xs
xsm
sm
md
lg

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 17

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 17

ชาติกล้าเดินออกมาจากบ้านวศิน ระหว่างนั้นเสียงมือถือของเขาดังขึ้น ชาติกล้าหยิบมือถือขึ้นมาดูเบอร์แล้วกดรับสาย

“ตายยากจริงนะ”
ภูวนัยนั่นเองโทร.มา และกำลังคุยมือถือด้วยแววตาเคียดแค้น
“ฉันจะตายไม่ได้ จนกว่าจะได้ฆ่าแก”
“ถ้าอย่างนั้นแกจะมาฆ่าฉันเมื่อไหร่ดีละ แต่บอกไว้ก่อนนะถ้าคราวนี้ฉันไม่ตาย แกอาจต้องไปงานศพหลานแก”
“อย่ายุ่งกับครอบครัวฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะเปิดโปงคลิปที่แม่เลี้ยงมีทันที”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป
“แล้วแกจะเอายังไง”
แววตาชาติกล้าเป็นประกายวาววับ เห็นความร้ายกาจผุดขึ้นมาทันที

ไผ่พญากับตะวันฉายกำลังจะเดินออกมาจากเซฟเฮาส์
“คุณลุงแกเป็นคนดี ไม่น่าเกิดเรื่องอย่างนี้กับแกเลยนะครับ”
“คิดดูซิคะ ขนาดพวกเรายังเป็นขนาดนี้แล้วคุณภูจะเป็นยังไง” ตะวันฉายนิ่งไปเช่นเดียวกับไผ่พญาที่เหมือนทั้งคู่กำลังคิดอะไรบางอย่าง แล้วไผ่พญาก็ตัดสินใจพูดขึ้น “คุณตะวันกลับไปก่อนนะคะ” ตะวันฉายแปลกใจ “ฉันอยู่เป็นเพื่อนคุณภูเขานะคะ”
ตะวันฉายยิ้มออกมา
“ผมกำลังจะบอกคุณไผ่เรื่องนี้อยู่พอดีเลยครับ ไม่เป็นไรครับผมว่าตอนนี้คุณภูต้องการใครซักคน”
“ขอบคุณนะคะคุณตะวัน”
ไผ่พญายิ้มให้ตะวันฉายก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปในเซฟเฮาส์ ตะวันฉายมองตามเศร้าๆ

ภูวนัยแต่งตัวเสร็จเรียบร้อย หยิบปืนออกมาเช็คความพร้อมก่อนจะเดินไปที่ประตู ระหว่างนั้นไผ่พญาเปิดประตูสวนเข้ามาพอดี สองคนต่างชะงัก
“นายจะไปไหน”
“เรื่องของผม”
ภูวนัยเบียดไผ่พญาจะเดินออกไป แต่ไผ่พญากลับไม่ให้ไป
“นายจะไปแก้แค้นหมวดชาติใช่มั้ย”
“ท่าทางคุณจะรู้ดีไปซะทุกเรื่องจริงๆ นะ”
“ใช่ ฉันรู้จักนายมากกว่าที่นายรู้จักตัวเองก็แล้วกัน”
“ถ้างั้นก็ไม่ต้องถาม”
ภูวนัยจะเดินออกไป แต่ไผ่พญาก็ห้ามเอาไว้อีก
“ฉันไม่ให้นายไป”
“มันฆ่าพ่อผม แล้วจะให้ผมอยู่เฉยๆหรือไง”
ภูวนัยผลักไผ่พญาจนเซออกไป ภูวนัยเดินออกไปด้วยความโกรธ
“คุณภู...นี่”
ไผ่พญาร้อนรนจะทำยังไงดี

อภิวัฒน์กำลังนั่งทำงานอยู่ภายในห้อง ไผ่พญาเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา
“ท่านคะ”
“มีอะไร”
“คุณภูจะไปแก้แค้นหมวดชาติค่ะ ท่านต้องไปห้ามเขานะคะ”
อภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจจึงรีบลุกขึ้นแล้วออกจากห้องไป ไผ่พญาวิ่งตามไปติดๆ

อภิวัฒน์กับไผ่พญาลงมาที่หน้าเซฟเฮาส์ แล้วรีบถามตำรวจนอกเครื่องแบบที่ยืนเฝ้าอยู่
“หมวดภูออกไปหรือยัง”
“ไม่เห็นเลยครับท่าน”
“ท่านคะ ถ้าไม่มาทางนี้แล้วเขาจะไปไหนคะ”
อภิวัฒน์ครุ่นคิด

ขณะที่แม่เลี้ยงรัญญากำลังยืนครุ่นคิดอยู่ที่หน้าต่าง จู่ๆ ภูวนัยก็เปิดประตูเข้ามาในห้อง แม่เลี้ยงรัญญาหันไปเห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“ถึงฉันจะเป็นนักโทษ แต่หมวดก็น่าจะให้เกียรติเคาะประตูซักหน่อยนะ”
“ผมต้องการคลิป”
แม่เลี้ยงรัญญาแปลกใจนิดหนึ่ง
“อะไร อยู่ๆ หมวดเข้ามาในห้องฉัน แล้วก็บอกว่าอยากได้โน่นได้นี่...นี่มันเรื่องอะไรกันหมวด”
“พวกมันฆ่าพ่อผม คราวนี้เป็นตาของพวกมันที่จะโดนฆ่าบ้าง ผมจะทำให้พวกมันตายทั้งเป็น ผมขอคลิปนั่นด้วย”
แม่เลี้ยงรัญญานิ่งไปอย่างไตร่ตรอง
“ฉันเข้าใจหมวดนะ แต่ฉันคงให้ไม่ได้” ภูวนัยชะงัก “คลิปนั่นก็เหมือนชีวิตของฉัน ฉันอยากให้หมวดเข้าใจฉันด้วยเหมือนกัน”
ภูวนัยเข้าไปเขย่าตัวแม่เลี้ยงรัญญา
“ผมบอกให้เอาคลิปนั่นมาให้ผม”
“ไม่”
แม่เลี้ยงรัญญาสะบัดหลุดจากการรุกของภูวนัย พร้อมกับตั้งท่าสู้กับภูวนัยอย่างไม่เกรงกลัว ระหว่างนั้นอภิวัฒน์กับไผ่พญาเปิดประตูเข้ามาในห้อง พอเห็นสองคนก็เข้าใจว่าภูวนัยต้องการอะไร
“ท่านมาก็ดีแล้ว ดูแลลูกน้องท่านหน่อย”
“หมวดภู...ผมรู้ว่าตอนนี้หมวดเป็นยังไง แต่หมวดต้องตั้งสติ คลิปที่แม่เลี้ยงมีเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เราจะเปิดโปงไอ้วศินมันได้ ถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมาสิ่งที่เราทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า”
“แต่พ่อผมตายเปล่าได้ งั้นเหรอครับ”
ทุกคนหน้าเครียดเพราะภูวนัยไม่ยอมฟังเหตุผลอะไร และทำท่าจะเดินออกจากห้อง
“เดี๋ยว นายจะไปไหน” ไผ่พญารีบถาม
“ในเมื่อสิ่งที่ทำมาทั้งหมดมันไม่ได้ผล ผมก็จะใช้วิธีของผม”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะ ตอนนี้ท่านอภิวัฒน์กำลังจะเปิดโปงพวกมันอยู่แล้ว” ภูวนัยสนใจฟัง
“ตอนนี้ผมกำลังติดต่อนำเรื่องที่เราทำมาทั้งหมดให้ดีเอสไอดูแล”
“ท่านแน่ใจแค่ไหนว่าดีเอสไอจะไม่มีพวกของมัน” แม่เลี้ยงรัญญาถามขึ้นมา
“ถูกต้อง ตอนนี้เราไม่รู้ใครขาวใครดำ ผมถึงต้องรอความแน่ใจ เพราะอย่างที่บอกว่าครั้งนี้เราจะพลาดไม่ได้ พวกมันจะต้องชดใช้สิ่งที่พวกมันทำเร็วๆ นี้”
ภูวนัยได้ยินที่อภิวัฒน์พูดก็สงบลง ไผ่พญามองภูวนัยด้วยความเป็นห่วง

ตะวันฉายกำลังเดินคิดอะไรเรื่อยเปื่อยมาตามทาง แต่แล้วก็ชะงักไปเมื่อได้ยินเสียงบีบแตรดังที่ด้านหลัง ตะวันฉายหันไปก็เห็นพรรณรายกำลังลงมาจากรถ
“คุณพั้นซ์”
“ฉันอยากคุยกับนาย ก่อนที่ฉันจะกลับไปที่รีสอร์ต”
“เรื่องอะไรครับ”
“นายคิดว่าสิ่งที่ภูกำลังทำมันอันตรายมั้ย”
“ครับ”
“แล้วนายก็เห็นอยู่ใช่มั้ยว่าคุณไผ่ของนายชอบมาเกาะแกะวุ่นวายกับภู ถึงนายจะบอกว่านายไม่คิดอะไร ทำตัวเป็นผู้ชายที่แสนดี แต่ฉันไม่ใช่ ฉันยอมทำทุกทางเพื่อไม่ให้เสียสิ่งที่ตัวเองรักไปแม้ใครจะมองว่าฉันเป็นนางร้ายก็ตาม”
“คุณอยากจะพูดอะไรเหรอครับ”
“ฉันอยากให้นายพาไผ่ออกไปจากชีวิตของภู” ตะวันฉายนิ่งไปที่พรรณรายบอกอย่างนั้น “ไปไหนก็ได้ แล้วอย่ากลับมาอีก”
“แล้วทำไมผมต้องทำตามที่คุณบอกด้วย”
“ก็ถ้านายยังไม่อยากให้นังไผ่ของนายโดนลูกหลงจากไอ้ภารกิจเสี่ยงตายที่พวกเขากำลังทำกันอยู่ นายก็ควรเชื่อฉัน ถ้านายรักนังไผ่จริงก็ต้องพาเธอไปซะ”

ตะวันฉายหน้าเครียด ครุ่นคิดตามคำพูดของพรรณราย

คืนนั้นชาติกล้ายืนอยู่ในที่เปลี่ยวแห่งหนึ่ง เขามองไปรอบๆ ก่อนจะมองนาฬิกา ชาติกล้าตัดสินใจบอกทางวิทยุสื่อสารที่ติดอยู่ที่หู

“ยกเลิกภารกิจ”
สิ้นคำสั่งของชาติกล้า ก็เห็นเหล่าบรรดาตำรวจออกจากที่ซ่อน วีระกับราชัยเดินเข้ามาหาชาติกล้า
“เอ่อ ไหนๆ ภารกิจก็ยกเลิกแล้ว หัวหน้าบอกพวกเราได้หรือยังครับว่าพวกเรากำลังจะมาจับใคร”
“ยังไม่ใช่ตอนนี้ พวกคุณนำกำลังกลับไปได้แล้ว” วีระกับราชัยมองหน้ากันสงสัยว่าทำไมชาติกล้าไม่บอก วีระกับราชัยเดินออกไปทำตามคำสั่ง “ไอ้ภู...แกคิดจะเล่นอะไรของแก”
ชาติกล้าหรี่ตาครุ่นคิด

ขณะนั้นภูวนัยใช้กล้องส่องทางไกลจับตาดูความเคลื่อนไหวของชาติกล้าอยู่บนตึกร้าง กล้องส่องทางไกล กำลังจับภาพชาติกล้ากับกองกำลังที่ออกมารวมตัว ภูวนัยมองมองชาติกล้าอย่างเคียดแค้น
“ไอ้ชาติ...แกต้องชดใช้ในสิ่งที่แกทำ”

ส่วนที่เซฟเฮ้าส์ ตะวันฉายรับทราบเรื่องราวหลังจากที่ไผ่พญาเล่าให้ฟัง
“อืม...ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็แสดงว่าเรื่องทุกอย่างใกล้จะจบแล้วใช่มั้ยครับ”
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดนะคะ แต่อย่างว่าแหละค่ะ องค์กรที่เราสู้อยู่มันมีอำนาจจนเราคาดหวังอะไรไม่ได้”
“ผมอยากให้การทำงานครั้งนี้ เป็นงานชิ้นสุดท้ายของคุณได้มั้ยครับ”
“งานชิ้นสุดท้าย? หมายความว่าไงคะ”
“ผมจะบินไปผ่าตัดที่อเมริกา”
“อเมริกา”
ตะวันฉายเอื้อมมือไปจับมือไผ่พญาขึ้นมากำไว้
“ผมอยากให้คุณไปกับผมด้วย”
ไผ่พญาที่ยังไม่ทันตั้งหลักอะไรก็อึ้งไปเมื่อได้ยินตะวันฉายชวนปุบปับ

วันต่อมาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ อภิวัฒน์นั่งอยู่ในห้องทำงานห้องหนึ่ง ระหว่างนั้นพิเชษฐ์ ผู้เชี่ยวชาญคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษเดินเข้ามาในห้อง
“สวัสดีครับ ขอโทษที่ปล่อยให้รอนะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าดีเอสไองานเยอะ”
“ตอนแรกท่านอธิบดีว่าจะลงมาคุยด้วย แต่พอดีท่านติดธุระด่วน ท่านอภิวัฒน์มีเรื่องอะไรครับ”
“ท่านพิเชษฐ์คงรู้จักแม่เลี้ยงรัญญาใช่มั้ยครับ” พิเชษฐ์ชะงักไป
“แน่นอน หนึ่งในห้าเสือที่ไม่มีใครไม่รู้จัก แม่เลี้ยงรัญญาทำไมเหรอครับ”
“เธอจะเป็นพยานพร้อมกับหลักฐานที่จะเปิดโปงการคอร์รัปชั่นของข้าราชการผู้ใหญ่บางคน ผมอยากให้ท่านรับคดีนี้ไว้ในความดูแล”
“ถ้าอย่างนั้น พวกคุณก็เป็นคนฆ่าไอ้โจอี้ใช่มั้ย”
“ท่านทราบเรื่องโจอี้ด้วยเหรอครับ”
“ผมว่าท่านกำลังเดือดร้อนแล้วละ” อภิวัฒน์ทำหน้าสงสัย “เพราะไอ้โจอี้คือสายของเรา”
อภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป

ที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ สมสุขกับแม่เลี้ยงรัญญาถูกใส่กุญแจมือพร้อมกับสวมเสื้อเกราะเดินมาตามทาง มีตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบคุ้มกันอย่างแน่นหนา ภูวนัยเดินเข้ามาพร้อมกับยกมือให้ทุกคนหยุด ภูวนัยเดินเข้ามาเช็คทั้งกุญแจมือและเสื้อเกราะที่สมสุขใส่ก่อนจะก้มลงดูกำไลอิเลคทรอนิคส์ที่ใส่ไว้ที่ข้อเท้าของสมสุข
“ไม่ต้องดูหรอกหมวด ผมไม่หนีไปไหนหรอกน่า ใช่มั้ยแม่เลี้ยง”
“พวกเราต้องการกำจัดไอ้วศิน จะหนีทำไม”
“แล้วแม่เลี้ยงเอาสิ่งที่จัดการมันมาด้วยหรือเปล่า”
“ฉันจะบอกเมื่อถึงเวลา”
ภูวนัยลุกขึ้นสายตามุ่งมั่น เป้าหมายสุดท้ายใกล้สำเร็จเต็มที แต่แล้วจู่ๆ เสียงของอภิวัฒน์ก็ดังขึ้น
“ทุกคนหยุดก่อน”
ภูวนัย แม่เลี้ยงรัญญาและสมสุขหันไปก็เห็นอภิวัฒน์เดินเข้ามา
“มีอะไรครับ พวกเราพร้อมจะออกเดินทางแล้วนะครับ”
“ยกเลิกแผนการทุกอย่าง” คำสั่งนี้ทำให้ภูวนัยถึงกับอึ้ง
“ทำไมครับท่าน”
ภูวนัย แม่เลี้ยงรัญญาและสมสุขต่างงงว่าเกิดอะไรขึ้น

ภูวนัยตกใจกับสิ่งที่อภิวัฒน์บอก
“อะไรนะครับ โจอี้เป็นสายของดีเอสไอเหรอครับ” อภิวัฒน์พยักหน้า
“ไม่น่าเชื่อ ฉันคลุกคลีกับมันก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นสายให้ดีเอสไอได้” แม่เลี้ยงรัญญาบอก
“มันก็เหมือนกับไอ้ชาติกล้านั่นแหละ แล้วท่านจะเอายังไง” สมสุขหันไปถามอภิวัฒน์
“ตอนนี้ทางดีเอสไอกำลังสั่งตรวจสอบองค์กรของเราอยู่ เพราะฉะนั้นสิ่งที่พวกเรากำลังทำต้องหยุดไว้ก่อน”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป ผิดกับสมสุขที่โวยขึ้น
“หยุด! แล้วเราต้องรอถึงเมื่อไหร่”
“ฉันไม่สามารถตอบคำถามนายได้สมสุข ตอนนี้ถ้าเราขยับอะไรอีกมันจะยิ่งยุ่งไปกันใหญ่”
“ที่ผมยอมอยู่กับท่านเพราะคิดว่าท่านน่าจะโค่นไอ้วศินได้ แล้วยังไง...พอเรื่องไปถึงดีเอสไออย่างนี้ ผมว่าไม่นานไอ้วศินก็ต้องรู้เรื่องทุกอย่าง”
“ฉันเห็นด้วยกับเสี่ย ฉันว่าเราน่าจะรีบลงมือก่อนที่ดีเอสไอจะเข้ามายุ่มย่ามมากกว่านี้ดีกว่า”
อภิวัฒน์กับภูวนัยคิดหนักกับสิ่งที่คาดไม่ถึง

สมสุขกับแม่เลี้ยงรัญญาเดินมาตามทาง โดยมีตำรวจนอกเครื่องแบบเดินคุมตัวมาด้วย ตำรวจเดินมาไขกุญแจที่หน้าห้องของสมสุข ระหว่างนั้นแม่เลี้ยงรัญญาเหมือนมีอาการหน้ามืดจนตำรวจนอกเครื่องแบบต้องเข้ามาประคอง จังหวะนั้นแม่เลี้ยงรัญญาแอบหยิบมือถือของตำรวจนอกเครื่องแบบโดยตำรวจคนนั้นไม่รู้ตัว
“เป็นไร”
“สงสัยจะคิดมากที่ต้องอยู่ที่นี่ไปอีกนาน เลยหน้ามืดไปหน่อย”
“แล้วไงแม่เลี้ยง จะไปหาหมอมั้ย”
“ขนาดถูกไอ้พายัพไล่ยิงฉันยังไม่ตาย คงไม่ตายเพราะเรื่องแค่นี้มั้ง ไม่เป็นไรหรอกคุณตำรวจ ฉันถึงห้องแล้วนอนพักซักหน่อยก็คงหาย”
“แน่ใจนะแม่เลี้ยง”
“ราตรีสวัสดิ์เสี่ย”
ตำรวจนอกเครื่องคุมตัวสมสุขเดินออกไป แม่เลี้ยงรัญญามองตามก่อนจะหยิบมือถือที่แอบขโมยของตำรวจคนนั้นขึ้นมามองแล้วยิ้มเหมือนมีแผนบางอย่าง

