แค้นเสน่หา ตอนที่ 5
ศักดินากับฉัตต์ไม่ได้สนใจมองจันทร์แล้วตอนนี้ สองหนุ่มหันไปคุยกันเองเบาๆ
“พี่ไม่ค่อยเห็น ใครร้อยมาลัยดอกพุด บ้านนี้ร้อยด้วยดอกมะลิ” ฉัตต์ว่า
“ท่านพ่อโปรดมาลัยดอกพุดครับ ท่านแม่รับสั่งว่า ช่วงหลังไม่ได้ถวายท่านพ่อเพราะไม่มีใครร้อยเป็น”
ตลอดเวลาจันทร์หน้าซีดเผือด น้ำตาออกมาคลอเต็มตา ได้แต่จ้องจับอยู่ที่ชายเดียวไม่วางตา 17 ปี จึงได้รู้ว่าเขาคือลูกชาย
“เดี๋ยวผมต้องรีบกลับแล้วนะครับ พี่ฉัตต์” ศักดินาเอ่ยขึ้น
“ทำไมเล่า เพิ่งมาเอง” ฉัตต์แปลกใจ
“กลับไปอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ครับ ผมสงสารท่าน ตั้งแต่ท่านพ่อสิ้น ท่านเงียบมาก ผมไม่เห็นท่านยิ้มเลย”
“ชายเดียวก็ต้องทำให้ท่านยิ้มสิ เป็นลูกชายคนเดียวนี่”
“ครับ... ผมทราบครับพี่ฉัตต์”
“เราเหมือนกัน พี่ไม่มีแม่ ชายเดียวไม่มีพ่อ”
ศักดินาหน้าเศร้าลง “ท่านพ่อเป็นอัมพาตตั้งหลายปีก่อนท่านสิ้น”
จันทร์ตกใจมากกับสิ่งที่ได้รู้ รีบปิดปากแน่นกันเสียงร้องไห้ลอดออกมา
“ผมคิดว่า ท่านสิ้นไปสบายกว่า” ชายเดียวว่า
ฉัตต์ตบไหล่ชายเดียวเป็นเชิงปลอบโยน
“ท่านแม่บอกผมว่า ท่านจะเป็นทั้งแม่เป็นทั้งพ่อให้ผม”
อดีตหม่อมบุหลันลุกขึ้นเดินโผเผออกจากห้อง กัดฟันไม่ให้น้ำตาไหล สองคนไม่ได้สังเกตจันทร์ เสียงศักดินาดังก้องซ้ำไปซ้ำมาในหูของจันทร์
“เห็นที่งานสวดพระศพท่านพ่อครับ...เห็นที่งานสวดพระศพท่านพ่อครับ...พระศพท่านพ่อครับ...ท่านพ่อครับ”
จันทร์เดินลับตามาที่หน้าห้อง หยุดยืนพิงฝา เสียงชายเดียวดังขึ้นอีก
“เห็นที่งานสวดพระศพท่านพ่อครับ”
จันทร์น้ำตาไหลพรู เหลียวเข้าไปดูในห้อง เห็นฉัตต์และชายเดียวกำลังคุยกันอยู่
จันทร์ จดสายตาจ้องไปที่ใบหน้าชายเดียว จ้องมองแล้วจ้องมองอีก น้ำตาก็ไหลพรากๆ สะเทือนใจสุดขีด
เวลาต่อมาจันทร์มายืนคอยอยู่หน้าตึกใหญ่ กระวนกระวายเล็กๆ รถจอดคอยอยู่แต่ไม่มีสนและละมัย จนสักครู่หนึ่งฉัตต์ กับศักดินาเดินออกมา ชายเดียวเดินสง่าสมภาคภูมิมาก
“คุณชาย” จันทร์ครางเบาๆ
“ผมจะกลับแล้วครับคุณจันทร์ ขอบคุณนะครับ ขนมอร่อยมาก”
“ถ้าคุณชายชอบก็มาบ่อยๆ นะคะ เอ่อ...ดิฉันจะทำไว้ให้ทานค่ะ”
“ผมคงมาบ่อยไม่ได้ ต้องดูแลหม่อมแม่ครับ”
“หม่อมแม่ของคุณชายสุขภาพเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“ท่านอ่อนแอ สุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง”
“เอ่อ... เพราะท่านพ่อคุณชายสิ้นหรือคะ” จันทร์อึกอักนิดหน่อย แล้วถามโพล่งขึ้น
“ผมไม่คิดว่าใช่ ท่านพ่อกับท่านแม่ไม่ค่อยพูด...เอ้อ พูดกันน้อยมาก แต่ท่านอาจจะกลุ้มทัยเรื่องท่านพ่อประชวร”
ฉัตต์ยืนหน้าตาไม่ดีตั้งแต่แรก ดึงแขนชายเดียวนิดๆ “จะรีบกลับไม่ใช่หรือชายเดียว”
“ครับ... ผมลาอีกทีครับ” ชายเดียวก้มหัวให้นิดๆ
จันทร์ยื่นมือออกไปเหมือนจะแตะ แต่ฉัตต์ดึงแขนศักดินาไปก่อน จันทร์จึงได้แต่ยืนมองตาม
ฉัตต์กับชายเดียวมาถึงรถ ชายเดียวพึมพำ “สนไปไหน”
“ชายเดียว ทำไมคุยกับเขาตั้งนาน เขาถามอะไรก็เล่า..เล่าทำไม”
“ผม...ไม่ทราบ” ศักดินาหันไปมองจันทร์
สองแม่ลูกสบตากันอยู่อึดใจ
“คุณน้าของพี่ฉัตต์ถาม...และผมก็อยากเล่าครับ”
“โอ๊ย...น่าเบื่อ ใครๆ ก็ติดใจเขาทั้งนั้น ไม่รู้เหรอว่าเขาน่ะ...” ฉัตต์หยุดกึก
“ทำไมครับพี่ฉัตต์”
“ไม่อยากพูดหรอก ไปเถอะชายเดียวเดี๋ยวท่านแม่คอย”
“ผมควรจะไปลาคุณย่ากับคุณพ่อพี่ฉัตต์”
“ไม่อยู่ทั้งสองคน”
จันทร์มองออกไป เห็นสนกับละมัยวิ่งมาเร็วรี่ รีบหลบวูบ กลัวสองคนเห็น
สนขึ้นประจำที่คนขับ ละมัยนั่งหน้า ศักดินานั่งเป็นสง่าอยู่ด้านหลัง รถแล่นไปเรื่อยๆ ตามทางออกประตูบ้าน
แต่แล้วต้องเบรคสุดแรงเกิด เมื่อรุ้งวิ่งออกมาตัดหน้ารถ โดยมีจริมาวิ่งไล่
จันทร์ซึ่งเดินแกมวิ่งแอบๆ ขนานมากับรถที่วิ่งออกมา ตกใจอ้าปากจะร้อง ดีว่าปิดไว้ทัน
รถเบรคเอี๊ยด รุ้งตกใจจนเสียหลักล้มลง แต่จริมาไม่ล้ม หันมามองศักดินานัยน์ตาเขียว
“สนฉันบอกแล้วอย่าแล่นเร็ว” ศักดินาลงไปอย่างรีบร้อน “เป็นอะไรบ้างรึเปล่าครับ”
“ล้มอย่างนี้ไม่น่าถาม ลองล้มมั่งเอามั้ย” จริมาเหน็บ
“ถามอย่างนี้ก็ไม่น่าถามเหมือนกัน” ศักดินามองหน้าจริมาพูดหน้าตาเฉย
จริมากำลังจะกรี๊ด ชายเดียวยื่นมือให้รุ้ง
“ลุกขึ้นเถอะครับ จับมือผม”
จันทร์จ้องมองสองพี่น้อง นัยน์ตาพร่าพรายไปหมด สะอื้นจนตัวโยน
รุ้งยื่นมือให้จับ เงยหน้ามองศักดินา ที่คุกเข่ายื่นมือตรงหน้า จันทร์เพ่งมอง ปิดปากไว้ไม่ให้
ร้องไห้เสียงดัง
ฉัตต์จับมือชายเดียวออกไปทันที รุ้งมือค้างกลางอากาศ
“พี่ฉัตต์”
“ลุกเอง” ฉัตต์ดึงศักดินาให้เดินห่างออกไป
ชายเดียวยังหันมามองอย่างสงสาร สบตารุ้ง
จริมาที่ยืนอยู่ข้างรุ้งต่อว่าทันที “พี่ฉัตต์...คนใจร้าย อีตาชายเดียวทีหลังอย่ามาอีกนะ...มาทำคนเจ็บแล้วยังไมช่วยอีก”
“ผมก็....จะช่วย” ชายเดียวเสียงอุบอิบ
“เอ้า ลุกรึยัง”
รุ้งหน้าเหยเก ขยับตัวจะลุก แต่เซไป
“พี่ฉัตต์” จริมาเสียงแหลมใส่ “ช่วยตัวเล็กเดี๋ยวนี้นะ”
ฉัตต์เสียไม่ได้ ยื่นมือให้ “เอ้า...ลุกลุกได้แล้ว”
รุ้งจับมือฉัตต์ พยุงให้ยืนได้ รุ้งแข็งใจยืนทั้งๆ ที่ปวดข้อเท้า แล้วออกเดินโขยกๆ ไป ศักดินาทำท่าอยากขยับไปช่วย จันทร์จะขยับไปอีก แต่ชะงักเมื่อถูกยอดเรียกไว้
“หม่อมครับ”
“ยอด”
“อย่าออกไปเลยครับ”
“พี่..ฉัตต์” น้ำเสียงจริมาเป็นคำสั่ง “พาตัวเล็กขึ้นตึกเดี๋ยวนี้เป็นสุภาพบุรุษรึเปล่า”
ฉัตต์เข้าไปประคอง รุ้งเบี่ยงตัวนิดๆ แต่ฉัตต์ยึดไว้แน่น
จันทร์ก้มหน้าร้องไห้ “ยอด..รู้มั้ยว่านั่นคุณชาย...คุณชายลูกชายของฉัน”
“ผมทราบครับ”
“ฉันจะทำยังไงดี..จะทำยังไง ท่านชายสิ้นแล้ว ลูกหญิงอยู่ทาง ลูกชายอยู่ทาง”
“หม่อมคิดจะให้คุณชายกับคุณหญิงมาอยู่ด้วยกันหรือครับ”
“ฉันทำได้รึเปล่าล่ะยอด ทำได้ไหม”
“จะอยู่ที่ไหนล่ะครับ”
“ก็อยู่...รู้มั้ยแม่เฟืองตายแล้ว” จันทร์ว่า
ยอดตกใจ “หรือครับ แต่คนอย่างแกก็สมควรตาย บาปหนาเหลือเกิน”
“ถ้าฉันพาคุณหญิงกลับไปวัง”
“ไม่มียายเฟืองก็ยังมีท่านหญิงนะครับหม่อม ถึงท่านหญิงคืนคุณชายให้หม่อม หม่อมก็คงอยู่วังรังสิยาลำบากพอดูหรอกครับ”
จันทร์เป็นทุกข์เหลือเกิน
“กลับได้แล้วคุณชายคอยอะไรอยู่” จริมาพูดเสียงดัง
“ก็...คอย”
“จะคอยดูอะไรก็เห็นแล้วว่าล้ม...เจ็บ...เดินโขยกเขยก...ขาหักรึเปล่าไม่รู้”
ชายเดียวเหวอตลอด
“แล้วจะคอยดูอะไรอีก”
“ครับ”
ศักดินาหน้าตาเหวอดูน่าขำมากไปขึ้นรถ ก่อนจะเห็นรถแล่นออกไป
จันทร์ชะเง้อมองตาม
ไม่นานต่อมาจันทร์ทายาที่ขารุ้ง นวดคลึงเบาๆ สีหน้าเศร้าสร้อยหม่นหมองมาก
เช้าวันรุ่งขึ้น จันทร์มาคอยพจน์อยู่หน้าตึก พจน์ถือกระเป๋าเอกสารใบใหญ่ ส่วนแนบถือแฟ้ม และเสื้อครุยผู้พิพากษา เดินผ่านจันทร์ไปที่รถ
“จันทร์... รุ้งหายหรือยัง”
“ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ คุณพจน์คะดิฉันมีเรื่องจะปรึกษาคุณพจน์ค่ะ”
“ได้สิ เดี๋ยวนี้หรือ”
“เย็นนี้ค่ะ”
“ได้... เลิกงานแล้วจะรีบกลับ” พจน์บอก
เย็นวันนั้นสองคนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวนสวยหลังบ้านปัณณธร กลางบรรยากาศสงบ น่ารื่นรมย์ใจ ไม้ใบเขียวขจี ไม้ดอกเบ่งบานสวยงาม จันทร์สวมเสื้อสีขาวไว้ทุกข์ให้ท่านชายรังสิโยภาส ส่วนพจน์อยู่ในเสื้อผ้าลำลอง
สองคนนั่งประจันหน้ากัน พจน์มองหน้าจันทร์ ที่ครุ่นคิดตรึกตรองอยู่ แต่ไม่มีกิริยาเร่งรัด รอคอยใจเย็นๆ
“ดิฉันไม่ทราบจะเริ่มต้นยังไง”
“เกี่ยวกับ...” พจน์ทอดเสียงเป็นเชิงถาม
“เกี่ยวกับ” จันทร์เงยหน้ามองพจน์ สบตาตรงๆ เสียงพูดชัดเจน “คุณชายศักดินากับ..รุ้ง”
“คุณหญิงวิมลโพยม” พจน์ว่า
“ดิฉันเพิ่งทราบว่าคุณชายศักดินาก็คือคุณชายเดียวเมื่อวานนี้เอง เธอมาที่นี่ตั้งหลายครั้งไม่รู้เลยว่าเธอเป็น... ลูก” พูดถึงตรงนี้จันทร์สะอื้นอย่างแรง “เธอมาตั้งแต่เธอยังตัวเล็กๆ ดิฉันหาขนมหาน้ำให้เธอรับทาน มองเธอ..ยังนึกว่าเธอน่ารักเหลือเกิน ไม่ถือตัวพูดจาอ่อนโยนกับคนต่ำกว่า... ที่แท้...ที่แท้” จันทร์สะอื้นแรงขึ้น “ลูกชาย..ลูกชายดิฉันเอง”
“พบแล้วพูดกันรึเปล่า”
“ค่ะ นิดหน่อย”
“พี่ดีใจ เธอคงมีความสุขที่ได้พบลูกชายบ้าง”
“ดิฉันจะตอบคำถามคุณพี่ที่เคยถามดิฉันว่าจะทำอย่างไรต่อไป เพราะเฟืองตายแล้ว”
พจน์พยักหน้า
“ตอนนี้ท่านแม่ของคุณชายเดียวคือ ท่านหญิงแขไขเจิดจรัส ที่สูงส่งผู้คนเคารพนับถือ ถ้าความจริงปรากฏว่า ดิฉันคือแม่คุณชาย ท่านหญิงจะเอาพักตร์ไว้ที่ไหน”
พจน์ตั้งใจฟัง
“ตัวคุณชายเองก็จะสับสน ระหว่าง “ท่านแม่” กับ “แม่” ที่มาจากไหนไม่ทราบ ถ้าดิฉันแสดงตัว คุณพี่คิดว่าคุณชายจะยอมรับดิฉันได้โดยไม่เสียใจหรือคะ เธออาจจะเกลียดดิฉันไปเลย แล้วจะมีประโยชน์อะไร”
“พี่ชื่นชมในการตัดสินใจของเธอ แต่รุ้งล่ะ น้องจะจัดการอย่างไรหรือจะให้เขาเป็นแค่ รุ้ง ปัณณธร ตลอดไป ไม่ยุติธรรมกับรุ้งนะน้อง”
“ดิฉันคิดถึงเรื่องนี้เหมือนกัน” จันทร์ถอนใจเบาๆ “แม้ว่าตอนนี้แกจะมีความสุขอยู่แล้ว เพราะความกรุณาของคุณแม่และคุณพี่ แต่รุ้งก็ควรมีสิทธิ์ชอบธรรมที่จะใช้ชื่อที่ท่านพ่อประทานให้ เราไม่ได้แอบอ้าง หลักฐานที่ท่านชายประทานมาก็ยังอยู่ เวลานี้ดิฉันจดทุกอย่างที่เกิดขึ้น พอรุ้งอายุ 21 ปี จะมอบให้ลูก ให้รุ้งเลือกระหว่างเป็นรุ้งกับเป็นคุณหญิงวิมลโพยม รังสิยา คุณพี่มีความเห็นว่ากระไรคะ”
