สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 3
ภายในวังจุพาเทพ หม่อมเอียดนั่งจิบน้ำชาอยู่ที่เรือนของตน พลางจับตามองน้องสาวอย่างไม่ชอบใจนัก ย่าอ่อนเลื่อนจานสโคนให้เอาใจเอาใจ แล้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“รับสโคนมั้ยคะ คุณพี่ หนูเกษเพิ่งให้คนส่งมาให้เมื่อเช้า รับประทานสโคนกับน้ำชา เข้ากันที่สุด อร๊อยอร่อยนะคะ คุณพี่ เดี๋ยวน้องทาเนยให้นะคะ”
“ไม่ต้อง!”
หม่อมเอียดวางถ้วยน้ำชาอย่างขัดใจ
“นี่เธอไม่รู้ตัวเลยหรือยังไงว่า ทำอะไรลงไป”
“น้องขอโทษจริงๆค่ะ ที่ขัดคำสั่งของคุณพี่ แต่น้องทำไปเพราะหวังดีจริงๆ นะคะ ให้หนูนุชไปตามหาชายเล็กด้วย มีหรือที่ชายเล็กจะไม่ซาบซึ้งน้ำใจของเธอ ยิ่งได้บุกป่าฝ่าดงตกระกำลำบากด้วยกัน ก็ต้องยิ่งเห็นอกเห็นใจกันมากขึ้น ทีนี้ชายเล็กก็จะไม่เห็นผู้หญิงคนไหนดีไปกว่าหนูนุชอีกแล้ว”
“ก็ขอให้แผนการของเธอในครั้งนี้สำเร็จแล้วกันนะ แม่อ่อน”
ย่าอ่อนยิ้มอย่างได้ทีบอก
“ที่จริงคุณพี่ก็คิดอย่างเดียวกับน้องใช่มั้ยล่ะคะ ไม่งั้นคุณพี่คงไม่อนุญาตให้หนูนุชตามไปด้วยหรอก เมื่อคราวที่ชายใหญ่หายไปก็กลับมาพร้อมหนูมะปราง ว่าที่หลานสะใภ้ของเรา คราวนี้ก็คงไม่ต่างกัน ยังไงชายเล็กต้องพาหลานสะใภ้กลับมาด้วยแน่ๆค่ะ”
“แล้วก็ขอให้เป็นหลานสะใภ้ที่เราหมายหมั้นปั้นมือด้วย อย่าได้เกิดเรื่องผิดฝาผิดตัวเหมือนคราวชายใหญ่ก็แล้วกัน ต่อไปก็อย่าได้ขัดคำสั่งฉันอีก ป่านนี้คนไม่รู้เรื่องชายเล็กกันไปทั่วแล้วเรอะ”
“อุ๊ย คุณหญิงดารณีนุชคงไม่บอกใครอื่นอีกหรอกมั้งคะ เธอเป็นผู้ดีในสายเลือด ไม่ใช่คนปากยื่นปากยาวอยู่แล้ว”
“ฉันหมายถึงหล่อนต่างหาก แม่อ่อน แม่ฆ้องปากแตก หวังว่าเธอคงไม่ได้ไปโพนทะนาเรื่องชายเล็กในวงไพ่ตองของเธอด้วยหรอกนะ”
ย่าอ่อนอึกอักๆ ไม่กล้าตอบแล้วรีบฉวยโอกาสเปลี่ยนเรื่องเมื่อเห็นคุณชายธราธรกับพุฒิภัทรเดินเข้ามา
“ชายใหญ่! ว่ายังไง ติดต่อชายพีร์ได้หรือยัง”
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างไม่สบายใจ
“ยังเลยครับ ผมให้สมบุญส่งโทรเลขตามไปอีกฉบับแล้ว เรื่องที่เราจะต้องเลื่อนการเดินทางเป็นพรุ่งนี้ แต่หม่อมย่าครับ ผมกับชายภัทรขอไปวันนี้ได้มั้ยครับ แล้วให้น้องนุชตามไปทีหลังก็ได้”
“ถ้าเรารอจนถึงวันพรุ่งนี้ เราเกรงว่า มันอาจจะสายเกินไป !” พุฒิภัทรบอก
ธราธรกับพุฒิภัทรมองหม่อมเอียดอย่างจริงจัง สีหน้าเคร่งเครียด
ขณะเดียวกัน พ่อใหญ่นั่งเป็นประธานอยู่บนเรือน แฮรี่นั่งขนาบอยู่ ทั้งสองเฝ้ามองเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ ไกสอนกำลังดึงม้วนกระดาษเล็กๆ ที่ติดมากับขานกพิราบสื่อสารออกมา
ไกสอนส่งนกพิราบคืนให้ทับทิมนำไปขังไว้ในกรงนก ทับทิมถือกรงนกพิราบออกไปอย่างรู้งาน
ไกสอนคลี่ม้วนกระดาษออกอ่าน แล้วรีบส่งให้พ่อใหญ่ด้วยสีหน้าที่เคร่งเครียด พ่อใหญ่อ่านข้อความอย่างนิ่งคิดพิจารณา
“เป็นไปอย่างที่คึดไว้ บ่มีผิด”
สร้อยกับจ่อยพรวดพราดเข้ามาด้วยความอยากรู้
“พ่อใหญ่! สายในเมืองส่งข่าวมาว่าอะหยัง ไอ้พวกทหารเวียงมันฮู้เฮื่องหมู่บ้านวลาหกแล้วบ่ พวกมันสิบุกมามื้อเหิง”
“ใจเย็นๆ อีสร้อย บ่มีเฮื่องอะหยังดอก สายของเฮาส่งข่าวมาตามปกติ” ไกสอนบอก มีแฮรี่สนับสนุน
“ถ้าเป็นอย่างที่เจ้าว่าจริงๆ พ่อใหญ่คงจะรีบสั่งการไปแล้ว ไม่อยู่เฉยแน่”
“อย่ามาหลอกข้อยเสียให้ยาก ถ้าบ่มีเฮื่องสำคัญ สายในเมืองบ่ส่งข่าวมาดอก เป็นหยังชอบปิดบังความจริงกับข้อยนัก ข้อยเป็นลูกของพ่อใหญ่ ข้อยมีสิทธิ์ที่สิฮู้ !”
จ่อยสะกิดเตือนสร้อยอย่างเกรงๆทั้งสร้อยและบรรดาผู้ใหญ่ในห้อง
“อีสร้อยเอ๊ย เพิ่นบอกว่าบ่มีอะหยัง กะบ่มีเด้อ”
“บ่บอกกะบ่เป็นหยัง ข้อยสิไปสืบข่าวเอง”
“เจ้าสร้อย”
สร้อยไม่ยอมฟังพ่อ ผลุนผลันออกไปโดยเร็ว จ่อยรีบตามไปติดๆ
สร้อยเดินดุ่มๆ ลงมาจากเรือนพ่อใหญ่ จ่อยรีบไปขวางทางไว้
“อีสร้อย! เจ้าสิไปสืบข่าวได้จังได๋ เกิดมาเจ้ากะอยู่แต่ในป่าในดง บ่เคยย่างเท้าออกจากป่าแม้แต่ก้าวเดียว แล้วเจ้าสิไปสืบข่าวในเมืองได้จังได๋”
“ไผบอกว่า ข้อยสิไปสืบข่าวในเมือง เจ้านี่เซ่อหลาย บ่ต้องไปไสไกล ข้อยกะหาข่าวของข้อยได้”
สร้อยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์หาทางได้อยู่แล้ว
ฝ่ายคุณชายธราธรกับพุฒิภัทรกำลังรอคำตอบจากหม่อมเอียดอยู่
“ย่ามีเหตุผลของย่าที่ยอมให้หนูนุชไปด้วย”
ธราธรบอก
“ผมก็ไม่ได้คัดค้านไม่ให้น้องนุชไปด้วยนี่ครับ แต่ผมกับชายภัทรอยากเดินทางล่วงหน้าไปก่อน”
ย่าอ่อนรีบเข้าข้างย่าเอียดทันที
“แต่หนูนุชเป็นผู้หญิงนะ จะให้เดินทางไปคนเดียวได้ยังไง ไม่ได้ๆ ยังไงก็ต้องรอไปพร้อมๆกับหนูนุช”
“แต่ยังไงเราก็ต้องออกเดินทางในวันนี้นะครับ เราติดต่อเครื่องบินลำเลียงไว้แล้ว ถ้าเราเลื่อนเดินทางไปพรุ่งนี้ ก็ต้องไปทางรถไฟ เสียเวลาเปล่าๆ”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวย่าจะหาทางแก้ปัญหาให้เอง ย่ารับปากกับคุณหญิงดารณีนุชไปแล้ว จะให้ย่ากลับคำได้ยังไง ที่ชายเล็กหนีงานเลี้ยงไป ก็ทำให้ทางโน้นขุ่นข้องหมองใจมากพอแล้ว ย่าไม่อยากให้มีเรื่องต้องผิดใจกันอีก”
“หม่อมย่าอย่าเพิ่งไปห่วงเรื่องอื่นเลยครับ ห่วงเรื่องชายเล็กดีกว่า เรายังไม่รู้เลยว่า เราจะตามหาชายเล็กเจอหรือเปล่า” ธราธรบอก
พุฒิภัทรสนับสนุน
“แล้วขืนเราชักช้า เราอาจจะต้องไปตามหาชายพีร์อีกคน”
ย่าอ่อนหน้าตื่นทันที
“หมายความว่ายังไง ชายภัทร”
“ย่าอ่อนไม่รู้จักหลานรักคนนี้หรือครับ ชายพีร์สนิทกับชายเล็กเป็นที่สุด ชายเล็กตกอยู่ในอันตรายอย่างนี้ ชายพีร์อยู่ไม่เป็นสุขแน่ ตอนนี้เราคงได้แต่ภาวนาล่ะครับว่า ชายพีร์จะไม่ตัดสินใจทำอะไรบุ่มบ่ามก่อนที่เราจะไปถึง”
หม่มอเอียดบอกอีก
“ไม่ว่าจะยังไง คำสั่งของย่าจะไม่เปลี่ยนแปลง”
ธราธรกับพุฒิภัทรมองหน้ากันอย่างหมดหวัง
ฝ่ายพ่อใหญ่อ่านข้อความข่าวที่อยู่ในมืออีกครั้ง ไกสอนกับแฮรี่ต่างมองหน้ากันอย่างหนักใจ ทั้งคู่ต่างนิ่งรอคำสั่งจากพ่อใหญ่
“ตอนนี้พวกทหารเวียงน่าสิมาฮอดชายป่าแล้ว”
“พ่อใหญ่อย่าเพิ่งเป็นกังวลไป แม่เฒ่าบอกว่า มนต์หมอกยังคงปกป้องหมู่บ้านเฮาไปได้อีกระยะ ถึงคุณชายรัชชานนท์สิเป็นมงกุฎแห่งเทพในคำทำนายจริงๆ กะบ่ได้เฮ็ดให้มนต์หมอกหายไปในทันทีทันใด” ไกสอนบอก
แฮรี่บอก
“เรื่องคุณชายรัชชานนท์จะเป็นคนในคำทำนายหรือไม่ คงไม่ต้องมาถกเถียงกันแล้วล่ะ ท่านไกสอน ถ้าไม่ใช่คุณชายคนนี้ จะมีผู้ชายสูงศักดิ์คนไหนที่จะเข้ามาถึงหมู่บ้านเราที่อยู่กลางป่าลึกอย่างนี้ได้อีก”
“คุณชายคนนี้เป็นทั้งผู้ที่นำข่าวดีและข่าวร้ายมาสู่หมู่เฮา แต่ตอนนี้เฮาสิต้องจัดการเฮื่องข่าวร้ายก่อน” พ่อใหญ่บอก
พ่อใหญ่นิ่งคิดหาทางปกป้องหมู่บ้านวลาหก
สร้อยปีนป่ายขึ้นต้นไม้สูงใหญ่ที่อยู่หลังเรือนพ่อใหญ่ จ่อยปีนตามไปอย่างรวดเร็วแต่คล่องแคล่วสู้สร้อยไม่ได้ สร้อยโหนตัวกระโดดจากต้นไม้ไปเกาะที่ขอบหน้าต่างห้องประชุมของพ่อใหญ่ จ่อยกระโดดไปเกาะตาม แต่มือลื่นหลุดพลาดเกือบร่วงหล่นไป สร้อยคว้ามือไว้ทัน
จ่อยร้องตกใจ
“เฮ้ย!”
“เบาๆ!”
สร้อยกับจ่อยเกาะอยู่ขอบหน้าต่างห้อยต่องแต่งอยู่แล้วค่อยๆ ขยับตัวไปทางห้องพ่อใหญ่ช้าๆ สร้อยกับจ่อยปีนเกาะเกี่ยวขอบหน้าต่างไว้ด้วยมือและตีนอย่างเหนียวแน่น
พ่อใหญ่นิ่งคิดตริตรองอย่างสุขุมเยือกเย็น
“สายในเมืองส่งข่าวมาว่า มื้อเช้ามีทหารเวียงข้ามมาฝั่งไทยมากผิดปกติ บ่ต่ำกว่าครึ่งร้อย ทางเวียงพูคำส่งทหารมามากจังซี้ คงบ่ได้มาค้นหาพวกเฮาเท่านั้น เฮาคิดว่า พวกมันคงสิมาตามหาทหารเวียงที่หายไปด้วย”
“ข้อยกะคึดจังสั้นเหมือนกัน พ่อใหญ่ ทับทิมนับศพทหารเวียงที่ถูกฆ่าตายได้เถิงห้าศพ บ่ใช่จำนวนน้อยๆเลย” ไกสอนบอก
“ถ้าเป็นอย่างนั้น ทางนายพลเซกองจะต้องยิ่งเชื่อว่ามีกองกำลังกู้ชาติซ่อนตัวอยู่ในป่านี้จริงๆ เราคงรอฤกษ์วันอพยพจากแม่เฒ่าไม่ได้แล้วกระมัง” แฮรี่ว่า
“ในเวลาที่พวกทหารเวียงเพ่นพล่านอยู่ทั่วป่าจังซี้ เฮายังอพยพบ่ได้”
สร้อยที่เกาะอยู่ที่ขอบหน้าต่าง ตกใจตื่นตระหนก พึมพำไม่ออกเสียง
“ทหารเวียง!”
พ่อใหญ่ชะงักนิดหนึ่ง แต่สีหน้าไม่เปลี่ยน รู้สึกได้ถึงสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นที่หน้าต่าง
“ไกสอนสั่งการลงไป ห้ามผู้ใดออกไปจากหมู่บ้านอย่างเด็ดขาด รวมทั้งเจ้าด้วย เจ้าสร้อย !”
ในทันทีทันใด พ่อใหญ่ก็หยิบตัวหมากรุกขว้างพุ่งตรงไปที่มือของสร้อยที่เกาะขอบหน้าต่างอยู่
“โอ๊ย!”
“เฮ้ย!”
