สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 1
ณ หมู่บ้านวลาหก ในช่วงเวลายามเย็น แลเห็นม่านหมอกหนาทึบแผ่ตัวลงปกคลุมแมกไม้กลางป่าดูช่างลึกลับ พร้อมๆ กับแว่วเสียงของ แม่เฒ่า ผู้เป็นหมอรักษาโรคภัยประจำหมู่บ้านดังขึ้น
“...เมื่อกษัตริย์ผู้สวมมงกุฎแห่งเทพมาเยือน เสียงเรียกจะทำให้หมอกคุ้มภัยจางหาย...”
ม่านหมอกค่อยๆ แตกกระจาย เปิดให้เห็นหมู่บ้านวลาหกที่ซ่อนตัวอยู่หลังแมกไม้อย่างเลือนราง
“...เมื่อถึงเวลานั้น วลาหกจะเสียแก้วตาไป แต่จะได้ดวงใจของเวียงพูคำกลับคืนมา..”
สิ้นคำทายทัก ม่านหมอกอันน่าพิศวงก็รวมตัวกันปกคลุมหมู่บ้านวลาหกไว้ดังเดิม
ภายในวังจุฑาเทพ ห้องส่วนตัวของรัชชานนท์ นิตยสาร National Geographic ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเดินป่าวางอยู่ในโต๊ะทำงาน ภาพนั้นฉายให้เห็นภาพป่าทึบมีมวลหมอกปกคลุมอย่างน่าค้นหา บนโต๊ะมีเครื่องเขียน และรูปถ่ายรัชชานนท์ในวัย10 ขวบและพุฒิภัทรวัย13 ขวบ ถ่ายคู่กัน ทั้งคู่เป็นพี่น้องที่เกิดจากของหม่อมเจ้าวิชชากรและหม่อมหยก
ความรีบร้อนของ หม่อมราชวงศ์ รัชชานนท์ จุฑาเทพ ขณะที่เอื้อมมือเข้ามาคว้านิตยสารอย่างรวดเร็ว ทำให้กรอบรูปถ่ายครอบครัวล้มคว่ำหน้าลงบนโต๊ะ เขาจับนิตยสารยัดใส่กระเป๋าเดินทางอย่างเร่งรีบ ก่อนจะคว้ากระเป๋าเดินทางและกระเป๋ากล้องถ่ายรูปอย่างรวดเร็ว เขาหันกลับมามองที่โต๊ะทำงานอีกครั้ง แล้วจับกรอบรูปถ่ายขึ้นตั้งใหม่ จากนั้นก็ผลุนผลันออกไปจากห้อง
รูปถ่ายครอบครัวกรอบเงินบานนั้นมีตราราชสกุล “จุฑาเทพ” อันมีความหมายว่า “มงกุฎแห่งเทพ” ประดับอยู่
บริเวณที่จอดรถในวังจุฑาเทพ เวลาต่อเนื่องมา รัชชานนท์ถือกระเป๋าเดินทางเดินมาถึงที่รถ เปิดท้ายรถแล้วโยนกระเป๋าลงไป แต่สะพายกระเป๋ากล้องไว้กับตัว เขาปิดท้ายรถดังปัง! แล้วสะดุ้งเฮือกตกใจเสียเอง เขามองซ้ายมองขวากลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า !!
รัชชานนท์ค่อยๆ เข็นรถออกไปกะจะไปสตาร์ทรถที่หน้าวัง คุณชายพุฒิภัทร ผู้เป็นพี่ชายวางมือแปะลงท้ายรถช่วยเข็นให้ รัชชานนท์ร้อนใจพะวงอยู่กับภารกิจการหนีออกจากวัง โดยไม่ทันหันไปมอง เพราะคิดว่าเป็นสมบุญคนรับใช้
“ทำไมเพิ่งมาวะ เร็วๆ ช่วยกันหน่อย เดี๋ยวไม่ทันรถไฟ”
คุณชายรณพีร์เข้ามาช่วยเข็นรถอีกคน
รัชชานนท์รู้สึกว่า รถขยับไปได้เร็วขึ้นอย่างน่าประหลาด
“เออๆ ดีมาก สมบุญ เดี๋ยวฉันจะตกรางวัลให้อย่างงามเลย แกนี่แรงดีเหมือนกันนี่หว่า”
รัชชานนท์ชะงักเพิ่งรู้สึกถึงความผิดปกติว่า มีคนมาช่วยถึงสองแรงซ้ายขวา เขาค่อยๆหันมองซ้ายขวาเห็นเป็นพุฒิภัทรกับรณพีร์ที่ช่วยเข็นรถให้
รัชชานนท์หัวเราะแหะๆบอก
“อย่าบอกพี่ชายใหญ่นะ”
รณพีร์ขำๆ
“ช้าไปแล้วล่ะ”
พุฒิภัทรพยักพเยิดไปทางหน้าตึกอย่างเอาบุญ รัชชานนท์หันไปมอง เห็นคุณชายธราธรยืนนิ่ง มีสมบุญยืนหน้าจ๋อยอยู่ด้านหลัง ธราธรมองมาที่รัชชานนท์ที่ยืนเซ็งในอารมณ์ที่ภารกิจล้มเหลวเสียได้
ธราธรเดินนำเข้ามาในห้องรับแขก พุฒิภัทรกับรณพีร์ประกบตัวรัชชานนท์ตามมาติดๆ
“ปล่อยๆ ปล่อยได้แล้ว ไม่หนีแล้ว ไม่หนีแล้วก็ได้”
รัชชานนท์บอกก่อนสะบัดตัวหลุดออกมาได้ เขาทิ้งตัวลงนั่งอย่างเซ็งจัด
“การหนีไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้หรอกนะ” ธราธรพูดขึ้น
“ผมไม่เห็นทางอื่นแล้วจริงๆ”
“นายจะกลัวอะไร งานคืนนี้ก็แค่งานเลี้ยงต้อนรับศินีนุชเรียนจบจากปีนัง” พุฒิภัทรว่า
รณพีร์ น้องเล็กแห่งวังจุฑาเทพ ลูกหม่อมอุบลวรรณ ชายาเอกของหม่อมเจ้าวิชชากร อดเข้าข้างพี่ชายคนสนิทไม่ได้ จึงพูดขัดขึ้น
“แค่งานเลี้ยงที่ไหนครับ ก็รู้ๆ อยู่ว่า งานคืนนี้เป็นงานเลี้ยงจับคู่ของหม่อมย่าท่าน คืนนี้ไม่ผมก็พี่ชายเล็กต้องถูกจับตีตราจองอย่างเป็นทางการแน่ๆ”
“อย่างนายยังพอรอดตัว ชายพีร์ ตั้งแต่มีเรื่องยายมารตี คุณลุงเทวพันธ์ก็เข้าหน้าหม่อมย่าไม่ติด ฉันนี่ซิวะ ตอนนี้คุณหญิงดารณีนุชประกาศไปทั่วว่า ศินีนุชเป็นคู่หมายของฉัน ถ้าฉันไปงานคืนนี้ มีหวังดิ้นไม่หลุด ได้ถูกจับแต่งงานแน่ !” รัชชานนท์บอก
“แล้วคิดว่า นายจะหนีพ้นงั้นหรือ ยังไงหม่อมย่าก็จะต้องจับนายไปเจอกับศินีนุชอยู่ดี” ธราธรผู้เป็นพี่ใหญ่บอก
“นั่นน่ะซิ สู้ไปทำความรู้จักกันไปเลยวันนี้ ถ้านายไม่ถูกชะตากับศินีนุชจริงๆ ก็เรียนหม่อมย่าไป ถ้าหากนายมีเหตุผลที่ดี หม่อมย่าท่านก็อาจจะรับฟังก็ได้” พุฒิภัทรให้เหตุผล
“แต่คราวนี้หม่อมย่าหมายมั่นปั้นมือเหลือเกิน ผมไม่ขอเสี่ยงล่ะครับ ขอเผ่นไปตั้งหลักก่อนดีกว่า ลาล่ะครับ”
รัชชานนท์พรวดพราดออกไปไม่ให้ทุกคนได้ตั้งตัว ธราธและพุฒิภัทรร้องเรียก
“ชายเล็ก !!”
รัชชานนท์เดินออกไป แล้วค่อยๆเดินถอยกลับมาอย่างช้าๆด้วยท่าทางหวั่นๆ ทั้งหม่อมย่าเอียดและย่าอ่อนสาวเท้าก้าวเข้ามาช้าๆ หม่อมย่าเอียดหน้านิ่งดุ น่าเกรงขาม รัชชานนท์ยืนนิ่งงันเสียวสันหลังวาบๆ ด้วยความเกรง
หม่อมย่าเอียดจ้องมองรัชชานนท์ที่นั่งดื้อเงียบอยู่
“ชายเล็ก ! เธอคิดจะทำอะไรของเธอ”
ย่าอ่อนคอยรับใช้ย่าเอียดอยู่ไม่ห่างรีบขยับมาให้ข้อมูลทันที
“ก็คิดจะหนีน่ะซิคะ คุณพี่ นี่ถ้าเรามาช้านิดเดียว ป่านนี้คงหนีไปดื่มเหล้า เที่ยวผู้หญิงที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”
รณพีร์รีบขยับยื่นหน้าเข้ามาทำทะเล้นลดความตึงเครียดของสถานการณ์
“คงเป็นโลลิต้าล่ะครับ ย่าอ่อน นักร้องที่นั่นสวยหยาดฟ้ามาดินกันทุกคน”
ย่าอ่อนตีแขนรณพีร์ส่งเสียงดุอย่างไม่จริงจัง
“ ชายพีร์ ! ไม่ใช่เวลาพูดเล่น”
หม่อมย่าเอียดปรายตามองรณพีร์ดุๆโดยไม่พูดจาอะไร รณพีร์ยิ้มแห้งๆสงบปากทันที ธราธรกับพุฒิภัทรมองหน้าหาทางช่วยน้องชาย
“ชายเล็กแค่หุนหันไปชั่วขณะน่ะครับ หม่อมย่า” พุฒิภัทรบอก
“เราคุยกันรู้เรื่องแล้ว ยังไงคืนนี้ชายเล็กก็จะไปงานที่วังกิตติวงศ์แน่นอนครับ หม่อมย่าไม่ต้องเป็นห่วง”
“เดี๋ยวซิครับ พี่ชายใหญ่!” รัชชานนท์จะท้วงติง
หม่อมเอียดรวบรัดตัดบททันที
“งั้นก็ดีแล้ว ย่าเชื่อในตัวเธอนะ รัชชานนท์ เธอมีสายเลือดของจุฑาเทพ เธอย่อมรู้จักหน้าที่ของตัวเอง อย่าได้ทำให้ย่าต้องผิดหวัง !”
รัชชานนท์จนมุมพูดไม่ออกได้แต่หันไปสบตากับรณพีร์ เพื่อขอความช่วยเหลือ
วังกิตติวงศ์ เป็นวังเก่าแก่หรูหราของราชสกุลกิตติวงศ์ พ่อของ หม่อมราชวงศ์ ดารณีนุช เทวพรหม ภายในสวนสวย มีโต๊ะปูผ้าขาวจัดเรียงอยู่กลาง สถานที่ถูกตกแต่งสวยงามจวนใกล้เสร็จสมบูรณ์
เรืออากาศโท มล.ชัชวีร์ เทวพรหม เพื่อนสนิทของรณพีร์ยืนคุมคนรับใช้สองคนที่กำลังยกเก้าอี้เข้ามาเพิ่ม คนรับใช้อีก 2-3 คนกำลังทำหน้าที่เก็บกวาดอยู่ด้านหลัง
“วางไว้ตรงนี้เลย เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”
คนรับใช้สองคนเดินออกไป ชัชวีร์จัดเก้าอี้ให้เข้าที่เข้าทาง จัดดึงผ้าปูโต๊ะให้เรียบร้อยอีกครั้ง ก่อนวางช่อดอกกุหลาบแดงไว้กลางโต๊ะ คุณหญิงดารณีนุชเดินเข้ามาตรวจตราจับผิดการทำงานของชัชวีร์ ที่เธอชอบจับผิดเพราะชัชวีร์เป็นลูกชายของ ม.ร.ว. อนุพันธ์ กับเมียที่ไม่ยอมเปิดเผย!!
“ทำไมเป็นกุหลาบแดง ฉันสั่งกุหลาบขาวไม่ใช่หรือ”
“น้องนุชขอเปลี่ยนเป็นกุหลาบแดงน่ะครับ คุณหญิง”
คุณหญิงดารณีนุชนิ่ง ทำคอแข็งไป เมื่อเล่นงานชัชวีร์ไม่ได้แต่ยังหาเรื่องต่อ
“แล้วทำไมไม่บอกฉัน งานคืนนี้สำคัญมาก ทุกอย่างต้องผ่านความเห็นชอบจากฉัน!”
“น้องนุชเปลี่ยนใจกลับไปกลับมาทุกห้านาที ผมก็เลยคิดว่ารอให้จัดเตรียมงานทุกอย่างเรียบร้อยก่อน แล้วจะกราบเรียนคุณหญิงเสียทีเดียว”
“แกอย่ามาโยนความผิดให้ลูกสาวฉันนะ นายชัช ! ทำผิดแล้วยังไม่ยอมรับผิดอีก ไปเอาสันดานไพร่มาจากไหน จากแม่ของแกล่ะซิ !”
“คุณหญิงก็ทราบว่า ผมไม่เคยรู้ว่า แม่ผมเป็นใคร ผมรู้แต่ว่า ตั้งแต่เกิดมา ผมก็มีคุณหญิงคนเดียวที่คอยสั่งคอยสอนผม”
ม.ร.ว.ดารณีนุชโกรธจี๊ด
“นี่แกหาว่า แกได้สันดานไพร่มาจากฉันงั้นหรือ ไอ้ชัช !”
คุณหญิงดารณีนุชเงื้อมือจะตบชัชวีร์ แต่ พลตรี ม.ร.ว. อนุพันธ์ผู้เป็นสามี เอื้อมมือจับไว้ทันท่วงที เธอหันไปมองแล้วถามสามี
“มาห้ามฉันทำไม ฉันจะตบสั่งสอนไอ้ลูกกาฝากของคุณ !”
คุณหญิงดารณีนุชดิ้นรนจะเอาเรื่องชัชวีร์ให้ได้ แต่สามีจับตัวเมียไว้แน่น ชัชวีร์รู้ว่าควรทำยังไงเขาเดินออกไปจากความวุ่นวายอย่างเงียบๆเพียงลำพัง
“เออ ดี ไสหัวไปเลย แล้วคืนนี้ไม่ต้องมาเสนอหน้าให้ฉันเห็นหรือไม่ต้องมาเหยียบที่นี่เลยก็ยิ่งดี จะไปตายที่ไหน ก็ไป !”
“คุณหญิง !”
ม.ร.ว. อนุพันธ์ เทวพรหมจ้องหน้าภรรยาอย่างโกรธจัด
ชัชวีร์เดินเหนื่อยใจออกมาจากตัวตึกไปตามทางที่จอดรถ เดินอยู่ครู่หนึ่งก็ชะงักรู้สึกเหมือนไม่ได้อยู่คนเดียว เขายังทำตัวปกติแต่ระแวดระวังตัวมากขึ้น รณพีร์โผล่พรวดเข้ามาจู่โจมล็อกคอ เขาเบี่ยงตัวหลบได้ทันแล้วหันกลับมาเล่นงาน เขาเงื้อมือจะชกหน้าแต่ยั้งมือไว้ทันเพราะเห็นว่าเป็นรณพีร์
“เล่นอะไรบ้าๆ ! ชายพีร์ ถ้าฉันมีปืน นายโดนส่องไปแล้ว”
“เสืออากาศอย่างเรา จะทักทายกันธรรมดาได้ยังไง นี่โดนคุณแม่เลี้ยงเล่นงานมาอีกล่ะซิ”
ชัชวีร์สีหน้าเรียบเฉย
“คุณหญิงไม่เคยรับฉันเป็นลูก เรียกว่า แม่เลี้ยงคงไม่ได้หรอก ฉันเป็นแค่ไอ้เด็กข้างถนนที่ถูกเก็บมาเลี้ยงเท่านั้น”
“เฮ้ย ยังไงนายก็เป็นลูกของคุณลุงอนุพันธ์ นายก็เป็นเทวพรหมคนนึงเหมือนกัน”
ชัชวีร์ยิ้มขมขื่น
“ฉันเนี่ยนะ เทวพรหม ไม่อาจเอื้อมหรอก”
ร.ท. มล. ชัชวีร์ เทวพรหมยิ้มขรึมยอมรับในฐานะตัวเองโดยดุษฎี
คุณหญิงดารณีนุชจ้องหน้าสามีอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่นิดเดียว
“ทำไม! ฉันพูดผิดตรงไหน คนอย่างไอ้ชัชไม่คู่ควรที่จะอยู่ที่นี่ ถ้าจะอยู่ก็อยู่ได้ในฐานะบ่าวรับใช้เท่านั้น อย่าได้ยกตัวตีเสมอลูกนุชของฉัน”
“แต่ชัชวีร์เป็นลูกชายของผม”
คุณหญิงสวนกลับทันที
“คุณแน่ใจได้ยังไงว่า ไอ้ชัชเป็นลูกของคุณจริงๆ ลงแม่มันใจง่ายนอนกับคุณได้ มันก็คงนอนกับผู้ชายไปทั่วแหละ”
“คุณอย่ามาดูถูกแม่ของชัชวีร์ !”
