สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 2
รณพีร์กลับมานั่งข้างตุ่มใบเดิม แวดล้อมด้วยคนที่เหลือ เพียงขวัญคาดคั้น
“คุณมาทำธุระอะไรที่นี่”
รณพีร์เฉไป
“ตักน้ำให้หน่อยสิครับ มือผมดำขนาดนี้ ไม่ตายก็ดีแค่ไหนแล้ว”
“ล้างเนื้อตัวอีกรอบ” นภามองอีกที “เอ้อ อาบน้ำเลยแล้วกันนะ เดี๋ยวน้าไปหาเสื้อผ้ามาให้เปลี่ยน”
นภาออกไปเอาชุดของชนะ เพียงขวัญยังนิ่งมองรณพีร์ยังโกรธเรื่องที่มาว่าคราวที่แล้ว รณพีร์รีบพยักเพยิดให้ตักน้ำ เพียงขวัญจำใจตัก รดแขนเขา
“ถามหน่อยเถิด คุณโกรธที่ผมมาเห็นคุณทำเรื่องบัดสีบัดเถลิงกับสามีคุณหรือไง ถึงกับต้องฆ่ากันให้ตาย”
เพียงขวัญชะงัก
“สามีหรือ”
“ปิดบ้านซะมิดชิด อยู่กับผู้ชายสองต่อสอง คำนินทาในกองถ่ายเป็นจริง คุณได้บทนางเอก เพราะเป็นเมียผู้กำกับ”
เพียงขวัญใช้ขันน้ำโลหะฟาดหัว รณพีร์ร้องโหยหวนเลยคราวนี้
“โอ๊ย...หัวผม”
ประณตที่ยังยืนอยู่ด้วยมาตั้งแต่ต้น หัวเราะขำคิกๆ เพียงขวัญโวยใส่
“พูดบ้าๆ น่าเกลียดที่สุด คราวที่แล้วก็ว่าฉันเป็นคู่รักของเพื่อนคุณ คราวนี้มาเป็น...”
รณพีร์สวน
“มันคุ้มหรือครับแลกศักดิ์ศรีกับเงินค่าตัวเล่นหนังไม่กี่บาท”
เพียงขวัญโกรธมาก
“ออกไปจากบ้านฉันได้แล้ว”
เพียงขวัญสะบัดเดินหนี
“พูดแทงใจดำล่ะซี้ ถึงกับต้องไล่กัน นี่ผมเตือนดีๆหรอกนะ”
ประณตหันมาบอก
“ลุงชนะเขาเป็นผัวป้าราตรี ป้าราตรีเป็นพี่สาวป้านภา แม่ของพี่ขวัญ กับแม่บุหลันของผม เข้าใจหรือยังล่ะคู๊ณ”
รณพีร์หน้าตื่น
“หา...งั้นคุณชนะก็มีศักดิ์เป็น...ลุง ส่วนคุณเพียงขวัญเป็น....” รณพีร์อึ้ง
ประณตตอบ
“หลาน...ลุงชนะน่ะ เคยช่วยเลี้ยงพี่ขวัญ ป้อนนม อาบน้ำให้ตั้งแต่เล็กๆ แต่กับผมน่ะ ลุงเขาไม่ค่อยยุ่ง เพราะผมดูแลตัวเองได้” ประนต วางก้าม
รณพีร์ซักต่อ
“เอ้าแต่ทำไม ในกองถ่ายถึงไม่รู้จักกัน”
“พี่ขวัญเขาไม่อยากให้ใครพูดว่าเขาเข้าไปทำงานเพราะลุงชนะ ทุกวันนี้พี่เขาเข้าไปทำงานด้วยความสามารถของตัวเองทั้งนั้น เขาเลยไม่อยากให้ใครดูถูกว่าเขาใช้เส้น”
รณพีร์ยิ้มกว้างขึ้นมา สิ่งนี้สำคัญมาก เพราะเขากำลังพิสูจน์เพียงขวัญ ด่านแรกเพียงขวัญผ่าน นางในดวงใจของเขาไม่ได้เป็นอย่างที่เขาพูดกัน ประณตมองหน้า
“เอ้า ยิ้มอะไรล่ะคุณ”
รณพีร์ตอบทั้งที่ยังยิ้มอยู่ รอยยิ้มยังฉาบบนใบหน้า
“เปล่านี่ฮะไม่ได้ยิ้ม จะยิ้มทำไมกันครับ ไม่มีอะไรต้องยิ้ม”
ประณตเหล่มอง
“พิลึก ก็เห็นว่ายังยิ้มอยู่ ยังจะมาเถียง”
รณพีร์ส่ายหน้าดิ๊ก ทั้งที่ปากยังยิ้มอยู่ ก็บอกว่าไม่ได้ยิ้ม ไม่ได้ยิ้ม
เพียงขวัญถือตะกร้าเก็บผัก รณพีร์อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อแล้วเดินยิ้มมามอง
“เก็บผักอยู่เหรอครับ”
“ผักสวนครัว ไว้กินกับน้ำพริกเย็นนี้”
“ปลูกเองหรือครับ ทำไมไม่ซื้อล่ะ มันจะสักกี่สตางค์กัน”
“จะกี่สตางค์ก็เงินทั้งนั้น...จะยิ้มทำไม”
“เปล่ายิ้ม...มาผมช่วย”
รณพีร์แย่งตะกร้ามาถือเอง
“เอ๊ะ ฉันไล่คุณไปแล้วนะ เอามานี่”
ทั้งสองแย่งตะกร้าไปมาดูวุ่นวาย
“แม่คุณชวนผมกินข้าว มาผมช่วยถือให้”
“ไม่ต้องมายุ่ง”
“มาเถอะน่า”
รณพีร์จับไปที่มือของเพียงขวัญ โดยไม่ได้ตั้งใจ เพียงขวัญอึ้ง สัมผัสการจับมือครั้งแรก ทั้งสองนิ่งยืนมองตาเหมือนมนต์สะกด รณพีร์พึมพำออกมา
“แรงระเบิดคงมีผลข้างเคียง ใจผมมันสั่นๆ”
เพียงขวัญสะดุ้ง รีบดึงมือออก ให้รณพีร์ถือตะกร้าไปคนเดียว เพียงขวัญกลับมาดุใหม่
“แค่ใจสั่นรึ น่าเสียดาย ไม่ยักกะตาย”
เพียงขวัญค้อนเดินจากไป รณพีร์ยิ้มๆ
ยอดยศแอบหลบมุมนั่งเมาอยู่ในโรงซ่อมของกองบิน มีเหล้าวางอยู่ข้างๆ คำพูดขอเพียงขวัญที่บอกเลิกเขาแว่บเข้ามาในหัว
‘คุณยอดยศ ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ดิฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก ขอบคุณ สำหรับทุกอย่าง’
เพียงขวัญน้ำเสียงเด็ดขาด เย็นชา กล้าแข็ง ยอดยศตะลึงงัน
‘คุณขวัญ...เกิดอะไรขึ้น ทำไมพูดแบบนี้กับผมล่ะครับ’
‘ได้โปรดเชื่อฉัน อย่ามาที่กองถ่ายนี้อีก ความเป็นเพื่อนของเราจบกันแค่นี้’
ยอดยศร้องไห้เสียใจออกมา จ่าละไมใส่หน้ากากเชื่อมเหล็กอยู่หยุดเชื่อม เอาหน้ากากออกมามอง
“ชายชาติทหาร ชีวิตมีไว้เพื่อชาติ แต่น้ำตามีไว้เพื่อเธอ”
จ่าละไมยิ้มๆเอ็นดู ยอดยศได้ยินแล้วยิ่งร้องไห้แล้วส่ายหัว ผิวปากเพลงเอลวิส can’t help falling in love
รณพีร์เดินตามเพียงขวัญมา ถือตะกร้าผักมาด้วย นภากำลังบีบนวดให้ยาย พอรณพีร์เดินมา ก็ได้ยินนภาเล่าเรื่องของตนให้ยายฟัง
“เมื่อกี๊ ไอ้ดำพี่ไอ้แดง มันมาหาเรื่องหนู พ่อพีร์เขามาช่วยไว้ เขาเป็นคนพิจิตรเหมือนเรา ทำนาเหมือนกันด้วย”
เพียงขวัญพลอยได้ยินเรื่องของรณพีร์ไปด้วยตรงนี้ รณพีร์เข้ามาไหว้ยาย
“สวัสดีครับคุณยาย”
ยายรับไหว้
“ไหว้พระเถอะลูก ไปเก็บผักมาเหรอ”
“ครับ ผักพวกนี้กว่าจะแกะสลักเสร็จ จะทันกินหรือครับ”
เพียงขวัญขัดขึ้น
“ใครจะมีเวลามานั่งทำแบบนั้น ไม่ใช่ชาววังสักหน่อย”
รณพีร์สะดุ้ง
“ผมแค่ถามเล่นๆ”
บุหลันเย็บจักรอยู่ข้างบนบ้าน ส่งเสียงบ่นงึมงำ มองค้อนๆรณพีร์
“ออกไปทำงาน ค้างอ้างแรมไม่พอ มีผู้ชายหนุ่ม เข้าๆออกในบ้านอีก เดี๋ยวเถอะพรุ่งนี้เขาได้ลือกันทั้งตลาด”
รณพีร์มองไป ประณตนั่งเล่นอยู่กับแม่ เพียงขวัญก้มหน้าเศร้าไปกับคำพูดของบุหลันอยู่คนเดียว ในขณะที่คนอื่นชินชา นภาไม่ค่อยสนใจ รณพีร์เห็นที่นภานวดหัวเข่ายายเลยคลานเข้าไปหา
“ผมนวดให้ไหมครับ ผมเคยจับเส้นอยู่บ่อยๆ”
“งั้นแม่ไปจัดการเรื่องอาหารเย็นก่อนนะ”
นภาหยิบผักถอยออกมา รณพีร์เลยนวดให้ดูชำนาญ จับเส้นถูกต้อง จนยายต้องเงยมอง
“เก่งจริงลูก ไปเรียนมาหรือลูก”
รณพีร์ยิ้มให้นวดต่อ รณพีร์มีกริยาทีท่านอบน้อมเรียบร้อยแบบผู้ดี ที่ยายสังเกตเห็นตั้งแต่ต้นคือ นอบน้อมกับผู้ใหญ่แบบคนที่ได้รับการอบรม เวลามีผู้ใหญ่อยู่จะคลานไปมา อย่างคล่องแคล่ว เวลานั่งพับเพียบก็เก็บปลายเท้าเรียบร้อยมาก
“กริยามารยาทงาม เหมือนอืม...” ยายจะพูดว่าเหมือนลูกผู้ดี แต่ไม่พูด “ยายข้อเข่าเสื่อมจ้ะ เดินไม่ค่อยไหว บ้านเราก็มีแต่ผู้หญิงกับเด็ก ยายไปไหนไม่ค่อยถนัด มันเจ็บไปหมด เลยต้องนั่ง ๆ นอน ๆ อยู่ตรงนี้”
“ผมมีย่าตั้งสองคน ท่านเลี้ยงผมมา อยู่กับคนแก่มาตลอดชีวิต ผมชินแล้ว”
เพียงขวัญมองอึ้งไป รณพีร์ดูไหลลื่นมากกับยายของตน เรื่องการเอาใจผู้หญิงทุกเพศทุกวัยเป็นของถนัดที่รณพีร์ทำได้เป็นธรรมชาติ เป็นความสามารถส่วนตัวของเขา บุหลันปรายตามอง ไม่วายบ่น กระทบกระเทียบ
“โฮ้ย หัวกระไดไม่แห้งกันล่ะคราวนี้”
รณพีร์รู้แล้วว่าเขาประชด จึงนิ่งไป นภาอยู่ในครัว กำลังทอดปลาทูควันโขมง
คนในบ้านนั่งล้อมวงกินข้าวกับพื้นจัดกับข้าวเป็น 2 วง เพียงขวัญ นภา บุหลัน รณพีร์จะลงนั่งข้างเพียงขวัญ โดนประณตแย่งนั่ง ประณตตีหน้ายักษ์ใส่ รณพีร์ขำนั่งวงเดียวกัน อีกวงเป็นของยาย แดงและเด็กๆ รณพีร์มองกับข้าว มีปลาทูทอด 2 ตัวเล็กๆ น้ำพริกกะปิ 1 ถ้วย ผักสด แกงอีกหนึ่งถ้วย กินกันตั้ง 5 คน รณพีร์ชะเง้อดูอีกวง กับข้าวน้อยพอกัน เพียงขวัญยังแกะปลาทูครึ่งตัวใส่จานข้าว ลุกไปให้ยายที่เตียง รณพีร์ไม่กล้าตักกับข้าว กลัวคนอื่นไม่พอกิน นภาเรียก
“ยกจานมาใกล้ๆ น้ามาพ่อพีร์”
นภาแกะเนื้อปลาทูใส่จานรณพีร์ฃ
“พอแล้วครับคุณน้า”
รณพีร์ดูครอบครัวเพียงขวัญกินข้าวอย่างกระเหม็ดกระแหม่ แบ่ง ๆ กันกิน
เพียงขวัญ นภา บุหลัน เก็บกับข้าวที่เหลือเข้าตู้ น้ำพริกเหลือก้นถ้วย รณพีร์ทำทีเดินออกไป แต่แล้วก็ไปหลบอยู่มุมหนึ่ง แอบฟังเขาคุยกัน
“อย่าหวงกินนักเลยน่าบุหลัน”
“จะไม่ให้หวงได้ยังไงล่ะพี่ เราจะไม่มีข้าวสารกรอกหม้ออยู่แล้ว เงินที่ขวัญได้มาวันก่อนก็จ่ายค่ายา ค่าเทอม หมดไปแล้ว นี่ดูเอาเอง”
บุหลันเอาถังข้าวสารให้ดู เหลือข้าวสารก้นหม้อ เพียงขวัญได้ยินเข้ามาบอก
“เพิ่งซื้อวันก่อนนี้เองนี่คะ”
บุหลันถอนใจ
“ขวัญนับดูสิ บ้านเรามีกี่ปากกี่ท้อง พี่นภาเที่ยวเก็บเด็กมาเลี้ยงเต็มบ้าน”
นภาตัดบท
“ไม่ต้องโวยวายน่า พรุ่งนี้ พี่จะไปเชื่อข้าวสารร้านเฮียมาให้”
รณพีร์ถือจานข้าวเข้ามา นภายิ้มแหยให้ รณพีร์ยิ้มตอบ ทำเหมือนไม่ได้ยินเมื่อกี้แต่เขาได้ยินทั้งหมดแล้ว
“วางตรงนี้”
ประณตชี้กะละมังล้างจาน รณพีร์แกล้งทำเจี๋ยมเจี้ยม
“ขอบคุณครับคุณประณต”
ประณตวางก้ามต่อ
“เฮ้ย ไอ้แดง มานี่ มาช่วยกันล้างจานโว้ย อ้าว...แล้วนี่อะไร ข้าวเหลือ กินทิ้งกินขว้าง ทำงี้ได้ไง กินให้หมด เดี๋ยวแม่โพสพโกรธนะ กินไม่หมดแบบเนี้ย”
รณพีร์คิดหนักรำพึงในใจ
‘ปัญหาเรื่องเงินเยอะขนาดนี้ อีกหน่อย เธอคงลงเอยที่เสี่ยเพ้ง’
วันใหม่...ผู้การ ประชุมนักบิน
“สถานการณ์ชายแดนตอนนี้ ส่อเค้ารุนแรง รัฐบาลสั่งให้กองทัพอากาศเตรียมพร้อม หากมีคำสั่ง ต้องขึ้นบินทันที เพราะฉะนั้นช่วงนี้เราต้อง ซ้อมบินบ่อยขึ้น”
รณพีร์ขึ้นซ้อมบิน ยอดยศก็ขึ้นซ้อมบินด้วย เครื่องบินสองลำบินบนฟ้า ดูยิ่งใหญ่
ผู้การยืนคุยกับยอดยศ ระหว่างการบรีฟสรุปผลการซ้อม รณพีร์ยืนห่างไป
“คุณมีปัญหาอะไรหรือเปล่า” ผู้การดมๆ ได้กลิ่น “กลิ่นเหล้า อย่าให้มีแบบนี้อีกนะ ไม่งั้นผมคงต้องลงโทษทางวินัย”
ยอดยศหน้าเสีย
“ขอโทษครับ จะไม่ให้มีแบบนี้อีกครับ”
ผู้การเดินไม่พอใจออกไป ยอดยศเดินกลับมาหารณพีร์เซ็งๆ เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินมา บอกกับยอดยศ
“ผู้หมวดครับ คุณหญิงนงนุช มารอพบครับ”
ยอดยศตกใจหน้าไม่ดี
“แม่คุณพิม สถานการณ์ฉัน ส่อเค้ารุนแรงกว่าชายแดนอีกว่ะ ไอ้พีร์”
รณพีร์เห็นใจ
ในห้องสันทนาการ...ยอดยศไหว้นอบน้อมนั่งลงเกร็ง กลัวผู้ใหญ่มาตำหนิ
“แม่กับยายพิมมาธุระแถวดอนเมือง เลยแวะเอาขนมมาให้จ้ะ”
ยอดยศค่อยสบายใจคุยยิ้มแย้มกับนงนุช
“ขนมเจ้าไหน ก็อร่อยไม่เท่าฝีมือคุณแม่ครับ”
“อร่อยถูกใจพ่อยอดยศจริง ก็ต้องไปทานบ่อย ๆ สิ นี่หายหน้าหายตาไปไหน ไม่เห็นเทียวไปที่บ้านนานสองนาน”
ยอดยศกลับมาหน้าซีดใหม่
“เอ่อ ผมต้องซ้อมบินครับ สถานการณ์ชายแดนไม่ค่อยดี”
“เรื่องงานก็แล้วไป พูดตรงๆนะ เป็นคู่หมั้นกัน ผู้หลักผู้ใหญ่รู้เห็นหมด จู่ๆ มาหายหน้าไปแบบนี้แม่ก็นึกเป็นห่วง ถ้ามีอะไร พ่อยอดยศบอกแม่ได้เลยนะ”
ยอดยศปาดเหงื่อ เจอผู้ใหญ่ไล่ต้อนแบบนุ่ม ๆ พิมพรรณ ตัดสินใจเข้าประคองความรักของตนเอง
“คุณแม่คะ พิมลืมบอกคุณแม่ พี่ยศจะไปทานข้าวที่บ้านศุกร์หน้า จำที่เราคุยกันทางโทรศัพท์เมื่อวานซืนได้ไหมคะพี่ หรือทำงานจนลืม”
พิมพรรณส่งสายตาให้ยอดยศเล่นตาม
“อ๋อ พี่ไม่ลืมหรอกจ้ะ วันศุกร์หน้า พี่จะไปทานข้าวบ้านน้องพิมแน่นอน”
ยอดยศยิ้มขอบคุณพิมพรรณ ที่กู้สถานการณ์ให้
“พิมบอกแล้วไงคะ ว่าพี่ยอดแค่งานยุ่ง เราสองคนไม่ได้ทะเลาะกันจริงๆสักหน่อย”
พิมพรรณยืนอยู่กับยอดยศที่มุมหนึ่งในกองบิน
“คือว่าช่วงนี้พี่...”