คืนนั้นวศินกำลังคุยมือถือกับซาหม่อง
“ตกลงว่าได้เงินครบแล้วนะ...หวังว่าดีลเรายังเหมือนเดิมใช่มั้ยท่านซาหม่อง แล้ววันไหนผมคงได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมกิจการเราบ้าง”
วศินวางสายไปก่อนจะหันมาคุยกับพายัพ
“ไม่มีอะไรผิดพลาดใช่มั้ยครับ”
“ก็อย่างที่ลื้อได้ยินนั่นแหละ”
“ตอนนี้ผมให้ในสิ่งที่ท่านต้องการแล้ว ถึงคราวที่ท่านต้องให้ผมบ้างแล้วละ”
“ลื้อต้องการอะไร”
“ตอนนี้ผมกำลังสานต่อความฝันของสี่เสือที่จากไป คือการเป็นฮับยาเสพติดที่ใหญ่ที่สุดของอาเซียน”
“แล้วแกจะให้ฉันทำอะไร”
“แต่ก่อนสิ่งที่ท่านต้องทำก็คือการไม่ทำอะไร แต่ผมว่าตอนนี้ผมต้องการเครือข่ายและเพื่อนฝูงของท่านในแถบอาเซียนด้วย”
“อั้วก็อยากช่วยหรอกนะ แต่มันก็มีเรื่องที่อั้วยังห่วงอยู่” พายัพทำหน้าสงสัย “เรื่องแม่เลี้ยงไง อั้วคงนอนไม่หลับถ้ามันยังอยู่”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ลูกน้องของพายัพเปิดประตูเข้ามา
“ใครให้แกเข้ามาวะ”
“แม่เลี้ยงรัญญาโทรมาครับพี่”

พายัพกับวศินได้ยินอย่างนั้นถึงกับมองหน้ากันอย่างไม่น่าเชื่อ

แม่เลี้ยงรัญญาคุยโทรศัพท์อยู่ภายในห้อง

“ฉันสบายดี แต่ฉันเป็นห่วงแกมากกว่า ดูแลธุรกิจของเราทั้งประเทศ มันเหนื่อยนะ”
พายัพอมยิ้ม วศินคอยยืนฟังอยู่ข้างๆ
“ก็ไม่เท่าไหร่หรอกแม่เลี้ยง แล้วแม่เลี้ยงจะบอกผมเองว่าแม่เลี้ยงโทรมาทำไม หรือว่าจะให้ผมถามดีละ”
“ฉันโทรมาเรื่องคลิปที่พวกแกต้องการไง”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักมองหน้าวศิน
“แม่เลี้ยงต้องการอะไร”
แม่เลี้ยงรัญญากำลังครุ่นคิดแผนบางอย่าง

ภูวนัยอยู่ภายในห้องกำลังยืนเหม่อออกไปนอกหน้าต่าง ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้นภูวนัยหลุดจากภวังค์แล้วเดินกลับมาที่โต๊ะทำงานก่อนจะเปิดลิ้นชักแล้วหยิบมือถือออกมา ภูวนัยมองชื่อที่โทรมาแล้วเห็นว่าเป็นไผ่พญา ภูวนัยลังเลที่จะรับ

เช้าวันรุ่งขึ้น ไผ่พญายืนอยู่ที่ริมน้ำ ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“มีเรื่องอะไร”
ไผ่พญาชะงักพอหันไปก็เห็นภูวนัยกำลังเดินเข้ามา ต่างคนต่างรู้สึกเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างกั้นขวางอยู่
“แล้วคุณตะวันไม่มาด้วยหรือไง”
“ฉันนัดนายออกมาก็แสดงว่าอยากคุยกับนาย ทำไมต้องถามถึงคนอื่นด้วย”
“อยากคุยอะไรก็คุยมา”
ไผ่พญาอึ้งไปกับท่าทางเย็นชาของภูวนัย
“เอ่อ...ฉันมาลานาย” ภูวนัยชะงักเพราะไม่รู้ว่าไผ่พญาหมายถึงอะไร “คุณตะวันเขาชวนฉันไปอเมริกา”
“เหรอ”
“แล้วเรื่องที่นายจะจัดการพวกนั้น...เป็นยังไง” ภูวนัยชะงักไป เพราะไผ่พญายังไม่รู้ว่าโครงการถูกระงับ ไผ่พญาเห็นภูวนัยไม่ตอบก็เลยคิดว่าคงจะโกรธ “ว้า...ไม่น่าถามเลยเนอะ นายคงคิดว่ามันไม่เกี่ยวกับฉันแล้วซิ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการของฉันเองได้”
ไผ่พญาที่ตั้งใจจะมาบอกความในใจ แล้วอยากดูท่าทีของภูวนัย แต่เมื่อเห็นท่าทางของภูวนัยอย่างนั้นทำให้เธอต้องตัดใจ
“อืม...งั้นขอให้นายมีความสุขมากๆ นะ...ไปละ” ไผ่พญาฝืนยิ้มจนกระทั่งเดินผ่านภูวนัยไป “อดทนไว้อย่าเพิ่งร้องออกมานะ...กลั้นไว้ๆ”
ไผ่พญาพูดกับตัวเองแล้วพยายามกลั้นน้ำตาเอาไว้ ภูวนัยที่ยืนนิ่งว้าวุ่นใจจนในที่สุดก็โพล่งขึ้น
“แค่นี้เหรอ” ไผ่พญาชะงักหยุด “เธอมาหาฉันแค่นี้ใช่มั้ย” ไผ่พญานิ่ง ชะงัก กลั้นน้ำตา ไม่หันไป “ก่อนที่เธอจะไปขอถามแค่คำถามนึง”
ไผ่พญาค่อยๆ หันมา
“นายอยากรู้อะไร”
ภูวนัยเดินเข้ามาพร้อมกับสบตาไผ่พญา ภูวนัยกำลังจะถามแต่แล้วเสียงมือถือของภูวนัยก็ดังขึ้น ภูวนัยกับไผ่พญาต่างชะงักกันไป ภูวนัยหยิบมือถือขึ้นมารับสาย
“ครับท่าน” ภูวนัยฟังแล้วตกใจ “ว่าไงนะครับ”
ไผ่พญาสงสัยว่าภูวนัยตกใจเรื่องอะไร

อภิวัฒน์กำลังยืนอยู่ในห้องของแม่เลี้ยงรัญญา มีตำรวจหลายคนกำลังหาหลักฐาน ภูวนัยกับไผ่พญาเข้ามาในห้อง
“แม่เลี้ยงหนีไปได้ยังไงครับท่าน”
“เธอขโมยปืนจากเจ้าหน้าที่ของเรา แล้วบังคับให้เปิดประตู ตอนนี้ฉันออกคำสั่งให้กระจายกำลังกันค้นหาแล้ว”
“แต่แม่เลี้ยงจะหนีไปทำไม รู้ทั้งรู้ว่าข้างนอกมันอันตรายแค่ไหน”
ภูวนัยครุ่นคิดแล้วก็นึกขึ้นมาได้
“สมสุขไงครับ ผมว่าสมสุขน่าจะรู้ว่าแม่เลี้ยงทำอย่างนี้ทำไม”
“อืม...ตอนนี้ฉันให้คนไปคุมตัวมาสอบแล้ว”
ระหว่างนั้นตำรวจวิ่งพรวดพราดเข้ามาในห้อง
“ท่านครับ”
“มีอะไร แล้วไหนสมสุข”
“หนีไปแล้วครับท่าน”
ภูวนัย ไผ่พญาและอภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นต่างก็อึ้งไป

แม่เลี้ยงรัญญายืนอยู่ริมถนน คอยโบกรถที่ผ่านไปมา ระหว่างนั้นมีรถคันนึงวิ่งเข้ามาจอด รถคันนั้นลดกระจกลง
“มีอะไรครับคุณ”
“รถฉันเสีย ช่วยฉันหน่อยได้มั้ยคะ”
“อ้าวเหรอครับ แต่ผมกำลังรีบ”
ประตูข้างคนขับรถเปิดออก สมสุขยืนถือปืนจี้อยู่
“ลงมา”
“เฮ้ย! อะไรวะ”
ทันใดนั้นสมสุขก็ลั่นไกใส่คนขับรถทันที ปัง ! เลือดกระจายเต็มหน้าสมสุข สมสุขหลับตาอย่างมีความสุข แม่เลี้ยงรัญญาทำหน้าเซ็ง
“จะบ้าเหรอเสี่ย เดี๋ยวตำรวจก็แห่กันมาหรอก”
“ฉันขอนะแม่เลี้ยง ฉันอัดอั้นมานานแล้ว”
“รีบไปเถอะ ก่อนที่พวกนั้นจะตามสัญญาณจากไอ้กำไลบ้าๆ ของเสี่ยมา”
สมสุขกระโดดขึ้นรถกับแม่เลี้ยงรัญญาทันที

ภูวนัย อภิวัฒน์และไผ่พญา กำลังยืนรอการตามสัญญาณจากเจ้าหน้าที่ที่กำลังทำงานอยู่
“เป็นไง ตามได้มั้ย”
“ซักครู่ครับท่าน” เจ้าหน้าที่รีบทำงานแข่งกับเวลา “ได้แล้วครับท่าน”
ภูวนัยเข้ามาดูหน้าจอ
“สองคนนั่นอยู่ไหน”
“รู้สึกว่ากำลังมุ่งหน้าไปทางมีนบุรีครับท่าน”
อภิวัฒน์บอกกับตำรวจคนอื่น
“สั่งออกไปให้สกัดเส้นทางที่จะไปฉะเชิงเทรา...ปราจีน...สระแก้ว”
“เดี๋ยวก่อนครับท่าน” อภิวัฒน์รีบเข้ามา “เท่าที่ผมดู สองนั่นอยู่บนรถ แล้วลักษณะการเคลื่อนตัวก็ไม่เหมือนคนกำลังหนี มันเหมือนคนที่ขับรถมีจุดหมายครับ”
“หรือว่าสองคนนั่นจะนัดคนมาช่วย”
“ก็อาจจะเป็นไปได้ แต่ที่สำคัญสองคนนั่นกำลังจะไปเจอใคร”

ภูวนัยหน้าเครียดขึ้นมาทันที

ภายในโกดังร้างแห่งนั้น พายัพนั่งรออยู่ที่เก้าอี้กำลังหลับตาฮัมเพลงอย่างมีความสุข ระหว่างนั้นได้ยินเสียงใครบางคนเดินเข้ามาในโกดัง เสียงดังก้องไปทั่ว พายัพลืมตาขึ้นมามองก่อนจะยิ้มให้

“สวัสดีแม่เลี้ยง” แม่เลี้ยงรัญญาเดินเข้ามาแล้วมองไปรอบๆ “ไม่ต้องห่วงน่าแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงบอกว่าอยากมีแค่เราสองคน ผมก็ทำตามที่แม่เลี้ยงต้องการ”
“ไม่น่าเชื่อว่าคนที่เหยียบศพพี่น้องขึ้นมาอย่างแกจะยอมทำตามคำพูด”
“ผมยอมทำทุกอย่าง เพื่อให้ได้สิ่งที่ผมต้องการ แม่เลี้ยงคงเห็นความบริสุทธิ์ใจของผมแล้ว ตอนนี้ผมอยากเห็นของที่แม่เลี้ยงเอามาด้วย”
“แล้วฉันจะมั่นใจได้ยังไงว่าถ้าฉันให้แกแล้ว ฉันจะเดินออกไปจากที่นี่ได้” พายัพหัวเราะร่า
“แม่เลี้ยง ที่จริงผมเองมันก็ไม่ใช่คนที่ชอบความรุนแรงอะไรหรอกนะ ผมจะบอกให้ว่าที่แม่เลี้ยงต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้ก็เพราะว่าไอ้คลิปบ้าๆ นั่น แม่เลี้ยงลองคิดดูถ้าแม่เลี้ยงเป็นคนธรรมดา แล้วจะมีใครตามล่าแม่เลี้ยง”
แม่เลี้ยงรัญญานิ่งสบตาพายัพ
“แกคงไม่คิดว่าฉันจะโง่เชื่อคำพูดของแกนะพายัพ”
พายัพนิ่งไปก่อนจะเปิดเสื้อแล้วหยิบปืนขึ้นมา แม่เลี้ยงรัญญาเห็นก็ชะงักที่พายัพเล่นอย่างนี้

รถของภูวนัยแล่นมาตามถนนด้วยความเร็ว ภูวนัยกำลังขับรถอย่างร้อนใจขณะที่อภิวัฒน์กำลังดูตำแหน่งของสมสุขในไอแพด
“หยุดแล้ว สมสุขหยุดเคลื่อนที่แล้ว”
“ที่ไหนครับ”
“ห่างจากเราไปประมาณสามสิบกิโล”
ภูวนัยเหยียบคันเร่งจนมิด รถของภูวนัยทะยานออกไปทันที

ที่โกดังร้าง แม่เลี้ยงรัญญาชะงักไปเมื่อพายัพเอาปืนมาจ่อ แต่แล้วเธอก็ต้องแปลกใจอีกเมื่อพายัพหันด้ามปืนแล้วส่งให้กับแม่เลี้ยงรัญญา
“หลังจากที่แม่เลี้ยงให้คลิปนั่นผมแล้ว ถ้าผมตุกติกขึ้นมาแม่เลี้ยงก็ยิงผมได้เลย”
แม่เลี้ยงรัญญาสบตากับพายัพก่อนจะเปิดหัวแหวนออก แล้วหยิบ SD CARD อันจิ๋วส่งให้กับพายัพ พายัพเห็นว่าแม่เลี้ยงรัญญาเก็บไว้ในแหวนก็หัวเราะออกมา
“เส้นผมบังภูเขาจริงๆ” พายัพรับมาแล้วมอง “ไอ้ตัวยุ่ง...รู้มั้ยว่าคนอื่นเขาต้องตายกันก็เพราะแกคนเดียว นี่คงเป็นต้นฉบับใช่มั้ยแม่เลี้ยง”
“ใช่ เอาไปให้ไอ้วศิน แล้วบอกมันด้วยว่าฉันคืนชีวิตให้มันแล้ว มันก็ต้องคืนให้ฉันบ้าง”
พายัพยิ้มพอใจ ทันใดนั้นพายัพก็หยิบปืนอีกกระบอกที่ซ่อนอยู่ที่ข้อเท้าขึ้นมา
“โทษทีแม่เลี้ยง พอดีผมได้รับคำสั่งมาว่า ถ้าแม่เลี้ยงมีสำเนาไอ้นี่อยู่ก็ให้กำจัดทิ้งซะ แล้วเผอิญตัวแม่เลี้ยงเองนั่นแหละที่เป็นสำเนา”
“คิดแล้วไม่ผิด”
แล้วแม่เลี้ยงรัญญาก็โยนปืนที่พายัพให้มาทิ้งกับพื้น
“แม่เลี้ยงไม่คิดจะสู้หน่อยเหรอ”
“แกคงไม่ส่งปืนที่มีลูกให้ฉันมั้ง” พายัพหัวเราะ
“ฉลาดจริงๆ แม่เลี้ยง”
“ฉันคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นแบบนี้ ที่ฉันให้ของกับแกเพราะอยากลองดูว่าแกจะทำยังไง แล้วเพื่อนฉันก็คิดไม่ผิด”
“เพื่อน”
“อ้อ...ฉันลืมบอกไปว่าที่ฉันไม่ฆ่าแกก็เพราะว่าเพื่อนฉันขอเอาไว้ เขาอยากฆ่าแกด้วยมือของเขาเอง”
พายัพทำหน้าสงสัย ระหว่างนั้นได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาในโกดังก่อนที่จะเห็นเท้าคู่นั่นเดินเข้ามาหยุดหลังแม่เลี้ยงรัญญา พายัพมองด้วยสีหน้าเพิกเฉย
“ผมว่าแม่เลี้ยงคงจะเข้าใจผิดแล้วละ คนนั้นเพื่อนผมต่างหากไม่ใช่เพื่อนแม่เลี้ยง”
แม่เลี้ยงรัญญาแปลกใจก่อนจะหันกลับไปมองคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เพราะคิดว่าเป็นสมสุข แต่ที่ไหนได้ แม่เลี้ยงรัญญาถึงกับอึ้งไปเพราะมันคือชาติกล้านั่นเอง
“แก”
“แกมาทำไมวะ”
“ท่านกลัวแกทำงานพลาด เลยให้ฉันมาจัดการเอง”
ชาติกล้าจ่อปืนมาที่แม่เลี้ยงรัญญาด้วยแววตาอำมหิต แม่เลี้ยงรัญญามองชาติกล้าด้วยความแค้น

เสียงปืนดังออกมาจากโกดัง ปัง! สมสุขเดินออกมาจากมุมหนึ่งที่ซ่อนตัวอยู่
“กรรมใดใครก่อ คนนั้นก็ต้องชดใช้ อย่าโกรธกันเลยนะแม่เลี้ยง”
สีหน้าสมสุขมีแผนบางอย่าง

เวลาต่อมา ภูวนัยกับอภิวัฒน์เดินเข้ามาที่หน้าโกดังร้าง
“ที่นี่ใช่มั้ยครับ”
อภิวัฒน์มองตัวบอกสัญญาณในไอแพดก่อนจะพยักหน้าให้ภูวนัย
“มันยังอยู่แถวนี้ ระวังตัวด้วย”
ภูวนัยหยิบปืนขึ้นมาตามที่อภิวัฒน์บอก แล้วภูวนัยกับอภิวัฒน์ก็เดินเข้าไปในโกดัง