“พี่เห็นด้วย ถึงเวลานั้นรุ้งจะเป็นผู้ใหญ่พอที่จะตัดสินใจทุกอย่างด้วยตัวเอง พี่หวังว่าพี่คงมีชีวิตยืนยาวจนถึงวันนั้น” พจน์พูดเป็นเชิงปรารภ
“คุณพี่จะต้องไม่เป็นอะไร ดิฉันกับลูกจะดูแลคุณพี่และคุณแม่ให้สมกับความเมตตาปรานีที่ได้รับ”
ตกตอนกลางคืน จันทร์นั่งเขียนบันทึกเรื่องราวลงในสมุดบันทึก รุ้งนอนหลับ รุ้งนอนหลับสนิท
เช้าวันต่อมา ตรงลานหน้าตึกเรียนที่โรงเรียนราชนารี แถวนักเรียนชั้น ม.8 ห้อง ก. เดินมาเป็นแถว จริมาอยู่ห้องนี้ แล้วแถวนักเรียนชั้น ม.8 ห้อง ข. เดินสวนมา รุ้ง กับเพื่อนชื่อ อรสา ทอแสงรัศมี และ วนิดาอยู่ห้องนี้ พวกเด็กๆ เดินเล่นบ้าง หยอกล้อคุยกันมา
พอสองแถวสวนกัน จริมาทัก “รุ้ง”
รุ้งหันมามองด้วยสีหน้าห่วงใยทักตอบ “ริมา”
จริมา ยิ้มแหยๆ ขณะบอก
“รุ้ง...กลัวจังเลย”
“ทำได้...ยังไงๆ ก็ทำได้นะคะ”
“จะทำได้ไง..ไม่เคยร้อยมาลัยได้สวยตั้งแต่เกิดมา สอบตกแน่นอน”
พี่ตุ๊ หรือ สินีนาฏ ซึ่งคุมหัวแถวนักเรียน ม.8 ห้อง ข. ตะโกนมา
“แถวตรงนั้นหยุดทำไมรีบเดิน...เร็ว ท่านพงศ์รอนาน เดี๋ยวฉันก็โดนดุไปด้วย..สอบนะยะ...สอบ มัวช้าได้ไง”
รุ้งตอบเสียงดัง “แป๊บเดียวค่ะพี่ตุ๊” หันมากระซิบ “ริมา...อย่าตกใจนะ ตั้งใจร้อยเดี๋ยวสอบตก ต้องผ่านให้ได้วิชานี้ ไม่งั้นแม่เสียใจตาย”
“ไม่ผ่านแน่ๆ เลย ทำไงดี”
แถวของสองห้อง โดยเฉพาะสองคนเดินๆ หยุดๆ
พี่เหน่ง หรือ บุปผนาฏ หัวหน้าห้อง ก. ตะโกนมา “เร็วๆ รีบเดิน ไปช้าชั้นโดนดุนะว่าหัวหน้าคุมไม่ดี ยายรุ้งเธอจะไปสอบการเรือนกับครูมาลีไม่ใช่เหรอ”
“ริมา ร้อยทางด้านซ้ายสุด แล้วค่อยๆ หมุนตามเข็มนาฬิกา วัดกลีบกุหลาบให้เท่ากันเท่านั้นแหละสวยเอง”
จริมาหันไปบอก “ไปเดี๋ยวนี้ค่ะพี่เหน่ง”
สินีนาฏกะบุปผนาฏพูดขึ้นพร้อมกัน “เอ้า เดิน....ทุกคนเดิน”
แถวนักเรียนสองแถวเดินสวนกันไป หยอกล้อกัน บางคนก็ผลักกันอีกด้วย
สุดท้ายที่ปลายแถวของ ห้อง ข. ทอแสงรัศมีเดินหน้ามุ่ย ไม่พอใจ หันไปพูดกับสินีนาฏ
“พี่ตุ๊ พี่เป็นหัวหน้าชั้นนะ ไม่ดูแลเลย อย่างนี้ไปช้าครูมาลีเอ็ดหมดทั้งห้องจะว่าไง”
เพื่อนๆ หญิงทอแสง ซึ่งเป็นลูกคู่ พยักพเยิด
“เอาเถอะฉันจะรับผิดเอง”
“ครูก็ทำโทษหมดนั่นแหละ” ทอแสงรัศมีหน้าคว่ำ
สินีนาฏไม่พอใจ “หญิงทอแสง บอกแล้วไงว่าฉันรับผิดชอบทั้งหมด”
“ลำเอียง เป็นหัวหน้าชั้นแต่ลำเอียง รุ้งทำผิดกี่หนพี่ตุ๊ไม่เคยบอกครูเลย หัวหน้าอย่างนี้อย่าเป็นดีกว่า”
ทอแสงรัศมีพูดจบเดินไปเลย พี่ตุ๊หรือสินีนาฏหน้ามุ่ย
ในห้องสอบวิชาการเรือนเวลานั้น ครูมาลีกำลังเดินดูการสอบหุงข้าว ซึ่งแบ่งนักเรียนเป็นกลุ่มๆ ได้ 4 กลุ่ม
“ทุกคนเตรียมตัวนะ จะเริ่มตั้งแต่ตักข้าว ซาวข้าว ตั้งเตา รอข้าวเดือด ห้ามคุยกันหรือถ้าคุยเรื่องสำคัญให้กระซิบเท่านั้น เอ้าลงมือ”
เด็กๆ ทั้ง 4 กลุ่ม เริ่มตักข้าว ซาวข้าว คนๆ ทั้ง 4 หม้อ จากนั้น นำขึ้นตั้งข้าวบนเตาไฟ ซึ่งเป็นเตาถ่าน
“อย่าลืมว่าต้องคอยคนข้าวนะตอนเริ่มเดือด เดี๋ยวข้าวติดก้นหม้อ” ครูมาลีกำชับ
ตอนนี้ทุกคนกำลังรอข้าวเดือด ซุบซิบกัน คุยกันบ้าง ทอแสงซุบซิบๆ แล้วมองรุ้ง บางคนก้มลง เพ่ง จ้องที่หม้อข้าว
“รุ้ง ริมาเขาเป็นอะไรนะ หน้าตาเหมือนคนปวดท้องถ่าย” อรสาเอ่ยขึ้น
รุ้งคนข้าวอยู่ “ท่านพงศ์ทรงคาดโทษไว้ ถ้าวันนี้ริมาร้อยมาลัยเบี้ยวอีกจะต้องถูกทำโทษ”
อรสาหัวร่อกิ๊ก “นึกแล้วเชียว ริมาออกเป็นคนเก่ง แต่เรื่องกล้วยๆ อย่างนี้ทำไม่ได้ รุ้งก็ออกเก่ง ทำไมไม่สอน”
“ไม่เหมือนกันหรอกอรสา มันก็แล้วแต่ชอบ ไปว่าริมาไม่ได้หรอก รุ้งเรียนเกือบตกแต่ริมาเรียนเก่งจะตาย”
“ก็ไม่เห็นต้องกลัว ท่านพงศ์ท่านดุไปยังงั้นแหละ” อรสาว่า
“จริงนะ ท่านพระทัยดีออก อย่างดีท่านก็คงให้อยู่เย็นสักชั่วโมงช่วยท่านเก็บดอกไม้ อุ๊ย...ข้าวเดือดแล้ว”
หม้อ 1- หม้อ 4 สอดไม้ดงข้าวเข้าไปในหูหม้อ
นักเรียนดงข้าว ท่าทางเงอะงะกันบ้าง ดงผิดดงถูก หัวเราะต่อกระซิกกัน
“โอ๊ย แม่พวกนี้ แต่งงานไปล่ะ ก้นหม้อข้าวไม่ทันดำ เลิกกันแน่ๆ ขืนหุงข้าวกันแบบนี้” ครูมาลีบ่น
รุ้งนั้นทำคล่องแคล่ว
หม้อ 1 - 4 วางลงเรียงกันเป็นแถว มือเด็กๆ เปิดหม้อ ควันกรุ่น
ครูมาลีตรวจ “หม้อนี้แฉะ....หม้อนี้น่ากลัวดิบ...หม้อนี้ทั้งดิบทั้งแฉะ” ตีมือนักเรียน “เพราะไม่คนข้าวให้สุกทั่วกัน หม้อนี้...ใช้ได้ หุงข้าวเม็ดสวยงาม ใครหุงหม้อนี้”
รุ้ง อรสา หน้าบาน ยกมือ
“เก่ง ใครหุงหม้อดิบๆ แฉะๆ เนี่ย”
ทอแสงรัศมีหน้ามุ่ย “บอกวนิดาว่าให้คนดีๆ”
“ทำไมไม่คนเองหญิงทอแสง”
“คนไม่เป็นค่ะ” ทอแสงรัศมีว่า
“เอ๊ะ.. ครูไม่ได้สอนเหรอ” ครูมาลีประชด
เด็กๆ หัวเราะ
หญิงทอแสงมองหน้าทุกคนแบบหน้าคว่ำ มองมาที่รุ้ง รุ้งมีสีหน้าเห็นใจ แต่ทอแสงเมินไป
สินีนาฏ หัวหน้าห้อง ข. เดินเรียกนักเรียนไปประชุม
“ประชุมนะประชุม เอ้า นั่นจะไปไหน กลับมาประชุม” หันไปเห็นรุ้งกับอรสาอยู่มุมตึก
“พี่ตุ๊ รุ้งมีธุระ ริมาก็อยู่ไม่ได้เหมือนกัน”
“ทำไมไม่ได้” สินีนาฏเสียงแข็ง “ครูประชุมเรื่องงานแซยิดท่านอาจารย์ ทุกคนต้องอยู่ เพราะวันนี้จะคัดตัวคนเต้นระบำสเปญ"
“เราอยู่ไม่ได้จริงๆ ไว้พรุ่งนี้เถอะนะ อยู่จนค่ำก็ได้” รุ้งต่อรอง
“เอ๊ะ เธอนี่ ธุระอะไรหนักหนา”
“วันนี้...ที่บ้านมีงานค่ะ คุณย่ากำชับว่าต้องกลับบ้านเร็ว รุ้งต้องไปช่วยแม่เตรียมของด้วยค่ะ”
“แล้วแน่ใจหรือว่าริมาเขาจะไม่ถูกทำโทษให้อยู่เย็น ร้อยดอกไม้กี่ปีกี่ชาติก็ไม่เข้าท่า ท่านพงศ์เลยกริ้วเหมือนกับว่าท่านทรงสอนไม่ดี” สินีนาฏว่า
“คนเราให้เก่งทุกอย่างได้ไง น่า..นะคะ พี่ตุ๊บอกครูโมทให้หน่อย”
“เอาละๆ ฉันจะบอกครูโมทให้ แต่พรุ่งนี้ต้องอยู่นะ”
“ขอบคุณค่ะ ไปดูริมากันเถอะอรสา”
รุ้ง และอรสาวิ่งมาหยุดตรงหน้าประตูห้องสอบร้อยมาลัย มองซ้ายขวา สักครู่ท่านพงศ์เสด็จออกมา ครูประจำวิชา ซึ่งพระวรกายเล็กบาง ดวงพักตร์เคร่งขรึม แต่พระเนตรฉายแววปราณี
“ยายรุ้ง มารอยายริมารึ”
“มังคะ” รุ้งยอบตัว
“จะออกมาแล้ว คอยดูฝีมือเขาแล้วกัน...ไม่น่าเชื่อ” ท่านพงศ์เสด็จไปเลย
รุ้งหน้าซีด สบตาอรสา
“มาแล้ว”
เสียงจริมาดังขึ้น ในมือถือมาลัยยื่นออกมา สวยงามประณีต
“ริมา...โอ้ โฮ” รุ้งร้อง
จริมาปรากฏตัว ยืดอกเต็มที่ “เคยเห็นมั้ยแบบนี้”
“ไม่เคย” รุ้งและอรสาบอก
จริมายิ้มแก้มแทบแตก ยืดสุดๆ ทอแสงรัศมีกับเพื่อนมองเหล่มากๆ ใครต่อใครต่างคาดไม่ถึง
อ่านต่อหน้า 2
แค้นเสน่หา ตอนที่ 5 (ต่อ)
โรงเรียนเลิกแล้ว บรรดาเด็กนักเรียนหญิงต่างเดินออกมาที่หน้าโรงเรียน เพื่อจะกลับบ้าน บ้างหยอกล้อกัน บ้างวิ่งไล่กันมา บางกลุ่มเดินเรียบร้อยกันมาก และมีหลายกลุ่มที่คุยกันจุ๊กจิ๊กๆ สนุกสนาน
ทอแสงรัศมีเดินหน้ามุ่ยมากับเพื่อนสองคน
“หญิงทอ..เดินตามควายรึไง” เพื่อนคนแรกที่ชื่อประไพว่า
“นี่ประไพ อย่ามาพูดเล่นแบบนี้กับชั้นนะ” ทอแสงรัศมีหน้ามุ่ยอย่างเก่า
“เอ๊า...เมื่อวานหญิงทอยังถามชั้นหยั่งงี้แหละ ทำไมประไพเค้าจะถามไม่ได้” เพื่อนชื่อวนิดาบอก
“ไม่ได้ ชั้นถามเธอได้แต่เธอถามชั้นแบบนี้ไม่ได้ แล้วฟังนะ ทั้งประไพทั้งวนิดา ชั้นชื่อหม่อมราชวงศ์หญิงทอแสงรัศมี อย่ามาเรียกชั้นหญิงทอ..หญิงทอ...ทอบ้าทอบออะไร”
เพื่อนสองคนหน้าเหวอไปเลย
ทอแสงรัศมีเดินพรวดๆ ไป
ศศิลักษณาน้องสาวร้องเรียก “พี่หญิง รีบไปไหนคะ”
“เสียอารมณ์ยายสองคนนั่น น่าเบื่อที่สุด” ทอแสงรัศมีบอก
“สองคนไหนคะ อ๋อ อ้าวนั่นเพื่อนพี่หญิงนี่คะ” ศศิลักษณาแปลกใจ
“นั่นแหละน่าเบื่อ”
ด้านจริมา รุ้ง อรสา 2 รุ่นพี่...พี่ตุ๊ หรือ สินีนาฏ พี่เหน่ง หรือ บุปผนาฏ เดินเฮฮากันมา พร้อมเพื่อนๆ เป็นกลุ่ม
“สุดฝีมือ..อรสา พี่เหน่ง พี่ตุ๊ รู้มั้ยว่าตอนริมาร้อยกลีบแรกนะ มือสั่นหยั่งเงี้ยะ” จริมาแกล้งทำมือสั่นๆ “แล้วริมาก็พยายามจับนะ เอามืออีกมือจับ...แบบเนี้ย”
ทุกคนถามเป็นเสียงเดียว “แล้วเป็นไง”
“มันก็เลยช่วยกันสั่นใหญ่เลย หยั่งเงี้ยะ” จริมาแกล้งทำสั่นมากขึ้น
“โม้แล้ว..ไม่เชื่อหรอก จะบ้าเหรอสั่นอย่างนี้ท่านพงศ์ฟาดเผียะเลย” บุปผนาฏว่า
สินีนาฏเห็นด้วย “ไอ้ริมา เด็กเลี้ยงแกะ วันก่อนก็หลอกเราทีหนึ่งแล้ว”
“หลอกว่าไงเหรอพี่ตุ๊” อรสาถาม
“หลอกว่าเค้าทำคณิตศาสตร์ไม่ได้ ครูผอบให้ตกอยู่คนเดียวทั้งห้อง” สินีนาฏบอก
“ตกคณิต ริมาเนี่ยนะ” อรสาแปลกใจ
“นั่นสิ ไอ้เราตาเหลือกเลย” สินีนาฏว่า
“ริมา เค้าเรียนเก่งจะตาย ยายตุ๊เธอเชื่อมันได้ไง๊” บุปผนาฏบอก
“ถึงว่า...” สินีนาฏตบหัวตัวเอง
ทั้งหมดเดินผ่านทอแสงรัศมี และศศิลักษณา ประไพ และวนิดา เห็นประไพและวนิดาหน้าไม่ดีเดินสวนไป
จริมามองหน้าทอแสงขณะบอก “ประไพกับวนิดาคุณข้าหลวงของเจ้าหญิงทอแสง สงสัยโดนกริ้วเดินหน้าหุบไปโน้น”
ทุกคนหัวเราะกิ๊ก รอยยิ้มยังอยู่เมื่อเผชิญหน้ากับทอแสงรัศมี
“มองอะไร” หญิงทอแสงถามเสียงขุ่น
จริมาเหลียวซ้ายแลขวา “ใครมองอะไร”
“เธอนั่นแหละริมา เธอมองฉันแล้วหัวเราะเยาะ มันเรื่องอะไร”
“ขอโทษ ฉันหัวเราะก่อนแล้วถึงมองเธอ” จริมายักไหล่ “มีอะไรรึเปล่า”
“ไม่จริง”
“ไม่จริงก็ได้ ฉันหัวเราะเยาะเธอก็ได้” แล้วจริมาก็หัวเราะใส่หน้าทอแสงรัศมี “แต่ขอโทษอีกทีไม่รู้ว่าหัวเราะเยาะเรื่องอะไร เธอทำอะไรให้ฉันหัวเราะเยาะเหรอคุณหญิงงง.....”