พิมพรรณไม่อยากฟังคำโกหก ค่อยๆ ยื่นมือไปแตะปลายนิ้วเขา
“พี่ยศรู้สึกไหมคะ”
ยอดยศงงๆ
“รู้สึกอะไรจ๊ะ”
พิมพรรณจ้องลึกลงไปในแววตายอดยศ ช่างว่างเปล่า พิมพรรณเศร้า
“พิมไปนะคะ คุณแม่รออยู่ พิมบอกจะมาลาพี่ยศ”
พิมพรรณไป ยอดยศมองมือตัวเอง ไม่เข้าใจ ต้องรู้สึกอะไร รณพีร์ ยืนเท่ห์มองอยู่ แอบสังเกตการณ์ห่างๆมาพักหนึ่งแล้วว่า คู่นี้จะเป็นยังไง รณพีร์ กลุ้มแทนยอดยศ
บ้านพิมพรรณเป็นบ้านหลังใหญ่โต พ่อพิมพรรณเป็นนายพล ตระกูลเก่าแก่ ร่ำรวย พิมพรรณปรับทุกข์กับเพื่อนรักอยู่ในสวน
“เวลาเราจับมือคนที่เรารัก แค่แตะปลายนิ้วเบาๆ หัวใจมันก็รู้สึกได้แล้ว แต่ตอนนี้หัวใจพี่ยอด ไม่รู้สึกกับพิมเหมือนตอนที่เราเริ่มรักกัน”
ไฉไลมองเพื่อนอย่างเห็นใจ
“ฉันสงสารเธอจังเลยพิม”
“วันนี้คุณแม่ชวนพิมไปหาพี่ยอดที่กองบิน ท่านคงทนไม่ไหว อยากถามสาเหตุที่พี่เขาหายหน้าไป”“รัมภาว่านะ พิมควรฟ้องคุณพ่อคุณแม่ ให้ออกหน้าจัดการแทน คุณยอดยศต้องเกรงใจผู้ใหญ่” วิไลรัมภายุ
พิมพรรณตกใจ
“คุณพ่อคุณแม่จะรู้เรื่องพี่ยอดไปติดพันผู้หญิงอื่นไม่ได้ค่ะคุณรัมภา ท่านต้องโกรธมากและคงจะบังคับให้พิมถอนหมั้น พิมสูญเสียพี่ยอดไปไม่ได้ พิมรักพี่ยอด”
วิไลรัมภาถอนใจ
“ไม่ให้ผู้ใหญ่ช่วย แล้วจะใช้วิธีอะไรดึงคู่หมั้นกลับมาล่ะจ๊ะ”
“ความดีไงล่ะคะคุณรัมภา พิมเชื่อว่า ความดีงามของพิม จะพิชิตใจพี่ยอดได้อีกครั้ง”
ไฉไลเห็นด้วย
“ใช่จ้ะพิม หัวใจที่งดงาม เอาชนะได้ทุกสิ่งในโลก”
พิมพรรณเช็ดน้ำตา ไฉไลโอบกอดเพื่อนรัก วิไลรัมภา สมเพชในตัวพิมพรรณและความคิดไฉไล
วันใหม่...รณพีร์แต่งตัวหล่อ จะออกไปหาเพียงขวัญ แจ๋วเก็บที่นอนอยู่พูดจาเย้าแหย่
“คุณชายขา ไม่ต้องหล่อมากหรอกค่า ประเดี๋ยวคุณวิไลรัมภาจะไม่สนใจดูโขน หันมาแลแต่หน้าคุณชาย”
รณพีร์ชะงัก
“โขน...โขนอะไรยายแจ๋ว”
“อ้าว ก็วันนี้คุณชายนัดคุณวิไลรัมภา ไปดูโขนที่โรงละครแห่งชาติ”
คำพูดของวิไลรัมภาแว่บเข้ามา
‘วันเสาร์นี้ที่โรงละครแห่งชาติมีโขน ตอนสุพรรณมัจฉา รัมภาอยากดูก็เลยไปเข้าแถวซื้อ กว่าจะหาบัตรมาได้ ว่าจะมาเรียนเชิญทุกๆคนให้ไปด้วยกันค่ะ’
รณพีร์นึกได้
“อ๋อ...นึกออกแล้ว”
รณพีร์ทำทีหวีแต่งทรงผม ไม่ร้อนอกร้อนใจ แจ๋วเลยสบายใจเดินออกไป
แจ๋วมารายงาน หม่อมเอียดกับย่าอ่อน
“คุณชายรณพีร์ ขับรถฉิวออกไปแล้ว ป่านนี้ไปรับคุณวิไลรัมภาเรียบร้อยแล้วค่ะ”
หม่อมเอียดกับย่าอ่อน ยิ้มพอใจ
วังเทวพรหม...วิไลรัมภาในชุดสวยนั่งอยู่กับเทวพันธ์ เลยเวลานัดมาครู่ใหญ่ วิไลรัมภาหน้าบึ้งตึง มองนาฬิกา
“รัมภาไปดูโขนไม่ทันแล้วล่ะค่ะคุณพ่อ”
เทวพันธ์โมโห
“คุณชายรณพีร์เหลวไหลเลื่อนเปื้อน ผิดนัดแบบนี้ใช้ไม่ได้ พ่อจะไปเอาเรื่องให้...สมหวัง เอารถออก” เทวพันธ์ลุกขึ้น เสียงกร้าว “ฉันจะไปวังจุฑาเทพ”
วิไลรัมภารีบห้าม
“เดี๋ยวค่ะ วิธีบีบบังคับ ออกจะตื้นเขินเกินไป กับคุณชายรณพีร์ ต้องใช้วิธีอื่น”
วิไลรัมภา ใจเย็น คิดใช้แผนอื่นที่เหนือชั้นกว่า
หม่อมเอียดหน้าแหย ไม่ รู้จะแก้ตัวกับวิไลรัมภาอย่างไรที่รณพีร์หายไป ยื่นมือแตะแขนวิไลรัมภา
“ย่าขอโทษ แทนชายพีร์ด้วยนะ”
ย่าอ่อนเดินหน้าหงุดหงิดมานั่ง เพิ่งไปโทรศัพท์มา
“ที่กองบิน บอกว่า วันนี้ชายพีร์ไม่ได้มา ไปไหนของเขานะ”
วิไลรัมภาเสียงอ่อนเสียงหวาน
“พี่ชายพีร์คงติดธุระสำคัญ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ โอกาสหน้ายังมี เรื่องแค่นี้ รัมภาไม่คิดมากหรอกค่ะ”
หม่อมเอียดกับย่าอ่อนมองหน้ากันนึกไม่ถึง
“โถ แม่คุณน่ารักจริง แบบนี้สิคะ ถึงเหมาะเป็นเมียทหาร” ย่าอ่อนชื่นชม
วิไลรัมภาเขิน
“คุณย่า”
“ไม่ต้องอายหรอกลูก ย่าพูดจริงๆ ทหารน่ะมีภารกิจเร่งด่วน บางคราวก็เป็นความลับ ถ้ามีเมียเข้าใจ ก็ไม่ต้องมีเรื่องระหองระแหง จริงไหมคะคุณพี่”
หม่อมเอียดพยักหน้าเห็นด้วย
“ที่มากราบนี่ รัมภาเหงาน่ะค่ะ คุณพ่อกับพี่ ๆ ไม่อยู่ วังเงียบเชียบ ขอรัมภาอยู่กับหม่อมย่ากับย่าอ่อนนะคะ”
“วันเสาร์อาทิตย์ หนุ่ม ๆ สาว ๆ ชอบไปเที่ยว ดูหนัง แต่หนูรัมภากลับชอบอยู่กับคนแก่ มิน่าเล่า คุณชายเทวพันธ์ถึงรักเอ็นดูกว่าลูกสาวคนอื่น”
วิไลรัมภายิ้มรับกระชดกระช้อย
“รัมภาจะนั่งเงียบๆ อ่านหนังสือ ไม่รบกวนหม่อมย่ากับย่าอ่อนค่ะ”
วิไลรัมภาหยิบหนังสือวรรณคดีเรื่องลิลิตพระลอ ออกจากกระเป๋า หม่อมเอียดมองตามแปลกใจพอใจ
“ชอบวรรณคดีไทยรึ”
“ค่ะหม่อมย่า นิยายแปลของนักเขียนฝรั่ง เนื้อเรื่องสนุกก็จริง แต่สำบัดสำนวนปรู๊ดปร๊าด อ่านไม่รื่น สู้กาพย์ฉันท์โคลงกลอนของเราไม่ได้ ในบรรดาวรรณคดีไทยทั้งหมด รัมภาชอบลิลิตพระลอที่สุดค่ะ”
ย่าอ่อนยิ้มปลื้ม
“แหม ใจเดียวกับย่าเอียดเลยจ้ะ”
วิไลรัมภาทำดีใจ
“หรือคะ หม่อมย่าชอบลิลิตพระลอหรือคะ”
ก่อนหน้านี้ เทวพันธ์ยกตั้งหนังสือวรรณคดีไทยมาให้วิไลรัมภา
“อ่านให้หมดลูก หม่อมเอียดชอบวรรณคดีไทย โดยเฉพาะเรื่องลิลิตพระลอ พ่อไปหาที่วังทีไร เห็นอ่านอยู่เล่มเดียว”
วิไลรัมภาพอใจ เตรียมการไว้ก่อนแล้ว หม่อมเอียดหันมาบอก
“เล่มของย่า อ่านแล้วอ่านอีกจนกระดาษเปื่อย”
“งั้นรัมภาอ่านให้ฟังนะคะ”
วิไลรัมภาอ่านกลอนลิลิตพระลอ
“กล่าว ถึงขุนผู้ห้าว นามท่านท้าวแมนสรวง เป็นพระยาหลวงผ่านเผ้า เจ้าเมืองสรวงมีศักดิ์ ธมีอัคเทพีพิลาศ ชื่อนางนาฎบุญเหลือ ล้วนเครือท้าวเครือพระยา สาวโสภาพระสนม ถ้วนทุกกรมกำนัล มนตรีคัลคับคั่ง ช้างม้ามั่งมหิมา”
หม่อมเอียดกับย่าอ่อน ฟังวิไลรัมภาท่องกลอนด้วยน้ำเสียงไพเราะอย่างพึงพอใจ
กองถ่ายหนังนางเสือสาว...เพียงขวัญในชุดนางเสือสาววิ่งหนีจากการโดนไล่ล่า...คนร้าย 2 คนวิ่งตามมาประกบยิง นางเสือสาวยิงตอบโต้เหล่าร้ายไปตาย 1 คน คนร้ายอีกคนโผล่จากชั้นบนยิงลงมา เจ้าพ่อกับบงกชตามออกมาประกบยิงไปที่นางเสือสาว
“เฮ้ย...ตามไปกระชากหน้ากากมันออกมาให้ได้ จับเป็น”
เจ้าพ่อพูดจบดึงบงกชเข้ามากอดไว้ เสียงผู้กำกับสั่ง...