ภูวนัยกับอภิวัฒน์เดินเข้ามาในโกดัง ระหว่างนั้นภูวนัยเหลือบไปเห็นแม่เลี้ยงรัญญานั่งอยู่ที่เก้าอี้ที่ตั้งอยู่ที่มุมหนึ่ง ภูวนัยกับอภิวัฒน์รีบเดินเข้าไป ภูวนัยถือปืนคอยคุ้มกันอภิวัฒน์ที่เดินเข้าไปหาแม่เลี้ยงรัญญาที่นั่งก้มหน้า
“แม่เลี้ยง”
อภิวัฒน์หันมองภูวนัยด้วยความสงสัยเมื่อไม่มีปฏิกิริยาจากรัญญา อภิวัฒน์เดินเข้าไปจับตัวแม่เลี้ยงรัญญาก่อนที่ร่างของแม่เลี้ยงรัญญาจะร่วงลงกับพื้น อภิวัฒน์กับภูวนัยตกใจเมื่อเห็นแม่เลี้ยงรัญญาถูกยิงแสกหน้าตายคาที่
“สมสุขมันฆ่าแม่เลี้ยงเหรอครับ”
“ยังไม่รู้ เราต้องหาตัวมันให้ได้ก่อน” อภิวัฒน์ดูในไอแพดแล้วก็เห็นตัวสัญญาณในไอแพดส่งสัญญาณไม่ไกลจากที่พวกเขายืน “หมวด...มันยังอยู่ตรงนี้”
ภูวนัยดูตำแหน่งจากในไอแพดของอภิวัฒน์ แล้วรีบวิ่งไปยังตำแหน่งนั้นทันที
ภูวนัยเดินถือปืนมาตามซอกหลืบที่รกร้างอย่างระวังตัว ภูวนัยพิงกำแพงกระชับปืนในมือพร้อมใช้ ทันใดนั้นภูวนัยก็ตัดสินใจออกจากที่ซ่อนก่อนจะวาดปืนไปหาสมสุขทันที แต่แล้วภูวนัยก็ต้องชะงักไปเมื่อไม่มีใครอยู่ตรงนั้น ก่อนที่ภูวนัยจะเห็นกำไลอิเล็คทรอนิคตกอยู่กับพื้น ภูวนัยหยิบขึ้นมามองอย่างเจ็บใจ

ขณะนั้นวศินยืนรอพร้อมกับลูกน้องบนตึกร้างแห่งหนึ่ง จนกระทั่งพายัพเดินเข้ามากับชาติกล้า วศินได้ยินเสียงคนเดินจึงหันไป
“ว่าไง ได้ของมามั้ย”
พายัพยิ้มก่อนจะส่ง SD CARD ให้กับวศิน วศินรับมาก่อนจะยื่นให้กับลูกน้อง ลูกน้องรับไปแล้วหันไปเสียบกับมือถือเพื่อตรวจดู
“แล้วแม่เลี้ยงละ”
“จัดการตามที่ท่านบอกแล้วครับ”
ระหว่างนั้นลูกน้องจัดการเสร็จพอดีจึงยื่นให้กับวศิน วศินรับมาแล้วกดดูก่อนจะยิ้มออกมา
“ไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยครับ” วศินไม่พูด แต่โยนมือถือให้พายัพ พายัพรับมากดดู แล้วพายัพก็แปลกใจ “ทำไมไม่มีอะไรเลย”
“ลื้อโดนแม่เลี้ยงมันหลอกน่ะซิ” วศินบอกพร้อมกับยิ้ม
“แล้วท่านยิ้มอะไรครับ ท่านน่าจะโมโหไม่ใช่เหรอครับ”
“ถ้าของที่ลือให้อั้วมามันเป็นของปลอม ก็แสดงว่ามันก็ต้องมีของจริง”
“มัน...ท่านพูดถึงใคร”
ระหว่างนั้นเสียงของสมสุขก็ดังขึ้น
“ก็ฉันไง”
พายัพกับชาติกล้าหันไปตามเสียง แล้วทันใดนั้นทั้งสองก็แทบช็อคเมื่อเห็นสมสุขเดินเข้ามา
“เสี่ย”
“เฮ้ย! ตกใจอะไร ทำหน้ายังกับเห็นผี”
“เสี่ยตายไปแล้วนี่” สมสุขหัวเราะร่า
“นี่” สมสุขตบหน้าพายัพเบาๆ “ไง...เชื่อหรือยังว่าฉันยังไม่ตาย แต่ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าใครเป็นคนยิงฉัน...แก...หรือว่าแก” สมสุขหันไปทางชาติกล้า ทันใดนั้นชาติกล้าก็ชักปืนขึ้นมาก่อนจะเล็งไปที่สมสุขทันที
“ทำอะไร”
“ก็จะฆ่ามันไงครับ คราวนี้ผมไม่พลาดแน่ๆ ครับ”
“อ๋อ...รู้แล้วว่าใครยิง” สมสุขยิ้ม วศินห้ามชาติกล้า
“เก็บปืน” ชาติกล้าแปลกใจที่วศินห้าม “เราปล่อยให้คู่รักเขาปรับความเข้าใจกันดีกว่า”
วศินเดินไป ชาติกล้ายังยืนละล้าละลัง
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวน้องน่ะ...คิวต่อไป...จุ๊บ”
ชาติกล้าจำใจต้องหันหลังตามวศินไป

สมสุขหันไปมองพายัพ เห็นสีหน้าของพายัพเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น

อ่านต่อหน้า 2

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 17 (ต่อ)

วศินเดินลงมาถึงชั้นล่าง ชาติกล้าวิ่งตามเข้ามา

“ท่านครับ” วศินหันมา “นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”
ทันใดนั้นวศินก็ตบหน้าชาติกล้าทันทีดังเผียะ! ชาติกล้าถึงกับหน้าหัน
“ลื้อยังจะถามอีกเหรอ ถ้าวันนั้นรอบคอบหน่อย มันก็ไม่มาทำปากกล้ากับอั้วอย่างนี้หรอก”
ชาติกล้าพูดไม่ออกเพราะมันจริงอย่างที่วศินว่า
“แล้วมันต้องการอะไรครับ”
วศินไม่ตอบ ชาติกล้ามองไปด้านบนด้วยความหวั่นใจ

สมสุขยืนอยู่ขอบตึกอย่างครุ่นคิด ขณะที่พายัพยืนอยู่ด้านหลังมองไปรอบๆ เพื่อหาอาวุธ
“แกคิดเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่” จู่ๆ สมสุขก็ถามขึ้นมา พายัพแปลกใจว่าเรื่องอะไร “ก็คิดขึ้นมาแทนฉันไง คิดตั้งแต่เมื่อไหร่” พายัพนิ่งไปเหมือนกำลังคิด “ให้ฉันตอบแทนแกมั้ย ฉันว่าต้องเป็นวันแรกที่ฉันรับเอาแกมาเลี้ยงนั่นแหละ...ทำไมฉันถึงคิดอย่างนั้นรู้มั้ย เพราะฉันเห็นแววตาแกไง แค่เห็นครั้งแรกฉันก็รู้แล้วว่าแกต้องเป็นคนที่ขึ้นมาแทนที่ฉัน”
พายัพหัวเราะออกมา
“ก็แสดงว่าเสี่ยคิดถูก เอ...แต่ผมว่าผิดนะ เพราะจุดที่ผมยืนอยู่ตอนนี้ มันใหญ่กว่าเสี่ยหลายเท่านัก”
สมสุขหันมองหน้าพายัพ ทั้งสองต่างจ้องหน้ากันเหมือนกำลังวัดพลังคนรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่
“แกเรียนรู้จากฉันทุกอย่าง แต่มีอยู่อย่างที่ฉันยังไม่ได้สอนแก” พายัพสงสัย “คนที่จะเป็นเจ้าพ่อได้ นอกจากจะต้องมีสมอง...มีเงิน...มีหัวใจที่แข็งกว่าชาวบ้าน จะต้องมีอีกอย่าง...สัจจะ...รู้มั้ย...ที่จริงแล้วตอนที่ฉันอยู่ ฉันจะกินรวบแบบแกก็ได้ แต่ทำไมฉันไม่ทำ เพราะมันจะตายเร็ว”
พายัพอึ้งไปเมื่อเห็นสมสุขหยิบปืนออกมา
“เสี่ย ผมว่าเราคุยกันได้”
“ทำไม คิดว่าฉันจะยิงแกเหรอ หึ...ไม่หรอก อย่างนั้นมันเร็วไป”
พายัพเริ่มหวั่นใจกับท่าทางของสมสุข ก่อนจะหันไปหาลูกน้องของตัวเอง
“เฮ้ย พวกมึงยืนทำอะไรอยู่ ฆ่ามันซิวะ”
พายัพอึ้งไปเมื่อลูกน้องของตนกลับไม่ทำตามคำสั่ง
“แกรู้มั้ยว่าการตายแบบไหนที่มันเจ็บปวดที่สุด” พายัพมองสมสุข หยั่งเชิง “เงียบอย่างนี้คงจะไม่รู้ละซิ งั้นฉันจะเฉลยให้ฟัง ตายใจไง...การที่คนเราตายใจไว้ใจให้กับคนที่คิดว่าไว้ใจได้ แต่กลับโดนมันหักหลัง นั่นแหละที่เจ็บปวดที่สุด” สมสุขหันไปบอกลูกน้องพายัพ “จับมัน”
เหล่าลูกน้องของพายัพต่างกรูกันเข้ามาจับตัวพายัพเอาไว้
“พวกมึงจะทำอะไรวะ...ห๊า”
“ทำอะไร ก็จะทำให้รู้ไงว่าการโดนหักหลังน่ะมันเป็นยังไง...เป็นไง...เจ็บมั้ย”
“เฮ้ย! จะฆ่าก็ฆ่าเลยซิวะ”
“จุ๊ๆ ไม่เอาน่า ก็บอกแล้วไงว่าให้แกตายน่ะมันง่ายนิดเดียว”
สมสุขหันไปกระดิกนิ้วให้กับลูกน้องพายัพ ลูกน้องพายัพเดินถือขวดน้ำเข้ามา
“จะทำอะไร”
สมสุขดึงเสื้อออกให้เห็นรอยแผล
“แกเห็นรอยแผลนี่มั้ย แกรู้มั้ยว่าไอ้ที่แกยิงน่ะ มันไปตัดเส้นประสาทส่วนการรับรสของฉัน ทุกวันนี้ฉันไม่เคยกินอะไรอร่อยเลย” ว่าแล้วสมสุขก็ลองเทน้ำลงบนพื้นให้พายัพเห็นว่ามันคือน้ำกรดนั่นเอง พายัพมองขวดน้ำกรดในมือสมสุขอย่างหวั่นใจ “ตอนนี้ฉันก็เลยอยากให้แกลองเป็นเหมือนฉันบ้าง จับมันอ้าปาก”
“เสี่ย อย่า!” ลูกน้องเข้ามาจับพายัพอ้าปาก สมสุขเดินเข้ามาก่อนจะเทน้ำกรดลงไปในปากของพายัพ พายัพร้องอย่างทรมานที่โดนน้ำกรดกัด “อ้ากกก!”
สมสุขยิ้มอย่างสะใจ เมื่อเห็นพายัพลงไปนอนดิ้นกับพื้น
“อะไร ไม่พอเหรอ จับมันขึ้นมา”
ลูกน้องเข้าไปจับพายัพขึ้น สมสุขหันไปหยิบอีกขวดเดินเข้ามา แล้วสมสุขก็หวดขวดใส่หัวพายัพจนขวดน้ำกรดแตกโบ๊ะ!
“อ้ากกก”
พายัพทรุดลงไปกองกับพื้น น้ำกรดกัดตามใบหน้าจนหนังหลุดเป็นชิ้นๆ สมสุขเดินลงไปนั่งมองพายัพที่หายใจรวยริน
“เอาละ โหมโรงกันพอแล้ว ต่อไปคงจะถึงจุดไคลแมกซ์แล้วนะ”
พายัพมองสมสุขด้วยแววตาอาฆาต

ชาติกล้ากับวศินรออยู่ที่ชั้นล่าง ชาติกล้าดูกระวนกระวายทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงพายัพร้องอย่างทรมาน
ชาติกล้าหันขวับไปทางด้านบนแล้วจะวิ่งขึ้นไป
“จะไปไหน”
“จะไปดูหน่อยครับว่าเกิดอะไรขึ้น”
ระหว่างที่ชาติกล้ากำลังจะหันเดินขึ้นตึก ทันใดนั้นทั้งวศินและชาติกล้าต่างก็ต้องตกใจเมื่อมีบางอย่างร่วงลงมาจากตึกร้างกระแทกพื้นจนเสียงดังสนั่น ชาติกล้าหันมองก่อนจะอึ้งไปเพราะมันคือร่างของพายัพที่ใบหน้าแหลกเหลวจนจำแทบไม่ได้นั่นเอง
“ผมทำให้ตกใจกันหรือเปล่าครับ”
เสียงสมสุขดังขึ้น ชาติกล้าหันไปก็เห็นสมสุขเดินเช็ดมือเข้ามา
“แก”
ชาติกล้าชักปืนออกมาแล้วเล็งไปที่สมสุข
“อ้ะๆ ก่อนจะกัดน่ะ ขออนุญาตเจ้าของหรือยังเดี๋ยวโดนเจ้าของดุเอานะ”
“เอาปืนลง” วสินสั่ง
“ท่านครับ”
“บอกให้เอาปืนลงไง” ชาติกล้าจำใจต้องเอาปืนลง วศินเดินเข้ามาหาสมสุข “ตอนนี้อั้วทำตามที่ลื้อต้องการแล้ว” วศินแบมือ “ของอั้วอยู่ไหน”
“แหม...ยังใจร้อนเหมือนเดิมนะท่าน คิดว่าผมจะลักไก่ท่านหรือไง” วศินจ้องหน้าสมสุข อารมณ์ไม่อยากคุยเล่นแล้ว สมสุขเห็นอย่างนั้นก็ทำหน้าเบื่อ “อ้ะๆ”
ว่าแล้วสมสุขก็หยิบ SD CARD ออกมาจากใต้ลิ้น ก่อนจะเอามาเช็ดๆ แล้วส่งให้กับวศิน วศินรับไปก่อนจะส่งให้กับลูกน้องเอาไปเปิดดู แล้ววศินก็คว้าปืนจากลูกน้องมาเล็งใส่สมสุข
“ถ้ามันไม่มีอะไรละก็...”
ลูกน้องเอาโทรศัพท์มาให้วศินดู วศินรับไปกดดูแล้วก็เห็นสีหน้าของวศินเปลี่ยนไป
“ไงครับ ผมบอกแล้วว่าผมมันคนพูดจริงทำจริง”
“แล้วลื้อได้มันมายังไง”
“เรื่องนี้ก็คงเป็นเพราะหน้าตาของผมบวกกับความโง่ของแม่เลี้ยง”
สมสุขยิ้ม ก่อนจะเล่าถึงเหตุการณ์ตอนที่แม่เลี้ยงรัญญาคุยโทรศัพท์กับพายัพ
แม่เลี้ยงรัญญาคุยโทรศัพท์อยู่ภายในห้อง
“ฉันโทรมาเรื่องคลิปที่พวกแกต้องการไง”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักมองหน้าวศิน
“แม่เลี้ยงต้องการอะไร”
แม่เลี้ยงรัญญาครุ่นคิดแผนบางอย่าง
“พรุ่งนี้ไปพบฉันที่โกดังร้างนอกเมือง แต่แกต้องมาคนเดียว ถ้าแกไม่ตกลงก็อย่าหวังว่าจะได้เจอตัวฉันอีก”
แม่เลี้ยงรัญญาวางสายไปก่อนจะหันมาหาสมสุข
“แค่นี้ใช่มั้ย”
สมสุขนั่งอยู่ที่โซฟายิ้มอย่างพอใจ แล้วทำหน้าเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“อ๋อ...ลืมไป” แม่เลี้ยงรัญญาทำหน้าแปลกใจ “แม่เลี้ยงคิดยังไง ถ้าผมจะเป็นคนเก็บคลิปของไอ้วศินนั่นเอาไว้”
“เสี่ยจะมาไม้ไหน”
“อย่าเพิ่งเข้าใจผิดแม่เลี้ยง ที่ผมอยากเก็บเอาไว้เองก็เพื่อความปลอดภัยของแม่เลี้ยงต่างหาก”
“ความปลอดภัยของฉันหรือของเสี่ยกันแน่”
“ก็ตามใจนะแม่เลี้ยง แม่เลี้ยงก็รู้อยู่ว่าคนอย่างไอ้พายัพ ถ้ามันได้สิ่งที่ต้องการแล้ว มันจะทำยังไงกับคนที่หมดประโยชน์”
แม่เลี้ยงรัญญามองสมสุขอย่างชั่งใจ ก่อนจะเปิดหัวแหวนออกแล้วหยิบ SD CARD ส่งให้กับสมสุข
“ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในนี้ เสี่ยอย่าทำให้ฉันผิดหวังก็แล้วกัน”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะคืนให้แม่เลี้ยงหลังจากที่ฉันฆ่าไอ้พายัพแล้ว”

แม่เลี้ยงรัญญาพยักหน้ารับคำ โดยไม่เห็นความเจ้าเล่ห์ในแววตาของสมสุข

ด้านวศินยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

“ไม่น่าเชื่อว่าแม่เลี้ยงจะยอมให้ไอ้นี่กับลื้อง่ายๆ อย่างนี้”
“แหม ก็ไม่เห็นต้องทำอะไรยากนี่ครับ ผมก็แค่จับจุดถูกว่าแม่เลี้ยงกลัวอะไร” วศินกับชาติกล้าทำหน้าแปลกใจ “ก็กลัวตายไงครับ ทศกัณฑ์คงไม่สู้กับพระรามถ้ายังมีหัวใจอยู่กับตัวเอง”
วศินอมยิ้ม แต่แล้วทันใดนั้นวศินก็หยิบปืนขึ้นมาเล็งไปที่สมสุข
“งั้นลื้อก็พลาดที่ให้กล่องดวงใจกับอั้วแล้วละ”
สมสุขทำสีหน้านิ่งไม่รู้สึกอะไร ชาติกล้าเข้ามาบอกกับวศิน
“ท่านครับ ให้ผมเป็นคนยิงมันเอง” ระหว่างนั้นสมสุขหัวเราะออกมา ชาติกล้าหงุดหงิด “ขำอะไรวะ”
ชาติกล้าคว้าปืนไปจะยิง วศินห้ามไว้
“เดี๋ยว”
วศินมองสมสุขที่อมยิ้มอย่างไม่สะทกสะท้านก็พอจะรู้ว่าสมสุขมีแผนอะไร
“ลื้อก๊อปปี้ไอ้นี่ไว้แล้วใช่มั้ย”
“อุ้ย...รู้ได้ไงเนี่ย แหม อุตส่าห์ไม่บอกว่ามีอีกอันนึงที่ผมก๊อปปี้แล้วส่งไปให้เพื่อนผมแล้ว แล้วไอ้เพื่อนผมคนนี้มันก็เป็นคนรักเพื่อนมากซะด้วย ผมก็เดาไม่ถูกเหมือนกันว่าถ้าผมเป็นอะไรไป เพื่อนผมมันจะทำอะไรยังไงกับคลิปนั่นเพื่อเป็นการแก้แค้นให้กับผม”
“แก”
ชาติกล้าจะปรี่เข้าไป วศินห้ามเอาไว้
“เดี๋ยว” ชาติกล้าเจ็บใจ
“แหม ดีใจจริงๆ ที่ท่านห้ามเอาไว้ เพราะถ้าเกิดผมมีแม้แต่รอยข่วน บางทีเพื่อนผมมันอาจจะปล่อยอะไรเล็กๆ น้อยๆ ออกมาเป็นหนังตัวอย่างก็ได้”
วศินกับชาติกล้ามองสมสุขอย่างเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้