2 รุ่นพี่ และ อรสา หน้าไม่ดี
รุ้งฉุดจริมา “ไป..ไปริมา อย่าทะเลาะกันเลย คุณหญิงคะ”
“อย่ายุ่ง เธอเป็นใครจะมาห้ามฉัน” ทอแสงกลับแหวใส่
“อ้าว...ถามอย่างนี้เก๊าะมีเรื่องสิ นี่น้องฉันทำไมจะมีเรื่องกับเธอไม่ได้ล่ะคุณหญิง” จริมาไม่ยอม
“ไม่ได้ อย่ามายุ่งกับฉัน ห้ามใครห้ามไปเลยแต่อย่าบังอาจมาห้ามฉัน”
“ค่ะ...ค่ะ ขอโทษค่ะคุณหญิง” รุ้งขอโทษ ไม่อยากให้มีเรื่อง
“ไม่ต้องตัวเล็ก คนอะไรพูดจาแย่มากถือว่าเป็นหม่อมราชวงศ์แล้วจะอยู่เหนือคนอื่นเหรอ โธ่เอ๊ย คนเหมือนกันนั่นแหละ”
ทอแสงมองรุ้งด้วยหางตาเพื่อยั่วประสาทจริมา ซึ่งได้ผล
“มองหาเรื่องนี่ทอแสงรัศมี จะเอายังไง”
ทอแสงดึงแขนศศิลักษณาให้เดินไป ศศิลักษณาเดินตามไปแล้วสะบัดแขนวิ่งกลับมาหาจริมา
“พี่ริมา พี่รุ้ง พี่สา พี่ตุ๊ พี่เหน่ง” ศศิลักษณากระซิบกระซาบ “อย่าไปกลัว พี่หญิงเค้าต้องเจอคนจริงอย่างพี่ริมาเนี่ยหนีเลยเห็นมั้ย”
ทอแสงรัศมีเสียงดัง “หญิงลักษณ์ ไม่กลับใช่มั้ย”
ศศิลักษณาบอก “ไปนะ” แล้ววิ่งไป
ทุกคนมองตามอย่างเอ็นดู
“พี่น้องกันจริงรึเปล่าเนี่ย” อรสาว่า
“ริมา...เร็วค่ะเดี๋ยวไม่ทัน”
รุ้งเร่ง จริมาปลิวตามมือรุ้งไป หันมาโบกมือให้ทุกคน
“ไปนะ เดี๋ยวโดนแม่ดุ” จริมาหมายถึงรุ้ง “แม่คนเนี้ย...”
รุ้งกับจริมาไป พวกที่อยู่หัวเราะชอบใจใหญ่
รุ้งเดินเร็วๆ ออกมาหน้าโรงเรียน จริมาตามติด 2 สาวได้ยินทอแสงรัศมีร้องขึ้นมาอย่างดีใจ
“พี่ชายเดียว”
จริมากับรุ้ง หันไปดู ศักดินาลงจากรถที่สนกำลังจอดให้
ทอแสงรัศมีวิ่งเข้าไปหา “พี่ชายเดียว มารับหญิงเหรอคะ”
“ใช่ น้าหญิงเล็กยังทำธุระไม่เสร็จ ขอให้พี่มารับหญิงไปส่งที่วัง” ศักดินายิ้มหล่อ แล้วนัยน์ตาเลยไปสบตาจริมาและรุ้ง
จริมาพึมพำด้วยความหมั่นไส้ “โธ่เอ๋ย ทำเป็นยิ้ม คิดว่าหล่อซะเต็มประดา”
“ทำไมไปว่าเขาอย่างนั้นนะคุณริมา”
“เอ๊ะ ตัวเล็ก เรียกคุณอีกแล้ว”
“ก็รุ้งบอกแล้วว่าต่อหน้าคนเท่านั้นถึงจะเรียกริมาเฉยๆ เพราะคุณริมาบังคับรุ้ง”
“ไม่ได้”
“ทำหน้าดีๆ คุณชายเดียวเดินมาแล้ว”
“งั้นเหรอ..งั้นสวย”
“พี่ชายเดียว หญิงรีบนะคะไปเถอะค่ะ หญิงลักษณ์ไปขึ้นรถสิยะ” ทอแสงรัศมีเอ็ดน้องสาว
“พี่ทักเพื่อนก่อน”
“ฮึ...เพื่อน”
ชายเดียวเดินถึงตัวรุ้งกับจริมา
“รุ้งครับ สวัสดี”
“ค่ะคุณชาย” รุ้งไหว้ชายเดียว
ศักดินาหันมาอ้าปากทักจริมาได้ครึ่งคำ “ริมาครับ ส...”
“ตาแนบมาแล้ว ตัวเล็ก...ไปเร็ว”
จริมาลากแขนรุ้งผ่านชายเดียวไปทันที ผลักรุ้งขึ้นรถ ตัวเองตามขึ้นไป ปิดประตู หันมาสบตาชายเดียวจังๆ ทำหน้าพูดเป็นเชิงว่า “มีอะไรมั้ย” ศักดินายืนขำๆ ลึกๆ แต่สีหน้าภายนอกยังดูเคร่งขรึม
“จริมา มารยาทเลวจริงๆ พี่ชายเดียวจะไปทักเค้าทำไม” หญิงทอแสงต่อว่า
“ทั้งจริมาทั้งรุ้งเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิทของพี่ เราพบกันบ้างเป็นบางครั้ง”
“แหม...สนิทกันงั้นเชียว พบกันที่ไหนคะ”
“ที่บ้านพี่ฉัตต์เพื่อนพี่” ศักดินาบอก
ฉัตต์ในชุดนักเรียน) ริมา ละเมียด แนบ
รถที่แนบขับแล่นเข้ามาจอดหน้าตึกใหญ่ ละเมียดยืนรออยู่ จริมากับรุ้งลงมา รุ้งรีบๆ ถามละเมียด
“ป้าเมียดขา แม่ล่ะคะ”
“ในครัวค่ะ หนูรุ้งไปเร็วๆ เถอะค่ะ เรียกหาใหญ่แล้ว”
รุ้งเดินพรวดขึ้นตึก “รุ้งไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน” แล้วชะงักกึก ฉัตต์ในชุดนักเรียนเดินออกมาพอดี
รุ้งยอบตัวนิดๆ “ขอโทษค่ะ”
“จะรีบไปไหน”
“ไป...เอ้อ”
ฉัตต์นัยน์ตาคมกริบ มองรุ้งสายตาเข้ม รุ้งยอบตัวเดินผ่านฉัตต์ ไม่ตอบ
“ฉันถามยังไม่ตอบ”
“ไปช่วยในครัวค่ะ”
“พี่ฉัตต์ ให้ตัวเล็กไปเถอะน่า เขาจะไปทำอาหารที่พี่ฉัตต์ชอบนั่นแหละ โธ่เอ๋ย” จริมาลดเสียงลง “ไม่รู้อะไรเสียเลย”
“รู้อะไรริมา”
“ก็รู้ว่าทั้งน้าจันทร์ทั้งตัวเล็กน่ะ รุมกันเอาใจพี่ฉัตต์ขนาดไหน”
ฉัตต์นิ่งไปอึดใจหนึ่ง สีหน้าเขินบางๆ แต่แล้วทำเคร่งขรึมตามเดิม “ไม่จำเป็น”
“เหรอ?” จริมาทำหน้าล้อเลียนยื่นหน้ามาตรงหน้าพี่ชาย
ฉัตต์จะยิ้มแต่ไม่ยอมยิ้ม
“หือม์” จริมายิ้ม ล้อมากขึ้น
ฉัตต์มือวางบนหัวจริมากดลง จริมาร้องโอ้ย เสียงเอะอะ ฉัตต์ทำหน้าเฉยๆ แต่กดลงไปอีก
“คุณย่า...คุณย่า..คุณพ่อ น้าจันทร์ ตัวเล็ก ช่วยด้วย...พี่ฉัตต์จะฆ่าริมา ริมาคอจะหักอยู่แล้วค่า โอ๊ยเจ็บ เจ็บค่ะพี่ฉัตต์”
จริมาย่อตัวลง หลุดจากมือของฉัตต์ แล้วพุ่งหัวเข้าชนพุงฉัตต์ ฉัตต์คว่ำคอจริมาเอามากอดไว้แน่นๆ กับตัว พาลากเข้าห้องไป
“วันนี้คุณชายเดียวเขาไปที่โรงเรียนริมาด้วย”
ฉัตต์หยุดเดิน “ไปหาใคร”
“แหม! ทำเสียงอย่างนั้นคิดว่าเขาไปหาใครเป็นพิเศษเหรอคะ”
ฉัตต์หน้านิ่วคิ้วขมวดยิ่งขึ้น “ไม่มี” แล้วเดินเข้าไปในบ้านทันที
จริมาหัวเราะคิกคัก เดินตามส่งเสียงไปด้วย ล้อพี่ชายใหญ่
“ไม่มีจริงเหรอ...พี่ฉัตต์..พี่ฉัตต์ จริงรึเปล่าค้า”
ขณะเดียวกัน รถแล่นเข้าจอดหน้าตำหนัก วังรังสิยา ศักดินาลงจากรถ สนลงจากรถ เปิดด้านหลัง หยิบกระเป๋าหนังสือของชายเดียวลงมาส่งให้ผ่องที่เดินเร็วๆ ออกจากตัวตำหนักมารับไป
“ท่านแม่ประทับไหน ผ่อง” ศักดินาถาม
“อยู่ที่ท่าน้ำค่ะคุณชาย ให้คุณชายตามไปค่ะ”
“ท่าน้ำ...เด็จทำไมท่าน้ำ”
“ท่านหญิงเด็จไปทอดเนตรเรือค่ะ” ผ่องบอก
เรือยนต์ลำกระทัดรัด เป็นเรือเร็วทาสีขาว เขียนชื่อเด่นหราว่า “ศักดินา” จอดอยู่ที่ท่าน้ำที่วังรังสิยา
โดยท่านหญิงแขไขกำลังคุยอยู่กับคนส่งเรือที่ยืนประสานมือท่าทีนอบน้อม
“ท่านแม่คะ”
“ชาย มาแล้วเหรอลูก”
ชายเดียวเข้าไปไหว้หา แล้วโอบกอดท่านหญิงเบาๆ แบบธรรมเนียมฝรั่ง
“ดูเรือลำนี้”
“ศักดินา..ชื่อชาย ท่านแม่ซื้อเหรอคะ”
“ชอบมั้ยลูก แม่สั่งมาให้ชาย”
“ท่านแม่...โอ ขอบทัยเหลือเกินค่ะ ท่านแม่ทัยดีที่สุดเลย” ศักดินาดีใจมาก
“ชายพูดว่าอยากได้เรือเร็วมาตั้งแต่วันเกิดอายุ 12 ขวบ แม่ซื้อให้ยังช้าไปด้วยซ้ำ แต่เด็กอายุสิบสองจะขับเรือแม่ก็เห็นว่ายังเล็กไป”
“ชายขับเลยได้มั้ยคะท่านแม่”
ท่านหญิงส่งมือให้ชายเดียว
“ท่านแม่จะเด็จด้วยหรือคะ”
ครู่ต่อมาเครื่องยนต์เรือ ถูกสตาร์ทขึ้นทันที เรือแล่นปราดออกไปอย่างรวดเร็ว คนส่งเรือกำลังอธิบายวิธีขับให้คุณชายเดียว สน ผ่อง วิ่งมา พิกุล กับสาลี่ ยืนยิ้มแย้มมองอยู่บนฝั่ง
“มาไม่ทัน ไปแล้วหรือ” ผ่องเพิ่งมาถึง
“น่ารักเหลือเกิน ท่านแม่คุณลูกประคับประคองกันลงเรือ” สาลี่
“จะไปถึงไหนนั่น”
คนส่งเรือ ถอยมาจากพวงมาลัย ให้ศักดินาขับไป ท่านหญิงนั่งมองลูกชาย ชื่นใจ
ชายเดียวหันมามอง ท่านหญิงทำท่าบอกอย่าขับเร็วนัก ศักดินาทำท่ารับคำ หน้าตาร่าเริงยิ้มแย้มน่ารัก
เรือแล่นไปตามแม่น้ำ แล้วชายเดียวบังคับเรือแล่นโค้งกลับ เห็นท่านหญิงนั่งมองวิว สีหน้าสงบงาม
สายตานิ่งเย็น มีความรื่นรมย์ในสายพระเนตร
ชายเดียวเลื่อนเข้ามา จูบเบาๆ ที่แก้ม แล้วนั่งลงชิด กอดไว้อย่างนุ่มนวล คนเรือไปขับเรือแทน เรือลดความเร็วลง จนพูดกันได้
“ชายรักท่านแม่ที่สุด”
ท่านหญิงมองหน้าชายเดียว ยิ้มน้อยๆ
“ท่านแม่เป็นทั้งพ่อ เป็นทั้งแม่ให้ชายเหมือนที่รับสั่งตั้งแต่ท่านพ่อสิ้น”
ท่านหญิงแตะแก้มชายเดียวเบาๆ
“เพราะชายเป็นลูกชายที่น่ารักของแม่ตลอดมา”
พวกบนท่าน้ำคอย ชะเง้อแลดู
“มาแล้ว...มาแล้ว” ผ่องบอก
เรือแล่นมาแต่ไกล ชายเดียวนั่งเบียดกอดท่านแม่ ท่านหญิงพิงตัวชายเดียว เป็นภาพที่น่ารักสวยงาม และอบอุ่น
พวกบนท่าน้ำ ต่างชื่นชม ยิ้มแย้ม
ท่านหญิงเดินมา ท่าทางสง่างาม ตัวตรง ชายเดียวเดินมาด้วย พวกบริวารตามมา จนผ่านมาถึงเรือนเฟือง
ศักดินาหยุด “หม่อมแม่คะ”
ท่านหญิงมองเป็นคำถาม
“ท่านพ่อสั่งไว้ให้รื้อเรือนเนี่ย”
ท่านหญิงหยุด หน้านิ่งขึ้น
ศักดินามองไป สีหน้ายังระบายยิ้ม เห็นความรื่นรมย์ใจ “แถวนี้รกร้างเหมือนไม่ใช่อาณาเขต
วังรังสิยา เราทำให้มันดีขึ้นได้นะคะ อย่างเช่น สนามเทนนิสหรือสระว่ายน้ำ”
“เหลวไหล ใครจะเล่นเทนนิส ใครจะว่ายน้ำเสียเงินเปล่าๆ”
“ต้องมีสิคะ อย่างน้อยก็ชายคนหนึ่งละ เรือนข้าหลวงเก่าปิดตายไว้เฉยๆ เราควรจะรื้อเสีย แล้วสร้างศาลาหรือสวนให้ดูสวยงามดีไหมคะท่านแม่”
“ไม่ดี หยุดพูดได้แล้ว ตราบใดที่ฉันยังมีชีวิตอยู่ ฉันไม่อนุญาต เข้าใจไหมชายเดียว”
ท่านหญิงแขไขเสียงดัง จนทุกคนตกใจไปหมด
ชายเดียวหยุดยืน ตกใจเหมือนกัน ท่านหญิงออกเดิน
“แต่ท่านแม่คะ ท่านพ่อสั่งไว้ในพินัยกรรมนี่คะ”
ท่านหญิงหยุด หันมามองสีหน้าเข้ม
“เราควรจะทำตามพินัยกรรม แต่ก็...”