“คัท...เก่งมากทุกคน”
เพียงขวัญ เดินออกมาจากหน้ากล้อง จันท์กระพ้อวิ่งเข้าไปดูแล
“กินน้ำก่อนๆ”
เพียงขวัญลงจากหลังม้าเหนื่อย ปวดขา จันท์กระพ้อเอาน้ำมาให้ มาซับหน้าให้แล้วออกไป รณพีร์จะเดินไปหา ผู้กำกับมาตัดหน้า คุยกับเพียงขวัญก่อน เพียงขวัญไม่เห็นรณพีร์
“หนูขวัญเก่งมาก วันหน้าหนูต้องเป็นราชินีหนังบู๊”
บงกชแสยะหมั่นไส้ เพียงขวัญยกมือไหว้
“ขอบพระคุณค่ะ...เพิ่งเล่นหนังบู๊เรื่องแรก ดิฉันยังต้องฝึกคิวบู๊อีกเยอะค่ะ”
เพ้งเดินมาหาเพียงขวัญ
“เก่งมากหนูขวัญ ยกนิ้วให้”
รณพีร์แอบมองอยู่มุมหนึ่ง
“หนังของเสี่ยเพ้งอีกแล้ว” รณพีร์หงุดหงิด
เพียงขวัญกระซิบอะไรบางอย่างเบาๆ ประมาณว่ามีเรื่องขอคุยด้วยเพ้งยิ้มๆ
“อ๋อได้จ้ะไป...ไป...หาที่นั่งคุยกัน”
รณพีร์เห็นเพียงขวัญกับเพ้งเดินไป เพ้งทำพูดเสียงดังได้ยินกันหมด
“เตรียมฉากต่อไปให้พร้อมนะทุกคน ผมจะไปคุยกับหนูเพียงขวัญก่อน หนูเพียงขวัญเขาอยากคุยด้วย”
เพ้งพูดอวด หนุ่มคนอื่น รณพีร์ยิ่งแค้น
รณพีร์เดินหาเพียงขวัญเห็นเพ้งนับแบงค์ส่งให้เพียงขวัญ รณพีร์แอบดู
“ร้อนเงิน ก็มาหาผมได้ทุกเมื่อ ผมยินดีช่วยหนูขวัญเสมอ”
เพียงขวัญมองเงินในมือ สบายใจ เอาตัวรอดไปได้อีกเปลาะ รณพีร์เซ็งสุดๆว่าแล้ว ว่ายายนี่ต้องแพ้ อีกมุม บงกชเห็นแล้วเช่นกัน
เพียงขวัญเดินกลับมาที่มุมแต่งตัว เอาเงินมาเก็บใส่กระเป๋าถือ รณพีร์เดินตามมา หน้าบูด เสียงเขียว
“ดีนะ มีธนาคารส่วนตัว เบิกได้ทุกเมื่อ บัญชีตัวเองก็ไม่ใช่”
เพียงขวัญอึ้งเล็กน้อย ตานี่มาอีกแล้ว
“นี่เงินค่าตัวเล่นหนังของฉันค่ะ ฉันแค่เบิกมาก่อน”
“เห็นคุณเล่นคิวบู๊เมื่อกี้ ทำงานหนักจริง ทั้งขี่ม้า ยิงปืนเหนื่อยนัก ก็ให้เสี่ยเป็นที่พึ่งถาวรซะเลยสิครับ”
เพียงขวัญงมอหน้า
“คุณพีร์อยากให้ฉันเป็นเมียน้อยเสี่ยเพ้งหรือคะ”
“ชีวิตคุณ คุณต้องลิขิตเองครับ ผมเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ ตกลงคุณเลือกเสี่ยเพ้งใช่ไหมครับ”
เพียงขวัญตอบตรงๆ
“ใช่ค่ะ”
รณพีร์สะดุ้ง อึ้งไป
“คุณอยากให้ฉันตอบแบบนี้ไม่ใช่รึ”
รณพีร์ชักโกรธ
“ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวันนี้คุณมาที่นี่ทำไม ทุกครั้งที่เจอกันคุณก็เอาแต่ถามคำถามพวกนี้ วันนี้ฉันตอบให้แล้ว หวังว่าคุณจะไม่ถามอีก หรือจะให้ดี ไม่ต้องมาคุยกันอีกเลย คุณไปได้แล้ว ไปให้พ้นหน้า ไปสิ”
รณพีร์อึ้งเดินจากไป เพียงขวัญ โกรธจัด น้อยใจ เศร้า
“คนบ้า”
วิไลรัมภายื่นหน้าดูหม่อมเอียด ที่ฟังกลอนจนเคลิ้มหลับ ส่วนย่าอ่อนนั่งสัปหงก วิไลรัมภาหน้าตาเบื่อหน่ายมาก ปิดหนังสือลิลิตพระลอ กรองแก้วกับแจ๋วยกขนมไทยกับน้ำผลไม้มาให้ วิไลรัมภาจิกสายตามองกรองแก้วอย่างดูถูก เกลียดกรองแก้วแทนพี่สาว วิไลรัมภามองคุณย่า คลานออกห่างไปหากรองแก้วเข้าไปใกล้กรองแก้ว มั่นใจว่าคุณย่าไม่ได้ยิน เธอกระซิบ
“อย่างหล่อนก็เป็นได้แค่สะใภ้ที่เขาเอามาเป็นบ่าวสินะ”
กรองแก้วนิ่งๆ ไม่ตกใจ เสียงที่เบาทำให้ได้ยินไม่ถนัด มองหน้าวิไลรัมภา
“คุณว่าอะไรนะคะ”
วิไลรัมภาส่งสายตาเกลียดชังร้ายกาจมาให้ กรองแก้วอึ้งไป หม่อมเอียดกับย่าอ่อน ตื่นขึ้นมา
“ตายจริง ย่าเคลิ้มหลับไป”
“น้องหลับฝันถึงพระลอไปก่อนคุณพี่อีกค่า อ้าวแม่แก้วยกของว่างมารึ ขอบใจนะ”
วิไลรัมภารีบเปลี่ยนท่าที
“คุณกรองแก้ว มารัมภาช่วยค่ะ เป็นถึงสะใภ้จุฑาเทพ ไม่น่าต้องลำบาก เกรงใจเหลือเกิน ทีหลังรัมภาจะขอเข้าไปช่วยในครัวนะคะ”
กรองแก้วมองวิไลรัมภา แปลกใจ นิ่วหน้าไม่อยากเชื่อ ทำไมวิไลรัมภาเป็นมนุษย์ตีสองหน้าแนบเนียนนัก วิไลรัมภา หันมายิ้มให้ อ่อนหวาน กรองแก้วตัดใจไม่อยากยุ่ง กรองแก้วกับแจ๋วลุกขึ้น เดินออกไป วิไลรัมภาหันมาออดอ้อนสองย่า
“ก่อนที่คุณแก้วจะแต่งงานกับคุณชายพุฒิภัทร ได้ยินว่าต้องมาเรียนการเรือนที่วังนี้เป็นนานสองนานใช่ไหมคะ”
ย่าอ่อนยิ้มรับ
“ใช่จ้ะ ย่าน่ะสอนเองกับมือ โฮ้ยกว่าจะได้ขนาดนี้ ต้องอบต้องรมกันอยู่นาน”
“น่าอิจฉาคุณกรองแก้ว ได้อยู่ใกล้ชิด หม่อมย่าและคุณย่าอ่อน เอ...ไม่ทราบว่าคุณย่าทั้งสอง จะกรุณารัมภาเหมือนคุณกรองแก้วได้ไหมคะ”
หม่อมเอียดหันมาถาม
“ยังไงจ๊ะหนูรัมภา”
“รัมภาอยากมาเรียนการเรือนที่วังนี้เหมือนคุณกรองแก้ว อยากขอวิชาความรู้ติดตัว เพื่อที่จะได้เป็น เอ้อ...” วิไลรัมภาทำเขินไม่กล้าพูดว่า สะใภ้จุฑาเทพ
ย่าอ่อนเห็นดีด้วย
“อืม เป็นความคิดที่ดีเหมือนกันนะคะคุณพี่ ไหนๆรัมภาจะเป็นสะใภ้ของจุฑาเทพแล้ว เรียนเสียตั้งแต่ตอนนี้ก็ดีเหมือนกัน”
“ก็ดีนะ มาขลุกที่วังนี่บ่อยๆ ดูซิชายพีร์จะหนีไปไหนได้”
หม่อมเอียดกับย่าอ่อนหมายมาด วิไลรัมภายิ้มพอใจ
ในโรงถ่าย...เพ้งประกาศ...
“ทุกคนฟังอั๊ว วันนี้อั๊วจะหักค่าแรงคนละห้าสิบ”
“พวกเราทำผิดอะไรเหรอครับเสี่ย” เสถาม
“ลื๊อจัดแสงไม่สวย ไม่ถูกใจอั๊ว”
แม่ครัวถามบ้าง
“แล้วฉันล่ะเสี่ย ไม่ได้จัดแสงกับเขาซักหน่อย ทำไมต้องถูกหักด้วย”
“วันนี้กับข้าวลื๊อไม่ถูกปากอั๊ว พวกลื๊อไม่ต้องถามมาก อั๊วรำคาญ”
เพ้งทำทีเป็นเดินหงุดหงิดไป เลี่ยงไม่ให้ถูกซักเหตุผล คมบ่นอย่างไม่พอใจ
“ค่าแรงก็ถูกอยู่แล้ว โดนหักเงินอีก”
บงกชได้ทีรีบยุยง
“ทีกับยายนางเอก เสี่ยให้เบิกเงินค่าตัวล่วงหน้า ฉันเห็นกับตายายเพียงขวัญ ฉอเลาะออเซาะขอเบิกเงินค่าตัวเสี่ยเมื่อกี๊”
แม่ครัวไม่พอใจ
“ฮึ...เสี่ยต้องเอาเงิน ส่วนของพวกเรา ไปประเคนให้นางเอกยั่วสวาทนั่นแน่ กลัวซ้อเหมยฮัวจับได้ ก็เลยมาหักเงินจากพวกเรา”
บงกชยุต่อ
“พวกเรา คงไม่ยอมง่ายๆหรอกใช่ไหม”
แม่ครัวหน้าดุ
“อยากรู้นัก เป็นศัตรูกับคนทั้งกองถ่าย นังหน้าสวย มันจะอยู่ยังไง”
กลุ่มช่างไฟ ผู้ช่วย แม่ครัวและบงกช หมายมาด ก่อการร้าย
จันท์กระพ้อเดินมาที่มุมหนึ่ง ข้าวของของตนเสื้อผ้าเพียงขวัญ กระเป๋าเครื่องสำอาง ถูกโยนออกมาวางที่พื้น ในสภาพแตกบ้างสกปรกบ้างปะปนกับกองข้าวของที่เขาจะทิ้งเป็นกองขยะ จันท์กระพ้อตกใจ
“เฮ้ยอะไรกันเนี่ย ใครทำแบบนี้หา บอกมานะโว้ย”
เพียงขวัญตามมาดูอีกคน
“เมื่อกี๊มันยังอยู่ในห้องแต่งตัวนี่นา”
“ใครเล่นสกปรก แน่จริงก็บอกมาสิวะ นังจันท์กระพ้อคนนี้ เป็นลูกนักมวย ต่อให้เป็นผู้ชายก็ไม่กลัวโว้ย”
คนในกองมุมต่างๆทั้งช่างไฟ ผู้ช่วย แม่ครัว ต่างยิ้มมองมาด้วยความสะใจ บงกชเดินมาดูข้าวของสะใจมาก
“ตายจริง น้องขวัญ คงมีคนเข้าใจผิด คิดว่าเป็นของทิ้งแล้ว” บกชมองเหยียดเพียงขวัญเน้นคำพูด “พวกขยะ น่ะค่ะ”
จันท์กระพ้อไม่พอใจ
“ฝีมือคุณหรือ”
“อุ๊ยเปล่านะคะ พี่ไม่รู้เรื่อง น้องเพียงขวัญไปทำอะไรไว้กับใครล่ะคะ รีบเก็บของเข้าเถอะค่ะ เดี๋ยวเทศบาลมาโกยเอาไป จะลำบากนะคะ อ้อ พี่ไม่ช่วยนะคะ เดี๋ยวมือเลอะ”
บงกชเหยียด เพราะถือว่าตนมีพวก ก่อนจะเดินจากไป จันท์กระมองตามอย่าไม่พอใจ
“ดูมัน ต้องเป็นยายบงกชแน่ จำได้ไหมที่เขาลือกันว่านังบงกชนี่อยากได้บทนางเอกกินรีมาก ไปเทียวไล้เทียวขื่อขอเสี่ยเพ้ง แต่เสี่ยเพ้งยกบทกินรีให้ขวัญ แม่นี่คงโกรธ”
เพียงขวัญมองไปรอบตัวเห็นสีหน้าคนทั้งกองถ่ายที่หยุดกิจกรรมของตนแล้วพากันมองมา สายตาทุกคู่บอกความเกลียดชัง เพียงขวัญเซ็นส์บางอย่างที่มากไปกว่าบงกชแล้ว เธอพึมพำเบาๆ
“เราสองคนแย่แล้วจันท์....อยู่ลำบากแน่คราวนี้”
เพียงขวัญเป็นกังวล
ค่ำนั้น เพียงขวัญวิ่งเข้ามาในตลาด เฮียกำลังจะปิดร้านแล้ว
“เอ้าหนูมาซะดึก”
“ที่บ้านหนูไม่มีข้าวเหลือแล้ว นี่เงินของเก่า ที่เชื่อข้าวสารไว้แล้วนี่ก็ซื้อใหม่จ้ะ”
เพียงขวัญจ่ายเงินเฮียพยักหน้า ไปจัดข้าวสารใส่ถุงให้ แก๊งค์ผู้หญิง ผู้ชายในตลาดนั่งดื่มกันอยู่ที่โต๊ะมุมหนึ่งเมาแล้วเลยปากมาก สร้อยหนึ่งในนั้นตะโกนแซว
“เอ้า แม่นางเอกหนังใหญ่ มาเชื่อข้าวสารเฮียเหมือนกันรึ”
เพียงขวัญทำเป็นไม่ได้ยิน รีบรับของ ก้มหน้าเดินจากไป ทิพย์พูดขึ้นอีกคน
“ไหนใครว่าได้ผัวรวยไปแล้วไง ผัวเป็นผู้อำนวยการสร้างหนังใช่ไหมอีเมี้ยน ที่ช่างไฟกองถ่ายเขาแวะมากินกาแฟร้านเอ็งน่ะ เขาบอกว่าไงนะ”
สร้อยทำจุ๊ปากแต่พูดเสียดัง
“จุ๊ๆ เมียน้อยเขา”
ทั้งหมดหัวเราะคิกๆ เพียงขวัญหน้าแดงอายเสียใจ มือกำถุงข้าวสารแน่นเท้ายังเดินต่อไป
พระจันทร์ส่องสว่างเหนือบ้านสวยงาม เพียงขวัญเดินเข้ามาห่มผ้าให้ยาย แล้วนั่งลงที่พื้น หัวพิงบนตักยายที่หลับไปแล้ว สีหน้าเพียงขวัญเหนื่อยอ่อนมากมาย ยายครึ่งหลับครึ่งตื่น
“ขวัญกลับมานานแล้วหรือลูก”
“จ้า ยาย”
“เหนื่อยไหมลูก”
“ไม่หรอกจ้ะยาย หนูไม่เหนื่อย ขวัญไม่เป็นอะไรจ้ะ ขวัญแค่อยากกอดยาย”
ยายหลับไปอีกครั้ง น้ำตาเพียงขวัญค่อยๆร่วงลงมาแต่แววตาเข้มแข็งไม่ยอมแพ้