“หรือว่าไม่จริง ถ้ามันเป็นผู้หญิงดีๆ ทำไมคุณไม่กล้าบอกมาล่ะว่า มันเป็นใคร ถ้าฉันทายไม่ผิด แม่ไอ้ชัชคงเป็นผู้หญิงโคมเขียวที่คงเน่าตายในซ่องที่ไหนซักแห่ง มันถึงส่งลูกชายมาให้คุณเลี้ยง คุณคงคิดว่า คุณล้างประวัติชุบตัวให้ไอ้ชัชได้ล่ะซิ ถึงมันจะได้ชื่อว่า เป็นหม่อมหลวงชัชวีร์ เทวพรหม แต่ยังไงมันก็ยังเป็นลูกชายนังผู้หญิงส่ำส่อนอยู่วันยันค่ำ !”
“พอได้แล้ว !”
คุณชายอนุพันธ์โกรธสุดขีดจับแขนคุณหญิงบีบแน่น ถ้าเขาฆ่าได้คงฆ่าตายไปแล้ว เขาพูดอย่างข่มอารมณ์
“พอได้แล้ว ไม่ว่ายังไง ชัชวีร์ก็เป็นลูกชายของผม เป็นลูกชายที่เกิดจากผู้หญิงที่ผมรักและจะรักตลอดไป !”
คุณชายอนุพันธ์ปล่อยมือจากคุณหญิงแล้วเดินออกไปอย่างไม่เหลียวหลัง น้ำคำของสามีที่ตอกย้ำทำให้ ม.ร.ว. ดารณีนุชถึงกับน้ำตาคลอ
“ฉันเกลียดแก ไอ้ชัชวีร์ !”
ชัชวีร์เดินมาถึงรถเก่าๆ ของตัวเองจอดอยู่ท่ามกลางรถหรูหราทันสมัยหลายคันในวังกิตติวงศ์ คุณชายรณพีร์เดินตามมาติดๆ
“เฮ้ย นายชัช! แล้วนี่จะไปไหน”
“ไปนอนที่กองบินฯ”
“ไปไม่ได้นะโว้ย นายจะต้องอยู่ช่วยพี่ชายเล็กกับฉัน คืออย่างนี้นะ ฉันมีแผนแล้วว่า จะทำยังไง พี่ชายเล็กถึงจะหลุดรอดเงื้อมมือจากคุณหญิงแม่ของนายได้”
“อย่าดึงฉันไปยุ่งด้วยเลยว่ะ”
“ได้ยังไง ถ้านายไม่ช่วย มีหวังพี่ชายฉันตายแน่ ฉันเพิ่งได้ข่าวมาว่า คุณหญิงจะรวบรัดประกาศหมั้นในคืนนี้เลย ยังไงเราก็ต้องช่วยพี่ชายเล็กนะ นายชัช!”
“ฉันช่วยนายไม่ได้จริงๆ ฉันไม่อยากให้คุณหญิงท่านเกลียดฉันไปมากกว่านี้ นายคงเข้าใจนะ”
ชัชวีร์ขึ้นรถของตัวเองแล้วขับออกไป
“แล้วจะทำยังไงต่อละทีนี้”
รณพีร์ ยืนกลุ้มอย่างหมดหวัง
วังจุฑาเทพในเวลาค่ำคืน สองคุณชาย ธราธรกับพุฒิภัทรประคองหม่อมย่าเอียดเดินออกมาจากตัวตึก ย่าอ่อนเดินตามมาส่ง ถนอม คนขับรถ ยืนรออยู่ที่รถ
“นี่คุณหญิงดารณีนุชคงปลื้มใจตายเลยนะคะ ปกติคุณพี่ไม่เคยยอมออกงานที่ไหนง่ายๆ ทางเราให้เกียรติถึงเพียงนี้ ไม่รู้ทางโน้นจะจัดงานใหญ่โตสมเกียรติหรือเปล่า” ย่าอ่อนบอก
“ฉันก็ไม่ได้มีเกียรติอะไรนักหนา เป็นแค่ย่าแก่ๆ คนนึงที่อยากให้หลานๆได้ดิบได้ดี ได้แต่งงานมีครอบครัวที่ดีเท่านั้น”
“หลานทุกคนก็ซาบซึ้งในความหวังดีของหม่อมย่าครับ” ธราธรบอก
“แต่บางครั้งมันก็เป็นเรื่องของพรหมลิขิตนะครับ หม่อมย่า ถ้าเป็นคู่กันแล้วก็คงไม่แคล้วกัน” พุฒิภัทรว่า
“ย่าเชื่อว่า คู่ของชายเล็กกับหนูนุชนี่ต้องไม่แคล้วกันแน่ๆ” ย่าอ่อนพูดแล้วหันไปทางพี่สาว
“คุณพี่วางใจเถอะค่ะ คราวนี้จุฑาเทพกับเทวพรหมจะต้องได้ตกล่องปล่องชิ้นกันแน่ๆ”
“เราจะได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับทางเทวพรหมได้ซักที แล้วนี่พ่อตัวดีอยู่ไหนล่ะ ยังไม่ลงมาอีกหรือ” ย่าเอียดบอก
“ชายเล็กขอไปรถชายพีร์น่ะครับ จะได้ไม่ต้องนั่งเบียดกัน” ธราธรบอก
“นั่นครับ หม่อมย่า เดินลิ่วๆกันไปโน่นแล้ว” พุฒิภัทรบอก
คุณชายรณพีร์กึ่งดึงกึ่งลากสมบุญในชุดสูทของรัชชานนท์ไปที่รถ ย่าเอียดเขม็งมองไปเห็นแต่ด้านหลังสมบุญที่ทำตัวงอๆอย่างกลัวจัด รณพีร์หันมามองย่าเอียดแล้วโบกมือส่งยิ้มให้เพื่อให้ตายใจไปก่อน
รณพีร์รีบเปิดประตูรถแล้วผลักสมบุญเซถลาเข้ารถไปจนหัวทิ่มหัวตำ แล้วแล่นรถฉิวออกไปก่อนโดยไม่รอใคร
หม่อมย่าเอียดไม่ติดใจสงสัยอะไร ถนอมเปิดประตูรถให้เจ้านายทุกคนขึ้นรถไป ย่าอ่อนยืนยิ้มเล็กยิ้มน้อยอย่างวาดฝันถึงคู่รัชชานนท์กับศินีนุชได้ลงเอยเสียที
“เห็นทีคราวนี้วังจุฑาเทพจะได้มีงานมงคลอีกงานแล้ว”
รถของวังจุฑาเทพเคลื่อนจากตัวตึกไปจนออกไปนอกรั้วบ้านที่มีตราราชสกุลจุฑาเทพบนกำแพงวังเรืองรองใต้แสงไฟ
ท่ามกลางบรรยากาศงานเลี้ยงหรูหรากลางสวนของวังกิตติวงศ์ กลุ่มแขกเดินถือแก้วแชมเปญเดินทักทายกัน หม่อมย่าเอียดนั่งเด่นเป็นสง่าอยู่ที่โต๊ะรับแขกวีไอพีจัดแต่งอย่างหรู คุณชายธราธรกับพุฒิภัทรนั่งจิบแชมเปญเป็นเพื่อนหม่อมย่าอยู่
“คิดถึงชายรุจนะครับ หม่อมย่า อยู่ที่โน่นคงต้องไปงานเลี้ยงอย่างนี้ไม่เว้นแต่ละวัน” ธราธรบอก
“แต่ตอนนี้ต่อให้ต้องไปงานเลี้ยงวันละสิบงาน ชายรุจคงไม่เบื่อแล้วล่ะครับ ก็มีคุณรสาอยู่ข้างๆด้วยนี่ครับ” พุฒิภัทรบอก
“เห็นไหมล่ะ พอแต่งงานกันไป ชีวิตก็สุขสมบูรณ์ขึ้น ย่าถึงอยากให้หลานทุกคนแต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝา ไม่รู้ว่าชายเล็กกับชายพีร์จะบิดพลิ้วเรื่องแต่งงานไปทำไม”
คุณชายอนุพันธ์กับคุณหญิงดารณีนุชเดินเข้ามาไหว้ทำความเคารพหม่อมย่าเอียด
“สวัสดีครับ หม่อมป้า”
สองคุณชายรีบไหว้คุณชายกับคุณหญิง
“สวัสดีค่า หม่อมป้าขา ขอประทานโทษจริงๆนะคะที่ออกมาต้อนรับช้าไปหน่อย แล้วนี่คุณชายเล็กอยู่ไหนคะ ลูกนุชอยากเจอพี่ชายเล็กจะแย่แล้ว” ม.ร.ว. ดารณีนุชบอก
ม.ร.ว. อนุพันธ์ส่งเสียงปรามภรรยา
“คุณหญิง”
“เราจะต้องกระดากอายไปทำไมคะ คนทั้งพระนครก็รู้กันหมดแล้วว่า ลูกนุชกับคุณชายเล็กเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน ทุกคนที่มาในงานคืนนี้ไม่ได้มาแค่แสดงความยินดีที่ลูกนุชเรียนจบกลับมาเท่านั้น แต่ยังมาแสดงความยินดีกับการประกาศการหมั้นหมายของเราสองสกุลด้วยนะคะ”
หม่อมย่าเอียดนิ่งอึ้งเพิ่งรู้เรื่องนี้ ฝ่ายสองคุณชายเห็นความเจ้ากี้เจ้าการของคุณหญิงแล้วกลัวแทนใจแทนรัชชานนท์ ม.ร.ว.ดารณีนุชหัวเราะ
“หม่อมป้าเห็นด้วยใช่มั้ยล่ะคะ แหม ก็ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว เราไม่ต้องมีพิธีการอะไรให้มันเยิ่นเย้อหรอกค่ะ ประกาศหมั้นเสียวันนี้แล้วก็หาฤกษ์แต่งงานเลย !”
หม่อมย่าเอียดมองดารณีนุชแล้วพูดอะไรไม่ออกเลยทีเดียว
ภายในวังกิตติวงศ์ ม.ร.ว. รณพีร์ จุฑาเทพ เดินถือแก้วแชมเปญสองใบในมือมาหยุดที่มุมห่างไกลผู้คน สมบุญในชุดสูทหรูยืนหันหลังตัวโค้งตัวงอ คุณชายส่งแก้วแชมเปญให้
“มาถึงนี่แล้ว จะกลัวอะไร ดื่มย้อมใจไปก่อน ไป”
ม.ล.วิไลรัมภา เทวพรหมถลามาเกาะแขนรณพีร์ไว้
“พี่ชายพีร์ ! มาหลบอยู่นี่เอง รัมภาตามหาเสียทั่วงาน ไปค่ะ ไปเต้นรำกัน”
“พี่ไปเต้นรำด้วยไม่ได้ พี่ต้องอยู่เป็นเพื่อน...เพื่อนพี่ชายเล็ก”
เสียงเพลงวอลทช์จากวงดนตรีเปลี่ยนเป็นเพลงบรรเลงดดังกระหึ่ม ดูยิ่งใหญ่
บริเวณโต๊ะหม่อมเอียด ธราธร พุฒิภัทร ม.ร.ว.อนุพันธ์และคุณหญิงดารณีนุชหันไปมองที่ทางเข้างาน แขกที่มาร่วมงานต่างหยุดนิ่งหันไปมองเป็นตาเดียว
ม.ล. ศินีนุช เทวพรหมในชุดราตรีหรูสวมใส่เพชรแบบจัดเต็มจนดูพราวแพรวไปทั้งตัวเดินเข้างานอย่างช้าๆ พลางส่งยิ้มโปรยเสน่ห์ให้ผู้คนที่เดินผ่าน วิไลรัมภาสะบัดหน้าเมินหนีอย่างหมั่นไส้
“เปิดตัวราวกับเป็นเจ้าหญิง !”
ศินีนุชเดินผ่านคุณชายรณพีร์กับวิไลรัมภาอย่างไม่สนใจ เพราะเธอกำลังเป็นปลื้มพองลมกับสายตาชื่นชมของชายหนุ่มทุกคนในงาน คุณชายรีบยืนบังสมบุญไว้ทันที
ศินีนุชกวาดตามองหารัชชานนท์อย่างตื่นเต้น มองข้ามหัวหม่อมเอียดไปอย่างไม่คิดอะไร
คุณหญิงดารณีนุชรีบเข้าไปหาลูกสาวโดยไว
“ลูกนุช ไปกราบหม่อมย่าก่อน”
ศินีนุชนึกได้เมื่อโดนทักท้วง
“หม่อมย่า ! อุ๊ย ! ได้ค่ะ คุณแม่”
ศินีนุชปราดเข้าไปย่อตัวลงกราบที่ตักหม่อมย่าเอียดอย่างอ่อนหวาน
“นุชกราบสวัสดีหม่อมย่าค่ะ”
“ไหว้พระเถอะ ลูก”
ศินีนุชผละจากหม่อมย่าเอียดอย่างฉับไวปราดตามองคุณชายธราธรกับคุณชายพุฒิภัทรพลางยกมือไหว้อย่างอ่อนช้อย
“สวัสดีค่ะ พี่ชายใหญ่ พี่ชายภัทร”
สองคุณชายรับไหว้พลางมองพิจารณาว่าที่น้องสะใภ้ ศินีนุชยิ้มหวานอย่างมั่นใจ
“นุชสวยขึ้นมาก จนจำนุชไม่ได้เลยล่ะซิคะ แล้วพี่ชายเล็กล่ะคะ”
“ยืนอยู่กับชายพีร์ตรงโน้น” คุณชายธราธรบอก
ศินีนุชตื่นเต้นลุกขึ้นพรึบพรับพรวดพราดออกไปทันที
“อุ๊ย งั้นนุชขอไปเซย์ฮัลโหลกับพี่ชายเล็กก่อนนะคะ”
หม่อมย่าเอียดมองศินีนุชที่ดูกระโดกกระเดกอย่างอึ้งๆ คุณหญิงดารณีนุชหัวเราะเอ็นดู
“ลูกคนนี้ ไปเรียนอยู่เมืองนอกเสียนาน จนจะกลายเป็นแหม่มไปแล้ว หม่อมป้าคงไม่ถือสานะคะ”
ม.ร.ว. อนุพันธ์ไม่เห็นด้วยกับการตามใจลูกของคุณหญิงแต่นิ่งเงียบไม่พูดอะไร ฝ่าย สองคุณชายมองหน้ากันอย่างขำๆ
ศินีนุชเดินเร็วๆ มาทางที่คุณชายรณพีร์ยืนอยู่ วิไลรัมภาเดินมาประกบข้างศินีนุชทันที
“จะรีบไปหาพี่ชายเล็กหรือจ๊ะ นุช งั้นก็รีบหน่อยนะ เดี๋ยวพี่ชายเล็กรู้ทันแผนจับลูกเขยของคุณอาหญิงในคืนนี้ ได้เผ่นหนีแทบไม่ทันแน่ๆ”
“ขอบใจนะที่มาเตือน แต่เธอน่าจะห่วงเรื่องตัวเองมากกว่า รีบไปจับพี่ชายพีร์ไว้ให้มั่นๆ เพราะถ้าหากฉันได้แต่งงานกับพี่ชายเล็กเมื่อไหร่ เธอก็หมดหวังจากพี่ชายพีร์เมื่อนั้น” ศินีนุชหัวเราะแล้วพูดต่อ
“แต่ก็ไม่เป็นไรนี่นะ อยู่เป็นสาวเทื้อไปก็ดี คุณลุงเทวพันธ์จะได้มีลูกสาวไว้ดูแลตอนแก่ไงล่ะ ขอโทษนะ ว่าที่สามีของฉันรออยู่”
ศินีนุชเดินฉับๆ ออกไป ส่วนวิไลรัมภายืนมองตามอย่างเจ็บใจ
ศินีนุชเดินเร็วๆตรงมาเห็นคุณชายรณพีร์ยืนอยู่กับสมบุญที่ยืนหันหลังให้ เธอหยุดชะงักจับเผ้าจับผมให้เข้าที่แล้วค่อยๆ เดินนวยนาดเข้าไป ยกมือไหว้คุณชายรณพีร์กับสมบุญ
เธอทอดเสียงหวานใส่
“สวัสดีค่ะ พี่ชายพีร์ พี่ชายเล็ก”
รณพีร์อึกอัก
“เออ...สวัสดีจ้ะ น้องนุช นี่ถ้าไปเจอกันที่อื่น คงจำกันไม่ได้แน่ๆ”
คุณชายรณพีร์รีบยืนบังสมบุญไว้เพื่อถ่วงเวลาหาทางหนีทีไล่ สมบุญหันหน้าหนีเลิ่กลั่กๆเธอพยายามชะโงกมองหน้าสมบุญที่คิดว่าเป็นคุณชายรัชชานนท์
“แล้วพี่ชายเล็กล่ะคะ จำน้องนุชคนนี้ได้ไหมเอ่ย เราไม่ได้เจอกันตั้งสี่ห้าปีแล้ว จะไม่ทักทายกันหน่อยหรือคะ พี่ชายเล็ก หรือเราจะทักทายกันแบบธรรมเนียมฝรั่ง”
ศินีนุชส่งมือทอดสะพานให้สมบุญอย่างมีจริต เธอยิ้มหวาน
“Good evening. How have you been”
รณพีร์คิดอะไรไม่ทันดึงมือสมบุญให้จับมือเธอไปก่อน เธอยิ้มชื่นใจ
“นุชดีใจจริงๆนะคะที่ได้เจอพี่ชายเล็กอีกครั้ง”
วิไลรัมภาเดินเข้ามาหยุดมองอย่างหมั่นไส้ ศินีนุชเริ่มแปลกใจที่คุณชายรัชชานนท์ตัวปลอมยังก้มหน้าก้มตาหลบอยู่หลังรณพีร์ ผู้เป็นน้องชาย
“พี่ชายเล็กไม่มีอะไรจะพูดกับนุชเลยหรือคะ ไม่ต้องเขินอายหรอกค่ะ พี่ชายเล็กคะ !”
