สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 3
จันท์กระพ้อเดินออกมาตักอาหารจะเอาไปให้เพียงขวัญ อัทธ์เดินตามมาคุยกับจันท์เพราะเห็นว่าน่ารักดี
“ผมเพิ่งรู้ตัวว่า...ผมจีบคุณ” อัทธ์พูดยิ้มๆ
“ฉันปกป้องเพื่อนฉันต่างหาก ยายขวัญเป็นนางเอก คนอิจฉาเยอะ เวลามีผู้ชายมาติดพัน โดนนินทาเสียหายทุกที ฉันเลยแบ่ง ๆคำครหามาบ้าง”
“น้องขวัญโชคดีมาก มีเพื่อนเสียสละอย่างคุณ...คราวหน้ามา ผมก็ต้องเล่นตามน้ำ ทำทีเป็นจีบคุณสินะครับ คุณชอบดอกไม้อะไร ผมจะซื้อมาให้”
“โฮ้ย...ไม่ต้องสมบทบาทนักหรอกคุณ ทางที่ดี คุณอย่ามาอีกเลยดีกว่า เดือดร้อนฉัน เดือดร้อนยายขวัญ”
“ผมเองก็เดือดร้อน คุณทึกทักเอาว่าผมมาจีบคุณ ผมไม่ได้ชอบผู้หญิงประเภท….” อัทธ์แกล้งยั่ว “หญิงรักหญิงสักหน่อย”
จันท์กระพ้อร้องเสียงหลง
“เอ้ย ฉันเป็นผู้หญิงแท้”
“เอาเป็น...ดอกกุหลาบแล้วกันนะครับ”
อัทธ์เดินยิ้ม ไปที่รถ
“หาว่าฉันเป็นหญิงรักหญิง ฉันไม่ชอบนะ คุณ...คุณ...กลับมาคุยกันให้เข้าใจก่อน”
อัทธ์ขับรถออกไป จันท์กระพ้ออารมณ์เสีย
เพียงขวัญทานข้าวที่จันท์กระพ้อเอามา แต่งหน้าเตรียมเข้าฉากไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว จันท์กระพ้อบ่นอุบอยู่ข้าง ๆ
“หนอย...ว่าเราเป็นหญิงรักหญิง”
“คุณอัทธ์ล้อเล่นล่ะมั้งจันท์”
“ล้อก็ไม่ชอบ...อีตาคุณอัทธ์จีบขวัญใช่ไหม...เห็นว่าเขาก็ดูดี”
“อุ๊ย...ไม่หรอกจ้ะ เขาเป็นแค่เพื่อน”
จันท์กระพ้อไม่ค่อยปักใจเชื่อ
“ขวัญไม่โกรธใช่ไหม ตอนนั้นมันโมโห ปากก็เลยพล่อยไปหน่อย หลอกพวกนังบงกชว่าเขามาจีบเรา” จันทร์กระพ้อเจื่อนไป “อายไหมนั่นน่ะ เป็นผู้หญิง บอกว่าผู้ชายเขามาจีบ เฮ้อ...ไม่น่าหาเหาใส่หัวเลย จันท์กะพ้อเอ๊ย”
เพียงขวัญอมยิ้ม มองจันท์ทำหน้าบู้บี้ เพียงขวัญเข้ามากอด
“ขอบใจนะ ที่อยู่เป็นเพื่อนขวัญมาตลอด”
“บอกให้เลิกเล่นหนังก็ไม่เชื่อ”
“แต่มันเป็นอาชีพสุจริตนี่จ๊ะ และเราก็รักงานของเรามากด้วย”
เพียงขวัญคิดถึงคำพูดของรณพีร์
“แค่มีคนเข้าใจ อย่างจันท์ อย่าง เอ้อ...” เธอคิดถึงรณพีร์ “คนที่บ้าน ขวัญก็ไม่สนคำพูดคนอื่นแล้ว ขวัญจะถ่ายหนังสองเรื่องนี้ให้เสร็จ จะรักษายาย จะหาเลี้ยงครอบครัวด้วยตัวเองให้ได้”
จันท์กระพ้อมองหน้า
“เป็นอะไรหน้าแดงๆ คิดถึงใครหรือ”
“เปล่านี่”
เพียงขวัญสะดุ้งเพิ่งรู้ตัวว่าคิดถึงเขา จันท์กระพ้อ เดินห่างมา จัดเสื้อผ้าเตรียมให้บ่นเบาๆ
“แล้วบอกไม่ได้มาจีบ คุณอัทธ์มาหาหน่อยเดียว ถึงกับหน้าแดงแต่นายอัทธ์นั่นดูดีจริงๆด้วย ถ้าขวัญคบกันคนๆนี้ ก็ดีนะ”
จันท์กระพ้อเข้าใจผิดไปว่า เพียงขวัญชอบกับอัทธ์
ค่ำนั้น กิจกรรมยามเย็นพักผ่อนของทหารอากาศ คือเล่นบิลเลียด นั่งคุย ดื่มเครื่องดื่ม เจ้าหน้าที่ยกกาแฟมาให้ยอดยศที่ยังอยู่ในอาการทั้งเมา ทั้งเศร้า
“ผมฝากซื้อเหล้า เอากาแฟมาทำไม”
รณพีร์โบกมือให้เจ้าหน้าที่ว่าอย่าไปสนใจ
“เอามาอีกสองแก้ว”
รณพีร์บอก เจ้าหน้าที่รับคำแล้วเดินไป รณพีร์ดันกาแฟให้ยอดยศ
“กินเข้าไปเลย กินเยอะๆจะได้สร่างเมา”
ยอดยศส่ายหน้า คว่ำหน้าลงบนโต๊ะ รณพีร์เซ็ง มันดื้อซะจริง ขันติกับกำพล ซุบซิบกันแล้วเดินเข้ามา
“พี่พีร์ครับ ขอเวลาครู่หนึ่งได้ไหมครับ”
รณพีร์มองมา กำพลเอากุญแจรถวางให้บนโต๊ะ
“กุญแจรถจากัวร์ของพี่พีร์ ผมขอรถเฟียตของผมคืนครับ”
“ทำไมวะ”
ขันติสอดขึ้น
“วันก่อนมันเมา เกือบเอาไปเฉี่ยว”
กำพลเหยียบเท้าเป็นเชิงว่า ขันติไม่ต้องพูดมากก็ได้ ขันติร้องโอ๊ย กำพลรีบแก้
“เครียดครับ ขับจากัวร์ กลัวมีเรื่องขึ้นมาไม่มีปัญญาซ่อม ผมน่ะขอแลกรถพี่แค่อาทิตย์เดียว นี่เดือนหนึ่งแล้ว พี่ยังไม่มาเอาคืนเลย ถามจริงๆขับเฟียตเก่าๆมันสนุกกว่าจากัวร์ตรงไหนครับ”
รณพีร์เก้อๆไป เพราะตัวเองติดหญิง
“เราสองคนนึกว่า ขับจากัวร์แล้วจะได้หญิง นี่อะไรเครียดก็เครียด หญิงก็ไม่ได้ ไม่เห็นเหมือนตอนพี่พีร์ขับ” ขันติบอกเซ็งๆ
“เออไม่ต้องพูดมาก” รณพีร์ โยนกุญแจรถให้กำพล “เอาเฟียตแกคืนไป”
แล้วรณพีร์ก็เอามือไปดึง กุญแจมอไซค์จากขันติที่เอวมา
“ฉันจะขับมอเตอร์ไซค์แก แกเอาจากัวร์ฉันไปขับแทน ไอ้ขันติ”
ขันติงง
“ขับมอเตอร์ไซค์ ตัวดำ หน้าดำ ม.ร.ว.รณพีร์ จุฑาเทพ เคยขับหรือครับ”
“เออๆเรื่องของฉัน ไปได้แล้วจะไปไหนก็ไป”
ขันติกับกำพลงงๆ มองหน้ากัน ขันติหยิบกุญแจ แล้วเดินไปบ่นงึมงำ
“พี่พีร์จะอยากยากจนทำไมนักหนา”
ยอดยศเงยหน้าขึ้นมาโวยวาย
“เขาไม่รักฉัน เขามีผู้ชายคนใหม่แล้ว”
“ไอ้ยศ ดูสภาพตัวเองตอนนี้ก่อนเถอะ ต่อให้เขาไม่มีใคร เขาก็ไม่เอาแก”
“ผู้ชายคนนั้นดูดีชะมัดเลย”
ภาพอัทธ์ที่ดูเท่ห์หล่อ รณพีร์จำภาพนั้นได้ติดตาเหมือนกัน เขาคิดกังวลความรักของเขามีอุปสรรคขัดขวางเสียแล้ว
“เออว่ะ ดูดีจริงๆด้วย รูปสมบัติ ทรัพย์สมบัติ แถมคุณเพียงขวัญดูจะปกป้องเขา”
“ก็ใช่น่ะสิ ไอ้พีร์ ฉันจะทำยังไงดี ทำยังไงดี”
“นั่นสิ ทำไงดีวะ”
กลายเป็นว่ารณพีร์กลุ้มไปด้วย ยอดยศทั้งเศร้า ทั้งเมา รณพีร์คิดชักกลุ้มตาม ยอดยศไม่ได้สนใจนักว่าเพื่อนมีอาการผิดปกติ
เพียงขวัญในคราบนาเสือสาวเข้าฉากเผชิญหน้ากับเจ้าพ่อ
“วันนี้ฉันจะกระชากหน้ากาก จอมโจรอย่างแก ออกมาให้ได้ นางเสือสาว”
“กรรมใดที่พวกแกก่อไว้ พวกแกต้องชดใช้”
“ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างแก จะทำอะไรคนอย่างข้าได้...เฮ้ย จัดการ”
สมุนสองคน ชักปืนออกจากเอว แต่ไม่ทันการ ถูกนางเสือสาวยิงสวนทันที ล้มลงไปก่อน เจ้าพ่อกระชากปืนออกยิง ไปโดนหมวกนางเสือสาว นางกระเด็นไป จากนั้นนางเสือสาวยิงสวน โดนเจ้าพ่อเข้าที่หน้าอกสองนัดซ้อน ล้มลงขาดใจตาย นางเสือสาวเดินเข้าไปมอง
“คนเลว คนชั่ว คนกินบ้านกินเมืองอย่างพวกแก ตายไปนรกยังไม่ต้องการ นางเสือสาวจะตามล้างพวกแกให้หมดไปจากแผ่นดิน”
จรณตะโกนก้อง
“คัท...ปิดกล้อง”
ทุกคนปรบมือ เพ้งดีใจสุดๆ โล่งอกสุดๆ วันนี้ปิดกล้องได้ตามคาด บงกชหมั่นไส้ เพียงขวัญเดินไปขอบคุณผู้กำกับ และเพื่อนร่วมงาน
เพียงขวัญกับจันทร์กระพ้อ หอบข้าวของออกจากโรงถ่ายกำลังจะกลับบ้าน สีหน้ามีความสุขงานเสร็จเสียที
“ในที่สุดก็ปิดกล้องจนได้ นึกว่ายายบงกชจะหาเรื่องอีกแล้ว”
“ยังไงก็ไม่ได้เป็นนางเอกอยู่แล้ว จะหาเรื่องเราทำไมก็ไม่รู้ นี่ยังต้องไปเจอกันในเรื่องกินรีอีก ทนๆไปก่อนนะขวัญ”
เพียงขวัญพยักหน้า
“อีกเดี๋ยวนางเสือสาวก็ได้ฉาย พอหนังฉาย ขวัญก็จะได้เงินไปรักษายาย”
จันท์กระพ้อแปลกใจ
“ยายไปหาหมอที่ไหน”
สองสาวเดินคุยกันมา ผ่านรถเก๋งคันหนึ่งที่จอดอยู่
“คุณชายหมอ ท่านมีเมตตามาก ชื่อคุณหมอ ม.ร.ว.พุฒิภัทร ท่านรับปากจะผ่าตัดยายให้”
อดุลย์เปิดประตูรถออกมาได้ยินเรื่องหมอพุฒิภัทรจากตรงนี้ อดุลย์มองตามเพียงขวัญ เอามือจับสร้อยของตน คิดถึงนภาและความรักครั้งก่อน
ค่ำนั้น นภาเดินมาห่มผ้าให้แดงที่นอนอยู่มุมหนึ่ง คนอื่นหลับ นภารอลูกกลับบ้าน เดินมานั่งรอ หยิบถุงสร้อยออกมา เปิดดูสร้อยที่เคยจะให้เพียงขวัญเอาไปขาย นภาถอนใจ ยังคงคิดถึงอดุลย์
วันใหม่...รณพีร์ปฏิเสธการรับประทานอาหารกับวิไลรัมภาไม่ได้เพราะเป็นวันหยุด นั่งกินข้าวด้วยกันพร้อมหน้า แจ๋วดูแลรับใช้ หม่อมเอียดหันมาถาม
“อร่อยไหมลูก ฝีมือหนูวิไลรัมภาเขา”
ย่าอ่อนยิ้มแย้มบอก
“ของชอบคุณชายทั้งนั้น เห็นไหม”
“ขอบคุณนะครับน้องรัมภา” รณพีร์ยิ้มให้
วิไลรัมภามยิ้มหวาน
“รัมภาดีใจที่วันนี้ พี่ชายพีร์อยู่บ้าน รัมภามาเรียนการเรือนกับท่านย่าสอง สามวันแล้ว สนุกมากเลยค่ะ”
“เหรอรับ”
ย่าอ่อนเสริม
“ใช่...อีกหน่อย หนูวิไลรัมภา ก็ต้องมาเป็นสะใภ้จุฑาเทพ เตรียมตัวตั้งแต่ตอนนี้ดีแล้ว”
รณพีร์คว้าน้ำมาดื่ม ซดฮวบ ก่อนจะยิ้มแห้ง
“คุณย่า”
วิไลเขิน ยิ้มน้อย ยิ้มใหญ่ รณพีร์เซ็งๆ
“คอแห้ง”
ย่าอ่อนแอบหยิกต้นขา รณพีร์นิ่วหน้าเจ็บ
“ท่ามากนักนะ...” ย่าอ่อนปรามเสียงเบา แล้วเสียงดังขึ้น “ตักกับข้าวให้หนูรัมภาสิ”
รณพีร์ตักกับข้าวให้ ยิ้มหวานแล้วก้มหน้าทานอาหารของตนเอง
“พี่ชายพีร์ ที่กองบินคงยุ่งมากเลยนะคะ เหนื่อยมั้ยคะ”
“ก็...ช่วงนี้ชายแดนมีปัญหา เลยต้องเตรียมความพร้อมจ้ะ น้องรัมภา”
หม่อมเอียดมองหน้าหลานสายตาคาดคั้น
“ถึงกับต้องไปค้างอ้างแรมไม่กลับบ้านกลับช่องเลยใช่มั้ย”
“นั่นน่ะสิ” ย่าอ่อนเสริม
วิไลรัมภายิ้มแย้ม
“แต่วันนี้พี่ชายพีร์ก็กลับมาแล้นี่คะ ท่านย่า”
“ครับ กลับมาแล้ว” รณพีร์ยิ้มแหย
รณพีร์กับพุฒิภัทรนั่งคุยกันในห้องใต้โดม...