ท่านหญิงขัดทันที “จำไว้นะศักดินา อย่าถือตัวว่าท่านพ่อประทานทุกสิ่งทุกอย่างให้ เพราะตราบใดที่ฉันยังมีลมหายใจ ฉันจะไม่ยอมให้เธอทำตามอำเภอใจในวัง “รังสิยา” นี้ ฉันห้ามเป็นคำขาดไม่ให้มีการก่อสร้างเคลื่อนย้ายทุกสิ่งทุกอย่าง โดยเฉพาะเรือนข้าหลวงเก่า”
ชายเดียวหน้าเสียมาก “ชายไม่เคยคิดจะทำอะไรตามอำเภอใจ ชายหวังดี”
“พอ” ท่านหญิงโบกมือ “เก็บความหวังดีของเธอไว้ รับรู้แต่เพียงว่าฉันไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลงอะไรทั้งสิ้น ฉันหวังว่าเธอคงจะเข้าใจและทำตาม ถ้าหากเธอยังคิดว่าเป็นลูกชายฉันอยู่”
ทุกอย่างเงียบกริบ
ท่านหญิงหน้าเครียด มองไปที่ต้นไม้รกๆ เห็นผีนางเฟืองยืนอยู่ สีหน้าอมทุกข์ แต่เป็นเงาบางๆเลือนลางอยู่ในพุ่มไม้
ท่านหญิงมีสีหน้าปลอบโยน ร่างของเฟืองค่อยๆ จางหายไป ท่านหญิงเดินไปอย่างรวดเร็ว
ชายเดียวยืนหน้าอึดอัด
ผ่องแตะแขนเบาๆ “คุณชายคะ”
ชายเดียวเบี่ยงตัวหนี
“ท่านหญิงกริ้วใหญ่แล้ว คุณชายรีบไปกราบขอประทานโทษเถอะค่ะ เร็วๆ เข้า”
“ฉันไม่ผิด” ศักดินาเสียงแข็ง “ฉันแค่ออกความเห็น ไม่ทรงเห็นด้วยก็ไม่เป็นไร แต่ทำไมต้องกริ้วรุนแรงขนาดนั้น”
พูดจบแล้ว เดินไปทันที อย่างเร็วรี่
บริวารทั้งหมดเดินตามไป
ศักดินาเดินอย่างรวดเร็วเข้ามาในตำหนัก ผ่องตามมา
“คุณชายขา ไปเฝ้าท่านแม่เถิดนะคะ”
“ฉันจะขึ้นข้างบน”
“เดี๋ยวลงมารับทานข้าวนะคะ”
“ไม่หิว ...ไม่กิน”
ชายเดียวเดินขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สีหน้าเคร่งขรึมอย่างเก่า พอผ่านประตูห้องท่านหญิง มองไปแล้วชะงัก เห็นหลังของนางเฟือง แวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่ประตูจะปิดลง
ชายเดียวยืนหน้าพิศวงอยู่อย่างนั้น
เวลาเดียวกัน ที่เรือนครัวบ้านปัณณธร ทุกคนกำลังยุ่ง ทำกับข้าว สำเนียงอยู่หน้าเตาไฟ คนแกง 2 หม้อ สำลี หยิบถ้วยชามสำหรับใส่กับข้าวมาวาง
จันทร์กำลังจัดผลไม้ที่สลักเป็นดอกเป็นดวง ไม่ได้แกะลวดลายมากเกินไป
“แม่จันทร์จ๋า ลูกปอกเงาะสำหรับคว้านเสร็จแล้ว ลูกคว้านให้นะคะ”
“จ้ะ อย่าให้หัวท้ายกว้างเป็นรูอย่างคราวที่แล้วนะลูก”
“ค่ะ ลูกทราบแล้ว หัวท้ายต้องปิดสนิท” รุ้งหน้าแจ่ม อ่อนเยาว์น่ารัก “ไม่มีช่องให้เงาะหายใจเลยนะจ๊ะ”
จริมานั่งเอกเขนกอยู่ “มา คว้านเสร็จจะชิมให้ว่าเงาะหายใจไม่ออกอร่อยแค่ไหน”
ทุกคนหัวเราะขัน
“คุณริมา มาจัดเรียงสับปะรดนี่ใส่จานนะคะ”
“โอ๊ย ไม่หรอก ริมาไม่ได้ชื่อตัวเล็กนี่ จะได้ทำเป็น”
“ก็ไม่ถึงต้องคว้านเงาะเป็นหรอกค่ะ แต่เรียงสับปะรดเนี่ยทำไม่เป็นก็ไม่ต้องชื่อคุณริมาแล้วค่ะ”
จริมากระโดดลุกขึ้นอย่างแรง จนใครๆ ตกใจหมด
“โอ้โฮ คุณริมา เต้ย” สำลีพูดคำโบราณแปลว่า...สุดยอด “เลยค่ะ”
“ทำไมยะนางสาวสำลี” จริมาถาม
“จะเรียงสับปะรดใช่มั้ยคะ” สำลีเลื่อนชามแก้วใส่สับปะรดที่หั่นไว้สวยงามให้
“เปล่า...จะกิน” จริมาจิ้มใส่ปากเคี้ยวหมับๆ
ทุกคนหัวเราะกันเกรียว รุ้งหัวเราะสดใส สีหน้าแจ่มเจิด
จริมาหัวเราะร่า เคี้ยวสับปะรด อีกมือจิ้มสับปะรดชูไว้ ท่าทีสองสาวน่ารักน่าเอ็นดูทั้งคู่
จันทร์มองด้วยความชื่นชม คิดถึงภาพความหลังขึ้นมา
เมื่อ 10 ปี ก่อน
จริมาวิ่งเล่นกับรุ้ง ไล่จับกัน จันทร์ยืนคอยระวังอยู่ จริมาแก่นแก้ว กระโดดโลดเต้น ตีลังกาก็ได้ หัวเราะปากกว้างเสียงดัง รุ้งค่อยๆ วิ่ง ท่าทีเรียบร้อย หัวเราะนิดๆ ใบหน้าสองคน น่าเอ็นดู สุดท้ายวิ่งมาหาจันทร์
ต่อมาจริมากับรุ้งหัดว่ายน้ำ บริวารเรียงรายกันเป็นแถวในน้ำใส่มะพร้าวสองลูก กระทุ่มน้ำกันสนุกสนาน จันทร์คอยนั่งสั่งงานอยู่
สองคนขึ้นจากน้ำเข้ามาหาจันทร์ จันทร์เอาผ้าห่มเช็ดตัวห่อตัวให้ทั้งสองคน ทำให้จริมาก่อนแล้วถึงทำให้รุ้ง
เวลาต่อมาจันทร์แต่งตัวให้เด็กสองคน แต่งตัวจริมา แต่งตัวรุ้ง แล้วจึงหวีผมให้
จริมาโผเข้ากอดจันทร์อย่างรักใคร่ จันทร์กอดจูบชื่นใจ
รุ้งนั่งยิ้มปากแดงอยู่ข้างๆ จันทร์ลูบหัวรุ้ง สีหน้าตื้นตัน ที่เห็นลูกสาวไม่มีอารมณ์อิจฉาสักน้อย
เด็กสองคนนั่งทำการบ้าน เถียงกันบ้าง ช่วยกันบ้าง
จันทร์เตรียมขนมอยู่อีกมุมหนึ่ง มองทั้งสองคนด้วยสีหน้าชื่นใจ แล้วมองไปอีกทาง เห็นฉัตต์นั่งอ่านหนังสือท่าทางเคร่งขรึม
เหตุการณ์ในอีกวันหนึ่ง จันทร์ให้เด็กหญิงสองคนลงนั่งทานขนม บอกรุ้งให้ไปเรียกฉัตต์ รุ้งลุกไป จันทร์มองตามตลอดเวลา รุ้งบอกฉัตต์ แต่ฉัตต์มองนิ่งๆ สายตาเฉยเมย รุ้งนัยน์ตาตกเดินกลับมา จันทร์มองหน้าสงสารรุ้ง กอดรุ้ง
จริมากระโดดลุกขึ้น “โธ่เอ๊ย..พี่ฉัตต์” เดินไปยืนหน้าฉัตต์ “มัวแต่เก๊ก..อดขนมไม่รู้ด้วย”
“ไม่อยากกิน”
“โห...น้าจันทร์ขา ขนมอะไรคะเนี่ยสีสวยน่าทานจัง” จริมาถาม
“ขนมเรไร ขนมน้ำดอกไม้ นี่...ขนมทองเอกค่ะ”
“ขนมทองเอก คุณฉัตต์ชอบ” จันทร์หลุดปากพูดอย่างเร็ว
ฉัตต์หันขวับมามองทันที จันทร์มองฉัตต์ แต่ฉัตต์ลุกเดินหนีไป
อีกเหตุการณ์ เวลาผ่านไปทุกคนเติบโตขึ้น และเวลานั้นนั่งอยู่ในห้องรับแขกบ้านปัณณธร ขนมทั้งหลายวางอยู่ตรงหน้า
“ขนมทองเอก..ขนมเรไร ใช่มั้ยครับ นี่ขนมน้ำดอกไม้”
จันทร์จ้องด้วยนัยน์ตาลึกซึ้งขณะมองลูกชาย
“ผมชอบขนมทุกอย่างที่คุณน้าทำครับ”
จันทร์ตื้นตันใจ มองจ้องไม่วางตา จริมา รุ้ง และฉัตต์ อยู่ในห้องด้วย
“ชอบก็รับทานเยอะๆ นะคะคุณชาย” จันทร์บอก
“ครับ...ที่วังมีคนทำขนมเป็น ชื่อ สาลี่ แต่แกไม่ค่อยได้ทำครับ เพราะแกแก่มากแล้ว”
สีหน้าอดีตหม่อมบุหลันหมองลง คิดถึงสาลี่และทุกคนที่วังรังสิยา
อ่านต่อหน้า 4
แค้นเสน่หา ตอนที่ 5 (ต่อ)
จันทร์ซึ่งอยู่ที่ครัว ดึงตัวเองกลับมา น้ำตาซึมนิดๆ
“แม่จันทร์จ๋า” / “น้าจันทร์” สองสาวรุ้งและจริมาเรียกขึ้นพร้อมกัน
จันทร์สะดุ้งนิดๆ “คะ”
สองคนเข้ามาขนาบข้าง จริมาและรุ้งอุทานพร้อมกันอีก
“แม่ร้องไห้” / “น้าจันทร์ร้องไห้”
ทุกคนในครัวหันมามอง จันทร์กำลังอึกอัก มองหน้าแจ่มแจ๋วสองสาวที่มองจ้องเป็นตาเดียว
“พุทโธ หั่นหัวหอมรึนั่น ก็น้ำตาไหลนะสิ มาค่ะคุณจันทร์ ฉันหั่นเอง คุณจันทร์ไปแต่งตัวเถิดค่ะ เดี๋ยวแขกก็มากันแล้ว” สาลี่ว่า
“ไม่หรอกจ้ะ ฉันไม่ขึ้นไปนั่งโต๊ะหรอก” จันทร์บอก
“หรือคะ” สาลี่จ้องหน้า “เชื่อฉันมั้ย ทั้งคุณหญิง ทั้งคุณพจน์ ไม่มียอมหร๊อก”
ตกตอนกลางคืน ภายในห้องอาหารบ้านปัณณธร เจ้าบ้านมี คุณหญิงเพ็ง พจน์ และ จันทร์ กับแขกผู้ใหญ่ทั้งชายและหญิง 4 คน ทั้งหมดนั่งทานข้าวกัน พูดคุยกันเบาๆ ท่วงท่าสุภาพเรียบร้อย แขกพูดคุยกับจันทร์ด้วยท่าทางนุ่มนวลสุภาพ
เสียงเปียโนดังแว่วมา เป็นท่วงทำนองเพลงไทยเดิม แขกคนแรห ซึ่งเป็นท่านเจ้าคุณ ชะงักฟัง
“อ๋อ หนูรุ้งเล่นเปียโนแล้ว ฝีมือไม่ใช่เล่นเลยนะครับ”
“เพลงลาวคำหอมเพราะจริงๆนะคะ ท่านเจ้าคุณ” แขกคนที่สองว่า
“ใครเล่นนะครับ” แขกอีกคนถาม
“หลานสาวค่ะ ลูกของลูกสาว” คุณหญิงเพ็งตอบ
ท่านเจ้าคุณพยักหน้ารับทราบ “อ๋อ ลูกของคุณจันทร์หรือครับ”
สองสาวอยู่ในห้องเปียโนบ้านปัณณธร ซึ่งมีเปียโนเก่าๆ เครื่องหนึ่ง รุ้งเล่นเพลงลาวคำหอม
“โอ้ย ตัวเล็กนี่เล่นเพลงน้อย...นอยอยู่นั่นแหละ เอามันๆ หน่อย มันหน่อย” จริมาบ่น
รุ้งมีสีหน้าฉงน “เพลงมันๆ เล่นไม่เป็น ทำนองเป็นยังไงเหรอคะ”
“โอ๊ย จะตายคาที่เลยเนี้ย” จริมาล้มไปกับเก้าอี้ ทำท่าหมดแรง “ไม่ใช่ชื่อเพลงมันๆ ริมาหมายถึงเพลงน่ะ..ให้มันๆ หน่อย มันน่ะ รู้เรื่องมั้ย”
“ไม่รู้ค่ะ”
“จะเป็นลม” จริมาลงไปนองกองอย่างน่าขำ “เอางี้” กระเด้งตัวขึ้นมาอีกส่งเสียงเรียก “พี่ฉัตต์..พี่ฉัตต์”
“ค่อยๆ หน่อยเดี๋ยวแขกได้ยิน” รุ้งปราม
ฉัตต์เดินออกมา หน้าเคร่งจัด
“โห...ใครเอาเชือกมาผูกหน้าพี่ฉัตต์ไว้เนี่ย” จริมาลดเสียงลง
“ไม่ตลกเลย” ฉัตต์เดินไปนั่งอ่านหนังสือ ทำเต๊ะจุ๊ย
“เก๊าะอย่าตลก ตัวเล็ก เอ้าเล่นเพลง สุขเถอะพวกเรา”
รุ้งเริ่มเล่น จริมาลุกขึ้นเต้นประกอบ ร้องไปด้วย เป็นภาพสนุกสนานน่าเอ็นดู
ฉัตต์ชำเลืองดูรุ้ง หน้าขุ่นๆ รุ้งสบตาฉัตต์ มือไม้อ่อน หยุดเล่น
“ตัวเล็ก”
รุ้งเปลี่ยนเป็นเล่นเพลงฝรั่ง Autumn Leaves อย่างเพราะพริ้ง ซึ่งแสดงให้เห็นฝีมือเล่นเปียโนพราวแพรวมาก
“Autumn Leaves …..oh..so lonely” จริมาครวญ
ฉัตต์เหลือบดู ด้วยสายตาอ่อนโยน
จริมาเชียร์รุ้ง “ร้องด้วยสิ..ตัวเล็ก...The falling leaves…”
รุ้งร้องพึมพำเบาๆ “drift by my window”
จริมาคอยร้องคลอไปด้วย “the autumn leaves of red and gold I see your lips the summer kisses.The sunburned hand I used to hold”
พอคนหนึ่งหยุด อีกคนร้องต่อให้ เพราะมากๆ รุ้งร้องท่อนต่อมา
“Since you went away the day grows long and soon
I’ll hear old winter’s song.But I miss you most of all
my darling when autumn leaves start to fall.”