ศินีนุชดันรณพีร์ออกไปแล้วจับตัวสมบุญหันกลับมา เธอปล่อยมือจากสมบุญผงะถอยหลังออกมา ส่งเสียงด้วยความตกใจ
“แกเป็นใคร !!”
สมบุญยืนเหงื่อแตก ขาสั่นพรับๆด้วยความกลัว
รณพีร์ยืนกลั้นหัวเราะอยู่ข้างๆ วิไลรัมภาหัวเราะพรืดออกมาอย่างสาแก่ใจ
“แกเป็นใคร แล้วพี่ชายเล็กอยู่ไหน !”
ศินีนุชเต้นเร่าๆ ด้วยความตกใจและโกรธ
บนตู้เสบียงรถไฟ รัชชานนท์หัวเราะขำเมื่อนึกถึงภาพที่ ม.ล. ศินีนุชได้เจอกับสมบุญสวมรอยเป็นเขา
“โทษทีนะ สมบุญ คิดว่าช่วยนายแกซักครั้งก็แล้วกัน”
รัชชานนท์จิบกาแฟพลางหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นอ่าน ลุง 2 คนที่อยู่โต๊ะใกล้ๆ ทุบโต๊ะทุ่มเถียงกันเสียงดัง
“เฮ้ย ยังไงคราวนี้โผนก็ต้องชนะ” ลุงคนที่ 1 บอก
“คนไทยจะไปสู้ฝรั่งได้ยังไงวะ ดูอย่างจำเริญซิ แพ้ตั้งสองครั้งสองคราอับอายขายหน้าไปทั่วโลก” ลุงคนที่ 2 ว่า
รัชชานนท์วางหนังสือพิมพ์หันไปมองทั้งลุงสองคน
“เอ็งเป็นคนไทยหรือเปล่าวะ ทำไมถึงเหยียบย่ำคนไทยด้วยกันอย่างนี้ไป อยู่เมืองฝรั่งเลยไป ไอ้พวกหนักแผ่นดิน !” ลุงคนที่ 1 ว่า
“มันจะมากไปแล้วโว้ย !”
ลุงคนที่ 2 กระชากคอเสื้อจะชกหน้าลุงคนที่ 1รัชชานนท์รีบเข้ามาห้ามมวย
“ใจเย็นๆครับ ลุง มีอะไรค่อยๆ พูดกันดีกว่านะครับ คุยเรื่องโผน กิ่งเพชรกันอยู่ใช่ไหมครับ ผมว่า โผนเก่งหาใครเทียบได้ แต่เปเรซก็ใช่ย่อย เพิ่งได้เหรียญทองโอลิมปิคมาไม่กี่ปีนี้เอง ดูทางมวยแล้ว..ผมว่าสูสีนะครับ”
คุณชายจับลุงสองคนแยกออกจากกันได้แล้วนั่งร่วมวงคุยด้วย
หนังสือพิมพ์ที่รัชชานนท์วางไว้บนโต๊ะและยังไม่ทันได้อ่าน พาดหัว
“เวียงพูคำร้อนระอุ เซกองลั่นไม่ใช่เผด็จการ รอเจ้าหลวงคืนบังลังก์”
พร้อมภาพประกอบของนายพลเซกองและเจ้าหลวงสุริยวงศ์
ทว่าภาพของเจ้าหลวงสุริยวงศ์เห็นเพียงเสี้ยวเดียว เพราะถูกลมพัดจนหน้าหนังสือพิมพ์พับปิดภาพไป ลมพัดอยู่สองสามวูบ ก่อนจะมาวูบใหม่
และพัดเอาหนังสือพิมพ์ทั้งฉบับปลิวหายไปนอกหน้าต่างรถไฟ
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
หม่อมเอียดนิ่งอึ้ง หน้าชาแล้วชาอีกด้วยความอับอายขายหน้า พลตรี ม.ร.ว. อนุพันธ์ นั่งหน้าตึงอย่างไม่พอใจ ดารณีนุชกับลูกสาวนั่งทำหน้าไม่ถูก
“ฉันต้องขอโทษแทนชายเล็กด้วยนะคะ คุณชาย”
“ผมไม่ต้องการคำขอโทษ แต่ผมอยากได้คำอธิบายมากกว่าครับ”
ธราธรกับพุฒิภัทรหันไปมองรณพีร์ที่ยืนอยู่ห่างออกไป สมบุญยืนตัวลีบอยู่เบื้องหลัง
“ว่ายังไงล่ะ ชายพีร์ มีคำอธิบายไหม” ธราธรถาม
คุณชายพุฒิภัทรสำทับดุๆ
“อธิบายมาให้ดีล่ะ ชายพีร์”
“คือ..คือพี่ชายเล็กถูกท่านอธิบดีเรียกตัวกะทันหันน่ะครับ หม่อมย่าคาดคั้นให้พี่ชายเล็กมางานคืนนี้ให้ได้ เราไม่รู้จะทำยังไงดี ก็เลยให้สมบุญสวมรอยแทนพี่ชายเล็กไปก่อน” รณพีร์อธิบาย
“อุ๊ย นี่หมายความว่า พี่ชายเล็กเสร็จงานแล้วก็จะตามมาใช่ไหม นี่คงเป็นแผนเซอร์ไพรส์นุชแน่ๆ เลยใช่มั้ยล่ะคะ แล้วพี่ชายเล็กจะมาเมื่อไหร่คะ”
“เออ...คงไม่มาแล้วล่ะครับ น้องนุช แล้วทางที่ดีน้องนุชอย่ารอเลย พี่ชายเล็กคงไม่กลับในวันสองวันนี้หรอกครับ”
วิไลรัมภาเดินเข้ามาฟังเงียบๆ
“คุณชายเล็กมางานคืนนี้ไม่ได้ แล้วทำไมไม่บอกกล่าวกันดีๆ ทำไมต้องเล่นพิเรนทร์อย่างนี้ด้วย ทำอย่างนี้ผมถือว่าไม่ให้เกียรติกัน” อนุพันธ์บอก
“คุณชายคะ คุณชายเล็กคงไม่ได้ตั้งใจหรอกค่ะ ถึงคุณชายเล็กจะมางานคืนนี้ไม่ได้ แต่โอกาสหน้าก็ยังมี...” ดารณีบอก
“ไม่มีโอกาสหน้าแล้ว ! ที่จริงสัญญาระหว่างท่านชายวิชชากรกับพี่เทวพันธ์ก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับทางเราอยู่แล้ว ศินีนุชไม่จำเป็นจะต้องแต่งงานกับคุณชายเล็กเพื่อรักษาสัญญา ถ้าอยากจะอยู่งานเลี้ยงต่อ ก็เชิญนะครับ แต่ผมขอตัวก่อน”
พลตรี ม.ร.ว.อนุพันธ์เดินออกไปอย่างไม่สบอารมณ์ หม่อมย่าเอียดนิ่งอึ้ง คอแข็งเหมือนถูกตบหน้าอย่างแรง !!
“ไม่นะคะ คุณพ่อ !”
ม.ร.ว. ดารณีนุชละล่ำละลัก
“อย่าไปฟังนะคะ หม่อมป้า คุณชายกำลังหัวเสียก็เลยพูดออกไปไม่ทันคิด...ยังไงเรื่องหมั้นหมายของคุณชายเล็กกับลูกนุชก็ต้องเป็นไปตามที่เราคุยกันไว้นะคะ”
“คุณอาหญิงอย่าเพิ่งห่วงเรื่องหมั้นหมายเลยนะคะ ห่วงงานคืนนี้จะดีกว่า คุณอาหญิงจะประกาศข่าวดียังไงล่ะคะ ในเมื่อคู่หมายของศินีนุชหนีไปเสียแล้วอย่างนี้ โถ..ฉันสงสารเธอเสียจริงๆ นุช แม่สายบัวแต่งตัวเก้อ !” วิไลรัมภาพูดพลางหัวเยาะเย้ย
ศินีนุชนิ่งโกรธอับอายได้แต่ส่งสายตาอาฆาตไปที่ลูกพี่ลูกน้องอย่างวิไลรัมภา รณพีร์แอบดีใจที่แผนการสำเร็จแล้ว เขารีบตีหน้าขรึมทันทีที่เห็นสายตาดุๆของย่าเอียด
ภายในวังจุฑาเทพ เวลาต่อมา หม่อมย่าเอียดนั่งลงนิ่งคิดพิจารณาอย่างหนัก ย่าอ่อนตามมานั่งด้วยพลางสูดยาดมเหมือนลมจะใส่
“ชายเล็กหนีไปหรือคะ คุณพี่ ชายเล็กนะชายเล็ก ทำอะไรไม่รู้จักคิด คุณชายอนุพันธ์เป็นถึงนายพลถือศักดิ์ศรีเกียรติยศเสียยิ่งกว่าอะไร ไปทำเรื่องหยามเกียรติท่านได้ยังไง แล้วนี่เราจะทำยังไงดีล่ะคะ คุณพี่”
หม่อมเอียดหันไปมองธราธรกับพุฒิภัทรอย่างเอาเรื่อง
“ชายใหญ่! ชายภัทร! ไปตามชายเล็กกลับมา”
“เรายังไม่รู้เลยนะครับว่า ชายเล็กหนีไปไหน แล้วจะตามตัวเจอได้ยังไงล่ะครับ” พุฒิภัทรบอก
“ไม่รู้ล่ะ ไปตามหาให้เจอก็แล้วกัน และต้องตามกลับมาภายในวันพรุ่งนี้ด้วย!”
ธราธรนิ่งคิด
“ชายเล็กเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ คงไม่กล้าทิ้งงานหนีไปไหนไกล อย่างมากก็คงไปหลบอยู่ที่บ้านหัวหินซักพัก”
รณพีร์ฟังอยู่นานเลยอดปากไวไม่ได้
“พี่ชายใหญ่ประเมินความสามารถของพี่ชายเล็กต่ำไปแล้วล่ะครับ ถ้าจะหนีก็ต้องหนีไปให้ไกล ไม่ให้คนจับได้ ถ้าหนีแล้วถูกจับได้แล้วจะหนีไป ทำไมล่ะครับ”
ธราธรกับพุฒิภัทรหันมามองรณพีร์พร้อมกันอย่างดุๆ รณพีร์จะกลับลำก็สายเสียแล้ว
“แล้วที่ว่าหนีไปให้ไกลน่ะ ไกลแค่ไหน” พุฒิภัทรถาม
“ผม...ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“แต่ฉันแน่ใจว่า นายรู้ว่า ชายเล็กหนีไปไหน นายยังมีความผิดติดตัวที่ช่วยชายเล็กหนีไป นี่จะเป็นโอกาสที่นายจะได้แก้ตัว ว่ายังไงล่ะ ชายพีร์ !” ธราธรคาดคั้น
รณพีร์จำยอมบอก
“พี่ชายเล็กหนีไปหนองคายครับ ถึงจะไปตามก็เปล่าประโยชน์ เพราะว่าพี่ชายเล็กขอย้ายไปประจำที่แขวงการทางที่โน่นอย่างถาวรแล้วล่ะครับ”
หม่อมย่าเอียดกับย่าอ่อนนิ่งอึ้งไป ย่าอ่อนสูดยาดมเฮือกใหญ่อีกรอบ
ธราธรกับพุฒิภัทรมองรณพีร์อย่างนึกไม่ถึงว่ารัชชานนท์จะเอาจริงถึงเพียงนี้
เช้าวันใหม่ รถไฟจากกรุงเทพฯ แล่นเทียบชานชาลาสถานีรถไฟหนองคาย … รถจิ๊ปเก่าๆ แล่นอย่างเชื่องช้าเลียบถนนริมแม่น้ำโขง ภายในรถ รัชชานนท์นั่งคู่กับบุญโฮมที่เป็นคนขับรถ
“บุญโฮม อีกไกลไหมกว่าจะถึงบ้านพัก”
“ไม่ไกลหรอกครับ คุณชาย จากนี่ไม่ถึงยี่สิบกิโล ไม่กี่นาทีก็ถึงแล้ว คุณชายอยากถึงบ้านพักเร็วๆใช่ไหมครับ งั้นผมเหยียบเลยนะครับ”
บุญโฮมเร่งคันเร่งเต็มที่ รถกระตุกๆ เหมือนจะแล่นเร็วแต่ก็ได้ความเร็วระดับเดิม รัชชานนท์มองรถคันอื่นๆที่แล่นแซงหน้าไปทีละคัน แม้แต่รถสามล้อถีบก็แซงไปได้ คุณชายพึมพำ
“วันนี้จะถึงไหมเนี่ย”
รัชชานนท์หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปสองข้างทางเป็นทิวทัศน์แม่น้ำโขงฆ่าเวลา เขาหยุดกดรัวชัตเตอร์ ชะงักมองไปทางอีกฟากของแม่น้ำโขง
“บุญโฮม”
“ผมขับรถเร็วไปหรือครับ ขอประทานโทษครับ”
บุญโฮมรีบชะลอรถจนเกือบจะหยุด รัชชานนท์ขำ
“เร็วจนหัวใจฉันแทบวายเลยล่ะ ...ข้ามแม่น้ำโขงไปฝั่งโน้นเป็นอะไร”
“นั่นเขตแดนเวียงพูคำครับ คุณชาย”
“เวียงพูคำ”
รัชชานนท์มองไปทางเขตแดนเวียงพูคำอย่างสนใจ
บรรยากาศป่าทึบที่ดูลึกลับน่ากลัว ไม่มีเสียงใดๆ นอกจากเสียงลมและใบไม้ไหวราวกับไม่มีสิ่งมีชีวิตใดๆ เสียงสวบสาบของคนที่ย่ำพื้นดินดังขึ้น ราวเสียงคนเดินอย่างรีบร้อน
จ่อยย่ำเดินพรวดพราดเข้ามาพลางตะโกนเรียก
“อีนางสร้อย! สร้อยเอ๊ย อยู่ไสของมันวะเนี่ย”
จ่อยมองหาสร้อยจนไม่ทันระวัง เหยียบพรวดลงไปในแร้วดักสัตว์ แร้วรวบเข้าที่ข้อเท้าของจ่อยพร้อมๆ ดึงร่างของจ่อยไปห้อยโตงเตงบนต้นไม้
“เฮ้ย! ช่วยด้วย ช่วยข้อยด้วย !”
จ่อยตะเกียกตะกายโหนตัวเพื่อตัดเชือกที่ข้อเท้าแต่ไม่สำเร็จ
“ฮ่วย ! เฮ็ดจังได๋ดีล่ะทีนี้ มีไผอยู่บ้าง ช่วยด้วย” จ่อยแหกปาก
สร้อยก้าวเข้ามา มือที่ถือหน้าไม้ค่อยๆยกขึ้นสูงเตรียมเล็งยิง จ่อยตกใจมากที่เห็นว่าใครคนหนึ่งกำลังยิงหน้าไม้มาที่ตน
“เฮ้ย ! อย่ายิง อย่า”
ลูกดอกจากหน้าไม้แล่นพุ่งไปตัดเชือกที่รัดข้อเท้าของจ่อยอยู่ขาดผึง ร่างจ่อยร่วงหล่น ตุ๊บ! มากองหมอบอยู่ จ่อยค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเห็นสร้อยถือหน้าไม้ยืนจังก้าก้มลงมองอย่างรำคาญใจ
สร้อยเดินอาดๆลุยบุกแหวกป่าออกมา จ่อยเดินกระโผลกกระเผลกตามมา
“อีสร้อย รอข้อยด้วย สิฟ่าวไปไส”
“บ่ต้องตามมา”
“พ่อใหญ่สั่งไว้ ให้คอยตามเจ้าไว้ กลัวเจ้าสิไปก่อเรื่อง เจ้ากะฮู้อยู่ว่า พ่อใหญ่ให้พวกเฮาอยู่เฉยๆ อย่าเพิ่งเฮ็ดอิหยัง”
“ข้อยอยู่เฉยๆ บ่ได้ ไอ้พวกทหารเวียงเข้ามาใกล้ขึ้นทุกที ไปๆ บ่ต้องตามมา สิไปไสกะไป ไป”
“บ่ไป เจ้าไปไส ข้อยไปด้วย ข้อยมีหน้าที่คุ้มกันเจ้า”
“เฮอะ เซ่อซ่าอย่างเจ้าสิคุ้มกันอะหยังข้อยได้ รำคาญอีหลีโว้ย ฮู้จังซี้ บ่ช่วยดีกว่า ปล่อยให้แห้งตายอยู่ในป่านั่นแหละ”
“สิว่าเจ้าบ่ช่วย ข้อยกะหาทางเองได้เว้ย”
สร้อยจุ๊ปาก
“เงียบ !”
