรอคะ”
ลิซ่ายิ้มขำ
“แล้ววันหลังฉันจะเล่าให้ฟังค่ะ แต่ตอนนี้เชิญคุณไปพบคุณโทมัสก่อนดีกว่า”
ลิซ่าผายมือไปทางหนึ่ง

ณัฐชาเข้าไปในห้องสมุด
“โทมัสคุณอยู่ที่ไหน ฉันมาแล้ว โทมัส”
ณัฐชากวาดตามองไปและต้องงุนงงเมื่อเห็นกระเป๋าเดินทางวางกองอยู่ เห็นฤทธิ์หิ้วอีกใบตามมา
“นั่นคุณจะไปไหน”
“ต่างจังหวัด”
“แต่เรามีนัดกันไม่ใช่เหรอ”
“ผมจะพาคุณไปด้วย”
“แต่ฉันยังไม่ได้เตรียมตัวเลยนะ”
“ไม่เป็นไร ผมเตรียมให้คุณแล้ว”
ณัฐชาได้แต่อึ้งไป

รถของฤทธิ์กำลังแล่นมาตามท้องถนน ณัฐชามองทิวทัศน์ข้างทางอย่างมีความสุข นานมาแล้วที่เธอไม่ได้รู้สึกผ่อนคลายเช่นนี้ ฤทธิ์เอื้อมมือมากุมมือณัฐชาเอาไว้ ทั้งสองคนสบตากันอย่างสบายใจ

ฤทธิ์กับณัฐชาเล่นน้ำอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขที่สระว่ายน้ำของรีสอร์ท ณัฐชาวิ่งมากระโดดสปริงบอร์ดเหมือนเด็กๆ ฤทธิ์จับณัฐชาเล่นต่อสู้ผลักยื้อกัน ก่อนที่ฤทธิ์จะเป็นฝ่ายจับณัฐชาอุ้มโยนลงน้ำ ณัฐชาพยายามแก้แค้นจะกดฤทธิ์ลงน้ำบ้างแต่ออกแรงเท่าไหร่ก็สู้แรงอีกฝ่ายไม่ได้ สุดท้ายก็ถูกฤทธิ์กอดไว้ ทั้งคู่สบตากันก่อนที่ฤทธิ์จะจูบเธออย่างนุ่มนวล

ฤทธิ์กอดจูบณัฐชาบนเตียง ทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกล้ำต่อกันอย่างมีความสุข ก่อนจะมานั่ง
กอดประคองชมวิวด้วยกันที่ระเบียง
“คุณยังไม่บอกฉันเลย ว่าจู่ๆทำไมถึงมาที่นี่”
“ผมก็แค่อยากอยู่กับคุณตามลำพัง คุณไม่ชอบเหรอ”
ณัฐชาประชด
“ถ้าไม่ชอบจะมานั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้เหรอ ถามได้”
ฤทธิ์ยิ้มขำก่อนจะมองหน้าเธอ...
“จ้องทำไม”
“ถ้าเลือกได้ คุณจะอยากเป็นอมตะรึเปล่าณัฐชา”
“เหมือนกรณ์กับพรายพิฆาตงั้นเหรอ...นั่นไม่ใช่ชีวิตคน ฉันพอใจจะเป็นแบบนี้มากกว่า”
“ถึงแม้ว่ามันจะต้องลงเอยด้วยการพลัดพราก”
ณัฐชาใจหาย กอดฤทธิ์
“มันยังไม่ถึงเวลาไม่ใช่เหรอ”
“ยัง…ยังไม่ใช่ตอนนี้”

ฤทธิ์เข้ามาในห้องน้ำอย่างร้อนรน เขากระชากคอเสื้อออกเพื่อดูร่องรอยของไวรัสที่กำลังแผ่ซ่านทั่วบริเวณแผงอก เขาฤทธิ์หยิบยาบางอย่างที่เตรียมไว้มาฉีดให้ตัวเองทันที เพื่อระงับอาการปวด

ณัฐชานั่งดูเว็ปไซด์ผ่านทางโทรศัพท์มือถือ เห็นภาพข่าวของไอริณ
“โทมัส ฉันเจอข่าวของไอริณด้วยล่ะ คุณออกมาดูสิ...ไอริณได้เล่นหนังที่เมืองนอกด้วยนะ...โทมัส”

ยาเริ่มออกฤทธิ์ ร่องรอยของไวรัสค่อยๆจางไป ฤทธิ์ค่อยบรรเทาความเจ็บปวด
“โทมัส” ณัฐชาเรียกซ้ำ
ฤทธิ์ฝืน
“ได้ยินแล้ว เดี๋ยวผมออกไป”
ฤทธิ์แข็งใจลุกขึ้น

ณัฐชานอนหลับในอ้อมกอดของฤทธิ์ ขณะที่อีกฝ่ายยังนอนเหม่ออยู่อย่างใช้ความคิด แต่แล้วเขาก็เหลือบเห็นแสงสว่างบางอย่างจากภายนอก