วันใหม่...รณพีร์นั่งพักเหม่อแล้วยิ้ม เมื่อนึกถึงที่เพียงขวัญร่วงมา ในอ้อมกอดตน...ภาพที่มือจับกัน ตอนเก็บผักสวนครัว...จ่าละไมทำงานอยู่มองๆ
“หน้าสว่างอย่างกับดาว...ดูดู๊ กะพริบวิบวับ อืม...คนมีความรัก”
สักพักรณพีร์เหม่อไปคิดเรื่องอดีตตอนที่เขาเถียงกับเพียงขวัญแล้วเธอบอกว่าใช่ เป็นเมียน้อย รณพีร์หน้าเศร้าหมอง ละไมชะงัก
“เอ๊า แค่ชั่วอึดใจ ดาวร่วงไปแล้ว เหลือแต่คืนเดือนมืด...อืมไม่ใช่รักเล่นๆ รักจริงเสียด้วย”
รณพีร์เพิ่งได้ยินหันมาว่า
“จ่าละไม เหน็บอะไรผมอีกล่ะ”
จ่าละไมเดินมาเปิดล็อคเกอร์
“หมวดยังดี ไม่มีเหล้าหนีบมาด้วย หมวดยอดยศ ไม่ไหว จะโดนคุกสักวัน ผู้หญิงที่ไหนหรือครับ”
“รู้ได้ไงว่าเรื่องผู้หญิง”
จ่าละไมชี้รูปสาวๆที่ติดไว้ในล็อคเกอร์สามคนชี้ทีละคน
“น้ำร้อน น้ำเย็น น้ำทะเล ผมอาบมาแล้ว”
รณพีร์ยิ้มๆ
“สู่รู้นัก เอ้า...งั้นผมถามก็ได้ แล้วอย่างผมเนี่ย ควรจะทำยังไงต่อ”
“เอ๊า...แล้วคุณเป็นอะไร เจออะไรมา ติดโรคผู้หญิงแล้วแก้ไม่หาย นอนกับผู้หญิงแล้วท้อง มันเรื่องอะไร ผมจะรู้ไหมล่ะขอรับ”
“เอ๊า ก็ไหนทำเป็นเก่ง เก่งจริงก็ต้องตอบได้”
“ไอ้พรรค์อย่างเราเนี่ย เป็นคนเฉยๆ ยังไม่พอ มันยังชอบที่จะเป็นนก เป็นนกเฉยๆ ก็ยังไม่พอ มันยังต้องบินเพื่อปกป้องชาติ ไอ้คนพรรค์เนี้ยความตายอยู่ตรงหน้า ยังหยุดมันไม่ได้เลย แล้วนับประสาอะไร”
จ่าละไมยักคิ้ว รณพีร์คิดตาม มีกำลังใจ ละไมยุให้ลุย
รณพีร์ขับรถกำพลเข้ามาจอด หน้าบ้านเพียงขวัญ หน้าตาสู้ตายจะจีบให้ได้...เขาลงจากรถเข้าไปในบ้าน เจอยายนอนอยู่ แดงถูบ้านขยันเหมือนเคย ยายนอนเจ็บเข่า รณพีร์ยกมือไหว้
“ยายครับ สวัสดีครับ ผมเอาเสื้อคุณลุงชนะมาคืน”
“โอ พ่อพีร์ เอาวางไว้ตรงนั้นล่ะ โอย”
“วันนี้คนอื่นหายไปไหนหมดล่ะครับ”
“วันนี้ไม่มีใครอยู่บ้านเลยลูก นภากับบุหลันเอาเครื่องลิเกไปส่ง พ่อชนะคงไปขลุกอยู่ร้านไฟฟ้าหลังตลาด หนูขวัญก็ยังไม่กลับ”
ระหว่างที่ยายพูด ยายบีบขา บีบเข่าไปด้วย แสดงอาการปวด
“โอย”
“เป็นอะไรครับ เจ็บเข่าหรือครับ”
“อื้อ...หมอเขาให้คอยขยับขา ลุกนั่ง ไม่งั้นจะเดินไม่ได้ แต่คงทำมากไป พ่อพีร์มาก็ดีแล้ว เอายาแก้ปวดตรงนั้น ฉีกซองละลายน้ำให้ยายหน่อย”
“ทำไมไม่ไปหาหมอล่ะครับ”
“ไม่เอา ลำบากเปล่าๆ”
“คุณยายเคยไปหาหมอที่โรงพยาบาลไหมครับ”
“โฮ้ย ไม่เอาหรอก เสียดายสะตุ้งสตางค์ อีกอย่าง ไปอนามัยที ก็ต้องรอพ่อชนะมาอุ้ม เอารถมารับวุ่นวาย”
“มีผมอยู่ ไม่ยุ่งหรอกครับ ไปครับไปหาหมอกัน”
“ไม่เอา ยายไม่มีเงิน”
รณพีร์เอื้อมไปหยิบกระดาษที่อยู่ใกล้ๆ ยาย
“ขออนุญาตนะครับ”
รณพีร์พูดไปเขียนไป
“หมอคนนี้ใจดีครับ ชอบรักษาคนยากจน ไม่เอาเงินหรอกครับ”
“ไม่เอา พ่อพีร์ยายไม่ไป”
“ไปเถอะครับ เชื่อผม...แดง พี่จดชื่อโรงพยาบาลกับชื่อหมอไว้ตรงนั้นนะ ใครกลับมาบ้านก็เอาให้เขาดู บอกว่า พี่พายายไปหาหมอ เดี๋ยวเย็นๆจะพากลับมาส่ง”
แดงพยักหน้า มองกระดาษที่รณพีร์จดไว้ รณพีร์อุ้มยายออกไป
รณพีร์ และยายนั่งรออยู่หน้าห้องตรวจขอโรงพยาบาล คนไข้ออกไป พยาบาลเรียก
“คุณยายผัน จันทร์ประดับ เชิญคะ”
พุฒิภัทรเดินออกมาเจอ รณพีร์กับยายบนรถเข็น พาเข้ามา
“เอ้ามาได้ยังไง ชายพีร์”
รณพีร์รีบพูดกลบเสียงพุฒิภัทร
“สวัสดีครับคุณหมอ ผมชาวนา จากพิจิตร ที่เคยพาย่ามาหาหมอคราวที่แล้วจำได้ไหมครับ”
“หา...” พุฒิภัทรตกใจงง
“นี่ยายเพื่อนผมครับ เจ็บเข่ามาก ช่วยหน่อยนะครับ”
พุฒิภัทรยังงงๆ
“ยายเพื่อนหรือ”
“คุณยายครับ นี่คุณหมอ ม.ร.ว.พุฒิภัทร จุฑาเทพ ผมเพิ่งรู้จักกับท่านเมื่อไม่นานมานี้ ใช่ไหมครับคุณชายหมอ”
พุฒิภัทรตามน้ำ
“เอ่อ สวัสดีครับคุณยาย”
เพียงขวัญวิ่งมาสมทบ เพิ่งมาถึงโถงทางเดิน
“คุณยาย คุณพีร์ คุณยายเป็นอะไรไปคะ กลับถึงบ้านเพิ่งรู้จากแดง ตกใจหมดเลย”
“คุณยายไม่ได้เป็นอะไรครับคุณขวัญ เจ็บเข่าเหมือนเคยๆ ผมเห็นว่าโรคของท่านน่าจะรักษาให้หายขาด ไม่งั้นก็เจ็บเรื้อรัง กินยาทีก็หายที ยาหมดก็เจ็บอีก ก็เลยพาท่านมาที่นี่”
พยาบาลหันมาหาเพียงขวัญ
“เชิญญาติคุณยายค่ะ”
พุฒิภัทร มองเพียงขวัญหัวจรดเท้าแล้วหันมามองหน้ารณพีร์
“เออ...เข้าใจแล้ว...มาสิ ตามมา”
รณพีร์ เพียงขวัญ ยาย นั่งรออยู่ พุฒิภัทรเข้ามามือถือฟิล์มเอ็กซเรย์
“ดูผลจากฟิล์มเอ็กซเรย์บอกว่าหัวเข่ายายมีหินปูนเกาะ ทำให้ปวดมาก”
“มีวิธีรักษาไหมคะคุณหมอ”
“ต้องผ่าตัด ขูดหินปูนออกครับ”
ายกลัวร้องเสียงหลง
“โอ๊ะ ยายไม่ผ่านะลูก ขวัญ อย่าจับยายผ่านะ”
รณพีร์หันมาถาม
“มีวิธีอื่นอีกไหมครับคุณชายหมอ นอกจากผ่าตัด”
“ทุกวันนี้คุณยายขยับทีเจ็บที จึงไม่อยากขยับ ไม่อยากเดิน ปล่อยไว้อย่างนี้ขาจะลีบเดินไม่ได้ ที่ออกกำลังขาอยู่นี่ ก็ยังเจ็บ อีกหน่อยก็จะเลิกขยับ คราวนี้จะเดินไม่ได้ถาวร ถ้าอยากให้คนไข้หายขาด ก็ต้องผ่าตัดครับ”
“จริงหรือคะ เดินได้เลยหรือคะ ใช้เงินเท่าไหร่คะ” เพียงขวัญยิ้มมีหวัง สนใจมาก
“ประมาณหมื่นห้าพันบาทครับ”
ยายกุมขมับ
“โฮ้ยจะเป็นลม”
เพียงขวัญเศร้า ครุ่นคิด
“การผ่าตัดเป็นการรักษาที่ต้นเหตุ แต่กินยาเป็นการรักษาที่ปลายเหตุ คุณพร้อมเมื่อไหร่ ค่อยมาผ่าก็ได้”
“ถึงมีเงินก็ไม่ผ่า พิลึก เข่าคนดีๆ จะเอามีด เอาเลื่อยมาผ่า หมอหน้าตาก็ดี หล่อเป็นถึงหม่อมแหม่ม แต่ใจร้าย” ยายเสียงดุใส่พุฒิภัทร
เพียงขวัญปราม
“ยาย”
พุฒิภัทรหัวเราะ
“วันนี้ผมจะจ่ายยาให้ไปก่อน ยาของหมอ มีทั้งยากินและยาทา เป็นยาฝรั่ง ที่รักษาอาการนี้โดยตรง ดีกว่ายาแก้ปวดที่คุณยายกินอยู่”
“งั้นดิฉันขอแค่ยาก่อน ส่วนเรื่องผ่าตัด ดิฉันจะกลับไปคิดดูค่ะ”
รณพีร์แอบมองท่าทางเพียงขวัญมองอย่างเห็นใจ พุฒิภัทรออกไป รณพีร์ตามออกไปด้วย
เพียงขวัญเข็นยาย รณพีร์และพุฒิภัทรตามมาห่างๆ
“ขอบคุณนะครับพี่ชายภัทร ที่ช่วยปกปิดให้”
“ชาวนาจากพิจิตรเนี่ยนะ”
“ผมก็แค่...เอ้อ แค่จะลองใจคนบางคน”
“ผู้หญิงหน้าหวานหลานยายใช่ไหมล่ะ สนใจเขาล่ะสิ”
“โฮ้ย ไม่ใช่หรอกครับ คนนี้ไม่ใช่”
“ไม่ใช่ได้ยังไง ถึงขนาดพายายเขามาหาหมอ แล้วเงินหมื่นห้าเนี่ย จะเอายังไง จะเจ้าบุญทุ่มให้เขาหรือเปล่า พี่จะได้ไปเตรียมห้องผ่าตัด”
รณพีร์คิดๆ สีหน้าจริงจัง
“ไม่...ดีกว่า เงินหมื่นห้านี่แหล่ะ ผมอยากรู้ ผู้หญิงคนนี้ เขาจะยอมขายศักดิ์ศรี ขายตัวเอาเงินมารักษายายหรือเปล่า จะได้รู้กันในคราวนี้”
“ตกลงนี่แกไม่ได้อยากรักษายายหรอกรึ”
“เรื่องรักษา ยังไงผมก็จ่ายอยู่แล้ว ยังไงก็ต้องรักษา แค่ประวิงเวลาหน่อยดูใจคนแค่นั้นเอง”
พุฒิภัทรงง อะไรของเขานักหนา
“จะดูไปทำไม จะดูอะไร ถ้านายไม่ได้สนใจเขา...หือ”
“ก็รู้ๆ อยู่ พี่ชายภัทรจะถามทำไมเหรอครับ”
รณพีร์เดินไป พุฒิภัทรยิ้มๆ น้องชายติดหญิงอีกแล้ว รณพีร์วิ่งออกไป
“คุณยายครับ เพียงขวัญ รอผมด้วย”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 2 (ต่อ)
คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 4
ยายนอนหลับขณะที่รณพีร์บีบนวดให้ ห่างออกไป นภา บุหลันและเพียงขวัญคุยกัน
“หมอเขาบอกว่าจะเดินได้เลยหรือลูก” นภาถาม
“หมื่นห้า ถ้าตั้งใจหาจริงๆ ก็หาได้ นี่ขวัญจองคิวคุณหมอไว้แล้วนะแม่ อีกประมาณหกเดือน ยายจะต้องกลับมาเดินเหมือนคนปรกติ ไม่ต้องทรมานอีก” เพียงขวัญบอกอย่างมุ่งมั่น
รณพีร์ได้ยินแล้วยิ้มน้อยๆ ประมาณว่า อย่างเธอจะหามาจากไหน ไม่ต้องให้ฉันช่วยจริงรึ มือยังบีบนวด บุหลันขัดขึ้น
“พูดออกมาได้ว่าเงินไม่มาก ข้าวจะกรอกหม้อแต่ละวัน เหนื่อยสายตัวแทบขาด ยังหาไม่ค่อยจะได้”
นภาหันมามองรณพีร์
“พ่อพีร์นี่เขาช่างดีจริงๆนะ อุตส่าห์พายายไปหาหมอถึงโรงพยาบาล”
เพียงขวัญมองรณพีร์ รู้สึกขอบคุณในใจเช่นกัน แต่เธอไม่ได้ไว้ใจรณพีร์มากนัก เพราะเคยด่าเธออยู่ เหมือนคนอื่นๆ ประณตเดินมา กลับมาจากโรงเรียนพักใหญ่ ในมือถือเครื่องบินมาด้วย
“เอ้า คุณมาทำไมอีกเนี่ย วุ่นวายไม่เลิก”
นภากับบุหลันเดินเข้าไปแล้ว เหลือเพียงขวัญเดินมาหารณพีร์
“คุณพีร์เขากำลังจะกลับพอดี”
ประณตหันกลับมา
“รีบกลับไปเลย รีบกลับไปเลย”
ประณตขึ้นเรือนไปพร้อมกับบุหลัน รณพีร์หันมาหาเพียงขวัญ
“อ๋อ...ผมกลับก็ได้ครับ”
“วันนี้ขอบคุณมากนะคะ”
ทั้งสองมองหน้ากัน เพียงขวัญสายตาขอบคุณจริงจังแต่ยังห่างเหิน ยังมีวี่แววระวังตัว
“อืม...ในเมื่อคุณไม่อยากให้อยู่ ผมก็ไม่อยู่...คุณยาย ผมลานะครับ”
ยายร้องอื้อ ยกมือรับแล้วนอนต่อเพราะเหนื่อยมาก รณพีร์ก้มลงไหว้แบบชาววัง เหมือนเคย กำลังลายาย เสียงนภาดังมาจากในครัว
“ว้า หลุดอีกแล้ว”