จ่อยรีบหุบปากนิ่งเงียบ สร้อยนิ่งฟังเสียงแปลกปลอมในป่า เธอรีบเร่งฝีเท้าลัดเลาะหลบไปตามต้นไม้อย่างคล่องแคล่วว่องไว จ่อยตามติดสร้อยไม่ยอมปล่อยให้คลาดสายตา สร้อยหลบวูบหลังต้นไม้ใหญ่ จ่อยตามมาหลบอยู่หลังสร้อย จ่อยกระซิบถาม
“มีอะหยัง”
สร้อยบุ้ยใบ้ให้จ่อยมองไปที่ทางเข้าหมู่บ้าน จ่อยมองตามเห็นทหาร 4-5 คน เดินวนเวียนหาทางเข้าหมู่บ้านวลาหกอยู่ สร้อยจับตามองพวกทหารเวียงพูคำอย่างระแวดระวัง มือจับหน้าไม้ไว้เตรียมพร้อม
“เตรียมตัว ! ถ้าพวกมันข้ามขอนไม้นั่นมา ก็ลงมือได้เลย”
กลุ่มทหารเวียงพูคำเดินมาหยุดอยู่บริเวณทางเข้า เห็นแต่ป่ารกชัฎเข้าไปไม่ได้
“ไสวะ ทางเข้าหมู่บ้าน” ทหารคนที่ 1 พูด
“เมื่อกี้ข้าเห็นจริงๆ มันหายไปไสแล้ววะ” ทหารคนที่ 2 บอก
“บ่ใช่หม่องนี้ ก็น่าจะเป็นทางโพ้น”
กลุ่มทหารเวียงถอยออกไป
สร้อยปล่อยมือจากหน้าไม้ที่จับกระชับเตรียมพร้อม
สร้อยพึมพำ
“มนต์หมอกของแม่เฒ่ากำลังสิเสื่อมแล้วอีหลี”
มวลหมอกที่ปกป้องทางเข้าหมู่บ้านปรากฎขึ้นแล้วจางหายไป สร้อยเริ่มกังวลใจกลัวทหารเวียงพูคำจะเข้ามาในหมู่บ้านวลาหกได้
รถจี๊ปจอดอยู่ที่ริมถนนเลียบแม่น้ำโขง รัชชานนท์ถ่ายรูปอยู่ที่ริมแม่น้ำโขงอีกสามสี่รูป
บุญโฮมยืนกุมเป้ารออยู่อย่างสุภาพ
“เราจะข้ามไปฝั่งโน้นได้ไหม บุญโฮม ฉันอยากไปถ่ายรูป”
“อย่าเลยครับ คุณชาย สถานการณ์ในเวียงพูคำยังวุ่นวายอยู่ ตั้งแต่นายพลเซกองขึ้นปกครองประเทศ บ้านเมืองก็ไม่เคยสงบสุข ชาวเวียงพูคำอยู่อย่างลำบากยากแค้น อพยพข้ามมาไทยไม่เว้นแต่ละวัน จนทหารเวียงตามไล่ล่าจับตัวกลับไปไม่หวาดไม่ไหว”
“ทำไมล่ะ”
“นายพลเซกองคงกลัวว่าจะมารวมกลุ่มกับกองกำลังกู้ชาติทางนี้กระมังครับ มีข่าวลือหนาหูเหลือเกินว่า หลังจากที่เจ้าหลวงสุริยวงศ์ถูกโค่นบังลังก์เมื่อสิบกว่าปีก่อน ก็ได้หนีตายข้ามมาฝั่งไทยและได้รวบรวมกองกำลังเพื่อจะกลับไปกอบกู้เวียงพูคำกลับคืนมา”
“นี่หมายความว่าเจ้าหลวงองค์ก่อนของเวียงพูคำอยู่ในไทยนี่เองหรือ ฉันเคยได้ข่าวว่า พระองค์ทรงลี้ภัยไปอยู่ที่ฝรั่งเศสนี่นา”
“ผมก็ไม่รู้ว่า ข่าวไหนจริงข่าวไหนเท็จ แต่ตอนนี้ชาวเวียงพูคำกำลังเรียกร้องให้เจ้าหลวงสุริยวงศ์กลับมา เพราะทนความเผด็จการของนายพลเซกองไม่ไหว นายพลเซกองก็เลยหวาดระแวงกลัวการโค่นอำนาจ ไม่ว่ามีข่าวชาวเวียงพูคำไปรวมตัวกันที่ไหน นายพลเซกองสั่งทหารเวียงให้ไปทลายเสียสิ้น ถ้าหากคุณชายเจอะเจอไอ้พวกทหารเวียง ก็อย่าไปยุ่งกับพวกมันเชียว ไอ้พวกนี้มันกร่างเหลือเกิน เดี๋ยวจะมีเรื่องกันเปล่าๆ”
รัชชานนท์ไม่ได้สนใจฟังคำเตือนของบุญโฮมได้แต่มองไปที่เวียงพูคำที่อยู่อีกฟากฝั่งของแม่น้ำโขง
ท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบของหมู่บ้านวลาหก เรือนไม้หลายสิบหลังปลูกอยู่ห่างๆ กัน ชาวบ้านรวมกลุ่มกันสานตะกร้ากระบุง บางบ้านเริ่มก่อไฟหุงข้าว
เด็กเล็กๆ วิ่งเล่นกันเกรียวกราวดูเป็นหมู่บ้านที่ปกติสุขธรรมดาๆหมู่บ้านหนึ่ง
เรือนของพ่อใหญ่ เป็นเรือนหลังใหญ่ และเป็นศูนย์กลางของหมู่บ้าน พ่อใหญ่วัย 60 ปีกำลังโขกหมากรุกอยู่กับไกสอน อยู่ลานหน้าเรือนใหญ่ แฮรี่ อาจารย์ชาวเยอรมันสอนหนังสือกลุ่มเด็กๆที่ล้อมวงอยู่
ไกสอนมองหมากรุกบนกระดานอย่างเคร่งเครียดแล้วตัดสินใจเดินหมากต่อ พ่อใหญ่มองปราดเดียวก็ขยับตัวหมากรุกฆาตชนะไกสอนได้อย่างง่ายดาย
ไกสอนหัวเราะบอก
“แพ้อีกจนได้”
สร้อยถือหน้าไม้เดินเร็วรี่ตรงมาหาพ่อใหญ่อย่างร้อนใจ จ่อยกระหืดกระหอบเดินตามมาแทบไม่ทัน
“พ่อใหญ่ ! พวกทหารเวียงมันมาป้วนเปี้ยนแถวทางเข้าหมู่บ้านอีกแล้ว เฮาสิเฮ็ดจังได๋ต่อไป ให้ข้อยจับตัวพวกมันไว้ดีบ่ คนกะเล่าลืออยู่แล้วว่า แถวนี้เป็นป่าอาถรรพ์ ถ้าทหารเวียงหายตัวไปบ่มีร่องรอย ต่อไปกะสิยิ่งบ่มีใครกล้าเข้ามาใกล้หมู่บ้านเฮา”
“แล้วตอนนี้พวกทหารเวียงอยู่ไส”
“พวกมันหาทางเข้าบ่เจอ กะเลยไปที่อื่นแล้ว”
“คืนนี้พวกมันต้องไปพักแรมที่ข้างลำธารแน่ พ่อใหญ่ให้คนไปกับข้อยสักสองสามคน”
พ่อใหญ่พูดขัด
“พ่อบ่ให้เจ้าไป พวกทหารเวียงไปแล้วกะแล้วกัน ห้ามเจ้าเฮ็ดอะหยังทั้งสิ้น เข้าใจบ่ เจ้าสร้อย หน้าที่ของเจ้าคือการเรียนหนังสือกับแฮรี่ ห้ามเจ้าเฮ็ดสิ่งใดนอกเหนือคำสั่งพ่อ ไปได้แล้ว ไป”
“พ่อใหญ่ !”
พ่อใหญ่มองหน้าสร้อยนิ่งอย่างปราม สร้อยทำอะไรไมได้ นอกจากเดินฮึดฮัดออกไปอย่างไม่พอใจ
“รอไอ้จ่อยด้วย อีสร้อย !”
จ่อยวิ่งตามสร้อยออกไป
พ่อใหญ่ขยับจับเรียงตั้งหมากรุกบนกระดานเหมือนจะเริ่มเกมใหม่แต่ใจครุ่นคิดเรื่องทหารเวียงพูคำอย่างหนักใจ แฮรี่เข้ามาร่วมวงปรึกษาหารือด้วย
“ดูเหมือนว่าคำทำนายของแม่เฒ่าจะใกล้ความจริงขึ้นทุกที”
นั่นน่ะซิ บ่เคยมีไผเข้ามาใกล้หมู่บ้านเฮาได้ขนาดนี้ ถ้ามนต์หมอกของแม่เฒ่าปกป้องหมู่บ้านวลาหกบ่ได้อีกต่อไป เฮาคงสิต้องไปอยู่ที่อื่นล่ะมัง พ่อใหญ่” ไกสอนบอก
“เตรียมการอพยพไว้ได้เลย...” พ่อใหญ่บอก
พ่อใหญ่หยิบไม้ค้ำยันขึ้นมายันตัวขึ้นยืน ขาของพ่อใหญ่ข้างซ้ายขาดอันเนื่องมาจากสงครามสิ้นชาติเมื่อ 18 ปีก่อน
“เฮาเสียดวงใจไปแล้ว เฮาบ่ยอมเสียดวงตาไปอีกเป็นอันขาด ครั้งนี้เฮาจะหนีเป็นครั้งสุดท้าย ครั้งต่อไปเฮาสิต้องได้กลับเวียงพูคำบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเฮา !”
พ่อใหญ่สรหน้า แววตาเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเป็นอย่างมาก
ตุ๊กตาฟางถูกสร้อยยิงพรุนด้วยลูกดอกนับสิบอย่างพอดิบพอดี สร้อยยิงหน้าไม้จนลูกดอกหมดเกลี้ยง จ่อยยื่นกำลูกดอกอีกหนึ่งให้ตรงหน้า
“เอ้า ยิงเสียให้พอ”
สร้อยรับลูกดอกจากจ่อยมายิงซ้ำอีกครั้ง
“สบายใจบ่”
“บ่ ! ข้อยบ่เข้าใจ จังได๋พ่อใหญ่ถึงบ่คิดเฮ็ดอะหยังเลย ให้อยู่เฉยๆ ฮึ อยู่เฉยๆรอให้พวกทหารเวียงมาฆ่าหรือจังได๋”
“พ่อใหญ่เป็นห่วงเจ้าสิเป็นอันตรายน่ะซิ ปล่อยให้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่เถอะ อีสร้อย”
“บ่ได้ ! ข้อยเป็นลูกสาวพ่อใหญ่ ข้อยมีหน้าที่ช่วยพ่อใหญ่ดูแลทุกคนในหมู่บ้าน ไอ้พวกนายพลเซกองมันโหดเหี้ยมอำมหิตแค่ไหน ฮู้บ่ ! ถ้าพวกมันบุกเข้ามาได้ สิเกิดอะหยัง ฮู้บ่ !”
“ข้อยฮู้ๆ แต่เจ้าเป็นแม่หญิง เจ้าสิไปเฮ็ดอะหยังได้”
“เป็นแม่หญิงแล้วเป็นจังได๋ ข้อยเก่งเรื่องสู้รบบ่แพ้ผู้บ่าวคนใด ข้อยบ่ยอมอยู่เฉยๆแน่ ที่เฮาต้องบ้านแตกสาแหรกขาด แม่กะมาตาย พ่อต้องพิการ กะเพราะไอ้เซกองผู้เดียว ในเมื่อมันบ่ยอมปล่อยให้พวกเฮาอยู่อย่างสงบสุข ข้อยก็บ่ปล่อยมันคือกัน ไอ้เซกอง ! ไอ้คนขายชาติ”
สร้อยยิงหน้าไม้อีกครั้งปักใจกลางหัวใจของตุ๊กตาฟางทันที!
รถจี๊ปแล่นช้าอืดอาดมาจอดอยู่หน้าบ้านพัก วิชัย ผอ.แขวงการทางและเจ้าหน้าที่ 4-5 คนยืนรอต้อนรับ บุญโฮมรีบลงจากรถจะไปเปิดประตูรถให้รัชชานนท์ แต่เขาเปิดประตูรถลงมาเองเสียก่อน วิชัยปราดเข้าไปหารัชชานนท์
รัชชานนท์ยกมือไหว้วิชัยกับเจ้าหน้าที่ที่มารอรับก่อนจนวิชัยรับไหว้แทบไม่ทัน
“สวัสดีครับ ท่านผอ.วิชัยใช่ไหมครับ “
วิชัยทำหน้าเลิ่กลั่ก
“ครับ ใช่ครับ สวัสดีครับ คุณชายรัชชานนท์ ผม..ผอ.วิชัยในนามของแขวงการทางหนองคาย มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คุณชายให้เกียรติมาร่วมงานกับเรา ผมไม่เคยคิดเลยว่า ในชีวิตนี้จะได้มีโอกาสทำงานกับบุคคลผู้มีเกียรติสูงส่ง”
รัชชานนท์พูดขัด
“ท่านผอ.ครับ ได้โปรดปฏิบัติกับผมเหมือนเจ้าหน้าที่วิศวกรคนอื่นๆ เถอะนะครับ”
“ไม่ต้องห่วงครับ ผมเป็นถึงผอ. ผมไม่เลือกปฏิบัติอยู่แล้ว คุณชายเพิ่งมาถึงเหนื่อยๆ เชิญพักผ่อนตามสบายนะครับ แล้วจะพักอีกซักสามสี่วันค่อยเริ่มงานก็ได้ หรืออยากจะเที่ยวที่ไหนหรือต้องการอะไรบอกบุญโฮมได้เลยนะครับ”
“เรื่องเที่ยวไว้ทีหลังเถอะครับ ผมขอเริ่มงานวันนี้เลยดีกว่า ผมขอตัวอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อน ขอบคุณทุกคนนะครับที่มาต้อนรับ”
บุญโฮมถือกระเป๋าเดินทางเข้ามาจะเอาเข้าไปเก็บในบ้านให้
“ไม่ต้อง ฉันเอง”
รัชชานนท์หันไปพูดกับเจ้าหน้าที่
“เดี๋ยวเจอกันที่ไซท์งานนะครับ”
รัชชานนท์ถือกระเป๋าเดินทางเดินเร็วๆ เข้าบ้านไป
ผอ. วิชัยแปลกใจ
“ท่าทางขยันขันแข็งดีนะ”
“คนหนุ่มก็ไฟแรงอย่างนี้แหละครับ ท่านผอ. แต่คนเป็นเจ้าเป็นนายจะทำงานหนักๆไหวเร้อ วันนี้ผมว่า ไม่เกินครึ่งวันก็หมดแรงแล้วล่ะครับ”
วิชัยกับบุญโฮมมองตามรัชชานนท์คาดเดากันไปต่างๆนานา
ณ ถนนแห่งหนึ่ง ลมแรงจนพัดฝุ่นแดงจากดินลูกรังคลุ้งตลบจนมองแทบไม่เห็นถนน รัชชานนท์แบกเครื่องมือวัดถนนเดินเข้ามาท่ามกลางฝุ่นแดงที่ค่อยๆ เบาบางลง
บุญโฮมแบกไม้วัดเดินขาลากตามมาอย่างห่างออกไปไกล เขาจัดแจงตั้งเครื่องวัดวางบนพื้น ส่องมองทาง คำนวณพื้นที่แล้วจดลงสมุด
บุญโฮมเพิ่งเดินมาถึง เหงื่อโทรมตัว รัชชานนท์ยกเครื่องวัดถนนแล้วเดินขยับไปที่วัดอีกจุดห่างออกไป บุญโฮมเดินเหนื่อยตามไปอีกหลายๆมุมของถนน
บุญโฮมเหนื่อยแฮ่กบอก
“คุณชายครับ”
รัชชานนท์พูดสบายๆ
“มีอะไร”
“คุณชายจะไม่พักเสียหน่อยหรือครับ”
“เหนื่อยแล้วหรือ”
บุญโฮมถึงกับหอบ
“ไม่เหนื่อยครับ ไม่เหนื่อย แต่ผมไม่อยากให้คุณชายทำงานหักโหมเกินไป วันนี้น่าจะสำรวจที่ทางก็พอ แล้วเดี๋ยววันจันทร์เราค่อยลงมือทำงานกันจริงจัง ไม่ดีกว่าหรือครับ คุณชาย”
“ไหนๆก็มาแล้ว ฉันก็อยากจะเริ่มงานเลย”
รัชชานนท์มองไปรอบๆ ตัวที่เป็นพื้นที่แห้งแล้งสุดลูกหูลูกตา
“ในที่สุดฉันก็ได้ทำในสิ่งที่ฉันฝันไว้ ฉันได้ทำงานตอบแทนแผ่นดินเกิดของฉันเสียที”
รัชชานนท์มุ่งมั่นแน่วแน่กับอุดมการณ์ของตัวเอง
ภายในเรือนหม่อมย่าที่อยู่ในบริเวณวังจุฑาเทพ หม่อมย่าเอียดนั่งถักโครเชต์ลูกไม้ลายละเอียดยิบพลางครุ่นคิดเรื่องรัชชานนท์ ย่าอ่อนเดินนำคนรับใช้ 2 คนช่วยกันยกชุดน้ำชาเข้ามาจัดวางให้
“วันนี้ฉันไม่รับของว่างล่ะ กินไม่ลง”
“โธ่ คุณพี่ขา อย่ากลุ้มใจเรื่องชายเล็กไปเลยนะคะ ยังไงชายใหญ่ก็ต้องตามตัวกลับมาได้แน่ๆ พูดถึงก็มาพอดี”
ธราธรเดินเข้ามา โดยมีพุฒิภัทรลากตัวรณพีร์ตามมาอีกคน ย่าอ่อนพยักหน้าบอกสัญญาณให้คนรับใช้ คนรับใช้ทั้งสองรีบถอยออกไป
“ท่านอธิบดีว่ายังไงบ้างล่ะ ชายใหญ่” หม่อมย่าเอียดถาม
“เรื่องที่จะให้ย้ายชายเล็กกลับมา ท่านไม่ขัดข้องหรอกครับ แต่ผมไม่เห็นด้วยเลยนะครับ หม่อมย่า ไหนๆชายเล็กก็ย้ายไปแล้ว เราน่าจะเปล่อยให้ชายเล็กทำงานที่โน่นซักระยะหนึ่งไม่ดีกว่าหรือครับ” ธราธรว่า
พุฒิภัทรเสริม
“ชายเล็กจะได้ใช้ความรู้ที่ได้เรียนมาอย่างเต็มที่นะครับ หม่อมย่า ชายเล็กเลือกเรียนวิศวกรรมโยธาก็เพื่อที่จะกลับมาพัฒนาประเทศ ตอนนี้หน้าที่สำคัญกว่าอะไรทั้งหมดนะครับ”
“แต่เรื่องแต่งงานก็สำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องหน้าที่การงาน ขอให้ชายเล็กแต่งงานกับศินีนุชก่อน แล้วอยากย้ายไปทำงานที่ไหนย่าจะไม่ห้ามเลย”
รณพีร์แย้ง
“แต่พี่ชายเล็กไม่ได้รักชอบกับน้องนุชเธอเลยนะครับ”
“อุ๊ย ก็ชายเล็กเล่นหนีไปเสียก่อนนี่นา ถ้าหากได้ทำความรู้จักกับหนูนุชที่ทั้งสวยทั้งอ่อนหวาน รับรองชายเล็กหลงรักเธอได้ไม่ยากหรอก” ย่าอ่อนบอก
รณพีร์แกล้งถาม
“ย่าอ่อนได้เจอกับน้องนุชแล้วหรือครับ”
“อุ๊ย ไม่ต้องเจอ ย่าก็แน่ใจว่า หนูนุชคนนี้ต้องสวยเพียบพร้อมไม่มีที่ติแน่ๆ ก็เธอมีสายเลือดผู้ดีเก่าทั้งจากทางคุณชายอนุพันธ์ เทวพรหม คุณหญิงดารณีนุชก็มาทางสายกิตติวงศ์ สกุลเก่าแก่ที่ได้ชื่อว่ามั่งคั่งที่สุด หนูศินีนุชนี่แหละที่เหมาะสมกับชายเล็กที่สุดแล้ว”
“แต่ย่าอ่อนครับ คนที่มีชาติมีตระกูลก็ใช่ว่า จะเป็นคนดีเสมอไปนะครับ เราก็เห็นตัวอย่างจากมารตีมาแล้ว” รณพีร์บอก
“เรื่องมารตีก็จบไปแล้ว จะรื้อฟื้นขึ้นมาอีกทำไม เธออย่าพูดมากนัก ชายพีร์ ย่ายังไม่ได้ชำระความกับเธอเลยนะ”
รณพีร์โอด
“ชำระความอะไรล่ะครับ ถ้าไม่ได้ผม ป่านนี้ก็คงไม่มีใครรู้ว่าพี่ชายเล็กหนีไปไหน”
“แล้วถ้าเธอไม่ร่วมมือด้วย ชายเล็กจะหนีไปได้ไหมล่ะ ย่าจะตัดเงินปันผลในส่วนของเธอสามเดือน ทุกศุกร์เสาร์ที่ออกเที่ยวทุกอาทิตย์ก็ห้ามไปอีกเด็ดขาด จนกว่าจะมีคำสั่งเปลี่ยนแปลง”
“หม่อมย่า” รณพีร์เสียงอ่อยทันที
ย่าเอียดหันไปสำทับธราธรกับพุฒิภัทรที่ยิ้มขำน้องชายอยู่
“ชายใหญ่ ชายภัทร ติดต่อชายเล็กให้ได้เร็วที่สุด แล้วบอกไปว่า ย่าสั่งให้ชายเล็กกลับมาทันที !”