“อยากให้พี่ช่วยโกหกหรือ”
“ก็แค่บอกเพียงขวัญไปว่า มีโครงการการกุศลอะไรสักอย่างมา ก็เลยจัดให้ยายเขาได้ผ่าตัดฟรี”
“นายอยากออกเงินให้ยายเขาผ่าตัด ก็บอกเขาไปตรงๆ ว่าชอบเขา อยากช่วยเหลือเขา แกจะมาใช้เหตุผลส่วนตัวของแก กับคนไข้ของฉัน มันจะทำให้ฉันเสียจรรยาบรรณแพทย์ได้นะ”
“ก็ผมไม่อยากบอกเขานี่ว่าผมเป็นคนช่วย”
“พี่ไม่ชอบโกหก คนดีๆ ไม่มีเหตุอะไรในชีวิตให้ต้องโกหกกันหรอก”
“โธ๋...เอ๊ย ผมขอแคนี้ก็ไม่ได้”
รณพีร์งอน ค้อน เมื่ออยู่กับพี่ชายจะออกอาการน้องคนเล็กที่ชัดเจนมากกว่าปกติ เดินไปกดโทรศัพท์
ค่ายทหารในชนบทของเวียงพูคำ...โต๊ะทำงานกลางเต็นท์ประธาน เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น รัชชานนท์เดินมารับสาย
“ฮัลโหล...เป็นไงชายพีร์”
“คิดถึงเหลือเกินครับพี่ชายเล็ก”
ชาวบ้านของเวียงพูคำกำลังช่วยกันกับทหารสร้างโรงเรียน รัชชานนท์ในมือมีพิมพ์เขียว ดินสอ คุมงานอยู่ เพราะทำงานสะดวก อยู่กับทหารและชาวบ้าน คุมงานโดยไม่ถือตัว
“งานพี่ยุ่งกำลังสร้างโรงเรียนให้เด็กๆอยู่ มีอะไรก็ว่ามาเลย”
“โห ทำไมน้ำเสียงเย็นชาอย่างงั้นล่ะ นานๆได้คุยกันไม่คิดถึงน้องบ้างเลยหรือครับ”
“ตกลงไม่ได้มีอะไรใช่ไหมครับ”
“ก็เอ้อ...มีจริงๆนั่นล่ะ พี่ชายเล็กก็รู้อยู่แล้ว”
“เป็นพี่น้องกันมายี่สิบกว่าปี ต้องรู้สิครับ ชายพีร์คิดถึงใครก็มีเรื่องทุกที”
พี่ชายเล็กเขียนจดหมายให้หน่อยได้มั๊ยครับ จากพี่ชายเล็ก เขียนมาหาพี่ชายภัทรที บอกว่ามีทุนก้อนหนึ่งสำหรับการผ่าตัดหัวเข่าให้ผู้สูงอายุ ยินดีมอบให้เพื่อการกุศล มีปากกาหรือยังครับพี่ จดตามผมนะครับ”
รัชชานนท์สงสัย
“ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย”
“ไม่เห็นต้องถามเลย ทำให้น้องรักแค่นี้ไม่ได้”
“นี่น้องรัก พี่ถามว่าทำไมต้องทำแบบนั้นก็ตอบมา มีเหตุผลมั๊ย”
สร้อยฟ้าเดินมาที่โต๊ะ มาหยิบของนั่นนี่ ข้ามตัวรัชชานนท์ไปมาใกล้ชิด เวลานี้สร้อยฟ้าสวยงาม แลดูเป็นเจ้าหญิงนักพัฒนามีการศึกษา ไม่ได้แก่นกะโปโลเหมือนเก่าหลังจากที่ทั้งสองแต่งงานกันแล้ว
“หอมจัง”
รัชชานนท์ขโมยหอมแก้ม สร้อยฟ้าเขินอายตีรัชชานนท์แล้วเดินหนีไปจัดการเอกสารของตน
“อะไรน่ะพี่” รณพีร์คิดๆ “อื๋อ...ทำอะไรครับพี่หอมแก้มเมีย ไม่สนใจน้อง ผมไม่คุยกับพี่ชายเล็กแล้ว ไปตามไอ้ชัช เอ๊ย...ทูลเชิญเจ้าชายรังสิมันต์ มาเรียนสายทีครับ”
รัชชานนท์มองออกไป เห็นชัชวีร์กับจันทา ทั้งสองแม้เป็นเจ้าหลวงและพระชายาแล้วก็ยังคงเหมือนเดิม จันทามาเช็ดหน้าให้ หวานชื่น รัชชานนท์มองอย่างชื่นชม
“เรากำลังเร่งพัฒนาประเทศ ท่านมีภาระมากมาย รู้ไหม เป็นเจ้าหลวงแล้ว ท่านยังอยู่ในฉลองพระองค์ทหารไทย ทำงานรับใช้ประชาชน น่าภูมิใจมาก ทั้งท่าน ทั้งพระชายา ทุ่มเทเพื่อประชาชนจริงๆ”
“ไม่ว่างกันหมดเลย ดีดี ขอบคุณมากครับ” รณพีร์ประชด “แค่นี้ก็ช่วยกันไม่ได้ สวัสดีนะครับ”
รณพีร์กดสายทิ้ง รัชชานนท์ขำในความเอาแต่ใจของน้องสุดท้อง
ธราธรเดินเข้ามาร่วมวงแล้วเดินมาถามพุฒิภัทร
“มีอะไรกันหรือ”
“ชายพีร์ติดผู้หญิง ท่าจะเป็นเอามาก”
พุฒิภัทรป้องปากกระซิบ เล่าเรื่องให้ฟัง รณพีร์วุ่นวายกับการโทรศัพท์หาปวรรุจ
รณพีร์ต่อทางไกลต่างประเทศไปบ้านพักท่านทูต ที่สวิสเซอร์แลนด์
“เรียนสายท่านชายปวรรุจ”
“สวัสดีครับ ชายพีร์ ดีใจจังครับ กำลังคิดถึง ทำอะไรกันอยู่…โทรเลขอะไรนะครับ”
“ผู้หญิงคนหนึ่ง ยายของเขาไม่สบาย ผมอยากช่วย พี่ชายรุจก็แค่อุปโลกย์ตัวเองว่าเป็นเศรษฐีใจบุญสวิส อยากช่วยคนยากจน โทรเลขโครงการมาสักฉบับให้เขาอ่าน เขาจะได้รับเงินแต่โดยดี”
“เอ...พี่ไม่เห็นเหตุจริงๆ ทำไมต้องทำอะไรอ้อมโลกอย่างนั้น ดูวุ่นวายมากเลยนะครับ ชายพีร์”
ธราธรกับพุฒิภัทร ยืนฟังมาตลอด
“นายมีอะไรปิดบังผู้หญิงคนนี้งั้นรึ ในเมื่อชอบเขาก็น่าจะบอกเขาตรงๆ”
ปวรรุจไม่ได้วางสาย ฟังอย่างตั้งใจ
“ผมไม่ได้ชอบเขา ผมสงสารยายเขา แล้วคนรอบข้าง คนมีเงินก็ติดพันเขาเยอะแยะ เกิดใช้เรื่องนี้เป็นประโยชน์เข้าหาเขา คนที่จะเดือดร้อนก็คือ...”
“ตัวนายเอง”
ปวรรุจรู้ทันเสียงดัง รณพีร์สะดุ้ง
“ตกลงไม่ช่วยใช่ไหมครับ”
ธราธรแย่งโทรศัพท์มาพูด
“ชายรุจสะสางเรื่องงานให้เสร็จเร็วๆนะ อาจต้องให้นายมาช่วย เป็นกามเทพแผลงศรใส่ชายพีร์แล้ว คราวนี้มาแปลกด้วยปฏิเสธยิกๆว่าไม่ใช่ไม่เหมือนทุกครั้ง”
“ได้ครับผมจะรีบทำงาน ท่านหญิงก็อยากเห็นหน้าผู้หญิงของรณพีร์เหมือนกัน”
ปวรรุจวางสาย วรรณรสาในชุดนอนออกจากห้องน้ำมานั่งหน้ากระจก ได้ยินเสียงพูดนิดหน่อย ปวรรุจยิ้มพรายขำน้องแล้วหยิบหวีมาสางผมให้วรรณรสา อ่อนหวาน
“ได้ยินแว่วๆ ผู้หญิงของรณพีร์ คือใครคะ วิไลรัมภาหรือคะ”
“ถ้าใช่ ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้าไม่ใช่ ที่วังจุฑาเทพคราวนี้คงยุ่งกันใหญ่”
สองสามีภรรยา ยิ้มให้กัน
สามหนุ่มนั่งคุยกัน ธราธรลาก รณพีร์มานั่ง รณพีร์บ่นๆ หลังวางสายปวรรุจ
“ขนาดพี่ชายรุจยังไม่ช่วยเลย ตกลงว่าไม่มีใครยอมช่วยผมเลยใช่ไหมครับ”
“เอาล่ะมานั่งคุยกันให้รู้เรื่องชายพีร์ ชายพีร์เป็นอะไรมากมั๊ยครับ ทำไมดูน้องพิกลพิการแบบนี้ล่ะครับ”
พุฒิภัทรมองน้องชาย
“ชายพีร์ครับ”
“พี่ชายภัทร ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องมายุ่งแล้วไม่ต้องพูดมากด้วย”
“ก็พี่ไม่ชอบคนโกหก ถ้าชอบเขาก็บอกเขาไปตรงๆเลย ไม่ต้องมาทำอะไรซับซ้อนแบบนี้”
“ก็ผมไม่กล้า”
ธราธรจ้องหน้า
“นี่ชายพีร์ ปัญหาน้องคืออะไรรู้มั้ยครับ...ความกลัว”
รณพีร์ ยืนรำพึง
‘ความกลัว กลัวอะไร...กลัวใครวะ’
ทันใดนั้นเขาเห็นอัทธ์เป็นภาพหลอนตรงหน้า
“เฮ้ย”
รณพีร์ขยี้ตาก็ยังเห็นอีก ขยี้ตาสองครั้ง หลังจากนี้เขาได้คิด มีทีท่าเปลี่ยนไป เริ่มจัดการในใจตัวเอง ให้สู้ พุฒิภัทรมองงงๆ
“น้องเป็นอะไรมากหรือเปล่าครับเนี่ย ว่างๆไปเช็คที่โรงพยาบาลพี่หน่อยครับ”
ธราธรส่ายหน้า
“อาการไม่ค่อยดีนะเรา”
วันใหม่...ยอดยศนั่งเมาอยู่ รณพีร์เดินมาดู
“น่ารำคาญจริงๆ เลิกกินเหล้าได้แล้ว หัดทำอย่างอื่นได้แล้วโว้ย มานี่”
รณพีร์ลากตัวยอดยศให้ไปด้วยกัน
“เฮ้ยๆ”
ยอดยศหกล้มหกลุกด้วยความเมา
รณพีร์ในชุดเท่ขี่มอเตอร์ไซค์ ร่อนไป บนรันเวย์เพราะเพิ่งเคยหัดขี่ อารมณ์สนุกเกเร ห่ามหน่อยๆ เพื่อเรียกความกล้าหาญเหมือนกัน มียอดยศ เมาๆ ซ้อนท้าย
“วู้วๆๆ”
ขันติ กำพลวิ่งออกมาดู ตะโกนลั่น
“โฮ้ย พี่พีร์ เพิ่งหัดขับ ระวังหน่อยครับ”
“เดี๋ยวผู้การมา ใครก็ได้ ดูต้นทางให้หน่อยโว้ย” กำพลตะโกนบอกเพื่อนข้างใน
รณพีร์ขี่ฉวัดเฉวียน ยอดยศร่วงหายไป รณพีร์ไม่รู้เรื่องรู้ราว ขันติสะดุ้ง
“เฮ้ยพี่ยอด พี่ยอด”
ขันติวิ่งตามเก็บซากยอดยศ ประคองออกจากรันเวย์ รณพีร์ขี่ร่อนไป ปากก็ตะโกน
“ไม่กลัวโว้ย คนอย่างรณพีร์ไม่กลัวใครโว้ย หล่อแค่ไหน รวยแค่ไหนก็ไม่กลัวโว้ย วู้วๆ”
ทั้งหมดเล่นรักบี้กัน รณพีร์ตะโกน ระหว่างปะทะคู่ต่อสู้ รณพีร์ตะโกน วิ่ง ปะทะ เพื่อเรียกความกล้าหาญ ยอดยศและขันติ กำพล เล่นอยู่ด้วย บรรยากาศ รักบี้ เข้มๆ แมนๆ แต่ยอดยศ เล่นไป ล้มไป ภาษาเมา ดูทุเรศ ทุรัง รณพีร์ พยายามทำตัวเองให้กล้าหาญเข้มแข็งราวกับนักกีฬาจะออกรบ เพื่อแก้ปัญหาอาการกลัวอัทธ์ของตน รณพีร์ตบมือไป ตะโกนไป ระหว่างอยู่ในเกมส์
“รณพีร์ไม่กลัวใคร รณพีร์ไม่กลัวความรัก ไม่กลัวอะไรทั้งนั้นโว้ย...ฮึ่ย”
รณพีร์เข้าปะทะในเกมส์อย่างบ้าคลั่ง
วันใหม่...เพียงขวัญเปิดบ้านออกมา กำลังจะไปทำงาน รณพีร์ยืนเท่อยู่หน้าบ้าน รออยู่แล้วข้างมอเตอร์ไซค์
“เอ้า...คุณ”
“นายคนนั้น ที่มาหาคุณ ที่มีเรื่องกับยอดยศ เขาเป็นใครหรือครับ”
“ฉันไม่จำเป็นต้องบอก”
“ไม่บอกก็ไม่บอก”