ไผ่พญายืนรอภูวนัยกับอภิวัฒน์อยู่ที่โถงเซฟเฮาส์อย่างร้อนใจ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาดังขึ้น ไผ่พญามองเบอร์แล้วรับสาย
“คะคุณตะวัน...อ๋อ พอดีฉันออกมา...มา...” ไผ่พญานึกหาเรื่องโกหก ระหว่างนั้นภูวนัยกับอภิวัฒน์เดินเข้ามาพอดี แต่ไผ่พญาไม่เห็น ภูวนัยมายืนอยู่ทางด้านหลังไผ่พญา “อ๋อ...มาโอนเงินให้แม่นะคะ” ภูวนัยส่ายหน้า “ไม่ต้องห่วงคะคุณตะวัน” ภูวนัยได้ยินก็ชะงักไป “คะ...แล้วฉันจะรีบกลับคะ”
ไผ่พญาวางสายไป ภูวนัยกระแอมให้สัญญาณ
“แฮ่ม”
ไผ่พญาตกใจ รีบหันไป
“อุ้ย”
“ขวัญอ่อนจริงนะคุณ แต่อย่างว่าแหละคนที่ชอบโกหกก็มักจะขี้ตกใจอย่างนี้แหละ เพราะกลัวว่าคนเขาจะจับได้”
“โกหกอะไร” แล้วไผ่พญาก็นึกได้ว่าภูวนัยได้ยินที่เธอคุยกับตะวันฉาย “อ๋อ...หรือว่านายจะให้ฉันพูดความจริงละ เอามั้ย เดี๋ยวฉันจะโทรไปบอกคุณตะวันว่าตอนนี้ฉันอยู่ที่เซฟเฮาส์...แล้วที่ฉันยังกลับไม่ได้ก็เพราะว่าผู้ร้ายตัวเอ้เพิ่งหนีไป ให้ฉันบอกความลับทางราชการเลยมั้ยละ” ภูวนัยชะงักไปที่ไผ่พญาสวนจนพูดไม่ออก ไผ่พญายี้ปากให้ภูวนัยก่อนจะหันไปถามกับอภิวัฒน์ “เป็นไงมั้งคะท่าน เจอตัวสมสุขมั้ยคะ”
อภิวัฒน์กำลังจะพูดแต่แล้วภูวนัยก็พูดสวนขึ้นมา
“เจอ แล้วพวกเราก็จัดการจับมันเรียบร้อยแล้ว” ไผ่พญาดีใจมาก
“จริงเหรอคะ ค่อยโล่งอกหน่อย”
“หมวดไปโกหกคุณไผ่เขาทำไม”
“โกหก” ไผ่พญาหันขวับไปทางภูวนัย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณไผ่เขาโกหกแล้วอ้างความลับราชการ ผมก็กลัวว่าความลับทางราชการจะรั่วไหลก็เลยต้องโกหกแบบคุณไผ่บ้าง”
ไผ่พญาทำหน้าหมั่นไส้ภูวนัยเต็มแก่ แล้วหันมาถามอภิวัฒน์
“แสดงว่าเสี่ยสมสุขหนีไปได้เหรอคะ” อภิวัฒน์พยักหน้า
“ตอนนี้สถานการณ์ของเราไม่ค่อยดี ถ้ายังไงผมอยากให้คุณไผ่กับเพื่อนของคุณอยู่แต่ในเซฟเฮาส์”
“ทำไมคะ”
“คุณก็รู้ว่าสมสุขเขาฉลาดแล้วก็เป็นตัวอันตรายแค่ไหน”
“แต่มันก็ไม่น่าจะรอดอยู่ได้นานนะครับ ทั้งตำรวจแล้วก็พวกไอ้พายัพต้องตามล่าสมสุขแน่ๆ”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี อย่าเป็นอย่างที่ฉันคิดเลย”
“ท่านคิดว่าอะไรคะ”
“สมสุขจะหันไปร่วมมือกับวศิน”
ภูวนัยกับไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นต่างก็อึ้งไป

เวลาต่อมา ภูวนัยกำลังค้นข้าวของดูหลักฐานต่างๆ อยู่ภายในห้องสมสุข อภิวัฒน์เดินเข้ามา
“ทำอะไรน่ะหมวด”
“กำลังดูว่าสมสุขทิ้งเบาะแสอะไรไว้หรือเปล่าครับ ถ้าเจอเราอาจจะรู้ว่าสมสุขหนีไปไหน”
“ผมว่าหมวดไม่เจออะไรหรอก” ภูวนัยแปลกใจ “อย่างที่บอกนั่นแหละ สมสุขมันฉลาดเป็นกรดอย่างนั้น ผมว่ามันคงจะวางแผนหนีมานานแล้ว” ภูวนัยเจ็บใจที่ทำอะไรไม่ได้ซักอย่าง อภิวัฒน์นึกขึ้นได้ “คุณไผ่ละ”
“ไม่ทราบครับ อาจจะกลับไปแล้วก็ได้”
“เหรอ...ถ้าอย่างนั้นผมว่าหมวดควรจะไปส่งคุณไผ่หน่อยนะ”
อภิวัฒน์พูดจบก็เดินออกไป ปล่อยให้ภูวนัยนิ่งไปเหมือนกำลังตัดสินใจ

ไผ่พญาเดินมาตามทาง ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อนคุณ”
ไผ่พญาหันไปก็เห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“มีอะไร”
“พอดีท่านอภิวัฒน์อยากให้ผมไปส่งคุณ”
ไผ่พญาผิดหวังเหมือนกันเพราะคิดว่าภูวนัยเป็นห่วง
“ไม่เป็นไร ฉันกลับเองได้”
“ทำไม...กลัวคุณตะวันเห็นหรือไง”
ไผ่พญาเสียใจที่ภูวนัยพูดอย่างนั้นจึงหันหลังเดินออกไปเลย ภูวนัยงงกับท่าทีของไผ่พญาที่แสดงออกมาอย่างนั้น
“เดี๋ยว” ภูวนัยเข้าไปจับมือ “ก็ผมบอกว่าเดี๋ยวผมไปส่งไง”
ไผ่พญาสะบัดมือออก
“ถ้านายคิดอย่างนั้น อย่าไปดีกว่า” ไผ่พญาหันหลังเดินต่อ
“ทำไม ผมก็แค่อยากทำอะไรให้คุณบ้างก่อนที่คุณจะไปเมืองนอก ก็เท่านั้น”
ไผ่พญานิ่ง สงบสติอารมณ์แล้วหันมาบอกกับภูวนัย
“ถ้าอย่างนั้นนายพาฉันไปสวนสนุกหน่อยได้มั้ย” ภูวนัยทำหน้าสงสัย “ฉันอยากไปสวนสนุกก่อนที่จะไปเมืองนอก”
ภูวนัยนิ่งไปอย่างลังเล

ชาติกล้ามองดูศพของพายัพที่ตายอย่างน่าอนาถ ชาติกล้าระบายลมหายใจออกมาก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก
“หมู่...ขอกำลังเสริมให้ผมหน่อย ตอนนี้ผมกำลังจะเข้าจับกุมไอ้พายัพที่กำลังซื้อขายยาล๊อตใหญ่อยู่”
ชาติกล้าวางสายไปก่อนจะหยิบปืนขึ้นมา แล้วชาติกล้าก็จะตัดสินใจยิงไปที่ต้นแขนตัวเอง ปัง!
ชาติกล้าร้องอย่างเจ็บปวด เลือดไหลมาตามแขน ชาติกล้ามองไปที่ศพของพายัพ

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ปล่อยให้แกตายเปล่าแน่”

อ่านต่อตอนต่อไป

รถของภูวนัยแล่นเข้ามาจอดที่หน้าประตูทางเข้าเซฟเฮาส์ ไผ่พญามองไปที่บ้านแล้วหันมาถามภูวนัยด้วยอาการงงๆ

“อ้าว...ฉันบอกว่าฉันจะไปสวนสนุก ทำไมพาฉันมาส่งบ้านละ”
“คุณไม่ได้ยินที่ท่านอภิวัฒน์บอกหรือไงว่าตอนนี้มันไม่ปลอดภัย เราไม่ควรไปไหนมาไหนให้กลายเป็นเป้าพวกนั้น”
“แต่มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ฉันอยากทำนะ”
ภูวนัยนิ่งไปก่อนจะพูดขึ้นแบบเย็นชา
“รีบเข้าไปเถอะ เดี๋ยวคุณตะวันออกมาเห็นมันจะไม่ดี” ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ฉุนเลยเอื้อมมือไปบีบแตรดังลั่น ภูวนัยรีบห้ามเป็นพัลวัน “ทำอะไรของคุณน่ะ”
“เรื่องของฉัน”
ไผ่พญาไม่สน พยายามบีบแตรอีก ภูวนัยต้องจับมือทั้งสองของไผ่พญาขึงเอาไว้
“ผมบอกให้หยุดไง”
“ทำไมต้องหยุด นายกลัวคุณตะวันจะเข้าใจผิด ฉันก็จะให้คุณตะวันออกมาเห็น แต่บอกไว้เลยนะว่าคุณตะวันเขาไม่ได้คิดอย่างที่นายคิด เพราะคุณตะวันเขาเชื่อใจฉัน”
ภูวนัยชะโงกหน้าเข้าไปใกล้ เสียงดังใส่
“ใช่ซิ ตอนนี้อะไรๆ ก็คุณตะวันดีไปหมด”
ไผ่พญาไม่ยอม ชะโงกหน้าเข้ามาเสียงดังกลับ
“แน่นอน คุณตะวันเขาเป็นคนที่คิดอะไรก็พูดอย่างนั้น ชอบก็บอกว่าชอบ”
ภูวนัยชะโงกหน้าใกล้เข้าไปอีก เสียงดังแข่ง
“แล้วไง คุณน่าจะขอบคุณผมที่ผมไม่พาคุณไปสวนสนุก เพราะเกิดคุณเป็นไรขึ้นมาเดี๋ยวจะไม่ได้ไปเมืองนอกเปล่าๆ”
ไผ่พญาไม่ยอม ยื่นหน้าใกล้เข้าไปอีก
“ฉันเป็นไร นายก็ไม่สนอยู่แล้วนี่”
“รู้ได้ยังไงว่าผมไม่สน”
คำพูดของภูวนัยทำเอาทั้งไผ่พญาและภูวนัยเองก็ถึงกับชะงักไป ไผ่พญากับภูวนัยใบหน้าใกล้กันจนเกือบจะจูบกันอยู่แล้ว ไผ่พญากับภูวนัยต่างสบตา ทั้งสองกำลังจะจูบกัน แต่แล้วตะวันฉายก็เคาะกระจกรถ ไผ่พญากับภูวนัยสะดุ้งผละออกจากกัน ทั้งสองต่างทำหน้าไม่ถูก ไผ่พญารีบเปิดประตูลงจากรถ
“คุณตะวัน”
ตะวันฉายกำลังจะทักไผ่พญา แต่แล้วตะวันฉายก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นภูวนัยลงมาจากรถ ภูวนัยมองไผ่พญาอยู่กับตะวันฉายเลยตัดสินใจยอมเจ็บเอง
“พอดีผมไปธนาคารแล้วเจอคุณไผ่พอดีน่ะครับ”
“อ๋อ...ครับ ขอบคุณมากครับคุณภู คุณไผ่ไม่เป็นไรนะครับ” ตะวันฉายถามไผ่พญา
“คะ ทำไมเหรอคะ”
“ผมเห็นคุณไผ่หายไปนาย นี่ผมคิดจะออกไปหาคุณไผ่อยู่พอดี”
“ไม่ต้องห่วงครับ เธอปลอดภัยทุกกระเบียดนิ้ว”
“คุณภูทานอะไรมาหรือยังครับ อยู่ทานข้าวเย็นกันก่อนมั้ยครับ” ตะวันฉายเอ่ยชวน
“ไม่เป็นไรครับ พอดีผมมีธุระต้องไปทำอีก”
“ได้ครับ...เข้าบ้านเถอะครับ เดี๋ยวผมทำอะไรให้กิน”
ตะวันฉายเดินนำหน้าไผ่พญาเข้าไป ภูวนัยทำท่าจะขึ้นรถเป็นจังหวะที่ไผ่พญาหันมองพอดีจึงเห็นว่าภูวนัยไม่สนใจ แต่พอไผ่พญาเดินเข้าไปในบ้าน ภูวนัยก็หยุดก่อนจะมองตามไผ่พญาอย่างคนที่อกหัก

ตะวันฉายกับไผ่พญาเดินเข้ามาในบ้าน
“คุณไผ่จะทานอะไรดีครับ ในตู้เย็นมีไข่ มีผักบุ้ง มีอะไรอีกนะ เดี๋ยวขอไปดูก่อน”
“คุณตะวันจะไม่ถามหน่อยเหรอคะว่าฉันเจอคุณภูที่ไหน”
“ก็ที่ธนาคารไม่ใช่เหรอครับ”
ตะวันฉายยิ้มให้ก่อนจะเดินหายไปในครัว ไผ่พญามองตามตะวันฉายอย่างรู้สึกผิดที่โกหก แล้วไผ่พญาก็นึกไปถึงตอนที่เถียงกับภูวนัยบนรถ
“ฉันเป็นไร นายก็ไม่สนอยู่แล้วนี่”
“รู้ได้ยังไงว่าผมไม่สน”
ไผ่พญากลุ้มใจ
“ตกลงว่านายสนหรือไม่สนกันแน่ เฮ้อ...แต่นายกำลังทำให้ฉันสับสน คนบ้า”
ขณะนั้นตะวันฉายแอบมองอยู่มุมหนึ่งด้วยสายตาเศร้าๆ

วันต่อมาในงานแถลงข่าวหน้ากก.ปส. วศินกับชาติกล้าที่มีผ้าพันแผลนั่งอยู่ นักข่าวหลายสำนักต่างเต็มไปหมด
“อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่าตอนนี้เรากำลังดำเนินนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล แต่นโยบายของเราจะสำเร็จไม่ได้ถ้าไม่มีผู้ปฏิบัติ แล้วผู้ที่ปฏิบัติการอย่างเฉียบขาดในครั้งนี้ก็คือ ร้อยตำรวจเอกชาติกล้า”
นักข่าวถ่ายรูปชาติกล้าที่นั่งแขนเจ็บกันแสงแฟลชระรัว
“ผมอยากให้ประชาชนทุกคนสบายใจ เพราะเรากำลังดำเนินนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลอย่างจริงจัง”
“จริงจังในความหมายของหมวดคือการวิสามัญหรือเปล่าครับ”
“ผมว่าอาการบาดเจ็บจากปฏิบัติการทำลายล้างเมื่อคืนของผม คงเป็นคำตอบให้ทุกท่านเป็นอย่างดี”
“ช่วยเล่ารายละเอียดตอนเข้ากวาดล้างได้มั้ยคะ”
“พอดีผมได้รับรายงานว่านายพายัพกับแม่เลี้ยงรัญญาจะมีการส่งมอบยาล๊อตใหญ่กัน แต่เหมือนทั้งสองคนจะรู้ตัวจึงได้เปลี่ยนแผนกะทันหัน ผมซึ่งคอยติดตามความเคลื่อนไหวของพายัพอยู่แล้วคิดว่าถ้ารอกำลังเสริมบางทีเราอาจจะไม่มีโอกาสอีก ผมเลยแสดงตัวเข้าจับกุม”
“แล้วตอนนั้นที่หมวดเข้าจับกุม หมวดไม่กลัวเหรอคะ”
“ถ้าผมกลัว แล้วใครจะปกป้องประชาชนละครับ การตายของนายพายัพกับแม่เลี้ยงรัญญาก็เป็นเพื่อความสงบสุขของประชาชนทุกคน”
นักข่าวทั้งหลายที่นั่งฟังอยู่ต่างพยักหน้าอย่างชื่นชม

อภิวัฒน์กำลังดูข่าวที่ชาติกล้ากับวศินแถลง ระหว่างนั้นภูวนัยผลุนผลันเข้ามาในห้อง
“ท่านครับ ท่านทราบข่าวเรื่องพายัพหรือยังครับ”
อภิวัฒน์กดรีโมทปิดโทรทัศน์
“รู้แล้ว” อภิวัฒน์บอกหน้าเครียด
“ท่านคิดยังไงครับ คิดว่ามันฆ่ากันเองเหรอครับ”
“ไม่หรอก พายัพถือเป็นแหล่งปั้มเงินของวศิน การฆ่าพายัพก็เท่ากับมันฆ่าตัวตาย”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถ้าท่านบอกว่าพายัพคือแหล่งปั้มเงินของวศิน แล้วถ้าวศินมันได้แหล่งปั้มเงินใหม่ที่เป็นตัวตายตัวแทนละครับ”
“หมวดกำลังหมายถึง...”
“เสี่ยสมสุข”
อภิวัฒน์ถึงกับนิ่งไปเพราะถ้ามันเป็นอย่างที่เขาคิดจะทำให้สถานการณ์ยิ่งเลวร้าย ภูวนัยเองก็มีสีหน้าเครียดลงอย่างเห็นได้ชัด