ฉัตต์ลุกพรวด หน้าบึ้ง ทั้งๆ ที่ตอนฟังยังทำท่าซาบซึ้งอยู่เลย
“ไม่เกรงใจผู้ใหญ่ ร้องเพลงเสียงดัง”
สองสาวหันมามองหน้าเหวอๆ ฉัตต์จ้องรุ้งนัยน์ตาดุๆ ทั้งๆ ที่ลึกๆ มีความสุขซึ้งซ่อนอยู่ รุ้งหน้าเสียจ้องตาฉัตต์แล้วหลบตา
“ไม่มีความคิด อยู่ๆ ลุกขึ้นมาเล่นเปียโน รบกวนผู้ใหญ่กำลังรับประทานอาหาร”
รุ้งเสียใจน้ำตาเริ่มคลอ แล้วลุกขึ้น เดินเบาๆ ก้มหน้าก้มตาออกไป
ฉัตต์จับแขนถามทันที “ทำไม” จ้องมองตา
รุ้งน้ำตาเต็มตา มองสบตาฉัตต์
“พี่ฉัตต์” จริมาฉุน
“ถามว่าทำไมต้องลุกหนี”
มือฉัตต์จับแขนรุ้งบีบแน่นจนเจ็บ รุ้งไม่ตอบและยังจ้องนัยน์ตาฉัตต์ แล้วรุ้งก็ดึงแขนตัวเองออกจากมือฉัตต์ ก่อนจะเดินจากไป เสียงสะอื้นยังพอได้ยิน
ฉัตต์ยืนงง หันมาทางจริมา ซึ่งหน้าเสียมองพี่ชายอย่างขุ่นมัว
“มองอะไรริมา”
“พี่ฉัตต์ ริมาจะบอกอะไรให้นะ ฟังแล้วไม่ต้องขอโทษริมาก็ได้ แต่พี่ฉัตต์ต้องขอโทษตัวเล็ก”
“มันเรื่องอะไร จ้างให้ก็ไม่ขอโทษ ไม่ว่าใครทั้งนั้น” พูดจบก็เดินออกไป
“คุณย่าเป็นคนบอกให้ตัวเล็กเล่นเปียโนเพลงอะไรก็ได้ สนุกก็ได้ แต่คุณปู่ท่านเจ้าคุณที่มาทานข้าวน่ะเป็นคนขอเพลง Autumn Leaves”
ฉัตต์ชะงักกึก แล้วก็เดินไปเพราะไม่รู้จะพูดอะไร สีหน้าฉัตต์ ทั้งตกใจและเสียใจ
ขณะเดียวกัน ที่วังรังสิยา ศักดินาเดินออกจากห้องตัวเอง ผ่านห้องบรรทมท่านหญิง มองไปสีหน้าครุ่นคิดว่าจะไปง้อดีหรือไม่
แล้วตัดสินใจเดินไปยกมือจะเคาะ แต่ชะงักเมื่อได้ยินเสียงท่านหญิงพูดกับผู้หญิงคนหนึ่งแต่จับใจความไม่ได้
ศักดินาเปลี่ยนใจ หันหลังกลับ
เวลาต่อมาศักดินาลงมาทานอาหารที่ห้องอาหารเล็กชั้นล่าง ด้วยสีหน้าปกติ
ผ่องรินน้ำเพิ่มให้ ใบหน้ายิ้มแย้ม ชายเดียวกินข้าวแล้ว
“ยิ้มอะไรผ่อง”
“ดีใจคุณชายมาทานข้าวค่ะ”
“อดก็หิวตายสิ ท่านแม่เหวยหรือยัง”
“ท่านหญิงไม่เหวยค่ะ รับสั่งว่าไม่หิว”
“ใครมาเฝ้าผ่องรู้มั้ย
ผ่องชะงักกึก “ใครคะคุณชาย”
“ฉันได้ยินเสียงคุยในห้อง อ้อ ไม่ไช่ เห็นตัวด้วยตอนฉันขึ้นไปห้องฉัน ผู้หญิงแก่ๆ...นุ่งโจง เห็นตอนเดินเข้าห้องไปกับท่านแม่”
คำพูดนั้นกระแทกเข้าหน้าผ่องเต็มที่ ตกใจมาก
“แต่ไม่เห็นหน้า ไม่รู้เป็นใคร” ศักดินาเอ่ยขึ้น
ผ่องนำเรื่องมาหารือกับสาลี่ และละมัยที่หลังบ้าน
“จะมีใคร้...หรือแม่ผ่องคิดว่าเป็นใคร” สาลี่เอ่ยขึ้นพอฟังจบ
“ฉันก็ไม่คิดว่าเป็นใครหรอกพี่...” เสียงผ่องสั่นๆ
“ใครเหรอน้าผ่อง” ละมัยสงสัย
“ก็มีอยู่คนเดียว” สาลี่บอก
ละมัยงงๆ “ใครเหรอป้าสาลี่”
“อยู่กับท่านหญิงในห้องบรรทม” ผ่องว่า
“ใครเหรอน้าผ่อง” ละมัยสงสัยจัด
“แสดงว่าท่านหญิงทรงรู้เห็นทุกอย่าง” สาลี่ว่า
ละมัยถามอีก “ใครเหรอป้าสาลี่”
สาลี่ กะผ่อง หันมาดูละมัย ซึ่งหน้าตาเหรอหราไม่รู้เรื่อง
“ใคร.......เหรอ” พอเห็นหน้าสองคน ละมัยหดหัวทันที
สองคนมองตากัน สีหน้าพิศวงทั้งคู่ สาลี่เอ่ยขึ้นในที่สุด
“ท่านหญิง...นางเฟือง”
ท่านหญิงยังอยู่ในห้องบรรทม จดหมายในมือ ที่นางเฟืองเขียนฝากไว้ก่อนฆ่าตัวตาย กระดาษเก่า ซีดจน.....เหลือง ค่อยๆ ถูกคลี่ออก เห็นลายมือเฟืองโย้เย้ตัวใหญ่เท่าหม้อแกง
“อย่าทรงโสกเส้าเมื่อหม่อมฉันไปแล้ว หม่อมฉันจากไปแต่ร่าง หัวใจและวินยานยังคอยดูแลท่านหญิงสะเม๋อ”
นางเฟืองสะกดผิดๆ ถูกๆ น้ำตาท่านหญิงหยดเผาะ
ท่านหญิง กัดฟัน กลั้นน้ำตาอย่างยิ่งยวด
“เฟือง.. หญิงรู้ว่าเฟืองยังอยู่ใกล้ๆ คอยดูแลหญิง....เฟือง”
ประตูห้องนางเฟือง ซึ่งมีกุญแจดอกใหญ่ใส่อยู่ บริเวณรกร้าง ต้นไม้ขึ้นเต็ม เสียงท่านหญิงดังมาถึงถึงประตูห้อง
“เฟือง”
วิญญาณนางเฟืองหมอบอยู่กับพื้นในห้องเก่า ท่าทางเศร้าโศก
เสียงท่านหญิงดังขึ้นอีก “เฟือง”
นางเฟืองได้ยินแล้วค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาช้าๆ น่ากลัวสุดๆ
พริบตานั้นร่างของนางเฟืองค่อยๆ ปรากฎขึ้น ลางๆ
“เฟือง หญิงจะไม่ยอมเป็นอันขาด ถ้าชายเดียวจะให้รื้อเรือนของเฟือง”
ร่างนางเฟืองเลื่อน ลอย มาตรงหน้า ทรุดตัวลง หมอบกราบ
“เฟือง”
นางเฟือง เงยหน้า สบตาท่านหญิงเต็มแรง
“เฟืองไม่ต้องกลัวนะ อะไรเป็นของเฟือง หญิงจะเก็บรักษาไว้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆ ถ้าหญิงยังมีชีวิตอยู่ หญิงให้สัญญา”
นางเฟืองสบตาท่านหญิงแขไข นัยน์ตากล้าแข็ง เหมือนจะมีน้ำตาขึ้นมาเป็นเงาจางๆ เอื้อมมือมา แตะเท้าท่านหญิง
ท่านหญิงก้มลงแตะบ่า แต่มือวูบไป ด้วยร่างของเฟืองตอนนี้ยังเลือนลาง
“เฟือง”
“มังคะ”
นางเฟืองพยักหน้า ทำท่าหลับตาแล้วรวบรวมกำลัง ร่างของนางเฟืองที่ลางๆ ค่อยๆ ชัดขึ้น...ชัดขึ้น จนเป็นร่างเต็มตัว
ท่านหญิงน้ำตาเต็มตา มองนางเฟืองอย่างตื้นตันใจ
นายคนกะบ่าวผี ทั้งสอง...มองตากัน
ท่านหญิง ยื่นมือหานางเฟือง ที่ยื่นมือหาท่านหญิงเช่นกัน
มือต่อมือยื่นเข้ามาแตะกันแล้วจับกัน มืออีกมือของนางเฟืองจับมือท่านหญิงเอามือมาทูนไว้บนหัว
ด้านศักดินานอนหลับสนิทในห้องที่มืดสลัว ชายเดียวพลิกตัว ลืมตา ยินเสียงประตูเปิดเบาๆ ชายเดียวตกใจ แต่ก็ยังนอนอยู่จ้องมองมา
เป็นท่านหญิงเข้ามา มีนางเฟืองตามมา สองคนเข้ามายืนห่างจากเตียงพอประมาณ
คุณชายนอนมอง หน้าตาเป็นปริศนา แต่ไม่กลัว
ท่านหญิงเริ่มต้นคุยกับเฟือง กิริยาเป็นปกติเหมือนการคุยธรรมดา
“ไม่ต้องห่วงว่าลูกชายจะหักหาญรื้อเรือนข้าหลวง ฉันบอกเขาแล้ว”
“มังคะ”
“เขาเป็นลูกที่ดี ไม่ดื้อกับฉันหรอก บอกอะไรก็เชื่อฟังดี”
“มังคะ เชื่อหม่อมฉันหรือยังมังคะ”
“เชื่อแล้ว ขอบใจนะ...ต่อไปฉันไม่เหงาแล้ว”
“หม่อมฉันตายตาหลับแล้วมังคะ”
“จะทิ้งหญิงไปหรือ! ไม่นะ เฟือง”
“ไม่มังคะ หม่อมฉันไม่มีวันทิ้งท่านหญิง ไม่ไปไหน...” สีหน้าผีนางเฟือง สายตามั่นคง “สิ้นบุญท่านหญิงวันไหนหม่อมฉันถึงจะไป”
ท่านหญิงยิ้ม อ่อนหวาน
“ขอบใจ...ขอบใจมาก...ไปดูลูกชายกัน”
ในแสงสลัว มีมุ้งกั้น ท่านหญิงเหลียวมาศักดินามองอยู่ ท่านหญิงมองจ้อง ต่างคนต่างไม่รู้ว่าอีกฝ่ายมองอยู่ ท่านหญิงเดินมาหยุดยืนหน้าเตียง นางเฟืองตามมา ยืนอยู่ด้านหลัง
“ลูกชายน่ารักเห็นมั้ย”
“มังคะ น่ารักเหลือเกิน”
“ตั้งแต่เขาเล็กๆ ฉันต้องมาดูเขาทุกวันว่าเขาหลับดีหรือเปล่า ผ้าห่มหลุดมั้ย แขนขามาชิดมุ้งรึเปล่าเพราะยุงจะกัดเขา”
ในที่สุดชายเดียวสะดุ้งตื่น ยังงงๆว่าฝันไปหรือนี่
“ชาย”
ชายเดียวสะดุ้งสุดตัวหันไป เห็นท่านหญิงยืนอยู่ข้างเตียง
“ท่านแม่”
ท่านหญิงแหวกมุ้งขึ้น “ชายเดียว...ตื่นทำไมล่ะลูก นอนเถอะ แม่เข้ามาดูว่าชายนอนหรือยังเท่านั้น”
“แต่ชายฝันค่ะท่านแม่....มันเหมือนจริงมาก”
“ฝันว่าอะไร” ท่านหญิงแขไขนั่งบนเตียง โน้มตัวลงมาลูบผมด้วยสายตารักใคร่
“ฝัน...ว่าท่านแม่เด็จมาดูชาย มากับผู้หญิงแก่ๆ”
ท่านหญิงชะงักพริบตาเดียว “ใครจ๊ะ ท่านยายหรือ”
“ไม่ใช่ค่ะ ชายจำท่านยายได้ไม่เหมือนในรูปหรอกค่ะ คนนี้ แก่ ไว้ผมมวย นุ่งโจง อ๋อ...ชายนึกออกแล้ว คนที่ตามเด็จท่านแม่เข้าไปในห้องเมื่อเย็นนี้”
สีหน้าท่านหญิงปกติมาก “อ๋อ ชายเห็นหรือลูก”
“เห็นคะ เขาเป็นใครคะ ข้าหลวงเก่าหรือคะท่านแม่”
“ใช่..นอนเถิดลูก....แล้วไม่ต้องไปถามใครนะเรื่องข้าหลวงคนนี้ แม่ไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามาหาแม่ สัญญาสิ”
“ค่ะ ชายสัญญา”
“แต่เมื่อกี้ ชายฝันไป เขาไม่ได้เข้ามาในห้องชายกับแม่หรอก แม่มาคนเดียว”
“ค่ะ ท่านแม่” ชายเดียวยิ้มให้ แล้วหลับตาลง “ชายไม่รื้อเรือนข้าหลวงแล้วค่ะ”
ท่านหญิงจ้องคุณชายศักดินา แล้วหันไปมองนางเฟืองที่หมอบอยู่ที่พื้น ยิ้มน้อยๆ
นางเฟืองเงยหน้าสบตาท่านหญิง สีหน้าอ่อนโยนสมใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น ศักดินาหมุนโทรศัพท์รอสาย อยู่ตรงมุมห้องโถงตำหนักวังรังสิยา เสียงโทรศัพท์ดัง 1 ครั้ง 2 ครั้ง 3 ครั้ง ชายเดียวขมวดคิ้ว ไม่มีคนรับสาย