รณพีร์หันไปหยิบรองเท้าท้ายมอเตอร์ไซด์ พูดบ่นๆ
“ผมจะไม่กลัว ผมจะไม่คิดถึงเขา จะไม่กลัวเขาอีก”
“อะไรนะคะ” เพียงขวัญงง พูดเรื่องอะไรของเขา
“ช่างมันเถอะครับ คล้ายๆ คู่ที่ส้นหัก แต่สวยกว่า ผมเอามาฝากคุณ”
“ฉันจนก็จริง แต่มีศักดิ์ศรี อย่าใช้เงินซื้อมิตรภาพ เพราะมันจะไม่ยั่งยืน”
“จะไปทำงานใช่ไหมครับ ผมไปส่ง” รณพีร์ชี้มอเตอร์ไซค์
“ไม่เป็นไรฉันนัดน้าหมึกให้มารับแล้ว นั่นไง มาตรงเวลาเป๊ะ”
เพียงขวัญพูดกับน้าหมึก
“ไปช่องสี่บางขุนพรหมนะจ๊ะน้า”
เพียงขวัญโชว์รำ กินรีร่อน ออกอากาศสด รำถึงช่วงท้ายแล้วพอรำจบ เทิ่ง สติเฟื่อง โฆษกยืนรออยู่ในฉากอีกมุม มีโต๊ะวางสินค้าสปอนเซอร์
“อิ่มตาอิ่มใจเหลือเกิน กับรำกินรีร่อน โดยนางเอกภาพยนตร์คนสวย เพียงขวัญ จันทร์ประดับ ที่แฟนรายการเขียนจดหมายมาเป็นกระสอบ ให้เชิญมารำโชว์อีกครั้ง เริ่ดแสะแมนแตนจริงๆ ดูคนแล้วมาดูของบ้าง นี่ก็เริ่ดสแมนแตนเหมือนกัน”
ในห้องส่ง...เพียงขวัญเซ็นรับเงินจากเจ้าหน้าที่ กำลังจะกลับแล้ว
“มีคนมารอพบคุณเพียงขวัญค่ะ อยู่หน้าห้องส่ง”
เพียงขวัญออกมาดูเห็นอดุลย์ยืนอยู่ เพียงขวัญรีบถอยกลับเข้ามาตั้งหลัก เขามาอีกแล้ว...เพียงขวัญใจเต้น นี่เป็นครั้งที่สองที่ได้เจอพ่อ
“คุณพ่อใช่ไหมคะ ที่ท่านมาหาตอนที่คุณรำฉุยฉาย เมื่อคราวที่แล้ว พี่จำได้”
เพียงขวัญ คิดถึงอดีต เรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อคราวที่แล้ว ที่ได้พบพ่อครั้งแรก เป็นความทรงจำไม่เคยลืม
ในอดีต...อดุลย์ยืนตะลึงหน้าทีวี ที่มีภาพขาวดำ เพียงขวัญรำฉุยฉาย กำลังออกอากาศสด อดุลย์นึกถึงอดีต นภารำฉุยฉายแบบเดียวกัน ชุดเหมือนกัน อดุลย์คว้ากุญแจรถวิ่งออกไปทันที
เพียงขวัญเดินออกมา อดุลย์ขับรถมาจอดพรืด ขวางทาง ตรงกลางทางเข้าหน้าตึก ไม่สนใจ วิ่งลงมาหาเพียงขวัญที่เดินมากับเจ้าหน้าที่ เพิ่งจ่ายเงินกันเสร็จ อดุลย์มาทันเวลาที่เพียงขวัญจะกลับ
“คุณๆจอดรถตรงนี้ไม่ได้นะคะ”
อดุลย์เดินมาหยุดมองหน้าเพียงขวัญ ตัวชาไปทั้งตัว อดุลย์น้ำตาคลอออกมา เพิ่งเคยเจอหน้ากัน เพียงขวัญงงมาก ผู้ชายตรงหน้าคือใครกัน
“โชคดีจริงๆ หนูยังอยู่ ผมเห็นหนูในโทรทัศน์ รีบบึ่งรถออกมา ต้องเจอหนูให้ได้...โชคดีจริงๆที่ยังทัน”
เพียงขวัญงงไม่เข้าใจ
“ขอโทษนะคะ คุณคือ….”
“พ่อเอง...พ่อของหนู”
เพียงขวัญตะลึง ตาค้าง ช็อค
“หนูคือเพียงขวัญ จันทร์ประดับ แม่ชื่อนภาใช่ไหม แค่เห็นหนูรำ พ่อก็รู้ว่าต้องเป็นหนู ลูกของพ่อ”
เจ้าหน้าที่ยังยืนดูอยู่ห่างไป อดุลย์ปล่อยน้ำตาให้ร่วงลงมา
“ตาโตสวยหวานแบบนี้ ท่าทางรำแบบนี้ มีนภาคนเดียวเท่านั้น”
ปัจจุบัน...เพียงขวัญยังยืนอยู่จะทำยังไงดีกับอดุลย์ ที่ยืนคอยอยู่ เจ้าหน้าที่เกรงใจเดินจากไป อดุลย์ยังยืนรอ เพียงขวัญ ยังคิดเรื่องของอดุลย์
ในอดีต เพียงขวัญโตแล้วนั่งเย็บชุดลิเก ยายเล่าเรื่องพ่อให้เพียงขวัญฟัง
“พ่อขวัญเขาชื่ออดุลย์ เจิมสิริ เขามีปางไม้ทางเหนือ ร่ำรวยเป็นพ่อเลี้ยง มีคนรู้จักมากมาย”
ยายเล่าเรื่องในอดีตเมื่อสิบแปดปีที่แล้วให้ฟังว่าอดุลย์เป็นลูกชายพ่อเลี้ยงผู้มีอันจะกิน ทำปางไม้มาก่อนเก่า
“พ่อกับแม่เขาเจอกันในงานที่จวนผู้ว่า อดุลย์เขามาทำงานที่พิจิตร นภาสวยมาก ผู้ชายตาค้างกันไปหมดทั้งงาน รวมถึงพ่อหนูด้วย พ่อหนูเขาเป็นคนเชียงใหม่ ขึ้นล่องค้าไม้ ไม่มีใครรู้ว่าเขามีเมียแล้ว ตอนเขาพาผู้ใหญ่มาขอ เขาเอาสินสอดมาถูกต้องทุกอย่าง”
เพียงขวัญโกรธๆ
“ตั้งใจหลอกกันชัดๆ”
“พ่ออดุลย์น่ะ รักแม่นภามาก แต่แต่งงานอยู่กินกันได้ไม่นาน นภาก็จับได้ อดุลย์ทิ้งเมียหลวงไม่ลง ตัดขาดแม่นภาก็ไม่ได้”
เพียงขวัญรู้สึกเกลียดพ่อ พ่อเจ้าชู้ เห็นแก่ตัว มีเมียทีเดียว 2 คน
“นภาไม่ยอมเป็นเมียน้อย ไม่อยากทำลายครอบครัวเขาจึงตัดสินใจ หนีมาปักหลักที่กรุงเทพ ไม่อยากเจอหน้าใครอีก”
เพียงขวัญเจ็บปวดแทนแม่
ปัจจุบัน...ความรู้สึกเพียงขวัญเมื่อหลายเดือนก่อน ตอนอดุลย์มาหาครั้งแรก กับวันนี้ ยังเหมือนเดิม เพียงขวัญโกรธพ่อ ไม่อยากเจอ เธอเดินเลี่ยงออกอีกประตู ไม่ให้อดุลย์เห็น อดุลย์ ยังรีรอ ร้อนรนที่เดิม
เพียงขวัญเดินจ้ำ รีบไป ออกประตูหลัง แต่จู่ๆอดุลย์โผล่มาดัก
“ลูกเพียงขวัญ”
“คุณ ...”
เพียงขวัญถอนใจหนีไม่พ้น
“เขาบอกคุณหรือคะ เรื่องเขามาหาฉัน”
เพียงขวัญหมายถึงอัทธ์
“ลูกหมายถึงใคร”
อดุลย์งง เพราะไม่รู้เรื่องของอัทธ์เลย ไม่รู้ว่าอัทธ์แอบติดต่อเพียงขวัญ
“พ่อมาธุระที่กรุงเทพ เห็นข่าวหนูเยอะแยะไปหมด ไปหาที่นั่งคุยกันดีไหมลูก รถของพ่อจอดอยู่ข้างๆนี่เอง”
“ดิฉันเคยบอกไปตั้งแต่คราวที่แล้ว ดิฉันกับแม่ สุขสบาย เราไม่ต้องการพบคุณอีก”
“หลังจากแม่ของหนูหนีไป พ่อรู้จากเพื่อนที่เป็นหมอ ว่านภาตั้งท้อง พ่อเที่ยวตามหาแม่กับหนู แต่ไม่พบ ผ่านไป 18 ปี วันที่พ่อรอคอยก็มาถึง พ่อได้เจอหนูแล้ว ให้โอกาสพ่อหน่อยได้ไหมลูก” อดุลย์เว้าวอน
เพียงขวัญสะกดกลั้นอารมณ์สะเทือนใจเต็มที่ วางหน้าเย็นชาที่สุด
“แม่ตั้งชื่อดิฉันว่าเพียงขวัญ เพราะอะไรรู้ไหมคะ ดิฉันเป็นเพียงขวัญกำลังใจอย่างเดียวในชีวิตแม่ ชีวิตที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องมีคุณ”
อดุลย์ใจหายกับสายตาเย็นชา ที่ส่งตรงมา
“หนูมีสิทธิ์โกรธพ่อ แต่พ่ออยากให้หนูเข้าใจ ที่พ่อไม่ได้เลี้ยงดูอุ้มชูหนู เพราะพ่อไม่รู้ว่าหนูอยู่ไหน พ่อจ้างคนตามหาก็แล้ว ออกประกาศหาก็แล้ว แต่ไม่ได้ข่าวคราวหนูกับแม่เลย”
“ตอนนี้คุณเจอดิฉันแล้ว แค่อยากบอกให้ดิฉันรู้ว่าคุณเป็นใคร ดิฉันรู้เรื่องคุณมานานแล้วค่ะ แม่ไม่เคยปิดบังอะไรดิฉัน ไม่มีอะไรแล้วใช่มั้ยคะ”
เพียงขวัญจะเดินหนีอีก อดุลย์พูดต่อ ไม่ยอมให้ไป
“ภรรยาของพ่อเพิ่งตายไปเมื่อปีที่แล้ว พ่อไม่ต้องรู้สึกผิดกับใคร ให้โอกาสพ่อได้ทำหน้าที่พ่อบ้างได้ไหมลูก”
“ฮึ แม่เป็นที่สองใช่ไหมคะ ถ้าเขาไม่ตาย แม่ก็คงไม่มีวันเลื่อนเป็นที่หนึ่ง ทุกอย่างมันผิดตั้งแต่คุณหลอกแม่ แม่ถูกคนเรียกว่าเมียน้อยกี่ครั้ง คุณรู้ไหม”
“เพราะแบบนี้ไง พ่อถึงอยากชดใช้”
“คุณชดใช้ให้ดิฉันไม่ได้หรอกค่ะ คำว่าลูกไม่มีพ่อ ประทับอยู่บนหน้าดิฉัน ไม่มีวันลบออกไปได้หรอกค่ะ”
เพียงขวัญสายตาเย็นชาพิฆาต จนอดุลย์ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้น เพียงขวัญเชิดหน้าเดินจากไป ทิ้งให้อดุลย์ยืนเจ็บปวดอยู่ตรงนั้น
พุฒิภัทรเดินตรวจคนไข้ ในตึกผู้ป่วย เดินดูเอกสารตามเตียงในห้องผู้ป่วยรวม งานมากมายเพราะเป็นโรงพยาบาลรัฐ รณพีร์เดินตาม หน้าป่วนมาก
“จะมาเดินตามพี่ทำไมครับ บอกแล้วไงครับชายพีร์ ว่าพี่ไม่ชอบโกหก ทำไมเราไม่บอกเขาไปตรงๆ ว่ารัก แล้วก็อยากดูแลครอบครัวเขา”
“ผมเอารองเท้าให้เขา เขายังไม่ยอมรับ ผมออกค่ารักษา เขาโกรธผมแน่ พี่ชายภัทรถ้าพี่ไม่โกหกว่าได้ทุนมา เราจะผ่าตัดคุณยายได้ยังไง”
พยาบาลเข้ามา
“คุณชายหมอคะ มีคนมาขอพบ”
“ผมกำลังยุ่ง ถ้าเป็นเรื่องเอกสาร คุณไปจัดการให้ทีนะครับ”
“เขาจะมาพบเรื่องคนไข้ชื่อ ผัน จันทร์ประดับค่ะ”
รณพีร์ตกใจคิดไปถึงอัทธ์
ในห้องทำงานพุฒิภัทร อดุลย์นั่งอยู่ตรงหน้า อธิบายให้พุฒิภัทรฟัง รณพีร์แอบฟังอยู่หลังหลืบ อดุลย์ไม่เห็น
“ผมอยากให้คุณหมอช่วยผ่าตัดคุณยายผัน คุณหมอทำได้ใช่ไหมครับ”
“ทางญาติเขาจองเวลาไว้แล้ว เขาติดเรื่องค่าใช้จ่ายน่ะครับ”
“ผมจะจัดการให้หมด เพียงแต่ผมอยากรบกวนคุณหมอให้ปิดบังชื่อผม”
“อะไรนะครับ”
พุฒิภัทรงง มาอีกแล้ว อีหร็อบเดียวกันเลย
“อ้างว่าเป็นเงินที่คนใจดีบริจาคมา หรือเป็นกองทุนช่วยคนยากจนอะไรแบบนี้ พอจะได้ไหมครับ”
พุฒิภัทรมอง
เพียงขวัญเดินมาตามทางในโรงพยาบาลแล้วชะงักมอง เมื่อเห็นอดุลย์เดินมา เพียงขวัญหลบหน้า รณพีร์มองดูทั้งคู่อยู่อีกมุม