ที่บ้านสมสุข เหล่าบรรดาลูกน้องยืนเรียงรายอยู่ภายในบ้านจนกระทั่งสมสุขก้าวเข้ามา
“ในที่สุด ฉันก็ได้กลับบ้านซะที”
“ยินดีต้อนรับกลับบ้านครับ”
สมสุขสูดอากาศภายในบ้านเข้าไปเต็มปอดแล้วระบายออกมาอย่างสดชื่น
“ฮ้า...กลิ่นอิสรภาพมันสดชื่นอย่างนี้นี่เอง” แล้วสมสุขก็ทำหน้าตุๆ “พวกแกได้กลิ่นอะไรมั้ย” พวกลูกน้องมองหน้ากันงงๆ สมสุขหันไปหาลูกน้องสนิทของตัวเองก่อนจะหยิบปืนที่เอวเดินมาหาลูกน้องของพายัพที่ยืนเรียงราย แล้วถามลูกน้องพายัพคนแรก “ตอนที่ฉันไม่อยู่ ไอ้พายัพมันเลี้ยงแกดีมั้ย”
“เอ่อ...ไม่ดีครับ ผมรอนายกลับมา”
ยังไม่ทันที่ลูกน้องพายัพจะพูดจบ สมสุขก็ยิงใส่ทันที ปัง!
“ฉันไม่ชอบคนโกหก ถ้าไอ้พายัพมันเลี้ยงไม่ดีแล้วเสือกอยู่กับมันทำไม” สมสุขเดินเข้ามาหาคนที่สอง “แล้วแกละ ไอ้พายัพมันเลี้ยงแกดีมั้ย”
ลูกน้องเห็นคนแรกตอบว่าไม่ดีไปแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องตอบอีกแบบ
“ดีมากครับ”
ทันใดนั้นสมสุขก็ยิงใส่ลูกน้องคนที่สองอีก ปัง!
“ถ้ามันเลี้ยงดี งั้นตามไปอยู่กับมันแล้วกัน”
ลูกน้องคนอื่นๆ พอเห็นสมสุขจะฆ่าทิ้งหมดต่างก็พากันวิ่งหนี สมสุขวาดปืนยิงใส่ทีละคน ปังๆๆ! ลูกน้องพายัพล้มตายเป็นใบไม้ร่วง
“ฉันรู้ละว่ากลิ่นอะไร กลิ่นของพวกคนทรยศนี่เองที่มันทำให้ฉันอึดอัด”
สมสุขเดินมาโยนปืนให้กับลูกน้องตัวเอง สมสุขเช็ดมือก่อนจะทำท่าจะเดินไป ระหว่างนั้นลูกน้องอีกคนวิ่งเข้ามา
“เสี่ยครับ”

“มีอะไร”

วศินนั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน ชาติกล้ายืนอารักขาอยู่ข้างๆ ระหว่างนั้นสมสุขเดินยิ้มเผล่เข้ามา

“แหม...ถือว่าท่านเป็นแขกคนแรกของบ้านผมเลยนะเนี่ย”
“เมื่อกี้ฉันได้ยินเสียงปืน มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า ก็แค่ทำความสะอาดล้างไอ้พวกลูกน้องพายัพออกไปเท่านั้น ที่จริงแกก็ต้องตามไอ้พายัพมันไปด้วย...แต่ฉันเห็นว่าเรายังมีผลประโยชน์กันอยู่”
ชาติกล้าจ้องหน้าสมสุขด้วยความโกรธ วศินตัดบทขึ้น
“ลื้อเรียกอั้วมาทำไม”
“แหม...ผมนึกได้ว่ามีเรื่องที่ท่านควรต้องทราบเอาไว้หน่อย”
“อย่าบอกว่าลื้อจะเอาไอ้เพื่อนที่อยู่ต่างประเทศมาต่อรองผลประโยชน์กับอั้วนะ”
“ไม่ละ ผมมันใจกว้าง เรื่องนั้นมันจิ๊บจ๊อย เพราะผมว่าเรื่องที่ผมจะบอกท่าน ผมว่ามันสำคัญกว่านั้นมาก”
“มีอะไรก็พูดมา ไม่ต้องมาเล่นลิ้น” ชาติกล้าบอก
“อุ้ย...อารมณ์ร้อนจริงๆ นะหมวด” สมสุขหันไปพูดกับวศิน “ท่านไม่สงสัยบ้างเหรอครับว่าที่ผมรอดมาได้เพราะใคร แล้วทำไมผมถึงมาปรากฏตัวตอนนี้ แล้วไอ้ที่แก็งค์ห้าเสือที่ล้มหายตายจาก เป็นฝีมือใคร”
วศินกับชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็อยากรู้ขึ้นมาทันที สมสุขอมยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

ไผ่พญาเดินลงมาจากบนบ้านก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นตะวันฉายเดินเข้ามา
“คุณตะวันไปไหนมาคะ”
“ไปเดินออกกำลังมานิดหน่อยน่ะครับ”
“แล้วทำไมคุณตะวันไม่ปลุกฉัน จะได้ไปเดินเป็นเพื่อน”
ตะวันฉายรู้ว่าไผ่พญาเป็นห่วง
“ผมไม่เป็นอะไรหรอกครับ”
ไผ่พญากลัวว่าตะวันฉายจะคิดมาก
“เอ่อ...ไม่ใช่อย่างนั้นคะ แบบว่าเผื่อคุณตะวันเจอหมาไงคะ ฉันจะได้ช่วยไล่ แฮ่....” ไผ่พญาทำท่าขู่ ตะวันฉายขำ ไผ่พญาเห็นตะวันฉายหัวเราะได้ก็ค่อยยังชั่ว “แต่จะว่าไป พักนี้คุณตะวันอาการดีขึ้นนะคะ หรือว่าคุณตะวันจะหายแล้ว”
“มันไม่หายง่ายๆ อย่างนั้นหรอกครับ คุณไผ่ไม่อยากไปอเมริกากับผมใช่มั้ยครับ”
ไผ่พญาถึงกับชะงักที่ตะวันฉายพูดออกมาอย่างนั้น ไผ่พญาไม่รู้จะตอบยังไง
“เปล่าหรอกคะ คือฉันยังไม่ได้บอกแม่เรื่องนี้เลยคะ แม่ฉันอยู่ที่นี่คนเดียว ถ้าฉันไป”
ตะวันฉายรู้ถึงความอึดอัดของไผ่พญา
“ไม่เป็นไรครับ ผมรอให้คุณไผ่บอกคุณแม่ก่อนก็ได้ครับ”
ระหว่างนั้นมีเสียง SMS จากมือถือของไผ่พญาดังขึ้น ไผ่พญาหยิบขึ้นมาอ่านแล้วไผ่พญาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นว่าเป็นข้อความจากภูวนัย
“ผมอยากเจอคุณ ไปเจอผมที่ริมน้ำนะ”
ไผ่พญาเห็นข้อความอย่างนั้นแวบแรกคือแปลกใจ แวบต่อมาคือความรู้สึกแอบมีความหวังจนยิ้มออกมา แต่แล้วไผ่พญาก็รีบหุบยิ้มเมื่อเห็นตะวันฉายมองมาที่เธออย่างแปลกใจ
“เอ่อ...ไม่มีอะไรหรอกคะ พอดีธนาคารเขาส่งข้อความมาบอกว่าข้อมูลที่เมื่อวานมีผิดพลาดนิดหน่อย ต้องให้ฉันไปแก้”
“เหรอครับ ให้ผมไปเป็นเพื่อนมั้ยครับ”
“ไม่ต้องคะ” ตะวันฉายทำหน้าสงสัย “คือ แบบว่าไปเร็ว...เสร็จเร็ว...จะได้กลับมาเร็วๆ ไงคะ แดดข้างนอกร้อนจะตาย แล้วถ้าเกิด...”
ตะวันฉายรู้ว่าไผ่พญาไม่อยากให้ไป
“งั้นผมรออยู่บ้านแล้วกันครับ”
“คะ...เดี๋ยวฉันจะรีบไปรีบกลับนะคะ”
ไผ่พญายิ้มให้ตะวันฉายเป็นรอยยิ้มที่เกิดจากความสุขที่จะได้เจอภูวนัย ก่อนจะรีบเดินออกไป ตะวันฉายมองตามไผ่พญาอย่างเป็นห่วง

ไผ่พญารีบออกมาจากบ้าน สีหน้าแช่มชื่นอย่างมีความหวังที่จะได้พบกับภูวนัย พอไผ่พญาเดินออกไปไม่นาน ก็เห็นภูวนัยเดินออกมาจากมุมหนึ่งมองตามไผ่พญาด้วยความรู้สึกเศร้าๆ
ตะวันฉายแกะซองยา กำลังเทน้ำจะดื่ม ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“คุณตะวัน”
ตะวันฉายหันไป เห็นภูวนัยยืนอยู่ก็ตกใจเล็กน้อย
“คุณภู เอ่อ...มาได้ไงครับเนี่ย”
ภูวนัยมองไปบนโต๊ะแล้วเห็นยาวางอยู่
“ไม่สบายเหรอครับ”
ตะวันฉายรีบเก็บยา ไม่อยากให้ภูวนัยรู้เรื่องป่วย
“ไม่มีอะไรหรอกครับ แค่ปวดหัวนิดหน่อย เอ่อ...พอดีคุณไผ่ไม่อยู่ เธอเพิ่งออก”
“ผมอยากคุยกับคุณ”
ตะวันฉายมองภูวนัยด้วยความสงสัยว่าอยากคุยเรื่องอะไร

ไผ่พญาเดินมาถึงที่ริมน้ำ มองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นภูวนัย
“นี่...ฉันมาแล้ว” ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา ไผ่พญาแปลกใจ “นัดเราแท้ๆ แต่ตัวเองกลับมาสาย”
ไผ่พญามีเคืองเล็กน้อยแต่ก็เดินไปนั่งรอที่มุมหนึ่ง ก่อนจะพยายามจัดเผ้าจัดผมให้ดูสวย รอการมาเยือนของภูวนัย
ขณะนั้นภูวนัยอยู่กับตะวันฉายที่เซฟเฮาส์ ภูวนัยพูดขึ้นอย่างจริงจัง
“ผมรู้เรื่องที่คุณตะวันชวนเธอไปอเมริกา”
ตะวันฉายมีสีหน้าเครียดเช่นกัน
“คุณภูไม่อยากให้เธอไปใช่มั้ยครับ”
ภูวนัยนิ่งไปเหมือนกำลังใช้พลังใจในการจะพูดประโยคต่อไป ภูวนัยหันกลับมาแล้วบอกกับตะวันฉาย
“ผมอยากให้คุณ...พาเธอไปให้เร็วที่สุด”
“เอ่อ มีอะไรเหรอครับ”
“คุณตะวันรู้อยู่แล้วว่าสิ่งที่เธอเข้ามาเกี่ยวข้องมันอันตรายแค่ไหน”
“ทำไมครับ หรือว่าไอ้พวกที่คุณภูกำลังจัดการ มันคิดจะทำอะไรเหรอครับ”
ภูวนัยนิ่งคิด ไม่อยากให้ตะวันฉายไม่สบายใจและรู้เรื่องมาก
“เปล่าครับ....คือสิ่งที่ผมทำอยู่มันใกล้จะสำเร็จแล้ว แล้วผมก็อยากให้เธอเริ่มต้นชีวิตใหม่...กับคนที่ดูแลเธอได้”
“ผมก็อยากทำอย่างนั้น แต่ดูเหมือนคุณไผ่ไม่อยากจะไป” ภูวนัยนิ่งไปเหมือนจะรู้ว่าไผ่พญาไม่อยากไปเพราะเขา “เรื่องนี้...คงต้องให้หัวใจของเธอเป็นคนบอกเอง”
“ไม่ได้...คุณตะวัน...คุณต้องรีบพาเธอไปให้เร็วที่สุด”
“เกิดเรื่องอะไรไม่ดีใช่มั้ยครับ”
“ตอนนี้ผมบอกไม่ได้ คุณตะวันผมอยากให้คุณสัญญาว่าคุณจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องเธอ”

ภูวนัยสบตาตะวันฉายอย่างจริงจัง ขณะที่ตะวันฉายกลับมีสีหน้าหนักใจ

อ่านต่อหน้า 3

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 17 (ต่อ)

ด้านไผ่พญานั่งรอภูวนัยอยู่ที่ริมน้ำจนถึงกลางคืนโดยไม่ไปไหน ไผ่พญาน้ำตาคลอที่ภูวนัยไม่มาตามนัด

“เห็นฉันเป็นอะไร”
ไผ่พญาปาดน้ำตาก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินออกมา ไผ่พญาหยุดแล้วหันกลับไปมองอย่างมีความหวังอีกว่าภูวนัยจะมา แต่เมื่อไม่มี ไผ่พญาจึงหันหลังแล้วเดินออกมาด้วยความเสียใจ

คืนเดียวกันนั้นที่บ้านสุทิน วศินนั่งรออยู่ที่โซฟาโดยมีชาติกล้ายืนคอยอารักขาอยู่ข้างๆ ระหว่างนั้นเสียงของใครคนนึงดังขึ้น
“นี่มันนอกเวลาราชการแล้วนะวศิน”
วศินหันไป พอเห็นสุทินซึ่งมียศเป็นพล.ต.อ.ตำแหน่งผบ.ตร. เดินเข้ามา ก็รีบลุกขึ้นยืน ชาติกล้าโค้งทำความเคารพ
“นี่เราเป็นคนที่วิสามัญนายพายัพใช่มั้ย” สุทินถามชาติกล้า
“ครับท่าน”
สุทินมองแขนของชาติกล้าที่ยังเจ็บอยู่
“คุณทำได้ดีมาก ท่านผบ.ชื่มชมคุณมาก”
“ขอบคุณครับท่าน”
“ว่าไงวศิน มีอะไร”
“ขอโทษที่ต้องรบกวนพี่ตอนดึกอย่างนี้ แต่ผมมีเรื่องจำเป็นที่ต้องเรียนให้พี่ทราบจริงๆ ครับ”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องของพี่น้องเราที่ทำตัวนอกแถวครับ”
สุทินทำหน้าสงสัยขึ้นมาทันที

วศิน ชาติกล้า นั่งอยู่ในห้องทำงานของสุทิน สุทินกำลังดูแฟ้มอยู่ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ภายในแฟ้มเห็นรูปของห้าเสือ
“จากการที่เราดำเนินนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล ทำให้เราสืบได้ว่าจะต้องมีตำรวจที่คอยช่วยเหลือและร่วมมือกับพวกห้าเสือครับ”
“ที่เราพูดอย่างนี้ แสดงว่ารู้ตัวตำรวจนอกแถวคนนั้นแล้วใช่มั้ย” วศินหันไปพยักหน้าให้กับชาติกล้า ชาติกล้าจึงนำอีกแฟ้มนึงให้กับสุทิน สุทินเปิดแฟ้มออกพอเห็นรูปของอภิวัฒน์ก็ตกใจเล็กน้อย “อภิวัฒน์เหรอ”
“ครับท่าน”
“วศิน นายรู้มั้ยว่านายกำลังสงสัยใคร อภิวัฒน์เขาได้ชื่อว่าเป็นตำรวจที่มีประวัติสะอาดมากนะ”
“นั่นเป็นด้านที่เราเห็นมั้งครับ แต่ใครจะรู้ว่าอีกด้านนึงมันอาจจะสกปรกมากก็ได้”
“พวกคุณมีหลักฐานมั้ยละ”
“ถ้าเรื่องเส้นทางการเงิน เราไม่มีครับเพราะท่านอภิวัฒน์กับพวกห้าเสือคงไม่ทิ้งร่องรอยให้ใครตามสืบได้ แต่ที่เรารู้ก็คือ ท่านอภิวัฒน์ได้ก่อตั้งกองกำลังลับเพื่อช่วยเหลือพวกผู้มีอิทธิพลครับ”
“พี่สุทินลองยกหูหาท่านพิเชษฐ์ที่ดีเอสไอก็ได้ครับ ผมเพิ่งคุยกับท่านจึงได้รู้ว่าอภิวัฒน์ได้ฆ่าสายของดีเอสไอที่กำลังตามสืบเรื่องแม่เลี้ยงรัญญา”
“เรื่องนี้ผมเองก็ได้ข่าวมาเหมือนกัน แล้วพวกคุณรู้ได้ยังไงว่าคนที่ฆ่าสายของดีเอสไอเป็นคนของอภิวัฒน์”
“ขออนุญาตครับท่าน” ชาติกล้าเข้าไปเปิดแฟ้มอีกหน้าเห็นรูปของภูวนัยติดอยู่ “หมวดภูวนัยคือคนที่ลงมือครับ”
“หมวดภูวนัย”
“หมวดภูวนัยเคยเป็นหัวหน้าชุดปราบปรามที่ปปส.ครับ แต่เราจับได้ว่าหมวดภูวนัยมีความสัมพันธ์กับพวกผู้มีอิทธิพลจึงได้ถูกให้ออกจากราชการ ตอนนี้เป็นผู้ร้ายที่หนีหมายจับกุม”
“แล้วที่สำคัญ หมวดภูวนัยคนนี้เป็นเพื่อนกับหมวดชาติกล้าเขา”
สุทินหันมองชาติกล้าด้วยสายตาที่ไม่เข้าใจ
“แม้จะเป็นเพื่อน แต่ถ้าเขาทำผิดกฎหมายผมก็คงต้องจับกุม”
สุทินมองชาติกล้าอย่างชื่นชม ระหว่างนั้นสุทินเกิดเจ็บหน้าอกขึ้นมา สุทินรีบเปิดลิ้นชักก่อนจะรีบหยิบยาขึ้นมากินทันที
“เป็นไรครับท่าน”
“โรคหัวใจน่ะ ไม่เป็นไรมากหรอก” สุทินปิดแฟ้ม แล้วมองวศินกับชาติกล้า “พวกนายต้องการให้ฉันทำอะไร”
แววตาของวศินกับชาติกล้าเต็มไปด้วยความเจ้าเล่ห์