นภาตักปลาทอดขึ้นจากกระทะ เอื้อมมือหยิบกระชอน เพื่อกรองน้ำมันออกจากปลาราวไม้อันใหญ่ไว้แขวนกระชอน และทัพพี ห้อยตก รณพีร์เข้ามาขยับไม้ระแนง
“ตะปูหลุดหน่อยเดียว” รณพีร์หันไปบอกเด็กหญิง “ช่วยไปเอาค้อนกับตะปูมาให้พี่ที”
เด็กผู้หญิงวางมือจากเด็ดพริก เดินออกไปหยิบแล้วเดินกลับมา เพียงขวัญเข้ามาดู
“นี่คุณ งานแค่นี้ ฉันทำเป็น ฉันทำเองได้”
เพียงขวัญแย่งเครื่องมือมาถือไว้ นภาปราม
“ขวัญลูก ให้พ่อพีร์เขาช่วยดูให้มั้ยลูก”
เพียงขวัญเซ็ง ยังไม่ยอมยื่นเครื่องมือให้ รณพีร์แอบมองนภา พูดเบาไม่ให้นภาได้ยิน
“ผู้หญิงสวยๆอย่างคุณน่ะ ไม่ต้องหัดหรอกของพวกนี้ อีกหน่อยแต่งงานไป เดี๋ยวมีคนทำให้ เอาเวลาไปหาผู้ชายดีๆ กระเป๋าหนักๆ”
เพียงขวัญยื่นไขควงแบบทิ่มพรวดใส่ รณพีร์สะดุ้ง
“เฮ้ย จะทิ่มปากผมอยู่แล้ว”
เพียงขวัญสะใจ
“ก็ตั้งใจจะให้โดน อยากคิดยังไงเรื่องฉันก็คิดไปเถอะ ฉันไม่สนใจหรอกพวกคุณ ไม่ได้มาให้ข้าวฉันกินนี่ ฉันหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเองทั้งนั้น จะสนใจทำไม”
“ถ้าไม่สนใจ วันนั้นร้องไห้ทำไม”
เพียงขวัญนึกออกเรื่องที่ตนร้องไห้ตอนอ่านบท เธอโกรธ ศอกใบหน้ารณพีร์ที่อยู่ข้างๆกันทันที รณพีร์หลบวูบ
“โห ศอกเลยหรือ”
“ผู้หญิงเยอะแยะ ไม่ได้จบลงด้วยการเป็นเมีย ตราบใดที่เลี้ยงตัวเองได้ เราอยู่ตัวคนเดียวได้ สบายเสียอีก”
“หา อยากอยู่ตัวคนเดียว มีผู้หญิงคิดแบบนี้สักกี่คนกัน แปลกจริงคนบ้านนี้ กำลังว่าจะถาม คุณพ่อคุณ คุณพ่อประณต ไม่อยู่หรือครับ”
นภาชะงักมือ เศร้าลง จนรณพีร์หน้าเสีย ก้มหัวขอโทษนภา
“ขอโทษครับ ผมพูดมากไป”
เพียงขวัญมองหน้าไม่พอใจ
“เมื่อกี๊ศอก ต่อไปอยากโดนค้อนตอกหน้ามั้ย”
รณพีร์ยักคิ้ว กวนมาก เพียงขวัญโมโห ฉวยพัดที่วางอยู่ เขวี้ยงใส่ นภาตกใจ
“ยายขวัญ ทำอะไรอย่างนี้น่ะลูก”
รณพีร์หัวเราะถูกใจ เก็บพัดขึ้นมาโบกพัดให้เพียงขวัญ
“ก็เขากวนหนู แม่ก็เห็น”
รณพีร์ยังทำหน้าเป็น เพียงขวัญฮึดฮัดต่อ
“อ่ะๆ ยอมๆ ไม่กวนแล้ว”
รณพีร์จัดการขันน็อต ราวไม้ให้แน่น เขาดูกลมกลืนกับบ้านนี้มากขึ้นทุกที สามารถเข้ากับทุกๆคนได้อย่างน่าทึ่ง
“เอ๊ะ เราสองคนนี่แปลก ทะเลาะกันเหมือนคนรู้จักกันมานมนาน ไปรู้จักกันตอนไหน หือ”
นภามองสองคนไม่ได้คิดอะไรมาก ทั้งสองชะงักมองหน้ากัน สบตา รณพีร์นึกถึงคำพูดรัชชานนท์
‘ความรักสำหรับพี่ เหมือนพี่...อืม ไม่มีอะไรขาด ไม่มีอะไรเกิน สำหรับคนอื่นอาจมากไป น้อยไป แต่คนนี้ มันพอดีไปหมด พอดีสำหรับเรา’
เพียงขวัญเอง ก็เริ่มรู้สึกในสิ่งเดียวกัน สบตารณพีร์นิ่งไปครู่หนึ่ง รณพีร์ฉวยค้อนมาช่วยซ่อมแทน ก่อนจะรู้สึกตัว
ตลอดวัน รณพีร์กลมกลืนกับครอบครัวเพียงขวัญได้ดี ทั้งสองเก้อเขินกันเล็กน้อย..รณพีร์กำลังลาคุณยาย
“ผมลาแล้วครับคุณยาย จะแวะมาหาบ่อยๆ นะครับ อย่าลืมทานยาและทายาแล้วก็คุณชายหมอด้วยนะครับ”
ประณตเข้ามาชุดสบายขึ้น มือถือเครื่องบินร่อน เห็นรณพีร์
“อ้าว สรุปว่ายังไม่กลับอีกเหรอเนี่ย อยากอยู่ให้มีเรื่องหรือไง”
“กลับแล้วครับ”
“ชอบเครื่องบินหรือ”
รณพีร์บอกรุ่นของเครื่องบิน ประณตแปลกใจ
“ทำไมคุณทราบล่ะ”
“ผมเป็นนักบิน ไม่ทราบได้ยังไงล่ะครับ”
รณพีร์เดินออกไป
“นักบิน”
ประณตนัยน์ตาพราว รีบเดินตาม คาใจมาก...รณพีร์นั่งลงใส่รองเท้า ประณตไม่แน่ใจ
“คุณน่ะเหรอ เป็นนักบิน”
“ครับ กองบิน 1 ฝูงบิน 13”
ประณตตื่นเต้น
“ฝูงบินขับไล่ ไอพ่นทิ้งระเบิด”
รณพีร์พยักหน้า
“เอฟ 86 เอฟ”
ประณตยิ้มครู่หนึ่งแล้วหรี่ตามอง
“ผมไม่เชื่อคุณง่ายๆหรอก ขี้โม้”
“ไม่เชื่อก็ตามใจซิ”
รณพีร์เฉยๆ ยิ่งทำให้ประณตคลางแคลง
“ถ้าจะให้เชื่อ ก็ต้องพาผมไปดูเครื่องบินสิ”
“ก็ได้ครับ จะไปเมื่อไหร่ล่ะ”
“คุณเป็นจริงเหรอ” ประณตยังไม่เชื่อ
“ที่ทำงานผมมีเครื่องบินหลายรุ่นเลยนะ อยากไปเที่ยวเมื่อไหร่ก็บอก จะได้พาไป”
เพียงขวัญออกมาเจอประณตคุยกับรณพีร์
“ประณต เรารบกวนคุณพีร์เขามามากแล้ว เกรงใจเขาบ้าง เขาคงอยากกลับบ้านเต็มแก่แล้วแหละ”
ประณตมองรณพีร์นิ่ง ยกมือสวัสดีรณพีร์เป็นครั้งแรก
วังจุฑาเทพ...
วิไลรัมภาเรียนทำอาหารจากย่าอ่อน สมศรีคอยช่วยหั่นผัก เป็นลูกมืออยู่มุมหนึ่ง
“โขลกให้ละเอียด น้ำพริกลงเรือ จะให้ดี ต้องออกหวาน”
“พี่ชายพีร์ชอบหวานหรือคะ”
ย่าอ่อนพยักหน้า
“ออกหวาน ออกเปรี้ยว ไม่เค็ม อาหารทุกอย่างต้องหวานนิดๆติดปลายลิ้น หวานมากก็ใช้ไม่ได้ ต้องกลมกล่อม”
วิไลรัมภาพยายามท่องตามจดจำไว้
“พี่ชายพีร์ไม่ชอบเค็ม ชอบหวานและเปรี้ยว แล้วหม่อมย่าเอียด กับย่าอ่อนล่ะคะ ชอบแบบไหน รัมภาจะได้ทำได้ถูก”
ย่าอ่อนยิ้มดีใจอุตส่าห์นึกมาถึงคนแก่
“น่ารักจริงลูก คุณพี่ชอบหวานมัน พวกแกงกะทินี่ชอบมาก ส่วนของย่า ชอบเผ็ดหน่อย ย่ามันคนจัดจ้านกว่าใครเขา แต่ก็อย่ามากนะจ๊ะ เรามันสูตรชาววัง รสอะไรล้ำออกมา เกินหน้าออกมา ใช้ไม่ได้”
“ย่าเอียดชอบหวานมันถึงกะทิ ย่าอ่อนชอบเผ็ดนิดๆ รสจัดจ้านขึ้นมาหน่อย”
วิไลรัมภาท่องจำอีก มือก็ทำไป ย่าอ่อนยิ้มพอใจลูบหัวรักใคร่
“กะทิมากไปมันก็ไม่ดีนะจ๊ะ ให้หม่อมย่าเอียดเลี่ยงมั่งก็จะดี คนมีอายุแล้ว”
วิไลรัมภาคิดถึงแผนการต่อไป
ค่ำนั้นอาหารตั้งบนโต๊ะ วิไลรัมภานั่งอ่านลิลิตพระลอให้ หม่อมเอียด ย่าอ่อนฟัง สมศรีคลานเข้ามา
“ดึกแล้ว ยังไม่กลับ วันนี้สงสัยคุณชายรณพีร์ จะนอนที่กองบินนะคะ”
“ได้ยังไงกัน คุณวิไลรัมภาทำอาหารไว้ตั้งมากตั้งมาย” ย่าอ่อนเสียงเขียว
วิไลรัมภายิ้มอ่อนหวาน
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ สมศรี เปิดสำรับเถอะ คุณย่าทั้งสองหิวแล้ว”
หม่อมเอียดเห็นใจ
“หนูก็เลยเหนื่อยเปล่า”
“ไม่มีอะไรทำให้รัมภาเหนื่อยหรอกค่ะ ความรู้ทั้งนั้น แค่ได้เรียนวิชาชาววังจากหม่อมย่าทั้งสอง รัมภาก็มีความสุขแล้วค่ะ พรุ่งนี้รัมภามาเรียนอีกนะคะ”
หม่อมเอียด กับย่าอ่อนยิ้มพอใจ
ขณะทานอาหารด้วยกัน วิไลรัมภาประจบ ตักกับข้าวเอาใจหม่อมเอียด ย่าอ่อน ท่าทางแบบคนเรียบร้อย อ่อนหวาน
‘ความรักสำหรับฉันไม่มีคำว่า พอดี มีแต่คำว่ามาก...มากเท่าที่จะมากได้...สักวันหนึ่งเถอะ มันจะมาก...มากจนกระทั่ง คุณชายรณพีร์ไม่อาจปฎิเสธ’ วิไลรัมภาครุ่นคิดในใจ
ในห้องนอน นภาหยิบของในตู้เสื้อผ้า ล้วงมือเข้าไปลึกสุด หลังตั้งพับเสื้อผ้า นภาซ่อนของสิ่งนี้ไว้ทั้งจากคนอื่น และตัวเอง เธอหยิบกล่องไม้เล็กมีถุงกำมะหยี่อยู่ข้างในออกมา มองอย่างชั่งใจ ไม่อยากเห็น แต่วันนี้จำเป็นต้องมองเจ้าสิ่งนี้อีกครั้ง นภาหยิบจี้รูปหัวใจ ทำจากทองคำแท้ ออกมาจากถุงผ้า มองจี้ น้ำตาเริ่มเอ่อ จี้อันนี้ ชายอันเป็นที่รัก มอบให้แทนใจ แต่มีอันต้องพลัดพรากกันไป นภาทำใจให้เข้มแข็งตัดใจ
นภามาหาเพียงขวัญที่ชั้นล่าง ส่งจี้ทองคำรูปหัวใจให้...
“เอามันไปขายเถอะ จะได้เอาเงินมาช่วยค่าผ่าตัดยาย”
เพียงขวัญกับยายมองหน้ากัน รู้ว่าจี้อันนี้มีคุณค่าทางจิตใจนภามาก เพียงขวัญรู้เรื่องทุกอย่างของทุกคน ไม่ได้ปิดบัง ยายรีบบอก
“เก็บไว้เถอะนภา”
“เก็บไว้ ก็ไร้ค่าสู้ขายไป ยังพอมีราคาค่างวดจ้ะแม่” นภาหน้าเศร้า
“ไหน ขอฉันดูสิ” บุหลันฉวยจี้จากมือนภา มาดูใกล้ ๆ
“โอ๊ะ นี่จี้ของนายอดุลย์พ่อยายขวัญให้นี่นา ไอ้ฉันก็นึกว่าพี่ขายทิ้งไปแล้วเสียอีก เห็นพร่ำว่าไม่อยากเห็นหน้าเจ้าของเป็นนักเป็นหนา แต่ก็ยังแอบเก็บไว้ ก็แสดงว่ายังทำใจไม่ได้”
นภาหน้าเสีย โดนบุหลันพูดแทงใจดำ
“โธ่พี่...โดนเขาทำ เจ็บอย่างนี้แล้ว ยังอาลัยอาวรณ์อยู่อีก ใจอ่อนอย่างนี้ไงเล่า ถึงโดนเขาหลอกเอาง่าย ๆ”
นภาเคือง ย้อนไปบ้าง
“ของที่ซ่อนไว้ในกล่องที่ลิ้นชัก ข้างจักรเย็บผ้านั่นล่ะ อย่าคิดว่าพี่ไม่เห็นนะ พี่ไม่อยากพูดแทงใจดำเธอเอง”
“ของอะไร ในกล่องฉัน มีแต่เข็มกับด้าย”
บุหลันเป็นฝ่ายหน้าเสียบ้าง
“เราหลอกคนอื่นได้ แต่หลอกตัวเองไม่ได้นะบุหลัน”
บุหลันยังเถียง
“ฉันไม่เคยหลอกตัวเอง”
“พี่ก็ไม่ได้หลอก พี่หมดรักพ่อยายขวัญไปนานแล้ว”
“ฉันก็ไม่ได้คิดถึงพ่อตาณตเหมือนกัน”
ยายรีบสงบศึก
“พอเถอะ แม่นภา แม่บุหลันด้วย เราสองคนมันก็ครือกันนั่นแหละ”
คำพูดยาย กระแทกใจอย่างจัง นภากับบุหลัน รวมทั้งยายเอง เงียบกริบไปทั้ง 3 คน ต่างมีรักฝังใจเจ็บปวด เพียงขวัญหันมาบอกแม่
“เก็บไว้เถอะแม่จ๋า ยังไม่ถึงวันผ่าตัด ถึงวันนั้นขวัญคงหาเงินได้พอดีนะจ๊ะ”
เพียงขวัญ วางถุงใส่ทอง ใส่มือแม่กุมมือไว้
เพียงขวัญเดินเข้ามาในห้องนอน มองแล้วว่า นภาไม่ได้ตามมา เธอเปิดลิ้นชักมองจดหมาย สองสามฉบับในมือเป็นจดหมายของอัทธ์...ทำให้คิดถึงพ่อ...เธอมองจดหมายในมือ หยิบจดหมายออกมาดู แต่ยั้งไว้...