พุฒิภัทรนั่งกุมขมับอยู่ในห้องเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญครับ...อ้าว คุณขวัญ เชิญครับ เชิญนั่ง”
เพียงขวัญนั่งเก้าอี้ตรงข้าม
“มีอะไรเหรอครับ คุณยายเป็นยังไงบ้างครับ”
รณพีร์แอบฟังข้างผนังหน้าห้อง
“ดิฉันจะมาเรียนปรึกษาคุณชายหมอค่ะ เอ้อ...ค่าผ่าตัดเข่าคุณยาย ดิฉันจะขอผ่อนเป็นงวดๆ ได้มั้ยคะ”
พุฒิภัทรมองหน้าเพียงขวัญอึดอัด ฝืนยิ้ม
“คุณขวัญครับ ฟังดีๆ นะครับ ตอนนี้มีผู้ใจบุญ บริจาคเงินค่าผ่าตัดให้คุณยายผันแล้ว หมอแสดงความยินดีด้วยนะครับ”
เพียงขวัญอึ้ง
“เขาชื่อ อดุลย์ ใช่มั้ยคะ”
“คุณรู้ได้ยังไงครับ”
เพียงขวัญลุกขึ้นพูด
“ดิฉันขอดูแลค่าผ่าตัดของคุณยายด้วยตัวเองค่ะ ดิฉันไม่ขอรับความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น”
เพียงขวัญไหว้พุฒิภัทรแล้วออกไป พุฒิภัทรงงๆ รณพีร์แอบมองเพียงขวัญที่เดินไปจากห้องด้วยความห่วงใย
อัทธ์นั่งอ่านสมุดภาพที่มีเพียงขวัญถ่ายยาสีฟัน เพียงขวัญรำละครที่ช่อง 4 ออกประกาศทางหนังสือพิมพ์ โปสเตอร์หนังเรื่องก่อนหน้าที่เพียงขวัญเป็นนางรอง ภาพในนิตยสารดารา อดุลย์เดินมาที่ด้านหลัง
“ลูกกับน้องรู้จักกันแล้วเหรอ”
อัทธ์ตกใจวางสมุดภาพ ลุกขึ้นยืนทันที ทั้งสองยืนประจันหน้ากัน
“พ่อ”
“ลูกรู้เรื่องนี้นานแล้วเหรอ แม่บอกหรือ”
อัทธ์มองไปที่รูปถ่ายของเขา พ่อและแม่ วางอยู่แถวนั้น แสดงความเป็นครอบครัวของคนทั้งสาม
“แม่กับญาติ เคยพูดให้ผมได้ยินมานานแล้ว บอกว่าพ่อมีเมียอีกคน มีลูกด้วย ผมมาเห็นรูปพวกนี้นี้โดยบังเอิญ ตอนที่ผมลงมาบ้านที่กรุงเทพนี่ พ่อคงคิดถึงน้องมาก ถึงเก็บภาพไว้หมด”
อดุลย์หยิบสมุดภาพของตนขึ้นมาหวงแหน มองภาพในนั้น ภูมิใจในตัวลูกสาว
“สามเดือนก่อน ผมเขียนจดหมายไปคุยกับน้อง ส่งจดหมายไปที่บริษัทหนังจนรู้ว่าเราเป็นพี่น้องกันจริงๆ”
อัทธ์หยิบจดหมายหลายฉบับออกมาจากกระเป๋าหนังเอกสารของตน วางให้พ่อดู
“ทำไมไม่เล่าให้พ่อฟัง”
อัทธ์ถอนใจ
“เขาไม่นับญาติ ไม่ยอมรับว่าผมเป็นพี่ต่างแม่ เขาบอกว่าเขาทำได้แค่ความเป็นเพื่อน ถ้าทำอะไรมากกว่านี้ เขาจะไม่ยอมพบกับผม”
“ใจแข็งเหมือนแม่เขาไม่มีผิด พ่อไปหาเขาสองครั้งแล้ว แต่เขาก็ไล่ไม่อยากเจอพ่อ”
อดุลย์พยักหน้าเศร้า
“พ่อจะทำยังไงต่อไปครับ”
อดุลย์ตบไหล่อัทธ์
“ขอบคุณมากที่เข้าใจพ่อ แม่ของแก ไม่เคยเข้าใจพ่อเลย”
อัทธ์พยักหน้า
“พ่อจะไม่ละความพยายาม สักวันน้องจะต้องเข้าใจพ่อ”
ค่ำคืนนั้น ฝนตกลงมาอยู่ๆ ไฟก็ดับลง นภาตกใจ
“อ้าว ไฟดับอีกแล้ว”
“เดี๋ยวผมหยิบเจ้าพายุให้ครับ ฝนตกทีไรไฟดับทุกที”
นภาปั๊มเจ้าพายุ โดยมีประณตเป็นลูกมือ
นภาเดินกางร่ม เปิดประตูรั้วออกมา เพียงขวัญมาถึงบ้าน
“อ้าวขวัญ แม่ห่วงเห็นไฟดับ กำลังจะออกไปรับที่ปากซอยอยู่พอดี” นภามองเห็นผู้ชายยืนตากฝนมองมา “ใครน่ะ”
อดุลย์เดินออกจากเงามืดข้างถนน ตัวเปียกปอน นภาช็อค ปล่อยร่มร่วงตกพื้น ทั้งสองประจันหน้า เพียงขวัญหันไปมองอดุลย์
“นี่คุณแอบตามมาเหรอ”
เพียงขวัญเข้าหา นภา อดุลย์และนภายังมองหน้ากัน
“ขวัญเข้าบ้านไปก่อนลูก...ไปสิ”
เพียงขวัญเข้าบ้าน อดุลย์กับนภายืนมองหน้ากัน กลางสายฝน อดีตสามีภรรยาที่เคยรักใคร่กันเท่าชีวิต ไม่รู้จะเอ่ยคำพูดใด ทักทายกัน
เพียงขวัญเข้าบ้าน คนในบ้านกำลังใช้กะละมังรองน้ำฝนรั่วจากหลังคา ยายไม่เห็นนภามาด้วยก็ถามขึ้น
“แม่ล่ะลูก ไม่ได้เดินสวนกันหรือ เขาออกไปรับ”
“แม่อยู่กับคุณอดุลย์ ที่หน้าบ้านค่ะ”
บุหลันแปลกใจ
“อดุลย์ไหน อดุลย์ เจิมสิริ ใช่ไหม...ฮะ”
บุหลันกับยายมองหน้ากัน ตกใจ
“เขาหาเราเจอได้ยังไงเนี่ย ไอ้ผู้ชายใจดำ น้าออกไปฉะเอง แม่เราน่ะใจอ่อนเป็นขี้ผึ้งลนไฟ”
ยายปรามไว้
“ปล่อยเขาเถอะบุหลัน คนเคยเป็นผัวเมียกัน คงอยากคุยกันตามลำพัง”
เพียงขวัญ ยาย บุหลัน กังวล ไม่รู้นภาคุยอะไรกับอดุลย์อยู่หน้าบ้าน
ท้องฟ้าฝนเบาบางลงแล้ว เหลือแค่ที่หยดจากหลังคา ชายหญิงคู่หนึ่ง ยืนห่างกัน มีความในใจมากมาย นิ่งงันมาพักใหญ่ นภามองอดุลย์ รู้สึกทั้งรักทั้งชังอดีตสามี อดุลย์เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นก่อน
“สบายดีหรือนภา”
“ค่ะ”
อดุลย์อ่านนภาไม่ออก ดีใจที่เจอ หรือ ชิงชัง
“ขอฉันเข้าไปคุยในบ้านได้ไหม”
“บ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณค่ะ”
นภาหน้าโกรธขึ้ง อดุลย์หน้าเสีย รู้แน่ว่าอดีตเมียรักยังชิงชังตน
“เมื่อ 18 ปีก่อน เธอมาด่วนหนีไป ฉันเลยไม่มีโอกาสอธิบาย พ่อฉันจับฉันคลุมถุงชน แต่งงานกับลูกสาวคุณหลวง ฉันไม่เคยรู้จักความรักจนกระทั่งพบเธอ มองในแง่ศีลธรรม ฉันผิดเต็มประตู แต่หากมองอย่างคนบูชาความรักแล้วล่ะก็ ความผิดของฉัน มันจะพออนุโลมได้บ้างมั้ยนภา”
“นี่แหล่ะ ข้ออ้างของผู้ชายสองใจ เราไม่น่าจะต้องพูดเรื่องนี้กันอีก ที่ผ่านมามันก็เจ็บปวดมากพอแล้วสำหรับฉัน”
“ตัวฉันเองก็เจ็บปวด เมียรักหอบลูกในท้องหนี ภรรยาที่อยู่กินก็หมางเมิน จนเขาตายจาก ก็ยังไม่ให้อภัย ฉันแบกรับความความรู้สึกผิดมาตลอด 18 ปี เธอยกโทษให้ฉันได้ไหมนภา”
“มันคงไม่มีวันนั้นหรอกค่ะ”
อดุลย์อึ้ง
“คุณเสียฉันกับลูกไปนานแล้ว เยื่อใยระหว่างเราขาดสะบั้น ไม่มีทางกลับมาเหมือนเดิม อย่ามาหาฉันกับลูกอีก”
“ฉันจะมา ฉันยังรักเธอ รักหมดหัวใจ”
นภาสะเทือนใจ ไม่อยากร้องไห้ให้อดุลย์เห็น นภาหันหลังกลับเข้าบ้าน อดุลย์เศร้ามาก เมียรักไม่ให้อภัย เขายืนอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถขยับไปไหน
นภาขยับขึ้นเรือน เพียงขวัญแง้มประตูเห็นนภากำลังนั่งร้องไห้ เพียงขวัญกลุ้ม ปิดประตูไป เดินออกมา ไม่อยากกวน เพียงขวัญเดินมานั่งข้างๆยายกลุ้มๆ ยายนอนมองหน้าต่างพูดขึ้น
“ฝนตกหนักแค่ไหน ยังมีวันหยุด แต่น้ำตาตกในเพราะความรัก ชั่วชีวิตก็ ไม่มีวันหยุดไหล”
“หนูสงสารแม่”
ยายหยิบรูป ที่ซ่อนอยู่ใต้หมอนให้เพียงขวัญ
“รูปคุณตา”
เพียงขวัญตื่นเต้น
“คุณตาหรือคะ...ยายไม่เห็นเคยพูดถึง”
“ยายเรียนรำที่วังของเสด็จพระองค์หญิง คุณตาหนูท่านเป็นพระยา นภาสวยเพราะได้ท่านมา หนูก็ด้วยคน ยายไปอยู่รวมกับเมียคนอื่นๆ 20 คนได้กระมัง แรกๆท่านก็มาหา พอนานไป ท่านก็มีผู้หญิงคนใหม่ สวยกว่า สาวกว่า แต่เบี้ยหวัดก็ได้ทุกเดือน กินอยู่อย่างดี แต่พอหมดบุญท่าน ก็กระสานซ่านเซ็น”
“ใช่ความรักไหมคะ”
แววตาแห่งรัก ปรากฏขึ้นในดวงตายาย เมื่อรับภาพกลับมาดู
“ใช่สิ...ผู้หญิงเรา ถึงยังไงก็รัก เรามีผัวได้คนเดียว มีรักได้ครั้งเดียว ผู้หญิงมากรัก ไม่ดีหรอกลูก”
เพียงขวัญมองยาย รู้สึกกลัวความรัก ชักกังวลกับความรักที่เริ่มขึ้นในใจของตน
“ทำไม ความรักเป็นเรื่องน่ากลัวอย่างนี้ล่ะคะยาย”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
บ้านเพียงขวัญไฟดับ บุหลันหยิบรูปขึ้นมาจากกล่องด้าย เป็นรูปของเธอวันแต่งงาน ภาพอดีตผุดขึ้นมาในห้วงคิดบุหลัน
เวลานั้นเธอยังเป็นสาวรุ่น นั่งข้างชายคนหนึ่ง ที่พื้น มียายและพ่อแม่เจ้าบ่าวนั่งบนโซฟา เจ้าบ่าวเธอเป็นข้าราชการคนหนึ่ง
บุหลันบุหลันรดน้ำสังข์คู่บ่าวสาว โดยมีเพื่อนบ่างสาวคนละคู่ หนึ่งในเพื่อนเจ้าสาวดูเรียบร้อยน่ารัก
ในห้องส่งตัว บ่าว-สาว นอนคู่กัน
“วันนี้บุหลันสวยที่สุดเลย รู้มั้ย พี่จะรักบุหลันไปจนวันตาย”
สามีเริ่มบรรจงหอมแก้ม หน้าผาก แล้วเริ่มรุกเร้า
บุหลันไปส่งเครื่องลิเกที่ต่างจังหวัดกลับมาด้วยรถปิคอัพ เธอหิ้วกระเป๋าเดินทางใบเล็กมาด้วยพอเข้าบ้านมา ได้ยินเสียงจากห้องนอน เอะใจว่าใครอยู่ เธอเปิดประตูเข้าไป หน้าตาที่ความสุขอยู่ดีๆก็นิ่วหน้าเป็นช็อค สามีกับเพื่อนเจ้าสาวผู้น่ารัก อยู่ในสภาพเกือบเปลือยกาย สามีหันมาเห็นบุหลัน อุทานออกมา