ไผ่พญาเดินเข้ามาที่เซฟเฮาส์จึงเห็นตะวันฉายนั่งอยู่
“เอ่อ...ยังไม่นอนเหรอคะ”
“ผมรอคุณไผ่น่ะครับ”
“ไม่ต้องรอฉันหรอกคะ แหม...สงสัยวันนี้เงินเดือนออก คนที่แบงค์นะต่อคิวยาวออกไปที่ถนนเลยละ”
“คุณไผ่ไปอเมริกากับผมนะครับ”
ไผ่พญาชะงักที่โดนตะวันฉายจู่โจมไม่ทันตั้งตัว
“เอ่อ...ทำไมจู่ๆ คุณตะวันถึงได้ถามอย่างนี้ละคะ”
“ผมรู้ว่าที่คุณไผ่ไม่อยากไปก็เพราะคุณภูใช่มั้ยครับ”
ไผ่พญาอึ้งไป ก่อนจะยอมรับ
“คุณตะวันอย่าโกรธฉันเลยนะคะ คือฉันแค่อยากเห็นเขาทำสิ่งที่ตั้งใจไว้สำเร็จน่ะคะ”
“แต่คุณภูเขาอยากให้คุณไปกับผม”
ไผ่พญาไม่อยากจะเชื่อที่ได้ยิน
“อะไรนะคะ”
“วันนี้คุณภูมาหาผม หลังจากที่คุณไผ่ออกไปแล้ว”
“แล้ว...แล้วเขามาทำไม”
“คุณภูอยากให้คุณไปอเมริกากับผม” ไผ่พญาถึงกับอึ้ง
“เขา...เขาคงจะเกลียดฉันมาก”
“ไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับคุณไผ่” ตะวันฉายกำลังจะบอกว่าเพราะภูวนัยเป็นห่วงไผ่พญาต่างหากถึงได้บอกให้ไปกับเขา แต่ไผ่พญากลับพูดขึ้นด้วยความน้อยใจเสียก่อน
“คะ...ฉันจะไปอเมริกากับคุณตะวัน”
ตะวันฉายรู้ว่าไผ่พญาพูดอย่างนั้นเพื่อต้องการประชดภูวนัย
“คุณไผ่ครับ ถ้าคุณไผ่ไปเพื่อต้องการประชดคุณภู ผมว่า...”
“เปล่าคะ ฉันต้องการไปกับคุณตะวันจริงๆ เอ่อ...ฉันขอตัวขึ้นห้องก่อนนะคะ”
ไผ่พญาพูดจบก็รีบเดินขึ้นห้องไป ตะวันฉายมองตามรู้สึกแปลกๆ ที่ทำไมเขาไม่ดีใจก็ไม่รู้

อีกด้านหนึ่งที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ภูวนัยเดินเข้ามาในเซฟเฮาส์จึงเห็นตำรวจลูกน้องของอภิวัฒน์กำลังขนย้ายข้าวของเอกสารต่างๆ โดยมีอภิวัฒน์กำลังดูเอกสารต่างๆ ก่อนจะโยนลงในกล่อง
“มีอะไรเหรอครับ”
“หมวด ผมต้องย้ายพวกเอกสารที่พวกเราทำอยู่ไปไว้ที่อื่น เพราะถ้าสมสุขมันไปร่วมมือกับวศินจริงๆ ผมว่าอีกไม่นาน ที่นี่คงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป” ภูวนัยเครียดเช่นกัน อภิวัฒน์นึกขึ้นได้ “แล้วคุณไผ่ว่าไง”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมบอกให้เธอรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแล้ว”
“ดีแล้ว เพราะเราไม่รู้มันจะเป็นยังไงต่อไป ถ้าสมสุขมันหายสาบสูญไปก็ดี แต่ถ้าไม่ผมว่าพวกเรากำลังจะเดือดร้อนแล้วคนที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือคุณไผ่”

ภูวนัยหน้าเครียดหลังจากที่ได้ยินอภิวัฒน์บอกอย่างนั้น

ส่วนภูวนัยนั่งอยู่ในห้องด้วยความคิดถึงไผ่พญา

“ขอโทษนะไผ่ ผมจำเป็นต้องทำอย่างนี้จริงๆ”
ภูวนัยเศร้าเหมือนคนอกหัก

เช้าวันรุ่งขึ้นไผ่พญานั่งเศร้าซึมอยู่ภายในห้องนอน ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“คุณไผ่ครับ”
ไผ่พญาหลุดจากภวังค์ก่อนจะลุกมาเปิดประตู แล้วไผ่พญาก็แปลกใจเมื่อเห็นตะวันฉายใส่ชุดเหมือนกำลังจะไปข้างนอก
“คุณตะวันจะไปไหนคะ”
“กลับเคลียร์งานแล้วก็เตรียมตัวก่อนจะไปอเมริกาไงครับ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็นิ่งๆ ไป
“แล้วฉันต้องทำยังไงบ้างคะ”
“ยังไม่ต้องทำอะไรครับ เดี๋ยวผมกลับมาแล้วค่อยไปจัดการเดินเรื่องด้วยกัน เอ่อ...คุณไผ่อยู่คนเดียวได้นะครับ”
ไผ่พญาพยักหน้า แล้วเอามือทุบหน้าอกตัวเอง
“สบายคะ”
“ผมคงจะไปซักอาทิตย์นึง แล้วผมจะรีบกลับมานะครับ”
“คะ”
ไผ่พญายิ้มให้เศร้าๆ

อภิวัฒน์กำลังดูแฟ้มสีหน้าเครียดอยู่ที่ห้องทำงาน ภูวนัยเดินเข้ามาอย่างร้อนใจ
“ได้ความคืบหน้าของสมสุขแล้วเหรอครับ” อภิวัฒน์ไม่พูดอะไร แต่ยื่นแฟ้มให้ภูวนัยดู ภูวนัยเปิดดูแล้วทำหน้าแปลกใจ “นี่มันลูกน้องของไอ้พายัพทั้งนั้นเลยนี่ครับ”
“ถูกต้อง ผมเพิ่งได้รับรายงานว่าพบศพของพวกนั้นอยู่ใต้ทางด่วน”
“ว่าไงนะครับ ท่านคิดว่าใครเป็นคนทำอย่างนี้ครับ”
“ผมว่าหมวดคงจะคิดเหมือนผมละมั้ง”
“สมสุขเหรอครับ แวบแรกผมก็คิดว่าเป็นฝีมือของมัน แต่พอคิดอีกทีสมสุขมันน่าจะทำให้เรื่องเงียบกว่านี้ได้”
“ถ้าเงียบ แล้วใครจะได้ยินละ”
“หมายความว่าไงครับท่าน”
“ผมคิดว่าที่สมสุขมันทำอย่างนี้ ก็เพื่อประกาศให้คนในวงการรู้ว่ามันกำลังกลับมาแล้วไง”
“แล้วทางตำรวจว่าไงครับ”
“นี่แหละที่ผมหนักใจ พรรคพวกผมบอกว่าชาติกล้าเป็นคนขอทำคดีนี่เอง” ภูวนัยอึ้งไปนิดนึง
“ท่านคิดว่าไอ้ชาติกำลังจะทำให้เรื่องนี้หายเข้ากลีบเมฆเหรอครับ” อภิวัฒน์พยักหน้าแทนคำตอบ ภูวนัยสีหน้าเครียด “ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า ไอ้สมสุขมันย้ายฝั่งไปอยู่กับพวกมันแล้ว”
ระหว่างนั้นตำรวจนายนึงเดินเข้ามา
“ขออนุญาตครับ”
“มีอะไร”
“มีตำรวจจากก.ปส.มาครับ”
ภูวนัยกับอภิวัฒน์ถึงกับมองหน้ากันทันที

ที่เซฟเฮ้าส์ภูวนัยไผ่พญากำลังนั่งซึมกะทืออยู่กับจานข้าว เขี่ยข้าวในจานไปมาอย่างกินไม่ลง ระหว่างนั้นเสียงออดดังขึ้น ไผ่พญาสะดุ้งก่อนจะเดินออกไปมอง ไผ่พญาเดินมาที่ประตูรั้วแล้วต้องแปลกใจเมื่อเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบยืนอยู่หน้าบ้าน 4 คน
“มีอะไรเหรอคะ”
“พวกเราเป็นตำรวจน่ะครับ”
“ตำรวจ...ท่านอภิวัฒน์ให้มาทำอะไรเหรอคะ”
ไผ่พญาคิดว่าตำรวจนอกเครื่องแบบพวกนั้นเป็นคนของอภิวัฒน์เลยเผลอพูดออกไป ตำรวจนอกเครื่องแบบพวกนั้นพอได้ยินไผ่พญาพูดก็หันไปพยักหน้าให้กัน ไผ่พญาจับสังเกตเลยรู้ว่าคนพวกนั้นต้องไม่ใช่คนของอภิวัฒน์แน่ๆ
“เอ่อ...ฉันเพิ่งนึกได้ว่าต้มน้ำเอาไว้ เดี๋ยวฉันมานะคะ” ไผ่พญาหันหลังเดินกลับเข้าบ้านไปเลย
“เปิดประตูให้พวกเราหน่อย”
ไผ่พญาเดินจ้ำอ้าว แต่ไม่วายหันมาพูด
“เดี๋ยวขอฉันปิดแก๊สก่อนนะ เดี๋ยวมาเปิดให้”
ตำรวจพวกนั้นเห็นไผ่พญาจ้ำอ้าวก็รู้ได้ทันทีว่าไผ่พญารู้ตัวแล้ว
“ปีนเข้าไป”
ไผ่พญาหันมาก็เห็นตำรวจนอกเครื่องแบบพวกนั้นเริ่มปีนประตู ไผ่พญาตกใจรีบวิ่งเข้าไปในบ้านทันที
ไผ่พญารีบวิ่งเข้ามาในบ้าน แล้วรีบปิดประตูทันที ก่อนจะรีบดึงโซฟา โต๊ะเก้าอี้ ทุกอย่างที่ขวางหน้ามาขวางประตูเอาไว้ ไผ่พญาหันรีหันขวางจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์นี้ยังไง

ส่วนที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ อภิวัฒน์เดินมากับภูวนัยที่ทางเดิน ก่อนที่ทั้งคู่จะชะงักไปเมื่อเห็นชาติกล้ายืนอยู่
“ไอ้ชาติ”
ภูวนัยปรี่จะออกไป แต่อภิวัฒน์รั้งเอาไว้
“หมวดจะทำอะไร”
“มันรุกเราจะสุดกระดานแล้วนะครับ ถ้าไม่สู้...เราก็ตาย”
“ใจเย็นหมวด ที่หมวดชาติมาอย่างนี้ มีอยู่สองอย่าง...หนึ่งมาหาหลักฐานเพื่อทำลายหน่วยงานของเรา...สอง” อภิวัฒน์จ้องภูวนัย “เขาต้องการตัวหมวด” ภูวนัยสีหน้าเครียด “จำที่ผมให้คนของเราเอาเอกสารไปไว้ที่อื่นได้ใช่มั้ย”
“ครับ”
“ตอนนี้ต่อให้เขาจับผมไป เขาก็ไม่มีหลักฐานอะไร แต่ถ้าเขาเจอหมวด...ทุกอย่างจะจบลงทันที” ภูวนัยเจ็บใจ “หมวดหนีไปซะ ผมจะถ่วงเวลาพวกนั้นเอาไว้”
“แต่ท่านครับ”
“เชื่อผม หมวดต้องหนี แล้วเราจะได้พบกันอีก”
ภูวนัยพยักหน้าให้อภิวัฒน์ก่อนที่จะรีบวิ่งออกไป อภิวัฒน์มองตามอย่างเป็นห่วงก่อนจะเดินออกมายังโถงที่ชาติกล้ากับพวกวีระ ราชัยยืนอยู่
“สวัสดีหมวด...มีอะไรให้ช่วยครับ”
อภิวัฒน์ทักชาติกล้า ชาติกล้าหันมาเห็นอภิวัฒน์ที่นิ่งดูไม่สะทกสะท้านจึงหยิบเอกสารส่งให้อภิวัฒน์
“นี่หมายค้นกับหมายเรียก เชิญท่านอ่านดูก่อนได้”
“ไม่เป็นไร แต่ผมอยากรู้ว่าผมทำอะไรผิด”
“ท่านเป็นผู้ต้องสงสัยที่ให้การสนับสนุนผู้มีอิทธิพล ผมอยากเชิญท่านไปให้ปากคำ”
“หมวดชาติ...แน่ใจนะที่ทำอย่างนี้”
“หมวดภูอยู่ไหนครับ”
“หมวดภูวนัยน่ะเหรอ ผมเคยได้ข่าวว่าเขาเป็นตำรวจฝีมือดีที่โดนคนกลั่นแกล้ง แล้วเขาก็ไม่ได้เป็นตำรวจแล้วนี่ ทำไมหมวดคิดว่าหมวดภูอยู่ที่นี่ละ”
ชาติกล้าไม่สนกับคำพูดของอภิวัฒน์ หันไปบอกวีระ ราชัย
“แบ่งกำลังกัน หน่วยเอเอาเอกสารทุกแผ่นกลับไปให้หมด หน่วยบีนำทุกคนที่อยู่ที่นี่ไปที่หน่วย ผมจะสอบปากคำทุกคน” ชาติกล้าหันกลับมาพูดกับอภิวัฒน์ “ตอนนี้กำลังของผมปิดล้อมที่นี่หมดแล้ว ต่อให้ไอ้ภูมันมีปีก มันก็หนีไม่พ้น”
อภิวัฒน์ทำหน้าไม่ยี่หระ ชาติกล้าเดินออกไป อภิวัฒน์มองตามอย่างเป็นห่วงภูวนัย
ภูวนัยวิ่งมาที่ประตูหลังแต่แล้วภูวนัยก็ต้องเบรกจนตัวโก่งเมื่อเห็นตำรวจกำลังกรูกันเข้ามา ภูวนัยหันหลังกลับวิ่งกลับเข้ามาในบ้าน ระหว่างนั้นภูวนัยก็เจอเข้ากับวีระที่นำกำลังตำรวจเดินมาตามทาง

ภูวนัยหันมองไปรอบก่อนจะรีบวิ่งผลุบหายเข้าไปในประตูที่อยู่ข้างๆ

ช่วงเวลาเดียวกันนั้นที่เซฟเฮาส์ ไผ่พญากำลังดันโซฟาโต๊ะเก้าอี้สุดฤทธิ์ เสียงตำรวจนอกเครื่องแบบตะโกนโหวกเหวกอยู่หน้าบ้าน

“เปิดประตูเดี๋ยวนี้ บอกให้เปิดประตูไง”
ไผ่พญาไม่พูดไม่ตอบโต้ ตำรวจนอกเครื่องแบบเห็นอย่างนั้นเลยหันไปบอกอีกคน
“ไปดูรอบๆ ซิ ว่ามีประตูอื่นอีกหรือเปล่า”
ไผ่พญาตกใจที่ตำรวจจะหาทางเข้ามาให้ได้
“แย่แล้ว ทำไงดี”
แล้วไผ่พญาก็นึกขึ้นมาได้ รีบหยิบมือถือขึ้นมากดทันที

ที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ภูวนัยซ่อนตัวอยู่ภายในห้องเก็บยุทโธปกรณ์ซึ่งมีปืนและเครื่องกระสุนต่างๆ ด้านนอก วีระนำกำลังตำรวจเดินมาตามทาง วีระชี้ให้ตำรวจไปห้องนึงที่อยู่ตรงข้ามกับห้องพยาบาล
ภูวนัยหยิบปืนขึ้นมาเตรียมพร้อมกับการปะทะ แต่แล้วระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยก็ดังขึ้น ภูวนัยทำหน้าเซ็งที่มือถือดันดังได้จังหวะจริงๆ วีระกับตำรวจได้เสียงมือถือทำให้เปลี่ยนเป้าหมายจากที่จะไปห้องตรงข้ามก็หันมาที่ห้องพยาบาลทันที ภูวนัยยังไม่รับสายไผ่พญาเพราะต้องรีบผลักชั้นเหล็กมาปิดประตูเอาไว้ วีระที่อยู่ด้านนอกบิดลูกบิดได้แต่ดันประตูออกไม่ได้
“เฮ้ย! ใครอยู่ข้างใน ออกมามอบตัวซะดีๆ”
ภูวนัยหันรีหันขวางแข่งกับเวลา แล้วก็หันไปเห็นแก๊สน้ำตาที่อยู่บนชั้น วีระกับเหล่าตำรวจต่างพยายามจะเปิดประตู ทันใดนั้นประตูก็เปิดออก วีระกับพวกตำรวจก็กรูกันเข้ามาแต่แล้วทั้งหมดก็เข้ามาอยู่ในห้องที่มีแต่ควันหนาทึบ ภูวนัยอาศัยจังหวะวิ่งแทรกตัวออกมา
วีระและตำรวจต่างวิ่งออกมาจากห้องแทบไม่ทัน ต่างน้ำหูน้ำตาไหลพราก ตำรวจส่วนที่อยู่หลังบ้านวิ่งเข้ามา ภูวนัยแกล้งปิดหูปิดตาทำเป็นพวกเดียวกับตำรวจพวกนั้น
“เกิดอะไรขึ้น”
“มีคนขัดขืนการจับกุมอยู่ด้านใน รีบไปช่วยเร็ว”
เหล่าตำรวจพวกนั้นรีบวิ่งผ่านภูวนัยไปที่กลุ่มของวีระและเหล่าตำรวจที่โดนแก๊สน้ำตา ภูวนัยหันไปมองก่อนจะรีบอาศัยจังหวะนั้นรีบวิ่งไปที่ประตูหลังทันที ไม่นานก็เห็นชาติกล้าวิ่งเข้ามาแล้วถามวีระทันที
“เกิดอะไรขึ้น”
“ผมเห็นว่ามีคนแอบอยู่ในห้องนี้น่ะครับหัวหน้ แต่พอพังเข้าไปก็เจอแก๊สน้ำตาเข้าไปเต็มๆ”
ชาติกล้านิ่งคิดก่อนจะมองไปรอบๆ แล้วสะดุดตาที่ประตูหลังที่มีเหล่าตำรวจต่างกระจัดกระจายกันเต็มไปหมด ชาติกล้ารู้ว่ามันเป็นช่องทางเดียวที่จะหนีได้จึงรีบวิ่งไปที่ประตูหลังทันที
ภูวนัยกำลังปีนรั้วออกมาอย่างทุลักทุเลเพราะพิษจากแก๊สน้ำตา ภูวนัยทิ้งตัวลงมายังเบื้องล่างได้ ชาติกล้าวิ่งตามมาแล้วรีบวิ่งมาที่รั้ว ชาติกล้ามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของภูวนัยขณะนั้นภูวนัยหลบอยู่ด้านล่างของรั้วที่มีต้นไม้ ภูวนัยนอนซุกตัวอยู่ตรงนั้นใต้จมูกของชาติกล้าแค่นั้นเองแต่ชาติกล้าไม่เห็น ชาติกล้าหันหลังกลับไปอย่างเจ็บใจ ภูวนัยเป่าปากอย่างโล่งอก

ที่เซฟเฮาส์ภูวนัย ตำรวจนอกเครื่องแบบเดินอยู่ภายในบ้านส่วนหนึ่ง อีกส่วนนึงเดินขึ้นมาบนชั้นสอง ก่อนจะเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบค่อยๆ เปิดประตูเข้ามาภายในห้องนอนของไผ่พญา ตำรวจนอกเครื่องแบบเดินเข้ามาภายในห้อง ไผ่พญาซ่อนตัวอยู่ใต้เตียงใจเต้นระทึก
ตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้นเดินเข้ามาที่ตู้เสื้อผ้าก่อนจะเปิดมันออก แต่แล้วก็พบกับความว่างเปล่า ระหว่างนั้นตำรวจอีกคนเดินเข้ามา
“เจอมั้ย”
“ไม่อยู่บนนี้”
“แล้วมันหายไปไหนวะ หรือว่ามันจะหนีออกจากบ้านไปแล้ว”
ไผ่พญาพยายามกลั้นหายใจสุดฤทธิ์ ก่อนจะได้ยินเสียงตำรวจพวกนั้นพากันเดินออกจากห้องไป ไผ่พญาถึงกับฟุบหน้าลงกับพื้นด้วยความโล่งอกที่รอดพ้นจากพวกนั้นได้
“รอดตายแล้ว” แต่แล้วทันใดนั้นร่างของไผ่พญาก็ถูกดึงออกไปจากใต้เตียงทันที
ไผพญาร้องลั่น
“ว้าย...”

