คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 12
ภายในห้องประชุมของกรมป่าไม้จังหวัดสงขลา เจ้าหน้าที่ป่าไม้นั่งประชุมกันอยู่ภายในห้องประชุม
“เราได้รับรายงานว่ามีจะมีการลักลอบค้าซากสัตว์ เข้ามาในพื้นที่จังหวัดของเรา”
“ใครรายงานมาครับหัวหน้า”
“ข้างบน ซึ่งผมตรวจสอบแล้วเป็นรายงานที่เชื่อถือได้”
“แล้วเป้าหมายที่เราจะไปตรวจค้นอยู่ที่ไหนครับ”
ขณะเดียวกันรถของภูวนัยจอดซุ่มอยู่ในพุ่มไม้ลับตาคนห่างจากเชอรี่คาราโอเกะ โดยที่ภูวนัยกำลังใช้กล้องส่องทางไกลสอดส่องการเคลื่อนไหวที่เชอรี่คาราโอเกะ
“ผมไม่เห็นการเคลื่อนไหวอะไรเลยครับท่าน”
อภิวัฒน์กับสมสุขอยู่ในเซฟเฮ้าส์ฟังการรายงานจากภูวนัย
“ใจเย็นหมวด รอดูต่อไป”
ภูวนัยยกกล้องส่องทางไกลดูทุกฝีก้าว
อีกด้านหนึ่งที่บ้านเช่าไผ่พญา ไผ่พญากำลังนั่งปิ้งหมูกระทะอยู่ที่หน้าบ้านสายตาก็ชำเลืองมองโทรศัพท์
“เบอร์ก็ให้ไปแล้ว ทำไมไม่โทรมาเนี่ย”
ไผ่พญาย่างหมูกระทะไปก็บ่นไป ระหว่างนั้นขิงกับกระดังงาเดินเข้ามาท่าทางหมดแรง
“เฮ้อ...ถึงซะที”
แล้วขิงกับกระดังงาก็ตาโตเมื่อเห็นไผ่พญากำลังย่างหมูกระทะอยู่
“หมูกระทะ”
ทั้งสองรีบปรี่เข้ามาหาไผ่พญาทันที
“โห...ไอ้ไผ่ แกช่างเป็นเพื่อนที่ดีจริงๆ”
ขิงกับกระดังงารีบจัดแจงหยิบจานชามช้อนส้อม
“สบายเนอะ ให้ฉันย่างให้แล้วแกก็แค่กลับมากิน แต่ก็โอเคแกออกเงินฉันออกแรง”
ขิงกับกระดังงามองหน้ากันแล้วงงว่าไผ่พญาพูดเรื่องอะไร
“แล้วแกเลี้ยงหมูกระทะพวกเราทำไม”
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าแกซื้อหมูกระทะมาทำไม”
“เปล่า พวกเราไม่ได้ซื้อ”
ไผ่พญาชักทะแม่งๆ
“ไม่ต้องมาอำ พวกแกซื้อมาไว้เมื่อตอนกลางวันไม่ใช่เหรอ”
“อะไรเล่า พวกเราไปหางานทำทั้งวันเพิ่งจะกลับมาเนี่ย”
“อ้าว พวกแกไม่ได้ซื้อแล้วใครซื้อ” ไผ่พญางง แต่แล้วไผ่พญาก็นึกได้ “เฮ้ย”
ขิงกับกระดังงางงว่าไผ่พญาตกใจเรื่องอะไร
ภูวนัยยังนั่งรอในรถดูการเคลื่อนไหวที่หน้าร้านเหมือนเดิมระหว่างนั้นเสียงมือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยชะงักไปเมื่อเห็นว่าไผ่พญาโทรมา ภูวนัยมองเบอร์แล้วตัดสินใจไม่รับ
ไผ่พญาแอบมาโทรหาภูวนัยที่มุมหนึ่งพอเห็นภูวนัยไม่รับก็เริ่มกังวล
“ทำไมไม่รับสาย หรือว่าจะโกรธ”
ไผ่พญาครุ่นคิด
ภูวนัยมองโทรศัพท์ที่ไผ่พญาวางสายไปแล้ว ภูวนัยหันไปสนใจที่หน้าคาราโอเกะ ภูวนัยมองดูนาฬิกาแล้วก็ตัดสินใจลงจากรถไป
ภูวนัยเดินเข้ามาในร้านคาราโอเกะเห็นว่ามีลูกค้าเพียงโต๊ะเดียว พนักงานเข้ามาต้อนรับภูวนัย
“สวัสดีคะ มากี่ทีคะ”
“ผมอยากเปิดห้องวี”
พนักงานสาวคนนั้นชะงักไปเหมือนรู้เรื่องรหัสที่ภูวนัยบอกมา
“งั้นรอแป๊ปนึงนะคะ”
พนักงานสาวคนนั้นเดินเข้าไปหลังร้าน ไม่นานก็เห็นชายฉกรรจ์ท่าทางเป็นนักเลงเดินออกมา
“โทษทีพี่ชาย วันนี้ห้องวีปิด”
“เหรอ ทำไมเพื่อนผมบอกว่าที่นี่เปิดได้ตลอด”
“อ๋อ พอดีเราปิดปรับปรุง พรุ่งนี้ก็เปิดแล้วพี่ พรุ่งนี้พี่มาใหม่แล้วกันรับรองว่าสวยเช้งทุกห้อง”
“งั้นพรุ่งนี้ก็ได้”
ภูวนัยเดินออกไป คนคุมมองตามก่อนจะหันไปบอกกับพนักงานสาว
“ถ้ามีใครมาถามอีกก็บอกว่าวันนี้เปิดแต่บริการปกติ”
คมคุมพูดเสร็จก็เดินหายไปหลังร้าน
ด้านหลังเชอรี่คาราโอเกะจะเห็นคนคุมคาราโอเกะเมื่อครู่กำลังต้อนหญิงสาวออกมาจากคาราโอเกะ หญิงสาวทุกคนท่าทางเหม่อลอยที่แขนของหญิงเหล่านั้นมีรอยเข็มฉีดยานับไม่ถ้วน
“เดินไปซิวะ”
“ไม่...จะพาพวกเราไปไหน”
หญิงสาวบอกอย่างระโหยโรยแรง
“ไปต่างประเทศไง ไม่ชอบเหรอ”
“ไม่...ไม่...ปล่อยพวกเราไปเถอ”ะ
แล้วคนคุมก็ตบหญิงสาวคนนั้นจนหญิงสาวคนนั้นล้มคว่ำลง
“แก่ๆ อย่างพวกมึง กูไม่ฆ่าทิ้งก็ดีแค่ไหนแล้ว...ไป”
คมคุมสั่งลูกน้องก่อนจะเห็นพวกหญิงสาวถูกต้อนขึ้นรถไป ภูวนัยนั่งอยู่ในรถที่จอดอยู่ในพุ่มไม้ที่มืดสนิท กำลังคุยโทรศัพท์กับอภิวัฒน์
“พวกมันลงมือคืนนี้แน่ครับท่าน”
อภิวัฒน์กับสมสุขอยู่ในเซฟเฮ้าส์กำลังคุยกับภูวนัยที่เปิดเสียงออกลำโพงภายในห้องประชุม
“แล้วเจ้าหน้าที่ป่าไม้มาหรือยัง”
ภูวนัยยกกล้องส่องทางไกลดูไปตามพื้นที่ที่เป็นต้นไม้ แล้วเห็นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ดักซุ่มรออยู่รอบๆ บริเวณ
“วางกำลังทั่วพื้นที่แล้วครับ”
“ดี...หน้าที่ของหมวดหมดแล้วต่อไปแค่สังเกตการณ์แล้วรายงานผมเป็นระยะ”
“ครับ”
ภูวนัยวางสายอภิวัฒน์ไปแล้วยกกล้องส่องดูความเคลื่อนไหวต่อไป ระหว่างนั้นภูวนัยก็เห็นรถบรรทุกคันนึงแล่นออกจากหลังร้าน
หัวหน้าเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้กำลังดูรถบรรทุกคันเดียวกับที่ภูวนัยเห็นขับออกไป เจ้าหน้าที่อีกคนที่อยู่ข้างๆ ถามอย่างสงสัย
“จะสกัดไว้มั้ยครับ”
“ไม่ ปล่อยไป มันอาจจะเป็นแผนลวงให้เราแสดงตัว เพราะรายงานที่ได้มาบอกว่าจะมีรถมาส่ง ไม่ใช่ขนย้ายออกจากที่นี่ บอกทุกคนให้รอสัญญาณจากผม”
ภูวนัยลดกล้องส่องทางไกลลง
“ทำไมไม่สกัดคันนั้นไว้ก่อน”
ภูวนัยกำลังครุ่นคิดว่าจะเอายังไง ระหว่างนั้นเห็นรถบรรทุกอีกคันแล่นเข้ามาด้านหลังร้าน เจ้าหน้าที่ป่าไม้ให้สัญญาณ
“เป้าหมายมาแล้ว ทุกคนเตรียมพร้อม”
ด้านหลังร้านเห็นคนคุมเดินมาด้านหลังของรถบรรทุกที่จอดนิ่งสนิท ก่อนจะเปิดประตูออก เมื่อประตูเปิดออกก็เห็นเด็กสาวจำนวนมากแออัดกันอยู่ในรถบรรทุก
“เอ้า...ลงมาๆ”
เด็กสาวร้องวี้ดว้าย ต่างร้องไห้กันอย่างน่าสงสาร
คนคุมกำลังนำตัวเด็กสาวที่ร้องไห้กันระงมเข้ามาในห้องสี่เหลี่ยมเล็กๆ
“จะร้องหาอะไรวะ เงียบ”
คนคุมกับลูกน้องอีกสองคนผลักเด็กสาวทั้งหมดเข้าไปในห้อง คนคุมหันไปถามลูกน้องอีกคน
“ยาละเฮ้ย”
ลูกน้องอีกคนวิ่งถือถาดที่มีเข็มฉีดยา สายยางรัดและผงเฮโรอีนเข้ามา คนคุมพยักหน้าให้ลูกน้องอีกคน ลูกน้องอีกคนหันไปคว้าตัวเด็กสาวคนนึงที่อยู่ใกล้มือมาทันที
ด้านหน้าหน่วยกำลังป่าไม้กำลังรอดูท่าทีอยู่ ภูวนัยแอบดูอยู่ในรถ
“เข้าไปได้...ไปซิ”
ภูวนัยร้อนใจเพราะไม่เห็นกองกำลังป่าไม้บุก ภูวนัยตัดสินใจหยิบปืนออกมาก่อนจะยิงขึ้นฟ้า ปัง!
กองกำลังป่าไม้ตกใจ
“เสียงปืน”
“เอาไงครับหัวหน้า”
“บุก”
ภูวนัยเบาใจเมื่อเห็นกองกำลังป่าไม้บุกเข้าไปในเชอรี่คาราโอเกะ ภูวนัยตัดสินใจขับรถออกมาเพื่อติดตามรถบรรทุกคันแรกที่ออกไปก่อนทันที
ภายในด้านหลังเชอรี่คาราโอเกะ คนคุมที่กำลังจะฉีดผงเฮโรอีนให้กับเด็กสาวก็ชะงักมือเอาไว้เหมือนกัน
“ดูไว้”
คนคุมสั่งลูกน้องก่อนที่ตัวเองจะออกมา
ด้านหน้าส่วนที่เป็นคาราโอเกะ เจ้าหน้าที่ป่าไม้บุกเข้ามาทำให้ลูกค้าและพนักงานภายในร้านต่างตกใจ
“หยุด อย่าขยับ หมอบลงกับพื้น”
เจ้าหน้าที่ป่าไม้บางส่วนเข้าควบคุมลูกค้าและพนักงานให้หมอบลงกับพื้นแล้วตรวจค้น ระหว่างนั้นคมคุมออกมาด้านหน้าพอดี
“มีอะไร”
“พวกเราสงสัยว่ามีการลักลอบค้าซากสัตว์ป่าที่นี่” คนคุมงง
“ซากสัตว์... ซากสัตว์อะไรพี่ ไม่มี”
“ถ้าอย่างนั้นเราขอตรวจค้นแล้วกัน”
หัวหน้าเจ้าหน้าที่ป่าไม้ยื่นหมายค้นให้คนคุมดู คนคุมรับไปแล้วครุ่นคิดวินาทีนั่นคนคุมก็ชักปืนออกมาก่อนจะยิงเปิดทาง เจ้าหน้าที่ป่าไม้ต่างยิงใส่คนคุมจนไปไม่รอดล้มฟุบตายอยู่หน้าร้าน หัวหน้าเจ้าหน้าที่สั่งกองกำลังให้บุกเข้าไปด้านหลัง
ด้านหลังเห็นลูกน้องของนายหัวคึกต่างกระวนกระวายว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วทันใดนั้นเจ้าหน้าที่ป่าไม้ก็บุกเข้ามา
“ยกมือขึ้น...หมอบลง...หมอบลง”
พวกลูกน้องของนายหัวคึกเห็นจำนวนของเจ้าหน้าที่และอาวุธที่รุนแรงกว่า ต่างก็ยอมหมอบลงกับพื้นแต่โดยดี เจ้าหน้าที่เข้าไปเปิดห้องแล้วจึงตกใจ หัวหน้าป่าไม้เข้ามา เจ้าหน้าที่รีบรายงาน
“หัวหน้าครับ”
หัวหน้าป่าไม้เดินเข้าไปในห้องแล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อไม่มีซากสัตว์แต่มีเด็กสาวจำนวนมากที่กำลังร้องไห้กันระงม
รถบรรทุกคันแรกขับมาตามทางที่มืดและเปลี่ยว ภายในรถเห็นลูกน้องคนที่นั่งข้างๆ คนขับกำลังคุยมือถือ
“ครับพี่ ทันแน่นอนครับ...ครับ” ลูกน้องวางสายไปก่อนจะหันไปบอกกับลูกน้องอีกคนที่เป็นคนขับ “เหยียบหน่อยเว้ย เรือใกล้ถึงแล้ว”
ลูกน้องที่เป็นคนขับเริ่มเหยียบตามที่เพื่อนบอก แต่แล้วทันใดนั้นอยู่ๆ ก็มีรถคันนึงจอดอยู่ข้างหน้าแล้วเปิดไฟสูงสาดเข้ามา ลูกน้องทั้งสองร้องด้วยความตกใจ เฮ้ย
รถเบรกเอี๊ยดด! จนเกือบจะชนเข้ากับรถของภูวนัยที่จอดอยู่ ท้ายรถบรรทุกที่มีผู้หญิงอัดแน่นอยู่ภายในต่างร้องวี้ดว้ายเพราะการเบรกกะทันหัน หญิงสาวทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างตกอยู่ในความกลัว
คนขับมองรถของภูวนัยอย่างโมโหสุดๆ
“ไอ้บ้าที่ไหนมาจอดรถอย่างนี้วะ ลงไปดูดิ”
ลูกน้องอีกคนลงจากรถไปแล้วเดินไปดูที่รถภูวนัย ลูกน้องที่อยู่บนรถมองตามอย่างระวังตัว ลูกน้องที่อยู่บนรถมองแล้วสงสัยว่าเพื่อนหายไปนาน เลยเปิดประตูถาม
“เฮ้ย! เป็นไง”
เงียบ...ไม่มีเสียงใดๆ ตอบกลับมา ลูกน้องเห็นท่าไม่ดีเลยชักปืนออกมาแล้วลงจากรถไป
ลูกน้องเดินมาที่รถของภูวนัยที่ประตูข้างคนขับเปิดเอาไว้อยู่ ก่อนที่จะสงสัยว่าเพื่อนหายไปไหน แล้วลูกน้องก็เหลือบไปเห็นเท้าของเพื่อนโผล่มาที่ท้ายรถ ลูกน้องรีบเดินไปดู แล้วก็ตกใจเมื่อเห็นเพื่อนนอนสลบอยู่
ลูกน้องหันกลับมา ทันใดนั้นก็เห็นภูวนัยโผล่มาทางด้านหลังก่อนจะปัดมือจนปืนของลูกน้องกระเด็นออกไป ภูวนัยต่อยเข้าที่ท้องจนลูกน้องตัวงอแล้วถีบจนลูกน้องล้มกลิ้งไป ภูวนัยเดินตามเข้ามา ทันใดนั้นลูกน้องก็คว้าไม้ที่อยู่ใกล้มือหันมาฟาดใส่ภูวนัย ภูวนัยไม่ทันระวังตัวเลยยกแขนรับ
“อ้าก”
ภูวนัยเสียจังหวะเพราะเจ็บแขน ลูกน้องตามเข้ามา ภูวนัยเลยใช้จระเข้ฟาดหางเข้าที่ก้านคอของลูกน้องทำให้ลูกน้องลงไปกองที่พื้นอีกคน ภูวนัยกุมแขนด้วยความเจ็บก่อนจะหันมองไปที่รถบรรทุกคันนั้น
เสียงกริ่งดังขึ้นภายในมูลนิธิเพื่อนหญิง เสียงของเจ้าหน้าที่ดังออกมา
“มาแล้วคะ...มาแล้ว”
เจ้าหน้าที่เปิดประตูออกมา ก่อนจะแปลกใจเมื่อไม่เห็นใคร แต่แล้วเจ้าหน้าที่ก็ต้องตกใจเมื่อมองไปด้านหน้าแล้วเห็นรถบรรทุกจอดอยู่โดยมีหญิงสาวกำลังปีนลงจากรถ ส่วนข้างรถเห็นลูกน้องคึกทั้งสองคนถูกจับมัดนอนสลบอยู่
วันต่อมาที่เซฟเฮ้าส์อภิวัฒน์ ภูวนัยลองขยับไม้ขยับมือก็รู้สึกเจ็บ ระหว่างนั้นอภิวัฒน์เดินเข้ามา
“หมวดทำได้ดีมาก” ภูวนัยหันไปเห็นอภิวัฒน์ก็รีบลุกขึ้นยืนทำความเคารพ แต่อภิวัฒน์ห้ามเอาไว้ “แขนเป็นยังไง”