“บุหลัน”
บุหลัน จากช็อคเปลี่ยนเป็นร้องไห้น้ำตาไหลลงมาอาบแก้ม บุหลันยังยืนมองต่อไปจากเศร้าเป็นโกรธกราดเกรี้ยว บุกเข้าไปตบ จิกด่าทั้งสามีและเพื่อนสาว
“ไอ้คนเลว ฉันไม่อยู่สองสามวัน เอาผู้หญิงมานอนในบ้าน บนเตียงฉันไอ้ชั่ว”
สามีตกใจ
“บุหลัน ระหวังหน่อย เธอท้องอยู่นะ”
“ไม่สนใจโว้ย ลูกคนเลวอย่างแก แท้งไปก็ดีเหมือนกัน นังสร้อย มึง ต่อหน้าทำเป็นเพื่อนกู ลับหลังขโมยของกูกินงั้นหรือ”
บุหลันอาละวาดตบตีสามีและเพื่อน ทั้งที่น้ำตายังไหลอาบแก้ม
บุหลันยังน้ำตาไหลอาบแก้ม แม้เรื่องราวจะผ่านมานานแล้ว ก็ยังเจ็บปวดอยู่ ไม่ยอมรับในตัวพวกผู้ชายทั้งหลาย รู้เห็นถึงชะตากรรมของผู้หญิงในบ้านหลังนี้
วันใหม่...เพียงขวัญอยู่บ้านถือฝักบัวรดน้ำอยู่ ทันใดนั้นเสียงรณพีร์ก็ดังขึ้น
“เพียงขวัญ”
เพียงขวัญตกใจ เมื่อเห็นรณพีร์โผล่ออกมาจากหลืบ
“นี่คุณ ถือวิสาสะอะไรมายืนลอยหน้าลอยตาอยู่ในบ้านฉัน”
“ถึงว่า มาทำบึ้งตึงเฉยชากับผม ก็ใช่น่ะสิ มีทั้งคนแก่ คนหนุ่ม มารุมรัก บ้านนี้หัวกระไดไม่แห้ง อย่างน้าบุหลันว่าจริงๆ ด้วย”
“มีธุระอะไรก็ว่ามา”
รณพีร์ยืนสีหน้าเรียบเฉย
“ชายชื่ออดุลย์ เป็นใครครับ”
“คุณรู้เรื่องเขาได้ยังไง”
“เพ้ง อดุลย์ อัทธ์ เป็นผม ผมก็เลือกยาก”
เพียงขวัญโกรธ
“สกปรก”
“สกปรกยังไงครับ”
“ก็คุณมันสกปรกจริงนี่ คนชื่ออดุลย์...พ่อฉันต่างหาก”
รณพีร์ตกใจ อึ้งไป
“พ่อหรือ...พ่อคุณยังมีชีวิตอยู่หรือครับ ผมขอโทษที่เข้าใจผิด”
เพียงขวัญ ค้อนๆเดินไป
เพียงขวัญเดินมา จะเอาค้อนมาย้ำ มาตอกตะปูแผ่นไม้ที่หลุดเป็นแผ่นๆ เธอคล่องแคล่วเพราะตอนเป็นเด็กเธอช่วยชนะทำงาน ช่วยตัวเองมาตั้งแต่เล็กๆ
“ผมบอกแล้วไง ว่าผมขอโทษ งานพวกนี้เป็นงานที่ผู้ชายเขาทำกัน มาๆ ครับ ผมทำให้เอง”
รณพีร์เข้าไปแย่งค้อนมา
“งานพวกนี้ฉันทำเป็น ฉันช่วยคุณชนะเขาทำนั่นนี่มาตั้งแต่เด็กแล้ว บ้านนี้ไม่ต้องการผู้ชายค่ะ”
เพียงขวัญแย่งค้อนคืนมา
“ผู้ชาย มีไว้คู่กับผู้หญิง เป็นกฎธรรมชาติ”
รณพีร์แย่งค้อนอีกรอบ ดูวุ่นวายไปมา คราวนี้เพียงขวัญหยุด มองรณพีร์เงียบไปครู่ ก่อนตัดสินใจพูดตรงๆ
“ถ้าคุณสงสัยว่าทำไมคุณไม่เห็นผู้ชายสักคนในบ้านนี้ ฉันจะเล่าให้ฟัง พ่อของฉันมีเมียมาก่อน มาหลอกแม่เป็นเมียคนที่สอง แม่ก็เลยพาฉันหนีพ่อมา”
รณพีร์ไม่ตอบ เพียงขวัญขี้เกียจสนใจอีก
“พ่อของนายประณต เป็นคนเจ้าชู้ พอน้าบุหลันไปต่างจังหวัด ก็พาเพื่อนของน้าบุหลันมานอนในบ้าน ประณต ไม่เคยเห็นแม้แต่หน้าพ่อเหมือนฉัน”
รณพีร์เริ่มอึ้ง เพียงขวัญเล่าต่อ
“ตาของฉันเป็นพระยา ท่านได้ยายเพราะความสวย และความสาว จากนั้นท่านก็มีอีกหลายคน ตอนท่านจะตาย จำชื่อเมียได้ไม่หมดด้วยซ้ำ แต่ยายของฉันกลับจำท่านได้ไม่เคยลืม”
เพียงขวัญมองรณพีร์ด้วยสายตาเด็ดขาด พิฆาตชาย
“ที่คุณมาจอแจกับฉัน คุณบอกฉันว่า จะมาให้ฉันจัดการเรื่องคุณยอดยศให้ห่างจากฉัน และตอนนี้ ฉันจัดการเรื่องคุณยอดยศให้คุณแล้ว คุณมาอยู่ตรงนี้ทำไม มาที่นี่ทำไมอีก”
รณพีร์สบตาเพียงขวัญครู่หนึ่ง เธอประจันสายตาเขา รณพีร์หนาวยะเยือกมีบางอย่างในดวงตานั้นที่เขาเคยเห็นครั้งหนึ่งครั้ง ที่เพียงขวัญบอกเลิกยอดยศนั่นเอง
“ผมคิดถึงคุณ ต่อให้คุณมีนายอัทธ์ มีผู้ชายหลายคนให้คุณเลือก ผมจะทำให้คุณเลือกที่จะรักผม”
เพียงขวัญลุกขึ้นยืน แบบหญิงแกร่ง
“ฉันเลือกแล้ว เลือกที่จะ...ไม่รักใคร...ไม่รัก ก็ไม่เจ็บปวด ไม่รัก ก็ไม่ถูกทอดทิ้ง”
รณพีร์หลับตาก่อนจะลืมตาขึ้น ใจห่อเหี่ยว ผู้หญิงปฏิเสธ
“ไปทานข้าวกันเถอะ”
รณพีร์อึ้งงงที่อยู่เธอก็ชวน
“ฉันจะเลี้ยงตอบแทนคุณ...เป็นมื้อสุดท้าย และหลังจากมื้อนี้ ฉันไม่อยากเจอหน้าคุณอีก คุณควรไปจากชีวิตฉันได้แล้ว”
รณพีร์จ๋อยไปอีก เพียงขวัญหันเดินไป ท่าทางยังคงเด็ดขาด รณพีร์เหลือตัวนิดเดียวอยู่ตรงนั้น
วงทานอาหารกับพื้น แบ่งเป็นสองวงเหมือนเดิม รณพีร์เศร้าๆระหว่างทานอาหาร ทานช้าลง สีหน้าไม่สดใสเหมือนเคย นภาสังเกตเห็น
“เป็นอะไรไปพ่อพีร์ เหมือนกินไม่ค่อยลง ไม่สบายหรือจ๊ะ”
รณพีร์มองหน้าเพียงขวัญ เธอทำเฉยไม่สบตา รณพีร์ยิ่งเศร้า
รณพีร์กำลังใส่รองเท้าที่หัวกระได ประณตเดินตามมา
“วันนี้เราไม่คุยเรื่องเครื่องบินกันหรือครับพี่พีร์”
รณพีร์เห็นเพียงขวัญเดินตามมากำกับ เลยต้องบอก
“ไม่ล่ะครับ พี่รีบกลับ”
ประณตเดินกลับเข้าไปผิดหวังและงงๆ แต่ไม่ได้ไปไกลนัก แอบไปยืนมุมหนึ่ง ยังได้ยินที่ทั้งสองคนพูดกัน
“ขอบคุณ สำหรับทุกอย่าง คุณควรเอาเวลาไปสนใจผู้หญิงคนอื่นบางที คุณจะได้เจอคนที่เหมาะสมกับคุณ มากกว่าฉัน”
รณพีร์มองผู้หญิงตรงหน้า ไม่เคยเหนื่อยจีบใครเท่านี้
“เคยมีใครบอกไหมว่า คุณพูดตรงแค่ไหน”
“ฉันส่งคุณตรงนี้นะคะ”
เพียงขวัญขยับเดินกลับไป รณพีร์นึกถึงความกลัวที่ตนเป็นเมื่อก่อนหน้านี้
“ผมเผชิญหน้ากับความกลัว ในความสัมพันธ์ของเรา และผมก็จัดการกับมันไปได้ในที่สุด แต่ตอนนี้คนที่กลัวจริงๆ กลับไม่ใช่ผมมันคือคุณต่างหาก”
เพียงขวัญอึ้งเล็กน้อยคิดตาม รณพีร์เดินออกไป ประณตสังเกตการทั้งคู่ ได้ยินทั้งหมดแล้ว
รณพีร์เดินเหมือนจะหมดแรงมาที่รถ เพียงขวัญออกมาแอบมองสายตาอาลัย รณพีร์มองกลับไปที่บ้าน...นี่เราจะมาที่นี่เป็นครั้งสุดท้ายจริงหรือ เขามองเข้าไป เพียงขวัญรีบหลบ รณพีร์ไม่เห็นขึ้นรถขับออกไป
วังจุฑาเทพวันใหม่...เวลาอาหารว่าง ทุกคนอยู่ที่โต๊ะอาหาร วิไลรัมภาส่งจานขนมตะโก้ในใบตอง ให้หม่อมเอียด
“คุณพ่อบอกว่า หม่อมย่าชอบตะโก้ รัมภาเลยให้พี่เกษสอนทำค่ะ ตะโก้ของรัมภา หน้าตาไม่สวยเหมือนของพี่เกษนะคะ อายจัง”
“ใครว่าล่ะจ๊ะ หน้าตะโก้เนียน สวย น่าทานเชียว”
วิไลรัมภายิ้มปลื้ม
“พี่ชายพีร์รับทานแล้ว บอกด้วยนะคะ อร่อยหรือเปล่า”
“คือ พี่ไม่ชอบกินขนมที่เป็นกะทิน่ะจ้ะ” รณพีร์พูดเรียบๆ
“อ้าว หรือคะ รัมภาไม่รู้ ไม่อย่างนั้น ได้ทำขนมอย่างอื่นมาให้พี่ชายพีร์”
ย่าอ่อนแทรกขึ้น
“ชายพีร์ชอบพวกทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุนจ้ะ ของโปรดที่สุดก็ ขนมช่อม่วง”
“รัมภาจะจำไว้ค่ะ” วิไลรัมภาท่อง “พี่ชายพีร์ชอบทานทองหยอด ฝอยทอง เม็ดขนุน ช่อม่วง อย่างหลังต้องจำให้ขึ้นใจเลย”
ย่าอ่อนยิ้มแย้มพึงใจ
“ดีจ้ะ หนูรัมภาเตรียมพร้อมไว้ อีกหน่อยต้องดูแลปรนนิบัติชายพีร์”
วิไลรัมภาขวยเขิน รณพีร์ยิ้มฝืด ย่าอ่อนหันไปยิ้มให้วิไลรัมภา
“บ่ายนี้ ฝึกทำขนมช่อม่วง ดีไหมจ๊ะหนูรัมภา”
วิไลรัมภายิ้มรับอ่อนหวาน
“ค่ะย่าอ่อน พี่ชายพีร์ขา รัมภาจะทำขนมช่อม่วงให้พี่ชายพีร์ทานจนเบื่อไปเลยนะคะ”
วิไลรัมภายิ้มตาใสให้ รณพีร์หนักใจที่วิไลรัมภาทุ่มเทเพื่อเขามากถึงเพียงนี้
รณพีร์เดินมานั่งในสวนอย่างเซ็งๆ ธราธรเดินเข้ามากับระวีรำไพ อ่อนหวานจับมือกันมากำลังเดินคุยกันอย่างมีความสุขในสวน พอระวีรำไพเห็นรณพีร์ก็รีบปล่อยมือจากธราธรเกรงจะไม่งาม เธอยิ้มเขินๆ ธราธรหันไปยิ้มเอ็นดู จับมือขึ้นมาใหม่ เธอยิ่งเขินจะดึงออกอีก คราวนี้ธราธรไม่ยอมปล่อย มองหน้าเธออย่างรักใคร่ มือจับคาไว้ รณพีร์ยิ้มให้กับทีท่าของธราธรยามอ่อนหวานกับคนรัก
“ทานของว่างกับน้องรัมภาเสร็จแล้วหรือ” ธราธรหันมาถาม
“ทำท่าจะมีมื้อเที่ยง แถมด้วยจิบน้ำชายามบ่าย” รณพีร์บอกอย่างเซ็งๆ
“พี่ชายพีร์ ดูไม่มีความสุขนัก แบบนี้จะแต่งงานกับคุณวิไลรัมภาได้หรือคะ เอ้อ...ขอโทษ ถ้ามะปรางพูดตรงเกินไป”
“ผมก็ยังคิดๆ อยู่ รู้สึกผิดด้วย ผู้หญิงดีๆ อย่างน้องรัมภา ทำทุกอย่างเพื่อผม ถึงเวลาจะบอกปัดน้องรัมภาเขายังไง ไม่ให้ทำร้ายจิตใจกัน”
รณพีร์กลุ้ม ระวีรำไพเห็นใจ ธราธรมองน้องชายอย่างเข้าใจ
“เธอคนนั้นต้องน่ารัก และแสนดี ถึงชนะใจชายพีร์ได้”
รณพีร์มองธราธร ซาบซึ้ง