เช้าวันใหม่...ยามเช้าจันทร์กระพ้อพานักมวยในค่ายออกมาวิ่ง ประณตกำลังจะไปโรงเรียน
“สวัสดีครับพี่จันทร์กะพ้อ...พี่จันทร์กระพ้อ”
“ประณต กลับไปลงนวมต่อแล้วเตรียมตัวให้พร้อมนะ บ่ายไปราชดำเนินกัน”
เพียงขวัญนั่งแต่งหน้าอยู่ ในกองถ่ายนางเสือสาว กับเพื่อนนักแสดง เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นที่มุมหนึ่ง นักแสดงที่เล่นเป็นเจ้าพ่อเข้าไปรับ แล้วหันมาเรียก
“หนูขวัญจ๊ะรับโทรศัพท์จ๊ะ”
เพียงขวัญเดินก้มๆมารับโทรศัพท์
“ฮัลโล...สวัสดีค่ะ เพียงขวัญพูดค่ะ”
จันทร์กระพ้อแต่งตัวรัดกุม เตรียมพานักมวยออกไปชกยืนคุยโทรศัพท์อยู่ในค่าย
“ขวัญวันนี้เราไปเป็นเพื่อนไม่ได้นะ พ่อให้พานักมวยออกไปชกที่ราชดำเนิน”
“ไม่เป็นไร เราดูแลตัวเองได้”
“เมื่อกี้ฉันเจอตาประณต เห็นบอกเมื่อวาน พายายไปหาหมอเหรอ เป็นยังไงบ้างล่ะขวัญ”
เสี่ยเพ้งเข้ามาดูความเรียบร้อย เห็นเพียงขวัญคุยโทรศัพท์อยู่ก็เดินเข้ามาหา
“เข่าเสื่อม ถ้าไม่ผ่าตัดยายก็จะเดินไม่ได้ คุณหมอท่านหนึ่ง ท่านบอกว่าผ่าตัดยายได้แต่ต้องใช้เงิน หมื่นห้า สำหรับการผ่าตัด”
“โห...ตั้งหมื่นห้าแน่ะ”
“ก็ภาวนาให้หนังสองเรื่องนี้ ประสบความสำเร็จเราจะได้มีเงินมา”
เสียงเสี่ยเพ้งโวยวายขึ้น
“เอา...เอา...ไปเข้าฉากกันได้แล้ว สายแล้ว”
เพียงขวัญรีบพูดกรอกสาย
“แค่นี้ก่อนนะจันทร์ ต้องไปเข้าฉากแล้ว แล้วเจอกันนะ”
จันทร์กระพ้อได้แต่ถอนใจ สงสารเพื่อน
ช่างไฟและทีมงาน เซ็ทฉาก บงกชอยู่แถวนั้นใส่ชุดเตรียมแล้ว เพ้งเดินมานั่ง ยังยิ้มกริ่มเรื่อง จะหาทางเอาเพียงขวัญมาเป็นเมีย ด้วยการเอาเงินค่าผ่าตัดให้ ประไพศรีเอารายการค่ากับข้าวมาเบิก
“นี่จ้ะเสี่ย ค่ากับข้าววันนี้”
“ป้าไพออกไปก่อน เดี๋ยวอาทิตย์หน้าจ่ายให้ ค่าคิวไฟเอ็งด้วยไอ้เส เดี๋ยวอาทิตย์หน้ามาจ่าย”
ประไพศรีกับเส อึ้งโกรธ บงกชเดินเข้ามาออกหน้าจัดการให้
“ทุกคนต้องกินต้องใช้นะคะเสี่ย”
“ก็บอกว่าอาทิตย์หน้าไง เดี๋ยวเบิกมาให้”
“งั้นเดี๋ยวหนูโทรไปถามอาเหมยฮัวนะ ว่าทำไมต้องจ่ายอาทิตย์หน้า”
เพ้งตกใจ
“เฮ้ย...ลื้ออย่านะ เสี่ยคอขาดแน่นอน”
“อ้าว...ทำไมล่ะเสี่ย”
“ถ้าอีรู้ว่าอั๊วะเอาตังค์ไปให้ค่าตัวแม่เพียงขวัญก่อน อีเอาอั๊วะตายแน่ๆ”
ทีมงานมองหน้ากันทันที ประไพศรีโวย
“เอาไปให้แม่นางเอกนั่น แล้วของฉันต้องจ่ายไปเองก่อนงั้นเหรอ มันไม่ถูกนะ ถ้ามันเป็นอย่างนี้เนี่ย ฉันว่า...”
เพ้งหน้าตึงดุ
“ยายประไพศรี แกจะทำอะไร”
เสสะกิด ปรามประไพศรีเสียงเบา
“พูดมาก ก็ทะเลาะกันเปล่าๆ”
ประไพศรีเสียงเข้ม ค้อนๆ
“อาทิตย์หน้าก็อาทิตย์หน้า”
“เฮอะ งานน่ะ ทำให้มันดีๆกันหน่อยเถอะ”
เพ้งทำฟึดฟัด ดุๆทุกคนแล้วเดินหนี ไม่มีเงินเลยทำโวยใส่คนอื่น ประไพศรีแค้นๆ
“หนอย แม่นางเอกจอมมารยา วันนี้คงมาบีบน้ำตาขอเงินเสี่ยอีกแล้ว”
บงกชได้ทีรีบยุยง
“พวกเรายอมให้เป็นแบบนี้ต่อไปไม่ได้...เราทำงานกับยายนี่ไม่ได้แล้ว เพียงขวัญต้องออกไปจากวงการ ต้องหานางเอกใหม่ เราต้องช่วยกัน”
ทุกคนพยักหน้ากลายเป็นพวกเดียวกับบงกช
ประไพศรี นำอาหาร มาให้ทีมงานทานข้าวกันอยู่ ประไพศรียกถาดอาหารที่เป็นข้าวบูดมาให้เพียงขวัญที่เดินมานั่งเธออ่านบทไปด้วย เพียงขวัญตักกินก็ชะงัก
“พี่ไพ นี่มันข้าวบูดนี่คะ”
เพียงขวัญมองในช้อน ประไพศรีหัวเราะสะใจกับทีมงานทั้งทีม เพียงขวัญเซ็งวางช้อนกินไม่ได้ มีเรื่องอีกแล้ว ประไพศรีทำไม่รู้ไม่ชี้
“อ้าวเหรอ เสี่ยไม่จ่ายเงิน ข้าวมันก็เลยอารมณ์เสีย กินได้มั้ยล่ะ”
เพียงขวัญเดินมา เตรียมเข้าฉากนางเสือสาว เส ยกไฟผ่านมา ทำท่าขวางทางเพียงขวัญบัง
ซ้ายทีขวาที เสพูดใส่กวนๆ
“นางเสือสาวมีเรื่องกับช่างไฟระวังหน้ามืดนะ”
เพียงขวัญโวย
“โอ๊ย ระวังหน่อยสิพี่”
เสหัวหน้าทีมช่างไฟมองเพียงขวัญ ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่ขอโทษ เพียงขวัญโกรธ ได้แต่มองดุๆ
บงกชกับเพียงขวัญแต่งชุดชาวไร่พร้อมแล้ว กำลังฟังผู้กำกับอธิบาย
“ในเหตุการณ์ เราจะเห็นสมุน 2 คนนี้จับตัวเพียงขวัญ เพราะเข้าใจว่ารู้เบาะแสที่ซ่อนของนางเสือสาวจึงนำตัวมาให้ จรัสศรี รีบบอกความจริงออกมา และเมื่อออกมาถึงก็ให้จรัสศรีชักปืนออกมาตบเพียงขวัญ ให้รับความจริง ตบผ่านๆหน้านะ เพราะ2มุมกล้องจะช่วยอยู่แล้ว โอเค...เดี่ยวเอาจริงเลย ทุกคนเข้าใจนะ กล้อง...เสลท...แอคชั่น”
สมุนทั้งสองคน นำตัวเพียงขวัญเข้ามาในชุดกระโปรง บงกชที่เล่นเป็นจรัสศรีตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อ
“แกเห็นใช่มั้ยว่าอีนางเสือสาวมันหนีไปทางท้ายไร่ แล้วมันหลบไปทางไหน”
เพียงขวัญนั่งสลับตัวพร้อมพูด
“แกมีตาก็ไปหาดูเอาเองซิ”
“อีนางนี่”
บงกชกระชากปืนออกมาตบที่หน้าเพียงขวัญฉาดใหญ่ ผู้กำกับตะโกนลั่น
“คัท”
“เสียงตบนี่หว่า”
เสคุยกับประไพศรีและทีมงาน ตกใจที่บงกชตบจริง บงกชแสยะยิ้มร้ายใส่จ้องตากันเพียงขวัญอดทน ผู้กำกับไม่รู้เรื่องรู้ราว
“คัท...สวยมาก ผ่าน...ใช้ได้”
ประไพศรีอึ้ง
“คุณบงกชตบจริง เสียงลั่นมาถึงนี่”
ผู้กำกับก้มลงอ่านบท
“คัทต่อไปเลยนะ”
บงกชยิ้มเยาะจะไป เพียงขวัญโกรธลุกขึ้นถาม
“คุณแกล้งฉัน คุณจงใจตบจริง”
“อย่างหล่อนโดนซะบ้างก็ดี เสี่ยเพ้งเค็มอย่างกับเกลือไม่ได้จับไม่ได้จูบ มีหรือจะให้หล่อน เบิกเงินล่วงหน้า เห็นมานักต่อนักแล้ว ผู้หญิงก้นไวอย่างหล่อน ลงท้ายไม่พ้นเป็น...เมียน้อย”
เพียงขวัญปรี๊ด ผลักไหล่บงกช
“คุณดูถูกฉัน ฉันไม่ได้เป็นเมียน้อยใคร”
รณพีร์เพิ่งมาถึงเดินเข้ามาเห็นเข้า
“อีนี่”
บงกชตบหน้าเพียงขวัญเปรี้ยง แล้วกดเพียงขวัญลงพื้น ขึ้นคร่อมเพียงขวัญ ตบหน้า เพียงขวัญตบกลับ สู้กัน ผู้กำกับเงยหน้ามามอง
“เอ้า...เฮ้ย ยังไม่ได้สั่งอะไรเลย ตบกันทำไม”
รณพีร์บุกเข้าไปปกป้องเพียงขวัญก่อน ดึงเธอออกมา
“นี่หยุดๆ หยุดเดี๋ยวนี้ หยุดๆ มีอะไรก็พูดกันด้วยเหตุผลสิ”
จรณเข้ามา
“ใช่ๆ พวกคุณทำแบบนี้ได้ยังไง เพื่อนร่วมงานกันทั้งนั้นนะ”
จรณดุใส่ ประไพศรีกับเส ก้มหน้ากลัว ได้สติขึ้นมาหน่อย...เพ้งเดินเข้ามาดู
“เฮ้ย...พวกลื้อทำอะไรเพียงขวัญของอั๊วะ” เพ้งชี้รณพีร์ “แล้วคุณเข้าไปทำอะไรในฉากของอั๊วะ”
ผู้ช่วยผู้กำกับเข้ามาบอก
“คุณบงกชตบคุณเพียงขวัญจริงๆ ก็เลยเกิดเรื่อง”
บงกชเถียง
“เอ๊า คนเรามันก็ต้องมีผิดคิวกันบ้าง”
ผู้ช่วยกำกับฟ้อง
“คุณเพียงขวัญโดนตบจริงๆ ไปตั้ง 2 ครั้ง”
“เอ๊าไหงเป็นอย่างนั้นล่ะ” เพ้งหันไปด่ารณพีร์ให้ปล่อยเพียงขวัญ “นี่ลื้อปล่อยมือได้แล้ว...อั๊วะดูแลนางเอกของอั๊วะเอง” เพ้งหันไปด่าทีมงานต่อ “แล้วพวกนี้เป็นอะไร เข้ามาในฉากทำไม”
บงกชเบ้หน้าจ้อหน้าเพียงขวัญ
“ก็ใครกัน ทำกองถ่ายเป็นแบบนี้ เสี่ยให้ท้ายแม่นางเอกนี่ ไม่เห็นหัวพวกเราเลย”
ประไพศรีเสริม
“ใช่...เราก็เหนื่อยเหมือนกันนะ ต้องทำงานแลกเงิน ภาระก็มี แล้วเสี่ยไม่จ่ายมากี่ครั้งแล้ว มัวแต่เอาเงินพวกเราไปบำเรอผู้หญิง กี่คนแล้วล่ะ”
บงกชใส่ต่อ...