“ไม่เป็นอะไรมากครับ อีกสองสามวันก็น่าจะหายครับ”
“คุณไม่น่าทำอะไรโดยไม่ถามผมก่อน”
“ขอโทษครับ แต่ผมเห็นว่าถ้าปล่อยรถคันนั้นไป ผู้หญิงที่อยู่ในรถจะต้องถูกส่งออกนอกประเทศอย่างแน่นอน”
“ตอนนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังตรวจสอบเรื่องเมื่อคืน”
“เรื่องนี้เราจะเล่นงานนายหัวคึกได้หรือเปล่าครับ”
“คงยาก เพราะพวกนั้นและวศินน่าจะมีเส้นสาย ผมคิดว่าพวกมันก็น่าจะรอดตัวไปได้เหมือนทุกครั้ง” ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็มีสีหน้าเครียดลง อภิวัฒน์รู้ว่าภูวนัยอยากเล่นงานพวกนั้น “อย่าลืมซิหมวด ตอนนี้ภารกิจของเราไม่ใช่การกวาดล้างพวกห้าเสือ เรามีหน้าที่แค่ทำให้พวกมันแตกกันเท่านั้น”
“ท่านคิดว่าเรื่องเมื่อคืน จะทำให้พวกมันแตกกันได้จริงเหรอครับ” อภิวัฒน์ยิ้ม
“เรื่องนี้เราคงต้องรอดูพร้อมกัน”
ภูวนัยนิ่งไปเพราะไม่แน่ใจว่าภารกิจเมื่อคืนจะได้ผลหรือเปล่า
ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง แม่เลี้ยงรัญญา เสี่ยแคน กำนันเต่าและนายหัวคึกนั่งอยู่ในห้องอาหาร แม่เลี้ยงรัญญาตบโต๊ะเสียงดัง
“ไม่จ่ายได้ไงนายหัว ของฉันส่งให้ไปแล้ว”
“ถูกจับยกโขยงอย่างนั้น ทของก็ไม่ได้ แล้วจะให้ผมเสียเงินอีกเหรอแม่เลี้ยง”
“ทำไมฉันต้องรับรู้ ก็ในเมื่อของมันไปถึงมือนายหัวแล้ว”
ระหว่างนั้นชาติกล้ากับพายัพเดินเข้ามาในห้อง นายหัวคึกเห็นอย่างนั้นก็ปรี่เข้ามาทันที
“ตกลงมันยังไง ไอ้ป่าไม้พวกนั้นมันมายุ่งได้ยังไงวะ”
“เรื่องนั้นผมไม่รู้ เพราะผมได้ทำอย่างที่นายหัวกับแม่เลี้ยงต้องการก็คือการไม่ทำอะไรเลย”
“พวกแกเล่นตุกติกหรือเปล่า ให้ป่าไม้มาจับแล้วก็เอาของของฉันไปขายเอง”
“พูดดีๆ นะนายหัว ท่านวศินจะทำอย่างนั้นทำไม สู้ไม่ทำอะไรเลยแล้วได้เงินจากนายหัวมานับเล่นไม่ดีกว่าเหรอ แทนที่นายหัวจะฟาดงวงฟาดงาอย่างนี้ ผมว่าเรื่องเมื่อคืนน่าจะรั่วมาจากฝั่งนายหัวหรือไม่ก็แม่เลี้ยง”
นายหัวคึกหันมองแม่เลี้ยงรัญญา
“ถ้าอย่างนั้นก็พอจะรู้แล้วว่าเป็นฝีมือใคร เพราะฉันคงไม่เอาพวกป่าไม้มาทำลายแหล่งหากินของตัวเองหรอก”
“คิดดีแล้วเหรอที่พูดอย่างนี้ ทุกคนในที่นี้ก็รู้ว่าฉันเป็นคนตรงไปตรงมา ไม่อย่างนั้นฉันคงขึ้นมาถึงจุดนี้ไม่ได้” แม่เลี้ยงรัญญาหันไปทางทุกคน “หรือทุกคนว่าไง”
บรรยากาศเริ่มตึงเครียด เสี่ยแคนพยายามจะไกล่เกลี่ย
“เอาน่า ที่มันแล้วก็แล้วไป เสียหายแค่นี้นายหัวก็ใช่ว่าจะล้มละลายซะเมื่อไหร่”
“หึ...พูดง่ายนี่เสี่ย ถ้าไอ้ไม้เถื่อนของเสี่ยถูกจับบ้าง เสี่ยจะพูดอย่างนี้มั้ย”
ทันใดนั้นเสี่ยแคนก็ลุกพรวดขึ้น
“ฉันพยายามพูดกลางเพื่อให้เรื่องมันจบๆ แต่อยากฟังที่ฉันคิดมั้ย ยังไงแกก็ต้องจ่ายแม่เลี้ยง เพราะแม่เลี้ยงเขาส่งของให้แกแล้ว ใครจะไปรู้ว่าแกเองนั่นแหละที่รวมหัวกับไอ้พวกป่าไม้ให้มาจับตัวเองเพื่อที่จะได้ไม่ต้องจ่ายแม่เลี้ยงเขา”
“เฮ้ย! จะมากไปแล้วนะเว้ย”
ทันใดนั้นนายหัวคึกจะปรี่เข้าหาเสี่ยแคน พายัพและชาติกล้าต้องพากันห้ามศึก
“ไม่เอาน่า นายหัว เสี่ยก็ด้วย เรื่องแค่นี้เอง นายหัวผมว่านายหัวยอมจ่ายเถอะ เคยได้ยินมั้ย เสียน้อยเสียยากน่ะ ไอ้เงินแค่นี้นายหัวหาวันสองวันก็ได้แล้ว”
“ก็ได้ แต่เอาไว้มีเมื่อไหร่แล้วฉันค่อยให้”
นายหัวคึกพูดจบก็เดินออกจากห้องไปทันที เสี่ยแคนยกน้ำชาขึ้นดื่มดับอารมณ์
“ไอ้เด็กเมื่อวานซืน”
พายัพกับชาติกล้าต่างก็เครียดไปด้วย กับรอยร้าวที่เกิดขึ้นในกลุ่มห้าเสือระหว่างเสี่ยแคน แม่เลี้ยงรัญญาและนายหัวคึก
ภูวนัยใช้มือซ้ายถือหม้อต้มน้ำรองน้ำแล้วเอาไปตั้งบนเตา แล้วหยิบบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปออกมาแต่พอกำลังจะแกะก็ทำไม่ได้เพราะแขนขวามีอาการปวดหนึบ ภูวนัยเลยต้องใช้ปากกัดพร้อมกับใช้มือซ้ายดึง การต้มบะหมี่ของภูวนัยทำไปอย่างทุลักทุเลแลดูน่าขัน
ระหว่างนั้นตำรวจนอกเครื่องแบบที่เฝ้าเซฟเฮ้าส์เข้ามาบอกกับภูวนัย
“มีคนมาหาครับหมวด”
“ใคร”
“ผู้หญิงคนที่มากับหมวดวันนั้นน่ะครับ”
ภูวนัยรู้ทันทีว่าเป็นไผ่พญา
“บอกว่าผมไม่ได้อยู่ที่นี่”
“เธอบอกว่า เธอจะไม่กลับจนกว่าหมวดจะออกไปพบเธอ”
ภูวนัยทำท่าทางอ่อนใจ
ไผ่พญานั่งรออยู่ที่โซฟา มีผ้าโพกหัวใส่แว่นดำคล้ายๆ จะปลอมตัว ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“ใครบอกว่าผมอยู่ที่นี่”
ไผ่พญาหันไปก็เห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“ฉันรู้ว่าตอนนี้นายกำลังตั้งใจจะแก้แค้นไอ้คนที่ทำกับนาย เพราะฉะนั้นถ้านายไม่อยู่ที่นี่แล้วจะอยู่ที่ไหน นายน่ะโกหกไม่เก่งหรอก”
“มีอะไร”
“เมื่อคืนทำไมไม่รับโทรศัพท์”
“ผมนอนแล้ว”
“นอนแล้วหรือว่าโกรธที่ไม่ได้กินหมูกระทะกับฉันก็เลยงอน”
“ใครงอน”
“เหรอออ... ฉันบอกแล้วไงว่านายน่ะโกหกไม่เก่งหรอก”
“ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ย ผมยุ่งอยู่”
ระหว่างนั้นไผ่พญาเหมือนได้กลิ่นไหม้
“นายได้กลิ่นอะไรมั้ย” ไผ่พญาทำจมูกฟุดฟิด “เหมือนกลิ่นไหม้ๆ นะ”
ภูวนัยนึกได้
“เฮ้ย”
ภูวนัยรีบวิ่งเข้าไปที่ครัวทันที ไผ่พญารีบตามไป
ในครัวหม้อบะหมี่มีควันโขมง ภูวนัยวิ่งเข้ามาก็ตกใจรีบปิดเตาแก๊ส แล้วหยิบผ้ามาจะยกหม้อบะหมี่ออก แต่เพราะแขนเจ็บทำให้ภูวนัยยกไม่ได้
“โอ๊ย”
ภูวนัยปล่อยหม้อไว้กับที่ ไผ่พญาสงสัยเลยเข้ามาเอาผ้าแล้วไปหยิบหม้อออกมาวางที่อ่างล้างจานแล้วหันไปทางภูวนัยอย่างเป็นห่วง
“แขนนายเป็นอะไร”
“เปล่า”
ไผ่พญาเข้าไปจับแขนภูวนัย
“ขอฉันดูหน่อย”
ทันทีที่ไผ่พญาจับแขนภูวนัย ภูวนัยก็ร้องออกมาทันที
“โอ๊ย” ไผ่พญามองภูวนัยหน้านิ่ว
“นี่เหรอไม่เจ็บ”
ในเวลาต่อมา ไผ่พญากำลังพันผ้าพันแผลที่แขนให้กับภูวนัย
“อ๋อ...ที่นายไม่รับสายฉันเพราะเอาเวลาไปนอนทับแขนตัวเองใช่มั้ยถึงได้เจ็บขนาดนี้” ภูวนัยไม่อยากจะบอก “
คิดว่าฉันจะเชื่อหรือไง” ไผ่พญาแอบหยิก
“โอ๊ย! ทำอะไรของคุณ”
“ตกลงนายจะไม่บอกฉันใช่มั้ยว่านายไปโดนอะไรมา”
“คุณบอกเองว่าผมโกหกไม่เก่ง ถึงผมพูดไปคุณก็รู้อยู่ดีว่าผมโกหก”
ไผ่พญาหมั่นไส้ แต่ไผ่พญาก็พันแผลจนเสร็จเรียบร้อย
“เอ้า เสร็จแล้ว แล้วก็อยู่เฉยๆ บ้างนะ จะได้หายเร็วๆ” ไผ่พญาพูดเสร็จก็นึกขึ้นได้ แกะผ้าโพกหัวของตัวเองออกก่อนจะลุกขึ้นไปยืนหลังภูวนัย “งอแขน”
“จะทำอะไรของคุณนะ”
“อยู่เฉยๆ เถอะน่า”
ไผ่พญาจัดการเอาผ้าโพกหัวทำเป็นที่รองแขนเหมือนคนเข้าเฝือกให้กับภูวนัย ภูวนัยแอบมองไผ่พญาที่อ้อมตัวมาเอาผ้าคล้องทำให้ใบหน้าใกล้กันจนแทบจะติดกัน จังหวะนั้นไผ่พญาหันมองหน้าภูวนัยเพราะรู้สึกว่าถูกมอง ทำให้ไผ่พญากับภูวนัยประสานสายตากัน
ไผ่พญาเขิน ดึงตัวเองขึ้นไปผูกผ้าที่ด้านหลังคอของภูวนัย
“ฉันว่ามันเข้ากับนายดีนะ”
ไผ่พญาพูดเสร็จก็เดินออกไป
“จะไปไหนน่ะ”
“เอ้า ก็นายหิวไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวฉันไปทำอะไรให้กินไง นายนั่งอยู่นั่นแหละ”
ภูวนัยอ้าปากร้องห้ามไม่ทันเพราะไผ่พญาเดินเข้าห้องครัวไปแล้ว ภูวนัยมองผ้าโพกที่แขนแล้วอมยิ้มมีความสุขอย่างไม่รู้ตัว
ภูวนัยกับไผ่พญานั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกำลังนั่งกินสปาเก็ตตี้คาโบนาล่า ไผ่พญามองภูวนัยที่ท่าทางเก้งๆ กังๆ
“ทำไม ไม่กล้ากินฝีมือฉันเหรอ”
“นี่คุณสั่งมาจากร้านไหนอีกหรือเปล่า ผมจำได้ว่าคุณทำอาหารไม่เป็นนี่”
“โห...งั้นไม่ต้องกินเลย”
ไผ่พญาดึงจานของภูวนัยออก
“อ้าว เดี๋ยวซิคุณ”
“ตกลงจะกินหรือจะถาม”
“อ้ะๆ ไม่ถามก็ได้”
ไผ่พญาเลยเลื่อนจานกลับมาให้ภูวนัย
“แล้วทำไมนายไม่บอกว่าหมูกระทะเมื่อวานนายซื้อมา”
ภูวนัยชะงักไป แล้วเลียนแบบไผ่พญา
“ตกลงคุณจะกินหรือจะถาม”
ไผ่พญาถึงกับอึ้งเมื่อโดนคำพูดตัวเองย้อนเข้าให้ ไผ่พญาแอบมองภูวนัยแล้วหมั่นไส้ ด้วยความที่ไม่ถนัดทำให้ภูวนัยตักเส้นสปาเก็ตตี้แล้วก็ร่วงแล้วก็ร่วงอยู่อย่างนั้น ไผ่พญาเห็นก็ขัดใจเลยวางช้อนแล้วดึงจานภูวนัยมา
“ทำอะไร”
“เดี๋ยวฉันป้อนให้”
“เฮ้ย! ไม่ต้อง”
“อยู่เฉยๆ” ไผ่พญาม้วนเส้น ใส่ช้อนแล้วสั่ง “อ้าปาก”
ภูวนัยอ้าปากตามที่ไผ่พญาบอก ไผ่พญายื่นช้อนไปให้แต่แอบแกล้งเอาช้อนใส่จมูกแทนที่จะใส่ปาก
“นั่นมันจมูก”
“โทษที เล็งพลาดไปหน่อย”
แล้วไผ่พญาก็ป้อนให้กับภูวนัย ภูวนัยเคี้ยวแล้วแอบมองไผ่พญาที่กำลังม้วนเส้นคำต่อไปให้ ภูวนัยรู้สึกดีกับไผ่พญาขึ้นเรื่อย แต่แล้วระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาก็ดังขึ้น
“แป๊ปนึงนะ” ไผ่พญาวางช้อน หยิบมือถือมาดูเห็นว่าเป็นตะวันฉายโทรมาก็ตกใจ “เฮ้ย คุณตะวัน” ภูวนัยได้ยินชื่อตะวันฉายก็ชะงักไป ไผ่พญารับสาย “สวัสดีคะคุณตะวัน...อ๋อ...ไม่ลืมคะ ฉันออกมาธุระแถวนี้แหละคะ รอแป๊ปนึงนะคะ...คะ” ไผ่พญาวางสายแล้วชะงักไปเมื่อเห็นภูวนัยมองมา “เดี๋ยวฉันมานะ คุณตะวันเขาจะกลับแล้ว ฉันบอกเขาว่าจะไปส่งเขาก่อนกลับ”
ไผ่พญาลุกพรวดขึ้นจะไป
“อ้าว แล้วสปาเก็ตตี้พวกนี้ละ”
“ก็รอฉันหน่อยซิ ฉันไปแป๊ปเดียว เดี๋ยวฉันกลับมาป้อนให้น่า...ไปละ”
แล้วไผ่พญาก็รีบเดินออกไปทันที โดยที่ภูวนัยพูดอะไรไม่ทันเลย
“ฉันไม่ใช่เด็ก ทำไมต้องเธอมาป้อน”
ภูวนัยพูดแล้วก็แอบน้อยใจที่ไผ่พญาจะไปเจอกับตะวันฉาย
ขณะเดียวกันที่ร้านอาหารหรูแห่งหนึ่ง ผู้จัดการร้านอาหารกำลังคุยกับขิงและกระดังงา
“เธอสองคนต้องรู้ไว้ด้วยนะ ว่าที่ร้านนี้มีแต่ลูกค้าระดับวีไอพีทั้งนั้น การผิดพลาดแม้แต่นิดเดียว แค่คำขอโทษไม่พอ”
“พวกเราทราบครับ แต่ผู้จัดการวางใจได้ครับ เพราะพวกเรามีประสบการณ์การเป็นเด็กเสิร์ฟมาอย่างโชกโชน”
“นั่นแหละ ที่ฉันรับพวกเธอไว้เพราะเห็นว่าพวกเธอมีประสบการณ์ แล้วไง...พร้อมเริ่มงานได้เลยมั้ย”
“ครับ / ค่ะ”
“งั้นเดี๋ยวฉันจะเรียกหัวหน้ามาบอกระเบียบอีกที ส่วนพวกเธอก็ไปเปลี่ยนชุดทำงานได้เลย”
ผู้จัดการพูดเสร็จก็เดินออกไป ขิงกับกระดังงาดีใจที่ได้งาน
“เอาเว้ย คราวนี้ก็มีเงินผ่อนรถแล้ว”
“ทำให้มันดีๆ ละ คราวที่แล้วตกงานเพราะไอ้ไผ่มาทีนึงแล้ว”
“งั้นคราวนี้เราต้องตกงานด้วยฝีมือของเราเอง”
“ใช่” กระดังงาเคลิ้ม แล้วนึกได้ “ไอ้ขิง ปากเหรอแก”
“เอ้า เขาเรียกว่าพูดเป็นเคล็ด แล้วแกได้ยินที่ผู้จัดการเขาบอกมั้ยว่าลูกค้าที่นี่ระดับวีไอพีทั้งนั้น เพราะฉะนั้นค่าทิปก็คงวีไอพีเหมือนกัน”
ขิงกับกระดังงาหัวเราะคิกคักกับการได้งานใหม่
ภายในห้องส่วนตัวของร้านอาหาร พายัพยื่นกุญแจรถให้กับวศิน
“รถจอดอยู่ข้างล่าง พร้อมกับยี่สิบเปอร์เซ็นที่ท่านขอ”