รถคันหนึ่งแล่นมาจอดมาจอดซุ่มที่ปากทางเข้ารีสอร์ท สมุนของกรณ์มาซุ่มดู
“ใช่ที่นี่เหรอ”
อีกคนพยักหน้ารับ
“สายรายงานมาแบบนั้น”
“ทุกคนฟังให้ดี ถึงหัวหน้ากรณ์กับพรายพิฆาตจะจากไปแล้ว แต่อุดมการณ์ต้องคงอยู่ต่อไป นักสู้มหากาฬจะต้องชดใช้ความผิดของมัน”
เมื่อกล่าวจบสมุนทุกคนก็คว้าอาวุธขึ้นมาก่อนจะเดินลงไปจากรถ และมุ่งหน้าไปยังรีสอร์ท

ฤทธิ์เดินออกมาดู และเห็นร่างทิพย์ของลูกสาวพ่อค้ายายืนรอเขาอยู่
“พรายพิฆาต”
“ท่าทางคุณไม่ตื่นเต้นเลยนะ ที่ต้องตาย”
“ผมตายมาสองครั้งแล้ว มีครั้งที่สามก็ไม่เห็นแปลกตรงไหน”
“ฉันรู้ว่าห้องแลปของมาดามหลิว ผลิตวัคซีนเพื่อช่วยชีวิตคุณ แต่เชื่อเถอะไม่มีอะไรหยุดไวรัสได้ นอกจากพลังของฉัน”
“ถ้าจะยื่นเงื่อนไขเดิมอีกล่ะก็ คุณก็น่าจะรู้คำตอบดีอยู่แล้ว”
“ฉันรู้ แต่ฉันแค่ไม่อยากเชื่อว่าจะเอาชนะคุณไม่ได้”
“ถึงตายผมก็ไม่ยอมก้มหัวให้คุณ”
“คุณนี่แปลกจริงๆ คิดว่าตัวเองเป็นฮีโร่หรือไง”
ฤทธิ์ยืนหยัดเผชิญหน้าพรายพิฆาต
“เรื่องนั้นผมไม่รู้ ผมรู้แต่ว่าโลกนี้ต้องมีใครสักคนที่ยืนหยัดต่อสู้กับคุณ”
“พูดดีไปเถอะ ฉันเห็นนิมิตภาพการตายของคุณกับคนที่คุณรัก ฉันจะคอยดูว่าถึงตอนนั้นเมื่อไหร่….คุณจะปากแข็งอีกรึเปล่า”
“อะไรนะ”
“สมุนที่เหลือของกรณ์…กำลังจะมาที่นี่”
พรายพิฆาตค่อยๆ หายตัวไป ฤทธิ์ใจหายวาบรีบไปร้องเตือน
“ณัฐชา!”

ณัฐชางัวเงียตื่นขึ้น และหันมองออกไปตามเสียงของฤทธิ์
“ณัฐชา ตื่นเร็วเข้า เราต้องไปกันแล้ว”
ฤทธิ์เปิดประตูรถเพื่อหยิบปืนที่ซ่อนอยู่ออกมา ก่อนจะหันไปตะโกนบอก...
“ณัฐชาได้ยินผมรึเปล่า”
ฤทธิ์ถือปืนวิ่งกลับไปที่รีสอร์ท แต่พอจะก้าวขึ้นบันไดเขาก็ถูกยิงจากด้านหลังจนล้มลง
สมุนของกรณ์ทั้งสี่ เดินหน้าและกระหน่ำยิงใส่เขา
ณัฐชาผลักประตูออกมา และยกปืนยิงตอบโต้พวกคนร้ายจนดับไปหนึ่งคน ฤทธิ์แข็งใจหันไปช่วยณัฐชายิงใส่คนร้ายจนดับไปอีกสอง ส่วนสมุนหัวโจกถูกยิงจนล้มไป ฤทธิ์ยิงตามอีกหลายนัดจนกระสุนหมด แกนในของปืนเลื่อนออกมา
ณัฐชาตรงเข้ามาประคองฤทธิ์ แต่จังหวะนั้นสมุนคนสุดท้ายก็โผล่ออกมา และยิงถูกณัฐชาเข้าอย่างจัง จนปืนหลุดมือ
“ณัฐชา”

 
ณัฐชาทรุดลงคุกเข่าตรงหน้าฤทธิ์…เสียงพรายพิฆาตดังขึ้น...
 