สร้อยตกใจ หงายหลังหลุดร่วงลงไปนอนคลุกฝุ่นที่พื้นพร้อมๆกับจ่อยที่ตกใจปล่อยมือตกลงไปเอง พ่อใหญ่มองไปทางหน้าต่าง เหนื่อยใจกับความดื้อดึงของลูกสาวอยู่เหมือนกัน
ทั้งสองคนนอนแอ้งแม้งกินฝุ่นอยู่ที่พื้นดิน สร้อยรีบตะเกียกตะกายลุกขึ้นยืน ไกสอนเผ่นพรวดลงมาจากเรือนมาถึงหัวบันได
“อีสร้อย! สิไปไส”
สร้อยวิ่งหนีไปอย่างไม่ฟัง แล้วต้องชะงักกึกเพราะเสียงพ่อใหญ่
“เจ้าสร้อย!”
สร้อยหันกลับมามอง เห็นพ่อใหญ่ยืนอยู่บนชานเรือนมองมาอย่างเอาเรื่อง แฮรี่ยืนเคียงข้างอยู่
“ข้อยต้องไป พ่อใหญ่ บ่จังสั้นเพิ่นต้องตายแน่!”
สร้อยเกรงพ่อก็เกรง แต่ก็ตัดสินใจวิ่งออกไปด้วยความเป็นห่วงรัชชานนท์ ไกสอนก้าวพรวดๆ มาถึงตัวจ่อย
“ไอ้จ่อย! อีสร้อยหมายถึงไผ ไผต้องตาย”
ไกสอนขยุ้มคอเสื้อจ่อย จ้องหน้าเค้นถามอย่างเครียด
“บักคุณชายน่ะ พ่อ..ตอนนี้บักคุณชายติดอยู่ในป่า ถ้าไอ้พวกทหารเวียงเจอเข้า เพิ่น..เพิ่นคงบ่รอด!”
พ่อใหญ่ได้ยินชัดทุกคำจากจ่อย มีสีหน้าหนักใจยิ่งขึ้นไปกว่าเดิม
สร้อยวิ่งตะบึงมาตามทางในป่าอย่างร้อนรน จนมาถึงปากหลุมดักสัตว์ที่กักรัชชานนท์ไว้ เธอมองซ้าย มองขวาแล้วรีบปีนป่ายขึ้นต้นไม้ ใช้มีดตัดเถาวัลย์อย่างรวดเร็ว สร้อยกระโดดลงจากต้นไม้แล้วโยนเถาวัลย์ลงไปในหลุม
“เอ้า ฟ่าวปีนขึ้นมา เร็วเข้า เฮ็ดอะหยังอยู่ ชักช้าจริง!”
สร้อยชะโงกหน้ามองไปที่ในหลุมดักสัตว์แล้วต้องชะงักงงงัน ภายในหลุมว่างเปล่า
“เฮ้ย ! หายไปไส หรือว่า...หรือว่าเพิ่นโดนจับไปแล้ว”
สร้อยงงงันและตกใจมาก
บริเวณร้านเหล้าพรานเจ้ย คุณชายรณพีร์กับชัชวีร์ต่างสะพายกระเป๋าและสัมภาระการเดินป่า
“ไอ้พีร์! นายแน่ใจแล้วจริงๆเหรอ” ชัชวีร์ถามย้ำ
“แน่เสียยิ่งกว่าแน่ ตอนนี้ฉันรอไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว นายไม่ต้องห่วง ลุงบุญโฮมหาพรานนำทางให้เราได้แล้ว เห็นว่าพรานคนนี้เก่งมาก รู้จักทุกตารางนิ้วของผืนป่าเลย เราต้องตามหาพี่ชายเล็กเจอแน่”
“นายตัดสินใจแน่แล้ว ฉันก็จะไม่ห้ามอะไรนายอีก เอาไงเอากัน”
บุญโฮมเดินเข้ามาด้วยสีหน้ามั่นอกมั่นใจภูมิใจเสนอมาก
“มากันแล้วหรือครับ ผมพาพรานที่เก่งที่สุดของหนองคายมาให้แล้ว”
ชัชวีร์หยอก
“อ้าว ไม่ใช่พรานเจ้ยหรอกเหรอที่เก่งที่สุดน่ะ”
“ก็ใช่ครับ พรานเจ้ยเป็นพรานมือหนึ่งของที่นี่ แต่ถ้าเทียบอายุการทำงานแล้ว พรานเกิ้นน่าจะชำนาญการเดินป่ากว่าอยู่แล้ว เชื่อมือผมเถอะครับ ถ้าไม่เก่งจริง ผมไม่กล้าแนะนำหรอกครับ นั่นไงครับ พรานเกิ้นมาโน่นแล้ว”
รณพีร์กับชัชวีร์หันไปมองเห็นชายหนุ่มในชุดทะมัดทะแมง 3 คนเดินเข้ามา ต่างเดาว่าคนไหนเป็นพรานเกิ้น เพราะแต่ละคนดูแข็งแรงบึกบึนดี ชายหนุ่มบึกบึนทั้งสามเดินผ่านรณพีร์กับชัชวีร์ไป สองเพื่อนซี้หันมองตามอย่างเหวอๆ
“อ้าว ! ไม่ใช่เหรอ”
ชัชวีร์หันกลับมาแล้วต้องชะงัก สะกิดรณพีร์ด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
“ไอ้พีร์ๆ !”
“อะไร”
รณพีร์หันกลับมาแล้วต้องชะงักอึ้งตามเพื่อนไป บุญโฮมมั่นใจ พูดเสียงดังฟังชัด
“พรานเกิ้น ! เข้ามาเลยๆ คุณๆ เค้ารออยู่ นี่ไงครับ พรานเกิ้น พรานป่าผู้เก่งกาจที่ไม่มีใครเทียบได้!”
พรานเกิ้นในสภาพพรานป่าแก่งั่ก รุ่นปลดระวาง เดินงกๆเงิ่นๆเข้ามา พรานเกิ้นยกมือไหว้ท่วมหัว พลางยิ้มกว้างโชว์เหงือกแดงแจ๋ฟันฟางแทบไม่เหลือ
“ซาหวัดดีครับ ข้อยซื่อ..พรานเกิ้น..ยินดีรับใช้เด้อครับเด้อ”
รณพีร์กับชัชวีร์จ้องมองพรานเกิ้นอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
สร้อยวิ่งลัดเลาะมาตามทางในป่าเพื่อตามหาร่องรอยของรัชชานนท์จนลืมระวังตัว เธอวิ่งมาหยุดกึก เมื่อรู้สึกได้ถึงการเคลื่อนไหวที่ดูเหมือนจะใกล้เข้ามาทุกที
ด้วยสัญชาติญาณทำให้สร้อยหันขวับ เห็นทหารเวียงพูคำ 4 คนเดินลาดตระเวนอยู่ไกลๆ ยังไม่มีใครมองมาทางสร้อย เธอรีบหลบวูบไปหลังต้นไม้ใหญ่ดึงมีดที่เหน็บเอวขึ้นมาเตรียมตัวรับมือ อย่างไม่กลัวตาย สร้อยชะโงกหน้าไปดูทหารอีกครั้ง ทันทีทันใดมือรัชชานนท์เข้ามาตะปบปิดปากสร้อยไว้ และลากตัวออกไปอย่างรวดเร็ว
สร้อยถูกรัชชานนท์ลากตัวมาที่หลังพุ่มไม้ใหญ่อีกมุมหนึ่งของป่า เธอดิ้นรนมาตลอดทางทั้งที่ถูกรัชชานนท์เอามือล็อกคอและปิดปากไว้แน่น เมื่อเธอได้จังหวะก็ศอกใส่เขาจนตัวงอต้องต้องคลายมือออก เธอฟาดมือตามไปอีกหลายดอกแล้วหันไปประจันหน้า เงื้อมมีดในมือขึ้นเตรียมเสียบ
รัชชานนท์รีบจับมือสร้อยไว้ก่อนที่จะโดนแทงอกทะลุ
“เฮ้ย! เดี๋ยวๆ นี่ฉันเอง !”
สร้อยชะงักเพิ่งเห็นว่าเป็นรัชชานนท์อย่างชัดๆเต็มตา
“อ้าว! ยังบ่ตายดอกเหรอ”
สร้อยสะบัดตัวออกรชานนท์
“ถ้าฮู้ว่าเก่งจังซี้ กะบ่ออกมาช่วยดอก เสียเวลาแท้”
รัชชานนท์ดึงสร้อยไว้ก่อนที่จะเดินออกไป
“จะไปไหน”
“กลับบ้านน่ะซิ ถามได้”
“จะกลับได้ยังไง ทหารเวียงเดินเพ่นพล่านเต็มไปหมด คืนนี้เราออกไปจากที่นี่ไม่ได้แน่ !”
สร้อยนิ่งอึ้งเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่ทหารเวียงแห่กันมา
บนเรือนแม่เฒ่า จ่อยเดินวนไปเวียนมาอย่างกลุ้มใจเหลือเกิน แม่เฒ่าปอกเปลือกรากไม้ไปพลางมองจ่อยอย่างใจเย็น
“ข้อยสิเฮ็ดจังได๋ดี แม่เฒ่า พ่อใหญ่สั่งห้ามไว้อย่างเด็ดขาด บ่ว่าไผกะห้ามออกไปจากหมู่บ้าน แล้วจังซี้ข้อยสิไปช่วยอีสร้อยได้จังได๋”
“เจ้าบ่ต้องเป็นห่วงอีสร้อยดอก เพิ่นมีคนไปช่วยแล้ว”
“ไผ! ไผสิไปช่วยอีสร้อยได้ มันออกไปตัวคนเดียว ไอ้พวกทหารเวียงมันมากันเป็นสิบเป็นร้อย เถิงอีสร้อยสิเก่งกล้าปานใด๋ มันกะเป็นแม่หญิง จังได๋กะสู้ผู้ชายบ่ได้ แม่เฒ่า มีแม่เฒ่าผู้เดียวที่ช่วยได้ แม่เฒ่าไปเว้ากับพ่อใหญ่ให้ข้อยได้บ่”
“บ่ ข้อยบ่ไปดอก พ่อใหญ่ตัดสินใจสิ่งใดไปแล้ว บ่เคยเปลี่ยนใจ บ่ต้องกลุ้มใจไป บ่มีไผเฮ็ดอะหยังแก้วตาของเฮาได้ดอก ถ้าว่างนัก กะมาช่วยข้อยป้อนข้าวป้อนยาคนเจ็บดีกว่า”
“ป้อนข้าวป้อนยาไผหรือ แม่เฒ่า ไผล้มเจ็บอีกล่ะ”
“ตอนนี้สิมีไผได้ กะแม่หญิงของเจ้าจังได๋เล่า”
“นี่...นี่หมายความ แม่หญิงฟื้นแล้วบ่ แม่เฒ่า แล้วเป็นหยังบ่บอกข้อย นี่แสดงว่า แม่หญิงรอดตายแล้วบ่ แม่หญิงรอดตายแล้ว !”
จ่อยดีใจตื่นเต้นวิ่งเข้าไปในเรือนแล้ววิ่งออกมาใหม่ สีหน้าเลิ่กลั่กดีใจอย่างทำอะไรไม่ถูก
“ข้อยเข้าไปเบิ่งแม่หญิงได้บ่ เข้าไปตอนนี้ได้เลย หรือว่าต้องรอ หรือว่าจังได๋ดี”
แม่เฒ่ายิ้มบอก
“ได้ เข้าไปได้เลย แม่หญิงเพิ่นกะคงอยากเจอเจ้าคือกัน”
จ่อยรีบตรงเข้าไปในห้องข้างในทันที แม่เฒ่ามองตาม...