ธราธรากับพุฒิภัทรนิ่งฟังอย่างต้องทำตาม
บนถนนลูกรัง รัชชานนท์ยังคงส่องกล้องตรวจวัดระยะทางอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บุญโฮมยืนถือไม้วัดที่ปักอยู่บนพื้นอย่างหมดแรง รัชชานนท์จดตัวเลขลงในสมุดแล้วเก็บสมุดใส่กระเป๋าสะพาย เขาเก็บเครื่องมือเครื่องไม้พลางยกแบกเดินออกไป
“เอ้า กลับกันได้แล้ว”
บุญโฮมดีใจ
“เสร็จงานแล้วหรือครับ มาครับ ผมถือให้เอง”
“ไม่เป็นไร ฉันถือเองได้ เดินกลับไหวหรือเปล่า”
บุญโฮมมองไปไกลๆ อย่างท้อใจที่ยังไม่เห็นรถที่จอดอยู่
“ไม่ไหวก็ต้องไหวล่ะครับ”
รัชชานนท์ตบไหล่บุญโฮมอย่างขำๆ
“เดี๋ยวไปกินข้าวเย็นกัน ฉันเลี้ยงเอง งบไม่อั้น”
บุญโฮมหายเหนื่อยกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันใด
“งั้นเราต้องไปร้านพรานเจ้ยกัน เป็นร้านเหล้า เอ๊ย ร้านข้าว ที่เด็ดดวงที่สุดของที่นี่เลยครับ เชิญครับๆ คุณชาย” บุญโฮมแนะนำ
“แต่เดี๋ยว !”
บุญโฮมหน้าเสียกลัวรัชชานนท์เปลี่ยนใจ
“ขอกุญแจรถด้วย ฉันขอขับเองนะ ถ้าให้บุญโฮมขับ อาจจะถึงพรุ่งนี้เช้า”
บุญโฮมรีบส่งกุญแจรถให้ แล้วดึงเครื่องไม้เครื่องมือจากรัชชานนท์มา เขามองบุญโฮมอย่างขำๆ ซึ่งเดินลิ่วๆนำไป
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ในเวลาต่อมา ที่ร้านเหล้าของพรานเจ้ยมีลูกค้าแน่นร้าน บุญโฮมเดินนำรัชชานนท์เข้ามาในร้านแล้ว
“ร้านนี้อาหารป่าอร่อยอย่างนี้เลย คุณชายกินแล้วจะต้องติดใจ” บุญโฮมพูดพลางยกนิ้วโป้งขึ้นรับรอง
“ฉันไม่ชอบกินอาหารป่า”
“อาหารอย่างอื่นก็อร่อยครับ นอกจากอาหารอร่อย เหล้าชั้นยอดแล้ว ลูกสาวเจ้าของร้านยังสวยอย่างกับนางสาวศรีสยามเลยนะครับ คุณชาย”
รัชชานนท์ยิ้มขำ
“สวยขนาดนั้นเชียว”
“ผมว่าสวยกว่าด้วยซ้ำครับ แม่กรองแก้ว นางสาวศรีสยามคนล่าสุดเทียบไม่ได้เลยล่ะครับ”
รัชชานนท์กับบุญโฮมนั่งลงที่โต๊ะมุมในของร้าน
“ฉันชักอยากเห็นหน้าแล้วสิ อยากรู้ว่าสวยกว่าพี่สะใภ้ฉันแค่ไหน” ประโยคหลังรัชชานนท์พูดเสียงเบา พึมพำ
“นั่นไงครับ คุณชาย”
รัชชานนท์หันไปมองแล้วนิ่งชะงัก เป็นอย่างที่บุญโฮมโฆษณาไว้จริงๆ จันทาถือจานอาหารเดินมาจากครัวหลังร้านมาเสิร์ฟให้ลูกค้า
“นั่นล่ะครับ จันทาลูกสาวของพรานเจ้ยเจ้าของร้านนี้”
จันทาหันมาสบตากับรัชชานนท์อย่างไม่ตั้งใจ เขาจ้องมองชื่นชมในความสวย จนจันทาต้องหลบตาอย่างเขินอายเดินหนีไป
ม.ร.ว. รัชชานนท์ จุฑาเทพมองตามอย่างไม่วางตา
เรือนพ่อใหญ่ในหมู่บ้านวลาหก สร้อยกับจ่อยนั่งเรียนอยู่กับหนังสือกับแฮรี่
“วิกฤตการณ์ ร.ศ.112 หรือปีพ.ศ.2436 เป็นปีที่ชาติตะวันตกได้แผ่อิทธิพลมายังประเทศไทยอย่างหนัก แต่เพราะด้วยความปรีชาสามารถของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทำให้ไทยเสียดินแดนเพียงบางส่วน”
สร้อยวางหนังสือลงปึงปังอย่างเบื่อหน่าย
“เป็นหยังเฮาต้องไปเรียนรู้ประวัติศาสตร์ประเทศอื่นด้วยล่ะ แฮรี่ เฮาเป็นชาวเวียงพูคำ เรียนไปก็บ่มีประโยชน์”
“สยามประเทศเป็นประเทศเดียวในเซาท์อีสต์เอเซียที่รอดพ้นจากการล่าอาณานิคมของชาติตะวันตก โดยใช้กุศโลบายทางการเมืองที่ชาญฉลาด เราควรจะศึกษาไว้”
“แต่ข้อยบ่อยากเรียน ! ข้อยอยากเรียนฟันดาบยิงปืนหรือการสร้างค่ายกลป้องกันทหารเวียงบุกมามากกว่า”
จ่อยสนับสนุน
“นั่นน่ะซิ ให้มาท่องจำตำราเป็นเล่มๆพวกนี้ น่าเบื่อแท้หนอ”
พ่อใหญ่กับไกสอนเดินเข้ามา
“เบื่อกะต้องเรียน เป็นหน้าที่ของพวกเจ้าทั้งสองที่จะต้องเรียนกอบโกยความฮู้จากแฮรี่ให้มากที่สุด แล้วเจ้าสิฮู้เองว่า ความฮู้ทุกอย่างสิมีประโยชน์ต่อเจ้า” พ่อใหญ่ว่า
สร้อยลุกไปเผชิญหน้ากับพ่อใหญ่
“เฮาอยู่ในป่าในเขา เรียนหนังสือไปกะซำนั้น นอกจากพ่อใหญ่สิคึดการอันใดอยู่ พ่อใหญ่ชอบบอกว่า พวกเฮาเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดาๆ แต่ข้อยบ่เชื่อหรอก ข้อยบ่ได้โง่ ข้อยฮู้ว่า พ่อใหญ่เป็นไผ !”
ไกสอนกับแฮรี่มองหน้ากันอย่างกระวนกระวายใจแล้วหันไปมองพ่อใหญ่ที่ยืนนิ่งอยู่
“อีสร้อยเอ๊ย พ่อใหญ่สิเป็นไผไปได้ นอกจากเป็นพ่อเจ้า” ไกสอนบอก
“พ่อใหญ่ต้องเคยเป็นคนสำคัญของเวียงพูคำ พ่อใหญ่เคยเป็นนายทหารใช่บ่ ที่พ่อใหญ่พิการขาขาดกะเพราะไปสู้รบกับพวกนายพลเซกอง”
“ตอนนี้อย่าเพิ่งรู้อะไรเลย นี่ยังไม่ถึงเวลา” แฮรี่ว่า
สร้อยไม่ฟัง
“พ่อใหญ่มีแผนการที่สิกลับไปช่วยเจ้าหลวงสุริยวงศ์ใช่บ่ พ่อใหญ่ถึงได้ให้ลุงไกสอนฝึกทหารให้ชาวบ้าน”
“เจ้าเข้าใจถูกแล้ว พ่อมีแผนการที่สิช่วยเจ้าหลวงสุริยวงศ์กลับคืนบัลลังก์เวียงพูคำ”
สร้อยดีใจ
“พ่อใหญ่ !”
“ตอนนี้เจ้าฮู้แค่นี้กะพอ อย่างที่แฮรี่บอก เมื่อฮอดเวลา เจ้าสิฮู้ทุกอย่างเอง แล้วเจ้าสิฮู้ว่า ภาระหน้าที่ของเจ้าใหญ่หลวงแค่ไหน !”
สร้อยมองพ่อใหญ่อย่างไม่เข้าใจนัก แต่ก็ดีใจที่ได้รู้ว่าพ่อใหญ่ไม่ใช่ธรรมดา
รัชชานนท์จิบเหล้าที่ร้านพรานเจ้ย พลางมองจันทาที่วิ่งวุ่นเสิร์ฟอาหารและเหล้า บุญโฮมดื่มไม่หยุดอย่างมีความสุขสำราญจนเริ่มเมาแล้ว
“เด็ดดวงอย่างที่ผมว่าไหมล่ะครับ คุณชาย ทั้งอาหารปาก อาหารตา ถูกใจไหมล่ะคร้าบ”
ทหารเวียงพูคำ 3 คนที่เมาพอประมาณอยู่แล้วเดินเข้ามาที่ร้าน ลูกค้าทุกโต๊ะรีบวางเงินลงบนโต๊ะแล้วเดินออกไปอย่างไม่อยากมีเรื่อง รัชชานนท์จับตามองกลุ่มทหารที่นั่งลงตรงโต๊ะกลางร้านอย่างวางก้าม
จันทาเข้ามาเก็บจานและแก้วเหล้าที่โต๊ะทหารเวียงพูคำ
“วันนี้จะกินอะไรดีจ๊ะ”
ทหารคนที่ 1บอก
“เอาเหล้าขาวกับกับแกล้มมาซักสองสามอย่าง”
จันทารีบเก็บจาน แก้วเหล้าจะเดินออก แต่ทหารคนที่ 2 จับมือไว้
“แล้วก็ขอคนนั่งกินเหล้าเป็นเพื่อนซักคนด้วยนะ”
ชชานนท์ขยับตัวลุกขึ้นเมื่อเห็นทหารจับมือจันทาลูบไปมาอย่างลวนลาม
“พวกพี่ก็มากันตั้งหลายคน คงไม่ต้องให้จันทานั่งเป็นเพื่อนหรอกมั้งจ๊ะ”
จันทาดึงมือออกจากทหารคนที่ 2 แล้วรีบเดินไปที่หลังร้าน กลุ่มทหารเวียงพูคำมองหน้ากันแล้วหัวเราะลั่นอย่างสนุก รัชชานนท์ค่อยนั่งลงได้ แต่ก็ยังไม่วางใจ
“บุญโฮม ช่วยจับตาไอ้พวกทหารเวียงด้วย ดูไม่น่าไว้ใจ”
รัชชานนท์หันไปมองบุญโฮมที่เมาหลับฟุบคาโต๊ะไปแล้ว เขาหันไปมองที่โต๊ะทหาร เห็นทหารเวียงพุคำกินเหล้าอยู่คนเดียว
รัชชานนท์รีบมองไปรอบๆ ร้านหาทหารเวียงอีกสองคน
“ช่วยด้วย !” เสียงจันทากรีดร้องขึ้น
รัชชานนท์รีบพุ่งเข้าไปตามเสียงจันทาที่ดังมาจากหลังร้าน
ที่หลังร้านเหล้าพรานเจ้ย ทหารเวียงพูคำสองคนช่วยกันจับตัวจันทาไว้แล้วจะลากพาออกไป จันทาดิ้นรนไม่ยอมไปง่ายๆ
“ปล่อยฉัน ปล่อย ช่วยด้วย ช่วยด้วย! ”
ทหารคนที่ 1บอก
“เล่นตัวนัก จัดการเสียตรงนี้เลย”
ทหารคนที่ 1 โยนจันทาลงไปนอนหมอบที่พื้น แล้วทหารทั้งสองก็ย่างเท้าเข้าไปหา จันทาถอยตัวหนีอย่างลนลาน ทหาร คนที่1 จับเธอตรึงลงกับพื้น ขณะที่ทหารคนที่ 2 กำลังโถมเข้าใส่จันทา
รัชชานนท์เข้ามากระชากตัวทหารคนที่ 2 ออกมาแล้วต่อยเปรี้ยง ! เข้าให้ ทหารคนที่ 1 โผเข้าเล่นงานรัชชานนท์ แต่ถูกเขาถีบยอดอกจนหงายหลังไป ทหารทั้งสองตั้งหลักใหม่ได้รี่เข้ามารุมยำรัชชานนท์ เขาจัดการกับทหารทั้งสองจนหมอบกระแตไป
รัชชานนท์ยืนเหนื่อยหอบแทบยืนไม่ไหว แต่ยังมีแรงส่งยิ้มให้จันทาได้
จันทายิ้มให้อย่างขอบคุณและดีใจแต่ต้องตกใจเมื่อเห็นทหารคนที่ 3 โผล่พรวดเข้ามา
“ระวัง !”
ทหารคนที่ 3 พุ่งเข้าเล่นงานรัชชานนท์โดยไม่ทันระวังตัว รัชชานนท์สู้พัลวันกับทหาร คนนั้นจนเสียทีถอยร่นไปติดข้างฝา ทหารดึงมีดออกจากเอว เงื้อมือขึ้นจะแทงรัชชานนท์ พรานเจ้ยมาทันเวลาใช้ด้ามปืนยาวฟาดหัวทหารดังโพละ ! เหมือนมะพร้าวถูกทุบ
มีดในมือทหารร่วงหล่นลงพื้นก่อนที่จะทรุดตัวฮวบลงไปกองที่พื้น
“พ่อ !”
จันทาวิ่งไปกอดพรานเจ้ยอย่างดีใจ
รัชชานนท์ยืนเกาะผนังพยุงตัวไว้ไม่ให้ล้มพลางมองไปที่พรานเจ้ยอย่างโล่งใจ
พรานเจ้ยส่งแก้วเหล้าให้รัชชานนท์
“ผมต้องขอบคุณคุณมากเลยนะครับ ที่ช่วยลูกสาวผมไว้ คุณ...”