“ฉันกำลังเฝ้าดูจุดจบของผู้ชายคนนั้น คนที่บอกว่าจะไม่ก้มหัวให้กับความชั่วช้าใดๆ”
ฤทธิ์ใช้มือซึ่งเปื้อนเลือดของเขา ประคองใบหน้าของณัฐชาด้วยความสะเทือนใจ
“ฉันไม่เคยเชื่อว่าโลกนี้จะมีวีรบุรุษ เพราะเมื่อถึงจุดหนึ่งมนุษย์ทุกคนจะต้องเห็นแก่ตัว แม้แต่ฤทธิ์ราวีหรือนักสู้ มหากาฬก็จะต้องวิงวอนฉัน ขอให้ฉันช่วยคนที่ตัวเองรัก เขาจะต้องยอมสยบให้ฉัน”

พรายพิฆาตปรากฏตัวขึ้นและจ้องมองสบตากับฤทธิ์ ในขณะที่คนอื่นไม่เห็น สมุนของกรณ์ก็เดินกุมแผลโซซัดโซเซมาเพื่อจ่อยิงฤทธิ์กับณัฐชา
ฤทธิ์ยิ้มให้พรายพิฆาตอย่างห้าวหาญ ก่อนจะมองมาที่ณัฐชา
“ผมรักคุณ”
ณัฐชาพยักหน้ารับก่อนจะกอดฤทธิ์เอาไว้ ฤทธิ์กอดรับณัฐชาไว้เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะหลับตาลง ขณะที่สมุนของกรณ์เดินมาจ่อปืนใส่เขาและณัฐชา
“ไม่ !”
สมุนของกรณ์กระหน่ำยิงใส่ฤทธิ์และณัฐชาจนล้มไป พรายพิฆาตปรากฏตัวขึ้นและคำรามอย่างโกรธเกรี้ยว
“ไอ้โง่…แกทำอะไรลงไป”
สมุนกรณ์ตกใจ
“พรายพิฆาต”
พรายพิฆาตยกฝ่ามือขึ้นปล่อยพลังระเบิดร่างสมุนของกรณ์จนแหลกเป็นกองเนื้อ ก่อนจะหันมาดูร่างของฤทธิ์ที่กำลังจะขาดใจโดยมีณัฐชาในอ้อมแขน
“ทำไมถึงไม่ยอมแพ้ ทำไมถึงไม่ยอมสยบให้พรายพิฆาต”
ฤทธิ์เพียงแค่ยิ้มออกมาอย่างเป็นปริศนา ก่อนจะสิ้นใจไปอย่างสงบ พรายพิฆาตสะเทือนใจ
“ทำไมไม่ยอมรับว่าโลกนี้หมดสิ้นความหวัง ทำไมไม่ยอมเชื่อฉันว่าโลกใบนี้สมควรถูกทำลาย…ทำไม !”
เสียงของพรายพิฆาตกึกก้องไปทั่วผืนป่า

กรุงเทพฯ วันต่อมา...
ผู้คนยังคงใช้ชีวิตตามปกติ วุ่นวายกับการทำมาหาเลี้ยงชีพ พรายพิฆาตมองไปรอบๆตัว...
“ฉันไม่เคยเชื่อมาก่อนว่าโลกนี้จะมีวีรบุรุษที่แท้จริง จนกระทั่งวันหนึ่ง….วันที่ฉันเริ่มรู้สึกว่า บางทีโลกนี้ อาจจะมีความหวังเหลืออยู่หากแต่มันถูกซ่อนไว้ ในหัวใจของใครบางคน”
ช่วงเวลานั้น...เด็กชายคนหนึ่ง ฉายแววฮีโร่ ยืนนิ่งมองท้องฟ้า….เหมือนกับได้ยินเสียงพูดของพรายพิฆาต

ห้องนอนฤทธิ์ณัฐชาในรีสอร์ท...มือฤทธิ์ค่อยๆขยับ ฤทธิ์ลืมตาขึ้นแล้วผุดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะเห็นณัฐชาที่กำลังนั่งมองเขาอยู่ก่อนด้วยสีหน้าตื่นตะลึงพอกัน
“เรายังไม่ตาย”
“พรายพิฆาตช่วยเราเอาไว้ แต่เพื่ออะไร…”
ฤทธิ์ส่ายหน้า…เขาไม่อยากคิดถึงเรื่องนั้นในตอนนี้ เขาดึงร่างของณัฐชาเข้ามากอดเอาไว้ก่อนที่ปากคอจะเริ่มสั่น และน้ำตาซึมและสะอื้นออกมาจนอีกฝ่ายรู้สึกได้
“โทมัส คุณ…นี่คุณร้องไห้เหรอ”
“ผมไม่เคยกลัวตายณัฐชา แต่สิ่งที่ผมกลัวมากที่สุด ก็คือต้องไปจากคุณ”
ณัฐชาแค่นึกตามก็ร้องไห้ออกมา เธอพยักหน้าก่อนจะกอดฤทธิ์เอาไว้

พรายพิฆาตยิ้มหยัน...
“เวลายังคงนับถอยหลังต่อไป โลกใบนี้จะไม่ถูกทำลาย ตราบเท่าที่มันยังมี ความรักและความหวังเหลืออยู่ ตราบเท่าที่หัวใจของผู้คนยังเปี่ยมเมตตา และศรัทธาต่อสิ่งที่ดีงาม”
ท่ามกลางผู้คน…เด็กสาวคนหนึ่งหยุดเดินและมองกลับมา เป็นพรายพิฆาตนั่นเอง เธอแค่นยิ้มออกมาอย่างเหี้ยมเกรียม

“แล้วสักวัน…ฉันจะกลับมา…”

จบตอนที่ 15

โปรดติดตามตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น