ไผ่พญาถูกตำรวจนอกเครื่องแบบทั้ง 4 นายคุมตัวมาที่หน้าบ้าน ไผ่พญาพยายามใช้วาทศิลป์ที่ไม่ค่อยจะได้ผลกล่อมตามประสา

“พี่ เราเป็นพวกเดียวกันนะ ฉันว่าพวกพี่เข้าใจผิดแล้วละ”
“เงียบๆ เลยไม่ต้องพูดมาก”
“จริงๆ นะพี่ นี่ฉันทำงานให้ท่านอภิวัฒน์ ไม่เชื่อพี่ลองโทร.ไปถามท่านก็ได้”
“บอกให้เงียบไง ก็เพราะว่าแกทำงานให้มันไง ถึงได้โดนจับ”
“หมายความว่าไงพี่ พี่จะไม่ลองคุยกับท่านหน่อยเหรอ”
“คุยเหรอ ตอนนี้ลูกพี่เธอเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ”
“คืออะไร”
“ก็ตอนนี้หมวดชาติแกเอาคนไปจับลูกพี่เธอที่เซฟเฮาส์แล้วไง”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป ระหว่างนั้นตำรวจอีกคนเข้ามาถามคนที่ทำท่าว่าจะเป็นหัวหน้า
“พี่ ข่าวที่เราได้มามันมีหลายคนไม่ใช่เหรอ”
ตำรวจได้ยินอย่างนั้นก็เลยหันไปถามไผ่พญา
“คนอื่นอยู่ไหน”
“ไม่มี ฉันอยู่คนเดียว”
“โกหก บอกมาเร็วๆ”
“ฉันพูดจริงๆ” ระหว่างนั้นเหมือนไผ่พญานึกบางอย่างขึ้นมาได้ เลยทำท่าตะโกนเข้าไปในบ้าน “ไอ้ขิง...ไอ้งา...หนีไป”
“พวกมันยังอยู่ข้างใน...ไป”
ตำรวจนอกเครื่องแบบอีก 3 คนรีบวิ่งเข้าไปในบ้าน ไผ่พญายังตะโกนไม่หยุด
“หนีไปเร็วๆ พวกมันเข้าไปแล้ว”
“หุบปาก”

ไผ่พญารีบเงียบด้วยความกลัว แววตาของไผ่พญาทำหน้าเหมือนมีแผน

ด้านภูวนัยวิ่งหนีมาตามทางจนคิดว่าปลอดภัยแล้วจึงหยุดเพื่อพักเหนื่อย ก่อนที่ภูวนัยจะนึกขึ้นมาได้จึงรีบหยิบมือถือขึ้นมากดหาไผ่พญา

ตำรวจกำลังเอากุญแจมือออกมาจะใส่กุญแจมือให้กับไผ่พญา
“อะไรพี่ ถึงขนาดต้องใส่กุญแจมือเลยเหรอ ฉันยังไม่ได้มีความผิดนะ”
“หัวหมอหรือไง เอามือมา”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาดังขึ้น ไผ่พญาหยิบขึ้นมาดูเห็นว่าเป็นชื่อภูวนัยแล้วไผ่พญาก็นึกแผนบางอย่างขึ้นมาได้
“นี่ไงพี่ ท่านอภิวัฒน์โทรมาพอดี พี่คุยกับท่านเลย”
“เป็นไปได้ยังไง”
ไผ่พญาส่งมือถือให้กับตำรวจคนนั้น
“สวัสดีครับท่าน”
ภูวนัยได้ยินเสียงของผู้ชายรับสายก็ทำให้ชะงักไป ภูวนัยไม่ยอมตอบ ตำรวจคนนั้นแปลกใจเมื่อไม่ได้ยินเสียงพูดอะไร ไผ่พญาแอบชำเลืองมองไปที่ปืนที่ตำรวจคนนั้นเหน็บเอาไว้ที่เอว ไผ่พญาอาศัยจังหวะที่ตำรวจคนนั้นให้ความสนใจกับโทรศัพท์พุ่งเข้าไปแย่งปืนจากเอวของตำรวจคนนั้นทันที
“เฮ้ย! จะทำอะไร”
ภูวนัยได้ยินเสียงของไผ่พญากับตำรวจที่ดังออกมาจากโทรศัพท์ก็ทำให้รู้ว่าไผ่พญากำลังมีอันตรายเหมือนกัน
ตำรวจคนนั้นทิ้งโทรศัพท์มือถือของไผ่พญาลงกับพื้นทำให้สายจากภูวนัยตัดไป ภูวนัยสีหน้าเครียดด้วยความเป็นห่วงไผ่พญา
ไผ่พญาถือปืนออกคำสั่งกับตำรวจ
“เข้าไปในรถ”
“ใจเย็นน้อง ใช้ปืนเป็นเหรอไง”
“ถ้าใช้ไม่เป็นแล้วคิดว่าฉันจะกล้าแย่งหรือไง เร็วๆ เข้าไปในรถ” ตำรวจคนนั้นเข้าไปในรถ “ใส่กุญแจมือกับเบลล์...เร็วซิ”
ตำรวจคนนั้นล็อคกุญแจมือเข้ามากับสายคาดเบลล์ ระหว่างนั้นกลุ่มตำรวจที่เข้าไปค้นด้านในเดินออกมา
“ไม่เห็นมีเลยพี่” ตำรวจที่เพิ่งออกมามองไป เห็นว่าไผ่พญากำลังจับลูกพี่ตัวเองอยู่ “เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ”
ไผ่พญาหันขวับมาเห็น ไวเท่าความคิดไผ่พญารีบวิ่งหนีไปทันที
“ตามไป จับมันมาให้ได้”
ตำรวจสองนายรีบวิ่งตามไผ่พญาออกไปทันที ส่วนอีกนายเข้าไปมาช่วยตำรวจคนที่โดนใส่กุญแจมือ

ไผ่พญาวิ่งหนีการไล่ล่ามาตามทาง ตำรวจทั้งสองวิ่งตามมาติดๆ ระหว่างนั้นไผ่พญาสะดุดขาตัวเองล้มเพราะมัวแต่พะวงหลัง ไผ่พญาลุกขึ้นแล้วรู้สึกเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้า ไผ่พญารู้ว่าสภาพนี่เธอวิ่งต่อไปไม่ไหวแน่ ไผ่พญามองไปก็เห็นตึกร้าง เห็นมีการเผาขยะอยู่ข้างๆ ตึกร้าง ขณะที่อีกด้านเป็นซอยแยกไปอีกทาง ไผ่พญาตัดสินใจวิ่งกะเผลกหลบเข้าไปที่มุมตึก ไผ่พญาหายใจหอบก่อนจะค่อยๆ แอบชะโงกหน้ามาดูตำรวจนอกเครื่องแบบพวกนั้นที่วิ่งมาถึงทางแยกพอดี
ตำรวจนอกเครื่องแบบมองไปที่ซอยแล้วไม่เห็นเงาของไผ่พญา จึงหันกลับมาที่ตึกร้าง ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็รีบหลบไปอีกมุมก่อนที่ตำรวจพวกนั้นจะตามมา
ไผ่พญาวิ่งเข้ามาที่ตึกร้างก่อนจะแอบอยู่หลังกำแพง ตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองคนเดินตามเข้ามาในตึกร้าง
ไผ่พญามองปืนในมือ
“เอา...ยิงก็ยิง”
ระหว่างที่ไผ่พญากำลังจะคิดสู้ อยู่ๆ ก็มีมือนึงเข้ามาปิดปากไผ่พญาแล้วดึงออกไป ไผ่พญาตกใจแต่พอหันไปแล้วก็ต้องตกใจอีกเมื่อเห็นว่าเป็นภูวนัย
“คุณภู”
ภูวนัยทำสัญญาณให้ไผ่พญาเงียบเอาไว้
“คุณเอาปืนมาจากไหนเนี่ย”
“จากตำรวจพวกนั้นแหละ นี่...เราจะหนีพวกนั้นได้ยังไง”
ภูวนัยแอบมองไปที่ตำรวจสองคนนั้น แล้วก็หันไปมองควันไฟที่มีการเผาขยะข้างๆ ตึกร้าง ก่อนจะคิดแผนขึ้นมาได้
“เอาปืนมาให้ผม”
“หือ” ภูวนัยไม่ตอบคำถามไผ่พญาก่อนจะคว้าปืนจากมือไปเลย “ทำอะไรน่ะ ให้ฉันไว้ป้องกันตัวมั้งซิ”
“อยู่เฉยเถอะน่า” ภูวนัยกดเอากระสุนปืนออก “คุณรออยู่นี่นะ”
ภูวนัยพูดเสร็จก็รีบวิ่งออกไป
“เฮ้ย! ปืนไม่มีลูกแล้วจะให้ฉันทำไม”

ภูวนัยวิ่งเข้ามาที่กองเผาขยะก่อนจะเอาลูกปืนที่ปลดมาจากปืนของไผ่พญาโยนลงไปในกองขยะ ตำรวจนอกเครื่องแบบสองนายเดินมาใกล้จะถึงกำแพงที่ไผ่พญาหลบอยู่ ไผ่พญาเห็นว่าปืนไม่มีลูกเลยหันมาจับกระบอกปืนทำท่าจะใช้ด้ามปืนแทน ระหว่างที่ตำรวจนอกเครื่องแบบทั้งสองกำลังจะเดินพ้นมุมกำแพงมา ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงปืนดังขึ้น ปังๆๆ
“ทางนั้น”
ตำรวจทั้งสองรีบวิ่งไปทางเสียงปืนทันที ไผ่พญาโล่งอกที่รอดได้แบบเฉียดฉิว ระหว่างนั้นภูวนัยวิ่งเข้ามา
“ไปเร็ว”
“เฮ้ย! นายนี่ชอบทำให้ฉันตกใจอยู่เรื่อย พวกนั้นบอกว่าท่านอภิวัฒน์โดนจับเหรอ”
“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง รีบไปจากที่นี่ก่อนดีกว่า”
ไผ่พญาลุกขึ้นแล้วเจ็บแปล๊บที่ข้อเท้า
“โอ๊ย” ภูวนัยหันมาเห็น
“มาผมช่วย”
แล้วภูวนัยก็รีบพยุงไผ่พญาออกไปอีกทางทันที

ที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด ขณะนั้นอภิวัฒน์นั่งอยู่ภายในห้องกำลังนั่งอ่านเอกสาร วศินเดินมานั่งฝั่งตรงข้าม
“ตอนนี้พี่สุทินให้อำนาจผมเต็มที่ ในการจัดการกับตำรวจบางคนที่แอบตั้งองค์กรผิดกฎหมายขึ้นมา”
“ผมว่าเราอย่าพูดเรื่องนี้เลย เพราะเราต่างก็รู้กันดีว่า ใคร...ที่ทำผิดกฎหมาย” วศินขำ
“อ้าวเหรอ ผมรู้อย่างเดียวว่า...คนมีอำนาจ...ไม่ผิด”
วศินจ้องหน้าอภิวัฒน์อย่างเอาเรื่อง ระหว่างนั้นชาติกล้าเปิดประตูเข้ามา
“ขออนุญาตครับ”
“ว่าไง ได้หลักฐานอะไรบ้าง”
“ไม่มีเลยครับท่าน”
“อะไรนะ” วศินตกใจ อภิวัฒน์ยิ้ม
“แล้วเอาไงดี จะปล่อยให้ผมไปทำงานต่อ หรือว่า...ท่านวศินจะใช้อำนาจที่ท่านชอบใช้ดี”
“ทำไม อยากให้ผมใช้มากหรือไง”
“ผมเองก็ทำงานหนักมานานแล้ว ถ้าได้พักซักหน่อยก็น่าจะดี”
“หึ...ผมรู้นะ ท่านอยากให้ผมพักราชการ จะได้เอาเวลาไปทำงานลับๆ อีกใช่มั้ย” อภิวัฒน์พยายามทำหน้านิ่ง “ไม่ละ...ผมว่าให้ท่านมานั่งทำงานอยู่ใกล้ๆ น่าจะดีกว่า เคยได้ยินมั้ย เก็บเพื่อนไว้ใกล้ตัว แต่ให้เก็บศัตรูให้ใกล้ยิ่งกว่า...ไม่ต้องห่วง ยังไงผมก็ต้องหาทางเล่นงานท่านให้ได้อยู่แล้ว”
แล้ววศินก็เดินออกไป ชาติกล้ามองอภิวัฒน์ด้วยความแค้นก่อนจะเดินตามวศินออกไปอีกคน

อภิวัฒน์นั่งอยู่ภายในห้องสีหน้าเครียดเคร่ง

อ่านต่อหน้า 4

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 17 (ต่อ)

ไผ่พญากับภูวนัยอยู่ในห้องพักของโรงแรมสามดาวแห่งหนึ่ง ภูวนัยเดินไปที่หน้าต่างก่อนจะปิดผ้าม่านให้มิดชิด

“คืนนี้เราพักที่นี่ก่อนแล้วกัน”
“แล้วพรุ่งนี้ละ”
ภูวนัยนิ่งไป เพราะยังไม่รู้อนาคตเหมือนกัน ไผ่พญาเข้าใจและโกรธ
“ไอ้พวกนั้นมันจะไล่ล่าเราไปถึงไหน ป่านนี้ท่านอภิวัฒน์จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
ภูวนัยนิ่งไป ตอนนี้เขากำลังใช้ความคิดอย่างหนัก ระหว่างนั้นไผ่พญาลุกขึ้นแต่แล้วไผ่พญาก็ต้องร้องโอยออกมาเพราะเจ็บข้อเท้า ภูวนัยหลุดจากความคิดรีบหันมาดูแลไผ่พญา
“ขอผมดูหน่อย”
ภูวนัยจับขาของไผ่พญาขึ้นมา
“โอ๊ย! เอ่อ ฉันไม่เป็นไรหรอก” ภูวนัยวางเท้าไผ่พญาอย่างแผ่วเบาก่อนจะลุกเดินไปเข้าห้องน้ำ ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดน้ำลงในอ่าง ไผ่พญาถึงกับเหวอที่ภูวนัยไม่สนใจ “คนบ้า...เวลาที่ผู้หญิงพูดว่าไม่เป็นไร แสดงว่าเธออยากให้สนใจเธอมากกว่านี้ ชิ...เคยเข้าใจผู้หญิงบ้างมั้ยเนี่ย” ภูวนัยเดินออกมาจากห้องน้ำ ไผ่พญาทำหน้างอนๆ แต่แล้วจู่ๆ ภูวนัย ก็เดินเข้ามาช้อนร่างของไผ่พญาขึ้น “เฮ้ย! นายจะทำอะไรน่ะ” ไผ่พญาถามอย่างตกใจ
“อยู่เฉยๆ เถอะน่า”
ภูวนัยอุ้มไผ่พญาเดินเข้าไปในห้องน้ำ

ภูวนัยอุ้มไผ่พญาเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะวางไผ่พญาลงที่ขอบอ่าง
“เอ้า...แช่เท้าซะ น้ำอุ่นจะได้ช่วยให้หายเร็วขึ้น”
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวก็หายแล้ว”
“ยังจะเถียงอีก เอาเท้ามานี่” ไผ่พญาไม่ยอมยก ภูวนัยเลยก้มลงไปจับเท้าของไผ่พญาขึ้นมาเลยไผ่พญาร้องโอดโอย “เอ้า...แช่ซะ” ภูวนัยค่อยๆ หย่อนเท้าไผ่พญาลงในอ่างน้ำอุ่น “เป็นไงดีขึ้นมั้ย”
“ก็...ก็ดี”
“อยู่นิ่งๆ นะ”
ว่าแล้วภูวนัยก็เอามือลงไปในอ่างน้ำก่อนจะนวดที่ข้อเท้าของไผ่พญา
“ทำอะไรน่ะ”
“ผมนวดให้ จะได้หายเร็วขึ้น”
ไผ่พญาอึ้งไปมองภูวนัยที่กำลังนวดเท้าให้เธออย่างนุ่มนวล ไผ่พญาอมยิ้มมีความสุข แม้ว่าตอนนี้กำลังจะมีอันตรายแต่เธอกลับรู้สึกมีความสุขที่ได้อยู่กับภูวนัย