วศินรับกุญแจรถมา
“กำลังอยากได้รุ่นนี้อยู่พอดี...เห็นหมวดชาติบอกว่านายหัวมีปัญหางั้นเหรอ”
“ของไม่ได้ แถมยังต้องมาเสียเงินอีก มันก็เป็นธรรมดาที่นายหัวเขาจะโกรธ ท่าน...ผมขอพูดตรงๆ เลยนะ พวกเราห้าเสือไม่มีปัญหากับการให้ท่านเพิ่มอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์ แต่ท่านต้องรับรองหรือดูแลเรามากกว่านี้หน่อย”
“พายัพ ลื้อกำลังต่อรองอั้วเหรอ” พายัพนิ่งดูท่าทีวศิน “ลื้อก็รู้ว่าไอ้ยี่สิบเปอร์เซ็นต์นี่ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับการที่อั้วต้องดูแลลื้อ อั้วดูแลลื้อไม่ได้เพราะอั้วเป็นตำรวจ การที่อั้วไม่จับพวกลื้อก็ดีแค่ไหนแล้ว” วศินลุกขึ้นจะเดินออก ก่อนที่วศินจะนึกขึ้นมาได้ “อ๋อ...แล้วลื้อก็ไม่ต้องหาข้อมูลที่ไอ้สมสุขเอาไว้แบล๊คเมย์อั้วให้เหนื่อย ถึงลื้อจะมีมัน แต่ลื้อก็เห็นแล้วว่าอำนาจที่แท้จริงอยู่ในมือใคร”
วศินเดินออกจากห้องไปอย่างไม่อินังขังขอบ พายัพได้แต่กำหมัดด้วยความเจ็บใจ
พายัพเดินหัวเสียออกมาจากห้องส่วนตัวมาตามทาง ระหว่างนั้นกระดังงากำลังเสิร์ฟอยู่โต๊ะข้างๆ ไม่รู้ว่าพวกพายัพเดินมาด้านหลังก็หันกลับไปพอดี ทำให้กระดังงาชนเข้ากับพายัพจนน้ำหกรถเปื้อนพายัพไปหมด
“โธ่เว้ย”
“อุ้ย ขอโทษคะ เดี๋ยวฉันเช็ดให้นะคะ”
กระดังงาจะหยิบผ้ามาเช็ดให้กับพายัพ แต่ทันทีที่กระดังงามองหน้าพายัพก็ถึงกับอ้าปากหวอตกใจ
ไผ่พญานั่งมองทอดสายตาไปที่ริมน้ำอย่างเนิ่นนาน แล้วไผ่พญาก็พูดขึ้น
“เสร็จหรือยังคะคุณตะวัน”
ตะวันฉายกำลังวาดภาพไผ่พญาที่กำลังนั่งเป็นแบบอยู่ริมน้ำนั่นเอง
“เสร็จแล้วครับ”
ไผ่พญารีบลุกมาดูที่ตะวันฉายวาดรูปเธอ
“ไหนดูซิ ถ้าวาดไม่สวยละน่าดู”
ไผ่พญาเห็นภาพที่ตะวันฉายวาด ไผ่พญาถึงกับร้องออกมาด้วยความทึ่ง
“โห...สวยจัง”
“เพราะคนเป็นแบบสวยมากกว่าครับ”
“เพิ่งรู้นะคะว่าคุณตะวันนี่วาดรูปเก่งขนาดนี้”
“ครับ จิตรกรคือความฝันของผม แต่การรับราชการคือความฝันของพ่อแม่”
ไผ่พญามองภาพแล้วก็สงสัย
“แต่คุณตะวันจะมาวาดรูปให้มันยุ่งยากทำไมคะ เดี๋ยวนี้โทรศัพท์มันมีกล้องแล้วนะคะ”
“คุณค่าของความทรงจำมันต่างกันครับ” ไผ่พญาไม่ได้รับรู้ถึงสัญญาณที่ตะวันฉายพยายามจะบอกเธอ “เอ่อ...ให้ผมเลี้ยงข้าวคุณไผ่ที่เป็นแบบให้ผมดีมั้ยครับ”
“จริงๆ ฉันก็อยากกินนะคะ แต่ฉันนัดกับคุณภูไว้แล้ว”
ตะวันฉายได้ยินที่ไผ่พญาบอกว่านัดภูวนัยไว้แล้วก็ถึงกับอึ้งไป ไผ่พญาพูดถึงภูวนัยก็ทำให้นึกขึ้นได้
“เฮ้ย กี่โมงแล้วเนี่ย” ไผ่พญามองนาฬิกาเห็นว่านานมากแล้ว “โห...เอ่อ ฉันต้องไปแล้วคะ คุณตะวันเดินทางดีๆ นะคะ”
ไผ่พญาหยิบข้าวของจะเดินออกไป ตะวันฉายเรียกเอาไว้
“คุณไผ่ครับ”
“คะ”
ไผ่พญาหันกลับมา ตะวันฉายเหมือนจะบอกบางอย่าง แต่ก็เปลี่ยนใจ
“เดี๋ยวผมโทรหานะครับ”
“คะ”
แล้วไผ่พญาก็รีบวิ่งออกไป ตะวันฉายมองตามไผ่พญาก่อนจะเปิดรูปในมือดูอีกครั้งอย่างมีความสุข
ไผ่พญารีบเดินมาตามทาง
“นายนั่นต้องบ่นแน่ๆ เลยที่กลับเอาป่านนี้” ระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาดังขึ้น “นั่นไง ตายยากจริง” ไผ่พญารับสายโดยไม่ได้มองเบอร์ “กำลังจะกลับค่าเจ้านาย” ไผ่พญาฟังแล้วก็งง “อ้าว แกหรอกเหรอไอ้งา...มีอะไร”
กระดังงาสีหน้าเครียด
“แกอยู่ไหนไอ้ไผ่”
ไผ่พญาไม่อยากบอกว่าจะไปหาภูวนัย
“เอ่อ...ฉันอยู่ที่ไหนแล้วแกจะอยากรู้ทำไม”
ขิงอยู่ข้างๆ ก็ตะโกนเข้ามาในโทรศัพท์
“ไอ้ไผ่ แกต้องมาหาพวกเราตอนนี้นะเว้ย”
“ทำไม มีอะไรเหรอไง”
ขิงกับกระดังงามองหน้ากันแล้วก็นึกออกว่ามีเรื่องเดียวที่จะทำให้ไผ่พญามาได้
“ฉันเจอแม่แกแล้ว”
ไผ่พญาอึ้งและดีใจ
“ได้...พวกแกอยู่ที่ไหน...ได้...ฉันจะไปเดี๋ยวนี้”
ไผ่พญาวางสายแล้วรีบเรียกแท็กซี่ทันที
กระดังงาวางสายลง ทันใดนั้นพายัพก็เข้ามาคว้าโทรศัพท์ไปจากมือ
“เพื่อนแกว่าไง”
ขิงกับกระดังงาถูกคุมตัวอยู่ในโกดังร้างแห่งหนึ่ง
“เดี๋ยวมาจ้ะพี่ พี่รอแป๊ปนึงนะ”
พายัพลุกขึ้นแล้วเดินไปเดินมามองขิงกับกระดังงาด้วยสีหน้าครุ่นคิด
“งั้นระหว่างที่รอ ฉันว่าเรามาทำอะไรแก้เซ็งดีกว่า”
“เอ่อ...พี่จะทำอะไร”
ทันทีที่ขิงพูดจบ พายัพก็เตะเข้าให้ที่ชายโครงของขิง ขิงถึงกับร้องลั่นด้วยความเจ็บ
“ขิง! พี่...พี่อย่าทำอะไรมันเลยนะ”
พายัพไม่พูดอะไรก่อนจะหันไปตวัดหลังมือใส่กระดังงาอีกคน ทั้งขิงและกระดังงาต่างโดนพายัพทำร้ายจนเจ็บทั้งคู่
“ที่ฉันทำอย่างนี้ก็เพราะพวกแกทำให้ฉันเหนื่อย รู้มั้ยว่ากว่าจะเจอตัวพวกแก ฉันต้องเหนื่อยแค่ไหน” พายัพลุกขึ้นเช็ดมือแล้วสั่งกับลูกน้อง “จัดการต่อ”
ขิงกับกระดังงาต่างโดนลูกน้องของพายัพรุมกระทืบไม่ยั้ง
พายัพมองแล้วยิ้มอย่างเลือดเย็น
อ่านต่อหน้า 2
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 12 (ต่อ)
ด้านภูวนัยเดินไปมาอยู่ภายในห้องรับแขกที่เซฟเฮ้าส์อภิวัฒน์ ภูวนัยทนไม่ไหวหยิบมือถือจะโทร.ออกแต่แล้วก็ชะงักยั้งมือไว้
“เราไม่ได้รอซะหน่อย”
ภูวนัยโยนมือถือไปบนโซฟา แล้วมองเหยียดปากอย่างหมั่นไส้ ภูวนัยเดินถือจานสปาเก็ตตี้มาหยุดที่หน้าถังขยะ
“เธอจะต้องเสียใจที่เธอกลับมาช้า”
ภูวนัยหมายมั่นตั้งใจจะทิ้งสปาเก็ตตี้ลงถังขยะ
ระหว่างนั้นไผ่พญาเดินเข้ามาที่หน้าโกดังร้างแห่งหนึ่ง
“พาแม่ฉันมาทำอะไรแถวนี้เนี่ย” ไผ่พญาเดินหามาเรื่อยๆ พร้อมกับตะโกนเรียก “ไอ้ขิง...ไอ้งา...แม่”
ไผ่พญาสงสัยเมื่อไม่มีใครตอบกลับมา ไผ่พญาเห็นประตูโกดังเปิดอยู่เลยลองเดินเข้าไปด้านใน ไผ่พญาเข้ามาในโกดังแล้วมองไปรอบๆ เพื่อรอให้ตาปรับสภาพ แล้วไผ่พญาก็อึ้งไปเมื่อเห็นขิงกับกระดังงาถูกจับมัดอยู่กลางโกดัง
ไผ่พญารีบวิ่งเข้ามาหา
“ไอ้ขิง...ไอ้งา...ใครทำพวกแก”
“ไผ่ พวกเราขอโทษ”
ระหว่างนั้นเสียงของพายัพก็ดังขึ้น
“เฮ้อ เจอกันซะที”
ไผ่พญาหันไปก็เห็นพายัพเดินเข้ามา ไผ่พญาตกใจ
ไผ่พญาถูกพายัพตบจนหน้าหัน
“มึงจะบอกไม่บอก”
“ฉันบอกไปหมดแล้ว พี่เชื่อฉันเถอะ”
พายัพเห็นไผ่พญาไม่ยอมบอกก็เลยเดินละจากไผ่พญามาที่ขิง ก่อนจะหยิบปืนขึ้นมาจ่อหัวขิง
“จะบอกไม่บอก”
กระดังงากับไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็ร้องโวยวายอย่างตกใจ
“อย่า...อย่ายิง”
“บอกมา”
“ฉันบอกไปหมดแล้วว่าฉันเอาไปจำนำ ฉันพูดจริงๆ พี่อย่ายิงเพื่อนฉันเลย”
พายัพเห็นไผ่พญาน้ำตาไหลพรากด้วยความกลัวก็คิดว่าไผ่พญาคงจะพูดเรื่องจริง
“โรงจำนำที่ไหน”
“ตลาดมีน ตรงข้ามกับตลาดเลย”
พายัพหันไปบอกลูกน้อง
“ไปดูซิ” แล้วหันกลับจิกหัวไผ่พญา “กูจะให้โอกาสมึงอีกครั้ง แต่ถ้าไม่เจอ มึงรู้ใช่มั้ยว่าจะเป็นยังไง”
พายัพมองไผ่พญาอย่างเลือดเย็น
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาถูกจับห้อยแขวนเท้งเต้งอยู่ในโกดังร้าง
“ไผ่...ฉันขอโทษที่เรียกแกมา”
“ฉันต่างหากที่ต้องขอโทษพวกแกที่ทำให้พวกแกเจอเรื่องแบบนี้”
ไผ่พญาพยายามดิ้น แต่เชือกมันก็มัดแน่นเกินไป ไผ่พญามองไปก็เห็นโทรศัพท์ของเธอ ขิงและกระดังงาวางอยู่บนโต๊ะไม่ไกลเกินเอื้อม ไผ่พญาพยายามจะยกเท้าเพื่อหยิบโทรศัพท์แต่ก็ไม่ถึงซะที
“ทำอะไรวะ”
“เรียกคนมาช่วยไง”
“จะทำอย่างนั้นทำไม เดี๋ยวพอพวกมันเจอพระก็ปล่อยเราไปแล้ว”
ไผ่พญานิ่งไปก่อนจะพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด
“พวกนั้นไม่ได้พระมาหรอก”
“หมายความว่าไงไอ้ไผ่”
“ไอ้เจ้าของนั่นมันเอาพระปล่อยไปแล้ว”
“ห๊า”
“งั้นพวกเราก็ตายแน่ๆ ซิ”
ขิงพยายามใช้เท้าตะกุยเอาโทรศัพท์บนโต๊ะเป็นเฮือกสุดท้าย ไผ่พญาเสียใจ
“ฉันขอโทษ”
ระหว่างนั้นลูกน้องพายัพเดินเข้ามาพอเห็นขิงดิ้นกระแด่วๆ ก็สงสัย
“ทำอะไรวะ”
ขิงถึงกับหยุดก่อนที่ขิงจะแผนขึ้นมาได้
“เอ่อ...ผมปวดฉี่น่ะพี่ ขอผมเข้าห้องน้ำหน่อยนะพี่”
“ไอ้นี่ มามุขหนังไทยอีกละ ก็ปล่อยให้มันราดตรงนั้นแหละ”
“โห...ไม่ได้หรอกพี่ พี่จะให้ผมฉี่ราดต่อหน้าแฟนผมเหรอ พี่ยิงผมทิ้งดีกว่า...นะพี่...พาผมไปแป๊ปเดียว ผมหนีพี่ไม่ได้อยู่แล้ว พี่มีทั้งมีดทั้งปืน”
“เว้ย หุบปาก พูดมากจังเว้ย”
แล้วลูกน้องคนหนึ่งก็เข้าไปปลดเชือกให้กับขิง ขิงแอบส่งสายตาให้กับไผ่พญาว่าให้หยิบโทรศัพท์เรียกคนมาช่วยให้ได้ ลูกน้องพาขิงออกไป พอไผ่พญาเห็นขิงถูกพาออกไปก็ค่อยๆ เหวี่ยงตัวเองเบาๆ ไปที่โต๊ะที่วางโทรศัพท์อยู่ ครั้งแรกไม่ได้ ครั้งที่สองก็ยังไม่ได้ แต่ครั้งที่สามเท้าของไผ่พญาก็โดนแล้ว ครั้งที่สี่ไผ่พญาก็เอาโต๊ะไปพักบนโต๊ะไว้ได้
ไผ่พญาลากโทรศัพท์มาจนตกลงกับพื้น
“เฮ้ย แล้วมันจะใช้ได้เหรอ”
ไผ่พญาค่อยยื่นเท้าเอาไปเขี่ยโทรศัพท์ให้เข้ามา พอถึงไผ่พญาก็ใช้เท้าพลิกโทรศัพท์ขึ้นก่อนจะเห็นว่ามันยังใช้ได้
“ใช้ได้”
“โทรเลยๆ”
ไผ่พญาใช้เท้ากดๆ ไปที่เครื่อง ไผ่พญามองที่เครื่องพอเห็นว่ามีคนรับสายแล้ว ไผ่พญาเลยตะโกนใส่โทรศัพท์
“ช่วยด้วย พวกมันจับตัวเราไว้ ตอนนี้เราอยู่ที่โกดังร้างที่คลองสิบสาม ช่วยด้วย”
ระหว่างนั้นเสียงลูกน้องพาขิงเดินกลับเข้ามา
“มาแล้วไอ้ไผ่” กระดังงารีบบอก ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็รีบเตะมือถือของเธอออกไป แต่ยังไม่ได้วางสาย
ลูกน้องพาขิงกลับเข้ามา แล้วจับขิงมัดไว้เหมือนเดิม
“โวยวายอะไรวะ”
“เปล่า ก็พวกเราเจ็บ ก็ต้องร้องระบายความเจ็บน่ะพี่”
“ร้องให้พอ เพราะถ้าพวกกูไม่เจอของละก็...หึ”
ลูกน้องชี้หน้าก่อนที่จะเดินออกไป กระดังงารีบหันมาถามไผ่พญา
“ไผ่ แกโทรหาใคร”
ไผ่พญามองไปที่โทรศัพท์ที่ถูกเตะไปอยู่มุมหนึ่ง หวังว่าเขาจะได้ยิน
ภูวนัยวางโทรศัพท์ลงด้วยสีหน้าเครียด
“คลองสิบสาม”
ภูวนัยเป็นห่วงไผ่พญาขึ้นมาทันที
ไผ่พญา ขิงและกระดังงายังถูกมัดห้อยต่องแต่งอยู่ในโกดังร้าง ขิงถามไผ่พญาขึ้นอย่างกังวล
“แกว่าคุณภูจะได้ยินมั้ย”
“ไม่รู้ แต่ฉันคิดว่าน่าจะได้ยิน”
“น่าจะได้ยังไง ตกลงว่าคุณภูเขารับสายหรือเปล่า”
“ฉันไม่รู้ ฉันก็พยายามทำดีที่สุดแล้ว”
ไผ่พญาโพล่งขึ้นเหมือนความอัดอั้นถึงขีดสุดแล้วเช่นกัน ขิงถึงกับหมดอาลัยตายอยาก
“ทำไมฉันต้องมาตายอย่างนี้ด้วยวะ”
ระหว่างนั้นกระดังงาเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ไอ้ขิง แกขยับมาใกล้ฉันหน่อย”
“ทำไม”
“เออน่า”
ขิงค่อยๆ เหวี่ยงตัวมาหากระดังงา ไผ่พญาสงสัยว่ากระดังงาจะทำอะไร
“ไอ้งา แกจะทำอะไร”
“ฉันไม่ยอมตายอย่างนี้หรอก”
ว่าแล้วกระดังงาก็ใช้ขาไต่ไปตามตัวของขิง
“เฮ้ย ไอ้งา จะตายอยู่แล้วยังจะเล่นปูไต่หรือไง”
กระดังงาใช้ขาเตะก้นขิงเข้าให้...ป้าป!