ด้านจันทานอนหลับอยู่บนที่นอนบนเรือน จ่อยเดินตึงตังเข้ามาก่อนที่จะรู้สึกตัวแล้วเบาฝีเท้าลง ค่อยๆขยับไปนั่งข้างๆ จันทา จ่อยเอื้อมมือจะไปแตะมือจันทา แล้วต้องรีบหดมือกลับเมื่อเห็นจันทาเริ่มขยับตัวตื่น จันทาค่อยๆ ลืมตาอย่างดีใจ จ่อยพร่ำพูดไม่หยุดอย่างลืมตัว
“ฟื้นแล้ว...เจ้าฟื้นแล้ว เจ้าเป็นจังได๋บ้าง ยังเจ็บแผลบ่ เจ้าถูกยิงมา นอนบ่มีสติมาสองมื้อแล้วแต่บ่ต้องย่านเด้อ แม่เฒ่าช่วยรักษาเจ้าอยู่ จังได๋เจ้ากะต้องหายดี เจ้า...เจ้า”
“ข้อยชื่อ...จันทา”
จันทาค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่งพิงฝาเรือนไว้ แต่ยังคงอ่อนแรงอยู่ จ่อยเคอะๆ เขินๆ ไม่รู้จะพูดอะไรต่อดี
“เออ...ข้อยชื่อ จ่อย จันทา จ่อย ชื่อคล้องกันดีเน้อ แม่เฒ่าบอกเจ้าแล้วบ่ ว่าเจ้ามาอยู่ที่นี่ได้จังได๋”
“จ้ะ แม่เฒ่าบอกข้อยแล้ว เจ้าเป็นคนที่ช่วยข้อยไว้ ข้อยขอบใจเจ้าหลายๆ ถ้าบ่ได้เจ้าช่วยข้อยไว้ ข้อยคงตายอยู่ในป่านั่นแล้ว แต่มีเฮื่องนึงที่แม่เฒ่าบ่ยอมบอก พ่อของข้อย...เจ้าได้ช่วยพ่อเจ้ยของข้อยมาด้วยบ่”
จ่อยรีบหลบตา ไม่กล้าบอกความจริง ได้แต่คิดหาทางออก
“เออ...คือตอนที่ข้อยเข้าไปช่วยเจ้า ข้อยกะมัวแต่ห่วงเจ้า บ่ฮู้ไผเป็นไผ ข้อยช่วยไผได้ กะฟ่าวช่วยมา จังได๋เจ้ารอถามบักคุณชายเด้อ เพิ่นน่าสิตอบเจ้าได้”
“คุณชาย...คุณชายอยู่ที่นี่ด้วยคือกันบ่ คุณชายยังบ่ตาย แล้วตอนนี้คุณชายอยู่ไสล่ะจ๊ะ”
จ่อยนิ่งอึ้งตอบไม่ได้ ได้แต่ทำตาปริบๆไป
สร้อยเดินลัดเลาะมาตามหลังโขดหินที่รัชชานนท์เคยต่อสู้กับทหารเวียงพูคำและพรานเจ้ยเสียชีวิตที่นี่ รัชชานนท์เดินตามหลังสร้อยมาไม่ห่าง สร้อยได้ยินเสียงฝีเท้าเหยียบกรวดหินเข้ามา เธอหลบวูบหลังโขดหินทันทีแล้วดึงรัชชานนท์หลบไปด้วย ทหารเวียงพูคำ 3 คนเดินเข้ามาตรวจตราหาร่องรอยเพื่อนทหารที่หายตัวไป
“ทีนี้เชื่อฉันแล้วหรือยัง”
“ทหารเวียงส่ำนี่ ขวางทางข้อยบ่ได้ดอก”
สร้อยดึงหน้าไม้ออกมาเตรียมจะยิงใส่ทหารเวียง แต่เขารั้งมือไว้
“อย่านะ สร้อย ! พวกมันไม่ได้มากันแค่นี้ ถ้าขืนเธอฆ่าไอ้สามคนนี้ ประเดี๋ยวพรรคพวกมันได้แห่กันมาแน่ เรามีกันแค่สองคนสู้พวกมันไม่ไหวหรอก”
ทหารทั้งสามคนเดินวนเวียนหาร่องรอย ไม่ยอมไปไหน
ทหาร1บอก
“ไอ้คำไสอาจบ่ได้มาที่ป่านี่กะได้ บ่มีร่องรอยอะหยังเลย”
ทหาร2 บอก
“แต่มีคนเห็นไอ้คำไสพาลูกน้องสามสี่คนเข้ามาในป่า แล้วบ่ได้ออกไปเลย”
“บ่ฮู้ล่ะ ถ้ามื้อนี้ตามหามันบ่เจอ กะต้องบ่ตามหามันแล้ว ไอ้คำไสผู้นี้มันชอบหาเฮื่องใส่ตัว มันอาจไปฉุดลูกเมียผู้ใหญ่ผู้โต จนถูกฆ่าหมกดินที่ไสไปแล้วกะได้”
ทหาร3 บอก
“แล้วลูกน้องของมันล่ะ จังได๋ถึงได้หายตัวตามไปด้วย”
“บ่ฮู้โว้ย ! พวกมันอาจเบื่อที่สิต้องมาเที่ยวตามหาไอ้พวกกบฎตามป่า ตามเขาจังซี้ หนีทหารไปแล้วกะได้ ไผสิไปฮู้วะ”
ทหารคนที่ 1 เดินดุ่มๆดูจนทั่วบริเวณนั้นพอเป็นพิธีอย่างรำคาญใจ รัชชานนท์กับสร้อยจับตาดูพวกทหารเวียงพูคำอย่างไม่ให้คลาดสายตาแล้วชะงักตกใจที่เห็นเศษเสื้อของทหารที่ถูกสร้อยฆ่าตาย ตกอยู่ที่พื้นริมลำธาร!! ทหารคนที่1 เดินอย่างเกียจคร้าน มองไปรอบๆอย่างลวกๆไม่ทันเห็นเศษผ้านั้น
ทหารเวียงพูคำอีกสองคนยังคงสอดส่ายตามองหารอยเท้าและร่องรอยอื่นอยู่ ทหารคนที่ 2 ชะงักมองไปที่พื้นแล้วคุกเข่าลง รัชชานนท์กับสร้อยขยับตัวมาชิดกันจ้องมองไปที่ทหารคนนั้น สายตาแทบไม่กะพริบ ทหารคนนั้นเอื้อมมือไปหยิบเศษฟืนบนพื้น ขณะที่เศษผ้าค่อยๆปลิวลงน้ำไป
“เคยมีคนมาก่อไฟหม่องนี้”
ทหาร1บอก
“แปลกอะหยัง ไผเดินทางมาเที่ยวป่าที่นี่ กะต้องมาพักหม่องนี้ทั้งนั้น”
รัชชานนท์กับสร้อยถอนใจพร้อมกันอย่างโล่งใจ ก่อนหันหน้ามองกัน พบว่าขยับตัวมาตัวชิดติดกันเกินไปมาก สร้อยขยับออกห่างทันที ทหารเวียงพูคำอีก 7 คนเดินตบเท้าเข้ามาสมทบ
ทหาร4 บอก
“ทางนี้บ่มีอะหยังแล้ว ไปค้นหาที่อื่นต่อไป”
ทหารเวียงทั้งสิบคนเดินออกไปเป็นขบวน ดูผู้คนคับคั่งกว่าทุกครั้ง
“เป็นยังไงล่ะ พวกมันมาเป็นสิบอย่างนี้ ยังคิดว่า รับมือไหวมั้ย”
สร้อยฉุนจ้องหน้ารัชชานนท์อย่างเหม็นหน้าสุดๆ เหมือนโดนหยาม เธอลุกเดินออกไป
รัชชานนท์มองตามอย่างไม่ถือสา ออกจะขำปนเอ็นดูด้วยซ้ำ
สร้อยเดินหนีรัชชานนท์ออกมา แต่เขาตามมาจนทันกัน
“แล้วนี่คืนนี้เราควรจะพักแรมที่ตรงไหนดีล่ะ สร้อย เราต้องหลบให้ห่างไอ้พวกทหารเวียงไว้ รอให้พ้นวันนี้ไปก่อน แล้วค่อยหาทางกลับหมู่บ้านกัน”
สร้อยเดินดุ่มๆด้วยสีหน้าหงิกหงออยู่
“เจ้าสิหลบไปไสกะไป บ่ต้องมายุ่งกับข้อย”
“อย่าบอกนะว่า เธอคิดจะทิ้งฉัน ! เธอกลับมาช่วยฉัน ไม่ใช่เพราะเป็นห่วงฉันหรอกเหรอ แล้วทำไมจะมาทิ้งกันไปดื้อๆอย่างนี้ล่ะ”
“ข้อยคึดผิดเองที่กลับมาช่วยเจ้า ข้อยน่าสิปล่อยให้เจ้าถูกทหารเวียงฆ่าตายเสียตั้งแต่มื้อก่อนด้วยซ้ำ ถ้าบ่ใช่เพราะเจ้า ไอ้พวกทหารเวียงคงบ่แห่กันมาเต็มป่าจังซี้ดอก”
“เธออย่ามาพาลดีกว่า ก่อนหน้าที่ฉันจะมาที่นี่ พวกทหารเวียงก็หมุนเวียนกันมาค้นหาหมู่บ้านของเธออยู่แล้ว เธอกำลังโกรธตัวเองที่ทำอะไรพวกทหารเวียงไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ ถึงได้มาลงที่ฉัน ถ้าเธออยากไปฆ่าพวกทหารเวียงให้หมด ก็ไปเลย ถ้าคิดว่า การฆ่าคนมันช่วยแก้ปัญหาได้”
“ตอนนี้ข้อยอยากฆ่าเจ้ามากกว่า เจ้ามันตัวโชคร้าย ตั้งแต่มื้อแรกที่ข้อยเห็นหน้าเจ้า ข้อยกะฮู้แล้วว่า เจ้าต้องเป็นคนที่นำภัยพิบัติมาสู่หมู่บ้านวลาหก เป็นหยังเจ้าต้องมาที่นี่ด้วย”
“ถ้าฉันรู้ว่า มันจะเกิดเรื่องอย่างนี้ ฉันก็ไม่มาหรอก ตอนนี้ไม่ว่าเธอกำลังโกรธแค้นใคร ฉันหรือว่าทหารเวียง ก็เก็บไว้ก่อน สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ รักษาชีวิตของเธอไว้ ไม่ใช่เวลาอวดเก่งทำตัวมุทะลุ เข้าใจมั้ย”
รัชชานนท์หันไปมองรอบๆตัว เพื่อหาทางหนีทีไล่
“เราต้องหาที่ซ่อนตัว ไม่แน่ว่าพวกทหารเวียงอาจจะย้อนกลับมาอีก”
รัชชานนท์หันมามองอีกครั้ง สร้อยหายวับไปแล้วอย่างไม่มีร่องรอย!
บนเรือน พ่อใหญ่นั่งเขียนบันทึกลงบนสมุดบันทึกปกหนังอยู่มุมห้องอย่างสงบเงียบ ไกสอนกับแฮรี่เดินเข้ามาอย่างร้อนรน แล้วร้องเรียกพร้อมกัน
“พ่อใหญ่ !”
พ่อใหญ่ยกมือขึ้นห้ามไม่ให้ทั้งสองพูด จนเขียนบันทึกบรรทัดสุดท้ายของหน้าจนเสร็จ พ่อใหญ่วางปากกา เงยหน้าขึ้นพร้อมที่จะฟัง
ไกสอนถาม
“พ่อใหญ่...จังได๋เฮากะต้องส่งคนออกไปช่วยอีสร้อย พ่อใหญ่บ่ต้องย่านว่า คนของเฮาสิไปเสี่ยงอันตราย หมู่เฮาเต็มใจที่สิออกไปช่วยอีสร้อย บ่มีไผย่านความตาย”
“พ่อใหญ่ออกไปดูที่หน้าเรือนได้เลย คนทั้งหมู่บ้านมาขออาสาออกไปช่วยเจ้าสร้อย ทุกคนพร้อมจะเสียสละชีวิตของตัวเอง ขอเพียงพ่อใหญ่สั่งมาคำเดียว” แฮรี่บอก
“เฮาบ่ยอมให้ผู้ใดมาเสียสละชีวิตเพื่อคนผู้เดียว”
“ชีวิตของผู้ใดกะบ่มีค่าเท่าชีวิตอีสร้อย อีสร้อยบ่ใช่ลูกสาวของพ่อใหญ่แห่งหมู่บ้านวลาหกซำนั้น แต่กะยังเป็น...”
พ่อใหญ่พูดขัด
“เฮาฮู้...แต่จังได๋เฮากะบ่เปลี่ยนใจ ถ้าหากคนของเฮาสิต้องเสียสละชีวิต กะต้องเสียสละชีวิตเพื่อชาติเพื่อแผ่นดิน มันสิมีประโยชน์กว่ามาตายเพราะเจ้าลูกสาวหัวดื้อของเฮาคนเดียว”
ไกสอนกับแฮรี่มองหน้ากันอย่างท้อใจ แต่ต้องนิ่งเงียบยอมรับฟังพ่อใหญ่ที่ค่อยๆ เปิดสมุดบันทึกเขียนต่อบันทึกที่ค้างไว้ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ไกสอนกับแฮรี่เดินหมดหวังลงมาจากเรือนพ่อใหญ่ ทับทิมและกลุ่มชาวบ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชายหนุ่มนับสิบๆ คนยืนออรอฟังคำตอบอยู่ ทุกคนถืออาวุธเตรียมพร้อมเดินทางทันที
จ่อยวิ่งหน้าตื่นแหวกฝูงชนเข้ามาหาไกสอน
“พ่อใหญ่ว่าจังได๋ พ่อ พ่อใหญ่ยอมให้พวกเฮาออกไปช่วยอีสร้อยบ่”
“บ่ ! คำสั่งของพ่อใหญ่ยังเป็นไปคือเก่า ทุกคนกลับไปเฮือนตัวเอง ไป”
กลุ่มชาวบ้านส่งเสียงฮือฮาอย่างผิดหวัง แต่ก็ไม่กลัวขัดคำสั่งพ่อใหญ่ต่างทยอยเดินออกไป ทับทิมสีหน้าดูเครียดกลุ้ม ยืนนิ่งคิดอยู่อึดใจก่อนเดินตามกลุ่มชาวบ้านไปอย่างขัดคำสั่งไม่ได้
จ่อยยังปักหลักอยู่ไม่ยอมเดินออก
“เป็นหยังพ่อใหญ่เถิงได้ใจแข็งจังซี้ นี่ชีวิตของลูกสาวพ่อใหญ่ทั้งคนนะ ถ้าหากอีสร้อยเป็นอะหยังไป คนที่เสียใจที่สุดกะสิเป็นพ่อใหญ่เอง”
“เจ้าพูดถูก คนที่เสียใจที่สุดก็คือพ่อใหญ่ ผู้ปกครองที่มีคุณธรรมเท่านั้น ถึงจะตัดสินใจเด็ดเดี่ยวได้อย่างนี้ เจ้าสร้อยฝ่าฝืนคำสั่งพ่อใหญ่เอง แล้วพ่อใหญ่จะยอมให้คนของเราเสี่ยงตายออกไปช่วยได้ยังไง ต่อไปกฎของหมู่บ้านก็ไม่ศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป” แฮรี่บอก
“ข้อยบ่เข้าใจ กฎของหมู่บ้านสิสำคัญไปกว่าชีวิตอีสร้อยได้จังได๋ พ่อใหญ่บ่ฮักลูกสาวหรือจังได๋ ข้อยบ่เข้าใจ จังได๋กะบ่เข้าใจ !”