“ใช่ครับ ภายในอาทิตย์หน้า ผู้หญิงคนนั้น ต้องรับรักผม”
ธราธรทำหน้าว่า เอางั้นเลยหรือ รณพีร์ มีความเชื่อมั่นในตนเองสูงมากเกินร้อยเปอร์เซ็นต์ ยักคิ้วให้คนทั้งสอง
วิไลรัมภาช่วยย่าอ่อนกับสมศรีเตรียมเครื่องทำขนมช่อม่วง แจ๋วเก็บดอกอัญชันมากำใหญ่
“หั่นเลยไหมคะคุณอ่อน”
“ไม่ต้อง ให้หนูรัมภาหั่น” อ่อนบอกกับวิไลรัมภา “ย่าจะฝึกให้หนูทำเองเป็นทุกกระบวนการ จะสั่งบ่าวไพร่ทำอะไร เราต้องทำเป็นด้วยจ้ะ เครื่องครบแล้ว มีอะไรทำก็ไปทำไป แม่สมศรี นังแจ๋ว”
แจ๋วกับสมศรีออกไป วิไลรัมภามองส่วนประกอบขนมช่อม่วง เยอะแยะแค่เห็นก็เหนื่อย ย่าอ่อนเริ่มคั่วถั่วลิสง
“หนูรัมภานวดแป้งไปนะจ๊ะ”
วิไลรัมภาหน้าบึ้งไม่อยากนวดแป้ง ไม่อยากทำขนม และจะไม่ทำด้วย วิไลรัมภาตาวาว
เจ้าเล่ห์ หาวิธีเลี่ยงไม่ต้องทำขนม
“ย่าอ่อนขา รัมภาขอแสดงฝีมือทำขนมช่อม่วงคนเดียวนะคะ รัมภาเคยช่วยพี่เกษทำขายที่ร้านบ่อย ๆ ทำได้สบายมาก”
ย่าอ่อนดีใจ
“อ้า ทำเองเลยก็ดีสิจ๊ะ ชายพีร์จะได้ดีใจ”
“รัมภาขอไปโทรถามสูตรพี่เกษก่อนนะคะ จำเครื่องบางอย่างไม่ได้”
ย่าอ่อนแย้ง
“ย่าเตรียมไว้ให้ครบแล้วนี่จ๊ะ”
“พี่เกษมีสูตรลับ ไม่เหมือนใครค่ะ”
“งั้นหรือ กระซิบบอกย่าหน่อยนะ”
“กลัวพี่เกษตีก้นลายซีคะ รายนั้นน่ะ หวงสูตรขนม ยิ่งกว่าหวงน้องสาว เสียอีกค่ะ”
ย่าอ่อนหัวเราะคิก วิไลรัมภาแสร้งหัวเราะด้วยแล้วเดินออกไป
วิไลรัมภาคุยโทรศัพท์เสียงเบากริบ คอยมองรอบตัว เผื่อมีคนเดินมา
“ไม่ต้องบอกพี่เกษว่าเอามาให้รัมภานะจ๊ะ พี่เกษจู้จี้ ถามมาก”
พิมพรรณคุยโทรกับวิไลรัมภา
“แล้วพิมจะเอาขนมเข้าไปให้คุณรัมภา ในวังจุฑาเทพได้ยังไงคะ”
“บ่ายสามโมงตรง รัมภาจะไปรอที่ประตูหลังวัง รัมภาคุยมากไม่ได้ แค่นี้นะจ๊ะ”
พิมพรรณวางหูโทรศัพท์ กังวล ไฉไลหันมาถาม
“คุณรัมภาโทรมาเรื่องอะไรจ๊ะพิม”
“เธออยากให้เราเอาขนมช่อม่วง ร้านพี่เกษไปส่งให้เธอที่วังจุฑาเทพ”
ไฉไลงง
วิไลรัมภากลับมาในครัว ย่าอ่อนยังอยู่
“เชิญย่าอ่อนไปพักเถอะค่ะ รัมภาทำเสร็จแล้ว จะยกไปให้”
“อยากดูหนูรัมภาทำขนม ดูซิ จะคล่องแคล่วขนาดไหน”
“แหม โดนจับตาดู รัมภาก็เกร็ง ทำไม่ได้สิคะ”
“เอ้าๆ งั้นย่าไปก็ได้จ้ะ”
“ย่าอ่อนบอกพวกบ่าวไพร่ ไม่ต้องลงมาช่วยรัมภานะคะ รัมภาอยากทำคนเดียว”
“จ้า...ย่าจะไม่ให้ใครมากวนหนู หวงตำรับขนม จริงด้วยแฮะ”
ย่าอ่อนหัวเราะไม่ถือสา ออกไป วิไลรัมภามองจนย่าอ่อนเดินหายขึ้นตึก ดูจนแน่ใจ บริเวณครัวไม่มีใคร เธอเทเครื่องทำขนมช่อม่วงทิ้งถังขยะ จากนั้นเอาดอกอัญชันแช่น้ำ ขยำให้มือเปื้อนสีม่วงดอกอัญชัน วิไลรัมภายิ้มกริ่มแผนสำเร็จไปครึ่ง
ด้านหน้าประตู วังจุฑาเทพ...พิมพรรณกับไฉไลหิ้วถุงกระดาษใส่ขนมของเกษรา มองไปในวังไม่เห็นวิไลรัมภา ถนอมกับสมบุญหิ้วเข่งมา พิมพรรณกับไฉไลหลบวูบ ไฉไลกังวล
“เขาเห็นเราไหมจ๊ะพิม”
“ไม่รู้ซี”
พิมพรรณกับไฉไลโผล่หน้าดู เห็นถนอมกับสมบุญเก็บใบไม้ใส่เข่ง ไม่ได้มองมา พิมพรรณถอนใจ
“ค่อยยังชั่ว ไม่เห็น”
พิมพรรณมองเลยไป เห็นวิไลรัมภาเดินอยู่กำลังจะมาที่ประตู เธอโบกมือให้ วิไลรัมภาเห็นถนอมกับสมบุญ จึงทำมือ ชี้บอกให้ไปเจอกันที่รั้วข้างวัง พิมพรรณพยักหน้าเข้าใจ
พิมพรรณส่งถุงขนมลอดรั้วให้วิไลรัมภา
“ขอบใจนะจ๊ะพิม”
“คุณรัมภาไม่น่าโกหกเขาว่าทำขนมเองเลยค่ะ พอต้องแต่งงานกับคุณชายรณพีร์ มาอยู่วังจุฑาเทพ เขาต้องจับได้”
วิไลรัมภามั่นใจ
“รัมภาหาทางบ่ายเบี่ยงได้จ้ะ แล้วถ้าเข้าตาจนจริง ๆ ก็วานพิมกับไฉไลอย่างคราวนี้ สองคนคงไม่ใจจืดใจดำ ไม่ช่วยรัมภาหรอกนะจ๊ะ”
ไฉไลยิ้มยินดี
“หือ...ไฉไลน่ะ ยินดีเอาขนมมาส่งให้คุณรัมภาทุกวันค่า ม.ล.วิไลรัมภาให้เกียรติเป็นเพื่อนกับไฉไล แค่นี้ไฉไลก็ดีใจแล้วค่ะ”
ไฉไลไม่ใช่ลูกท่านหลานเธอ จึงเห่อวิไลรัมภา และพิมพรรณลูกนายพล ยอมเป็นลูกไล่ให้ทุกอย่าง มีแววตาจงรักภักดีเสมอ แต่พิมพรรณรักความถูกต้องมากกว่า
วิไลรัมภาวางจานขนมช่อม่วงบนโต๊ะอาหารมองขนมอย่างภาคภูมิใจ หม่อมเอียดชื่นชม
“โอ้โห จับจีบสวยไม่แพ้ย่าอ่อนเลยจ้ะ”
“สวยกว่าค่ะคุณพี่” ย่าอ่อนชิม “อร่อยมากด้วย”
กรองแก้วชิมบ้าง
“ปรุงไส้ออกมารสเดียวกับของพี่เกษเลยค่ะ แก้วเคยช่วยพี่เกษทำ จำรสของพี่เกษได้”
วิไลรัมภายิ้มแย้ม
“นี่สูตรของพี่เกษค่ะคุณแก้ว”
กรองแก้วมองขนม
“จับจีบก็เหมือน...ฝีมือพี่เกษ”
“ก็พี่เกษเป็นคนสอนรัมภานี่คะ”
กรองแก้วนิ่วหน้าสงสัยไม่เลิกรา
“พี่เกษก็สอนแก้ว แต่แก้วจับจีบช่อม่วงออกมา ไม่สวยเท่าเธอ”
“ฝึกบ่อย ๆ อย่างรัมภา ก็เหมือนค่ะคุณแก้ว”
วิไลรัมภาจิกสายตาดุกรองแก้ว เลิกถามเสียที กรองแก้วเงียบ เห็นสายตาอันร้ายกาจของรัมภาอยู่คนเดียว
“พี่ชายพีร์ทานซีคะ”
วิไลรัมภาจิ้มช่อม่วงให้รณพีร์ ยื่นช้อนให้ รณพีร์มองมือวิไลรัมภาเปื้อนสีม่วง
“โดนอะไรมาจ๊ะ”
“คั้นดอกอัญชันค่ะ เอามาย้อมแป้งให้เป็นสีม่วง รัมภาล้างไม่ออกมือรัมภาน่ารังเกียจมากใช่ไหมคะพี่ชายพีร์” วิไลรัมภาทำหน้าเศร้า
“โธ่...มือนี้ของน้องรัมภา ทำขนมแสนอร่อยให้พี่ทาน พี่จะคิดอย่างนั้นได้ยังไงล่ะคะ”
รณพีร์เกรงใจรัมภา เพราะเขาทุ่มเทให้เราเหลือเกิน จำใจรับช่อม่วงมากิน ยิ้มให้
ค่ำนั้นรณพีร์นอนลงอย่างเหนื่อยอ่อน การอยู่บ้านที่มีแต่วิไลรัมภา ช่างทรมาน รณพีร์ลุกและเดินมาจับโมบายด์นก คิดถึงเพียงขวัญ
“แม่กินรีคนสวย เธอไล่ฉันใช่ไหมไม่ให้ไปหาเธอ ทำไมฉันต้องเชื่อเธอด้วย ได้เวลาเดินตามแผนแล้ว ฮึ”
รณพีร์หยิบแจ๊กเก็ต ออกไปทันที หน้าตามั่นใจในตัวเอง ยิ้มหมายมาด
รณพีร์ขี่มอเตอร์ไซด์มาจอกที่รั้วบ้านเพียงขวัญ เขาปีนรั้วบ้านไปทันที ประณตนั่งต่อเครื่องบินอยู่ เครื่องบินกระดาษร่อนเข้ามาแทบเท้า ประณตหยิบมามอง นึกๆ
“พี่พีร์”
ประณตมองหาแล้วออกเดินหาไปในสวน เห็นชายเท่คนหนึ่งยืนพิงต้นไม้อยู่พูดขึ้น
“กองบิน 1 ฝูงบิน 13 เครื่องบินเอฟ 86 เอฟ มีสัญลักษณ์เป็นอะไรรู้ไหม”
ประณตยิ้ม ดีใจที่ได้เจอรณพีร์ เพราะจำได้ว่าเขาถูกไล่ออกไป
“เสือ”
“เก่งมาก พรุ่งนี้ไปบุกถ้ำเสื้อกัน”
ประณตตกใจ
“พี่จะพาผมไปดูเครื่องบิน”
“ใช่...พี่จะมารับที่ปากซอย สี่โมงเย็น แต่มีข้อแม้นะ คุณประณตต้องหาวิธีพูดให้พี่สาวคุณไปด้วย หาวิธีได้ไหมล่ะ”
“พาพี่ขวัญไปด้วย พาพี่ขวัญไปด้วย ได้ครับผม” ประณตมั่นใจมาก
ประณตกับรณพีร์เอามือมาต่อกันแบบลูกผู้ชาย
วันใหม่...บุหลันวุ่นวายอยู่ที่จักรแถวนั้นมีกองเสื้อโหลสองสามพับวางอยู่ บุหลันมีงานใหญ่ ทั้งวุ่นทั้งรีบ เพียงขวัญเพิ่งกลับมาจากที่ทำงาน เพิ่งเข้ามา
“ขวัญ มาก็ดีแล้วไปดูที่โรงเรียนที ป่านนี้แล้ว ประณตยังไม่กลับบ้านเลย น้าต้องเย็บเสื้อให้เจ๊แหวว เขาจะมารับเย็นนี้”
“ประณตยังไม่กลับบ้าน...นี่มันเย็นแล้วนี่นา”
เพียงขวัญมองนาฬิกา
เพียงขวัญเร่งเดินเข้ามาในโรงเรียน มองหาจนทั่วเจอกลุ่มเด็กก็เข้าไปถาม
“หนูเห็นประณตไหม”
เด็กๆส่ายหน้า...เพียงขวัญเดินมาที่สนามบอลมองหามาเรื่อยๆ ตะโกนเรียก
“ประณต...ประณต” เพียงขวัญเดินมาเจอแดง “เอ้าแดง ทำไมมานั่งตรงนี้”
แดงนั่งจ๋องอยู่มุมหนึ่ง
“ลูกพี่เขานัดให้ผมมาหาตอนเที่ยง มาถึงพี่ประณตค่อยบอกว่าเขาจะหนีโรงเรียน”
เพียงขวัญตกใจ
“หนีโรงเรียน...ไปไหน”
“กองบิน 1 ฝูงบิน 13 ครับ”
“แล้วทำไมไม่กลับไปบอกแม่นภา ไม่บอกน้าบุหลันล่ะ มานั่งรอตามคำสั่งเขาตรงนี้ ตั้งแต่เที่ยงเนี่ยนะ”
“ลูกพี่บอก ห้ามผมลุกไปไหน ห้ามกลับบ้าน รอให้พี่ขวัญมาแล้วบอกเขาตามคำสั่ง ไม่งั้น เขาจะถูกน้าบุหลันตี แล้วผมก็ต้องถูกไล่ออกจากบ้าน”
เพียงขวัญกลุ้มใจ
ทางเข้าฐานทัพอากาศมีรถจิ๊ปจอดอยู่ ทหารยามยืนมองประณตอยู่
“มาหาใคร ไอ้หนู”
“ชื่อพีร์ครับ”
“ชื่อจริง นามสกุลจริง ยศ ตำแหน่ง รู้มั้ย”