“เฉยๆ ฉันจะแกะเชือกให้แก”
แล้วกระดังงาก็ใช้ขาไต่ขึ้นไปเรื่อยๆ ตั้งแต่ตัว อก คอแล้วก็ถึงหน้า ขิงหลับตาหน้าเบ้ที่โดนเหยียบหน้า ไผ่พญาเห็นกระดังงายังไม่สิ้นหวัง ตัวเองก็เลยมีความหวังขึ้นมาเช่นกัน ไผ่พญาเงยหน้ามองไปที่เชือกที่ผูกไว้กับท่อ แล้วก็เห็นว่ามีข้อต่อที่สนิมกินผุกร่อนอยู่ แล้วไผ่พญาก็พยายามกระตุกแต่ก็ไร้ผล
เช่นเดียวกับกระดังงาที่พยายามใช้เท้าแกะเชือกให้กับขิง กระดังงาทนเมื่อยไม่ไหวเพราะมือของขิงอยู่สูงเกินไป
“ไม่ไหว ทำไมตัวแกใหญ่อย่างนี้ห๊ะไอ้ขิง”
“เอ้า”
“งา...ลองฉันดีกว่า”
กระดังงาเลยหันไปทางไผ่พญาก่อนจะใช้วิธีเดียวกับที่ทำกับขิง ทั้งหมดต่างลุ้นและเร่งให้ทันแข่งกับเวลา
ลูกน้องเดินออกมาหาพายัพที่ยืนอยู่หน้าโกดัง
“พวกมันเป็นไง”
“ยังอยู่ดีครับ”
“ดี...อย่าให้พวกมันเป็นอะไรไปซะก่อนละ ฉันยังไม่ได้สนุกเลย”
เสียงมือถือของพายัพดังขึ้น พายัพมองเบอร์แล้วรับสาย
“เจอมั้ย” พายัพฟังแล้วก็ยิ้มออกมา “แกอยู่ตรงนี้ ฉันจะเข้าไปให้รางวัลพวกมันซะหน่อย”
กระดังงายังใช้เท้าแก้เชือกที่ข้อมือของไผ่พญาอยู่โดยมีขิงเป็นกองเชียร์
“อีกนิด...เร็วซิไอ้งา...อีกนิดเดียว”
กระดังงาหันมาตวาด
“ถ้าแกไม่หุบปาก ฉันจะเหวี่ยงเท้าไปที่หน้าแกเดี๋ยวนี้แหละไอ้ขิง”
ขิงได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับหุบปากทันที ไผ่พญามองลุ้นที่กระดังงาพยายามแก้เชือกให้อยู่
พายัพกำลังเดินตรงเข้ามาที่โกดัง กระดังงาแกะเชือกให้ไผ่พญาได้สำเร็จไผ่พญาลงไปกองกับพื้น
“ไอ้ไผ่ แกะเชือกให้พวกเราเร็ว”
ไผ่พญาพุ่งไปแกะเชือกให้กระดังงา
พายัพเดินมาตามทางเดิน ระหว่างนั้นพายัพเดินเตะท่อนเหล็กกลิ้งไปกับพื้น พายัพชะงักเท้า
ไผ่พญากำลังแกะเชือกให้กับกระดังงาก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียง รู้ว่ามีคนกำลังเดินมาทางนี้แน่นอน ไผ่พญาหันมองขิงและกระดังงา คิดทันทีว่าจะทำยังไง
พายัพเปิดประตูเข้ามาในโกดังก่อนจะเดินลากท่อนเหล็กมากับพื้นเสียงดังกังวานไปทั่วโกดัง พายัพเดินมาหยุดที่ไผ่พญา ขิงและกระดังงายังถูกห้อยอยู่ที่เดิม ไผ่พญาแกล้งจับเชือกเอาไว้ แต่มีเหล็กเส้นที่ยาวประมาณฝ่ามือซุกซ่อนเอาไว้หลังแขน
“ลูกน้องฉันโทรมาแล้ว”
ขิงถามขึ้น พยายามเรียกร้องความสนใจมาที่เขา
“เจอพระแล้วใช่มั้ยพี่”
“เจอห่าอะไร”
ทันใดนั้นไผ่พญาก็อาศัยจังหวะที่พายัพหันไปสนใจขิง ก็ใช้เหล็กเส้นที่ซ่อนเอาไว้แทงเข้ามาที่พายัพ แต่เป็นจังหวะเดียวกับที่พายัพหันกลับมาเลยเอี้ยวหัวหลบ แม้เหล็กเส้นจะพลาดเป้าจากที่เล็ง แต่มันก็ได้แทงทะลุเข้าไปที่หัวไหล่ของพายัพ
“อ้ากกกก!”
ลูกน้องของพายัพยืนเฝ้าอยู่ที่หน้าโกดัง พอได้ยินเสียงร้องดังมาจากข้างในก็หันไปมอง ระหว่างนั้นเห็นเท้าของใครบางคนเดินเข้ามา ลูกน้องหันไปพอดีก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่
“เฮ้ย”
ลูกน้องพายัพจะชักปืนออกมา แต่ภูวนัยเตะจนปืนของลูกน้องร่วงกระเด็นหลุดมือ ภูวนัยรีบเข้ามาและซ้ำด้วยการถีบเข้าไปที่ท้อง พอลูกน้องตัวงอ ภูวนัยก็เตะเสยจนลูกน้องพายัพหงายหลังสลบกลางอากาศ ภูวนัยมองเข้าไปที่โกดังอย่างระวังตัว
ไผ่พญาวิ่งไปหยิบท่อนเหล็กที่พายัพปล่อยหลุดมือขึ้นมาจะฟาดพายัพ แต่พอไผ่พญาหันมาก็เจอพายัพตบหลังมือจนไผ่พญาเซไปตามแรงตบของพายัพจนล้มลงไปนอนกับพื้น
“ไอ้ไผ่”
“หนีไปเลยไอ้ไผ่”
ไผ่พญาไม่ได้ยินเสียงที่ขิงกับกระดังงาพูดอะไรทั้งนั้น พายัพเดินเข้ามามองไผ่พญา
“แกนี่มันแสบจริงๆ”
พายัพเดินมานั่งลงมองไผ่พญา ก่อนจะใช้แขนข้างที่ไม่เจ็บตบไผ่พญาซ้ำอีก ไผ่พญาหันมาจึงเห็นเลือดกลบปาก ตาเลือนลอยเพราะแรงตบของพายัพ พายัพยิ้มเลือดเย็นก่อนจะเห็นพายัพค่อยๆ ดึงเหล็กออกจากแผลตัวเอง
“อ้ากกกก” พายัพดึงเหล็กออกมาถือเอาไว้ แล้วหอบหายใจเหนื่อย ขิงกับกระดังงาถึงกับอึ้งที่พายัพทนเจ็บได้ขนาดนั้น “ฉันไม่ได้รู้สึกเจ็บอย่างนี้มานานแล้ว เฮ้อ...มันรู้สึกอย่างนี้เอง” พายัพมองไผ่พญา “แกอยากรู้มั้ยว่ามันรู้สึกยังไง”
พายัพมองไผ่พญายิ้มเลือดเย็น ทันใดนั้นพายัพก็เงื้อเหล็กขึ้นแล้วปักลงไปที่หน้าของไผ่พญาทันที ขิง กระดังงาร้องออกมาอย่างตกใจ
ไผ่พญาจับมือของพายัพไว้ได้ทัน เธอพยายามสู้แรงของพายัพ
“เอาซิ ออกแรงอีก ไม่งั้นเธอตายแน่”
เหล็กเส้นค่อยๆ ต่ำลงจนเกือบจะถึงดวงตาของไผ่พญา แต่ก่อนที่มันจะทะลุเบ้าตาไผ่พญาเสียงปืนก็ดังขึ้น ปัง!
กระสุนพลาดเป้าไปโดนผนังที่อยู่ด้านหลัง ทุกคนหันไปก็เห็นภูวนัยยืนอยู่แล้วที่ภูวนัยยิงพลาดเป้าก็เพราะเจ็บแขนอยู่นั่นเอง พายัพหันไปจะหยิบปืนยิงสวนภูวนัย แต่ไผ่พญาผลักพายัพออกจากตัวจนพายัพหงายหลัง ปืนกระเด็นหลุดมือไป ภูวนัยวิ่งเข้ามา พายัพเห็นอย่างนั้นก็หยิบสิ่งของที่อยู่ใกล้มือก่อนจะปาใส่ภูวนัย ภูวนัยหลบ แต่พอหันกลับมาอีกทีก็เห็นพายัพวิ่งหายไปแล้ว ภูวนัยรีบวิ่งเข้ามาหาไผ่พญาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรมั้ยคุณ”
ไผ่พญาไม่ตอบ เธอโผเข้ากอดภูวนัยไว้แน่นด้วยความกลัวท่ามกลางเสียงดีใจโห่ร้องของขิงและกระดังงา
ภูวนัยกอดปลอบใจไผ่พญาว่าปลอดภัยแล้ว
ขิงและกระดังงาเดินมาตามทางเดินในโรงพยาบาลหลังจากทำแผลเสร็จเรียบร้อย
“ไหน ขอฉันดูแผลหน่อยดิ”
“แหม ห่วงผัวเหรอจ้ะเมียจ๋า” ทันใดนั้นกระดังงาก็หยิกซ้ำลงไปที่แผล จนขิงถึงกับร้องจ๊าก “เฮ้ย! อะไรของแกเนี่ยไอ้งา เจ็บน่ะเว้ย”
“เปล่า ฉันคิดว่าพวกเราตายไปแล้วน่ะ”
“โห...แล้วทำไมไม่ทำตัวเอง มาทำฉันทำไม”
“แต่ฉันยังไม่เชื่อเลยว่าพวกเราสามคนจะรอดมาได้ คิดแล้วฉันยังตกใจไม่หายเลย”
ขิงยกมือท่วมหัวที่รอดพ้นวิกฤตเฉียดตายมาได้
“ขอบคุณสวรรค์ที่ยังเมตตาปราณีไอ้ขิงคนนี้”
กระดังงาหยิกเข้าให้อีก ขิงร้องโอยอีก
“ไม่ต้องขอบคุณสวรรค์ ขอบคุณคุณภูโน่น”
“รู้แล้วน่า เออ...” กระดังงานมองหา “แล้วไอ้ไผ่ละ”
ภูวนัยนั่งรออยู่ตรงที่นั่ง ภูวนัยขยับไม้ขยับมือที่ยังเจ็บอยู่ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“นายเป็นไรมั้ย”
ภูวนัยหันไปก็เห็นไผ่พญายืนอยู่ ภูวนัยลุกขึ้น
“คุณถามว่าไงนะ”
“ก็ฉันเห็นนายเจ็บแขนไง หาหมอเลยมั้ย อยู่โรงพยาบาลแล้วนี่”
“คุณเพิ่งผ่านความเป็นความตายมา คุณยังจะห่วงผมอีกเหรอ ผมต่างหากที่ต้องห่วงคุณ”
“ฉันขอโทษ”
ภูวนัยกับไผ่พญากำลังจะเข้าโหมดซึ้ง ระหว่างนั้นขิงกับกระดังงาเดินเข้ามาด้วยอาการกลับไปร่าเริงเหมือนปกติ เสียงดังแหววมาขัดจังหวะภูวนัยกับไผ่พญา
“ไผ่”
ภูวนัยกับไผ่พญาหันมาก็เห็นขิงกับกระดังงาเดินเข้ามา
“ขอบคุณนะครับคุณภู” ขิงบอกแล้วก็เห็นภูวนัยกับไผ่พญากำลังหน้าตึงกันอยู่ “เอ่อ...มีใครเป็นมะเร็งเหรอครับ”
“ไอ้ขิง”
“เอ้า...ก็ฉันเห็นคุณภูกับไอ้ไผ่มันซีเรียสกันนี่”
ระหว่างนั้นภูวนัยถามไผ่พญาขึ้น
“พวกคุณไปรู้จักกับไอ้พายัพได้ยังไง” ไผ่พญา ขิงและกระดังงาถึงกับสะอึกไปไม่ถูกกันทีเดียว “ไม่รู้หรือไงว่ามันเป็นใคร”
ไผ่พญาถึงกับนิ่งไป ขิงกับกระดังงาต้องพากันไหลไป
“รู้ซิครับ” ภูวนัยทำหน้าสงสัย “มันก็คือคนที่เราไปกู้เงินมาไงครับ”
“กู้เงิน”
“ใช่...ใช่คะ...คุณภูก็รู้ว่าคนเป็นครูน่ะเงินเดือนน้อยจะตาย จริงมั้ยไผ่”
ภูวนัยหันไปมองไผ่พญา
“อืม”
“ก็โล่งอกหน่อย ผมนึกว่าพวกคุณไปเกี่ยวข้องกับธุรกิจสกปรกของมัน แต่แค่กู้เงินทำไมมันต้องจับพวกคุณไปด้วย”
“เอ้าคุณภูก็รู้ว่าพวกเงินกู้นอกระบบมันโหดขนาดไหน ตอนแรกพวกเราน่ะกู้มาแค่ไม่กี่หมื่น เจอดอกเบี้ยทบไปทบมาทบหน้าทบหลังทบอะไรของมันก็ไม่รู้ เพิ่มมาเป็นแสน”
“ใช่ครับ แล้วพวกเราจะเอาเงินที่ไหนไปจ่าย จริงมั้ยครับคุณภู”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็หน้าเครียดขึ้นมา
“ถ้าอย่างนั้นผมว่าพวกคุณกลับไปอยู่ที่เดิมไม่ได้แล้วละครับ”
“อ้าว...ทำไมละครับคุณภู”
“พายัพมันเป็นคนเลือดเย็น ฆ่าคนเป็นว่าเล่น” ภูวนัยหันไปทางไผ่พญา “ยิ่งคุณทำร้ายมันอย่างนั้น ผมว่าพวกคุณกำลังตกอยู่ในอันตราย”
ขิง กระดังงาถึงกับอ้าปากหวอตกใจ ไผ่พญาเครียดขึ้นมาทันที
พายัพนอนอยู่บนเตียงกำลังให้หมอเย็บแผลที่โดนไผ่พญาใช้เหล็กเส้นแทง หมอกำลังจะเย็บแต่ก็ชะงักมือเอาไว้
“เอ่อ...คุณจะไม่ฉีดยาชาจริงๆ เหรอครับ”
“บอกให้เย็บก็เย็บไปเถอะน่า! เอ่อ...โทษทีหมอ ผมแค่อยากเก็บความเจ็บนี้ไว้ในความทรงจำ”
หมอพยักหน้าก่อนจะลงมือเย็บแผลให้กับพายัพ พายัพกัดฟันแน่นทั้งเจ็บทั้งแค้น ลูกน้องที่อยู่ข้างๆ จะเดินออกไป
“ไปไหน”
“ผมจะตามหานังนั่น แล้วเอามาให้พี่ฆ่าเอง”
“ไม่ต้อง” ลูกน้องชะงักไปอย่างแปลกใจ พายัพมองเพดานเหมือนคิดบางอย่างขึ้นมาได้ “ฉันอยากพอแล้วก็ไอ้เรื่องพระนั่น”
“แต่เราใกล้เจอมันแล้วนะพี่”
พายัพไม่พูดแต่หันมอง ลูกน้องก้มหน้าลงด้วยความกลัว
“เจอแล้วยังไง แกคิดว่าไอ้ข้อมูลนั่นจะทำอะไรไอ้วศินมันได้งั้นเหรอ อย่างมันกุมทั้งอำนาจรัฐ กุมทั้งสื่อ หึ...เจอไปก็เท่านั้น” พายัพนิ่งไปอย่างไตร่ตรอง ก่อนที่จะพูดขึ้นเหมือนเริ่มคิดได้ “สู้เราเอาเวลาขยายอำนาจเราไม่ดีกว่าเหรอไอ้วศินมันเป็นคนแพ้เงิน ยิ่งเรามีเงินมันก็ยิ่งเกรงใจ”
“แล้วพี่จะปล่อยพวกนั้นไว้เหรอครับ”
“ถ้าไม่เจอก็แล้วไป แต่ถ้าเจอเมื่อไหร่ก็ฆ่าได้ทันที”
หมอที่กำลังเย็บแผลอยู่ถึงกับมือสั่นด้วยความกลัวจนทำให้พายัพเจ็บ พายัพหันมองหน้าหมอ
“ขอโทษครับ”
พายัพหันกลับมาด้วยแววตาที่เหมือนกำลังจะเริ่มคิดการณ์ใหญ่
ภูวนัยพาไผ่พญา ขิงและกระดังงามาที่เซฟเฮ้าส์อภิวัฒน์ ทั้งหมดนั่งต่อหน้าอภิวัฒน์ ขิงและกระดังงาต่างยิ้มเหมือนต้องการยื่นมิตรภาพให้กับอภิวัฒน์ ขณะที่ไผ่พญากำลังนั่งลุ้นเช่นเดียวกับภูวนัย ระหว่างนั้นอภิวัฒน์กระแอมขึ้น
“แฮ่ม” ทันใดนั้นขิงก็รีบยื่นถังขยะให้อภิวัฒน์ทันที “ไม่ต้อง ผมแค่ระคายคอเท่านั้น” ขิงหันไปสะกิดกระดังงา กระดังงารีบรินน้ำให้ก่อนจะยื่นให้กับอภิวัฒน์ “ไม่เป็นไรครับ ผมไม่ดื่มน้ำเย็น” ขิงกับกระดังงาต่างแห้วทั้งคู่ แล้วอภิวัฒน์พูดขึ้นด้วยสีหน้าลำบากใจ “ขอพูดตามตรงเลยนะหมวด ผมคงรับพวกคุณให้อยู่ที่นี่ไม่ได้”
ขิง กระดังงาต่างออกเสียงด้วยความผิดหวัง แต่ไผ่พญากลับแสดงแค่สีหน้าที่เศร้าลง
“ทำไมครับท่าน ตอนนี้พวกเขากำลังถูกไอ้พายัพมันคุกคามอยู่นะครับ”
“นั่นแหละยิ่งทำให้ผมรับพวกคุณมาอยู่ที่นี่ไม่ได้ เซฟเฮ้าส์ที่นี่เป็นความลับทางราชการ แค่คุณพาพวกเขามาที่นี่ก็มีความผิดแล้ว”
“แล้วท่านจะปล่อยให้พวกเขาถูกไอ้พายัพจัดการเหรอครับ”
“หมวดภู...ผมทำตามข้อเรียกร้องของคุณไม่ได้จริงๆ”
“ไม่เป็นไรคะ” ทุกคนหันมองไผ่พญาที่พูดแทรกขึ้น ไผ่พญาหันไปบอกกับภูวนัย “ฉันรู้ว่าคุณอยากช่วยพวกเราแต่ไม่ต้องห่วงหรอก พวกเรารอดมาได้ขนาดนี้แล้ว ต้องรอดอีกซิ จริงมั้ยครูขิงครูงา”
ไผ่พญาหันไปทางขิงกับกระดังงา แต่ขิงกับกระดังงาดันส่ายหน้า ขิงกับกระดังงารีบเข้ามาพูดกับไผ่พญา
“ไอ้ไผ่ แกพูดอะไรวะ ขืนกลับไปอยู่ที่เดิมก็มีแต่ตายกับตายเท่านั้น”
“นั่นดิ อยู่นี่มีแต่ตำรวจ รับรองว่าพวกมันไม่กล้าทำอะไรแน่”
“ถ้างั้นอยากเข้าไปอยู่ในเรือนจำมั้ย ที่นั่นฉันว่าก็น่าจะปลอดภัยนะ” ขิงกับกระดังงาถึงกับอึ้งเมื่อไผ่พญายังไงก็ไม่ยอมอยู่ ไผ่พญาพูดกับอภิวัฒน์และภูวนัย “ขอโทษที่มารบกวนนะคะ”
ไผ่พญายกมือสวัสดีอภิวัฒน์ก่อนจะเดินออกไป ขิงกับกระดังงาทำตามแล้วรีบตามไผ่พญาไป ภูวนัยมองไผ่พญาด้วยความเป็นห่วง ก่อนจะตัดสินใจพูดขึ้นกับอภิวัฒน์
“ถ้าท่านไม่รับพวกเขาไว้ ผมขอถอนตัวจากภารกิจนี้”
“หมวดภู คิดดีแล้วเหรอ”
“การปล่อยพวกเขาออกไป ก็เท่ากับเราส่งเขาไปตาย ในเมื่อท่านไม่อนุญาตให้พวกเขาอยู่ที่นี่ผมก็จะออกไปปกป้องพวกเขาเอง” ภูวนัยยื่นไม้ตาย
ไผ่พญามองภูวนัยทั้งซึ้งทั้งทึ่งทั้งเท่ห์เหลือเกิน อภิวัฒน์นิ่งไปอย่างลำบากใจ
ภูวนัย ไผ่พญา ขิงและกระดังงาเดินเข้ามาในเซฟเฮ้าส์ของภูวนัย
“ที่นี่มีกำแพงสูงล้อมรอบ คนภายนอกไม่สามารถมองเข้ามาข้างในได้ อยู่ที่นี่ผมว่าน่าจะปลอดภัย”
“ที่จริงแล้ว แค่มีคุณภูอยู่ด้วยไผ่เขาก็รู้สึกอุ่นใจแล้วละคะ”
“อะไรของแกไอ้งา”
ระหว่างนั้นขิงแทรกขึ้น
“เอ่อ ถ้าไม่ว่าอะไร ขอเดินชมหน่อยได้มั้ยครับ”
“ตามสบายครับ”
ขิงกับกระดังงารีบเดินออกไป ปล่อยให้ภูวนัยอยู่กับไผ่พญาสองต่อสอง
“จริงเหรอที่นายจะถอนตัวเพื่อพวกเรา”
“ไม่จริง”
“อ้าว”
“ถ้าผมไม่บอกอย่างนั้น คุณคิดว่าท่านอภิวัฒน์จะตกลงเหรอ” ไผ่พญาทำหน้าหมั่นไส้ภูวนัย ระหว่างนั้นขิงกับกระดังงาเดินกลับมา “เป็นไงครับ พออยู่กันได้มั้ย”
“สบายมากครับ จะติดก็มีเพียงอย่างเดียว” ขิงหันไปสะกิดให้กระดังงาพูด
“ทำไมต้องให้ฉันพูดด้วยเนี่ย คือ...ฉันเห็นว่ามันมีห้องแค่สองห้อง จะว่าอะไรมั้ยถ้าฉันกับไอ้ขิงจะ...”