จ่อยเดินโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกไป ไกสอนกับแฮรี่มองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างหนักใจเป็นห่วงสร้อยไม่ต่างกับทุกคน
หมู่บ้านวลาหกในยามเย็น พ่อใหญ่ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างมองไปที่ท้องฟ้าที่ใกล้จะมืดลงทุกทีๆ
“เจ้าสร้อย”
พ่อใหญ่ค่อยๆ เดินมานั่งที่มุมเดิม เปิดสมุดบันทึกขึ้นมาใหม่ เขาพลิกเปิดสมุดบันทึกไปตั้งแต่หน้าแรก สมุดบันทึกเล่มนี้ พ่อใหญ่ตั้งใจบันทึกความทรงจำไว้ให้คนรุ่นต่อไป
ที่หน้าแรกของสมุดบันทึก มีตราราชสกุลของราชวงศ์ “พูคำวงศ์” แห่งอาณาจักรเวียงพูคำ พ่อใหญ่ค่อยๆ ดึงรูปของเจ้าส่องดาวออกมาจากปกของสมุดบันทึกที่ซ่อนไว้
ภาพใบนั้นเก่าคร่ำคร่า เจ้าส่องดาวในวัยสามสิบในชุดสาววังเวียงพูคำ
“มีเจ้าผู้เดียวที่เข้าใจ...เจ้าสร้อยบ่ใช่เป็นลูกสาวของเฮาผู้เดียว ชาวเวียงพูคำทุกคนเป็นลูกของเฮา แล้วเฮาสิปล่อยให้ลูกคนอื่นไปตายได้จังได๋”
พ่อใหญ่จ้องมองรูปเจ้าส่องดาวด้วยสายตาแน่วนิ่ง
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ที่วังกิตติวงศ์ ภายในห้องทำงาน พลตรี ม.ร.ว. อนุพันธ์ เทวพรหม ยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างมองไกลออกไป เขานิ่งคิดถึงเจ้าส่องดาว พลางแตะที่อกซ้ายแล้วดึงนาฬิกาพกออกมาเปิดดู
เมื่อนาฬิกาพกถูกเปิดออกมา กลายเป็นล็อกเก็ตใส่รูปของเจ้าส่องดาววัยยี่สิบในชุดนักเรียนการเรือนของไทยยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 เขามองรูปของเจ้าส่องดาวด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างที่ไม่เคยมีใครได้เห็นมาก่อน
จู่ๆ คุณหญิงดารณีนุชเปิดประตู ผลัวะ! เข้ามาอย่างถือวิสาสะ เธอชะงักมองอนุพันธ์อย่างแปลกใจในท่าที เขาเก็บนาฬิกาพกเข้าไปในเสื้ออย่างไม่รีบร้อน หันไปมองภรรยาอย่างตำหนิ
“มีเรื่องรีบด่วนอะไรนักหนาหรือ คุณหญิง ถึงได้ไม่ยอมเสียเวลาแม้แต่จะเคาะประตูก่อนเข้ามา”
“ใช่ ฉันมีเรื่องด่วนที่รอไม่ได้ ก็เรื่องที่ฉันโทรศัพท์ไปปรึกษาคุณเมื่อตอนบ่ายไงล่ะ คุณสั่งไปทางกองบินฯหรือยัง”
“นี่คุณหญิง ผมไม่มีอำนาจจะไปสั่งการหน่วยงานไหนก็ได้ตามใจชอบนะ แล้วที่สำคัญเครื่องบินของทางกองบินฯ เค้าไว้ใช้สำหรับงานราชการไม่ใช่ไว้ใช้สำหรับเรื่องส่วนตัว”
“แต่นี่มันเป็นเรื่องความเป็นความตายของคุณชายเล็กนะ เราต้องรีบไปตามหาตัวคุณชายเล็กให้เร็วที่สุด คุณเป็นถึงนายพล ถ้าไม่มีอำนาจสั่งการ แล้วใครจะมี คุณไม่คิดอยากจะช่วยอยู่แล้วใช่มั้ยล่ะ”
“ใช่ ผมไม่คิดจะช่วยส่งเสริมลูกไปในทางที่ผิดอย่างคุณ ผมจะไม่ยอมปล่อยให้ยายนุชไปตามหาคุณชายเล็กอย่างเด็ดขาด ! เป็นผู้หญิงไปตะลอนตามหาผู้ชายได้ยังไง”
ศินีนุชพรวดพราดเข้ามา
“แต่นุชต้องไปนะคะ คุณพ่อ นุชต้องไปตามหาพี่ชายเล็ก”
“พ่อบอกว่า ไม่ก็ไม่ ยังไงพ่อก็ไม่อนุญาต”
ศินีนุชเบะปากอยากร้องไห้
“คุณแม่ขา”
ศินีนุชมองแม่อย่างอ้อนวอน
อนุพันธ์นิ่งขึงด้วยความโกรธ ก่อนเปิดประตูห้องทำงาน ผลัวะ! ออกไป เขาเดินลิ่วหนีดารณีนุชออกมา แม้เธอเดินตามไล่หลังมา ก็ตามไม่ทันเพราะศินีนุชเกาะหน้าเกาะหลังอยู่
“คุณแม่ขา คุณแม่ต้องช่วยนุชนะคะ ถ้านุชไม่ได้ไปตามหาพี่ชายเล็ก นุชต้องขาดใจตายแน่ๆ คุณแม่คงไม่อยากให้นุชตายใช่มั้ยคะ”
คุณหญิงดารณีนุชดันตัวลูกสาวออกไปเบาๆ
“ก็แม่กำลังช่วยอยู่นี่ไง หยุดพิรี้พิไรเสียที เดี๋ยวแม่จัดการทุกอย่างให้เอง ถึงคุณพ่อจะไม่ยอมช่วย ท่านตาของลูกก็มีลูกน้องอยู่ทุกกองทัพ แต่ละคนที่ได้เลื่อนขั้นเป็นนายพันนายพลก็เพราะบารมีของท่านตาทั้งนั้น ถ้ารู้ว่าเรากำลังเดือดร้อน ยังไงก็ต้องช่วยเหลือ ไม่เหมือนลูกน้องเก่าบางคนที่ได้ดีแล้วลืมตัว คนที่ไม่รู้จักทดแทนบุญคุณ ไม่มีวันเจริญหรอก”
อนุพันธ์ชะงัก รู้ว่าดารณีนุชด่ากระทบเข้าให้ เขาหันกลับมาประจันหน้า
“คุณหญิง ! หยุดเอาความคิดผิดๆใส่หัวลูกเสียที ท่านพ่อของคุณไม่เคยใช้ตำแหน่งหน้าที่ไปในทางที่ไม่ชอบ ลูกน้องของท่านทุกคนที่ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง ก็ด้วยความสามารถและคุณงามความดี ท่านไม่เคยต้องการให้ใครทดแทนบุญคุณ สิ่งที่เราทุกคนต้องทดแทน ก็คือทดแทนคุณแผ่นดินเท่านั้น ! ผมขอร้องล่ะ อย่าคิดถึงแต่ประโยชน์ส่วนตัว จนต้องทำให้ท่านพ่อของคุณต้องแปดเปื้อนเลย”
ดารณีนุชไม่ฟัง
“คุณไม่ช่วยก็ไม่ต้องช่วย ไม่ต้องมาพูดให้ยืดยาว ถ้าท่านพ่อยังอยู่ ท่านจะต้องช่วยฉันแน่ ท่านต้องเห็นแก่ลูกเห็นแก่หลาน ไม่เหมือนคุณที่ไม่เคยสนใจลูกเมีย สนใจห่วงแต่ไอ้ชัช ไอ้ลูกกาฝาก... ลูกนุช ไปสั่งนังจวงจัดกระเป๋าเดินทางให้เรียบร้อย แล้ววันนี้รีบนอนแต่หัวค่ำนะ พรุ่งนี้ลูกต้องเดินทางแต่เช้า”
ศินีนุชลิงโลด
“ตกลงนุชไปได้แล้วหรือคะ แล้วที่คุณพ่อสั่งเมื่อครู่นี้”
ดารณีนุชปรายตามองอนุพันธ์
“ไม่ต้องห่วง ปัญหาทางนี้ เดี๋ยวแม่จัดการเอง”
ศินีนุชกระโดดกอดแม่แล้วหอมฟอดใหญ่
“ขอบคุณคุณแม่นะคะ ขอบคุณมากๆค่ะ พรุ่งนี้นุชจะได้เจอพี่ชายเล็กแล้ว ดีใจจังเลยค่ะ ตายแล้วๆ นุชต้องไปเลือกชุดใหม่แล้ว เจอกันครั้งนี้ นุชจะต้องทำให้พี่ชายเล็กติดตาตรึงใจจนลืมไม่ลงเลย”
ศินีนุชกระดี๊กระด๊าไปซักพักก็นึกได้ว่าพ่อยืนตาเขม็งมองมาอย่างตึงเครียด
“นุช นุช... ขอตัวก่อนนะคะ เดี๋ยวจะจัดกระเป๋าไม่ทัน”
- ศินีนุชกอดแม่เร็วๆหนึ่งกอดแล้วรีบฉากตัวหลบออกไปโดยเร็ว
“ยังไงผมก็จะไม่ให้ยายนุชไป”
“คุณมีปัญหาอะไรนักหนาไม่ทราบ ทำไมลูกนุชจะไปตามหาคู่หมั้นคู่หมายไม่ได้ ทำเป็นคนหัวเก่าไม่เข้าเรื่อง หม่อมป้าเอียดยังเห็นดีด้วยเลย ไม่รู้ล่ะ ฉันจะให้ลูกนุชไป แล้วใครก็มาห้ามฉันไม่ได้!”
ดารณีนุชตัดบทแล้วเดินสะบัดออกไปอย่างไม่ยี่หระ แต่แล้วก็ต้องชะงักกึก
“คุณหญิง มีอีกเรื่องที่คุณยังเข้าใจผิดอยู่ !”
ดารณีนุชค่อยๆหันกลับมามอง อยากรู้ว่า อนุพันธ์จะว่าอะไรได้อีก
“ผมยอมแต่งงานกับผู้หญิงอย่างคุณ ยอมใช้ชีวิตเหมือนตกนรกมากว่ายี่สิบปี ก็เพราะเห็นแก่ท่านพ่อของคุณ ฉะนั้นต่อไป อย่ามากล่าวหาว่า ผมไม่เคยทดแทนบุญคุณท่านพ่อของคุณ”
อนุพันธ์มองดารณีนุชอย่างเย็นชาแล้วเดินออกไป
“คุณชายอนุพันธ์ ! แล้วคิดว่าฉันมีความสุขนักหรือที่ได้แต่งงานกับคุณ ชีวิตฉันก็เหมือนตกนรกเหมือนกันที่ต้องอยู่กับผู้ชายไม่มีหัวใจอย่างคุณ”
ม.ร.ว. ดารณีนุช ทั้งโกรธทั้งเจ็บ จนแทบจะเต้นเร่าๆ ทำได้แต่ด่าว่าไล่หลังอนุพันธ์ไปเท่านั้น
ฟากรณพีร์กับชัชวีร์สะพายกระเป๋าและสัมภาระเดินนำมาตรงบริเวณกระท่อมชายป่า ชัชวีร์หันไปมองด้านหลังเพื่อมองหาพรานเกิ้น
“อ้าว! พรานเกิ้นไปไหนแล้ว เมื่อกี้ยังเห็นเดินตามหลังมาอยู่เลย”
“ไม่เป็นลมก็คงหัวใจวายล้มกลิ้งลงเหวไปแล้วมั้ง”รณพีร์ว่า
“ทำเป็นพูดเล่นไป ฉันว่า เราย้อนกลับไปดูแกหน่อยดีกว่าว่ะ “
“บ่ต้องๆ ข้อยมาแล้วเด้อ”
พรานเกิ้นเดินงกๆ เงิ่นๆ ท่าทางเหนื่อยหอบเข้ามาอย่างช้าๆ
“ผู้หนุ่มผู้สาวสมัยนี้ใจฮ้อนกันจริงๆ ฟ่าวไปไสกัน จังได๋ป่ากะหนีไปไสดอก ย่างช้าๆ จะได้ชมนกชมไม้ไปด้วย”
“เราไม่ได้มาเที่ยวนะ พรานเกิ้น เรามาตามหาคน ไหนพรานเกิ้นบอกว่า จะพาเรามาที่จุดพักแรมก่อน คนที่มาเดินป่าที่นี่จะต้องมาพักแรมแถวนี้ก่อนงั้นเหรอ” รณพีร์บอก
“แม่นแล้ว ไผมาเที่ยวป่าที่นี่ กะต้องมาพักที่เฮือนของป่าไม้ก่อน”
“พรานเกิ้นหมายถึงบ้านพักป่าไม้งั้นเหรอ” ชัชวีร์ถาม
รณพีร์กับชัชวีร์หันขวับไปมองกระท่อมโทรมๆ เล็กๆ พังๆ ข้างหน้า
“นี่นะ บ้านพักป่าไม้ !”
รณพีร์กับชัชวีร์ถามขึ้นพร้อมกัน
“แน่ใจนะ”
พรานเกิ้นหันไปมองกระท่อมอย่างไม่แน่ใจอยู่เหมือนกัน ก่อนรีบควักแผนที่ออกมาดู และมั่วไปเรื่อย
“แม่นแล้ว ! ที่นี่แหละ บ่ผิดดอก คืนนี้เฮาจะพักกันที่นี่”
รณพีร์กับชัชวีร์มองหน้ากันอย่างเหวอๆ
รัชชานนท์เดินมาตามทางในป่าอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง ไม่รู้ว่าสร้อยหายไปทางไหน เขาตะโกนเรียก
“สร้อย ! เธออยู่ไหน”
รัชชานนท์ชะงักหยุดกึก เมื่อนึกขึ้นได้ว่า ยังมีทหารเวียงพูคำอยู่ในป่าแห่งนี้ เขาลดเสียงเป็นพึมพำ
“แล้วจะตามหาตัวได้ยังไงเนี่ย”
รัชชานนท์มองหารอยเท้าบนพื้น แต่ก็ไม่มีร่องรอยให้ตามหา เขามองไปที่ยอดไม้ไกลๆ เห็นหมอกลอยอยู่จางๆ เหนือหมู่บ้านวลาหก
“น่าจะกลับไปทางหมู่บ้าน”
รัชชานนท์ตัดสินใจเดินไปทางหมู่บ้านวลาหก แล้วต้องชะงักได้ยินเสียงสวบสาบข้างหน้า เขาเห็นพงไม้ไหวๆ เหมือนมีการเคลื่อนไหวอยู่ เขารีบดึงปืนจากเอวมาถือไว้ ตั้งรับรอ มีอาการทั้งเกร็งและตื่นเต้น เพราะนึกว่าเป็นทหารเวียงพูคำ
กระต่ายป่าตัวใหญ่ยักษ์วิ่งแหวกพงไม้ ผ่านหน้ารัชชานนท์ไป เขาปาดเหงื่อถอนใจอย่างโล่งอก เขารู้สึกเหมือนได้ยินเสียงหัวเราะเยาะเบาๆ จากยอดไม้เหนือหัว
“เธอใช่มั้ย สร้อย เธออยู่แถวนี้ใช่มั้ย”
ลูกไม้ป่าถูกขว้างใส่หัวรัชชานนท์อย่างแรงและอย่างจังแบบไม่ยั้งมือ
“โอ๊ย ! อย่าให้จับตัวได้ล่ะ”
รัชชานนท์หันไปทางต้นไม้สูงที่เป็นทิศทางของลูกไม้ที่ขว้างมา สร้อยเกาะอยู่บนต้นไม้สูง มีกิ่งไม้ใบไม้บดบังจนไม่เห็นตัว เธอกระโดดจากต้นไม้ต้นหนึ่งไปอีกต้น และอีกต้นอย่างรวดเร็ว เขาวิ่งไล่ตามสร้อยไปเรื่อยๆ จนไม่ทันระวังตัว ลื่นไถลล้มหน้าคว่ำลงไป
สร้อยหยุดกระโดดหนี ยืนเกาะอยู่บนกิ่งไม้ ก้มหน้าชะโงกดูรัชชานนท์ที่นอนอยู่ที่พื้น
“สมน้ำหน้า”
รัชชานนท์ตะเกียกตะกายลุกขึ้น
“นี่เธอ ! นี่ไม่ใช่เวลาเล่น ลงมาเดี๋ยวนี้”
“บ่ลง ! เจ้าสิมาจากไส กะกลับไปทางนั้น ไปๆๆ”
สร้อยเด็ดลูกไม้ใกล้มือขว้างใส่รัชชานนท์อย่างไม่ยั้ง โดยไม่ทันได้มองว่า กิ่งไม้ที่ยืนอยู่นั้นเริ่มจะรับน้ำหนักไม่ไหวและที่สุดก็หักโผละ ! เธอหล่นลงมาจากต้นไม้โดยไขว้คว้าหาที่ยึดไว้ไม่ทัน
รัชชานนท์กระโดดเข้าไปรับตัวสร้อยไว้แล้ว ทั้งสองคนก็หกล้มกลิ้งหลุนๆไปด้วยกัน เขากอดเธฮไว้ในอ้อมอก กลิ้งไปไม่กี่ตลบก็หยุดแน่นิ่งอยู่กลางฝุ่นและใบไม้แห้งฟุ้งตลบ
ทั้งคู๋มองหน้ากันนิ่ง สร้อยเพิ่งรู้สึกตัวว่าถูกเขากอดไว้แน่น
“ปล่อย !”
“ไม่ปล่อย ! สัญญาก่อนว่าจะไม่หนีไปไหนอีก”
“บ่ ! บอกให้ปล่อย !”
“ไม่ !”