ด้านจริมาอยู่ที่บ้านปัณณธรวิ่งพรวดมาในห้องโถง
ชายเดียวพูดสาย “ฮัลโหล”
“จะพูดกับใครคะโทร.มาแต่เช้า” คำหลังพูดลดเสียงนิดหน่อย “อุ้ย..ขอโทษค่ะ”
ชายเดียวยิ้มนิดๆ รู้ว่าเป็นเสียงคู่ปรับ...จริมา
“ว่าไง ไม่พูดอะไรฉันจะวางหูนะคะ” จริมานิ่งฟัง “ขอโทษ...ใครพูดไม่ทราบ”
“ผมเอง”
“ผมน่ะใคร”
“ศักดินาครับ”
“อ๋อ...ว่าแล้วเชียว มีธุระอะไรรึคุณชาย”
“ต้องมีธุระด้วยหรือครับถึงจะโทร.ได้”
“นี่คุณชาย ฉันรู้ว่าคนที่บ้านฉันน่ะ “ปลื้ม” คุณชายกันทุกคน แต่ขอโทษนะยกเว้นคนเดียว...ฉัน”
“ครับ”
“คุณอยากพูดอะไรก็พูดมา แต่พูดอย่างเมื่อกี้มันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ฉันก็มีงานทำเหมือนกัน จะวางหูใส่คุณ ฉันก็ไม่ทำทั้งๆ ที่อยากจะทำ เพราะมันทำให้ฉันเป็นคนไม่มีมารยาท...คุณชาย”
ศักดินานิ่งฟัง สีหน้าก็นิ่งแต่นัยน์ตายิ้ม
“คุณชาย ยังอยู่รึเปล่า”
“ผมจะไปไหนได้ล่ะครับ ยังฟังคุณพูดอยู่”
“คุณชาย...ยวนเหรอ”
ชายเดียวร้องเสียงหลง “เปล่าครับ”
“ไม่จริง คุณจะเอายังไง จะพูดหรือไม่พูด”
“ก็ได้ครับ คือผมจะมาที่บ้านคุณ”
“มาทำไม.?...ไม่มีใครเชิญคุณซักหน่อย”
“ผมเชิญตัวเองครับ”
จริมาเริ่มอ่อนใจ “คุณจะมาทำไม”
“ผมก็จะไปหา...”
จริมาคอยฟัง
ชายเดียวอึกอักไปไม่เป็น “เอ้อ...”
“นี่ บอกก่อนนะว่าฉันไม่ต้อนรับคุณชาย เพราะคุณชายทำลับลมคมนัยจะพูดอะไรก็ไม่พูด ทำอึกๆอักๆลับๆล่อๆ”
ชายเดียวยิ้มในสีหน้าสนุกมากกับการต่อล้อต่อเถียงกับจริมา “จริงหรือครับ ผมไม่รู้ตัวเลย”
“เท่านี้นะคะ”
“ครับ” ชายเดียวตอบทันที
จริมาเหวอนิดๆ “อะไรนะ”
“ก็เท่านี้ไงครับ อย่างที่คุณบอก”
“โธ่เอ๊ย พูดซะยาวก็แค่วางหูโทรศัพท์ แบบเนี้ยะ”
จริมาถอนใจแรงๆ วางหู จันทร์โผล่ออกมาเร็วๆ สีหน้าดีใจเมื่อเห็นจริมา
“คุณริมาเห็นรุ้งมั้ยคะ”
ขณะนั้นรุ้งนั่งเหม่ออยู่ที่ท่าน้ำหลังบ้าน มองไปในสายน้ำ ถือหนังสือในมือเล่มหนึ่ง คิดถึงถ้อยคำฉัตต์ ที่ถามดุเมื่อคืนว่า..ทำไมต้องลุกหนี
รุ้งเสียใจ แล้วฝืนใจก้มลงอ่านหนังสือ แต่อ่านไม่รู้เรื่อง นั่งหลับตา
จังหวะนี้เห็นฉัตต์เดินเข้าไปนั่งข้างๆ ด้วยกิริยาเดินค่อยๆ รุ้งยังหลับตา ฉัตต์นั่งมองไปข้างหน้า
สักครู่รุ้งก็สะอื้นแผ่วๆ น้ำตาหยดทั้งๆ ที่หลับตาอยู่อย่างนั้น
ฉัตต์ตะลึงหันมาจ้องนิ่ง รุ้ง ยกมือทั้งสองปิดหน้า แล้วสะอื้นแรง ฉัตต์ยิ่งว้าวุ่นใจ
สักครู่รุ้ง ลดมือลง ลืมตา สะดุ้งสุดตัว ฉัตต์นั่งมองอยู่
“คุณฉัตต์”
“ร้องไห้ทำไม”
รุ้งตอบไม่ถูก
ฉัตต์ถามย้ำ “ถามว่าร้องไห้ทำไม”
“เอ้อ...”
“นี่ ทำไมเวลาฉันถามอะไรทำไมนิ่งเป็นเบื้อเป็นใบ้จะพูดอะไรก็พูดมา ร้องไห้ทำไม”
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่คิดอะไรนิดหน่อยเท่านั้น คุณฉัตต์อย่าสนใจเลยค่ะ”
ฉัตต์ฟังแล้วเกิดโมโห “ใครว่าฉันสนใจ ฉันจะสนใจเธอไปทำไม เธอจะร้องไห้จนน้ำตาท่วมเมืองก็ไม่เกี่ยวกับฉัน”
“งั้นที่รุ้งไม่ตอบคุณฉัตต์ก็ถูกแล้วนี่คะ” รุ้งย้อน
ฉัตต์อึ้งไปเลย
“รุ้งขอตัวนะคะ” รุ้งลุกเดินไป
ฉัตต์เรียกไว้ “เดี๋ยว”
รุ้งชะงัก
“ถึงยังไงก็ต้องจำไว้ว่าฉันถามอะไรต้องตอบ...ทันทีด้วย ไม่ใช่ให้ถามสองครั้งสามครั้ง”
“ค่ะ” รู้งตอบเร็วรี่ “รุ้งจะจำไว้”
ฉัตต์อึ้งอีก ตาคว่ำจ้องหน้ารุ้ง รุ้งจ้องตอบ นัยน์ตาแจ่มแจ๋วแม้มีน้ำตา
“หยุดร้องไห้แล้วฟังฉัน”
รุ้งป้ายน้ำตา
“เมื่อวานที่ว่าเรื่องเล่นเปียโน...”
รุ้งจ้องมองคอยฟัง
“ขอโทษด้วย”
รุ้งค่อยๆ ยิ้ม แล้วยิ้มเต็มหน้า สายตาดูโล่งใจมาก
“เพราะฉันไม่รู้...”
รุ้งไหว้ “ขอบคุณค่ะ” พร้อมกับป้ายน้ำตาอย่างแรง “ไม่ร้องไห้แล้วค่ะ”
ฉัตต์งงอยู่อึดใจ แต่แล้วก็เข้าใจ ยิ้มนิดๆ ในสีหน้า
สองคนยืนจ้องหน้ากันสักครู่ แล้วรุ้งค่อยๆ ถอยหลัง ฉัตต์เหมือนจะตามแต่หยุดตัวเองไว้ รุ้งเดินออกไป
รุ้งเดินหน้าตาโล่งใจเข้ามาในห้องโถงเร็วรี่
จริมาสวนออกมา “ตัวเล็ก คุณชายเดียวเค้าจะมาวันนี้นะ”
“เหรอคะ งั้นรุ้งบอกแม่ก่อน” รุ้งขยับตัวจะไป
“หยุด...บอกแล้ว แต่ไม่รู้หรอกว่า เค้าจะมาทานของว่าง หรือมื้อกลางวัน หรือเย็น หรือดึก ไม่ต้องมองหน้าริมาหรอก ก็เค้าไม่บอก บอกแต่ว่า ผมจะมา..ผมจะมา ริมาจะไปรู้เหรอ”
“คุณริมาถามรึเปล่า”
“ถาม...เอ๊ย ไม่ได้ถาม คือ...คิดว่าจะถาม แต่แล้ว...แฮ่ะ...แฮ่ะ มันลืมน่ะ”
รุ้งหัวเราะกิ๊ก
“แต่ก็ไม่แปลก มาตอนไหนกินตอนนั้น ก็ตอนนั้นมีอะไรให้กินก็ต้องกินไอ้นั่นแหละถ้าเลือกเหรอ..โน่น ประตู”
“ทำไมคะ”
“เอ๊า ก็ออกไปเลยซิ..ถามได้ ไปหากินเองข้างหน้า”
รุ้งหัวเราะขำ “งั้นเดี๋ยวรุ้งรีบไปช่วยแม่จันทร์ดีกว่า...ดีมั้ยคุณริมา”
“ดี...รีบไปเลยตัวเล็ก”
รุ้งออกไป แล้วจริมาเดินมาที่โต๊ะหนังสือ แล้วคิดออก หยุดกึก
“ตัวเล็ก...ตัวดีนักนะ” ร้องเรียกใหญ่ “ตัวเล็ก..ตัวเล็ก” พร้อมกับกำหมัดทุบมือตัวเอง “โธ่เอ๊ย อีตาคุณชาย มีผู้ช่วยดีนักเรอะ”
ทุกคนช่วยกันทำอาหาร วุ่นอยู่ จันทร์รีบทำโน่นทำนี่ รุ้งก็ทำเหมืนกัน รุ้งกำลังทำกับข้าวอย่างหนึ่ง หันมายกของวางบนพื้น แต่ของหนัก จนส่งเสียง “เฮ้อ” แล้วชะงักกึก เมื่อเจอจริมายืนตั้งท่าอยู่
“คุณริมา”
ทุกคนหันมาดูเป็นตาเดียว
“อ้าว..ยังไม่เสร็จเหรอ” จริมาถาม
“ทำไมคะคุณริมา” จันทร์ถาม
“เขามาแล้ว”
“ตายแล้วจริงหรือคะ”
“งั้นไปบอกเขานะว่าเราทำอาหารให้เขาทานไม่ทัน ให้เขากลับไปก่อน” จริมาหันหลังกลับทันที
จันทร์และรุ้ง ส่งเสียงพร้อมกัน “อย่านะคะ”
จริมาหันกลับมา ทำท่ามองแบบลอดแว่นมาที่จันทร์ที่รุ้ง แล้วยักไหล่ร้อง
“เฮอะ เค้ายังไม่มาหรอก แหมตื่นเต้นกันใหญ่ กะอีตาคุณชายเดียว” จริมาทำเสียงและท่าทีน่าขำ หันหลังไปทันทีวิ่งปราดเปรียวกลับไป
จันทร์ขำ “ดู๊..คุณริมา รุ้ง แต่ก็เร็วๆ ลูก”
ศักดินาในชุดลำลองหล่อเหลา เดินลงมาจากชั้นบน “ผ่อง...ท่านแม่เด็จไหนหรือ”
“เด็จวังท่านหญิงเล็กค่ะ คุณชาย”
“สนขับรถไปใช่มั้ย ฉันจะไปเยี่ยมพี่ฉัตต์”
“ไปยังไงคะคุณชาย”
“เรียกรถรับจ้างให้ด้วย อีกสักครึ่งชั่วโมงนะผ่อง”
“คุณชายคะ อย่านั่งรถรับจ้างเลยค่ะ”
ชายเดียวเดินออกไป ผ่องหันกลับมาหยิบโทรศัพท์
ครู่ต่อมาศักดินาเดินออกจากตึกมองไม่เห็นรถ ตัดสินใจออกเดินไปที่หน้าประตูใหญ่
ผ่องตามออกมาเร็วรี่ ร้องเรียก “คุณชายคะ..คุณชาย
ชายเดียวหันไป “ผ่อง ไม่เป็นไรหรอกไม่ต้องห่วง ฉันเรียกรถเอง”
“บ้านปัณณธรส่งรถมารับคุณชายแล้วค่ะ”
“ผ่อง ฉันไม่อยากกวนใคร”
“เขายืนยันจะมารับค่ะ อยู่แค่นี้เองเดี๋ยวก็มาถึงค่ะ”
“เขารู้ได้ยังไง”
ผ่องยิ้มแหยๆ “อิฉันโทร.ไปบอกค่ะ”
ขณะที่ศักดินาเดินเนิบๆ มาที่ประตู เสียงแตรดัง ผ่องวิ่งไปเปิดประตู รถบ้านปัณณธร แล่นเข้ามามีแนบเป็นคนขับ โดยในรถจันทร์นั่งมาด้วย มองเข้าไปในตำหนัก
สายตาจันทร์เศร้าหมองสะเทือนใจเหลือแสน คิดถึงท่านชายรังสิโยภาสเหลือเกิน ขณะมองเห็นศักดินายืนรออยู่
อ่านต่อหน้า 4
แค้นเสน่หา ตอนที่ 5 (ต่อ)
รถแล่นเข้าไปจอดเทียบ จันทร์เปิดประตูลงมา คุณชายศักดินาไหว้ ผ่องก็ไหว้ด้วย
“น้าจันทร์มาเองหรือครับ ผมรบกวนจริงๆ ขอบคุณมากครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณชาย คนที่โทร.ไปบอกว่า คนขับรถคุณชายไปส่งท่านหญิง”
“ผมเรียกรถรับจ้างก็ได้”
“ดิฉันบอก...เอ้อ คนที่โทร...” จันทร์อึกอักนิดๆ
“ผ่องค่ะ ที่โทร.ไป” ผ่องรีบบอก
“ผ่องเลี้ยงคุณชายหรือจ๊ะ”
“ค่ะ”
จันทร์ยิ้มกับผ่องอย่างอ่อนโยนผิดปกติ
“เลี้ยงตั้งแต่คุณชายอายุวันเดียวกระมัง นะคะคุณชาย”
“หรือจ๊ะ” จันทร์ยิ้มอีก
“จริงหรือผ่อง ฉันไม่เคยรู้” ชายเดียวหันมาทางจันทร์ “ลำบากคุณน้าเลยนะครับ”
“ดิฉันบอกผ่องว่าจะมารับคุณชายเอง เชิญค่ะคุณชาย”
แนบเปิดประตูรอ
“ครับ...ขอบคุณครับ” ศักดินาทำท่าให้จันทร์ขึ้นก่อน กิริยาสุภาพมาก “เชิญน้าจันทร์ก่อน
ครับ”
จันทร์ขึ้นรถ ผ้าเช็ดหน้าที่ถืออยู่ตกข้างรถ จันทร์ทำท่าจะเก็บ