กระดังงาทำท่าเขินไม่กล้าพูด
“จะอะไรก็พูดมาซิ”
ภูวนัยรู้ว่าจะพูดอะไรเลยพูดขึ้นเพื่อไม่ให้กระดังงาเขิน
“ผมกะให้พวกคุณอยู่ห้องเดียวกันอยู่แล้ว”
“ขอบคุณครับ/คะ”
ขิงกับกระดังงาบอกพร้อมกัน แล้วทั้งคู่ก็รีบยกกระเป๋าแล้ววิ่งขึ้นข้างบนไป ไผ่พญาถึงกับหมั่นไส้
“ไอ้ขิง...ไอ้งา! โห” ไผ่พญาหันมาทางภูวนัยแล้วก็ชะงัก “ฉันกับคุณคงไม่...”
ภูวนัยรู้ พูดขึ้น
“เดี๋ยวผมนอนที่โซฟาเอง”
“จะดีเหรอ”
“หืม”
ไผ่พญาตกใจ กลัวภูวนัยคิดว่าให้ท่า
“เอ่อ...ฉันหมายความว่านายนอนอีกห้องก็ได้นะ เดี๋ยวฉันนอนโซฟาเอง”
“ไม่เป็นไรครับ เพราะผมจะได้รักษาความปลอดภัยให้พวกคุณด้วย”
“อ๋อ...งั้น ฉันขึ้นเอาของไปเก็บนะ” ภูวนัยพยักหน้า ไผ่พญาเลยถือกระเป๋ากำลังจะขึ้นไปแต่แล้วไผ่พญาก็เก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ “นี่ นายกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่า” ภูวนัยทำหน้างง “ทำไมนายถึงได้ดีกับพวกฉันจัง”
“เอ้า งั้นผมขึ้นไปนอนบนห้องก็ได้”
แล้วภูวนัยก็ทำท่าถือกระเป๋าเสื้อผ้าจะเดินขึ้นข้างบน
“เฮ้ย ไม่ต้องเลย”
ว่าแล้วไผ่พญาก็รีบโกยอ้าวขึ้นข้างบนทันที ภูวนัยมองตามไผ่พญายิ้มๆ
คืนนั้นไผ่พญานอนอยู่ภายในห้อง บิดไปบิดมานอนไม่หลับเพราะได้ยินเสียงขิงกับกระดังงาดังเข้ามาอย่างกระหนุงกระหนิง
“งั้นวันนี้เล่นตำรวจจับผู้ร้ายกันม้า”
“คริ...คริ...จับก็จับซิ”
ไผ่พญาเหลืออดลุกขึ้นแล้วปาหมอนใส่ผนัง
“นี่ เบาๆ หน่อยคนจะนอน”
ไผ่พญาถอนหายใจก่อนจะนึกถึงภูวนัยขึ้น
ไผ่พญาค่อยๆ ย่องลงมาที่ชั้นล่างจึงเห็นภูวนัยนอนหลับอยู่ที่โซฟา
“ผมจะได้คอยรักษาความปลอดภัยให้พวกคุณ หึ...หลับก่อนเพื่อนอย่างนี้ ฉันน่าจะรักษาความปลอดภัยให้นายมากกว่ามั้ง” ไผ่พญาทำท่าจะต่อยจะตบภูวนัยด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะนิ่งไปแล้วมองภูวนัยอีกครั้ง “ฉันยังไม่ได้ขอบคุณนายเลยที่นายช่วยฉันไว้วันนี้...ขอบคุณนะ”
ไผ่พญาพูดเสร็จก็เดินออกไป ภูวนัยจึงลืมตาขึ้นแล้วภูวนัยก็เห็นกระดาษโน้ตที่ไผ่พญาวางเอาไว้บนโต๊ะ ภูวนัยหยิบมาอ่านเห็นกระดาษโน้ตเขียนว่า “ฉันยังติดป้อนสปาเก็ตตี้นายอยู่นะ” ภูวนัยหยิบผ้าโพกผมของไผ่พญาขึ้นมาดู แล้วอมยิ้มที่ไผ่พญาไม่ได้ลืมสัญญา
เช้าวันต่อมาขิงกับกระดังงากำลังนั่งดูโทรทัศน์อยู่ที่โซฟา ไผ่พญาเดินเข้ามาก็แปลกใจเมื่อไม่เห็นภูวนัย
“อ้าว คุณภูละ” ขิงกับกระดังงาหันขวับมาที่ไผ่พญา ไผ่พญาชะงักเพราะท่าทางขิงกับกระดังงาแปลกๆ “อะไรของพวกแก”
“ไผ่ ฉันว่าท่าทางแกแปลกๆ นะ ลงมาก็ถามหาคุณภูเลย”
ไผ่พญาชะงักที่พลาดไป เลยตอบแบบเนียนๆ
“เอ้า...ทำไมละ ก็ตรงนี้มันที่นอนเขา ฉันไม่เห็นก็เลยถาม ก็แค่นั้น จะมีอะไร”
ขิงลุกขึ้นมาคาดคั้น
“เมื่อคืนแกลงมาหาคุณภูใช่มั้ย”
ไผ่พญาตกใจ รู้ได้ยังไง
“อะไร เปล่า”
กระดังงาลุกมาล้อมไผ่พญาไว้อีกคน
“ถ้าเปล่า แล้วผ้าแกอยู่ที่โซฟานี่ได้ยังไง”
กระดังงาโชว์ผ้าโพกผมของไผ่พญาให้ไผ่พญาดู
“เอ่อ อ๋อ...ก็ตอนนั้นแขนคุณภูเขาเจ็บ ฉันก็เลยให้ผ้าเขาเอาไว้พันแขน”
“จริงนะ”
“เออเด่ะ” ไผ่พญาเริ่มหงุดหงิด “พวกแกอะไรนักหนาเนี่ย ติดพันจากบทตำรวจเมื่อคืนหรือไง ฉันไม่ใช่ผู้ต้องหาให้แกมาสอบสวนนะเว้ย”
ไผ่พญารีบดึงผ้าคืนแล้วเอาไปนั่งที่โซฟา
“แล้วจะบอกได้หรือยังว่าเขาไปไหน”
“ไม่รู้เหมือนกัน พวกเราลงมาก็ไม่เห็นเขาแล้ว”
ไผ่พญาสงสัยว่าภูวนัยไปไหน
ที่เซฟเฮ้าส์อภิวัฒน์ สมสุขกำลังเสิร์ฟกาแฟให้กับอภิวัฒน์และภูวนัย
“ผมได้ยินท่านอภิวัฒน์เล่าเรื่องภารกิจแรกให้ฟังแล้ว ต้องขอชมเชยจากใจจริง...จริงๆ”
ภูวนัยไม่สนใจสมสุข หันไปถามอภิวัฒน์
“เรียกผมมาแต่เช้า มีอะไรครับท่าน”
“สมสุขเขานึกแผนของภารกิจที่สองได้ แล้วเขาก็อยากคุยกับคุณ”
ภูวนัยทำหน้าเซ็ง สมสุขเห็นอย่างนั้นก็อยากจะกวน
“ยิ้มหน่อยซิหมวด นี่ยังไม่เชื่อใจผมอีกเหรอว่าเราเป็นพวกเดียวกันแล้ว”
“แกเป็นโจร ส่วนฉันเป็นตำรวจไม่มีทางเป็นพวกเดียวกันได้”
“แน่ใจเหรอ บางทีเราก็แยกไม่ออกหรอกนะหมวด”
สมสุขเริ่มกวนประสาทภูวนัยไปพลางเทน้ำตาลใส่กาแฟไป ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็เอาคืน
“จะใส่น้ำตาลทำไม เส้นประสาทนายหายแล้วเหรอ”
สมสุขถึงกับชะงักมือ ก่อนจะเปิดขวดน้ำตาลแล้วเทจนหมดขวดแล้วยกขึ้นจิบ
“นั่นซิ ไม่รู้จะเติมทำไม”
“เอาละ ผมว่าเราเข้าเรื่องกันแล้ว สมสุข...แผนของคุณคืออะไร”
สมสุขนิ่ง ภูวนัยเองก็อยากรู้เช่นกัน
อ่านต่อหน้า 3
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 12 (ต่อ)
เวลาต่อมา สมสุขเอารูปของห้าเสือมาวางเรียง แยกคู่ของแม่เลี้ยงรัญญากับนายหัวคึกไว้เป็นพวกเดียวกัน
“ตอนนี้ นายหัวกับแม่เลี้ยงก็เริ่มกินใจกันแล้ว”
สมสุขจับรูปของแม่เลี้ยงรัญญากับนายหัวคึกแยกออกจากกัน อภิวัฒน์และภูวนัยกำลังฟังตามสมสุขอย่างตั้งใจ
“แล้วถ้าผมคาดการณ์ไม่ผิด คู่ต่อไปก็น่าจะเป็น...นายหัวคึก...กับเสี่ยแคน”
“ทำไมคิดว่าเป็นสองคนนี้”
“ไม่ยาก ก็อย่างที่ผมบอกว่านายหัวคึกเป็นคนที่เห็นแก่เงินแล้วคราวที่แล้วหมวดก็ทำให้มันเสียหายไปหลายอยู่ มันคงโมโหมาก แล้วในห้าเสือคนที่ต่างกับมันสุดขั้วก็คือเสี่ยแคน”
สมสุขแยกรูปของเสี่ยแคนไปไว้ฝั่งเดียวกับแม่เลี้ยงรัญญา
“ต่างกันสุดขั้ว หมายความว่าไง”
“เสี่ยแคนมันเป็นคนรู้ทิศทางลม คนอื่นอาจจะขึ้นมาใหญ่ได้เพราะการใช้กำลัง...ใช้อำนาจ...ใช้เงิน...แต่เสี่ยแคน...มันใช้” สมสุขชี้ไปที่สมอง “แล้วฉันก็คิดว่า ตอนนี้นายหัวคึกต้องไม่ยอมจ่ายเงินที่ต้องเสียให้วศินอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็จะส่งผลต่อธุรกิจของมัน”
“นายแน่ใจได้ยังไง ท่านครับผมว่าเรารอดูท่าทีมันไม่ดีกว่าเหรอครับ”
“ดูทำไม หมวด...ตอนนี้เหล็กมันร้อนแล้ว ถ้าไม่ตีตอนนี้แล้วจะตีตอนไหน”
อภิวัฒน์ฟังข้อมูลต่างๆ แล้วชั่งใจ ก่อนที่อภิวัฒน์จะถามสมสุข
“แล้วแผนนายคืออะไร”
ไผ่พญาอยู่ในห้องกำลังชะโงกหน้าดูการกลับมาของภูวนัยผ่านทางหน้าต่างอย่างรอคอย
“ไปไหนเนี่ย”
ไผ่พญาเดินมานั่งที่เตียงท่าทางหงุดหงิดก่อนที่ไผ่พญาจะปรับอารมณ์ซะใหม่ แล้วจับหมอนข้างมาพิงกับผนัง
“เอ่อ วันนี้วันเกิดฉัน...ฉันก็เลยอยากอวยพรให้นายมีความสุข อ๊าย...ไม่ใช่ๆ ทำไมไม่มีใครจำวันเกิดฉันได้เลยเนี่ย” ไผ่พญาหันมองไปทางห้องขิงกับกระดังงา “โดยเฉพาะพวกแก เพื่อนฉันแท้ๆ”
ระหว่างนั้นเสียงของกระดังงาดังแหววเข้ามา
“ไผ่”
“ฉันนึกแล้วว่าพวกแกต้องจำได้”
ไผ่พญารีบวิ่งไปเปิดประตู ไผ่พญาวาดฝันเอาไว้ว่าขิงกับกระดังงาคงยืนถือเค้กอยู่เลยพูดว่า
“ขอบใจมาก” แล้วไผ่พญาก็ชะงักไปเมื่อเห็นขิงกับกระดังงาแต่งตัวเหมือนจะไปข้างนอก “พวกแกจะไปไหนเนี่ย”
“โห อยู่บ้านทั้งวันเบื่อจะตาย พวกเราก็เลยว่าจะออกไปเที่ยวซะหน่อย”
“เที่ยว...พวกแกไม่กลัวเจอไอ้พายัพนั่นหรือไง”
“พวกเรากะว่าจะแค่ตลาดนัดตรงนี้เอง อย่างมันคงไม่มาเดินตลาดนัดมั้ง เออ...แล้วเมื่อแกขอบใจอะไรวะไผ่”
“เปล่า พวกแกจะไปไหนก็ไปเถอะ”
ขิงกับกระดังงายิ้มดี้ด้ากันออกไป ไผ่พญาปิดประตูห้องสุดแสนจะเคือง
“ไอ้...ไอ้” ไผ่พญาพูดไม่ออก “ขนาดวันโกนจุกพ่อแกฉันยังจำได้ นี่แค่วันเกิดฉัน พวกแกนี่...ฮึ่ยย์” ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีก ก๊อกๆ ไผ่พญายิ้มออกมาทันทีแล้ววิ่งไปเปิดประตู “หลอกฉันซะสนิทเลยนะ...อุ้ย”
ไผ่พญาชะงักไปเพราะคนที่ยืนอยู่ที่ประตูกลายเป็นภูวนัย ทำให้ไผ่พญาผิดหวังอีกครั้ง
“มีอะไรหรือเปล่าคุณ”
“เอ่อ...เปล่า” ไผ่พญารีบถามก่อนที่จะโดนภูวนัยถาม “แล้วนายหายไปไหนมาแต่เช้า”
“ผมไปหาท่านอภิวัฒน์มา”
ระหว่างนั้นขิงกับกระดังงาเดินกลับเข้ามา
“อ้าว ยังไม่ไปอีกเหรอ”
“ครูขิงกับครูงาเจอผมที่หน้าประตูพอดี ก็เลยบอกว่าผมมีเรื่องอยากคุยกับพวกคุณ”
“คุยกับพวกเรา”
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาสงสัยว่าภูวนัยจะคุยเรื่องอะไร
ไผ่พญา ขิงและกระดังงางงๆ อึ้งๆ
“ช่วยราชการเหรอ”
ภูวนัยพยักหน้า ขิงได้ยินอย่างนั้นก็ดีใจ
“ได้ยินมั้ย ฉันกำลังจะได้เป็นตำรวจแล้วเว้ย” ขิงบอกกระดังงาอย่างดีใจแล้วทำเสียงหล่อ “สวัสดีครับ...ผมร้อยตำรวจเอกขิง มาช่วยคุณแล้วครับ”
“เท่ห์มากเลยอ่ะขิง อย่างนี้ต่อไปเราก็ไม่ต้องกลัวไอ้พายัพแล้วเนอะ”
“นี่ ให้มันน้อยๆ หน่อย คุณภูเขาบอกว่าช่วยราชการ ไม่ได้ให้พวกแกเป็นตำรวจ ถ้าเป็นง่ายๆ อย่างนั้น ป่านนี้คุณภูเขาก็กลับไปเป็นตำรวจแล้วซิ” ไผ่พญาพูดเสร็จก็รู้สึกตัวว่าภูวนัยต้องรู้สึกกับคำพูดของเธอแน่ๆ ไผ่พญารีบหันมองภูวนัย “เอ่อ ฉันขอโทษ”
ภูวนัยแม้จะรู้สึก แต่ก็ต้องรีบทำงานหันไปบอกขิงกับกระดังงา
“สิ่งที่พวกเรากำลังจะทำเป็นสิ่งที่ตำรวจทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมถึงต้องการคนที่ไม่ได้เป็นตำรวจอย่างพวกคุณ”
ไผ่พญาสงสัย
“แล้วนายอยากให้พวกเราทำอะไร”
คืนนั้นที่ผับแห่งหนึ่งที่ดูดีมีระดับ เท้าของผู้หญิงสองคนใส่ส้นสูงสูงปรี้ดเดินมาตามทางซึ่งก็คือไผ่พญากับกระดังงาในชุดเซ็กซี่จนผู้คนที่เดินผ่านไปถึงกับต้องมองตามกันเหลียวหลัง
เสียงของภูวนัยแทรกเข้ามา
“นี่คือรูปของคนที่คุณต้องเข้าไปโปรยเสน่ห์”
ภูวนัย ไผ่พญา ขิงและกระดังงากำลังนั่งวางแผนกันในรถตู้ ไผ่พญาและกระดังงาอยู่ในชุดเซ็กซี่แล้ว เสมือนว่าย้ำแผนอีกครั้งก่อนจะลงมือ ภูวนัยเอารูปของชายคนนึงให้กับไผ่พญาและกระดังงาดู
“เขาชื่อเคน เป็นลูกชายคนเดียวของเสี่ยแคน”
“เสี่ยแคน...คุ้นๆ แหะ”
“ผู้มีอิทธิพลมากที่สุดในอีสาน”
“แล้วฉันต้องทำยังไง”
“พามาหาผม ผมอยากคุยกับเขา”
ประตูรถตู้เปิดออก ไผ่พญาและกระดังงาลงจากรถ ภูวนัยตามลงมาแล้วยื่นหูฟังให้กับไผ่พญาและกระดังงา
“ใส่หูเอาไว้”
ขิงเห็นก็ตื่นเต้นเหลือเกิน
“โห เหมือนในหนังสายลับเลยอ่ะ นี่เขาติดยังไงแกรู้มั้ย”
“ก็ใส่หูไว้ไง”
ใครบอก...นี่” แล้วขิงก็เอาไปติดที่หน้าผากกระดังงา “คุณภูเขาอยากให้แกปลอมตัวเป็นเด๋อดอกสะเดา”
“หือ! ใช่เวลาเล่นมั้ยเนี่ยไอ้ขิง” กระดังงาดึงมาแล้วยัดใส่หู ภูวนัยหันไปมองไผ่พญาก็เห็นไผ่พญายังใส่หูไม่ได้
“ผมช่วย” ภูวนัยช่วยไผ่พญาใส่วิทยุสื่อสารที่หู ภูวนัยกับไผ่พญามีสบตากัน ไผ่พญาท่าทางเขินๆ “ไม่ต้องห่วงผมดูคุณอยู่ตลอดเวลา”
ไผ่พญาพยักหน้า รู้สึกอุ่นใจอย่างประหลาด แล้วไผ่พญากับกระดังงาเดินออกไป ภูวนัยมองตามอย่างเป็นห่วง ขิงเข้ามาพูดอย่างไม่รู้กาลเทศะ
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณภู ไอ้เรื่องยั่วผู้ชายเนี่ย พวกนี้เขาถนัด”