บุญโฮมเริ่มสร่างเมาหน่อยๆ โงหัวขึ้นร่วมวง
“คุณ..คุณชาย นี่คุณชายรัชชานนท์”
จันทาถือจานกับแกล้มมาสองจานวางลงบนโต๊ะ เธอชะงักไปเล็กน้อยเมื่อรู้ว่า รัชชานนท์เป็นถึงหม่อมราชวงศ์
“แล้วนี่ก็..ก็พรานเจ้ยครับ คุณชาย”
บุญโฮมล้มฟุบไปกับโต๊ะอีก
“คุณชายมีบุญคุณกับผมล้นเหลือ ถ้าไม่ได้คุณชาย จันทาคงตกนรกทั้งเป็นไปแล้ว”
จันทามองรัชชานนท์ด้วยความซาบซึ้งขอบคุณ แต่เขินอายเกินกว่าจะพูดอะไร
“ถ้าผมไม่ได้พรานเจ้ย ผมก็คงจะตายไปแล้วเหมือนกัน ไม่มีใครมีบุญคุณกับใครหรอกครับ”
“ยังไงผมก็เป็นหนี้บุญคุณคุณชายครับ ถ้าคุณชายต้องการให้ผมรับใช้อะไร บอกผมมาได้เลย”
“ไม่ต้องถึงขนาดนั้นหรอกครับ บุญโฮมบอกว่า พรานเจ้ยเชี่ยวชาญเรื่องการเดินป่า ผมเองเป็นคนชอบเที่ยวป่า ถ้าพรานเจ้ยพอจะช่วยนำทางให้ผมได้ไหมครับ”
“ได้เลยครับ ไม่มีปัญหา คุณชายอยากจะไปล่าอะไรล่ะครับ ผมจะได้พาไปถูกแหล่ง”
“ผมไม่ชอบล่าสัตว์หรอกครับ ชอบเที่ยวป่าเฉยๆ นี่ถ้าจะให้ดี เราน่าจะไปกันหลายๆคนนะครับ จะได้สนุก จันทาไปกับเราด้วยซิ”
รัชชานนท์หันไปยิ้มให้จันทา ถือโอกาสชวนไปเที่ยวด้วยอย่างเนียนๆ พรานเจ้ยเริ่มไหวตัว
“จันทาต้องเฝ้าร้านน่ะครับ เราไปกันวันพรุ่งนี้เลยดีไหมครับ คุณชาย”
“ก็ดีเหมือนกันครับ ผมว่างอยู่พอดี เริ่มงานอีกทีก็วันจันทร์ แล้วก็ไม่รู้ว่าจะว่างอีกเมื่อไหร่”
รัชชานนท์มองจันทาอย่างมีนัยจะชวนจันทาไปด้วย บุญโฮมโงหัวขึ้นมาอีกครั้งบอก
“คุณชายครับ คุณชาย ระวังไอ้พวกทหารเวียงด้วยนะครับ ท่าทางไว้ใจไม่ได้”
บุญโฮมฟุบลงกับโต๊ะแล้วตัวอ่อนเลื้อยหล่นจากเก้าอี้ไปนอนที่พื้น ทุกคนมองบุญโฮมอย่างขำๆ พรานเจ้ยลงไปประคองบุญโฮมให้ขึ้นมานั่ง
“ไอ้นี่ เมาไม่รู้เรื่องจริงๆ”
รัชชานนท์ฉวยโอกาสที่พรานเจ้ยกำลังวุ่นกับบุญโฮมขยับเข้าไปใกล้จันทาแล้วกระซิบบอก
“หาทางไปให้ได้นะ จันทา เราจะได้เจอกันอีก”
จันทาได้แต่อายม้วนไม่กล้าตอบอะไร หัวใจเต้นแรงอย่างดีใจ ม.ร.ว. รัชชานนท์มองหน้าสาวชาวบ้านแล้วยิ้มกริ่ม รู้สึกกระชุ่มกระชวยหัวใจ
ท่ามกลางบรรยากาศแม่น้ำโขงในตอนเช้าตรู่ รัชชานนท์สะพายกระเป๋าเดินป่าเดินเร็วๆ ออกมาจากตัวบ้าน บุญโฮมถือซองโทรเลขเดินเข้ามา
“คุณชายครับ มีโทรเลขมาครับ”
“ไว้ก่อนแล้วกัน”
“นี่ต้องเป็นเรื่องด่วนแน่ๆ ไม่งั้นเค้าคงไม่ส่งโทรเลขมาหรอกครับ คุณชายเปิดดูซักหน่อยเถอะนะครับ”
“ไม่ต้องเปิดดู ฉันก็รู้ว่า ใครเป็นคนส่งโทรเลขมา ช่วยตอบกลับให้หน่อยนะว่า - ไม่กลับ ยังไงก็ไม่กลับ”
รัชชานนท์เดินลิ่วๆออกไปแล้วถอยกลับมา
บุญโฮมยิ้มแล้วยื่นซองโทรเลขให้ แต่รัชชานนท์กลับกระตุกกุญแจรถจากมือไปแทน
“ขอยืมรถซักสองวันนะ”
รัชชานนท์เดินออกไปทันที ทิ้งให้บุญโฮมยืนถือซองโทรเลขหน้าเหวออยู่
รถจี๊ปแล่นเร็วมาจอดอยู่ที่หน้าร้านเหล้าพรานเจ้ย รัชชานนท์กระโดดลงจากรถอย่างกระฉับกระเฉง พรานเจ้ยกับลูกหาบ 2 คนเดินออกมาจากร้าน
“ผมมาเร็วเกินไปหรือเปล่าครับเนี่ย ผมไม่ได้เดินป่ามานานแล้ว ตื่นเต้นจนนอนไม่หลับ พอตื่นก็รีบบึ่งมาเลยล่ะครับ”
“มาเร็วก็ดีแล้วครับ เราจะได้มีเวลาเที่ยวให้ทั่ว ไปกันเลยดีไหมครับ”
“เราไปกันแค่นี้หรือครับ”
รัชชานนท์รีรอมองไปในร้าน หวังว่าจันทาจะไปด้วย
“ครับ ไปป่าแบบนี้ ไปกันยิ่งน้อยก็ยิ่งดี”
พรานเจ้ยเดินนำหน้าไป ลูกหาบสองคนหอบสัมภาระและเสบียงเดินตาม รัชชานนท์ได้แต่เดินตามพรานเจ้ยไป เพราะคิดว่า จันทาไม่ได้ไปด้วยแน่
“พ่อ ! รอจันทาด้วย”
รัชชานนท์หันไปมองเห็นจันทาถือย่ามผ้าเดินตามมาสมทบ
“จันทา !”
รัชชานนท์ยิ้มกว้างอย่างดีใจที่เห็นจันทาไปด้วย
บรรยากาศป่าทึบสีเขียวชะอุ่มมีชีวิตชีวา พรานเจ้ยกับลูกหาบ 2 คนเดินนำทางมา
รัชชานนท์กับจันทาเดินคุยกันมารั้งท้าย
“ฉันดีใจจริงๆ ที่จันทามาได้”
“พ่อไม่อยากทิ้งจันทาไว้ที่ร้านคนเดียว กลัวพวกทหารเวียงจะมารังแกจันทาอีกน่ะจ้ะ แล้วทำไมคุณชายถึงอยากให้จันทามาด้วยล่ะจ๊ะ”
“ถ้าเราได้มาเที่ยวด้วยกัน เราก็จะได้มีโอกาสรู้จักกันมากขึ้นไงล่ะ ฉันมาทำงานที่นี่คนเดียว นอกจากบุญโฮมแล้ว ก็ไม่รู้จักใครเลย ก็เลยอยากมีจันทาเป็นเพื่อนเพิ่มอีกคน”
“จันทาไม่อาจเอื้อมเป็นเพื่อนกับคุณชายหรอกจ้ะ ขอแค่จันทาได้ทำงานรับใช้คุณชาย เพื่อตอบแทนที่คุณชายได้ช่วยชีวิตจันทาไว้ก็พอแล้ว”
รัชชานนท์ฉวยมือจันทามากุมไว้
“อย่าพูดเรื่องบุญคุณอะไรอีกนะ จันทา ฉันทำในสิ่งที่ควรทำเท่านั้น ฉันไม่ได้สูงส่งมาจากไหน ฉันกับจันทาก็เป็นมนุษย์มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกัน ทำไม เราจะเป็นเพื่อนกันไม่ได้”
พรานเจ้ยหันกลับมามองรัชชานนท์กับจันทาแล้วกระแอมเสียงดัง
“รีบเดินหน่อยก็ดีนะครับ”
รัชชานนท์รู้ตัว รีบปล่อยมือ จันทาเขินอายรีบเดินเร็วๆ ตรงไปหาพรานเจ้ย รัชชานนท์มองตามอย่างเอ็นดู เขามองไปทางด้านขวา ซึ่งเป็นบริเวณเข้าหมู่บ้านวลาหก ซึ่งมีขอนไม้ใหญ่ขวางไว้เป็นสัญลักษณ์
“เราไปกันทางโน้นได้ไหมครับ พรานเจ้ย”
รัชชานนท์มีความรู้สึกเหมือนมีอะไรดึงดูดให้เข้าไปใกล้
“ทางโน้นทางไหนครับ”
รัชชานนท์ชี้ไปที่ทางเข้าหมู่บ้านวลาหก มวลหมอกสีขาวจางๆ เริ่มแผ่เบาบางปกคลุมทางเข้า เมื่อเขามองไปอีกครั้ง หมอกขาวๆ จางหายไปแล้ว รัชชานนท์ยิ่งสงสัยหนักขึ้น
“ไปทางโน้นกันเถอะครับ”
รัชชานนท์เดินนำลิ่วๆ ไปเหมือนรู้ทาง ลูกหาบสองคนมองหน้ากันเลิ่กลั่กหวาดหวั่น
“ลุงเจ้ย นั่นมันทางไป” ลูกหาบคนที่ 1 บอก
“ทางไปป่าอาถรรพ์”
จันทามองพ่ออย่างงุนงง ไม่เข้าใจ
ในหมู่บ้านวลาหก สร้อยไล่เตะ ไล่ชกจ่อยที่ยอมเป็นคู่ชกให้ จ่อยยกมือขึ้นป้องหน้าเอาแต่ตั้งรับอย่างเดียวไม่กล้าตอบโต้ใดๆ
“สู้ซิ ไอ้จ่อย เป็นหยังบ่ยอมสู้ หา !”
“ข้อยบ่อยากรังแกแม่หญิง”
สร้อยโมโห
“ผู้หญิงเหรอ”
สร้อยเตะจ่อยป๊าดๆ อย่างไม่ได้อย่างใจ
“สู้ข้อยบ่ได้ กะบอกมาเถอะ”
“เป็นหยังสิสู้บ่ได้ !”
จ่อยเผลอลงมือ ตั้งการ์ดปิดหน้าไว้ สร้อยชกเปรี้ยงเข้าที่หน้าจ่อยอย่างจัง จนจ่อยหงายหลังล้มลงไปคลุกฝุ่น
“เล่นทีเผลอ ข้อยบ่ออมมือให้แล้ว เป็นไงเป็นกัน”
จ่อยตะเกียกตะกายลุกขึ้นเต้นฟุตเวิร์คยอมที่จะสู้กับสร้อยแล้ว สร้อยแย็บหมัดออกไปสองสามหมัดโดนจ่อยทุกหมัด
ทับทิมวิ่งมาพอเห็นสร้อยก็รีบหลีกเลี่ยงไปทางอื่น
“ไอ้ทับทิม !”
จ่อยรี่เข้ามาจะชกสร้อย สร้อยผลักหน้าจ่อยถอยออกไป สร้อยรีบไปดักหน้าทับทิมรายงานข่าว
“มีเรื่องอะหยัง ไอ้ทหารเวียงมันมาอีกแล้วใช่บ่”
“บ่ใช่”
ทับทิมหลบตาพยายามจะหนี สร้อยกระชากคอเสื้อทับทิมมาใกล้
“บอกมา มีเรื่องอะหยัง บ่บอก เจ้าเจ็บตัวแน่ !”
สร้อยเข้ามาขยุ้มคอเสื้อทับทิมอย่างเอาจริงเอาจังมาก
รัชชานนท์ก้าวยาวๆ เดินมาจนถึงขอนไม้วางขวางทางเข้าหมู่บ้านอยู่ พรานเจ้ยกับจันทาตามมา ส่วนลูกหาบอีกสองคนเดินตามมาอย่างห่างๆ อย่างเกรงกลัว
รัชชานนท์ยืนจ้องมองไปที่ทางเข้าหมู่บ้านอย่างรู้สึกว่ามีอะไรซ่อนเร้นอยู่หลังป่าชัฎนั้น
“เห็นไหมล่ะครับว่า ทางนี้ไม่มีอะไร มีแต่ป่ารกชัฎ ไปทางเดิมดีกว่านะครับ คุณชาย”
“คืนนี้เราพักกันตรงนี้นะ พรานเจ้ย”
พรานเจ้ยทักท้วง
“คุณชายครับ”
“ผมไม่เชื่อว่า ป่าแถวนี้เป็นป่าอาถรรพ์หรอกครับ ถ้าใช่ก็ดี คืนนี้เราจะได้พิสูจน์ดูว่า มันจะอาถรรพ์ยังไง”
รัชชานนท์เริ่มรู้สึกเสียวสันหลังเหมือนมีใครแอบมองอยู่ เขาหันไปมองต้นไม้ใหญ่ที่อยู่บนเนินสูง สร้อยแอบอยู่หลังต้นไม้หลบหันหลังกลับเหมือนรัชชานนท์ปล่อยกระแสบางอย่างมา
จ่อยที่หมอบแอบอยู่ใกล้ๆ มองสร้อยอย่างแปลกใจ
“บ่ต้องกลัว พวกมันบ่เห็นเฮาดอก”
“ข่อยบ่ได้ย่าน แค่ระวัง !”
สร้อยหันไปแอบมองรัชชานนท์อีกครั้งแล้วนิ่งคิด
“บ่ใช่พวกทหารเวียง แต่กะบ่ใช่ชาวบ้านธรรมดา”
“กะพวกคนเมืองที่มาเที่ยวป่าเท่านั้นแหละ กลับกันเถอะ อีสร้อย”
รัชชานนท์มองไปรอบๆ อย่างสำรวจตรวจตรา สร้อยจ้องมองรัชชานนท์เขม็งอย่างไม่ไว้ใจ
“ข้อยบ่กลับ ผู้บ่าวผู้นี้บ่ได้มาดี ข้อยต้องจับตาเบิ่งมันไว้”
สร้อยมองรัชชานนท์มีลางสังหรณ์บางอย่างที่บอกไม่ถูก
รัชชานนท์กับจันทาเดินห่างมาจากที่ตั้งจุดพักแรม ทั้งสองช่วยกันเก็บกิ่งไม้แห้งๆไปเป็นฟืน เสียงชะนีดังโหยหวนแหวกความเงียบขึ้นมา จันทาสะดุ้งตกใจจนทำกิ่งไม้หล่นหมด
รัชชานนท์หัวเราะ
“จันทาก็เป็นไปกับเค้าด้วยหรือ”
จันทาค้อนควัก
“ก็จันทาขี้ขลาด ไม่ได้เก่งกล้าหาญเหมือนคุณชายนี่จ๊ะ พ่อเคยบอกว่า ในโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เรามองไม่เห็น อย่าได้คิดลบหลู่”
“ฉันก็ไม่ได้ลบหลู่ แต่ฉันต้องเห็น ฉันถึงจะเชื่อ ที่พวกลูกหาบกลัวเรื่องป่าอาถรรพ์กัน ก็เห็นพูดกันไป ไม่เห็นบอกเลยว่า มันอาถรรพ์ยังไง”
“เขาว่ากันว่า ใครมาป่าแถวนี้ต้องมีอันเดินวนเวียนกลับมาที่เดิมทุกครั้ง บ้างก็ว่าเห็นเสือสมิงออกมาจากป่าอาถรรพ์ ก็เลยไม่มีใครกล้าที่จะเฉียดใกล้เลย”
รัชชานนท์เครียด
“เสือสมิง เสือสมิงที่เค้าเล่ากันว่า แปลงกายเป็นอะไรก็ได้ใช่ไหม”
รัชชานนท์ทำเป็นมองไปที่ด้านหลังจันทา
“คุณชาย...คุณชายเห็นอะไรหรือจ๊ะ”
“เห็นว่า เสือสมิงชอบแปลงกายเป็นผู้หญิงสวยๆ ใช่แล้ว ต้องใช่แน่ๆ”
จันทาเสียวสันหลังผวาไปเกาะแขนรัชชานนท์ไว้
“เสือสมิงหรือจ้ะ คุณชาย มันอยู่ข้างหลังจันทาหรือ”
รัชชานนท์จับมือจันทาไว้ ยิ้มขำที่หลอกง่ายเหลือเกิน
“ใช่ที่ไหนกัน ฉันแค่สงสัยเฉยๆว่า ผู้หญิงสวยๆ อย่างจันทามาอยู่กลางป่าอย่างนี้ ใช่เสือสมิงแปลงกายมาหลอกให้ผู้ชายตกหลุมรักหรือเปล่า”
จันทาเขินอายผลักรัชชานนท์ออกไป
“คุณชายนี่...เล่นอะไรก็ไม่รู้”
รัชชานนท์หัวเราะขำ ทันใดลูกดอกพุ่งตรงใส่หัวรัชชานนท์อย่างจัง
“โอ๊ย !”
จันทาตกใจ
“เห็นไหม คุณชาย ป่านี้มีอาถรรพ์จริงๆ”
“ใช่ที่ไหนแหละ แค่ลูกไม้หล่นใส่หัวฉันเท่านั้นแหละ”
รัชชานนท์พาจันทาเดินออกไปแต่ยังคลำหัวป้อยๆด้วยความเจ็บ
สร้อยถือหน้าไม้กับจ่อยเดินออกมาจากที่ซ่อนตัวไม่ไกลนัก
“เฮ็ดอะหยังของเจ้า เดี๋ยวพวกมันก็ฮู้ตัวหรอก”
“มือไวปานวอก รำคาญตา !”