รณพีร์ขี่มอเตอร์ไซค์ออกมา ทหารทำความเคารพ
“ประณต” รณพีร์หันไปพูดกับทหารเวร “น้องผมเอง”
ประณตดีใจ
“พี่พีร์”
“มาได้ยังไง พี่นัดเราที่ปากซอยไม่ใช่หรือ”
“รถเมล์สองต่อ เรือกาแฟหนึ่งต่อแล้วก็เดินเข้ามานี่แหละพี่”
“มาเองหรือ คนเดียวหรือ” รณพีร์นึกได้ตกใจ “พี่บอกให้พาพี่ขวัญมาด้วยไง เนี่ยพี่กำลังจะออกไปรับพอดี”
“อื้อ...จัดการแล้ว เดี๋ยวพี่ขวัญก็มา เดี๋ยวก็ถึง”
รณพีร์เหวอไป เด็กนี่แสบมาก โผล่มาถึงนี่ ประณตกำลังทำอะไรกันแน่
รณพีร์พาประณตมาที่ลานจอดเครื่องบิน...ประณตดูเครื่องบินอย่างตื่นเต้นมาก ชี้ชวนคุย รณพีร์อธิบายลำนั้นลำนี้...รณพีร์พาประณตขี่คอ จับเครื่องบิน ทั้งสองร่าเริง
รณพีร์กระวนกระวายยืนรออยู่หน้าลานจอดเครื่องบิน รถจิ๊บทหารอากาศคันหนึ่ง มาส่งเพียงขวัญ นายทหารเกณฑ์ที่ขับพามา วิ่งมาตะเบ๊ะบอก ทันทีที่มาถึง รณพีร์พยักหน้า ทหารขับรถจากไป ประณตวิ่งร่าเริงออกมาหา เพียงขวัญเรียก
“ประณต”
“พี่ขวัญ พี่พีร์เป็นนักบินจริงๆ เอฟ 86 เอฟจอดอยู่นั่นไงลำเบ้อเริ่มเลยครับพี่”
เพียงขวัญเดินไป รณพีร์ยิ้มแห้งๆ เพียงขวัญยกมือจะตบ แต่รณพีร์ว่องไวจับมือไว้ได้ก่อนถึงหน้าตน
“คุณจะทำอะไรน่ะ”
เพียงขวัญดึงมือออกเปลี่ยนเป็นรัวตีๆ ด้วยความโมโห
“โอ๊ย เจ็บๆ”
“คุณทำน้องฉันหนีโรงเรียน ทำน้องฉันเสียเด็ก จากที่บ้านมาที่ดอนเมือง ถ้าเขาถูกรถชน ถูกหลอก จะทำยังไงกัน”
ประณตแทรกขึ้น
“โฮ้ยพี่ขวัญ มาดอนเมืองแค่นี้ไม่เห็นจะยาก”
เพียงขวัญหันไปหยิกตีประณต
“พูดออกมาได้ นี่แน่ะ นี่ๆ กลับไป จะบอกน้าบุหลันตีให้เข็ด”
“โอ๊ยเจ็บนะ”
“มานี่ กลับบ้าน ไอ้ตัวแสบ”
เพียงขวัญลากประณตไป รณพีร์รีบตาม
เพียงขวัญลากประณตมา จะกลับบ้าน รณพีร์วิ่งมาดักหน้า รีบอธิบาย
“ผมนัดกับประณตที่ปากซอย กำลังจะออกไปรับ แต่เขามาซะก่อน ผมไม่ได้สอนให้เขาหนีโรงเรียนนะครับ”
“ฉันจะพาน้องกลับบ้าน”
ประณตเถียง
“ผมยังไม่อยากกลับ เพิ่งดูเครื่องบินไปนิดเดียวเอง”
“ผมไม่ได้ตั้งใจจริงๆ ผมขอโทษ ประณตชอบเครื่องบินมาก ถ้าเขาได้อยู่ต่ออีกหน่อยอาจจะมีแรงบันดาลใจให้ตั้งใจเรียน ไหนๆก็มาแล้ว เข้าไปดูหน่อยนะครับ”
เพียงขวัญคล้อยตาม
“นะพี่ขวัญนะ ผมเคยหนีโรงเรียนที่ไหนกัน ทำครั้งนี้เพราะจำเป็น ผมสัญญา จะไม่ทำอีกแล้ว สาบานเลยเอ้า”
เพียงขวัญมองหน้าประณตลำบากใจ แล้วมองรณพีร์
รณพีร์พาเพียงขวัญกับประณตมาดูเครื่องบิน
“ขอต้อนรับสู่...ถ้ำเสือ ครับ นี่เย็นวันศุกร์ ใครๆก็กลับบ้าน ผมถึงแอบพาคุณสองคนเข้ามาได้”
ประณตวิ่งไปดูเครื่องบิน ตื่นเต้นมาก
“พี่พีร์พาผมขึ้นไปในห้องนักบินหน่อยสิฮะ”
ทันใดนั้นเสียจ่าละไมดังมา
“คืนนี้เดือนมืด ดาวขึ้นพราวเต็มท้องฟ้าเลย”
เพียงขวัญมองหาต้นตอเสียง รณพีร์ขมวดคิ้ว
“ละไมเดินเช็คสภาพเครื่องบินจากทางหาง มาหัวเครื่อง รณพีร์ทักทาย
“อ่าวจ่าละไมยังไม่เสร็จงานอีกเหรอครับ”
ละไมเห็นวงหน้าสวยของเพียงขวัญ
“โอ้...ไม่ใช่ดาวธรรมดา...ดาวฤกษ์เสียด้วย”
รณพีร์ขัดใจ
“ค่ำแล้ว ไม่ไปเที่ยวไหนหรือจ่า”
“ดูหนังคนเดียวไม่สนุก กินข้าวคนเดียวไม่อร่อย สู้อยู่เป็นเพื่อนคุยกับเครื่องบินไม่ได้ เพลิดเพลินกว่าเยอะ”
รณพีร์คิดๆอยากอยู่กับเพียงขวัญตามลำพังจึงบอกประณต
“พี่อยากคุยกับคุณขวัญหน่อย คุณประณตอยากช่วยจ่าละไมซ่อมเครื่องบินไหม”
ประณตส่ายหน้า จ่าละไมยิ้มแย้มบอก
“สนุกนะ มีของให้เล่นเต็มเลย”
ประณตก็ส่ายหน้าอีก จ่าละไมรับอารมณ์ต่อให้รู้ใจรณพีร์
“ได้นั่งในห้องนักบินด้วยนะ ที่เขาเอาไว้ฝึกนักบินน่ะ”
ประณตตาโต
“จริงหรือครับ”
“จริงสิ ช่างน้อยพักได้ บินกับจ่าละไมรับรองทุกเที่ยวบินมีแต่รอยยิ้ม มาทางนี้มาหนุ่มน้อย” ละไมเดินพาประณตออกไป ปากยังพูดแซว “อยู่บนฟ้า เป็นเสืออากาศหาญกล้า อยู่บนดิน กลายเป็นแมว เคล้าแข้งคลอขานารี”
เพียงขวัญหน้าฉงน ไม่เข้าใจคำพูดจ่าละไม รณพีร์เข้าใจเลยเขินหน่อยๆ
ประณตไปกับจ่าละไมในโรงซ่อม นั่งเล่นกินขนม...รณพีร์พาเพียงขวัญออกมาดูเครื่องบิน เพราะอยากหาที่คุยส่วนตัว
“คุณอยากคุยอะไรกับฉัน”
“รอเดี๋ยวครับ”
รณพีร์ทิ้งเพียงขวัญไว้ที่ลานเก็บเครื่องบิน ออกวิ่งไป เพียงขวัญยืนคนเดียวที่เดิม ท่ามกลางเครื่องบินสวยงาม
รณพีร์วิ่งไปจัดการกับของที่เตรียมไว้ก่อนหน้า เริ่มต้นด้วยการหรี่ไฟ...เพียงขวัญงง มองไฟที่หรี่ลงจนบรรยากาศกลายเป็นโรแมนติก รณพีร์จัดการเปิดแผ่นเสียงเพลงจังหวะเต้นรำ ช้า เพลงรัก เป็นเพลงรักดังก้องแล้วเขาก็วิ่งกลับมายืนตรงหน้าเธอ
“คุณจะทำอะไรของคุณ”
“สอนคุณขับเครื่องบิน”
รณพีร์ดึงเพียงขวัญเข้ามาชิดในอ้อมกอด จับมือซ้าย มือขวาวางให้ถูกท่าเต้นรำ
“คุณขวัญคุณเคยฟังเพลงนี่ไหม”
เพียงขวัญมองรณพีร์ไม่เข้าใจ
“ผมอยากให้คุณสัมผัสมัน บางทีคุณอาจจะได้รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ”
เพียงขวัญนิ่ง มือทั้งสองที่จับกันทีละมือ มือซ้าย และมือขวา สัมผัสชายหญิงครั้งแรก อ่อนหวาน ท่ามกลางดนตรีสวยงาม รณพีร์กับเพียงขวัญเต้นรำไป เธอเต้นอย่างคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติ แต่สีหน้าของเธอไม่เข้าใจ ช่วงเวลานั้นทั้งสองรู้สึกถึงบางอย่าง ต่างมองหน้าที่ใกล้ชิด มือยังจับกันอยู่
“ไหนบอกจะสอนขับเครื่องบิน”
“เวลาที่เราอยู่บนฟ้า มีแค่เรา ผมกับเครื่องบิน เมื่อผมไปซ้าย” รณพีร์นำหมุนซ้าย “เครื่องบินจะไปซ้าย เมื่อผมไปขวา” รณพีร์นำหมุนขวา “เครื่องบินจะไปขวา”
ทั้งสองอยู่ใกล้ชิด สายตามองกันจริงจังลึกซึ้ง เพียงขวัญรู้สึกด้วยสัญชาติญาณ มีบางสิ่งบางอย่างอยู่ในตาของเขา
“เวลาคุณรำ คุณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับบทเพลง เวลาผมบิน ผมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับเครื่องบิน เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน...กับสิ่งที่เรารัก”
เท้าของเพียงขวัญหยุดกึก เธอชักมือออก รณพีร์อึ้งไปด้วย ราวกับโลกหยุด เพียงขวัญหยุดตกตะลึงกับคำที่ตนเองกลัว มือของรณพีร์ยกขึ้นจะจับใหม่ เพียงขวัญไม่ยอม ถอยห่างออกไปแทบจะทันที รณพีร์ใจเสีย เพียงขวัญกลัวความรักจริงๆ
“ฉันกับคุณบอกลากันไปแล้ว วันนี้ ฉันแค่อยากทำตามความฝันของประณต”
เพียงขวัญเดินออกไป รณพีร์ห่อเหี่ยวเดินตาม
จ่าละไมกับประณต อยู่ที่มุมเรียน ที่เป็น ห้องนักบินจำลอง ประณตกำลังสนุกกับการฝึกบินที่เก้าอี้พลศาสตร์ ที่จ่าละไมสอนให้
เพียงขวัญเดินมองหาประณต รณพีร์วิ่งมาดักหน้า จนเธอต้องหยุด
“ผมเป็นทหาร เป็นนักบิน ไม่มีใครรู้จักความกลัว เท่ากับทหาร ที่พร้อมตายทุกเมื่อเพื่อชาติ คุณกลัวความรัก ถึงขนาดบอกกับตัวเอง ว่าจะไม่มีคู่รัก จะไม่แต่งงาน ชีวิตที่ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับอะไร ก็เหมือนคนตายไปแล้ว”
“ความกลัวช่วยปกป้องชีวิตเรา สอนให้เราระวังใครๆก็รู้จักกลัว เวลามีฝนฟ้าคะนอง ตอนที่บินอยู่ คุณไม่กลัวงั้นหรือ”
“รู้ไหม ท้องฟ้าสวยที่สุดตอนไหน ตอนที่คุณบินฝ่าเมฆฝน ไปถึงตรงที่ฟ้าเจิดจ้า เวลาที่เราเอาชนะความกลัวได้ เราจะมีความสุข มีความภาคภูมิใจในตนเอง”
“ฉันเกิดมาเป็นคนแบบนี้ มีครอบครัวอย่างที่คุณเห็น คุณพีร์คะ เรายืนอยู่คนละแห่งที่ คุณไม่ใช่ฉัน คุณจะมาคิด มาตัดสินฉันไม่ได้ค่ะ”
“อย่ากลัวที่จะรักเลยครับ ความรักเป็นสิ่งสวยงาม จรรโลงโลก คิดดูสิ ถ้าพ่อแม่คุณไม่รักกัน โลกนี้ก็ไม่มีคนสวยอย่างคุณ มาประดับโลก”
“โลกมีของสวย ๆ งาม ๆ ตามธรรมชาติอยู่เยอะแล้ว ดอกไม้ ผีเสื้อ แม่น้ำลำธาร”
“บางที ธรรมชาติก็โหดร้ายกับเรานะครับ แต่ความรัก ทำให้เรามีความสุขเสมอ”
“เป็นทุกข์เสมอต่างหาก ฉันจะไม่เอาชีวิตไปติดบ่วงทุกข์เพราะความรัก อีก...”