“ถนัด”
ขิงนึกได้ว่าหลุดไป
“อ๋อ เอ่อ...ผมหมายความว่า มันเป็นสัญชาติญาณของผู้หญิงน่ะครับ”
ภูวนัยหันไปมองตามไผ่พญาด้วยความเป็นห่วงอีกครั้ง ขณะที่ขิงแอบเป่าปากโล่งอก
ไผ่พญาและกระดังงาเดินเข้ามาในผับเห็นนักเที่ยวทั้งเต้นทั้งดื่มกินมากมาย ไผ่พญาและกระดังงามองไปรอบๆ ระหว่างนั้นเสียงของขิงดังแทรกเข้ามาในวิทยุ
“สิบเอ็ดนาฬิกา”
ไผ่พญามองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็น ที่มุมหนึ่งเห็นภูวนัยยืนอยู่กับขิงที่โต๊ะนึงไม่ห่างกันมากนัก
“สิบเอ็ดนาฬิกาอะไรเล่า ฉันไม่รู้เรื่อง พูดให้มันเข้าใจง่ายๆ หน่อยได้มั้ยไอ้ขิง”
“โห...พูดธรรมดามันก็ไม่เหมือนสายลับดิ” ภูวนัยเซ็ง
“มองไปข้างหน้าทางซ้ายมือของพวกคุณ”
ไผ่พญากับกระดังงามองไปก็เห็นเคนอยู่ที่มุมหนึ่ง รายล้อมไปด้วยบอร์ดี้การ์ดและผู้หญิง ไผ่พญากับกระดังงาเดินมาที่โต๊ะ บริกรเดินเข้ามาวางเครื่องดื่มให้
“ฉันเข้าประจำที่แล้ว”
ภูวนัยจับจ้องไปที่ไผ่พญาและกระดังงาที่กำลังจะเริ่มแผนการ กระดังงาปรายตามองไปที่เคนที่กำลังนั่งกินอย่างมีความสุขกับสาวๆ สองคนที่นั่งขนาบข้าง เคนมองมาทางโต๊ะของไผ่พญาซึ่งไผ่พญานั่งหันหลัง ส่วนกระดังงานั่งหันหน้าไปทางเคน กระดังงายกแก้วขึ้นเชื้อเชิญเคน เคนอมยิ้ม
กระดังงายิ้มยั่วสุดฤทธิ์แต่แล้วกระดังงาก็ต้องโดนเบรกเพราะสองสาวที่นั่งขนาบข้างเคนดันยกนิ้วกลางส่งให้กระดังงาแทน
“หนอย...ก่อนจะยั่วไอ้หมอนั่นฉันขอตบนังพวกนี้ก่อนได้มั้ย”
“ฉันว่าถ้าเขายังอยู่กับสองชะนีนั่นพวกเราเข้าไปไม่ถึงตัวแน่ๆ”
ไผ่พญาพูดกับภูวนับ ไผ่พญาหันมองไปแล้วก็เห็นเคนกำลังคลอเคลียกับสองสาว ภูวนัยใช้ความคิด
ที่โต๊ะเคน สองสาวหน้าจิกเพราะเห็นกระดังงาทำท่ายั่วเคน
“อะไรของมัน ก็เห็นอยู่ว่าพี่เคนเขาอยู่กับพวกเรายังมาให้ท่าอีก”
“เอาน่า อย่าไปว่าเขาเลย พี่ผิดที่หน้าตาดีเอง” เคนบอก
“พี่เคน หนูไม่สนุกแล้วอ่ะ ไปที่อื่นดีกว่า”
ที่โต๊ะไผ่พญา กระดังงาเห็นเคนกับสองสาวทำท่าจะลุกขึ้นก็ตกใจ
“เฮ้ย! ไปไหนอ่ะ”
ไผ่พญาหันไปมองก็เห็นสองสาวกำลังดึงเคนให้ลุกขึ้น ไผ่พญารีบรายงานภูวนัย
“พวกนั้นกำลังจะไปแล้ว เอาไง” ภูวนัยกำลังคิดหาทาง แต่แล้วไผ่พญาก็ตัดสินใจขึ้นมาทันที “นายมาหาฉันหน่อย”
“ทำอะไร”
“มาเถอะน่า”
ภูวนัยหันไปบอกกับขิง
“นายรออยู่นี่”
ภูวนัยรีบเดินไปที่โต๊ะของไผ่พญาทันที
ภูวนัยเดินเข้ามาหาไผ่พญา ไผ่พญาพูดผ่านไมค์ที่ติดอยู่
“ดึงมือฉันเอาไว้” ภูวนัยงง “เร็วซิ”
แล้วภูวนัยก็เข้ามาดึงแขนไผ่พญาเอาไว้ ไผ่พญาทำเป็นสะบัดออก
“ไอ้บ้า ปล่อยนะ ฉันบอกให้ไปไกลๆ ไง “
ไผ่พญาสะบัดมือออกแล้วทำเป็นเดินหนีมาทางเคน ไผ่พญาแอบส่งซิกให้ภูวนัยตามมา ภูวนัยเข้าใจแผนเลยตามเข้าไปยื้อไผ่พญาเอาไว้ ไผ่พญาวิ่งเข้าไปชนเคนที่กำลังจะเดินออกไปพร้อมกับสองสาว
“ว้าย...อะไรของเธอเนี่ย”
“พี่ ช่วยหนูด้วย”
ไผ่พญาซบอกของเคน พอเคนเห็นไผ่พญาก็ถึงกับตาลุกวาวทันที บอร์ดี้การ์ดจะเข้ามาดึงไผ่พญาออก แต่เคนห้ามเอาไว้
“เฮ้ย!...มีอะไร”
เคนถามไผ่พญา ยังไม่ทันที่ไผ่พญาจะตอบ ภูวนัยก็ปรี่เข้ามา บอร์ดี้การ์ดเข้ามาขวาง
“เฮ้ย เรื่องของผัวเมีย อย่ายุ่ง”
“ไม่ใช่คะ เขาจีบฉันแต่ฉันไม่เล่นด้วย เขาก็จะให้ฉันไปกับเขาให้ได้”
เคนถึงกับปล่อยสองสาวแล้วโอบไผ่พญาเอาไว้ ก่อนจะเดินเข้ามาหาภูวนัย
“ได้ยินยัง จะกลับไปดีๆ มั้ยไอ้น้อง”
แล้วเคนก็หันไปเปิดเสื้อนอกของลูกน้องคนนึงให้ภูวนัยเห็นปืนที่เหน็บไว้อยู่ ภูวนัยแสร้งกลัว
“ก็ได้ ไม่มีปัญหา”
ภูวนัยค่อยๆ หลบออกมา ไผ่พญายืนหน้าซีดตัวสั่น
“เรียบร้อย”
“ขอบคุณนะคะ”
“เรียบร้อยแล้วก็ไปได้หรือยังพี่เคน”
“ก็ไปซิ ใครรั้งไว้ละ”
สองสาวถึงกับอึ้ง เคนพยักหน้าให้บอร์ดี้การ์ด บอร์ดี้การ์ดเลยลากตัวสองสาวออกไปแทน ไผ่พญามองเคนอย่างซึ้งกินใจ
ภูวนัย ขิงและกระดังงาอยู่ที่มุมหนึ่ง ขิงกำลังบ่นกระดังงา
“แกนี่ไม่ได้เรื่องเลย”
“โห...พูดอย่างนี้แกอยากได้เรื่องมั้ยไอ้ขิง”
ขิงถึงกับสะอึก ก่อนจะหันไปถามภูวนัยที่กำลังจับจ้องไปที่โต๊ะเคน
“แล้วเอาไงต่อครับคุณภู”
“ถึงเวลาเราแล้ว”
ไผ่พญากำลังนั่งพะเน้าพะนอเคนอยู่ที่โต๊ะ
“ชื่อแอปเปิ้ลเหรอ” เคนมองชุดไผ่พญาที่เป็นสีแดง “พี่เชื่อละว่าข้างนอกน่ะแดงเหมือนแอปเปิ้ล แต่ข้างในนี้ซิไม่รู้ว่าจะขาวเหมือนแอปเปิ้ลหรือเปล่า”
ไผ่พญาค่อยไล่นิ้วไปที่ต้นคอ จนถึงติ่งหู ก่อนที่ไผ่พญาจะกระซิบข้างหูเคน
“ไปหาที่ปอกกันมั้ยคะ”
เคนมองไผ่พญาตาเยิ้ม
ไผ่พญาดึงเคนมาทางห้องน้ำหญิง เคนเห็นอย่างนั้นก็ดึงไผ่พญาเอาไว้
“เดี๋ยวๆ ไม่ไปบ้านพี่เหรอ”
ไผ่พญาชะงักทำหน้าประมาณสะอิดสะเอียน ก่อนจะหันไปทางเคนด้วยใบหน้าที่เซ็กซี่สุดๆ
“เปิ้ลอยากขย้ำพี่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ”
ไผ่พญาพูดจบก็กัดฟันหรี่ตา จนเคนแทบจะละลายตรงนั้น ไผ่พญารีบดึงเคนไปทางห้องน้ำทันที
พอไผ่พญากับเคนหลุดไปทางห้องน้ำ กระดังงาก็ยกเก้าอี้มาตั้งปิดทางเอาไว้พร้อมกับป้าย “ห้องน้ำชำรุด” มาตั้งไว้
ไผ่พญาลากเคนเข้ามาในห้องน้ำหญิงที่ไม่มีคนอยู่
“ไหน พี่อยากเห็นแล้วว่าขาวจริงแค่ไหน”
“ใจเย็นๆ ซิคะ” ไผ่พญาดึงผ้าโพกหัวที่ภูวนัยให้ไว้ออกมา “ปิดตาก่อนนะ”
“ลูกเล่นเยอะจริงๆ...มะ...พี่ชอบ”
แล้วเคนก็ดึงผ้าไปปิดตาตัวเองให้เสร็จสรรพ ไผ่พญาจับมือเคนแล้วดึงมาที่อ่าง
“นอนลงซิคะ” เคนนอนลง “ส่งมือมาซิคะ”
“นี่จ้ะ” เคนส่งมือให้ไผ่พญา ก่อนจะเห็นว่ามีอีกมือนึงมาใส่กุญแจมือของเคน “มีกุญแจมือด้วย”
ภูวนัยกำลังจับมือของเคนนอนลงคล้องกุญแจมือเข้ากับท่อน้ำใต้อ่างล่างหน้า
“คุณกลับไปรอที่รถแล้วกัน”
เคนได้ยินเสียงภูวนัยก็ชะงัก
“เฮ้ย! น้องเปิ้ล ทำไมพี่ได้ยินเสียงผู้ชาย”
“นายจะทำอะไร” ไผ่พญาถามภูวนัย
“ผมแค่จะคุยกับเขา ไม่มีอะไรหรอก”
เคนเริ่มรู้ตัวว่าโดนหลอก
“เฮ้ย พวกมึงเป็นใคร ปล่อย...ปล่อยกูเดี๋ยวนี้”
เคนดิ้นพล่าน ไผ่พญารีบออกจากห้องน้ำไป พอไผ่พญาออกจากน้ำ ภูวนัยก็หันมาพยักหน้าให้ขิง ขิงจับเคนขึ้นมาก่อนจะต่อยเปรี้ยง
เคนถูกซ้อมจนกองเละกับพื้น ภูวนัยเดินเข้ามาจิกหัวเคนขึ้นแล้วพูดใต้
“บอกพ่อมึงด้วย ทีหลังอย่ามาแหยมกับนายหัว...นี่แค่สั่งสอน” ภูวนัยลุกขึ้นแล้วทำเป็นคุยโทรศัพท์ “เรียบร้อยแล้วครับนายหัว จะให้ตัดสักชิ้นส่งไปให้พ่อมันดูมั้ยครับ ได้ครับนายหัว”
ภูวนัยหันไปพยักหน้าให้กับขิง ขิงเดินออกไปจากห้อง ภูวนัยเดินตามไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ ภูวนัยเดินกลับมาก่อนจะดึงผ้าปิดตาที่เป็นผ้าโพกหัวของไผ่พญากลับไปด้วย ส่วนเคนนอนอ่วมอรทัยอยู่กับพื้นห้องน้ำ
ภูวนัย ไผ่พญา ขิงและกระดังงากลับเข้ามาในบ้าน
“โห...ที่จริงเราน่าจะอยู่เที่ยวต่อเลยนะครับเนี่ย”
“เอาดิ อยู่ต่อรอพวกนั้นมากระทืบก็เอาดิ”
“แกนี่ ขัดคอฉันอยู่เรื่อย”
ภูวนัยหันมาบอกกับทุกคน
“ขอบคุณทุกคนมาก ภารกิจวันนี้ที่สำเร็จได้ก็เพราะพวกคุณ”
“คุณภูขอบคุณไอ้ไผ่มันเถอะคะ นี่ถ้าไม่ได้ไผ่ละก็ป่านนี้หมอนั่นคงกำลังสวีหวี่วิวกับนังสองคนนั่นไปแล้ว”
ไผ่พญาเห็นภูวนัยหันมาจะขอบคุณ เลยแก้เขิน
“อะไร พวกเราก็ช่วยๆ กันนั่นแหละ”
“ขอบคุณนะครับ...น้องเปิ้ล”
ไผ่พญาถึงกับหมดมู้ด
“โห...ทีหลังไม่ต้องมาขอให้ช่วยเลยนะ”
“เอ้า ใครจะไปคิดว่าครูอย่างพวกคุณจะเล่นได้เนียนขนาดนั้น”
คำพูดของภูวนัยทำเอาทุกคนสะอึก ขิงกับกระดังงาต้องรีบชิ่งก่อนที่ภัยจะถึงตัว
“หาววว...วันนี้ทำไมมันง่วงอย่างนี้นะ”
“นั่นซิ ฉันไปนอนก่อนนะไผ่ ราตรีสวัสดิ์คะคุณภู”
ขิงกับกระดังงารีบเดินออกไป ไผ่พญาพยายามจะร้องเรียก
“เดี๋ยวก่อนซิ...นี่”
ไผ่พญามองตามขิงกับกระดังงาแล้วก็หน้ามุ่ย ภูวนัยสงสัย
“เป็นอะไรคุณ”
“ก็ไอ้พวกนั่นดิ ลืมวัน...” ไผ่พญาชะงักที่เกือบหลุดปาก
“วันอะไร” ไผ่พญาถามอย่างสงสัย
“วัน...” ภูวนัยรอฟัง “วัน...” แล้วไผ่พญาก็ตัดสินใจไม่บอก “วันนี้เหนื้อยเหนื่อย ฉันไปนอนละนะ”
แล้วไผ่พญาก็เดินออกไป ภูวนัยมองตามด้วยความสงสัย
ไผ่พญาเดินขึ้นมาบนชั้นสองแล้วมองไปทางห้องของขิงกับกระดังงา
“อย่าให้ถึงวันเกิดพวกแกบ้างนะ ฉันจะลืมบ้าง”
ไผ่พญาพูดเสร็จก็เดินเข้าห้องไป หลังจากไผ่พญาเข้าห้องได้ไม่นาน ขิงกับกระดังงาก็ค่อยๆ เปิดประตูออกมาจากห้อง แล้วค่อยๆ ย่องลงบันไดมา
ด้านล่าง ภูวนัยกำลังจะหยิบผ้าโพกหัวของไผ่พญาขึ้นมาดู แต่แล้วระหว่างนั้นได้ยินเสียงขิงกับกระดังงาดังขึ้น
“คุณภู”
ภูวนัยชะงัก รีบเก็บผ้าไม่ให้ขิงกับกระดังงาเห็น
“มีอะไร”
ภูวนัยสงสัยกับอาการลับๆ ล่อๆ ของขิงกับกระดังงา
คืนนั้นไผ่พญาลงมานั่งปาก้อนหินอยู่ที่สนามหน้าบ้านเซ็งๆ ระหว่างนั้นเสียงกระดังงาก็ดังขึ้น
“ไผ่”
ไผ่พญาหันไปก็เห็นกระดังงาเดินเข้ามา
“ทำไมยังไม่นอนอีกแก”
“ไม่ง่วง แล้วแกละเข้าห้องไปแล้วไม่ใช่เหรอ”
“เออ...ก็ไอ้ขิงน่ะดิ เอาแต่ร้องเพลง แกอยากรู้มั้ยมันร้องเพลงอะไร”
“เพลงอะไร”
กระดังงาหันไปให้สัญญาณ ทันใดนั้นเสียงร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ก็ดังขึ้น ไผ่พญาหันไปก็เห็นขิงเดินร้องเพลงเข้ามาโดยมีภูวนัยเดินถือจานซาลาเปามีเทียนปักอยู่ด้านบนเล่มหนึ่งเข้ามา
“พวกแกไม่ได้ลืมวันเกิดฉัน”
“ฉันจะลืมวันเกิดเพื่อนรักอย่างแกได้ไงละ”
ทุกคนร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ดเดย์ให้ไผ่พญา ไผ่พญาซึ้งใจ เพลงจบ ไผ่พญาอธิษฐาน ก่อนจะเป่าเทียนเพียงเล่มเดียวบนซาลาเปา
“พวกเรากะจะซื้อเค้กให้นั่นแหละ แต่พอเสร็จงานร้านเค้กก็ปิดหมดแล้ว แกไม่โกรธนะ”
ไผ่พญายิ้มก่อนจะหันไปกอดกระดังงา
“ขอบใจนะเพื่อน”
“สุขสันต์วันเกิด มีความสุขมากๆ นะแก”
“แฮ่ม...ตาฉันบ้าง เอ้า...พนมมือรับพรซิ” ไผ่พญาพนมมือตามที่ขิงบอกแบบขำๆ “เนื่องในวันเกิดของแก ฉันของให้ปีนี้แกได้ลงจากคานได้แล้ว” ไผ่พญาถึงกับชะงักมองหน้าขิง “อุ้ย...ท่าทางไม่ชอบ งั้นอวยพรใหม่ก็ได้ ถ้าแกไม่ชอบลงจากคาน งั้นขอให้แกขึ้นคานก็แล้วกัน”
“ไอ้ขิง”
ขิงกับกระดังงาหัวเราะกันครื้นเครงเช่นเดียวกับภูวนัยที่อมยิ้มไปด้วย ขิงกับกระดังงาแอบส่งซิกกัน
“เอาละ พวกเราอวยพรเสร็จแล้ว คราวนี้จะได้นอนหลับซะที พวกเราไปก่อนนะ”
ขิงกับกระดังงารีบชิ่งไปอย่างรู้งาน ปล่อยให้ภูวนัยกับไผ่พญายืนเกร็งๆ ทั้งคู่
“ขอโทษนะ ผมไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันเกิดคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอก ก็นายไม่รู้นี่ ที่จริงแล้วมันก็ไม่ได้สำคัญอะไรหรอก ฉันแค่...”