สร้อยมองตามอย่างเหม็นหน้ารัชชานนท์
บริเวณที่พักแรมใกล้ทางเข้าหมู่บ้านในยามค่ำคืน พรานเจ้ยกับจันทานั่งเฝ้ากองไฟอยู่ ลูกหาบ 2 คนจัดที่นอนอยู่ห่างออกไปมาก รัชชานนท์เดินเข้ามาจะมานั่งข้างจันทา พรานเจ้ยจับตามองอยู่ รัชชานนท์เลยลงนั่งข้างพรานเจ้ยแทน
“คุณชายไปนอนเถอะครับ คืนนี้ผมกับลูกน้องจะผลัดกันเฝ้ากองไฟเอง”
“ไม่ได้หรอกครับ จะให้ผมสบายอยู่คนเดียวได้ยังไง ผมเป็นคนนอนดึกอยู่แล้ว ผมขออยู่ช่วงหัวค่ำเอง ถ้าง่วงเมื่อไหร่ เดี๋ยวผมไปปลุกพรานเจ้ยเอง ตกลงตามนี้นะครับ”
“งั้นก็ตามใจคุณชายครับ ไป จันทา ไปนอนได้แล้ว”
เจ้ยดึงจันทาเดินออกไปด้วยกัน
รัชชานนท์เติมกิ่งไม้ใส่กองไฟไป รู้สึกสุขสงบที่ได้อยู่กลางป่าอีกครั้ง จันทาหอบผ้าห่มเดินกลับมา รีบส่งให้รัชชานนท์แล้วจะรีบกลับออกไปกลัวพรานเจ้ยเห็น
รัชชานนท์ไม่ยอมให้จันทาไปง่ายๆ ดึงมือจันทาให้นั่งด้วยกัน
“อย่าเพิ่งไปซิ นั่งคุยเป็นเพื่อนก่อน”
“เดี๋ยวพ่อว่า...”
“พรานเจ้ยนี่หวงลูกสาวจริงๆ นะ แต่ถามจริงๆ เถอะ พรานเจ้ยกับจันทานี่เป็นพ่อลูกกันจริงๆ หรือ หน้าตาไม่เห็นเหมือนกันเลย หรือว่าจันทาจะเหมือนแม่”
“จันทาไม่ใช่ลูกแท้ๆของพ่อหรอกจ้ะ พ่อเก็บจันทามาเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ จันทาก็จำอะไรไม่ได้หรอกนะจ๊ะ รู้แต่ว่า เกิดมาจันทาก็มีพ่อเจ้ยแล้ว”
“แล้วจันทาไม่คิดจะไปตามหาพ่อแม่หรือ”
“พ่อแม่ไม่ต้องการจันทา แล้วจันทาจะไปตามหาทำไม แล้วจันทาอยู่กับพ่อก็มีความสุขดีอยู่แล้ว ไม่ต้องการใครที่ไหนแล้ว”
จันทานิ่งไป อดเศร้าที่ไม่มีพ่อแม่ไม่ได้ รัชชานนท์เอื้อมมือไปแตะหลังมือเธอเบาๆ อย่างปลอบใจ พรานเจ้ยก้าวเข้ามายืนมองอย่างขรึมเงียบ
“จันทา เอาผ้าห่มมาให้แล้ว ก็กลับไปนอนเสีย”
จันทารีบผละเดินกลับออกไป พรานเจ้ยเดินเข้ามาใกล้รัชชานนท์ให้ร้อนๆหนาวๆเล่นพรานเจ้ยส่งขวดเหล้าดีบุกเล็กๆให้
“แรงหน่อยนะ ไว้กินแก้หนาว”
“ขอบคุณครับ”
รัชชานนท์รับขวดเหล้ากระดกดื่มอึกใหญ่
“รสชาติเยี่ยมเลยครับ ผมคงต้องขอสูตรบ้างแล้วล่ะ”
“ผสมไม่ยากหรอกครับ แค่เหล้าผสมเลือดค่างสดๆ ถ้าจะให้ดีต้องเชือดค่างด้วยมือตัวเอง !”
พรานเจ้ยยิ้มแต่ดูแอบเหี้ยมแล้วเดินออกไป
รัชชานนท์มองขวดเหล้าในมือตัวเองอย่างสยอง ขยักขย้อนแต่อ้วกไม่ออก
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 1 (ต่อ)
ด้านสร้อยอยู่ในเงามืดเคลื่อนไหวเข้ามาใกล้ๆ ที่พักแรมของกลุ่มรัชชานนท์ เห็นเขาขนกิ่งไม้กลับเข้ามาใส่กองไฟ พลางเขี่ยให้กองไฟคุตลอดเวลา รัชชานนท์มองไปที่ทางเข้าหมู่บ้านวลาหก
หมู่มนต์หมอกจากเบาบางเริ่มหนาทึบปกคลุมทางเข้าจนเห็นได้ชัด
“เราไม่ได้ตาฝาดไป”
ควันเบาบางลอยเข้ามาที่พักแรม รัชชานนท์เริ่มง่วงงุนจนลืมตาไม่ขึ้นแม้จะพยายามตบหน้าตัวเองหลายครั้ง
“เป็นอะไรวะ”
ควันเบาบางออกจากปลายไม้ที่เป่ายาสลบของสร้อยเห็นลางๆอยู่ในความมืด
รัชชานนท์ทนความง่วงไม่ไหวล้มลงไปนอนที่พื้น สร้อยในชุดดำผูกผ้าปิดหน้าก้าวเข้ามาหารัชชานนท์ เธอพลิกตัวรัชชานนท์ขึ้น จ้องมองดูพลางค้นตัวหาอาวุธ เจอปืนและมีดที่รัชชานนท์พกติดตัว เธอโยนปืนและมีดของเขาให้ออกไปไกลตัว สร้อยกลั้นใจล้วงกระเป๋ากางเกงดึงกระเป๋าสตางค์ออกมา
สร้อยกำลังจะเปิดค้นหาหลักฐานในกระเป๋าสตางค์ว่ารัชชานนท์เป็นใคร เขาลืมตาใช้สติเฮือกสุดท้ายคว้ามือสร้อยไว้ กระเป๋าสตางค์ของรัชชานนท์กระเด็นหวืดออกไปไกลในความมืด
สร้อยตกใจ
“เฮ้ย !”
รัชชานนท์โถมเข้าจับตัวสร้อยตรึงกับพื้น สร้อยดิ้นรนอึกอักอยู่ในอ้อมกอดของรัชชานนท์ ก่อนถีบเขาออกไป แต่เขากลับเข้ามาจับตัวสร้อยได้อีกครั้งแม้จะมึนๆเบลอๆก็ตาม
“แกเป็นใคร !”
รัชชานนท์เอื้อมมือจะกระชากผ้าปิดหน้าสร้อยออก เธอสวนหมัดใส่หน้าเขาอย่างเต็มเปา จนหงายหลังสลบเหมือดไม่เป็นท่า
สร้อยยืนหอบเหนื่อย เปิดผ้าปิดหน้าออกยืนจ้องมองรัชชานนท์อย่างโมโห!!
เรือนพ่อใหญ่ในหมู่บ้านวลาหก เวลากลางคืน สร้อยผลุนผลันเข้ามาในเรือน ยังใจหายใจคว่ำที่เกือบถูกจับรัชชานนท์จับตัวไว้ได้
“เกือบไปแล้ว!” สร้อยพึมพำ
“ไปไสมา! เจ้าสร้อย” เสียงพ่อใหญ่ถามดังเข้ามา
สร้อยสะดุ้งเฮือก หันขวับไปเห็นพ่อใหญ่อยู่ที่มุมมืดของห้อง พ่อนั่งรอลูกสาวอยู่นานแล้ว
“พ่อใหญ่!”
พ่อใหญ่มองสร้อยในชุดดำรัดกุม มือถือหน้าไม้ หน้าตาตื่นๆ ก็รู้ว่าไปก่อเรื่องมาแน่
“พ่อสั่งไว้ว่าอะหยัง!”
สร้อยเสียงอ่อย
“ข้อยกะบ่ได้เฮ็ดอะหยังซักหน่อย แค่ไปจับตาเบิ่งไอ้กลุ่มที่มาใหม่ บ่ให้เข้ามาในหมู่บ้านเฮาได้”
“ไอ้ทับทิมไปเบิ่งมาแล้ว พวกมันมาเที่ยวป่าล่าสัตว์ ดูท่าทีแล้วไม่น่าสิ เป็นภัยกับหมู่เฮา”
“แต่ข้อยบ่ไว้ใจไอ้ผู้ชายคนเมืองนั่น จั๋งไดกะต้องคอยเฝ้าระวังไว้จนกว่ามันสิออกไปจากป่านี้”
“นั่นบ่ใช่หน้าที่ของเจ้า ห้ามเจ้าไปใกล้พวกมันอีก เข้าใจบ่ ถ้าเจ้าบ่เชื่อพ่อ คราวนี้พ่อสิลงโทษเจ้าให้หนักเทียว”
สร้อยทำหน้าดื้อไม่พอใจที่ถูกพ่อใหญ่สั่งห้าม
เช้าวันใหม่ รัชชานนท์นอนอยู่ใกล้ซากกองไฟเมื่อคืน เขาตื่นขึ้นอย่างสะลึมสะลืมก่อนที่จำได้ว่ามีคนบุกรุกเมื่อคืน เขาลุกพรวดพราดขึ้นมาทันที แล้วมองไปรอบๆดูสภาพที่พัก พรานเจ้ยเพิ่งรู้สึกตัวตื่นขึ้น หันไปเขย่าตัวจันทาที่ยังหลับไม่รู้เรื่อง
“จันทาๆ ตื่น ลูก ตื่น !”
จันทาขยับตัวตื่นขึ้นอย่างงุนงง
เจ้ยลุกขึ้นไปเตะลูกหาบ 2 คนที่นอนระเกะระกะอยู่ที่พื้น
“ตื่นโว้ย ตื่น อะไรวะ ทำไมนอนหลับเป็นตายกันหมด”
ลูกหาบ 2 คนลุกขึ้นมองหน้ากันเลิ่กลั่กๆ ทุกคนรู้สึกมึนงงด้วยควันยาสลบของสร้อย
“นี่..นี่มันเกิดอะไรขึ้น !” ลูกหาบคน 1 พูดขึ้น
“ก็บอกแล้ว ป่านี้มันมีอาถรรพ์ !” ลุกหาบคนที่ 2 บอก
รัชชานนท์เดินเข้ามาขัดจังหวะ
“ไม่ใช่เรื่องอาถรรพ์อะไรหรอก เมื่อคืนมีคนบุกรุกเข้ามา”
“ถ้ามีคนบุกรุก ผมก็ต้องรู้” พรานเจ้ยบอก
“ถ้ามันไม่ใช่คนล่ะ พ่อ”
รัชชานนท์ก้มลงหยิบกระเป๋าสตางค์ที่ตกหล่นอยู่บนพื้นขึ้นมา แล้วพูดด้วยความมั่นใจ “มันไม่ใช่ผีสางแน่ มันเป็นคนเหมือนอย่างเราๆ”
“แล้วมันเป็นใคร ต้องการอะไร” จันทาว่า
“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่า มันเป็นใคร ถ้ามันเป็นโจร แล้วโจรที่ไหนถึงมาปล้นคนกลางป่าอย่างนี้ !”
รัชชานนท์นิ่งคิด ในท่าทีสงสัย
เวลาเดียวกัน ที่เรือนหม่อมเอียดภายในวังจุฑาเทพ หม่อมเอียดนั่งนิ่ง หน้าเครียด จนทุกคนรอบข้างต่างสะบัดร้อนสะบัดหนาวไปตามๆ กัน
“นี่ชายเล็กยังไม่ติดต่อกลับมาอีกหรือ แม่อ่อน”
ย่าอ่อนรีบรินน้ำชาให้พี่สาวอย่างเอาใจ
“ยังค่ะ คุณพี่ แต่เดี๋ยวชายเล็กคงจะติดต่อกลับมาเองล่ะค่ะ
“เดี๋ยวของเธอน่ะ มันเมื่อไหร่กัน”
ธราธรกับพุฒิภัทรนั่งร่วมวงดื่มน้ำชาอยู่ด้วย
“หม่อมย่าครับ สมบุญเพิ่งไปส่งโทรเลขเมื่อวานเอง ให้เวลาชายเล็กหน่อยซิครับ” ธธราธรบอก
“แล้วถ้าจะให้ดี เราอย่าเพิ่งให้ชายเล็กย้ายกลับมาเลยนะครับ ชายเล็กเพิ่งทำงานที่โน่นได้วันสองวันก็ย้ายกลับมาแล้ว เดี๋ยวคนจะหาว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อหรอกครับ” ” พุฒิภัทรว่า
“นั่นน่ะซิครับ ถึงท่านอธิบดีจะไม่ขัดข้องเรื่องที่จะให้ชายเล็กย้ายกลับมา แต่ท่านก็ลำบากใจอยู่นะครับ หม่อมย่า ทำอย่างนี้เราจะถูกครหาได้ว่า ทำตัวมีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น”
“อุ๊ย คราวนี้คงต้องยอมให้ถูกครหาล่ะ เราต้องเอาตัวชายเล็กกลับมาให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะเตลิดหนีไปที่อื่นอีก จริงมั้ยล่ะคะ คุณพี่” ย่าอ่อนบอก
สมศรี คนรับใช้ประจำตัวของหม่อมย่าเอียดเดินค้อมตัวเข้ามา
“คุณท่านเจ้าคะ มีแขกมาขอพบเจ้าค่ะ”
ย่าอ่อนเสียงดุเข้ม
“ใครมาหาคุณพี่แต่เช้า ช่างไม่รู้กาลเทศะเสียจริงๆ ! เดี๋ยวน้องไปจัดการเองค่ะ คุณพี่”
ย่าอ่อนเดินฉับๆออกไปทันที ธราธรกับพุฒิภัทรมองหน้ากันอย่างเหนื่อยใจที่หาทางเปลี่ยนใจหม่อมย่าเอียดไม่ได้
ภายในห้องรับแขก ย่าอ่อนยิ้มหน้าบานเริงร่าดีใจจนลืมคำพูดเมื่อครู่เสียสิ้น ก่อนโผเข้าไปกอดศินีนุช
“นี่หนูนุชจริงๆหรือเนี่ย สวยจนย่าจำไม่ได้เลย นี่สวยกว่าคุณหญิงตอนสาวๆอีกนะเนี่ย”
ม.ร.ว. ดารณีนุช เทวพรหมนั่งยิ้มหน้าบานรับคำชม ธราธรกับพุฒิภัทรประคองหม่อมย่าเอียดนั่งลง
“ดิฉันขอประทานโทษจริงๆนะคะที่มารบกวนแต่เช้า”
“เช้าอะไร นี่เกือบสองโมงเช้าเข้าไปแล้ว ปกติแขกเหรื่อก็มาเยี่ยมคุณพี่ เวลานี้แหละ แล้วคุณหญิงจะต้องมาเกรงใจอะไร เราก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว จริงมั้ยล่ะคะ คุณพี่” ย่าอ่อนบอก
หม่อมย่าเอียดยิ้มรับนิดๆแต่ยังสงวนท่าที รู้ว่าดารณีนุชมาเรื่องรัชชานนท์แน่ ธราธรกับพุฒิภัทรมองหน้ากันอย่างขำๆที่ย่าอ่อนกลับคำได้ฉับไวตามใจชอบ
“แล้วนี่คุณหญิงมีธุระอะไรล่ะ” หม่อมย่าเอียดถาม
ศินีนุชโพล่ง
“ก็เรื่องพี่ชายเล็กน่ะซิคะ หม่อมย่า ตกลงพี่ชายเล็กจะกลับมาเมื่อไหร่คะ เมื่อคืนพี่ชายพีร์ก็ตอบกำกวมเสียเหลือเกิน เลยไม่รู้แน่ชัดว่าพี่ชายเล็กไปไหน ไปทำอะไร จะกลับเมื่อไหร่”
ดารณีนุชเตือนลูกสาว
“ลูกนุช”
ศินีนุชยังไม่รู้ตัว
“อะไรหรือคะ คุณแม่ ก็เรามาหาหม่อมย่าก็เพราะจะมาถามเรื่องพี่ชายเล็กไม่ใช่หรือคะ”
คุณหญิงดารณีนุชแอบอ่อนใจกับความไม่รู้มารยาทของลูกสาว ได้แต่ปั้นยิ้มทำเอ็นดูลูกไป
“ขอประทานโทษนะคะ หม่อมป้า ลูกนุชเป็นห่วงคุณชายเล็ก ก็เลยร้อนใจไปหน่อย แล้วเรื่องคุณชายเล็กนี่ยังไงคะ กลับมาหรือยัง”
หม่อมย่าเอียดหันไปมองธราธรกับพุฒิภัทร ทั้งหมดมองหน้ากันอย่างหาทางออก
ภายในป่า รัชชานนท์เก็บข้าวของยัดใส่กระเป๋าเตรียมพร้อมจะเดินป่าต่อ พรานเจ้ยกับจันทาเก็บข้าวของเสร็จเรียบร้อย ลูกหาบ 2 คนยืนหน้าซีดหวาดหวั่นอยู่ไม่ไกล
รัชชานนท์สะพายกระเป๋าเดินมาหาพรานเจ้ยกับจันทา
“สายมากแล้ว เรารีบเดินทางต่อเลยดีกว่า”
“คุณชายยังจะไปต่ออีกเหรอครับ ผมว่าสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจอย่างนี้ เราน่าจะกลับกันดีกว่า” พรานเจ้ยบอก
“ก็ผมบอกแล้วว่า ป่านี้ไม่มีอาถรรพ์หรือผีสางอะไร เมื่อคืนที่เราหมดสติไม่รู้ตัว ก็เป็นฝีมือของคน ผมยังเกือบจับตัวมันได้เลย จะต้องไปกลัวอะไร”
“มันสามารถเข้าถึงตัวเราได้ง่ายดายอย่างนี้ ก็ยิ่งน่ากลัวไปใหญ่ ตอนนี้มันอยู่ในที่ลับ แต่เราอยู่ในที่แจ้ง เราเสียเปรียบพวกมันอยู่นะครับ คุณชาย”
“แล้วที่สำคัญเราไม่รู้เลยว่า พวกมันเป็นใคร” จันทาพูดอย่างหวาดกลัว
“หรือว่า...เรื่องที่เค้าเล่าลือที่ว่า ชาวเวียงพูคำหนีมาซ่อนตัวอยู่ในป่านี้ จะเป็นเรื่องจริง” พรานเจ้ยบอก
“ก็ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน ชาวเวียงพูคำอพยพข้ามมาไม่ขาดสาย ก็คงจะมีบางส่วนกระจัดกระจายมาอยู่ป่าบ้างล่ะ” รัชชานนท์ว่า
“แต่เค้าว่าชาวเวียงพูคำที่มาซ่อนตัวอยู่ในป่า เป็นกองกำลังกู้ชาตินะครับคุณชาย แล้วผู้นำกองกำลังกู้ชาติก็คือเจ้าหลวงเวียงพูคำ !”