สร้อยดันแล้วถีบยอดอกรัชชานนท์จนกระเด็นออกไป เธอลุกขึ้น ปัดเนื้อปัดตัวแล้วเดินตุปัดตุเป๋ออกไป รัชชานนท์ค่อยๆลุกขึ้น เนื้อตัวยอกไปหมด
รณพีร์ตั้งเต๊นท์พักกำลังจะเสร็จอยู่แล้ว จากนั้นก็ขนฟืนเดินเข้ามากองไว้ตรงหน้าพรานเกิ้นที่กำลังพยายามตีเหล็กจุดกองไฟอยู่
“โธ่ถัง คุณจะไปเก็บฟืนให้เหนื่อยทำหยัง อยู่เฉยๆเด้อ เดี๋ยวข้อยเฮ็ดทุกอย่างให้เอง แล้วคุณๆจะนอนในเต๊นท์อีหลีบ่ นอนในนั้นจะสบายจังได๋ เข้าไปนอนในกระท่อมดีกว่า ที่นอนหมอนมุ้งมีพร้อม”
“ไม่ล่ะ ฉันไม่อยากถูกกระท่อมพังลงมาทับตาย นี่พรานเกิ้น ฉันยังไม่อยาก ยังเหลือเวลาอีกเป็นชั่วโมงกว่าพระอาทิตย์จะตก ใกล้ๆแถวนี้มีที่ไหนที่คนเดินป่าชอบไปเที่ยวบ้าง ฉันอยากลองไปสำรวจดู” รณพีร์บอก
“นั่นซิ ไหนๆเราก็มาถึงแล้ว เราน่าจะเริ่มตามหาพี่ชายเล็กกันเลย”ชัชวีร์ว่า “บ่ได้ๆ มื้อนี้เฮาจะไปไกลกว่านี้บ่ได้ ป่ายังบ่เปิดเด้อ รอมื้ออื่นก่อน รอให้ข้อยทำพิธีเปิดป่าเสียก่อน แล้วพวกเฮาถึงจะเข้าไปในป่าได้”
“ฉันไม่ไปไกลหรอก ขอเดินดูรอบๆ แถวนี้ อาจจะมีร่องรอยของพี่ชายฉันก็ได้ พรานเกิ้นไปไม่ไหว ก็รออยู่ที่นี่แหละ”
“ไผบอกว่า ข้อยบ่ไหว ข้อยยังไหวอยู่ ยังมีเรี่ยวมีแรงไปต่อได้เป็นวันๆ ไปๆ คุณๆอยากไปไส บอกมา ข้อยสินำทางให้”
พรานเกิ้นขยับตัวลุกขึ้นอย่างยากอย่างเย็น ชัชวีร์รีบดันตัวพรานเกิ้นให้ลงนั่ง
“เชื่อแล้วๆ เราเชื่อแล้วว่าพรานเกิ้นยังไหวอยู่ แต่พรานเกิ้นรออยู่ที่นี่ดีกว่า ไม่งั้นใครจะเป็นคนเตรียมอาหารเย็นล่ะ จริงมั้ย”
“แม่นแล้วๆ ข้อยควรรออยู่ที่นี่ ข้อยจะได้เฮ็ดข้าวแลงไว้ให้คุณๆ แล้วก็จัดที่หลับที่นอนไว้ให้ เออ...ว่าแต่ มีไผดังไฟเป็นบ่”
พรานเกิ้นยิ้มแห้งๆแล้วชูแท่งเหล็กจุดไฟกับมีดขึ้นมาให้ดู
“ข้อยพยายามจุดไฟอยู่นานหลาย จังได๋ๆมันกะบ่ติดซักที !”
รณพีร์กับชัชวีร์ต้องมองหน้ากันอีกครั้งอย่างอ่อนใจ
ส่วนสร้อยเดินโซเซนิดๆตามทางในป่ามาพลางปัดฝุ่นปัดใบไม้ที่ติดผมออก รัชชานนท์เดินตามคว้าแขนสร้อยไว้ รั้งไม่ให้ไปง่ายๆ
“สร้อย...สร้อยฟ้า”
สร้อยสะบัดตัวออก
“เอิ้นชื่อนี้อีกแล้ว ข้อยบอกกี่เทื้อแล้วว่า ข้อยชื่อ “สร้อย” ได้ยินบ่ สร้อยๆๆ บ่ใช่ สร้อยฟ้า”
“ไม่รู้ซิ ฉันว่า เธอเหมาะที่จะชื่อ “สร้อยฟ้า” มากกว่า ฉันจะเรียกเธออย่างนี้แหละ ไม่เหมือนใครดี แล้วนี่หายโกรธฉันหรือยัง”
สร้อยนิ่งไม่ยอมพูดด้วย
“ฉันเป็นตัวโชคร้ายจริงๆ ทุกอย่างเป็นเพราะฉัน เพราะเธอต้องช่วยชีวิตฉัน ถึงได้เกิดเรื่องเกิดราวอย่างนี้ ตอนนี้ทางเดียวที่จะหยุดไม่ให้พวกทหารเวียงกลับมาค้นหาพรรคพวกที่หายไป ก็คือ ฉันจะต้องไปมอบตัวกับพวกมัน ถ้ามันได้คนผิดแล้ว มันคงจะไม่กลับมาอีก”
“บ่ได้ ! เถิงเจ้าไปรับผิดแทนทุกคน ไอ้พวกทหารเวียงกะบ่หยุดตามหาพวกเฮาดอก บ่ต้องฟังที่ข้อยพูดมื้อกี้ ข้อยกำลังเคียด..เคียดที่เฮ็ดอะหยังไอ้พวกชั่วช้าบ่ได้ ได้แต่หลบๆซ่อนๆพวกมันไปวันๆ”
สร้อยทำใจได้สงบแล้วหันไปมองรัชชานนท์
“เจ้าเห็นลำธารทางโพ้นบ่ ถ้าเจ้าย่างไปตามลำธารไปทางเหนือเรื่อยๆ เจ้าสิเจอเฮือนของป่าไม้หลังเก่า เจ้าย่างไปต่ออีก บ่เกินห้ากิโลกะสิเจอที่พักของพวกพรานป่า”
“เดี๋ยวๆ เธอบอกเรื่องนี้ทำไม”
“เจ้าฟ่าวออกไปจากป่านี้ในตอนที่ยังมีโอกาส อย่าได้เอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่เลย ถ้าเจ้ายังห่วงคู่ฮักของเจ้า”
“ตอนนี้ฉันไม่ได้ห่วงใครเลย นอกจากเธอ สร้อยฟ้า ฉันจะไม่มีวันทิ้งเธอแน่ เหมือนกับที่เธอก็ไม่มีวันทิ้งฉันเหมือนกัน เธอถึงได้กลับมาช่วยฉัน”
รัชชานนท์มองสร้อยอย่างแน่วแน่ไม่เปลี่ยนใจ
รณพีร์กับชัชวีร์เดินมาจากกระท่อมมาไกลมากแล้ว เขาเดินหารอยเท้าและร่องรอยต่างๆว่า มีผู้คนเคยเดินทางผ่านมาทางนี้หรือไม่
“แถวนี้เหมือนไม่เคยมีใครเคยผ่านมาเลย ไม่มีรอยเท้า ไม่มีร่องรอยอะไรเลย พนันได้เลย แม้แต่อีตาพรานเกิ้นก็ไม่เคยเหยียบมาที่นี่ บอกให้พามาที่นี่คนเดินป่าเค้ามากัน นี่พามาที่ไหนก็ไม่รู้” รณพีร์บอก
ชัชวีร์ขำๆ
“ลุงบุญโฮมรับรองแข็งขันว่า พรานเกิ้นของเรานี่เป็นพรานที่เก่งที่สุด และน่าจะมีอายุการทำงานที่ยาวนานที่สุดด้วย”
“ปู่แกอายุเฉียดร้อยแล้วล่ะมั้ง นี่แกอาจจะเกิดทันสงครามโลกครั้งที่หนึ่งด้วยซ้ำ เวรกรรมอะไรวะเนี่ย ฉันว่านะ นอกจากเราจะตามหาพี่ชายเล็กไม่เจอแล้ว เราอาจจะหลงทางออกไปจากป่านี่ไม่ได้อีกด้วย”
“ตอนนี้ไม่ต้องพึ่งคนนำทางแล้ว เราต้องพึ่งตัวเองนี่แหละ” ชัชวีร์ว่า
“ไม่ว่ายังไง ฉันก็ต้องตามหาพี่ชายเล็กให้เจอ ถ้าไม่เจอ ฉันไม่กลับเด็ดขาด”
ชัชวีร์ตบไหล่รณพีร์อย่างเข้าใจในความเป็นห่วงของรณพีร์ที่มีต่อรัชชานนท์
ฝ่ายรัชชานนท์กับสร้อยลัดเลาะเข้ามาตามทางในป่า เธอหันไปมองเขาที่เดินตามมาอย่างเงียบๆ
“ทางพู้นมีถ้ำพอสิให้พักแรมได้ คืนนี้เฮาสิไปพักที่พู้นกัน”
“เธอไม่ไล่ฉันกลับไปแล้วใช่มั้ย”
“ข้อยบ่ชอบบังคับไผ เจ้าอยากอยู่กะอยู่ไป อย่าเสียใจทีหลังกะแล้วกัน”
“แล้วเธอล่ะเสียใจมั้ยที่กลับมาช่วยฉัน”
“เสียใจ”
“อ้าว ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะ”
“ถ้าข้อยฮู้ว่า เจ้าขึ้นมาจากหลุมดักสัตว์เองได้ ข้อยบ่กลับมาช่วยเจ้าให้เสียแฮงดอก นี่พ่อใหญ่คงเคียดข้อยหลาย ข้อยบ่เคยเห็นพ่อใหญ่มองข้อยจังสั้นมาก่อนเลย...มองแบบอยากเฆี่ยนข้อยเต็มทน จังสั้นน่ะ”
“พ่อใหญ่ไม่ได้โกรธเธอหรอก ท่านเป็นห่วงมากกว่า”
“พ่อใหญ่บ่เป็นห่วงข้อยดอก เพิ่นฮู้ว่า ข้อยเอาโตรอดได้อยู่แล้ว ไอ้ทหารเวียงตัวใดกะจับข้อยบ่ได้”
“นั่นเสียงอะไร ใช่พวกมันหรือเปล่า”
เสียงสวบสาบเหมือนคนเดินแหวกพงหญ้าไหวๆเข้ามาตรงหน้า
ในพริบตาเดียวทหารเวียงพูคำ 2 คนก็พรวดพราดออกมาจากพงหญ้า รณพีร์กับชัชวีร์กำลังเดินตามดูร่องรอยของรัชชานนท์อยู่ ทั้งสองไม่ทันระวัง ไม่คิดว่าจะมีใครคนอื่นอีก ต้องชะงักแปลกใจ ทหารเวียงพูคำ 2 คนคว้าปืนออกมาจ่อไปที่รณพีร์กับชัชวีร์
ในเวลาแทบจะนาทีเดียวกันนั้น ทั้งสองหนุ่มก็คว้าปืนออกมาตั้งรับ เตรียมพร้อมจะดวลกับทหารทั้งสองคน
ฝ่ายทหารจับปืนมั่น เหงื่อกาฬแตกพลัก ในบรรยากาศเครียดขึง เช่นเดียวกับฝ่ายรณพีร์กับชัชวีร์ ที่พร้อมจะเหนี่ยวไกได้ทุกเมื่อ!!
กระต่ายป่าตัวใหญ่ยักษ์วิ่งออกมาจากพงหญ้าที่ไหวไปมานั้น รัชชานนท์กับสร้อยที่ยืนเกร็งรอรับสถานการณ์อยู่ ค่อยผ่อนคลายอย่างโล่งอก
"โธ่เอ๊ย ไอ้ตัวนี้อีกแล้ว ท่าทางมันวอนอยากจะเป็นอาหารเย็นของเรานะ เดี๋ยวฉันจัดการให้เอง"
"อย่า!"
สร้อยรั้งตัวรัชชานนท์ไว้ก่อนที่เขาจะเล็งปืนไปที่กระต่ายป่า
"ปล่อยมันไปเถอะ มันน่าฮักออก ข้อยกินมันบ่ลงดอก พ่อใหญ่กะบ่ชอบให้ไผล่าสัตว์โดยบ่จำเป็น"
"ไม่ก็ไม่ ฉันเองก็ไม่ชอบฆ่าสัตว์ตัดชีวิตเหมือนกัน แต่เห็นว่าเราไม่มีเสบียงอะไรติดมาเลย"
"อยู่ในป่า บ่ต้องย่านอดตายดอก อะหยังๆ กะกินได้ทั้งนั้น แต่ตอนนี้เฮาฟ่าวไปหาที่พักกันก่อนดีกว่า"
รัชชานนท์มองสร้อยแล้วยิ้มอย่างเอ็นดู
"ผู้หญิง...ยังไงก็เป็นผู้หญิงวันยันค่ำ ใจอ่อน ขี้สงสาร แต่ทำไมสงสารเจ้ากระต่ายตัวนั้น แต่ไม่สงสารฉันบ้างล่ะ แกล้งทิ้งฉันไว้คนเดียวในป่าได้ลงคอ"
"กะเจ้ากระต่ายตัวนั้นมันน่าฮัก แต่เจ้ามันขี้เดียดหลาย !"
สร้อยเผลอตัวค้อนควักใส่แล้วเดินออกไป รัชชานนท์มองตามแล้วแอบอมยิ้ม
บริเวณชายป่า รณพีร์กับชัชวีร์ต่างถือปืนอย่างระวังให้กัน พร้อมประจันหน้ากับทหารเวียงพูคำ 2 คน
รณพีร์บอกกับชัชวีร์
"พวกทหารเวียงพูคำ"
ทหารคนที่ 1ถาม
"พวกเจ้าเป็นไผ มาเฮ็ดอะหยังที่นี่"
"เราต่างหากที่ควรจะถามว่า พวกแกมาทำอะไรที่นี่"
ทหารคนที่ 2 บอก
"เฮามาตามหาคน ! พวกเจ้ามากันแค่สองคน หรือว่ามีผู้อื่นอีก"
"เราไม่จำเป็นต้องตอบ พวกแกไม่รู้หรือยังไงว่า กำลังยืนอยู่บนผืนแผ่นดินไทย มีสิทธิ์อะไรถึงได้ใช้ปืนข่มขู่ซักถามกันอย่างนี้ ถ้าไม่อยากเจ็บตัวเก็บปืน แล้วกลับไปซะ" ชัชวีร์บอก
ทหารคนที่ 1 บอก
"บ่ ! ถ้าพวกเจ้าบ่ตอบ กะต้องไปกับพวกเฮา"
รณพีร์กับชัชวีร์สับไกปืน เตรียมเหนี่ยวปืนยิงดวลกับพวกทหาร พรานเกิ้นถือกระติกน้ำเดินเซ่อซ่าผ่าเข้ามากลางวงอย่างไม่รู้เหนือรู้ใต้
" คุณชาย ! คุณชัช ! มาเฮ็ดอะหยังตรงนี้ครับ"
ทหารเวียงทั้งสองมองพรานเกิ้นอย่างงงๆ
รณพีร์กับชัชวีร์ฉวยโอกาสที่ทหารเวียงพูคำกำลังเผลอ พุ่งชาร์ตตัวจนทั้งสองล้มลง พรานเกิ้นตกใจถอยกรูด ลุ้นอย่างหวาดเสียว มองดูรณพีร์กับชัชวีร์ตะลุมบอนกับพวกทหาร
ทั้งรณพีร์และชัชวีร์จัดการคว่ำทหารเวียงทั้งสองลงพื้นอย่างง่ายดาย
รณพีร์กับชัชวีร์มัดมือทหาร 2 คนด้วยเชือกแล้วลากตัว มาถึงที่พัก พรานเกิ้นหอบกระติกน้ำและอาวุธปืนของพวกทหารเดินลากเท้าตามมาทางด้านหลัง ทหารถูกรณพีร์กับชัชวีร์มัดไว้กับต้นไม้
"แล้วเราจะทำยังไงกับไอ้สองคนนี้ดีวะ ไอ้ชัช"
"เราคงต้องส่งพวกมันไปให้ทางการจัดการโดยด่วน ต่อไปทางเวียงพูคำจะได้ไม่ส่งทหารเข้ามาลาดตระเวนในป่าของเราตามใจชอบอย่างนี้" ชัชวีร์บอก
"แล้วเรื่องพี่ชายเล็กล่ะ"
"เอาอย่างนี้แล้วกัน ฉันกับพรานเกิ้นจะจัดการเรื่องทหารเวียงเอง ส่วนนายก็ไปตามหาพี่ชายเล็กต่อ"
รณพีร์หันไปมองพรานเกิ้นที่กำลังรวบรวมปืนและอาวุธของทหารเวียงพูคำเป็นกองเดียวกัน ฝ่ายพรานเกิ้นหยิบจับอะไรก็หลุดร่วงจากมือไปอย่างน่าหวาดเสียวว่า จะทำปืนลั่นใส่ตัวเอง
"ฉันไปกับนายดีกว่าว่ะ ขืนปล่อยให้นายไปกับพรานเกิ้น มีหวังไม่ได้ออกไปจากป่านี้แน่"
พรานเกิ้นกระย่องกระแย่งเข้ามาหารณพีร์กับชัชวีร์
"อาหารเย็นพร้อมแล้วครับ คุณชาย คุณชัช"
"เรายังไม่ได้ขอบใจพรานเกิ้นเลย ที่ไปเจอเราได้จังหวะพอดี ไม่งั้นเราคงจัดการกับทหารเวียงไม่ได้ง่ายอย่างนี้ ขอบใจนะ พรานเกิ้น ว่าแต่ตามไปเจอเราได้ยังไง" ชัชวีร์บอก
"นั่นน่ะซิ เราก็ไม่ได้บอกพรานเกิ้นไว้ว่า เราจะไปทางไหน" รณพีร์บอก
พรานเกิ้นพูดประสาซื่อๆ
"ข้อยกะบ่คิดว่าจะได้ไปเจอคุณๆคือกัน เออ คือ ข้อยออกไปหาน้ำ แล้วหลงทาง"
รณพีร์กับชัชวีร์ต่างร้องเสียงหลง
"หลงทาง !"