“ไม่เป็นไรครับ ผมเก็บให้” ชายเดียวแตะแขนจันทร์เบาๆ ให้ขึ้นรถ
ชายเดียวก้มลงเก็บผ้าเช็ดหน้า แล้วเข้ามาในรถ ส่งผ้าเช็ดหน้าให้จันทร์ ก่อนส่งปัดขี้ฝุ่นที่เปื้อน จันทร์รับผ้าเช็ดหน้า สีหน้าตื้นตันใจ รถแล่นไป
จันทร์ไม่สำเหนียกสักนิดว่า นางเฟืองเหลียวหน้ามาในเงามืด เห็นและรับรู้การมาของหล่อนวันนี้
นางเฟืองพึมพำ “บังอาจมากอีบุหลัน มาเหยียบหัวใจกูถึงบ้านเลยเรอะ”
จันทร์นั่งกับชายเดียว ด้านหลังรถ เหลือบมองลูกชาย สายตาทั้งรักใคร่ ซาบซึ้ง เศร้าหมองปะปนกัน
ชายเดียวหันมา จันทร์เปลี่ยนสายตาเป็นยิ้มแย้มปกติ
“ครับ”
“เห็นคุณชายมาตั้งแต่เล็กๆ คุณริมา คุณฉัตต์ โตเป็นหนุ่มเป็นสาว สะสวยกัน ทุกคน” จันทร์ชวนคุย
“รวมทั้งรุ้งด้วยครับ ยิ่งโตยิ่งเหมือนน้าจันทร์นะครับ” ศักดินาเสียงเบาลงไปนิด “สวยเหมือนกัน”
คำพูดกระแทกเข้าหน้าจันทร์ทันที เริ่มฉุกใจ และไม่ค่อยสบายใจ
สักครู่หนึ่งจันทร์พาชายเดียวเข้ามาในห้องโถง อ่อนวางจานของรับทานจานสุดท้าย
“จัดอาหารแล้วนะคะคุณจันทร์” อ่อนบอก
“ขอบใจจ้ะ อ่อนไปตามคุณฉัตต์ กับคุณริมาด้วยนะ”
“ค่ะ” อ่อนออกไป
“รุ้งไม่อยู่หรือครับ” ศักดินาถาม
“อยู่ค่ะ” อ่อนออกไปเร็วๆ
จันทร์สีหน้าไม่ดี แต่ก็ปรับอารมณ์ “เชิญคุณชายนั่งค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
“เอ้อ...ท่านหญิงทรงสบายดีหรือคะคุณชาย”
“ท่านค่อนข้างอ่อนแอ ไม่ค่อยทรงสบายเรื่อยๆ ตั้งแต่ผมเล็กๆ แล้วครับ แม่ผ่องถึงต้องมาเป็นแม่นมให้ผม”
“แม่ผ่องเป็นคนที่โชคดีมาก” จันทร์พึมพำ
ชายเดียวมีสีหน้าแปลกใจ “โชคดี”
“ดิฉันหมายถึง เอ้อ...ได้เลี้ยงคุณชาย คุณชายเด็กๆ คงน่ารักมาก”
ชายเดียวหัวเราะเบาๆ “ผมเลี้ยงยากครับ ไม่สบายอยู่เรื่อยๆ แม่ผ่องโชคร้ายมากกว่า”
จันทร์ส่ายหน้าไม่เห็นด้วย สายตาหมองลง
“คุณน้าครับ”
จันทร์รู้สึกตัว “ขอโทษค่ะ ดิฉันเคยฝันอยากมีลูกชาย” จันทร์พูดสุ้มเสียงปกติ “แต่...ก็มีไม่ได้ มีแต่ลูกสาว”
“ลูกสาวก็ดีนะครับ รุ้งเป็นเด็กน่ารักมาก” ศักดินาว่า
จันทร์ฟังด้วยความรู้สึกสะเทือนใจว่า ลูกสองคนน่าจะเป็นลูกจันทร์โดยเปิดเผย
ฉัตต์ และจริมา เดินเข้า ชายเดียวไหว้ฉัตต์ สบตาจริมา จริมาทำไม่รู้ไม่ชี้
“รุ้งละครับ ไม่มาด้วยหรือครับ” ชายเดียวถามถึง
“เขาบอกว่าน้าจันทร์ให้เขาทำขนมอยู่ในครัว ไม่ต้องออกมา ริมาเรียกเขาก็ไม่มา ริมาโกรธตัวเล็กด้วย โกรธน้าจันทร์ด้วย ทำไมน้าจันทร์ต้องห้ามตัวเล็กแบบนั้น” จริมากระเง้ากระงอด
จันทร์นิ่ง ทุกคนนิ่ง
“สารภี ไปตามรุ้งมาทานขนมกับเรา” ฉัตต์เอ่ยขึ้น
ขณะเดียวกันท่านหญิงแขไข กำลังตำหนิผ่องที่ปล่อยศักดินาไปบ้านปัณณธร
“ผ่องควรจะรู้ว่าถ้าชายเดียวไม่ได้รับอนุญาตจากฉันไม่ควรจะไปไหน”
“มังคะ”
“ฉันจะให้แกดูแลคุณชายต่อไปมั้ยนี่”
ผ่องนัยน์ตาตก
“คุณชายจะกลับยังไง เขามิต้องเดือดร้อนมาส่งรึ”
ทุกคนทานขนม ฉัตต์คุยกับชายเดียว ชายเดียวถามรุ้งบ้าง รุ้งตอบเรียบร้อย จริมาเถียงกับฉัตต์เรื่องหนังสือที่กางอยู่ตรงหน้า
จันทร์เฝ้ามองคุณชายศักดินาสีหน้าและแววตาดื่มด่ำมาก
หนุ่มสาวทุกคนแต่งตัวสวยหล่อ รุ้งเล่นเปียโน คนอื่นๆ ร้องเพลง สนุกสนาน ทั้งไทยทั้งฝรั่ง จันทร์จ้องมอง คนสนุกที่สุดคือ จริมา ชายเดียวหัวเราะร่าเริงกับฉัตต์ ส่วนรุ้งหัวเราะแต่ท่าทางยังเรียบร้อย สดใส
จังหวะนี้ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสก้าวเข้ามา ตามด้วยผ่อง
“ท่านหญิง” จันทร์อุทานเสียงแผ่ว
ท่านหญิงแขไขเจิดจรัสยืนจ้องหน้าจันทร์เขม็ง จนจันทร์ตกใจยืนอึ้ง สีหน้าศักดินาที่ยิ้มแย้มอยู่หุบลง ตกใจเล็กๆ จริมา รุ้ง และฉัตต์ ทุกคนหน้าตกใจเล็กๆ เหมือนกัน
อดีตหม่อมบุหลันทรุดตัวลงกราบท่านหญิงอย่างลืมตัว แต่ขณะที่ก้มลงไป ก็นึกออกว่าไม่ควรทำถึงขนาดนี้ จึงเงยหน้ารีบลุกขึ้น
เด็กๆ มองจันทร์อย่างแปลกใจ
ท่านหญิงเมินหน้าจากจันทร์ไปหาชายเดียว “แม่มารับชายกลับบ้าน ไม่ต้องรบกวนทางนี้ให้ไปส่ง”
“ไม่ เอ้อ...ไม่รบกวนเพคะ” จริมาบอก
“เผอิญคนรถไม่ว่าง ชายเดียวต้องมารบกวน ขอโทษด้วย”
ทุกคนนิ่งอึ้งไป ท่านหญิงไม่สนใจจันทร์เลย ยืนหันหลังให้ด้วยซ้ำ
เด็กๆ มองจันทร์ คล้ายๆ ให้เป็นคนตอบโต้
“ไม่เป็นไรมิได้มังคะ” จันทร์ว่า
ท่านหญิงหันมาหาจันทร์ ช้าๆ จ้องมองจันทร์เหมือนจะทะลุถึงหัวใจ ยิ่งได้ยินคำว่า “มังคะ” สะดุดทันที
จ้องสักครู่แล้วหันหลังให้จันทร์อย่างจงใจ ท่านหญิงพูดกับจริมา
“ขอบใจที่เลี้ยงขนมชายเดียว แต่ไหนๆ ฉันมาแล้วคงจะต้องให้เขากลับ ชายเดียวจะเอาขนมไปทานต่อที่บ้านก็ได้”
“คงไม่อร่อยเท่าทานที่นี่เพคะ” จริมาพูดโต้ตอบด้วยสีหน้ายิ้มแย้มจริงใจ)
ท่านหญิงมองจริมาเขม็ง สายตาขมวด “เธอคงเป็นลูกสาวคุณพจน์ที่ไปงานศพคืนนั้น...” ทอดเสียงเป็นคำถาม
“ใช่เพคะ” จริมาย่อตัวไหว้
“มีอีกคนที่ไปด้วยกัน”
รุ้งย่อตัวต่ำ แล้วไหว้สวยงาม “รุ้งมังคะ ลูกแม่จันทร์” รุ้งตอบแล้วมองจันทร์
ท่านหญิงยืนหน้าเฉย ไม่หันไปทางจันทร์เลย ชายเดียวเดินไปยืนข้างๆ ท่านหญิง
“ชายเดียว หญิงทอแสงอยู่ในรถ คอยชายอยู่”
จริมาสบตากับรุ้ง จริมายักไหล่นิดๆ
“ทำไมหญิงทอแสงต้องมาด้วยคะ ชายมีการบ้านทำ” ศักดินาทักถาม
“น้องมีเรื่องจะคุยกับชาย ชายมาที่นี่ได้แสดงว่าการบ้านไม่มากนักใช่ไหม”
จันทร์รู้สึกเป็นคนนอก ค่อยๆ ถอยออกไปทีละก้าว สีหน้าหมองๆ
“น้าจันทร์จะไปไหนคะ”
คำพูดของจริมากระแทกเข้าหน้าท่านหญิงเต็มแรง คิ้วขมวด พึมพำ “น้าเหรอ”
“ผมคงต้องกลับก่อน ขอบคุณคุณน้าครับ” ชายเดียวไหว้
จันทร์รับไหว้ “ไม่เป็นไรค่ะคุณชาย”
ท่านหญิงแขไขลอบมอง แม่ลูกคุยกัน โดยที่ตัวท่านเองอยู่ตรงกลาง
“อาหารอร่อยมาก ผมไม่เคยรับประทานอาหารแบบนี้มาก่อน คุณน้าทำอาหารเก่งมากครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณชาย”
ท่านหญิงขยับตัว ทุกคนไหว้ท่านหญิง
“ขอบใจที่ดูแลลูกชายอย่างดี ชาย....ช่วยพาแม่ออกไปสิจ๊ะ”
“ค่ะ ท่านแม่เกาะแขนชายสิคะ....ดีๆ นะคะ พื้นตรงนี้ลื่น”
จันทร์จ้องมอง ท่านหญิงแขไขเกาะแขนชายเดียวเดินออกไป จันทร์นัยน์ตาพร่าพรายด้วยน้ำตา แต่ไม่มีใครสังเกตเห็น
“ริมา ออกไปส่งชายดียวด้วยกัน” ฉัตต์บอก
“ไม่หรอก พี่ฉัตต์ไปเถอะตัวเป็นเพื่อนเค้านี่”
“เราเป็นเจ้าของบ้านนะ...ไปเร็วๆ”
“ไม่...ให้ตัวเล็กไปก็ได้”
“ไม่ต้อง” ฉัตต์เดินออกไปทันที
จริมาหันมาดูรุ้ง เห็นรุ้งหน้าจ๋อย
“คนอะไร...น่าเบื่อชะมัด”
จันทร์เดินหลีกจริมาออกมา
จันทร์เดินออกมาเร็วรี่ ถึงหน้าตึกบ้านปัณณธร เห็นท่านหญิงยืนอยู่กับชายเดียว จันทร์มองไปตกใจที่เห็นยอดซึ่งใส่หมวกก้มหน้าก้มตาพรวนดินห่างออกไป โชคดีที่ยอดเงยหน้ามาสบตาจันทร์แล้วเลี่ยงออกไป
สนขับรถมาจอดที่หน้าตึก ทอแสงรัศมีวางท่านั่งอยู่ในรถ
จันทร์ย่อตัวไหว้ท่านหญิงแขไข ท่านหญิงรับไหว้แค่อก มองจันทร์หน้านิ่งๆ อีกครั้ง จันทร์หลบตาแล้วถอยไป
“ผมไปนะครับ พี่ฉัตต์”
“สวัสดีชายเดียว” ฉัตต์หันไปไหว้ท่านหญิง
ท่านหญิงพยักหน้า เดินลงบันไดไป สนเปิดประตูรถคอย ทอแสงรัศมีออกมารับท่านหญิง
“เพื่อนของหญิงสองคนอยู่ข้างบนไม่ไปทักทาย” ท่านหญิงถามหลานสาว
ทอแสงรัศมีมองขึ้นมา สบตาจันทร์ แต่ก็หันไปไม่ใยดี
“ไม่อยากทักค่ะ หญิงไม่ค่อยชอบสองคนนี้ จริมาพูดจาไม่น่ารักไม่เกรงใจคน”
ชายเดียวมีสีหน้าเคร่งขรึม เปิดประตูเข้าไปนั่ง ท่านหญิงขึ้นรถ ทอแสงตามขึ้นไปนั่ง สนปิดประตูแล้ววิ่งไปที่ด้านคนขับ
“เด็กผู้หญิงอีกคนล่ะ” ท่านหญิงถามขึ้น
“ชื่อรุ้งค่ะ เป็นลูกไล่ยายริมา ยังกะไม่ใช่พี่น้องกัน เห็นยอมทุกอย่าง ยังกะลูกคนใช้แน่ะ”
“ทำไมลูกสาวคุณพจน์เรียกแม่ของเด็กคนนี้ว่า “น้า” ต้องเป็น “อา” ไม่ใช่หรือ” ท่านหญิงปรารภด้วยความแปลกใจ
ศักดินามีสีหน้านิ่งเฉย ไม่ชอบใจคำพูดของทอแสงรัศมีนัก
ด้านจันทร์ใจลอยนิ่งคิดอะไรบางอย่าง จนไม่ได้ยินเสียงเรียงของจริมา