เพียงขวัญหน้าตาจริงจัง ยึดมั่นในสิ่งที่พูด รณพีร์กลุ้มเหนื่อย ผู้หญิงคนนี้มีอะไรมากมายที่เข้าถึงยากจริงๆ
เพียงขวัญกับประณต อยู่ที่ป้อมทางเข้าฐานทัพมีรถเก๋งเก่าๆขอลุงข้างบ้านรออยู่ เพียงขวัญหันมาบอกรณพีร์
“เดี๋ยวเรากลับบ้านเองได้ไม่ต้องห่วง”
รณพีร์คุกเข่าลงคุยกับประณต
“ถ้าอยากเป็นนักบิน ต้องไม่หนีโรงเรียน ต้องสอบได้ที่หนึ่ง ทำได้ไหมล่ะ”
“โห สอบได้ที่หนึ่งเลยหรือ”
“เมื่อก่อนอาจจะยากเพราะเราไม่รู้จะเรียนไปทำไม แต่ตอนนี้มีจุดหมายแล้ว ก็จะง่ายขึ้น คุณประณตฉลาดจะตาย”
“เอาก็เอา ลองดูสักตั้ง”
รณพีร์และประณต เอากำปั้นมาต่อกัน
“วันนี้ผมเรียนการใช้จ๊อยสติ๊กแล้วนะ จ่าละไมสอน ไว้คราวหน้าผมจะมาเรียนอีก”
เพียงขวัญแทรกขึ้นทันที
“ไม่มีคราวหน้า เราจะไม่รบกวนคุณพีร์อีกแล้ว”
ประณตอึ้ง
“พี่ขวัญ”
รณพีร์และประณตตกใจ
“วันนี้พอแค่นี้เถอะประณต เอาไว้สอบเป็นนักบินได้เมื่อไหร่ ค่อยมาที่นี่ใหม่ ไปเถอะ ลุงเขารอนานแล้ว”
เพียงขวัญดึงมือประณตเดินจากไป รณพีร์ ที่หัวใจเหลือแค่ครึ่งเดียว รำพึงออกมาตามหลัง
“เพียงขวัญ”
เพียงขวัญได้ยินแล้ว ชะงักเท้าเล็กน้อย จากนั้น สีหน้าของเธอก็เชิด เดินออกไป รณพีร์เซ็งเศร้า
วันใหม่...ธราธร พุฒิภัทร กรองแก้ว และระวีรำไพ ดูรูปถ่ายที่ส่งมาจากเวียงพูคำ ทั้งหมดสร้างโรงเรียนที่แล้วเสร็จ ถ่ายรูปมาให้ดูพร้อมส่งจดหมายมา 4 คนผลัดกันดู กรองแก้วปลื้มใจ
“ชาวเวียงพูคำ โชคดี มีเจ้าหลวง เจ้าหญิง องค์ใหม่ ทรงงานหนักเพื่อประชาชน”
“นายพลเซกองโดนจับติดคุกหลวงไปแล้ว สงครามยุติแล้วคงได้พัฒนาประเทศอย่างจริงจังเสียที”ระวีรำไพออกความเห็น
ธราธรแย้ง
“ไม่ใช่อย่างนั้นน่ะสิ เจ้าวีระวงศ์ เจ้าหลวงหุ่นเชิดที่นายพลเซกองเคยหนุนหลัง ยังไม่ยอมแพ้ง่ายๆ ยุยงชนกลุ่มน้อยแถวชายแดน ตั้งเป็นค่ายทหาร สะสมกำลังมากขึ้นเรื่อยๆ จดหมายของชายเล็กยืนยันมาอย่างนั้น”
ธนาธรหยิบมาเปิด พุฒิภัทรพยักหน้าเข้าใจ
“เวลานี้ผู้การสั่งให้ชายพีร์กับเพื่อนทหารฝึกบิน เพื่อเตรียมความพร้อมเพราะชายแดนเริ่มตึงเครียด”
“ถึงชายพีร์จะฝึกหนัก แต่กำลังใจคงดีเพราะเห็นเขามั่นใจว่าสาวจะยอมใจอ่อน”
ระวีรำไพที่รู้เรื่องแล้วพยักหน้าว่าจริง กรองแก้วยิ้มแย้มบอก
“คุณชายภัทรเห็นหน้าแล้ว แก้วเห็นแต่รูปในหนังสือพิมพ์ สวยดีค่ะ เป็น ดาราดาวรุ่งเสียด้วย”
รณพีร์เดินเซ็งเข้ามานั่งเหมือนคนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต ระวีรำไพแหย่
“มาแล้ว...เป็นไงคะ ไม่พาสาวเจ้ามาด้วยล่ะ มะปรางอยากเห็น”
พุฒิภัทรถอนใจ
“ขืนพามาคงเป็นเรื่อง มีสะใภ้เป็นนางสาวศรีสยามคนหนึ่ง เป็นดาราเต้นกินรำกินอีกคน หม่อมย่าท่านเอาเรื่องพวกเราแน่”
รณพีร์พูดออกมาเสียงเศร้า
“คงไม่มีใครเอาเรื่องหรอก เฮ้อ...รสชาติการถูกปฏิเสธมันเจ็บปวดจริงๆ ผมไม่เคยเจอ ไม่คิดจะเจอเลย”
สี่คนมองกันแปลกใจมาก เราฟังผิดไปหรือเปล่านะ ระวีรำไพอึ้งๆ
“ปฏิเสธหรือคะ นางเอกคนนั้นปฏิเสธพี่ชายพีร์เหรอคะ”
ธราธรคิดตาม ทึ่งกับผู้หญิงคนนี้ทีเดียว
“มีผู้หญิงกล้าปฏิเสธ ม.ร.ว.รณพีร์ จุฑาเทพด้วยหรือ ชักอยากเห็นหน้าเจ้าหล่อนแล้วสิ”
“โธ่พี่ชายใหญ่อย่าแกล้งผมสิครับ ผมอกหักจริงๆนะ...ฮือ”
รณพีร์ก้มหน้าลงกับแขนตัวเอง คร่ำครวญ เสียใจกับพี่ๆ
กองถ่ายกินนรี...อัทธ์เดินลงมาจากรถ วันนี้มีคนขับมาด้วยเพราะไปซื้อของมา อัทธ์เดินมามองเข้าไปที่กองถ่ายหนัง จันทน์กะพ้ออุ่นอาหารอยู่
“ทำอะไรอยู่ครับคุณจันทน์กะพ้อ” อัทธ์เข้าไปถาม
จันทร์กระพ้อเห็นอัทธ์ดีใจนิดๆ
“เตรียมกับข้าวกับปลาไว้ให้ขวัญค่ะ คราวที่แล้วยายป้าไพตัวแสบ เอาข้าวบูดให้ขวัญกิน สงสัยเราต้องพึ่งตัวเองกันแล้วค่ะ”
อัทธ์โชว์ถุงข้าวของมากมาย ให้ดู
“ผมเอาข้าวมาให้น้องขวัญกับคุณแล้ว”
จันท์กระพ้อเข้าไปดูข้าวของ
“โห เอามาเยอะแยะ ทำอย่างกับเราจะอยู่เป็นเดือน”
“ผมไม่รู้คุณสองคนชอบกินอะไรนี่ครับ เจออะไรก็ซื้อมา”
“ยายขวัญชอบผลไม้ ตามประสานางเอก ส่วนฉันมันต้องข้าวเยอะๆกับน้อยๆ...จะได้มีแรงช่วยพ่อทำค่ายมวย”
“บ้านคุณเป็นค่ายมวย”
“ค่าย ป.ปากเกร็ด ไปถามคนแถวนั้น ใครๆก็รู้จัก ชื่อพ่อฉัน ป.มาจาก ปุ้มปุ้ย ฮะฮะฮ่า คิดดูเป็นนักมวยชื่อปุ้มปุ้ย ตอนหลังเลยเปลี่ยนเป็น ปัญญา เผื่อมันจะมีขึ้นมาบ้าง”
จันท์กระพ้อกับอัทธ์หัวเราะ สักพัก จันท์กระพ้อก็หยุดหัวเราะทำหน้าโกรธ
“หัวเราะพ่อฉันหรือ”
อัทธ์ตกใจ จ๋อยสนิท นึกว่าโกรธจริง
“หน้าซีดเลย...ฮะฮะฮ่า”
จันทร์กระพ้อหัวเราะร่าใหม่ อัทธ์ค่อยโล่งใจ
“หยอกเล่นน่ะ ขอบใจนะ สำหรับข้าวของนี่”
อัทธ์มองความน่ารักของจันท์กระพ้อ สนใจเธอมากขึ้นเรื่อยๆ
“คุณนี่ไม่เหมือนผู้หญิงที่ผมเคยรู้จัก คุยด้วยแล้วสบายใจดีนะครับ”
จันท์กระพ้อไม่สนอัทธ์เลยเจียมตัวมาก ดูแต่ข้าวของ
กองถ่ายยังวนเวียนแถวสระอโนดาต เพียงขวัญและบงกชอยู่ในชุดกินรีแล้ว ท่องบทบ้างนั่งรอบ้าง ทีมงานกำลังเซ็ทฉาก ชนะ นัดแนะตัวละครวุ่นวายแถวนั้น เพ้งนอนหลับอีกมุมหนึ่ง จันท์กระพ้อพาอัทธ์เดินเข้ามา
“นั่นไง ขวัญอยู่นั่น”
เพียงขวัญมองมาเห็นแล้วยิ้มให้ อัทธ์โบกมือให้ บงกชเบ้หน้า
“มีผู้ชายมาหาอีกแล้ว พักกองไหมคะผู้กำกับ นางเอกมีแขก”
บงกชพูดเสียงดังได้ยินกันหมด จันท์กระพ้อโวยใส่
"เอ๊ะ บอกแล้วไงเขามาหาฉัน ทำไม...แก่นกะโหลกอย่างฉัน มีความรักแล้วโลกมันจะแตกหรือไงหา เลิกนินทาเสียที ทำงานได้แล้ว”
คนขับรถเอาช่อดอกกุหลาบแดงมาให้อัทธ์
“ขอโทษครับ...คุณอัทธ์ ดอกไม้ที่สั่งให้เอามาให้ครับ”
อัทธ์เอามาแล้วยิ้มอ่อนหวานไปที่เพียงขวัญ เดินไปหา นึกว่าจะให้เพียงขวัญ แต่พอถึงจันท์กระพ้อก็หันเอาไปยื่นให้ทันที จันท์กระพ้อสะดุ้ง เหวอไปเล็กน้อย อัทธ์พูดอย่างจริงใจ มีประกายที่ตา คิดจะจีบจันท์กระพ้อจริงๆ
“สำหรับคุณจันท์กระพ้อครับ”
ทั้งสองสบตากัน หนุ่มๆในกองร้องฮู้ว เบาๆ บงกชค้อนหมั่นไส้ สะบัดหน้าเดินหนี เพียงขวัญแอบยิ้ม ถ้าเขาจีบกันจริงก็คงดี
“รับสิครับ”
จันท์กระพ้อแกล้งยิ้มเยาะคนอื่น แล้วเข้ามาชิดอัทธ์ พูดเสียงเบาได้ยินสองคน
“ต้องเอามาให้จริงๆด้วยหรือ”
“บอกว่าจะให้ก็ต้องให้สิครับ”
“ครั่นเนื้อครั่นตัวไงไม่รู้ ดูสภาพฉันสิ หน้าอย่างฉันถือช่อกุหลาบเดินเข้าซอยบ้าน หมาคงเห่ากันเกรียว”
อัทธ์หัวเราะอีก ทำหน้าว่าให้รับ
จันท์กระพ้อรับไปยิ้มให้เป็นเชิงขอบคุณ อัทธ์มองจันท์กระพ้อจริงจัง
อ่านต่อตอนที่ 4