พรานเกิ้นยิ้มกว้างจนเห็นเหงือก
"แม่นแล้วครับ ข้อยเดินหลงทางกลับที่พักบ่ถูก แต่โชคดีแท้ที่ไปเจอคุณๆ เข้า บ่จังสั้นกะบ่ฮู้ว่าจะกลับมาที่นี่จังได๋คือกัน"
"พรานมือหนึ่งเดินหลงป่า เยี่ยมจริงๆ !" รณพีร์บอก
รณพีร์กับชัชวีร์มองหน้ากันอย่างหน่ายใจ
ถ้ำเร้นลับในป่า รัชชานนท์ร้องดีใจที่ก่อกองไฟอยู่อย่างขะมักเขม้น ใบหน้ามีรอยดำเป็นปื้น,เหงื่อแตกพลั่ก
" สำเร็จ !"
รัชชานนท์ปาดเหงื่อมองกองไฟกองน้อยๆอย่างภูมิใจ ชั่วอึดใจสร้อยห็ก้าวเท้าฉับเข้ามากระทืบกองไฟจนดับฟึ่บ รัชชานนท์เงยหน้ามอง อ้าปากค้าง
สร้อยไปหาน้ำดื่มเพิ่งกลับมา ในมือมีกระบอกไม้ไผ่หลายกระบอก
"เฮ้ย ! ทำอะไรน่ะ รู้มั้ยว่า ฉันจุดอยู่เป็นชั่วโมงกว่าจะจุดไฟติด"
"ไผบอกให้เจ้าดังไฟ อยากให้ไอ้พวกทหารเวียงตามเฮาเจอหรือจังได๋ เจ้านี่เซ่อบ่แพ้บักจ่อยมันเลย"
"ฉันก็ลืมคิดไป แต่ก่อกองไฟกองเล็กๆ คงไม่เป็นอะไรล่ะมั้ง ถ้าไม่อย่างนั้นคืนนี้ได้หนาวตายล่ะ"
"หนาวกะต้องทนเอา หนาวซำนี้บ่เฮ็ดไผตายดอก แต่ถ้าเจ้าตายไปอีหลี ข้อยสิฝังศพเจ้าอย่างดีเลย บ่ต้องเป็นห่วง"
สร้อยนั่งลงข้างรัชชานนท์ แล้วส่งกระบอกไม้ไผ่ให้
รัชชานนท์อ้อนแบบล้อๆ
"แล้วเธอจะปล่อยให้ฉันหนาวตายจริงๆ หรือ สร้อยฟ้า"
"ข้อยบ่ได้ชื่อสร้อยฟ้า"
สร้อยตัดความรำคาญ
"เอาเถอะๆ ท่าทางเจ้าคงสิมีชีวิตอยู่บ่นาน อยากเอิ้นข้อยว่าอะหยังกะเอิ้นไป ตามใจ !"
รัชชานนท์กำลังดื่มน้ำจากกระบอกไม้ไผ่อยู่แทบสำลัก
"อ้าว ! ทำไมมาแช่งกันอย่างนี้ล่ะ"
"ข้อยบ่ได้แช่ง ผู้ชายเจ้าชู้อย่างเจ้า มีคู่ฮักแล้วแต่กะชอบเว้าสาวไปทั่ว ระวังเถอะ ไปเว้าสาวที่มีเจ้าของแล้ว ได้ถูกปืนส่องเข้าซักเทื้อ เจ้าสิเว้าสิเฮ็ดอะหยังกะคึดฮอดใจคู่ฮักที่นอนพะงาบๆอยู่ที่เฮือนแม่เฒ่าบ้าง"
"เธอเข้าใจผิดแล้ว จันทาไม่ใช่คู่รักของฉัน"
สร้อยมองรัชชานนท์เกิดอารมณ์ดีใจขึ้นมาวูบหนึ่งโดยไม่รู้ว่าทำไม
"ข้อยบ่เชื่อ"
"จันทาไม่ใช่คู่รักของฉันจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาฉันไม่เคยรักผู้หญิงคนไหนเลย แล้วก็ไม่คิดว่า จะเจอผู้หญิงคนไหนที่จะทำให้ฉันรักได้ จนกระทั่ง..."
รัชชานนท์จ้องสร้อยนิ่งแล้วค่อยๆยื่นหน้าไปใกล้หน้าสร้อย แกล้งจ้องจนทำให้สร้อยเคอะเขินได้
"จนกระทั่งอะหยัง..."
"จนกระทั่งฉันได้เจอเธอ" รัชชานนท์เสียงอ่อนหวาน
สร้อยนิ่งอึ้งนึกว่า รัชชานนท์กำลังจะบอกความในใจ
"นาทีที่ฉันได้เจอเธอ เป็นนาทีเฉียดความตาย เมื่อฉันรอดจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้ ฉันก็เลยตั้งใจแน่วแน่ว่า ฉันจะต้องรีบหาเมียก่อนตาย ไม่งั้นเสียชาติเกิด เธอว่าจริงมั้ยล่ะ !"
สร้อยนิ่งอึ้ง ไม่คิดว่ารัชชานนท์จะหักมุมตัดอารมณ์ด้วยมุขทะเล้นอย่างนี้
"อยากมีเมีย แล้วมาบอกข้อยเฮ็ดหยัง ! หลอกให้ฟังอยู่นานสองนาน"
สร้อยผลักรัชชานนท์ให้ออกไปห่างๆแล้วลุกขึ้น
"นั่นจะไปไหน"
"ไปนอนน่ะซิ เจ้านอนหม่องนี้ ข้อยสินอนพู้น ห้ามเจ้าเหยียบเข้าไปในถ้ำ เข้าใจบ่"
สร้อยเดินตึงตังเข้าไปข้างในถ้ำ ปล่อยให้รัชชานนท์อยู่ปากถ้ำมองตามไปอย่างขำๆ
อ่านต่อหน้า 3
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
อีกฟากหนึ่ง บริเวณกระท่อมชายป่า ชัชวีร์นั่งอยู่หน้ากองไฟหน้าเต็นท์ รณพีร์เข้ามานั่งข้างๆ พลางส่งขวดเหล้าดีบุกให้
"แก้หนาวซักหน่อยมั้ย"
ชัชวีร์รับขวดเหล้าดีบุกมาจิบพอแก้หนาวแล้วส่งคืนไป
"พอเรากลับเข้าเมือง คงต้องไปหาที่โทรศัพท์ โทรไปขอลางานต่ออีกสองสามวัน แล้วนี่นายบอกคุณลุงอนุพันธ์หรือเปล่าว่า นายมากับฉัน" รณพีร์บอก
"เปล่า...จะต้องบอกทำไม"
"นายนี่ชอบทำเหมือนคนอยู่ตัวคนเดียว ถึงคุณป้าหญิงจะไม่ยอมรับนาย แต่นายก็ยังมีคุณลุงอนุพันธ์นะโว้ย ท่านไม่ค่อยแสดงออกแต่ฉันก็รู้ว่า ท่านรักนายอย่างกับอะไรดี ท่านอาจจะมีเหตุผลของท่านก็ได้ที่ไม่ยอมบอกนายเรื่องแม่"
"เหตุผลอะไรวะ นอกจาก...แม่ไม่ได้ตั้งใจจะมีฉัน หรืออาจจะทั้งพ่อทั้งแม่เลยก็ได้ที่ไม่ได้ตั้งใจให้ฉันเกิดมา"
"นายก็คิดไปในแง่ร้ายไปได้ ฉันเชื่อว่า ซักวันนึงคุณลุงต้องบอกนายแน่ว่า แม่ของนายเป็นใคร"
"ถึงตอนนั้นฉันคงไม่อยากรู้แล้ว ช่างเถอะๆ แม่ฉันจะเป็นใครก็ช่าง ฉันไม่สนใจแล้ว"
"แต่ฉันรู้ว่า นายสนใจ...นี่เป็นเรื่องที่ค้างคาอยู่ในใจนายมาตลอดชีวิต"
ชัชวีร์รีบเปลี่ยนเรื่อง
"นายเฝ้ายามกะแรกแล้วกันฉันไปนอนก่อน เดี๋ยวเที่ยงคืนค่อยมาผลัดเวรยามกัน"
ชัชวีร์ลุกขึ้นเดินดุ่มๆ มุดเข้าไปในเต๊นท์นอน รณพีร์มองตามอย่างเข้าใจเพื่อน
ในอดีตเมื่อ 10 กว่าปีก่อน ... ผืนป่ากว้างตกอยู่ในความมืด มีเพียงแสงจันทร์ส่องสว่างลางๆ หมอกจางๆเริ่มลอยมาแล้วแผ่ขยายปกคลุมจนมองไม่เห็นอะไร ผืนป่าเห็นแต่มวลหมอกเต็มไปหมด
ภาพความทรงจำในวัยเด็กของสร้อย เจ้าตัวฝันถึงอยู่บ่อยครั้ง
มวลหมอกที่ปกคลุมผืนป่าเปลี่ยนเป็นฝุ่นสีแดงฟุ้งตลบบนถนนลูกรัง ชาวเวียงพูคำกำลังอพยพกันอย่างอลหม่าน ผู้คนพากันหลั่งไหลมาจากทุกทิศทุกทาง
สร้อยเห็นส่องดาวในชุดสาวชาวบ้านจับมือชัชวีร์ไว้แน่น เธอพยายามเดินแทรกตัวฝูงชนเข้ามาหาสร้อย และยื่นมือไขว่คว้ามาที่สร้อย
สร้อยที่พ่อใหญ่อุ้มอยู่ ยื่นมือมาที่เจ้าส่องดาว พยายามจับมือแม่ไว้ มือของส่องดาวเอื้อมมือมาจับมือสร้อยไว้แล้วก็เลื่อนหลุดออกไป
เจ้าส่องดาวกับชัชวีร์ถูกกลืนหายไปในฝูงชนที่ถาโถมเข้าใส่
สร้อย ดิ้นรนร้องไห้ ยื่นมือไขว่คว้าหาแม่จนสุดมือเอื้อมแต่ก็เอื้อมไม่ถึง
สร้อยนอนหลับอยู่ข้างในถ้ำ ขยับตัวไปมาอย่างกระสับกระส่ายและละเมอเสียงดัง
" อย่า...อย่าไป... อย่า !"
สร้อยละเมอร้องไห้เสียงดัง เอื้อมมือไขว่คว้าเหมือนมีใครอยู่ตรงหน้า
"อย่าไป !"
รัชชานนท์ถลาเข้ามาจับมือสร้อยไว้
"สร้อยฟ้า ! เป็นอะไร"
สร้อยสะดุ้งตื่นโผเข้ากอดรัชชานนท์ ร้องไห้ต่อเหมือนยังอยู่ในความฝัน
"อย่าไปนะ อย่าไป..."
รัชชานนท์กอดสร้อยไว้แนบอก ลูบไหล่ลูบหลังปลอบใจ
"ไม่ต้องร้อง แค่ฝันร้ายเท่านั้น ตอนนี้เธออยู่กับฉัน จำได้มั้ย"
"ฝันร้าย บ่เหมือนฝันเลย"
สร้อยเงยหน้าขึ้นมอง เพิ่งรู้สึกว่าตัวเองอยู่ในอ้อมกอดรัชชานนท์อยู่ เขาก้มลงมามองสร้อยอย่างเป็นห่วง ใกล้จนลมหายใจรดแก้มของเธอ
"เจ้า ! เจ้าเข้ามาเฮ็ดหยัง"
สร้อยรีบผลักรัชชานนท์ออกไปแล้วถดตัวถอยหนี ทั้งเก้อเขิน ทั้งโกรธ
"ข้อยสั่งแล้วว่า ห้ามเจ้าเข้ามา ! อยากตายใช่บ่"
"ฉันได้ยินเสียงเธอร้อง จะไม่ให้เข้ามาดูได้ยังไง ทำบุญบูชาโทษแล้วมั้ยล่ะ"
รัชชานนท์มองสร้อยอย่างขำปนระอาใจแล้วเดินออกจากถ้ำ สร้อยมองตาม ภาพฝันร้ายเมื่อครู่วูบเข้ามาในหัวอีก
เธอเห็นส่องดาวกับชัชวีร์หลุดหายเข้าไปในฝูงชนที่อลหม่านมีฝุ่นฟุ้งตลบ
ในบรรยากาศวุ่นวายสับสนของฝูงชนที่กำลังลี้หนีภัยจากเวียงพูคำ เสียงปืนเสียงระเบิดดังลั่นตลอดเวลา กลุ่มทหารเวียงพูคำไล่ล่ากลุ่มบ้านที่หอบสัมภาระหนีออกจากประเทศตัวเองข้ามแดนมาที่ฝั่งไทย บางกลุ่มหนีข้ามมาทัน บางกลุ่มถูกยิงล้มตายไป
ชัชวีร์จับมือส่องดาวไว้ ส่องดาวหันไปมองไปด้านหลังตลอดเวลา ชัชวีร์หันไปเห็นใครบางคนที่ตามมาได้ทัน แล้วดึงตัวชัชวีร์และส่องดาวฝ่าฝูงชนสวนทางออกไป
ชัชวีร์ยื่นมือไปจับมือใหญ่หนาที่ใส่แหวนเจ้าหลวง ชัชวีร์เห็นพ่อใหญ่ในภาพเลือนลางมองไม่ชัดว่าเป็นใคร เห็นแต่มือที่ยื่นมาและแหวนเจ้าหลวงที่นิ้วชี้เท่านั้น
ระเบิดลงตูมใหญ่ที่เบื้องหลังพ่อใหญ่ ฝูงชนที่อยู่รอบๆแตกฮือหนีตายกันอลหม่านยิ่งกว่าเดิม เสียงปืนดังขึ้น ท่ามกลางเสียงคนร้องเรียกกัน เสียงร้องไห้จ้าของเด็กน้อยดังขึ้นสับสนไปหมด มือของพ่อใหญ่เลื่อนหลุดไปจากมือของชัชวีร์
ชัชวีร์ผวาจะคว้ามือพ่อใหญ่ไว้แต่ไม่ทัน เขาเห็นเพียงด้านหลังของพ่อใหญ่ที่อุ้มสร้อยหายไปกับฝูงชน ส่องดาวดึงชัชวีร์กลับมาให้หนีไปอีกทาง ชัชวีร์ดิ้นรนไม่ยอมไปกับส่องดาว
"ปล่อย ปล่อย"
ภาพฝันของชัชวีร์ดูรุนแรงสับสนกว่าภาพฝันเลือนๆ ของสร้อย ภาพจำในอดีตมันน่ากลัวจนทำให้ชัชวีร์จำความตอนเด็กไม่ได้เลย
ชัชวีร์นอนหลับกระสับกระส่ายอยู่ในเต็นท์ ภายในกระท่อมกลางป่า เขาร้องละเมอออกมา
"ปล่อย ปล่อย"
ชัชวีร์สะดุ้งเฮือกตื่นจากฝันร้าย เหงื่อท่วมตัวลุกพรวดขึ้นนั่ง
"ปล่อย!"