ระหว่างนั้นมีดาวตกจากท้องฟ้า
“นั่นดาวตกนี่”
“ไหน” ไผ่พญาหันไปก็ไม่ทันซะแล้ว “อ้าว...ไม่ทันซะแล้ว”
ภูวนัยนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“งั้นเตรียมตัวใหม่นะ มันใกล้มาละ”
“ไหนละ”
ไผ่พญาเงยหน้ามองฟ้ารอดาวตก
เพราะมัวแต่รอดูดาวตก ไผ่พญาเลยไม่เห็นภูวนัยที่กำลังก้มลงหยิบกรวดก้อนเล็กๆ แล้วปาออกไปเหมือนดาวตก
“นั่นไง”
“เนี่ยนะ ดาวตกของคุณ”
ไผ่พญารีบหลับตาอธิษฐาน ภูวนัยแอบมอง ไผ่พญาลืมตาขึ้น
“เอ...แล้วทำไมฉันต้องเชื่อนายด้วยเนี่ย”
“เอ้า ผมว่ามันน่าจะดีกว่าอธิษฐานกับซาลาเปานะ เอ้า...เอาใหม่...อธิษฐานให้ทันนะคราวนี้” แล้วภูวนัยก็ก้มลงหยิบหินขึ้นมาก่อนจะปาไปอีก “เร็ว”
ไผ่พญาหลับตาอธิษฐาน ก่อนที่จะค่อยๆ ลืมตา แล้วทันใดนั้นไผ่พญาก็อึ้งไปเมื่อเห็นภูวนัยยื่นมือถือให้
“ไงละ ดาวตกผมศักดิ์สิทธิจริงๆ คุณกำลังอยากได้มือถือใหม่ใช่มั้ย”
“รู้ได้ยังไง”
“เอ้า ก็เครื่องเก่าคุณหายไปตั้งแต่ตอนที่โดนพายัพจับไปไม่ใช่เหรอ”
“ไหนบอกว่าไม่รู้วันเกิดฉันไง แล้วไปซื้อมาทำไม”
“ผมซื้อมานานแล้ว” ภูวนัยชะงักไปเพราะหลุดปาก “ก็ตอนนั้นผมเห็นว่าคุณยังมีอยู่...” ภูวนัยทำเป็นเสียงแข็งแบบเดิม “จะใช้สองเครื่องไปทำไม...เอ้ารับไปซิ”
ไผ่พญารับโทรศัพท์มา
“ขอบคุณนะ” ภูวนัยทำหน้าเขินๆ “งั้น ฉันทำดาวตกให้นายมั้งมั้ย”
“ไม่เอา”
“น่า ก็ฉันอยากเล่นนี่ ไม่งั้นฉันปาใส่นายจริงๆ ด้วย”
ไผ่พญากับภูวนัยวิ่งไล่กันอย่างมีความสุข
เสี่ยแคนเดินมาตามทางบนห้องพักคนไข้พร้อมด้วยลูกน้องเดินตามมาเป็นพรวน เสี่ยแคนหน้าขมึงตึงด้วยความโกรธ เสี่ยแคนผลักประตูเข้ามาในห้องเห็นเคนนอนให้น้ำเกลืออยู่บนเตียง เสี่ยแคนเดินเข้ามาดูเคนใกล้ๆ เห็นใบหน้าปูดบวมและเขียวช้ำ เสี่ยแคนกำหมัดแน่นด้วยความโกรธก่อนจะหันไปตบเหล่าลูกน้องของเคนที่ยืนอยู่ในห้อง
“พวกมึง...มึง...มึง” เหล่าลูกน้องของเคนต่างโดนไปเต็มๆ “พวกมึงทำห่าอะไรอยู่ ถึงปล่อยให้ลูกกูเป็นอย่างนี้”
เสียงโวยวายของเสี่ยแคนทำให้เคนค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“พ่อ”
เสี่ยแคนได้ยินเสียงเคนก็หันไปก่อนจะรีบเดินเข้ามาหาที่เตียง
“เคน...ใครทำแก...บอกพ่อมา”
เคนมองเสี่ยแคน เขาจำได้แม่นว่าเป็นฝีมือใคร
เช้าวันรุ่งขึ้น พายัพเดินเข้ามาที่หน้าห้องอาหารส่วนตัว หยุดยืนหน้าห้องแล้วดึงปืนออกมาวางบนถาดเพื่อไปเก็บไม่สามารถเอาเข้าห้องประชุมได้ พายัพเดินเข้ามาในห้องแล้วพบกับแม่เลี้ยงรัญญา กำนันเต่า นายหัวคึกนั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“สวัสดีครับทุกคน เสี่ยแคนยังไม่มานี่”
“ใช่ เป็นคนขอนัดประชุมเอง แล้วมาสายอย่างนี้ ใช้ได้เหรอ”
“แล้วรู้มั้ยว่าเสี่ยแกอยากคุยกับพวกเราเรื่องอะไร” กำนันเต่าถามพายัพ
“เห็นว่าเมื่อคืน ลูกแกโดนซ้อม”
นายหัวคึกได้ยินอย่างนั้นก็แทบไม่เชื่อหูตัวเอง
“โดนซ้อม” แล้วนายหัวคึกก็หัวเราะออกมา “สะใจวะ”
“นายหัว ตอนซ่องของนายหัวถูกจับ เสี่ยแคนเขายังไม่ซ้ำเติมนายหัวเลยนะ”
นายหัวคึกได้ยินแม่เลี้ยงรัญญาพูดอย่างนั้นก็เหล่มอง
“หึ...จะหาขั้วใหม่เหรอรัญญา เข้าข้างมันจังนะ”
“คนอย่างฉันไม่จำเป็นต้องมีขั้ว ฉันแค่รู้สึกว่าพวกเราห้าเสือไม่ควรซ้ำเติมกัน”
เสี่ยแคนเปิดประตูเข้ามาในห้องอย่างฉุนเฉียว ทุกคนหันไปมอง
“เชิญๆ เสี่ย”
เสี่ยแคนหันมองนายหัวคึกก่อนจะเดินตรงปรี่เข้าไปแล้วกระชากคอเสื้อของนายหัวคึกขึ้นมาก่อนจะเหวี่ยงหมัดใส่นายหัวคึกเต็มๆ
“มึงทำลูกกู”
ทุกคนตกใจ นายหัวคึกไม่ยอม ลุกขึ้นแล้วปรี่เข้าไปหาเสี่ยแคน ทุกคนรีบเข้ามาห้ามกันวุ่นวาย
“หยุด”
พายัพเสียงดังเพื่อให้ทุกคนหยุด
“อะไรกันเสี่ย มีเรื่องอะไรกัน”
“แกถามมัน ดีกว่า ว่าเมื่อคืนมันส่งคนไปซ้อมลูกกูทำไม”
“อะไร...ลูกแกโดนซ้อมแล้วเกี่ยวอะไรกับฉัน”
“ลูกฉันมันบอกว่า คนที่ซ้อมมันเมื่อคืนมันโทรรายงานแกเป็นภาษาใต้”
“ภาษาใต้ เฮ้ย...คนพูดใต้ทุกคนต้องเป็นคนซ้อมลูกแกหรือไง สำคัญตัวผิดไปหรือเปล่าเสี่ย ทำไมฉันต้องไปซ้อมลูกเสี่ยด้วย”
“เพราะแกเล่นงานฉันไม่ได้ไง ไอ้หมาลอบกัด”
“มากไปแล้วนะเว้ย”
ทันใดนั้นนายหัวคึกก็เอาปืนที่แอบเอาเข้ามาขึ้นมาจ่อเสี่ยแคนทันที เสี่ยแคนก็ไม่ยอม ชักปืนออกมาเล็งประจัญหน้าเหมือนกัน สถานการณ์ตึงเครียดกันไปหมด ระหว่างนั้นพายัพก้าวมาคั้นกลางระหว่างคึกกับเสี่ยแคนพายัพหันไปมองทั้งสองคน
“เป็นบ้าอะไรกันไปหมด ห๊ะ! นายหัว...นายหัวส่งคนไปซ้อมลูกของเสี่ยเขาหรือเปล่า”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันไม่ได้ทำ มันจะเชื่อเหรอ”
“เสี่ย...ครั้งนี้ผมขอแล้วกัน แล้วผมจะหาคนที่มันทำลูกเสี่ยเอง ถึงตอนนั้นจะรู้เองว่าเป็นฝีมือใคร”
พายัพหันไปสบตาทุกคนไม่ว่าจะเป็นนายหัวคึก กำนันเต่าและแม่เลี้ยงรัญญา
เช้านี้พิธีกรรายการทีวี นั่งอยู่ภายในห้องรับแขก กำลังสัมภาษณ์วศิน
“เป็นยังไงคะท่านผู้ชม วันนี้เราได้พบกับนายตำรวจตงฉินตัวจริงเสียงจริงที่เป็นความหวังของประชาชน...พลตำรวจโทวศิน สหสกุล กันแล้วอย่างจุใจ” วศินนั่งอยู่ข้างๆ ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มดูอบอุ่นและใจดี “ท่านผู้ชมคงจะสงสัยว่าท่านอุทิศตนให้กับประชาชนอย่างนี้ ไม่เหนื่อยหรือกลัวอันตรายจากผู้มีอิทธิพลบ้างเหรอคะ”
ชาติกล้าเดินเข้ามาด้านหลังทีมงาน วศินเห็นแต่ไม่แสดงทางสีหน้าอะไร ก่อนที่วศินจะหันไปตอบคำถามพิธีกร
“ถ้าผมกลัว แล้วใครจะปกป้องดูแลประชาชนละครับ”
“แหม...ได้ยินอย่างนี้แล้วอุ่นใจใช่มั้ยคะท่านผู้ชม ก่อนจะจากกันในวันนี้ อยากให้ท่านฝากถึงคนที่อยากเป็นตำรวจหน่อยซิคะ”
“คุณไม่ต้องเป็นตำรวจที่ดีก็ได้ แต่ผมอยากให้คุณเป็นตำรวจที่รักประชาชนและความถูกต้องก็พอ”
วศินยิ้มให้กล้องอีกครั้งก่อนจะได้ยินเสียงคัทจากทีมงาน
“คมมากค่ะท่าน”
“เหรอ ผมแค่พูดออกมาจากใจเท่านั้น เอาละ...เดี๋ยวน้องๆ พักทานข้าวทานน้ำกันก่อน พี่ให้เด็กเตรียมอาหารให้เยอะเลย ตามสบายนะ” วศินปล่อยให้ทีมงานทำงานเก็บของกันไป ส่วนตัวเขาเดินเข้ามาหาชาติกล้าที่ยืนรออยู่
“อั้วบอกแล้วใช่มั้ยว่าวันนี้อั้วมีอัดรายการ”
“แต่ผมอยากให้ท่านทราบเรื่องนี้เอาไว้ครับ”
วศินมองหน้าชาติกล้าสงสัยว่าเรื่องอะไร
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 12 (ต่อ)
วศินกำลังใช้โทนเนอร์เช็ดเครื่องสำอางอยู่ในห้องทำงาน
“เรื่องแค่นี้ก็ทะเลาะกัน พวกมันเป็นเด็กกันหรือไง”
ชาติกล้ายืนอยู่ภายในห้อง
“แล้วเราต้องทำอะไรหรือเปล่าครับ รู้สึกว่าช่วงนี้นายหัวคึกจะมีปัญหานะครับ คราวที่แล้วก็กับแม่เลี้ยง ตอนนี้ยังมีปัญหากับเสี่ยแคนอีก”
“ทำ? จะทำอะไร ลื้ออยากให้อั้วขาดรายได้หรือไง”
“แต่การปล่อยไว้อย่างนี้ ท่านไม่กลัวกลุ่มห้าเสือจะแตกกันเหรอครับ”
“ลื้อก็ไปบอกไอ้พายัพให้มันดูแลดีๆ ซิวะ” วศินหันมาจ้องหน้าชาติกล้า “พวกมันจะเป็นยังไงอั้วไม่สน อั้วสนแค่พวกมันยังสนเงินให้อั้วทุกเดือนก็พอ”
ชาติกล้านิ่งไปเหมือนน้อมรับคำสั่ง
ขณะที่ชาติกล้ากำลังเดินออกมาจากบ้านวศิน ระหว่างนั้นเสียงมือถือดังขึ้น ชาติกล้าหยิบมือถือขึ้นมาดูก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นว่าเป็นปลายฟ้าโทร.มา ชาติกล้าปรับอารมณ์ก่อนจะรับสาย
“สวัสดีฟ้า”
ปลายฟ้ายืนอยู่หน้าห้องพักคนไข้
“คุยได้มั้ยชาติ”
ชาติกล้าเดินหลบมามุมหนึ่งที่ไม่มีคน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน
“ได้ซิ มีอะไรหรือเปล่า”
“เอ่อ ชาติได้ข่าวภูบ้างหรือเปล่า”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักหน้าตึงขึ้นมาทันที
“ถ้าเราได้ข่าวมัน ฟ้าคงได้เห็นทางหนังสือพิมพ์แล้วละ”
“ชาติ ตอนนี้เราซีเรียสอยู่นะ”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็เอะใจ
“มีอะไรหรือเปล่า”
“ม่านเมฆแพ้ยาอย่างรุนแรง เราแค่คิดว่าถ้าตอนนี้ชาติจับภูได้ เราอยากคุยกับภูว่าม่านเมฆเขาแพ้ยาเพนนิซิลินใช่มั้ย”
“เราไม่ได้ข่าวภูเลย”
ปลายฟ้านิ่งไปก่อนจะตัดสินใจถามขึ้น
“ชาติ ถ้าวันไหนที่ชาติจับภูได้ ช่วยบอกเราได้มั้ย”
ชาติกล้าสัมผัสได้ถึงความรักและความเป็นห่วงที่ปลายฟ้ามีให้กับภูวนัยก็ไม่พอใจ
“แค่นี้ก่อนนะฟ้า เรามีงานด่วน”
ชาติกล้าวางสายด้วยความรู้สึกที่อยากกำจัดภูวนัยมากขึ้น
ปลายฟ้าเปิดประตูเข้ามาในห้องเห็นเผ่าพงศ์และม่านหมอกเฝ้าม่านเมฆอยู่ภายในห้อง
“ไง...เจ้าชาติว่าไง”
ปลายฟ้าส่ายหน้า เผ่าพงศ์กับม่านหมอกเศร้าไป ปลายฟ้าจึงรีบพูดขึ้นอย่างปลอบใจ
“แต่ถ้าคิดในแง่ดี ก็แสดงว่าตอนนี้ภูยังไม่โดนตำรวจจับ”
“วันนี้ไม่โดน พรุ่งนี้อาจจะโดนก็ได้...เฮ้อ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น ตะวันฉายเปิดประตูเข้ามา
“พี่ตะวัน มาได้ยังไงคะ”
“พอดีพี่ไปเยี่ยมพวกเราที่รีสอร์ตแล้วป้าพรรษาบอกว่าทุกคนมาเฝ้าม่านเมฆที่นี่” ตะวันฉายหันไปถามปลายฟ้า “ม่านเมฆเป็นอะไรครับ”
“คิดว่าน่าจะแพ้ยาเพนนิซิลิน”
“แล้วต้องทำยังไงครับ”
“รักษาอาการแพ้ยาน่ะไม่เท่าไหร่หรอก แต่ฉันกลัวว่าเมฆเขาจะแพ้ยาตัวอื่นอีก เดี๋ยวจะยิ่งเป็นหนักกว่าเดิม”
“คนเดียวที่รู้คืออาภู แต่ตอนนี้เราก็ติดต่ออาภูไม่ได้เลย”
ตะวันฉายหนักใจไปกับทุกคนด้วย
“เดี๋ยวก่อนครับ บางทีผมอาจจะติดต่อคุณได้”
ทุกคนหันมองตะวันฉายด้วยความสงสัยว่าตะวันฉายจะติดต่อภูวนัยยังไง
ไผ่พญาเดินลงมาจากชั้นบนเห็นภูวนัยกำลังกวาดบ้านอยู่ ก็ชะงัก ทำหน้าตัวไม่ถูก ไผ่พญาค่อยๆ หันหลังกลับกำลังจะย่องกลับขึ้นไป ระหว่างนั้นภูวนัยหันมาเห็นพอดี
“อย่าบอกนะว่าคุณเพิ่งตื่น”
“นี่ มองฉันในแง่ดีหน่อยไม่ได้หรือไง ฉันน่ะตื่นนานแล้วแต่นั่งสมาธิอยู่ข้างบนต่างหาก แล้วครูขิงกับครูงาละ”
“เห็นบอกว่าออกไปซื้อเครื่องใช้ส่วนตัวน่ะ”
ไผ่พญาเห็นภูวนัยกำลังกวาดบ้าน เธอเลยเดินมาหยิบไม้กวาดมากวาดบ้านด้วยอีกคน
“ไม่ต้องหรอก เดี๋ยวผมทำเอง”
“ได้ไง ที่จริงฉันไม่ได้จะช่วยหรอก แต่เห็นนายทำแล้วฉันไม่ช่วยนายก็คงแอบว่าฉันในใจอีกนั่นแหละ”
ภูวนัยอมยิ้มก่อนจะหันไปกวาดต่อ ไผ่พญาเดินไปกวาดอีกมุม ภูวนัยหันมองไผ่พญาที่กำลังกวาดพื้นอยู่ เหมือนอยากจะชวนคุย แต่ก็...อย่าเลย
แต่พอภูวนัยหันกลับไปกวาดพื้นต่อ ไผ่พญาก็หันมามองภูวนัยเช่นกัน ไผ่พญาเองก็อยากจะชวนคุยแต่ก็คิดเหมือนภูวนัย อย่าเลย...