รัชชานนท์มองเจ้ยอย่างแปลกใจ กับเรื่องราวที่ไม่น่าเชื่ออย่างยิ่ง
ภายในห้องรับแขกของวังจุฑาเทพบรรยากาศแสนอึมครึม ดารณีนุชกับศินีนุชมองไปที่เจ้าของบ้านทั้งหลายที่นั่งกันไม่ติด
“ว่ายังไงล่ะคะ คุณชายเล็กกลับมาหรือยังคะ”
หม่อมเอียดพูดอ้อมแอ้ม
“ชายเล็กยังไม่กลับ แต่คิดว่าอีกวันสองวันคงจะกลับ”
“แล้วนี่พี่ชายเล็กถูกเรียกตัวไปทำอะไร ที่ไหนหรือคะ ถ้าไม่ได้ไปไกลจากกรุงเทพฯมาก นุชจะไปหาพี่ชายเล็กเอง นุชอยากไปเซอร์ไพรส์พี่ชายเล็กน่ะค่ะ หม่อมย่าขา”
ย่าอ่อนหลุดปาก
“โอ๊ย ถ้าชายเล็กไปไม่ไกล เราคงตามตัวกลับมาได้แล้วล่ะ แต่นี่หนีไปสุดเขตชายแดนโน่น หนูนุชคงไปหาไม่ไหวหรอกมั้ง”
ศินีนุชหน้าเหรอหรา
“หนี พี่ชายเล็กหนีอะไร หนีใครหรือคะ”
ย่าอ่อนตะครุบปากตัวเองก่อนยิ้มแหยๆให้ หม่อมย่าเอียดมองอย่างตำหนิ
“ชายเล็กเบื่องานนั่งโต๊ะ ก็เลยหนีไปทำงานที่หนองคาย แต่ก็เป็นการชั่วคราวเท่านั้น” ธราธรพยายามแก้สถานการณ์
“เรายังไม่รู้ว่า ชายเล็กจะกลับมาเมื่อไหร่ แต่เค้าจะต้องกลับมาแน่ เรื่องนี้ไม่ต้องห่วงครับ” พุฒิภัทรบอก
“ตายจริง แล้วนี่ป้าจะไปบอกคุณลุงอนุพันธ์ยังไงดีล่ะทีนี้ คุณลุงยังขุ่นใจเรื่องเมื่อคืนอยู่เลย ยังไงก็ต้องตามตัวคุณชายเล็กกลับมาให้เร็วที่สุดนะ กลับมาเมื่อไหร่ก็รีบจัดงานหมั้นทันที คนเค้าจะได้เลิกพูดถึงคุณชายเล็กเสียๆหายๆเรื่องที่หายตัวไปเมื่อคืน ตกลงตามนี้เลยนะคะ หม่อมป้าขา”
ม.ร.ว. ดารณีนุช เทวพรหมรวบรัดตัดความ ตีหัวเข้าบ้านจนทุกคนตามไม่ทัน
ธราธรกับพุฒิภัทรมองหน้ากัน เมื่อห็นว่าที่แม่ยายของรัชชานนท์แล้วรู้สึกเป็นห่วงแทนน้องชาย
พรานเจ้ยเดินนำทางออกมาจากจุดพักแรม รัชชานนท์กับจันทาเดินตามมาไม่ห่าง ลูกหาบ 2 คนเดินรั้งท้ายมาพลางมองหน้ามองหลังอย่างหวั่นๆ รัชชานนท์สาวเท้ามาเดินเคียงข้างพรานเจ้ย
“พรานเจ้ยยังเล่าไม่จบ เค้าเล่าลือว่าอะไรอีก”
“ว่ากันว่า ตอนที่นายพลเซกองก่อการกบฎ เจ้าหลวงได้หนีตายข้ามมาที่ฝั่งไทย มีนายทหารและประชาชนที่จงรักภักดีตามมาด้วย และแอบส้องสุมกำลังเพื่อจะกลับไปกอบกู้บ้านกู้เมืองคืน”
“เค้าว่า เจ้าหลวงพาเจ้ารัชทายาทกับพระธิดาหนีมาด้วยจ้ะ”
รัชชานนท์ฟังแล้วขำ
“งั้นเรามาตามหาเจ้าชายเจ้าหญิงกันมั้ยล่ะ จันทา ไหนๆก็มาถึงนี่แล้ว ป่าเมืองไทยคงจะน่าอยู่ไม่เบา ถึงได้มีทั้งพระราชา เจ้าชาย เจ้าหญิงมาหลบซ่อนอยู่ที่นี่”
“คุณชายไม่เชื่อหรือจ๊ะ”
“ก็มันฟังเหมือนนิทานหลอกเด็กเกินไป ในป่านี้อาจจะมีชาวเวียงพูคำหนีมาหลบซ่อน แต่ถึงขนาดมีเจ้าหลวงลี้ภัยมาด้วย เป็นไปไม่ได้แน่”
รัชชานนท์มั่นใจในความคิดของตัวเองมาก
หน้าเรือนแม่เฒ่าในหมู่บ้านวลาหก แม่เฒ่า หมอประจำหมู่บ้านกำลังปอกรากไม้เพื่อทำยา นางปอกไป เล่านิทานไป มีกลุ่มเด็กๆนั่งล้อมวงฟังอย่างสนใจ
“พระราชาผู้มีคุณธรรมปกครองบ้านเมืองอย่างสงบร่มเย็นเป็นเวลาช้านาน จนเมื่อจอมปีศาจเกิดมักใหญ่ใฝ่สูง เข้าช่วงชิงโค่นล้มบัลลังก์เจ้าชีวิต แล้วหมายสิถอนรากถอนโคน คึดสิประหารทุกคนเสียสิ้น ดีที่พระราชาพาพระธิดาหนีมาได้ แต่กะพลัดพรากจากราชินีที่พาพระโอรสหนีไปอีกทาง..”
สร้อยเดินมาหยุดฟังอยู่ไม่ไกล
“เมื่อใดที่หน่อเนื้อแห่งสวรรค์ได้พบกัน เมื่อนั้นเฮาสิได้อาณาจักรของเฮากลับคืนมา”
สร้อยเดินเข้าไปใกล้แม่เฒ่า
“ข้อยฟังแม่เฒ่าเล่านิทานเฮื่องนี้มาตั้งแต่ยังจ้อย พระราชาที่แม่เฒ่าเล่าคือ เจ้าหลวงเวียงพูคำแม่นบ่ งั้นแสดงว่าเจ้าหลวงยังบ่ตาย แล้วโอรส พระธิดาของเจ้าหลวงล่ะ ยังมีชีวิตอยู่บ่ แล้วพวกเพิ่นอยู่ไส”
แม่เฒ่ายิ้มและพูดแฝงนัยบางอย่าง
“อีกบ่นาน เมื่อมงกุฎแห่งเทพมาฮอด เจ้ากะสิฮู้เอง”
สร้อยทำสีหน้ามึนงง ไม่เข้าใจ
“มงกุฎแห่งเทพอะหยัง”
จ่อยวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาลากสร้อย
“อีสร้อยๆ ที่ท้ายหมู่บ้าน..ไปฟ่าว ไป”
จ่อยลากตัวสร้อยออกไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว
ตรงบริเวณท้ายหมู่บ้านเวลานั้น ไกสอนกับแฮรี่กำลังควบคุมกลุ่มชายฉกรรจ์ 4-5 คนขนอาวุธต่างๆ ทั้งปืนทั้งหน้าไม้รวบรวมใส่ลังไว้ ทับทิมช่วยชาวบ้านอีก 4-5 คน ขนเสบียงข้าวสาร อาหารแห้งใส่เกวียนไว้
จ่อยลากตัวสร้อยเดินมาหยุดแอบหลังต้นไม้
“มีอะหยัง”
“มีตาบ่ เบิ่งเอง”
สร้อยหันไปจับตามองกลุ่มผู้ชายที่ช่วยกันขนอาวุธและเสบียงอยู่
จ่อยกระซิบถาม
“เจ้าคึดว่าจังได๋ พ่อกับแฮรี่กำลังเตรียมอพยพแม่นบ่ เฮาเฝ้าเบิ่งเงียบๆไปก่อน ประเดี๋ยวค่อยจับตัวไผซักคนมาซักถาม ดีบ่”
สร้อยพุ่งตัวออกไปทันที
“เฮ้ย อีสร้อย ! ข้อยบอกให้เบิ่งเงียบๆ”
สร้อยตรงเข้าไปหาไกสอนและแฮรี่ที่กำลังตรวจนับอาวุธปืนและลูกกระสุน
“เฮ็ดอะหยังกันอยู่”
ไกสอนกับแฮรี่หันขวับมามองสร้อยอย่างตกใจ
“เฮากำลังสิหนีอีกแล้วแม่นบ่”
“กลับไป นี่บ่ใช่เรื่องของเด็ก.. ไอ้จ่อย” ไกสอนบอก
จ่อยค่อยๆโผล่ออกมาจากหลังต้นไม้ที่แอบซ่อนตัวอยู่
“จ๋า...พ่อ ฮู้ได้จั๋งได”
“อีสร้อยอยู่ไส กะมีเจ้าอยู่นั่น ไป พาตัวอีสร้อยออกไป ไป” ไกสอนบอก
“เป็นหยังเฮาต้องหนีด้วย เฮากะมีคนมีอาวุธพร้อม ถ้าไอ้พวกทหารเวียงเข้ามากะลองสู้กันซักตั้ง ถ้าเฮาหนีกะต้องหนีตลอดไป แล้วจังซี้ มื้อใด๋เฮาสิได้กลับเวียงพูคำ”
“เรามีคนมีอาวุธแค่หยิบมือจะไปสู้อะไรกับพวกทหารเวียงได้ การต่อสู้กับศัตรูโดยไม่ดูกำลังตัวเอง ก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ” แฮรี่บอก
“แล้วพ่อใหญ่มีแผนการอะหยังต่อจากนี้ มีอะหยังให้ข้อยช่วยได้บ้าง”
“เจ้าบ่ต้องเฮ็ดอะหยัง อย่างที่พ่อใหญ่สั่งไว้ เจ้ามีหน้าที่เฮียนหนังสือก็เฮียนไป ตอนนี้ยังบ่เถิงเวลา”
สร้อยพูดขัด
“บ่เถิงเวลาๆ พูดจังซี้มากี่ปีแล้ว มื้อใด๋สิเถิงเวลาเสียที บ่ฮู้ล่ะ ข้อยบ่ยอมอยู่เฉยๆ ดอก ข้อยสิช่วยปกป้องหมู่บ้านของเฮาเอง บ่ให้ไผเข้ามารุกรานได้”
สร้อยผลุนผลันออกไปทันที จ่อยยืนรีรออยู่ไม่รู้จะทำยังไง ไกสอนถลึงตามอง จ่อยรีบเผ่นตามสร้อยไปทันที ไกสอนกับแฮรี่มองหน้ากันอย่างหนักใจ
วังกิตติวงศ์ ร.ท. ม.ล. ชัชวีร์ถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินออกมาจากในบ้าน แต่ต้องชะงักหยุดยืนนิ่งเมื่อเห็นพ่อยืนรออยู่แล้ว
“นี่แกไม่คิดจะกลับมาอยู่บ้านแล้วหรือไง”
“ผมพักอยู่ที่กองบินฯ จะสะดวกกว่าน่ะครับ คุณพ่อ”
“แต่พ่ออยากให้แกกลับมาอยู่ที่บ้าน แกเป็นลูกของพ่อ แกมีสิทธิ์ที่จะอยู่บ้านนี้เท่าๆกับยายนุช”
“ผมจะมีสิทธิ์เท่ากับน้องนุชได้ยังไงครับ น้องนุชเป็นลูกของคุณหญิงดารณีนุช ภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของคุณพ่อ แต่ผมเป็นลูกของผู้หญิงข้างถนนที่ไหนก็ไม่รู้”
“อย่าพูดจาดูถูกแม่ของแก !”
“งั้นคุณพ่อบอกผมซิครับว่า แม่ผมเป็นใคร ถ้าแม่ผมไม่มีประวัติน่าอับอาย พ่อก็ต้องบอกได้ว่า แม่ผมเป็นใคร แต่นี่ผมไม่รู้แม้แต่ชื่อของแม่ แล้วจะให้ผมคิดเป็นอื่นได้ยังไง”
“พ่อบอกได้แต่ว่า แม่ของแกเป็นผู้หญิงที่มีจิตใจงดงามที่สุด”
“คุณพ่อบอกไม่ได้ ก็ไม่เป็นไรครับ ไม่ว่าแม่ผมเป็นใคร ผมก็เป็นลูกนอกสมรส ไม่ต่างกับลูกบ่าวไพร่ในบ้านนี้อยู่ดี ผมรู้ฐานะตัวเองดี ผมถึงรู้ว่าผมควรจะวางตัวเองไว้ตรงไหน”
คุณหญิงดารณีนุชกับศินีนุชเดินเข้ามา
“รู้ ก็ดีแล้ว แล้วมาทำไม สั่งแล้วไม่ใช่หรือ ถ้าไม่เรียก ไม่ต้องมา”
“ผมแวะมาเอาเสื้อผ้าเท่านั้นครับ ผมลาล่ะครับ”
ชัชวีร์ยกมือไหว้ลาอนุพันธ์กับดารณีนุชแล้วเดินออกไปทันที ศินีนุชนึกอะไรบางอย่างได้
“เดี๋ยว พี่ชัช นุชมีเรื่องจะพูดด้วย”
ศินีนุชรีบตามชัชวีร์ออกไป อนุพันธ์จ้องมองดารณีนุชอย่างไม่พอใจ
“คุณจะกดขี่ข่มเหงนายชัชไปถึงไหน”
“ฉันไม่อยากเห็นหน้ามัน เห็นหน้ามันทีไรก็คิดถึงแม่มัน ที่ฉันยอมให้คุณเอามันมาเลี้ยงในบ้านจนโตก็เกินพอแล้ว ฉันจะไม่ทนให้มันอยู่เป็นเสนียดบ้านนี้อีกต่อไปอีก”
พลตรี ม.ร.ว. อนุพันธ์มองเมียตัวเองอย่างรังเกียจจนไม่อยากจะพูดด้วยอีกต่อไป เขาเดินหนี
“นั่นคุณจะไปไหน เรายังพูดกันไม่จบ !”
ดารณีนุชตามไปราวีอนุพันธ์
ชัชวีร์เดินเร็วๆ ในใจอยากหนีออกไปวังกิตติวงศ์โดยเร็ว ศินีนุชเดินไล่ตามมาจนทัน เธอรั้งแขนชัชวีร์ไว้
“พี่ชัชๆ รอเดี๋ยวซิ นุชบอกว่า มีเรื่องพูดด้วยไง”
ชัชวีร์ยอมหยุดหันมาพูดกับศินีนุช
“มีอะไรครับ น้องนุช”
ศินีนุชสั่งฉอดๆ
“เรื่องพี่ชายเล็กน่ะซิ พี่ชัชคอยไปตามข่าวพี่ชายเล็กให้นุชด้วย ถ้าเค้ากลับมาเมื่อไหร่ มาบอกนุชทันที เข้าใจมั้ย”
“พี่ต้องทำงาน ไม่มีเวลาหรอกครับ”
“เอ๊ะ นุชสั่ง พี่ชัชก็ต้องทำตามซิ คุณแม่บอกไว้ว่า มีอะไรให้ใช้พี่ชัช พี่ชัชมีหน้าที่ทำงานรับใช้ทุกคน ตอนนี้พี่ชัชมีหน้าที่ที่จะช่วยให้นุชได้แต่งงานกับพี่ชายเล็กเร็วๆ รู้ไว้ด้วย”
ศินีนุชเดินฉับๆออกไปอย่างเอาแต่ใจ ชัชวีร์ถอนใจยาวอย่างเบื่อหน่าย เขาหันกลับไปจะเดินไปที่รถ รณพีร์โผล่หน้าพรวดเข้ามาไม่รู้เนื้อรู้ตัว
“นายชัช ! โชคดีจริงที่มาทัน”
ชัชวีร์ถอนใจยาวอีกเฮือกใหญ่ๆ เพราะรู้ว่า รณพีร์ต้องหาเรื่องมาให้อีกคน
อ่านต่อตอนที่ 2