รณพีร์เปิดเต็นท์โผล่หน้าเข้ามาดู
"เป็นอะไรวะ ฝันร้ายอีกแล้วล่ะซิ"
"เออ..ฝันร้าย ฉันคงนอนไม่หลับแล้วล่ะ ฉันเฝ้ายามต่อให้เอง"
รณพีร์ถอยออกให้ชัชวีร์มุดเต็นท์ออกไป
รัชชานนท์กำลังก่อไฟขึ้นกองเล็กๆ สร้อยเดินมานั่งข้างๆรัชชานนท์ไม่พูดไม่จา เขากางมือกางไม้กางกั้นไม่ให้สร้อยเข้ามายุ่งกับกองไฟ
"อย่านะ อย่ามาดับกองไฟของฉันอีก ยังไงฉันก็ต้องก่อไฟล่ะ เห็นมั้ย เธอหนาวจนนอนฝันร้ายเลย"
สร้อยมองรัชชานนท์ด้วยสีหน้าเฉยๆ ไม่คิดจะดับกองไฟอีก
"ข้อยบ่ได้หนาวจนนอนฝันร้าย ข้อยฝันร้ายจังซี้บ่อยๆ บ่ฮู้เป็นอะหยัง ฝันเฮื่องเดิมซ้ำๆซากๆ"
"เธอฝันว่าอะไร"
"ข้อยมักสิฝันถึงผู้หญิงผู้นึง เป็นไผกะบ่ฮู้ ข้อยบ่เคยเห็นหน้า ช่างมันเถอะ มันกะเป็นแค่ความฝัน"
"แต่ถ้าเธอฝันเรื่องเดิมอยู่บ่อยๆ มันอาจจะไม่ใช่เป็นแค่ความฝันก็ได้ มันอาจจะเป็นเหตุการณ์ที่เธอเคยเจอ แล้วต้องเป็นเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจเธอทีเดียว เธอถึงได้เก็บมาฝัน"
"ข้อยกะเคยคิดจังสั้น ผู้หญิงที่ข้อยฝันถึงอาจสิเป็นแม่ของข้อย แต่ข้อยบ่มีวันฮู้ดอก เกิดมาข้อยบ่เคยเห็นหน้าแม่ รูปซักใบกะบ่มี"
"เกิดอะไรขึ้นกับแม่ของเธอเหรอ ท่านไม่ได้หนีมากับเธอด้วยหรือไง"
"แม่หนีมากับพวกเฮาด้วย แต่พลัดหลงกันตอนข้ามมาที่ฝั่งไทย พ่อใหญ่ให้คนตามหาอยู่หลายปี แต่กะบ่เจอ แม่คงตายไปแล้ว พ่อใหญ่เถิงบ่ยอมเว้าเฮื่องแม่อีก"
"แล้วเธอมีพี่น้องอีกหรือเปล่า"
"บ่มี พ่อใหญ่มีข้อยคนเดียว ข้อยคึดเสมอว่า ข้อยสิต้องตอบแทนบุญคุณของพ่อใหญ่ บ่ว่าจังได๋ ข้อยกะสิพาพ่อใหญ่กลับเวียงพูคำแผ่นดินเกิดให้ได้ !"
"ฉันจะช่วยเธอเอง สร้อยฟ้า !"
"เจ้าบ่ใช่คนเวียงพูคำ บ่ใช่เฮื่องของเจ้าที่มาตายเพื่อผู้อื่น"
"แต่ฉันรอดตายก็เพราะคนเวียงพูคำคนนี้ได้ช่วยฉันไว้..."
รัชชานนท์ดึงมือสร้อยมากุมไว้
"เธอเสี่ยงตายช่วยชีวิตฉันไว้ แล้วทำไมฉันเสี่ยงตายช่วยเธอบ้างไม่ได้ เมื่อไหร่ที่เธอกลับไปเวียงพูคำ ฉันจะไปกับเธอด้วย ฉันให้สัญญา !"
สร้อยรีบดึงมือออกอย่างเก้อเขิน รัชชานนท์มองสร้อยนิ่ง ท่าทางบอกถึงความจริงจังและแววตาฉายความจริงใจ
ชัชวีร์นั่งจิบเหล้าจากขวดเหล้าดีบุกเงียบๆอยู่หน้ากองไฟ รณพีร์เดินมานั่งข้างๆแล้วดึงขวดเหล้าจากชัชวีร์มากินบ้าง
รณพีร์พูดพลางมองนาฬิกาข้อมือ
"ฉันก็นอนไม่หลับเหมือนกันว่ะ ถ้าอยู่กรุงเทพฯ ตอนนี้ฉันกับพี่ชายเล็กน่าจะอยู่กับสาวๆที่โลลิต้าหรือไม่ก็มูแลงรูจ ถ้านายยอมออกไปเที่ยวกับฉันบ้าง คงไม่ต้องนอนฝันร้ายอย่างนี้บ่อยๆหรอกวะ รับรองได้นอนฝันหวานทุกคืน ว่าแต่นายฝันถึงอะไร ไม่เคยยอมเล่าให้ฟังเลย"
"ฝันไม่เป็นเรื่องเป็นราวน่ะ ฝันเหมือนอยู่ในสนามรบ"
"ต้องเป็นตอนที่เราไปซ้อมรบทางอากาศที่ลพบุรีแน่ๆ ตอนนั้นนายเกือบทำเครื่องบินตก รอดตายมาอย่างหวุดหวิด นายถึงได้เก็บมาฝันเป็นตุเป็นตะอยู่นานอย่างนี้"
"ไม่ใช่หรอกว่ะ ฉันฝันร้ายแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆแล้ว ในฝันฉันอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นที่ที่ฉันไม่รู้จัก ฉันเห็นทหาร เห็นชาวบ้านแต่งตัวแปลกๆ แล้วก็เห็นผู้ชายคนนึง... ฉันไม่เห็นหน้าหรอกนะว่า เค้าเป็นใคร แต่ฉันกลับรู้สึกคุ้นเคยเหมือนคนที่ฉันเคยรู้จัก"
"นายอย่าไปจริงจังนักเลย มันก็เป็นแค่ความฝัน คนเราฝันได้สารพัดสารเพ ฉันยังเคยฝันว่าได้ควงวิเวียน ลีห์ไปเต้นรำที่สวนอัมพรฯเลย ในฝันฉันรู้สึกคุ้นเคยกับเธอราวกับรู้จักมานาน ตื่นมายังรู้สึกเหมือนไม่ใช่ความฝัน แต่มันก็เป็นแค่ความฝันล่ะว้า"
"เออๆ มันก็แค่ความฝัน...ฉันก็อยากให้มันเป็นแค่ความฝันจริงๆ"
ชัชวีร์นิ่งคิดถึงความฝันที่โหดร้ายที่ฝันถึงอยู่บ่อยๆ
หมู่บ้านวลาหกในตอนเช้ามืด พ่อใหญ่นั่งอยู่ที่เดิมในเรือน เขานั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อคืนจนเช้าด้วยความเป็นห่วงสร้อย พ่อใหญ่ค่อยๆเก็บรูปถ่ายของส่องดาวไว้ในสมุดบันทึก จากนั้นเปิดหีบใบเล็กบนโต๊ะเพื่อวางสมุดบันทึกลงในหีบใบเล็ก ในหีบใบนั้นมีสร้อยพร เครื่องประดับของส่องดาว 2-3 ชิ้นและแหวนเจ้าหลวงวางอยู่ด้วย
หลังปิดหีบใบเล็กลง พ่อใหญ่ค่อยๆขยับหยิบไม้ค้ำยันมาพยุงตัวเองลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง
"เจ้าสร้อย...กลับบ้านได้แล้วเด้อ"
พ่อใหญ่ยืนนิ่งคิดถึงสร้อยอย่างกังวล
บริเวณถ้ำในป่า กองไฟดับไปแล้ว คงมีแต่ควันลอยขึ้นบางๆ สร้อยนอนหลับอยู่ที่ปากถ้ำ ค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นแล้วก็ตาโพลงเปิดกว้างด้วยความตกใจ เมื่อพบว่า ตัวเองนอนพิงอกรัชชานนท์อยู่ เธอรีบขยับจะลุกขึ้น
รัชชานนท์ตื่นแล้ว แต่แกล้งทำหลับโอบไหล่สร้อยรั้งตัวไม่ให้ลุกขึ้น สร้อยพยายามลุกออกไปก่อนที่เขาจะตื่น แต่มือกาวของรัชชานนท์ยังรั้งสร้อยไว้อยู่ ! เธอเหลือบตาไปเห็นตาของเขาที่หลับไม่สนิท ขยับไปมาใต้เปลือกตา ก็รู้ว่าแกล้งหลับอยู่
สร้อยถองศอกใส่รัชชานนท์อย่างแรง จนเขาร้องลั่น
" โอ๊ย!"
รัชชานนท์ถูกถองจนตัวงอจนต้องปล่อยมือจากสร้อย
"สมน้ำหน้า อยากแกล้งหลับดีนัก"
สร้อยสะบัดตัวลุกขึ้นจากรัชชานนท์มาได้ เขาจำยอมลุกขึ้นตามอย่างเสียดาย
"ก็ฉันไม่อยากตื่นนี่นา มีคนนอนเบียดจนหายหนาว นอนหลับอุ่นสบายจนไม่อยากจะลุกเลย"
สร้อยมองตาขวาง
"แล้วเป็นหยังบ่ปลุก ปล่อยให้ข้อยนอนเบียดเจ้าอยู่ได้"
รัชชานนท์ยิ้มกวน
"ดุอย่างนี้ ใครจะไปกล้าปลุกล่ะ ก็ต้องปล่อยเลยตามเลย ไม่เป็นไรหรอก ฉันไม่ถือสา จะไปกันเลยใช่มั้ย ไป ฉันจะพาเธอกลับไปหมู่บ้านวลาหกเอง ไม่ว่ายังไงวันนี้เราต้องกลับไปให้ได้"
"ข้อยต่างหากที่สิพาเจ้ากลับไป ข้อยเป็นผู้นำ เจ้าเป็นผู้ตาม เข้าใจบ่"
สร้อยรีบเดินออกไปโดยเร็ว รัชชานนท์เดินตามไปอย่างว่าง่าย ขี้เกียจเถียงด้วย
ขณะเดียวกันตรงบริเวณกระท่อมชายป่า รณพีร์กับชัชวีร์ช่วยกันเก็บเต็นท์และดับกองไฟจนเสร็จเรียบร้อยพร้อมเดินทาง
"เรารีบออกเดินทางกันเลยดีกว่า ไอ้พีร์"
รณพีร์มองไปทางเดินเข้าป่าอย่างเสียดายที่ไปต่อไม่ได้
"ฉันรู้สึกเหมือนพี่ชายเล็กอยู่ใกล้ๆตรงนี้นี่เอง เหมือนเดินต่อไปอีกนิดเดียวก็จะได้เจอกันแล้ว"
"ถ้านายจะเปลี่ยนใจตอนนี้ยังทันนะ"
"ไม่ล่ะ ตอนนี้เราต้องเก็บเรื่องส่วนตัวไว้ก่อน เราจัดการเรื่องทหารเวียงพูคำเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดี หลังๆมานี่รู้ข่าวมาว่า ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่นี่หย่อนยานเหลือเกิน ปล่อยพวกทหารเวียงข้ามมาฝั่งไทยโครมๆราวกับเป็นประเทศของตัวเอง"
"ถ้าทางจังหวัดรู้เรื่องที่พวกทหารเวียงเพ่นพล่านไปทั่วตามอำเภอใจอย่างนี้ คงเริ่มขยับทำอะไรบ้างล่ะทีนี้ แล้วนี่ไม่รู้พรานเกิ้นให้ข้าวให้น้ำกับไอ้สองคนนั่นเสร็จหรือยัง"
รณพีร์หันไปมองที่ทหารเวียงพูคำสองคนที่ถูกมัดอยู่กับต้นไม้ แล้วหันไปสะกิดให้ชัชวีร์หันไปดู
พรานเกิ้นถือจานข้าวและกระติกน้ำนั่งหลับนกอยู่ใกล้ๆทหารทั้งสองที่ทำตาปริบๆอยู่
"ขอบใจว่ะ ที่ไม่เปลี่ยนใจ ! ถ้านายไม่ไปด้วย ฉันว่า ไม่รอดแน่"
ชัชวีร์ตบไหล่รณพีร์อย่างขำๆ
ภายในห้องรับแขก วังจุฑาเทพในตอนเช้าสายๆ ม.ร.ว. ธราธร จุฑาเทพ จิบกาแฟอยู่เหมือนจะใจเย็นแต่ตามองนาฬิกาข้อมือเป็นระยะๆ สักครู่หนึ่งคุณชายพุฒิภัทรเดินจากหน้าตึกเข้ามาอย่างร้อนใจ
"น้องนุชยังไม่มาเลยครับ พี่ชายใหญ่ ทำยังไงดีครับ"
"งั้นไม่รอแล้วดีกว่า เดี๋ยวจะไม่ทันรถไฟ"
ยังไม่ทันที่สองพี่น้องจะขยับตัวเดินออก หม่อมเอียดกับย่าอ่อนเดินเข้ามาขัดจังหวะพอดี
"ไม่รอไม่ได้ ยังไงก็ต้องรอน้อง"
"หม่อมย่าครับ ถ้าเราพลาดรถไฟเที่ยวเช้า ก็เท่ากับเสียเวลาไปอีกวันเต็มๆ เลยนะครับ ชายพีร์ก็เงียบหายไปไม่ส่งข่าวกลับมาเลย ไม่รู้ว่าทางโน้นมีอะไรเกิดขึ้นบ้างหรือเปล่า"
"ไม่ต้องห่วง ยังไงก็ไปทันอยู่แล้ว รู้สึกว่า เครื่องบินจะออกในอีกสองชั่วโมงมีเวลาเหลือเฟือ"
"เครื่องบินอะไรครับ หม่อมย่า เครื่องบินลำเลียงที่เราจะขอติดไปด้วย ก็ออกเดินทางไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว กว่าจะมีเที่ยวบินต่อไปก็เดือนหน้าโน้น" พุฒิภัทรว่า