ระหว่างนั้นไผ่พญารู้สึกเหมือนมีบางอย่างเกาะที่เท้า จึงก้มลงไปมองแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นว่าแมลงสาปอยู่ที่เท้าของเธอ
ไผ่พญาร้องกรี้ดด "แอร๊ยย”
ภูวนัยหันกลับไปด้วยความตกใจแล้วก็ยิ่งตกใจเมื่อเห็นไผ่พญาวิ่งเข้ามา
“เฮ้ย”
ไผ่พญาวิ่งชนเข้ากับภูวนัย จนทั้งคู่ล้มไปกับพื้นด้วยกัน เมื่อทุกอย่างนิ่งสนิททั้งภูวนัยกับไผ่พญาต่างก็สบตาไม่ละสายตาจากกัน ระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาก็ดังขึ้นทำให้ทั้งคู่ต่างก็รู้สึกตัว
ไผ่พญารีบลุกขึ้น ภูวนัยเองก็ทำหน้าไม่ถูก ไผ่พญามองเบอร์แล้วรับสาย
“สวัสดีค่ะคุณตะวัน” ภูวนัยแอบเหล่เมื่อได้ยินชื่อตะวันฉาย “คุณภูเหรอคะ” ไผ่พญาหันมองภูวนัยที่มองมาด้วยความสงสัยว่าถามถึงเขาทำไม “ทำไมเหรอคะ” แต่แล้วก็เห็นไผ่พญาตกใจ “อะไรนะคะ ม่านเมฆไม่สบาย”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจมาก
พายัพยืนอยู่บนตึกร้างพร้อมกับชาติกล้า
“หึ...วศินมันบอกอย่างนั้นเหรอ” ชาติกล้านิ่งไม่พูดอะไร “แกว่าตอนนี้ถ้าฉันจะสมัครเป็นตำรวจยังทันมั้ย เผื่อจะได้สบายๆ เหมือนแกกับมัน”
“พายัพ ฉันรู้ว่าตอนนี้แกรู้สึกยังไง”
“รู้เหรอ ถ้าตอนนั้นฉันเป็นฝ่ายเลือกที่จะเดินเข้าโรงเรียนนายร้อย ส่วนแกเข้ามาอยู่ในแก็งค์มาเฟีย...อย่างนั้น...แกถึงจะบอกได้ว่าตอนนี้ฉันรู้สึกยังไง” พายัพตาเขม็งมองชาติกล้า ก่อนที่พายัพจะรู้สึกตัว “โทษที ฉันแค่อยากรำลึกความหลังเท่านั้นเอง”
ชาติกล้าไม่พูดอะไร แล้วหันมองออกไปข้างนอกทอดสายตาและอารมณ์เนิ่นนานก่อนที่ชาติกล้าจะพูดขึ้น
“พวกเราไม่หยุดอยู่แค่นี้หรอก เพียงแต่ว่าตอนนี้มันยังไม่ใช่เวลาของเราเท่านั้นเอง” ชาติกล้าพูดจบก็หันมาตบไหล่พายัพ “ฉันไปก่อน” ทันใดนั้นพายัพก็เจ็บแผลแปล๊บขึ้นมาจนขยับไหล่หนี “เป็นอะไร”
“ของฝากเล็กๆ น้อยๆ จากเพื่อนสุดรักของแกไง”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็รู้ทันที
“ไอ้ภูน่ะเหรอ”
“วันนั้นฉันจับนังโคโยตี้นั่นได้ แต่ไอ้ภูมันมาจากไหนไม่รู้ ช่วยนังนั่นไป”
“ทำไมมันถึงได้รู้การเคลื่อนไหวของแก” ชาติกล้าถามอย่างแปลกใจ
“บางทีมันอาจจะอยู่ใกล้แกจนคิดไม่ถึงก็ได้”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็ทำให้นึกเรื่องที่ม่านเมฆไม่สบายขึ้นมาว่าภูวนัยต้องรู้เรื่องแน่นอน
ภูวนัยเดินไปเดินมาภายในบ้านอย่างกระวนกระวาย ขณะที่ไผ่พญานั่งสีหน้าหนักใจไม่แพ้กันที่โซฟา
“ทำไมไม่มีใครโทรมาอีก คุณโทรหาหมอปลายฟ้าได้มั้ย ผมอยากรู้ว่าเมฆอาการดีขึ้นหรือยัง”
“ใจเย็นๆ ซิ ให้เวลาเขาหน่อย นายบอกสิ่งที่ต้องบอกกับหมอปลายฟ้าไปแล้วไม่ใช่เหรอ ตอนนี้หมอฟ้าคงกำลังรักษาเมฆอยู่แหละ”
แม้ว่าไผ่พญาจะบอกอย่างนั้นแต่ก็ไม่ได้ทำให้ภูวนัยใจเย็นขึ้นเลย
“คุณพูดได้เพราะคุณไม่รู้ว่าเวลาที่เมฆแพ้ยามันแย่แค่ไหน” แล้วภูวนัยเหมือนตัดสินใจอย่างปุ้ปปั้บ “ผมต้องไป”
“ไปไหน”
“ไปหาเมฆ”
ภูวนัยทำท่าผลุนผลันจะออกไป ไผ่พญารีบวิ่งเข้าไปขวาง
“นายจะไปทำไม”
“ผมเป็นห่วงเมฆ”
“แต่ฉันเป็นห่วงนาย” ภูวนัยชะงักไป “นายคิดว่าหมวดชาติกล้าจะไม่วางคนเอาไว้เหรอ ตอนเรากลับไปรีสอร์ตคราวที่แล้วนายก็เห็นแล้วนี่”
“ผมรู้ว่าไอ้ชาติมันคงรอโอกาสนี้อยู่ แต่ยังไงผมก็ต้องกลับไป”
“ถึงแม้ว่าจะถูกจับงั้นเหรอ”
ภูวนัยไม่ตอบ แล้วหันหน้าจะเดินออกไป ไผ่พญามองตามด้วยความเป็นห่วงแล้วไผ่พญาก็ตัดสินใจบางอย่าง
ภูวนัยเดินออกมาจากเซฟเฮาส์ตรงมาที่รถ ระหว่างนั้นไผ่พญาวิ่งมาขวางภูวนัยเอาไว้
“ผมต้องไปจริงๆ คุณอย่าห้ามผมเลย” ภูวนัยพูดอย่างขอร้อง
“ฉันไม่ได้มาห้าม” ภูวนัยสงสัย “ฉันจะไปด้วย ตำรวจต้องการตัวนาย แต่ไม่ได้ต้องการตัวฉันนี่”
ภูวนัยมองไผ่พญาอย่างซึ้งใจ
ภูวนัยกับไผ่พญามาที่โรงพยาบาล ทั้งคู่นั่งอยู่ภายในรถ ภูวนัยมองไปที่หน้าโรงพยาบาลเพื่อดูลาดเลา
“ปลอดภัย”
ภูวนัยทำท่าจะปลดเซฟตี้เบลล์ แต่ไผ่พญากลับพูดขึ้น
“ทำอะไร”
“นี่คุณ ผมมาถึงขนาดนี้แล้ว จะให้ผมนั่งรอในรถเฉยๆ หรือไง”
“แต่ข้างในอาจมีตำรวจอยู่เต็มเลยก็ได้นะ”
“ถึงตอนนั้นค่อยว่ากัน”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะกระจกด้านข้างของภูวนัยดังขึ้น พอภูวนัยกับไผ่พญาหันไปก็ตกใจเมื่อเห็นว่าเป็นตำรวจมายืนอยู่ ไผ่พญาถึงกับโพล่งออกมาด้วยความตกใจ
“ตำรวจ”
“ใจเย็นๆ” ภูวนัยลดกระจกลง “สวัสดีครับ”
ตำรวจก้มลงมาคุยกับภูวนัย ภูวนัยมองตำรวจอย่างระวังตัวเช่นกัน
“สวัสดีครับ ตรงนี้ห้ามจอดนะครับ”
พอตำรวจพูดอย่างนั้นก็ทำให้ภูวนัยและไผ่พญาเบาใจขึ้นมาทันที ระหว่างนั้นไผ่พญามองภูวนัยกับตำรวจแล้วเหมือนคิดวิธีที่เธอจะไม่ให้ภูวนัยเข้าไปในโรงพยาบาลขึ้นมาได้ ไผ่พญาจึงเปิดประตูลงจากรถ ภูวนัยมองด้วยความสงสัยว่าไผ่พญากำลังจะทำอะไร
“ขอโทษด้วยคะ พอดีเขาแค่มาส่งฉันนะคะเดี๋ยวเขาก็ไปแล้ว”
“ห๊า”
ตำรวจสงสัยว่าภูวนัยตกใจอะไร
“มีอะไรหรือเปล่าคุณ”
ไผ่พญารีบพูดขึ้นก่อนที่ภูวนัยจะตอบ
“ไม่มีอะไรหรอกคะ ไปซิ...แล้วเดี๋ยวฉันตรวจเสร็จแล้วโทรหา”
ภูวนัยมองไผ่พญาอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะปิดกระจกรถแล้วขับออกไป ไผ่พญามองตามก่อนจะหันมาเห็นตำรวจมองเธออยู่ก็มีแอบสะดุ้ง ไผ่พญารีบเล่นละครกุมท้องทันที
“โอ๊ย ปวดท้องจังเลย ไปก่อนนะคะ”
ไผ่พญารีบกุมท้องก่อนจะเดินเข้าโรงพยาบาลไปทันที
ไผ่พญาเดินมาตามทางในโรงพยาบาลพยายามทำตัวให้เป็นปกติที่สุด เดินมาจนถึงห้องของปลายฟ้า ไผ่พญาหันมองไปรอบๆ พอเห็นว่าไม่มีใครสนใจก็สบโอกาสรีบผลุบเข้าไปในห้องทันที
ไผ่พญาเข้ามาในห้องก็เจอกับหญิงคนนึงนั่งหันหลังอยู่ที่โต๊ะ ไผ่พญามองจากด้านหลังแล้วไม่แน่ใจว่าเป็นปลายฟ้า
“หมอปลายฟ้าหรือเปล่า”
หญิงคนนั้นหันหน้ามาทำให้ไผ่พญาถึงกับอ้าปากหวอด้วยความตกใจเพราะเธอคือครูรัชนีที่ไผ่พญาสวมรอยเป็นครูนั่นเอง
“ห๊า”
ระหว่างที่ไผ่พญาตกใจ รัชนีก็ลุกจากโต๊ะตรงเข้ามาหาไผ่พญาทันที
“ฉันจำหนูได้ หนูจำป้าได้ใช่มั้ย”
ไผ่พญาตกใจ รีบส่ายหน้า
“หือ หนูจำไม่ได้”
ไผ่พญารีบชิ่งจากรัชนี หันไปเปิดประตูจะเดินออกจากห้อง ทันทีที่ไผ่พญาเปิดประตูก็เจอกับปลายฟ้ายืนอยู่หน้าประตู
“ครูไผ่”
ไผ่พญาถึงกับตาโตด้วยความตกใจที่ปลายฟ้าดันเรียกเธอว่าเป็นครูต่อหน้ารัชนีอีก
ภูวนัยนั่งรออยู่ในรถอย่างกระวนกระวาย ภูวนัยหยิบมือถือตัวเองขึ้นมาดู
“ทำอะไรอยู่”
ระหว่างนั้นภูวนัยเห็นบุรุษพยาบาลกำลังใช้รถเข็นรับคนลงจากรถแล้วเข็นเข้าโรงพยาบาล ภูวนัยมองอย่างครุ่นคิด
ปลายฟ้าแปลกใจที่พบกับไผ่พญาอยู่ในห้อง
“ครูไผ่มาได้ไงคะ”
“เอ่อ...เดี๋ยวฉันเล่าให้ฟังนะคะ แต่ตอนนี้ฉันต้องรีบไปแล้ว”
ระหว่างที่ไผ่พญาจะไป รัชนีก็ดึงแขนเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนซิ” ไผ่พญาหันมา
“อะไรคะ”
“เธอเป็นครูเหรอ ฉันก็เป็นครูเหมือนกัน”
ไผ่พญาหน้าเสียเพราะคิดว่าความลับต้องแตกแล้วแน่ๆ แต่อยู่ๆ รัชนีก็หันไปถามปลายฟ้า
“ใช่มั้ยหมอ ป้าเป็นครูใช่มั้ย”
ไผ่พญาถึงกับชะงักแล้วมองปลายฟ้าอย่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
“ใช่คะ ป้าเป็นครู”
“คืออะไรคะ ตกลงว่าป้าแกหายความจำเสื่อมหรือยังคะ” ไผ่พญาถามปลายฟ้า ปลายฟ้าส่ายหน้า
“ความจำเสื่อมไม่ได้หายง่ายๆ หรอกคะครูไผ่” ไผ่พญาแอบดีใจ
“อ้าว...แล้วป้าแกจำได้ยังไงว่าตัวแกเป็นครู”
ญาติของรัชนีเดินเข้ามาในห้อง
“เรียบร้อยแล้วคะคุณหมอ อ้าว...มีคนไข้เหรอคะ”
“เพื่อนหมอเองคะ อย่าลืมที่สั่งเอาไว้นะคะ พยายามคุยเรื่องเก่าๆ เพื่อฟื้นความทรงจำแก”
“คะ...ขอบคุณคุณหมอมากนะคะที่ดูแลพี่สาวฉันมานาน ไปเถอะพี่” ญาติเข้าไปดีงรัชนี รัชนีพูดเหมือนตอนที่เจอไผ่พญา
“ฉันจำหนูได้ หนูจำป้าได้ใช่มั้ย”
ญาติรัชนีรีบพารัชนีที่เดินพร่ำเพ้อออกไป ไผ่พญาเหมือนตายแล้วเกิดใหม่
“ตกลงว่าความจำป้าแกไม่ได้กลับมาหรอกเหรอหมอ”
ปลายฟ้าพยักหน้าแทนคำตอบ
“แต่ที่ตัวแกจำได้ว่าเป็นครู เพราะหมอกับน้องสาวแกพยายามเล่าเรื่องแกให้ฟัง เพื่อฟื้นความทรงจำน่ะ ยังดีที่น้องสาวแกตามหาเจอ หมอเลยคิดว่าให้พากลับไปรักษาตัวต่อที่บ้านจะดีกว่า” ไผ่พญาโล่งอกสุดๆ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“อ๋อ เปล่าๆ คะ ฉันแค่สงสารน่ะคะ”
ปลายฟ้าเพิ่งนึกได้
“แล้วครูไผ่มาได้ยังไงคะ”
“ฉันมาเยี่ยมเมฆนะคะ”
“แล้วภูมาด้วยหรือเปล่าคะ”
ไผ่พญาชะงักไป
ภายในห้องพักฟื้นของคนไข้ ม่านเมฆดูอาการดีขึ้นแล้ว ม่านหมอกและเผ่าพงศ์คุยกันอยู่ภายในห้อง
“เล่นแล้วไม่สบายอย่างนี้ ทีหลังไม่ต้องเล่นเลยนะน้ำน่ะ”
“อะไรอ่ะพี่หมอก เมฆเป็นอย่างนี้เพราะแพ้ยาต่างหาก”
“อ้าว...ก็ถ้าไม่เล่นน้ำจนเป็นหวัดแล้วต้องกินยามั้ยละ”
ม่านเมฆจนมุม ร้องหาตัวช่วย
“ตา”
“เอาน่า พี่หมอกเขาพูดเพราะเป็นห่วงน่า” ปลายฟ้าเปิดประตูเข้ามา ทุกคนหันไปมอง “อ้าว...หนูฟ้า”
“ให้ทายซิ ใครมาเยี่ยม”
ทุกคนทำหน้าแปลกใจเมื่อปลายฟ้าพูดอย่างนั้น ระหว่างนั้นไผ่พญาก็เดินเข้ามา
“ครูไผ่”
ไผ่พญาเดินเข้ามาหาม่านเมฆที่นอนอยู่ที่เตียง
“เป็นไงมั้งพ่อหนุ่ม”
“นี่ครูมาได้ไงเนี่ย แล้วอาภูละ” ม่านหมอกถามหาภูวนัยทันที
“โห...ครูว่าครูกลับดีกว่า มีแต่คนถามหาอาภูทั้งนั้นเลย”
ระหว่างนั้นมีบุรุษพยาบาลเข้ามาในห้อง ซึ่งก็คือภูวนัยปลอมตัวมาด้วยการใส่หน้ากากและหมวก
“ข้าวมาแล้วครับ”
“วางไว้นั่นแหละจ้ะ”
ทุกคนไม่ได้สนใจบุรุษพยาบาล จึงไม่รู้ว่าเป็นภูวนัยนั่นเอง
อ่านต่อตอนที่ 13