“แม่นางเอกสร้างปัญหาแบบนี้ พวกเราไม่อยากทำงานด้วย ถ้าเสี่ยไม่เปลี่ยนตัวนางเอก เป็น เอ้อ...” บงกชทำท่ายักไหล่ คล้ายจะพูดว่าเปลี่ยนมาเป็นตัวเอง “เป็นคนที่ใครๆยอมรับ งั้นพวกเราไม่ถ่าย”
บงกชเดินออกไป ทีมเสกับประไพศรี เดินออกตามกันครึ่งกองถ่าย เพ้งตกใจมาก
“เฮ้ยๆ เดี๋ยวสิ เดี๋ยวๆ”
เพ้งมองหน้ากับเพียงขวัญ
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” เพ้งเดินตามบงกชไป “เฮ้ย เดี๋ยวๆ ถ่ายมาจนป่านนี้จะปิดกล้องอยู่แล้ว เลิกได้ไง มาคุยกันก่อน อย่าเพิ่งไป เฮ้ยๆ”
รณพีร์ มองเห็นใจเพียงขวัญที่พยายามเข้มแข็ง ไม่แสดงอาการสะทกสะท้าน เดินออกไป รณพีร์มองอย่างเป็นห่วงเดินตาม
เพียงขวัญเดินมานั่งในห้องแต่งตัว เช็ดเครื่องสำอางออก ยังทำเหมือนเข้มแข็ง รณพีร์สงสารเห็นใจ
“เพื่อนคุณวันนี้ก็ไม่มาเสียด้วย”
เพียงขวัญเศร้ากลั้นไว้
“ออกไป ฉันจะเปลี่ยนเสื้อผ้า”
รณพีร์มองเพียงขวัญ ไม่รู้จะปลอบยังไง
“คุณก็เหมือนคนอื่น ดูถูกว่าฉันจะต้องเป็นเมียน้อย ไปซะ”
เพียงขวัญโวย ก่อนจะเดินหนีไปเปลี่ยนเสื้อผ้า รณพีร์ยืนเซ็ง
เพ้งเจรจากับคนที่มีปัญหา ผู้กำกับและทีมอีกครึ่ง ยืนห่างไป รอดูผลการเจรจา จะได้ทำงานต่อไหม
“พวกลื้อนี่ ชักเอาใหญ่แล้วนะ ถามหน่อย ถ้าไม่ทำงานกับอั๊ว แล้วพวกลื้อจะอยู่ยังไง กลับไปทำงานเดี๋ยวนี้ ผู้กำกับเขารออยู่”
“เปลี่ยนตัวนางเอกเป็นคนอื่นที่ทุกคนในกองถ่ายยอมรับสิ”
บงกชพูดเหมือนจะแอบชี้นิ้วมาที่ตนเองให้เพ้งเห็น ประไพศรีมองหน้าเพ้ง
“เอาค่ากับข้าวที่ค้างมาก่อน หนูไม่มีเงินแล้วนะ”
เสเข้ามาบอกอีกคน
“ค่าตัวของวันนี้กับวันก่อนจ่ายมาให้หมดก่อนเสี่ย ที่บ้านผมลูกก็ต้องกินข้าวเหมือนกันนะ”
เพ้งหน้าเครียด
“เออๆ เดี๋ยวพรุ่งนี้อั๊วะเบิกมาให้ นี่มันกี่โมงแล้ว ธนาคารปิดหมดแล้ว”
ประไพศรีไม่พอใจ
“งั้นวันนี้ยกกอง เลิกๆ พรุ่งนี้ค่อยมาถ่าย เงินพร้อม ค่อยถ่าย ดีไหมพวกเรา”
ทีมงานพยักหน้า เพ้งกุมหัว ผู้กำกับส่ายหน้า เดินกลับไป เพ้งโวยลั่น
“โฮ้ย ยกกองอีกแล้ว เสียเงินฟรีอีกแล้ววันนี้”
เสกับประไพศรีเดินกันออกไป บงกชหันมาหาเพ้งยืนยันเสียงแข็ง
“ต้องเปลี่ยนตัวนางเอกด้วยนะเสี่ย”
“จะบ้าหรือ ถ่ายไปตั้งเยอะ อีกไม่กี่คัทก็ปิดกล้องแล้ว สายหนังก็รออยู่ถ้าจะเปลี่ยน เปลี่ยนนางร้ายง่ายกว่ามั้ง”
บงกชตกใจ โวยลั่น
“เสี่ย...ทำไมพูดแบบนี้ ฉันก็นางเอกคนหนึ่งเหมือนกันนะ ยอมมาเล่นร้ายให้ ดีเท่าไหร่แล้ว”
เพ้งจ้องหน้า
“ถ้าพรุ่งนี้ไม่มา ลื้อก็ไม่ต้องมาอีก แล้วห้ามก่อเรื่องนะ ห้ามแตะเพียงขวัญอีก ไม่งั้น ลื้อเจอเปลี่ยนตัวแน่”
เพ้งชี้หน้าขู่แล้วเดินออกไป บงกชเซ็ง อยากจะกรี๊ดอยู่ตรงนั้น
เพ้งเดินมาหา เพียงขวัญแต่งตัวเสร็จแล้ว รณพีร์ยังอยู่แถวนั้น
“คุณขวัญ เป็นอะไรมากไหม เจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
“ตกลงจะถ่ายต่อไหมคะ”
เพ้งเสียงอ่อนหวานปะเหลาะเพียงขวัญ
“วันนี้เสี่ยสั่งยกเลิกแล้ว เสี่ยจัดการบงกช จัดการทุกคนให้แล้วนะ พรุ่งนี้มาถ่ายใหม่นะ รับรองไม่เป็นปัญหาแบบนี้อีก”
รณพีร์แทรกขึ้น
“จัดการยังไง แน่ใจได้ยังไงว่าเขาจะไม่ทำร้ายร่างกายกันอีก เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ คุณอยู่เฉยไม่ได้แล้วนะ”
“จะจัดการยังไงเกี่ยวอะไรกับลื้อด้วย”
“ผมเป็นเพื่อนสนิทกับเพียงขวัญ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเพียงขวัญอีก เป็นโดนดีแน่ อย่าหาว่าผมไม่เตือนก็แล้วกัน”
เพียงขวัญรีบตัดบท
“งั้นหนูกลับเลยนะคะ”
เพียงขวัญขุ่นมัวเก็บข้าวของเดินออกไปไม่อยากสนใจใครทั้งนั้น ไม่อยากสนใจหนุ่มสองคนนี้ด้วย รณพีร์เรียกไว้
“เอ้าเดี๋ยวสิคุณ นี่เกิดเรื่องขนาดนี้แล้ว คุณยังจะมาถ่ายต่อวันพรุ่งนี้อีกหรือ”
เพียงขวัญเดินออกไปทันที รณพีร์จะตาม เพ้งเข้ามาขวางต่อว่ารณพีร์
“ลื้อนี่ ทำตัวเหมือนยอดยศอีกคนแล้ว ว่างกันนักหรือไง เดี๋ยวเถอะ อั๊วะจะฟ้องนายลื้อให้หมดทั้งสองคนเลย เป็นทหารมาวุ่นวายกับกิจการพลเรือนแบบนี้มันไม่ถูก”
รณพีร์จ้องหน้าไม่กลัว
“ผมไม่ได้มาวุ่นวาย ก็คุณไม่เห็นเหรอ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณเพียงขวัญ แต่ทุกคนก็เฉยกันหมด”
เพ้งอึ้ง เถียงข้างๆคูๆ
“ก็...ก็...ถึงยังไงลื้อก็วุ่นวายอยู่ดีนั่นแหล่ะ”
“คุณจะทำเฉยอย่างนี้ไม่ได้ ทำร้ายร่างกายกัน คดีอาญานะครับ”
“โฮ้ย...ลื้อนี่ ยุ่งจริงโว้ย” เพ้งชี้หน้าด่าหมดความอดทน “บอกไว้เลยนะ เพียงขวัญเด็กอั๊ว เป็นนางเอกที่อั๊วปั้นมา ครอบครัวเขา ยายเขา อั๊วดูแลอยู่ ถ้าลื้อจะมาจีบเขาเหมือนไอ้ยอดยศ ลื้อเจออั๊วแน่ เข้าใจไหม”
เพ้งเดินไป รณพีร์เซ็ง นึกขึ้นมาได้
“เพียงขวัญ”
รณพีร์ห่วงรีบตามไปดู
ค่ำแล้ว เพียงขวัญเดินเศร้าออกจากด้านใน ผ่านสายตาเหยียดหยามของทีมงาน เส และประไพศรี ที่กำลังเก็บของอยู่ บรรยากาศดูเยือกเย็น...รณพีร์เดินหาเพียงขวัญเห็นทีมงานเก็บฉากอยู่ เขามองอย่างกังวลมาก ห่วงมาก
เพียงขวัญหน้าเศร้า หอบข้าวของมากมาย ถุงเสื้อผ้า กระเป๋าเครื่องสำอาง เดินมาตามถนนเปลี่ยวนอกโรงถ่าย...รณพีร์เดินมองหามุมนั้น มุมนี้ สายตาห่วงใย
รองเท้าส้นสูงของเพียงขวัญข้างหนึ่งหักที่ส้น เธอเซ็งมากก้มลงถอดรองเท้ามันทั้งสองข้าง หยิบขึ้นมา แล้วเดินเท้าเปล่าหน้าเศร้า ยังไม่ยอมแพ้ ยังไม่ยอมร้องไห้ เดิน...เดินต่อไป
รณพีร์ขับรถมองหาไปเรื่อยๆ...เพียงขวัญเดินมานั่งในศาลาที่พักริมทาง รอรถเมล์ พระจันทร์สวยงามท่ามกลางความเงียบเหงา หญิงสาวเงยหน้าขึ้น รณพีร์เดินช้าเข้ามาหอบเหนื่อยเขาตามเจอจนได้ เพียงขวัญเก็บของลุกเดินหนี รณพีร์จับแขนไม่ให้เดิน
“มีอะไรอีกล่ะ ด่าฉันอีกสิ ด่ามาสิว่าฉันเป็นผู้หญิงไม่ดี ใช่...ฉันจน แต่คนจนอย่างฉันก็มีศักดิ์ศรี ฉันเต้นเสา เรียนรำ ทุกวันตั้งแต่ยังเด็ก เหนื่อย เจ็บขา มือนี่ก็ถูกหักจนระบม ฉันทำเพื่ออะไร คุณรู้มั้ยว่าฉันทำเพื่ออะไร”
รณพีร์กดเพียงขวัญให้นั่งลง เพียงขวัญน้ำตาเริ่มคลอความอัดอั้นทั้งหมดกำลังระเบิดออกมา
“อย่ามายุ่งกับฉัน ออกไป คิดว่าฉันสกปรก ก็ไม่ต้องมายุ่ง ไปให้พ้น”
เพียงขวัญดิ้นจะออกไป เอากระเป๋าเอาของตี สะบัดใส่รณพีร์ ระบายอารมณ์ใส่เขาแทนคนอื่น รณพีร์กดจนเธอนั่งลง เธอมองหน้าเขาสายตาดุเย็นชา ดูซิจะเอายังไงกับตน รณพีร์ คุกเข่าลงกับพื้น หยิบผ้าเช็ดหน้าของตนออกมามือจับที่เท้าของเพียงขวัญอย่างอ่อนโยน เพียงขวัญอึ้ง เขาเช็ดเท้าให้เธอปัดดินออก รณพีร์เอารองเท้าที่หักอยู่ มาจัดการหักส้นออกอีกข้าง คราวนี้ก็ใส่ได้ทั้งสองข้าง เพราะส้นเท่ากัน เขาบรรจงใส่รองเท้าให้เธอ เพียงขวัญกำแพงพัง นิ่วหน้า ร้องไห้โฮออกมาที่พยายามกลั้นมาตลอด เธอร้องไห้เพราะทีท่าอ่อนโยนของเขา
“ผมไม่เหมือนคนพวกนั้น คนพวกนั้น อยากเหยียบคุณให้จมดินแต่ผมไม่ใช่”
“คุณกับพวกเขาไม่ได้ต่างกันสักนิด”
“ผมเห็นคุณครั้งแรก คุณเป็นกินรีอยู่บนฟ้า ถ้าคุณยอมแพ้ในวันนี้ คุณก็เป็นแค่นกตัวหนึ่ง คุณถามผมบ่อยๆ ว่าผมตามคุณทำไม ผมก็แค่สงสัย คุณเป็นกินรีที่สวยสง่างามอย่างที่ผมเห็นหรือเปล่า”
เพียงขวัญร้องไห้ออกมาอีก
“อย่ายอมแพ้ง่ายๆ เข้มแข็งเข้าไว้”
รณพีร์ยังนั่งคุกเข่า เอื้อมมือช้าๆไปปาดน้ำตาที่ไหลอาบแก้ม
“เก็บความเจ็บปวด สีหน้าคนที่รังเกียจคุณ จดจำมันไว้ทำให้มันเป็นพลัง เป็นแรงลม ผลักดันกินรีอย่างคุณ ให้บินไปสู่ที่สูงดีกว่านะครับ”
เพียงขวัญร้องไห้ต่อไป สายตารณพีร์ปลอบใจ เข้าใจ...ท่ามกลางเสียงสะอื้นไห้ ชายหนุ่มยังคงคุกเข่ามองหญิงสาวที่ร้องไห้ตรงหน้าอยู่ในศาลาที่พักคนริมทาง ภายใต้พระจันทร์งดงาม
รณพีร์ขับรถมาส่งเพียงขวัญที่บ้าน
“ขอบคุณค่ะ”
เพียงขวัญมองหน้ารณพีร์อย่างสับสนในอารมณ์กับผู้ชายคนนี้ ไม่แน่ใจว่าเขาจะมาไม้ไหน บางวันก็ด่า บางวันก็ดี เธออยากพูดมากกว่าขอบคุณเพราะวันนี้รู้สึกดีขึ้นเพราะเขา แต่ก็นึกคำพูดไม่ออก เพราะเคยด่ากันมาก็เยอะ อีกทั้งไม่ค่อยอยากเปิดโอกาสให้เขา
“เอ้อ...”