“น้าจันทร์” จนจริมาเสียงดังขึ้นอีก “น้าจันทร์ขา”
“คะ” จันทร์ได้สติ
ฉัตต์บ่นเบาๆ “เสียงดังจริงๆ”
“ริมาไม่ชอบ “ท่านแม่” ชายเดียวเลย เขาวางอำนาจบาตรใหญ่ยังไงไม่ทราบ ทำเหมือนชายเดียวมาในที่ที่ไม่ควรมา บ้านเราก็มีศักดิ์ศรีไม่น้อยไปกว่าวังเขาเมื่อไหร่ แถมทำท่าเหมือนโกรธที่เราส่งรถไปรับ ตั้งแต่มาเขายังไม่พูดกับน้าจันทร์ตรงๆ เลย”
สารภีช่วยรุ้งเก็บจานชาม พูดเสริม “สารภีเองก็ตกใจค่ะ อยู่ๆรถก็มาจอด ท่านเดินลงมา ถามมาหาใครก็ไม่พูดด้วย แต่สารภีจำได้ว่าเป็นรถจากวังคุณชายเดียว จะถามนายยอดว่าใช่ไหม”
“อะไรนะสารภี” จันทร์ตกใจ เลยเสียงดังนิดหน่อย “นายยอดทำไมมาอยู่แถวนี้” รีบลดเสียงเบาลง
“ทีแรกบอกมาดูคุณชายเดียวค่ะ แต่พอท่านหญิงมาก็หายตัวไปเลย”
จันทร์โล่งอก “ท่านคงตกพระทัยที่จู่ๆ คุณชายก็หายออกมาจากวัง”
“โธ่ คุณน้าขา อีตาชายเดียวไม่ใช่เด็กตัวโตเบ้อเร่อเบ้อร่า แล้วก็ไม่ได้ปัญญาอ่อนสักหน่อย กลัวทำไม”
“คุณริมา” จันทร์ท้วงเสียงอ่อนโยน
“จริงนะคะ ท่าทางท่านหญิงน่ะร้ายเงียบ ชายเดียวก็กลัวหงอน่าสงสาร คุณน้าออกไปส่งเห็นยายทอแสงรัศมีไหมคะ”
“ดิฉันไม่ทราบว่าเป็นใคร แต่มีคนนั่งรอในรถ”
“เขาละค่ะ” จริมาเอ่ยอย่างแน่ใจ “อยู่โรงเรียนก็พูดถึงพี่ชายตลอด เหมือนนกขุนทองไงคะคุณน้า ร้องเรียกแต่ชายเดียว ชายเดียว”
สารภีหัวเราะกิ๊ก
ฉัตต์เสียงเขียวใส่ “สารภี”
สารภีหยุดกึก
ฉัตต์มองรุ้งเป็นเชิงตำหนิ “ฟังริมานินทาเพื่อนอยู่ได้”
รุ้งสบตาหน้าเอ๋อ อยู่ดีๆ ก็โดนด้วย
“ควรจะรั้งๆ ไว้บ้าง เพื่อนตัวเองเหมือนกัน อย่างนี้จะเรียนโรงเรียนเดียวกันทำไม” หนุ่มเจ้าอารมณ์ลุกขึ้นเดินหนีออกไป
ทุกคนเหวอไปหมด
“เอ๋อ พี่ฉัตต์เขากินอะไรเข้าไป ตัวเล็กทนฟังอยู่ได้”
รุ้งร้อง “อ้าว”
“บอกไปสิว่า ถ้าอยู่โรงเรียนเดียวกันแล้วต้องรักกันจี๋จ๋าล่ะก็ เราจะลาออกจากโรงเรียนนี้ทั้งสองคนเลย มีปากทำไมไม่พูดไป ฮะตัวเล็ก อมอะไรอยู่”
สีหน้าจันทร์หวนไห้ คิดถึงแต่ลูกชาย ยินเสียงรุ้งตอบจริมาดังแว่วๆ ตามด้วยเสียงสารภีหัวเราะ
จันทร์แวะมาเตือนยอด สองคนอยู่ตรงท่าน้ำบ้านปัณณธร ในมุมลับตาคน
“ระวัง ท่านเด็จมาเงียบๆ ไม่บอกล่วงหน้า ถ้าวันหลังท่านทอดเนตรเห็นยอด จะเป็นเรื่องใหญ่”
“ครับ”
“เสียหายถึงคุณหญิงกับคุณพจน์”
“หม่อมไม่น่าเล่าเรื่องคุณหญิงให้คุณพจน์รู้ เรื่องความลับคนรู้มากไม่ปลอดภัย”
“ฉันรู้ แต่ฉันหวังพึ่งคุณพจน์ ฉันจะปล่อยให้คุณหญิงเกิดและตายไปกับการเป็นแค่รุ้งไม่ได้ ถ้าฉันเป็นอะไรไป คุณพจน์จะช่วยรุ้งได้” จันทร์มั่นใจ
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว”
“ที่วังมีแต่เรื่องเศร้า ว่าไปแล้วฉันก็สงสารท่านหญิงเหมือนกัน ตอนนี้ท่านโดดเดี่ยวนะยอด มีแต่คุณชายเดียว”
“ผมเห็นเด็กผู้หญิงอีกคนในรถ”
“คุณหญิงทอแสงรัศมี เธอเป็นลูกท่านหญิงเล็กไง ตอนที่ฉันท้อง ท่านหญิงเล็กท้อง 6 หรือ 7 เดือนแล้ว” จันทร์บอก
ขณะเดียวกันรถที่มีนายสนขับ แล่นมาตามถนน มุ่งหน้ากลับวังรังสิยา สีหน้าท่านหญิง นิ่ง สงบ เยือกเย็นล้ำลึก
ภาพของจันทร์ที่ทรุดลงไหว้ท่านหญิงผุดเข้ามาในความคิด
ทอแสงรัศมี คุยเสียงแจ๋วกับคุณชายเดียว แต่ท่านหญิงได้ยินแว่วๆ
“พี่ชายไปงานโรงเรียนหญิงด้วยนะคะ”
“คงไป บอกเพื่อนไว้แล้ว”
“เพื่อนที่ไหนคะ ยายริมา หรือว่ายายรุ้ง”
“ทั้งสองคน” ชายเดียวบอก
“ฮึ....พี่ชายต้องไปเพราะหญิงสิคะ หญิงเป็นน้องนะ”
ศักดินาเงียบ ไม่ตอบ สีหน้านิ่งเฉย
“พี่ชายเดียว”
หญิงทอแสงไม่พอใจอยู่อย่างนั้น
ครู่ต่อมาท่านหญิงเดินขึ้นชั้นบนไป หน้าตานิ่งเยือกเย็น หันบอกชายเดียว “ ชายอยู่เป็นเพื่อนน้อง” แล้วเดินลับตัวไป
“ตกลงไปมั้ยคะ แน่นะคะ”
“บอกแล้วไงว่าจะไป”
“ไปดูหญิงหรือดูยายริมาหรือว่ารุ้ง” ทอแสงรัศมีซักไซ้
“พี่ก็รู้จักทั้งสามคน หญิงมีปัญหาอะไรหรือ
“หญิงไม่มีปัญหาอะไร แต่พี่ชายเดียวกำลังจะทำตัวให้มีปัญหา เพราะไปสัญญิงสัญญาไว้กับใคร มันจำเป็นด้วยหรือ”
“ถ้าหญิงคิดจะชวนทะเลาะ พี่คงไม่เสียเวลาด้วย พี่จะไปทำการบ้าน”
“ท่านป้าให้พี่ชายเดียวอยู่เป็นเพื่อนหญิง หญิงไม่ชอบอยู่คนเดียว พี่ชายเดียวจะไปทำการบ้านหญิงก็จะตามไป”
“ตามไปทำไม พี่จะอยู่ในห้อง หญิงกล้าไปหรือ” ศักดินาเริ่มรำคาญ
“กล้าค่ะ” หญิงทอแสงบอก
“เหลวไหล” ศักดินาดุไม่ไว้หน้า “ทำไมหญิงถึงดื้อและเอาแต่ใจตัวเองอย่างนี้”
ทอแสงรัศมีเชิดหน้า “เพราะไม่มีใครกล้าขัดใจหญิง”
“เธอไม่น่ารักเลยหญิงทอแสง”
คำพูดประโยคนั้นเหมือนราดน้ำมันเข้ากองไฟ
“ใช่ซิ หญิงมันไม่น่ารัก ที่ไหนจะเหมือนแม่จริมา แม่รุ้ง พวกเขาทำเสน่ห์อะไร พี่ชายเดียวถึงคลั่งไคล้นัก รถไม่มีก็อุตส่าห์เรียกร้องให้ทางนั้นมารับ ทีหญิงโทร.มากี่หนก็ไม่ยอมรับสาย หญิงเป็นญาติ เป็นน้อง พี่ชายเดียวยังไม่เคยกระตือรือร้นไปหาหญิงบ้าง ทำไมเป็นอย่างนี้ หญิงด้อยว่าแม่พวกนั้นตรงไหน หญิงมีเกียรติ มากกว่าพวกเขาเสียอีก” ทอแสงรัศมีพูดไปเรื่อยๆ ไม่ออกอาการกรี๊ดกร๊าด
“มีเกียรติก็ไม่น่าทำตัวแบบนี้” ชายเดียวโต้ตอบโดยไม่ลดละ “และถ้ารู้ตัวว่าเป็นน้องก็ควรสงบเสงี่ยมเจียมตัว พี่จะไปไหนไม่ใช่กงการธุระของใคร พวกเขาไม่ทำตัวเหมือนหญิง พี่ถึงชอบไปหาไงล่ะ”
ฝ่ายท่านหญิงเล็กอยู่ในห้องโถงของวัง กับศศิลักษณา “หญิงลักษณ์จ๋า หยิบหนังสือชาวกรุงให้แม่หน่อยลูก”
“ค่ะ” ศศิลักษณาลุกเดินไปชั้นหนังสือ
“อยู่ชั้นซ้ายสุดนะลูก”
หญิงลัษณ์จะหยิบ แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นทอแสงรัศมีเดินเข้ามา “พี่หญิง วันนี้ท่านพ่อจะพาไปดินเนอร์ที่ห้อยเทียนเหลานะ ท่านพ่อเลิกงานแล้วจะมารับ..” หยุดชะงัก “ให้แต่งตัวคอย”
ทอแสงรัศมีเดินหนีขึ้นบันไดไปทันที หน้าบึ้งสนิท
สองคนมองตากัน ท่านหญิงเล็กลุกตามลูกสาวคนโตไปทันที
หญิงทอแสงเดินขึ้นมาชั้นบนกำลังจะเปิดประตูห้อง
“หญิง” ท่านหญิงเล็กเดินขึ้นบันไดตามมาเรียก
ทอแสงรัศมีไม่ฟังเสียง
“เดี๋ยว หญิง...เป็นอะไรน้องพูดไม่พูดด้วย”
หญิงทอแสงยืนหน้าอึดอัดใจอยู่
“กิริยาไม่งาม คนบ้านเดียวกันยังอภัยกันได้ ออกไปข้างนอกทำกิริยาแบบนี้ใครจะคบด้วย..ใครจะรัก”
หญิงทอแสงหันมาจ้องหน้าแม่ สีหน้ายิ่งอึดอัด “ไม่มีใครรักก็อย่ารัก ไม่เห็นแคร์”
ท่านหญิงเล็กสวนคำ “แต่แม่แคร์ เธอเป็นลูกสาวแม่ ทำตัวน่าเกลียดคนเขาจะคิดว่าแม่ไม่สั่งสอน
“ท่านแม่ทรงห่วงองค์เองเท่านั้นหรือคะ”
“ใช่ เพราะฉันสอนเธอไม่ใช่ไม่สอน แต่เธอน่ะถูกท่านพ่อทำจนเธอเสียเด็ก ให้ท้ายกันจนไม่รู้เด็กไม่รู้ผู้ใหญ่”
“ถ้าอย่างนั้นท่านแม่ต้องรับสั่งกับท่านพ่อเองแล้วค่ะ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับหญิง”
“ทอแสง” ท่านหญิงเล็กพูดเสียงเข้ม
“มีอะไรกันหรือ” ท่านชายวรจักรถามน้ำเสียงเครียดเพราะได้ยินแล้ว
ท่านหญิงเล็กหันไป ท่านชายยืนมองขึ้นมา หญิงลักษณ์ยืนหน้าเสียอยู่ข้างหลัง ท่านหญิงเล็กเดินลงบันไดหน้าเฉยสนิท หยุดตรงหน้าท่านชายวรจักรแต่ไม่มองหน้า
“ลูกกิริยาไม่ดีแม่ก็เตือน แต่เขาไม่ฟังก็เท่านั้นเองค่ะ” แล้วเดินผ่านไป หญิงลักษณ์ตามแม่ไป
ท่านชายวรจักรมองตามภรรยาสีหน้าขุ่นมัว
“ท่านพ่อ” ทอแสงรัศมีวิ่งลงมาหา
“หญิง วันนี้ไปกินข้าวข้างนอกนะลูก”
“ที่ไหนคะท่านพ่อ”
“ห้อยเทียนเหลา”
ตลอดเวลาหญิงลักษณ์ กระซิบกับแม่ “หญิงว่าหญิงบอกเค้าแล้วนะท่านแม่” ท่านหญิงเล็กพยักหน้าเบื่อๆว่าอย่างนี้แหละ
ท่านชายวรจักรลดเสียงลง “ใครทำอะไรให้อารมณ์ไม่ดี”
ทอแสงรัศมีหน้าหมอง “พี่ชายเดียวค่ะ ท่านพ่อ พูดไม่ดีกับหญิง”
“เขาพูดไม่ดีก็อย่าไปพูดกับเขามากนัก อยู่ห่างๆกันไว้”
หญิงทอแสงหน้าหมองลงไปอีก สบตาพ่อเต็มๆ บอกทางสายตา
ท่านชายวรจักรดูก็รู้ว่าลูกสาวมีใจให้ชายเดียวไปแล้ว หนักใจเล็กๆ แต่ยังไม่แสดงอะไร
อ่านต่อตอนที่ 6