ภูวนัยกำลังเอาผ้าขนหนูหุ้มเท้าของไผ่พญาเอาไว้ ไผ่พญาพยายามซ่อนความเขินเอาไว้
“เอาผ้าอุ่นประคบไว้อย่างนี้แหละ พรุ่งนี้น่าจะดีขึ้น” ภูวนัยทำเสร็จก็ลุกขึ้น แล้วก็เห็นไผ่พญาหน้าแดง “หน้าคุณแดงๆ นะ มีไข้หรือเปล่า”
“ปะเปล่า...ไม่”
ไผ่พญาพูดยังไม่ทันจบ ภูวนัยก็เอามือมาอังที่หน้าผาก ไผ่พญายิ่งเขินเข้าไปใหญ่
“ก็ไม่ร้อนนี่”
“ก็บอกแล้วไงว่าฉันไม่ได้เป็นอะไร เดี๋ยว...เมื่อกี้นายเอามือข้างไหนมาจับหน้าฉัน”
“ก็ข้างที่นวดเท้าให้คุณไง”
“อ๊าย! ตาบ้า”
ไผ่พญาตีภูวนัยเป็นระวิง ภูวนัยหัวเราะชอบใจก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงเพราะภูวนัยกับไผ่พญาเผลอสบตากัน แต่แล้วก็มีเสียงตึ่งๆๆ ทำลายความเงียบ ภูวนัยกับไผ่พญาแปลกใจว่าเสียงอะไรที่ดังมาจากข้างห้อง ก่อนที่จะมีเสียง อู้ว...อ้า ดังขึ้น แล้วภูวนัยกับไผ่พญาก็รู้ทันทีว่าเป็นเสียงอะไร ไผ่พญาทำหน้าเขินๆ
“เอ่อ...สงสัยผู้หญิงข้างห้องคงจะเจ็บขาเหมือนกัน”
ภูวนัยเขินเหมือนกัน
“เอ่อ...นั่นซิ”
แล้วไผ่พญากับภูวนัยก็ต้องอยู่ในช่วงความเงียบ ไผ่พญาเลยแก้เขินหันไปหยิบรีโมททีวี
“ดูโทรทัศน์ดีกว่า” ทันทีที่ไผ่พญาเปิดทีวีก็เห็นหนังโป๊ปรากฏขึ้น “ว้าย” ไผ่พญาตกใจรีบปิดแทบไม่ทัน
“เอ่อ...เดี๋ยวผมขอไปเดินเล่นหน่อย”
ภูวนัยทำท่าจะเดินออกไปเพราะรู้ว่าบรรยากาศกำลังเป็นใจ แต่ไผ่พญากลับเรียกเอาไว้
“อย่าไปนะ” ภูวนัยหันมา อึ้งไป ไผ่พญาเห็นสายของภูวนัยก็เข้าใจว่าภูวนัยคิดอะไร “เอ่อ...ไม่ใช่อย่างนั้น คือตอนนี้พวกนั้นกำลังไล่ล่าเราอยู่ แล้วถ้าเกิดนายออกไปเจอพวกมันจะทำยังไง”
“อ๋อ จริงด้วย”
“เอ่อ...ห้องน้ำยังว่าง นายเดินเล่นในห้องน้ำก็ได้นะ”
“ได้”
ภูวนัยเดินเข้าห้องน้ำตามคำแนะนำของไผ่พญาเฉยเลย ภูวนัยยืนพิงประตูห้องน้ำพยายามตั้งสติ ไผ่พญาเองก็เขินสุดแสนจะเขิน

เวลาต่อมา ไผ่พญานอนไม่หลับอยู่บนเตียงขณะที่ภูวนัยก็นอนอยู่ที่โซฟา
“นายเคยคิดที่จะหนีมั้ย” จู่ๆ ไผ่พญาก็ถามขึ้นมา ภูวนัยเงยหน้าขึ้นมองด้วยสายตาไม่เข้าใจในความหมาย
“คือฉันรู้สึกว่าพวกเราเหมือนแมลงตัวเล็กๆ ที่กำลังสู้กับยักษ์ ฉันไม่รู้ว่าวันไหนที่พวกมันจะจับเราได้”
“ผมมาไกลเกินกว่าที่จะถอยหลังกลับแล้ว”
“ฉันไม่ได้ให้นายยอมแพ้นะ แต่...”
ภูวนัยหน้าเครียดขึ้นมาอีก
“พอได้แล้ว รีบนอนเถอะ ยังมีเรื่องต้องทำอีกมาก”
ภูวนัยพลิกตัวนอนตัดบท ไผ่พญามองภูวนัยสีหน้าเศร้า
“ฉันแค่ไม่อยากเสียนายไป”

สีหน้าไผ่พญาเศร้าลงด้วยความเป็นห่วงภูวนัย

กลางดึกคืนนั้น ภายในห้องพัก แลเห็นภูวนัยนอนอยู่ที่โซฟา ส่วนไผ่พญานอนอยู่ที่เตียง ด้านนอกขณะนั้นหน่วยรบพิเศษเดินเข้ามาตามทางเดิน โดยมีชาติกล้าเดินตามมาพร้อมกับนำตัวผู้จัดการโรงแรมมาด้วย

“พวกมันอยู่ห้องไหน”
“ห้องนั่นครับ”
ผู้จัดการชี้นิ้วไปที่ห้องพักของภูวนัย ชาติกล้าปล่อยตัวผู้จัดการไปก่อนจะให้สัญญาณหน่วยรบพิเศษเดินไปที่หน้าห้อง
หน่วยรบพิเศษมีอาวุธครบมือเตรียมพร้อมอยู่หน้าห้อง ชาติกล้าเดินเข้ามาก่อนจะให้สัญญาณพังประตู ปัง!
หน่วยรบพิเศษพังประตูเข้ามาในห้อง ภูวนัยกับไผ่พญาที่นอนหลับสนิทสะดุ้งตื่น ภูวนัยรีบกระโดดเข้ามาหยิบปืนที่วางอยู่ แต่ไม่ทันเมื่อหน่วยรบพิเศษต่างเล็งอาวุธมาพร้อมยิง
“อย่าขยับ”
ไผ่พญารีบกระโดดเข้ามาหาภูวนัย แล้วภูวนัยกับไผ่พญาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นชาติกล้าเดินเข้ามา
“ไอ้ชาติ”
“คิดว่าจะหนีฉันพ้นหรือไง”
ภูวนัยยังไม่ทันพูดอะไร ชาติกล้าก็ยิงใส่ภูวนัยทันที ปัง! ภูวนัยถูกยิงเข้าที่หน้าอก เลือดไหลทะลัก ไผ่พญาร้องด้วยความตกใจ
“ไม่...อย่ายิง”
ไผ่พญาพลิกตัวเองออกมากันภูวนัย ชาติกล้าไม่สน ยิงใส่ไผ่พญาอีกคน ปัง! ไผ่พญาถึงกับช็อคเมื่อเห็นตัวเองถูกยิง ไผ่พญาล้มลงไปนอน
ไผ่พญากับภูวนัยต่างนอนตะเกียกตะกายอยู่ที่พื้น ทั้งสองพยายามจะจับมือกัน น้ำตาไผ่พญาไหลพราก แต่แล้วชาติกล้าก็เดินเข้ามาที่ภูวนัยก่อนจะกระหน่ำยิงไม่ยั้ง ปังๆๆๆ
“ไม่”

ไผ่พญาสะดุ้งตื่น
“ไม่”
ไผ่พญาสะดุ้งลุกขึ้นเหงื่อแตกเต็มใบหน้า ภูวนัยที่กำลังจะเดินออกจากห้องรีบโผเข้ามาดูไผ่พญา
“เป็นไรคุณ”
ไผ่พญาเห็นภูวนัยยังมีชีวิตอยู่เท่านั้นก็โผกอดร้องไห้สะอื้น
“ฉันฝันร้าย ฝันว่าหมวดชาติบุกเข้ามายิงพวกเรา”
ภูวนัยกับไผ่พญากอดกันอย่างเนิ่นนาน ภูวนัยซึมซับความเป็นห่วงของไผ่พญา ภูวนัยปาดน้ำตาให้กับไผ่พญา
“ตราบใดที่ผมยังอยู่ ผมจะไม่ยอมให้พวกมันทำอะไรคุณเด็ดขาด”
ไผ่พญาพยายามกลั้นน้ำตาเรียกขวัญกลับมาก่อนจะเห็นว่าภูวนัยแต่งตัวแล้ว
“นายจะไปไหน” ภูวนัยไม่อยากบอก “จะไปหาพวกมันใช่มั้ย”
“ไผ่ คุณฟังนะ ตอนนี้ถ้าเราจะชนะพวกมันได้เราต้องมีคลิปของแม่เลี้ยง”
“แล้วนายรู้เหรอว่ามันอยู่ไหน”
“ผมเชื่อว่าอยู่กับสมสุข”
“แล้วสมสุขละ นายก็ไม่รู้อีกว่าสมสุขอยู่ที่ไหน”
“ผมถึงต้องทำอย่างนี้ไง พวกมันต้องซ่อนตัวสมสุขไว้ที่ไหนซักที”
“นายอย่าไปเลยนะ ถ้าเกิดพวกมันจับนายได้”
“ผมไม่มีทางเลือก”
ภูวนัยพูดจบก็ลุกขึ้นกำลังจะเดินไป ไผ่พญานิ่งไปก่อนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ใครว่านายไม่มี”
ภูวนัยหันมองไผ่พญาด้วยความสงสัยในคำพูดของไผ่พญา
“ไม่มีทาง ผมไม่ยอมให้คุณทำแน่ๆ”
“ฉันรู้ว่ามันเสี่ยง แต่ก็น่าจะดีกว่านาย ตอนนี้นายโดนกี่คดีเข้าไปแล้ว”
“ไม่...มันอันตรายเกินไป”
“ฉันเอาตัวรอดได้น่า เชื่อใจเด็กเลี้ยงแกะอย่างฉันซิ”
แม้ว่าไผ่พญาจะให้ความมั่นใจอย่างนั้น แต่ภูวนัยกลับมีสีหน้าเครียดยิ่งกว่าเดิม

หน้าหน่วยปราบปรามยาเสพติด ภูวนัยเดินเข้ามาหยุดอยู่ที่ถนนฝั่งตรงข้าม สีหน้าภูวนัยเต็มไปด้วยความหนักใจ
“คุณพร้อมมั้ย”
ภูวนัยหันไปถามไผ่พญาซึ่งอยู่ในชุดพนักงานทำความสะอาด กำลังจัดเครื่องแต่งกาย ภูวนัยเดินเข้ามาก่อนจะจับผ้าโพกศรีษะของไผ่พญาที่กำลังจะหลุด ภูวนัยเอื้อมมือไปมัดปมที่ด้านหลังให้ไผ่พญา ไผ่พญามองภูวนัยด้วยแววตาของคนที่แอบรัก ภูวนัยผูกเสร็จก็หันมาสบตากับไผ่พญา
“ผมไม่อยากให้คุณเข้าไปเลย”
“ไม่ต้องห่วงน่า เดี๋ยวฉันรีบเข้าไป แล้วรีบออกมานะ”
ไผ่พญาพยายามยิ้มให้ภูวนัยเพื่อไม่ให้เขาเป็นกังวล ไผ่พญาหยิบอุปกรณ์กำลังจะเดินเข้าไป ระหว่างนั้นภูวนัยเรียกเอาไว้
“เดี๋ยว” ไผ่พญาหันมา “เอ่อ...ระวังตัวด้วย”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็พยักหน้าแทนคำตอบ แต่พอหันหลังกลับมาก็แอบยิ้มดีใจที่ภูวนัยเป็นห่วง ไผ่พญาใส่หน้ากากอนามัยก่อนจะเดินเข้าไปในหน่วยปราบปรามยาเสพติด

ภูวนัยมองตามอย่างเป็นห่วง

ไผ่พญาเดินเข้ามาในหน่วยปราบปรามยาเสพติดแล้ว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเห็นชาติกล้า วีระและราชัยเดินมา

“เฮ้ย”
ภูวนัยที่กำลังฟังสถานการณ์ผ่านทางสมอลล์ทอล์ก พอได้ยินเสียงไผ่พญาตกใจ ก็ตกใจด้วย
“มีอะไร”
“หมวดชาติ”
“นิ่งๆ เอาไว้ ทำอย่างที่คุณบอกผม ตอนนี้คุณเป็นพนักงานทำความสะอาด ไม่ใช่ไผ่พญา”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ทำให้เธอมั่นใจขึ้น ไผ่พญาทำเป็นกวาดขยะที่อยู่แถวนั้น ชาติกล้าเดินมากับวีระและราชัย
“ไม่น่าเชื่อนะครับว่ามือปราบในตำนานอย่างท่านอภิวัฒน์ จะเป็นสายให้ไอ้พวกห้าเสือ”
“พวกนายก็ดูตัวอย่างเอาไว้แล้วกัน คนทำเลวสักวันความเลวนั่นก็ต้องปรากฏ”
ไผ่พญาทำหน้าหมั่นไส้ที่ชาติกล้าพูดซะตัวเองเป็นคนดี
“แล้วหมวดภูทำงานให้กับท่านอภิวัฒน์จริงเหรอครับหัวหน้า”
“เลิกถามได้แล้ว เดี๋ยวผมจะออกไปธุระ กลับมาแล้วผมต้องการคำให้การของลูกน้องท่านอภิวัฒน์ทุกคน”
ไผ่พญาแกล้งเดินกวาดพื้นไปตามทาง ภูวนัยกำลังบอกทางทางสมอลล์ทอล์ก
“เดินไปสุดทาง ห้องไอ้ชาติอยู่ห้องสุดท้ายทางขวามือ”
ไผ่พญากำลังกวาดพื้นผ่านหน้าชาติกล้า วีระ ราชัย แต่แล้วเสียงของราชัยก็เรียกเอาไว้
“เดี๋ยว”
ไผ่พญาสะดุ้งเฮือก ราชัยเดินเข้ามาไผ่พญาใจเต้นระทึก ภูวนัยก็ได้ยินลุ้นระทึกเช่นเดียวกับไผ่พญา
แต่แล้วไผ่พญาก็โล่งอกเมื่อราชัยเดินเข้ามาแล้วบอก
“ขอคายหมากฝรั่งหน่อย”
“ค่ะ”
ไผ่พญายกที่โกยผงให้กับราชัยบ้วนหมากฝรั่งลงไป ไผ่พญารีบหันหลังจะเดินไปอีก ชาติกล้ามองตามด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวก่อน”
ไผ่พญาชะงักอีก ชาติกล้าเดินเข้ามา ไผ่พญาใจระทึก ชาติกล้าเอื้อมมือขึ้นไปเหมือนจะดึงหน้ากากอนามัยของไผ่พญาออก ไผ่พญาใจเต้นตูมตาม แต่แล้วที่ชาติกล้าดึงออกมาก็คือสมอลล์ทอล์กของไผ่พญานั่นเอง
“ที่นี่ห้ามใช้เครื่องมือสื่อสารทุกชนิด ไม่รู้ระเบียบของที่นี่หรือไง”
“ค่ะ ฉันเพิ่งมาทำงานวันแรกคะ”
ชาติกล้าแบมือเหมือนขอมือถือไผ่พญา ไผ่พญาแอบกดตัดสาย ภูวนัยอยู่ด้านนอกก็แปลกใจเมื่อสายตัดไป
“ฮัลโหล...ไผ่...ไผ่...ได้ยินผมมั้ย”
ไผ่พญาจำต้องยื่นมือถือให้กับชาติกล้า
“เดี๋ยวเลิกงานแล้วไปเอาที่เคาน์เตอร์ข้างล่างแล้วกัน”
“ค่ะ”
ชาติกล้า วีระและราชัยเดินจากไป ไผ่พญาแอบเป่าปากโล่งอกก่อนจะหันมองไปตามทางที่ห้องเป้าหมาย ไผ่พญาเดินกวาดพื้นมาตามทางสายตาก็สอดส่องไปอย่างระวังตัว พอมีตำรวจเดินมาทีก็แกล้งทำเป็นกวาดพื้นต่อ ไผ่พญาเดินมาจนถึงหน้าห้องของชาติกล้า

ไผ่พญามองป้ายชื่อด้านหน้าแล้วก็เห็นว่ามาถูกห้องแล้ว

ภูวนัยนึกเป็นห่วงไผ่พญาเขามองไปที่หน้าหน่วยปราบปรามยาเสพติด แต่แล้วก็ต้องรีบยกหนังสือพิมพ์ขึ้นบังหน้า เมื่อเห็นชาติกล้าเดินออกมา ภูวนัยเห็นชาติกล้าเดินไปที่รถกำลังจะไปข้างนอก ก็โล่งอก

ชาติกล้าเดินมาถึงรถแต่แล้วเพิ่งนึกได้ว่าลืมกุญแจรถ จึงเดินกลับไป ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็รีบโทร.หาไผ่พญา โทรศัพท์ของไผ่พญาที่อยู่ในตะกร้าดังเจ้าหน้าที่หันมามองแต่ไม่สนใจ ภูวนัยมองไปที่หน่วยปราบปรามยาเสพติดด้วยความเป็นห่วงไผ่พญา

ส่วนไผ่พญากำลังค้นหาข้อมูลในห้องทำงานของชาติกล้า ค้นแฟ้มไปทั่ว ระหว่างนั้นชาติกล้าเดินมาตามทางเดิน ขณะที่ไผ่พญาเปิดลิ้นชักออกจึงเห็นออร์แกนไนเซอร์ของชาติกล้าวางอยู่ ไผ่พญารีบหยิบขึ้นมาเปิดดู ชาติกล้าเดินมาถึงห้องกำลังจะเปิดประตูเข้าไป แต่แล้วเสียงของราชัยก็ดังขึ้น
“อ้าว...หัวหน้าลืมอะไรเหรอครับ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
“เฮ้ย กลับมาทำไมเนี่ย”
“ลืมกุญแจรถน่ะ ผมฝากงานที่สั่งไว้ด้วยละ” ชาติกล้าตอบราชัย
“ไม่ต้องห่วงครับ”
ชาติกล้าพยักหน้า แล้วเปิดประตูเข้ามาในห้อง มองไปรอบๆ ด้วยความรู้สึกแปลกๆ ไผ่พญาแอบอยู่ใต้โต๊ะทำงาน ชาติกล้าเดินเข้ามาไผ่พญาลุ้นตัวโก่งระหว่างนั้นเสียงมือถือของชาติกล้าก็ดังขึ้น
“ครับท่าน ผมกำลังรีบไปอยู่ครับ”
ชาติกล้าวางสายก่อนจะเอื้อมมือไปหยิบกุญแจรถที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะเดินไป ไผ่พญาโล่งอกเมื่อได้ยินเสียงปิดประตู
“คนเป็นโรคหัวใจทำงานแบบนี้ไม่ได้นะเนี่ย...ฟู่”

ไผ่พญาเป่าปากโล่งอก แล้วมุดออกมาจากใต้โต๊ะ แต่ทันทีที่หันหน้ามาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชาติกล้ายืนจังก้าอยู่ที่หน้าประตู

อ่านต่อตอนที่ 18
กำลังโหลดความคิดเห็น