รณพีร์ตัดบท
“เข้าบ้านเถอะครับ ดึกแล้ว”
เพียงขวัญเดินเข้าบ้านไป รณพีร์นั่งในรถมองตามจนหญิงสาวเข้าบ้านไป ชายหนุ่มนั่งยิ้มน้อยๆ รู้สึกดีเช่นกัน เพียงขวัญคงไม่อยากเป็นเมียน้อยเพ้งหรอก ร้องไห้ซะขนาดนั้น
วันใหม่...เพียงขวัญมาเตรียมตัวอยู่ในห้องแต่งตัว ระหว่างนั่งรอเธอเปิดซองจดหมายออกมองรูปของอัทธ์ เพราะเธอนัดกับอัทธ์ทางจดหมายว่าจะมาหาวันนี้...เป็นการที่พี่ชายต่างมารดาจะมาหาน้องสาววันแรก ก็เลยส่งรูปมาให้ดู เพียงขวัญตื่นเต้นที่จะได้เจอพี่ชายที่เขียนจดหมายคุยมาประมาณสักสองสามเดือน เธอไม่ได้โกรธหรืออิจฉาพี่ชาย ค่อนข้างอยากเจอ เพราะถูกใจในไมตรีของอัทธ์ ที่คุยกันผ่านจดหมาย
ในกองถ่าย เพ้งนั่งทำบัญชีเอง จ่ายเงินให้เส ประไพศรี พนักงานต่างๆ ตามที่ตกลงไว้ จรณเร่งทุกคน
“เอ้าเร็วหน่อยครับ วันนี้ ถ้าเราทำงานเร็วเก็บได้หมด ก็ปิดกล้องได้เลยเร่งมือหน่อยครับ”
บงกชยืนเซ็งอยู่มุมหนึ่ง ไล่เพียงขวัญไม่สำเร็จ...ทีมงานนางเสือสาว เซ็ทฉากกันอย่างแข็งขัน
รณพีร์ขับรถของกำพลมาจอด แต่ คนดูแลที่จอดรถโบกมือให้ไปจอดที่อื่น แล้วกวักมือเรียกรถคันโก้ของอัทธ์ที่ตามหลังเข้ามาแทน อัทธ์เดินลงจากรถ เท่หล่อ รณพีร์เห็นอัทธ์ในกระจกมองหลัง
“โห พระเอกหนังหรือเปล่าเนี่ย”
รณพีร์จัดการจอดรถ ไม่สนใจอัทธ์อีก
เพียงขวัญเดินมา รณพีร์เห็นห่างๆยิ้มให้ เธอหยุดรอเขา รณพีร์กำลังจะเดินถึงตัว ยอดยศเดินเมามาย มาจากไหนไม่รู้ ท่าทางหาเรื่องเข้ามาหาเพียงขวัญถึงตัวก่อน รณพีร์รีบหลบวูบ เพียงขวัญชะงัก
“คุณยอดยศ หือ กลิ่นเหล้าหึ่งเชียว”
“ผมคิดถึงคุณมากเลยครับคุณเพียงขวัญ”
“คุณไม่ควรมาในสภาพแบบนี้ ฉันบอกแล้วไงคะว่าแม้แต่ความเป็นเพื่อนของเราก็จบไปแล้ว กลับไปเถอะค่ะ”
“ไม่...เราต้องคุยกันให้รู้เรื่อง ผมอยากถาม ผมทำอะไรให้คุณโกรธ ผมมีอะไรไม่ดี สู้คนอื่นไม่ได้ ทำไมต้องใจร้ายกับผม”
เพียงขวัญตัดสินใจ
“ก็...คุณมีคู่หมั้นอยู่แล้ว”
ยอดยศตกใจมาก จับมือเพียงขวัญขึ้นมาทันที
“คุณรู้ได้ยังไง”
เพียงขวัญมองหน้า
“จริงใช่ไหมล่ะ คุณควรกลับไปหาคู่หมั้นของคุณ ปล่อย...ปล่อยนะ”
ยอดยศเมา ทำตัวรุ่มร่าม ไม่ยอมปล่อย เพียงขวัญพยายามดึงมืออก”
“ไอ้ยอด ก่อเรื่องแล้วไง”
รณพีร์ตัดสินใจออกจากที่ซ่อน ปรี่ไปหาเพียงขวัญแต่แล้วชายหนุ่มร่างสูงโปร่งตัดหน้ารณพีร์มาถึงตัวเพียงขวัญก่อน รณพีร์ชะงัก อัทธ์เสียงดังใส่ยอดยศ
“อย่าแตะต้องน้องขวัญ”
เพียงขวัญสะดุดหูคำว่า น้องขวัญ ไม่เคยมีใครเรียกเธอว่าน้อง เพียงขวัญหันไปมองแววตาตะลึงที่เห็นอัทธ์ตัวจริงครั้งแรก
“คุณอัทธ์”
ยอดยศปล่อยมือจากเพียงขวัญ รณพีร์มองสงสัย ผู้ชายคนนี้เป็นอะไรกับเพียงขวัญ อัทธ์ยิ้มแย้ม
“จ้ะ...พี่เอง ได้เจอกันเสียทีนะ”
เพียงขวัญยิ้ม ตาเป็นประกายดีใจ แฝงด้วยความรักบาง ๆ รณพีร์ใจหายวาบ เพียงขวัญไม่เคยมองผู้ชายคนไหนด้วยสายตาแบบนี้ อัทธ์มองเพียงขวัญด้วยสายตารักใคร่เอ็นดูมาก ตาเป็นประกายตื่นเต้นดีใจยิ่งกว่าเพียงขวัญ รณพีร์กับยอดยศตีความสายตาอัทธ์ผิด ยอดยศหึงหวง ประกอบกับเมา คุมตัวเองไม่ได้
“ฮึ...คุณเป็นใคร คิดจะจีบเพียงขวัญเหมือนไอ้เสี่ยเพ้ง ไอ้ผู้กำกับใช่ไหมดีเลย มาเจอกันตัวต่อตัว”
ยอดยศต่อยหน้าอัทธ์ เพียงขวัญร้องวี้ด อัทธ์เอียงหน้าหลบหมัดยอดยศเฉียดโหนกแก้ม
“ว้ายคุณอัทธ์...หยุดนะ คุณยอดยศ”
เพียงขวัญเข้าไปขวาง หันไปดูหน้าอัทธ์ มือแทบจะแตะที่หน้า เป็นการสนิทสนมกันทางสายเลือด รณพีร์ใจหายวูบ หน้าเสีย ยอดยศหึงมาก
“เพียงขวัญ ทำไมต้องปกป้องมันด้วย คุณกับมัน ฮึ่ย...หน้าอย่างแก ต้องทำเสน่ห์ใส่คุณเพียงขวัญแน่ ๆ”
คนในโรงถ่ายกรูกันออกมาดูศึกหน้านาง เห็นยอดยศฮึดฮัดไม่ยอม เพ้งหงุดหงิด เห็นภาพชายหนุ่มหล่อ ล้อมเพียงขวัญถึงสามคน ยอดยศท้าทายอัทธ์
“แกกับฉัน เรามาต่อยกันตัวต่อตัว ใครแพ้ ห้ามข้องแวะกับคุณเพียงขวัญอีก”
อัทธ์นิ่ง ไม่โกรธ ไม่แสดงอารมณ์ ไม่ใช้ความรุนแรงตอบโต้พูดเสียงนุ่ม
“สุภาพบุรุษ เขาไม่ใช้กำลัง เขาควรจะปฏิบัติกับผู้อื่นเยี่ยงสุภาพชน”
ยอดยศสะอึก โดนตำหนิเต็ม ๆ
“ผมว่าคุณเมามากแล้ว กลับไปเถอะ น้องขวัญจะได้ทำงาน”
“โธ่...มาทำพูด ไม่แน่จริงนี่หว่า มานี่ มาเลย อย่าหลบหลังผู้หญิง”
ยอดยศจะเข้าหา อัทธ์จ้องหน้า
“เวลาเมา ไม่ควรมาหาผู้หญิงนะครับ เราจะทำให้ผู้หญิงเขาเสื่อมเสีย เพราะขาดสติ”
ยอดยศไม่ฟัง
“ไม่ต้องมาพูดดี ไม่กล้าใช่ไหมล่ะ”
“เขาพูดถูกแล้ว”
ขาดคำรณพีร์ก็จับตัวยอดยศไว้ ยอดยศหันไปเห็น ตกใจ แปลกใจ
“ไอ้พีร์”
“มานี่ มากับฉัน วันนี้พูดไม่รู้เรื่องหรอก กลับเถอะ”
รณพีร์มองอัทธ์อย่างพิจารณา ผู้ชายคนนี้สุขุมลุ่มลึก แลดูเป็นผู้ดี
“ปกติเขาไม่ได้เป็นแบบนี้ ขอโทษด้วยครับ”
รณพีร์ค้อมหัวให้ อัทธ์ก็ค้อมหัวให้รณพีร์ รับคำขอโทษอย่างสุภาพบุรุษ
“มานี่เลย มานี่”
รณพีร์ลากยอดยศออกไปด้วยกัน ระหว่างเดินไปที่รถ รณพีร์หันมามองอัทธ์เห็นเพียงขวัญยืนชิดอัทธ์ ปกป้องอยู่ รณพีร์อยากรู้มาก ผู้ชายคนนี้สำคัญต่อเพียงขวัญแค่ไหน
อัทธ์ยืนดูการถ่ายทำอยู่ในกอถ่าย...ชายคนหนึ่งถูกต่อยเข้ามาและหยิบมีดออกมา นางเสือสาวกำลังต่อสู้กำเหล่าร้าย 2 คนด้วยมือเปล่า เพียงขวัญจัดการกับคนร้ายอีกคนล่วงลงไป หันหลังกลับมาเจอกับอีกคนที่ใช้มีด...เป็นคิวบู๊แบบคาวบอย ในที่สุดเพียงขวัญก็จัดการกับคนร้ายด้วยมีดของมันเอง ผู้กำกับสั่งดังลั่น
“คัท...ดีมาก”
อัทธ์ยืนดูการทำงานของเพียงขวัญอย่างชื่นชม
เพียงขวัญนั่งพูดคุยกับอัทธ์มุมหนึ่งของกองถ่าย สองคนน้ำเสียงกระตือรือร้น ถามไถ่เรื่องของกันและกัน โดยเฉพาะอัทธ์กระตือรือร้นกว่า ซักเพียงขวัญละเอียดยิบ
“น้องขวัญชอบกินอะไรจ๊ะ”
“กินได้ทุกอย่างค่ะ แต่ชอบน้ำพริกที่สุด”
“ชอบดูหนังไทย หรือ หนังฝรั่ง”
“หนังไทยสิคะ คนกรุงแห่กันไปอุดหนุนหนังฝรั่ง โรงหนังเฉลิมกรุง เอ็มไพร์ ที่ฉายหนังไทย ไม่ค่อยมีคนตีตั๋วดู จนหนังไทยหลายเรื่องขาดทุน เราเป็นคนไทยต้องสนับสนุนหนังไทยถึงจะถูก”
“คอหนังฝรั่งอย่างพี่ เห็นที ต้องหันไปดูหนังไทยเสียแล้วสิ บ้านน้องขวัญอยู่แถวไหนจ๊ะ”
เพียงขวัญเปลี่ยนสีหน้าจากยิ้มแย้ม เป็นเงียบขรึมทันที ไม่ยอมตอบ เธอหยิบจดหมายออกมาให้อัทธ์ดู
“ดิฉันยอมเจอคุณ เพราะจดหมายนี้คุณเขียนมาว่า คุณแค่อยากรู้จักกับดิฉัน”
“น้องขวัญเขียนจดหมายตอบพี่ ทุกประโยค พี่จำมันได้ขึ้นใจ น้องขวัญยอมรับพี่ แต่ไม่ยอมรับ…เอ้อ….” อัทธ์เว้นคำว่าพ่อของเรา
“หลายเดือนที่เราเขียนจดหมายติดต่อกัน ดิฉันมองว่าคุณเป็น...มิตรจากแดนไกล ระหว่างเรา จะมีแต่มิตรภาพระหว่างเพื่อนกับเพื่อน คนที่หวังดีต่อกันค่ะ”
อัทธ์ซึม เพียงขวัญวางเขาเป็นเพียงมิตร
“ดิฉันยอมให้คุณเรียกว่าน้องขวัญ ก็นับว่า ดิฉันให้ความสนิทสนมคุณมากกว่าคนอื่นแล้วนะคะ คุณควรพอใจเพียงเท่านี้”
“ก็ได้จ้ะ พี่จะไม่ล้ำเส้นที่น้องขวัญขีดไว้ พี่จะเขียนจดหมายไปหาน้องขวัญที่บริษัทหนังเหมือนเดิม ไม่ถามถึงครอบครัว ไม่ถามถึงที่บ้านแล้วพี่ก็จะไม่พูดถึง...เขา...”
ทันทีที่อัทธ์เอ่ยถึงเขาคนนั้นก็คืออดุลย์ เพียงขวัญเศร้าไป
จันท์กระพ้อเพิ่งมาถึงกองถ่าย ท่าทางขึงขัง เอาถุงทะเลวาง เพียงขวัญเดินเข้ามาตามด้วยอัทธ์ เตรียมมาทำงานต่อ เพียงขวัญแนะนำ
“จันท์ มาแล้วหรือ คุณอัทธ์ นี่จันท์กระพ้อ เพื่อนฉัน เขามาช่วยดูแลฉัน ดูแลเสื้อผ้าเครื่องสำอาง”
จันท์กระพ้อเทถุงทะเลออก เป็นนวมชกมวยสองสามคู่ อัทธ์ชะงัก
“เอ๊ะ...น้องขวัญ ไม่ใช่เสื้อผ้านี่คะ”
จันทร์กระพ้อหอบนวมไปวางกลางกองถ่าย มองทุกคน ทีมงาน บงกช ประไพศรี เส จับกลุ่มอยู่ หันมามองด้วย เพราะจันท์กะพ้อประกาศกร้าว
“จันท์กระพ้อไม่อยู่วันเดียว รุมเพียงขวัญ หมาหมู่ชัดๆ ต่อไปนี้ ใครกล้าแตะเพียงขวัญ ก็มาหยิบนวมพวกนี้ไป แล้วชกกันหลังกองถ่ายตัวต่อตัว”
บงกชสวนขึ้น
“พวกเราก็ไม่อยากนินทาใครหรอก แต่เพื่อนคนดีของเธอน่ะสิคะ ชอบหาเรื่องใหม่ๆ เด็ดดวง มาให้เราพูดถึง” บงกชเสียงเบากระซิบจันท์กระพ้อ “วันนี้ก็เอาผู้ชายคนใหม่มาอวด”
จันท์กระพ้อแค้นมาก โวยลั่น
“รู้ได้ไงว่าเขามาจีบเพียงขวัญ”
บงกชเถียง
“ถ้าไม่ได้จีบเพียงขวัญ จีบกะโปโลอย่างหล่อนงั้นสิ”
“ใช่...” จันทร์กระพ้อชี้อัทธ์ “อีตาคนนี้ เขาจีบฉันย่ะ”
อัทธ์สะดุ้ง เสียงจันท์ดังมาก จีบเมื่อไหร่ไม่รู้จักด้วยซ้ำ จันท์กระพ้อทำเป็นหันไปต่อว่าอัทธ์
“บอกแล้วไง ฉันไม่สนใจคุณ ยังมาให้ยายขวัญช่วยเป็นแม่ สื่อแม่ชักอีก”
อัทธ์จะแก้ต่างจันท์กระพ้อไม่เปิดโอกาสให้พูด
“ผู้หญิงเขาไม่รัก ตื๊ออยู่ได้ น่ารำคาญ”
จันท์กระพ้อต่อว่า อัทธ์เหวอ จันท์กระพ้อบอกกับทีมงานพวกเสและประไพศรี
“เสี่ยเพ้งเองก็เถอะ รู้ได้ยังไงว่าเขาคบเพียงขวัญ มีใครเห็นงั้นหรือ”
ทุกคนค้อนๆ จันทร์กระพ้อชี้ประไพศรี
“ป้าไม่ต้องมานินทา พวกป้าน่ะตกเป็นเครื่องมือยายบงกชแล้ว แม่บงกช อกใหญ่ รู้ไว้นะ ถึงยังไงหล่อนก็ไม่มีวันได้บทนางเอก”
บงกชร้อนรน
“นังจันท์ ใครบอกว่าฉันอยากได้บทนางเอก หา”
ฟังไว้เลยนะทุกคน เพียงขวัญกับฉันจะไม่ออกไปจากกองถ่ายนี้ เราถือว่าเราบริสุทธ์ใจ เรามาทำงาน เรื่องเมื่อวานนี้เพียงขวัญเขาไม่เอาเรื่อง เพราะอยากให้งานเสร็จ แต่ถ้ามีคราวหน้า เราสองคนจะสู้ ตายเป็นตาย แต่ไม่ยอมแพ้โว้ย”
อัทธ์มองจันท์กระพ้อ ยิ้มขำ เอ็นดู ประกายตาวิบวับ ชื่นชอบ เพ้งเดินเข้ามาในโรงถ่าย มากับผู้กำกับ เพียงขวัญรีบเข้าไปดึงจันท์กระพ้อปรามไว้
“พอเถอะจันท์ เสี่ยมาแล้ว”
“เอ้ามีอะไรกันอีก คัทสุดท้ายแล้ว ช่วยกลับไปทำงานทีเถอะพ่อคุณ แม่คุณ เงินอั๊วะก็จ่ายไปบ้างแล้วนะ”
จันท์กระพ้อ ยอมเก็บนวม ช่วยกันกับเพียงขวัญ ออกจากกลางกองถ่าย เส บงกช ประไพศรี กลับไปทำหน้าที่ของตน
“เอาล่ะพร้อมไหม ไหนดูสิ”
จรณเริ่มงานเซ็ทอัพ ทุกคนเริ่มงานกันต่อ
อ่านต่อตอนที่ 3