"ชายภัทร ลืมไปแล้วหรือว่า คุณพ่อของหนูนุชเป็นใคร พลตรีหม่อมราชวงศ์อนุพันธ์ เทวพรหม คุณชายโทรศัพท์กริ๊งเดียว สั่งเครื่องบินทั้งกองบินให้หยุดบินยังได้ สาอะไรกับแค่เครื่องบินลำเลียงลำเดียว" ย่าอ่อนพูดขึ้น
"นี่คุณลุงอนุพันธ์เป็นคนสั่งให้ทางกองบินฯเลื่อนการเดินทางเพื่อรอเราหรือครับ ฟังดูไม่น่าใช่คุณลุงเลย" ธราธรบอก
"ผมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน น่าจะเป็นฝีมือของคุณป้าหญิงมากกว่า"
หม่อมเอียดบอก
"ใครเป็นคนจัดการเรื่องการเดินทางก็ช่าง เอาเป็นว่า ทุกคนถึงหนองคาย ภายในวันนี้แน่นอน รอน้องอีกซักหน่อยแล้วกัน อีกประเดี๋ยวคงจะมาถึงแล้ว"
ย่าอ่อนดี๊ด๊าดีใจ
"หนูนุชมาแล้วล่ะค่ะ คุณพี่"
ทุกคนหันไปมองที่ประตูทางเข้า ศินีนุชในชุดเดินป่าซาฟารีเต็มยศ เดินหน้าตาเริงร่าเข้ามา
"สวัสดีค่ะ หม่อมย่า ย่าอ่อน สวัสดีค่ะ พี่ชายใหญ่ พี่ชายภัทร"
ศินีนุชไหว้กราดสวัสดีทุกคนอย่างอ่อนหวาน
"ขอโทษนะคะ ที่นุชมาช้าไปหน่อย เกิดมานุชไม่เคยเดินป่าเลยน่ะค่ะ ก็เลยจัดเตรียมข้าวของไม่ถูก เพิ่งจัดกระเป๋าเสร็จเมื่อเช้านี้เอง"
ถนอมขนกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ใบเล็ก 4 ใบเข้ามาวางไว้ ธราธรกับพุฒิภัทรมองกระเป๋าเดินทางแล้วหันมองหน้ากัน ยังไม่ทันออกเดินทางก็เหนื่อยแล้ว
สมบุญขนกระเป๋าเดินทางอีก 3 ใบเดินทางเข้ามาวางไว้
"ยังไม่หมดอีกเหรอ !" ธราธรถาม
"หมดแล้วค่ะ นุชมีกระเป๋ามาแค่สี่ใบเอง กระเป๋านั่นไม่ใช่ของนุชนะคะ"
"กระเป๋าของรัมภาเองค่ะ"
วิไลรัมภาในชุดเดินทางทะมัดทะแมง เดินเข้ามาพร้อมกับโปรยยิ้มหวานให้ทุกคน
ธราธรกับพุฒิภัทรอึ้งได้อีก
กระเป๋าเดินทางของศินีนุชและวิไลรัมภาที่วางเรียงรายกันอยู่ในห้องรับแขก ศินีนุชกับวิไลรัมภานั่งประจันหน้ากันอยู่ ทั้งคู่ต่างจิกตาใส่กันอย่างไม่มีใครยอมใคร ก่อนที่จะหันไปปั้นหน้ายิ้มอย่างอ่อนหวานรอรับฟังคำตัดสินจากหม่อมเอียดที่นั่งเป็นประธานอยู่
วิไลรัมภาก้มลงไหว้หม่อมย่าเอียด ด้วยบทบาทสาวหวานน่ารักได้แนบเนียนกว่าศินีนุช
"รัมภาต้องขอประทานโทษจริงๆนะคะ หม่อมย่า รัมภาทราบค่ะ รัมภาควรขออนุญาตหม่อมย่าก่อน แต่พี่ชายพีร์หายไปทั้งคนอย่างนี้ รัมภาร้อนใจจนอยู่เฉยๆไม่ได้จริงๆค่ะ"
หม่อมเอียดปรายตามองย่าอ่อนที่นั่งแอบๆ อยู่เบื้องหลัง
"แม่อ่อน...ฝีมือเธออีกแล้วล่ะซิ"
ธราธรกับพุฒิภัทรที่นั่งมองหน้ากัน เริ่มปวดหัวตุ๊บๆ
"หม่อมย่าอย่าตำหนิย่าอ่อนเลยนะคะ ย่าอ่อนแค่ส่งข่าวไปบอกเท่านั้น รัมภาเป็นคนตัดสินใจเองที่จะขอไปตามพี่ชายพีร์ด้วยอีกคน อนุญาตให้รัมภาไปด้วยนะคะ"
"เธอไปด้วยไม่ได้หรอก รัมภา ! ไปก็ไปเป็นภาระให้คนอื่นเปล่าๆ" ศินีนุชบอก
"ถ้าเธอไปได้ ฉันก็ต้องไปได้ แล้วขอโทษนะ ฉันกำลังขออนุญาตหม่อมย่า ไม่ได้ขออนุญาตเธอ ขอโทษแทนนุชด้วยนะคะ ที่พูดแทรกเข้ามาโดยไม่รู้กาลเทศะ ตกลงหม่อมย่าอนุญาตใช่มั้ยคะ"
ย่าอ่อนรีบเสนอหน้าเข้ามา
"อนุญาตอยู่แล้วล่ะจ้ะ หนูนุชไปตามชายเล็ก ส่วนหนูรัมภาก็ไปช่วยตามชายพีร์ ช่วยกันคนละไม้คนมือ จะได้ตามเจอเร็วๆ จริงมั้ยล่ะคะ คุณพี่"
หม่อมเอียดปรายตามองย่าอ่อนจนย่าอ่อนคอหดและถอยกลับไปที่เดิม
"ย่าว่า หนูรัมภาอย่าตามไปเลยนะ รอฟังข่าวอยู่ทางนี้จะดีกว่า"
ศินีนุชยิ้มสะใจ ปรายตามองวิไลรัมภาอย่างผู้ชนะ
"แต่รัมภาเป็นห่วงพี่ชายพีร์เหลือเกินนะคะ หม่อมย่า ถ้ารัมภาไม่ได้ไปตามพี่ชายพีร์ด้วยตัวเอง รัมภาคงกินไม่ได้นอนไม่หลับแน่ๆ เลยค่ะ"
"เราก็ยังไม่แน่ใจนะว่า ชายพีร์หายไปด้วยอีกคนหรือเปล่า น้องรัมภา อย่าเพิ่งเป็นห่วงไปก่อนล่วงหน้าเลย"
"ไม่ค่ะ รัมภาต้องได้เห็นหน้าพี่ชายพีร์ก่อน รัมภาถึงจะแน่ใจว่า พี่ชายพีร์ปลอดภัยแล้วจริงๆ"
"ยังไงเธอก็ไปด้วยไม่ได้ มีน้องนุชไปคนเดียว พี่ยังกลัวว่าจะดูแลไม่ไหวเลย ถ้าเธอไปด้วยอีกคน จะยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่" พุฒิภัทรบอก
"ไม่ต้องดูแลรัมภาเลยค่ะ รัมภาดูแลตัวเองได้ รับรองรัมภาไม่ทำตัวเป็นภาระให้พี่ๆอย่างแน่นอน นะคะพี่ชายใหญ่ พี่ชายภัทร ให้รัมภาไปด้วยเถอะนะคะ"
"ไม่ได้ ยังไงก็ไปไม่ได้ ! หม่อมย่าค่ะ ถ้ารัมภาไป นุชไม่ไปนะคะ แล้วถ้านุชไม่ไป เครื่องบินทหารที่คุณพ่อติดต่อไว้ให้ ก็คงต้องยกเลิกนะคะ ทีนี้ หม่อมย่าคงตัดสินใจได้แล้วนะคะว่า ควรให้รัมภาไปด้วยหรือเปล่า"
ศินีนุชหันไปมองวิไลรัมภาอย่างเหนือกว่า ยังไงหล่อนก็ไม่มีทางไปด้วยได้แน่
ฝ่ายคุณหญิงดารณีนุชเดินเข้ามาในห้องทำงานของสามี มองปราดไปรอบๆ ห้อง แล้วนึกถึงภาพอนุพันธ์จ้องมองนาฬิกาพกอยู่นาน ด้วยสีหน้าอ่อนโยนค้างคาใจดารณีนุชเป็นอย่างมาก
ดารณีนุชเริ่มค้นหานาฬิกาพกโดยตรงเข้าที่เสื้อสูทที่แขวนอยู่ ค้นดูในกระเป๋าเสื้อ เมื่อไม่เจอก็เริ่มค้นตามลิ้นชักโต๊ะทำงานและตู้ต่างๆในห้อง
ดารณีนุชค้นมาจนถึงตู้ใบใหญ่ เปิดไล่ลิ้นชักทีละชั้นเจอแต่กองเอกสารจนมาถึงลิ้นชักล่างสุด แต่ปรากฎว่าลิ้นชักถูกล็อคอยู่
"ทำไมต้องใส่กุญแจด้วย!"
"นั่นคุณทำอะไร"
ดารณีนุชสะดุ้งตกใจแล้วหันไปมองอนุพันธ์ที่เพิ่งเดินเข้ามา
"ฉัน...ฉันเข้ามาโทรศัพท์ว่า จะโทรไปที่วังจุฑาเทพเสียหน่อย เป็นห่วงลูกนุช อยากรู้ว่า ลูกออกเดินทางหรือยัง"
"ถ้าคุณเป็นห่วงลูกจริง ก็ไม่ควรปล่อยลูกออกไปรอนแรมกับผู้ชายตั้งแต่แรกแล้ว ผู้ชายหนีไปถึงชายแดน ก็ยังตามประเคนลูกสาวไปให้ถึงที่ อย่างนี้คิดว่า ผู้ชายจะเห็นค่าลูกสาวของเรามั้ยล่ะ"
"คุณนี่พูดจาน่าเกลียดจริงๆ ฉันประเคนลูกสาวที่ไหน คุณชายเล็กเป็นคู่หมายของลูกนุช ทำไมลูกจะไปตามไม่ได้ แล้วนายชัชมันก็ไปด้วย ไม่มีใครกล้าครหาลูกสาวเราแน่ๆ"
"นายชัชไปด้วยงั้นเหรอ"
"อ้าว ! นี่ไม่รู้หรอกหรือคะว่า นายชัชกับคุณชายพีร์ล่วงหน้าไปก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้เรื่องอะไร หายเงียบไปเลย สงสัยจะหลงป่าไปด้วยล่ะมั้ง"
"แล้วนี่พวกคุณชายใหญ่เดินทางกันยังไง ถ้าไปทางรถไฟกว่าจะถึงที่นั่นก็คงมืดค่ำแล้ว..แล้วจะเริ่มตามหาคุณชายเล็กได้เมื่อไหร่ล่ะนี่"
ดารณีนุชเริ่มโกรธ
"นี่พอรู้ว่า ลูกรักไปด้วย ก็เลยเป็นห่วงงั้นซิ ก่อนหน้านี้ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน ไม่คิดจะช่วยอะไรเลย จะมาช่วยอะไรตอนนี้ล่ะ ฉันจัดการทุกอย่างให้หมดแล้ว ป่านนี้ทุกคนคงจะถึงกองบินแล้วล่ะ"
อนุพันธ์รู้ทัน
"คุณทำอะไรลงไป คุณหญิง !"
"ฉันก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกค่ะ แค่โทรไปที่กองบินฯ บอกชื่อ ท่านนายพลอนุพันธ์ไป แล้วทุกอย่างก็เรียบร้อย ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย"
"นี่ขอเป็นครั้งสุดท้ายนะ คุณหญิง อย่าได้เอาชื่อผมไปแอบอ้างอีก ไม่งั้น ได้เห็นดีกันแน่ แล้วก็อย่าเข้ามาในห้องนี้โดยไม่ได้รับอนุญาตอีก ไม่ว่าคุณเข้ามาค้นหาอะไร คุณไม่มีวันหาเจอหรอก !"
อนุพันธ์เดินหน้านิ่งเฉยชาออกไป ดารณีนุชรีบตามไป
อนุพันธ์เดินลิ่วๆมาถึงโถงวังกิตติวงศ์ และกำลังจะออกจากตัวตึก ดารณีนุชแล่นตามมาอย่างเอาเรื่อง คนรับใช้ 2-3 คนที่ทำความสะอาดอยู่หลบวูบไปตามกันอย่างรู้งานว่า มีการฉะกันอีกแน่ ดารณีนุชตามมารั้งตัวอนุพันธ์ไว้
"คุณรู้ก็ดีแล้ว ! แล้วอยากรู้มั้ยล่ะว่า ฉันเข้าไปค้นหาอะไรในห้องทำงานของคุณ ฉันเข้าไปหานาฬิกาพกที่คุณติดตัวไว้ตลอดเวลา ฉันอยากรู้ว่า ใครเป็นคนให้คุณมา นังนั่นเหรอ ใช่มั้ย แม่ไอ้ชัช นังผู้หญิงชั้นต่ำให้มาใช่มั้ย !"
อนุพันธ์หันขวับมองดารณีนุชอย่างฉุนโกรธ
"ผมบอกคุณหลายครั้งแล้วนะคุณหญิง ว่าอย่าพูดจาดูถูกแม่ของชัชวีร์"
"งั้นคุณก็บอกฉันซิว่า ใครให้มา ฉันรู้นะว่า มันไม่ใช่นาฬิกาพกธรรมดา ข้างในมีอะไร คุณถึงเปิดดูได้ทุกวัน"
"มันเป็นเรื่องส่วนตัวของผม เราต่างคนต่างอยู่มานานแล้ว ก็ขอให้มันเป็นอย่างนั้นต่อไป"
"แต่เรื่องนี้ฉันต้องรู้ให้ได้ ! ที่จริงนาฬิกาพกนั่นก็ดูดีมีราคาเกินกว่าที่จะเป็นของนังเมียข้างถนนของคุณ หรือคุณมีผู้หญิงคนอื่นอีก !"
"ผมไม่มีผู้หญิงอื่น ตั้งแต่ผมเจอแม่ของชัชวีร์ ผมก็รู้ว่า ผมไม่สามารถจะมีใครได้อีก ผมเคยบอกคุณแล้วว่า ผมมีผู้หญิงที่ผมรักแล้ว แต่คุณก็ยังดึงดันจะแต่งงานกับผม"
"ฉันคิดว่า...ฉันสามารถทำให้คุณรักได้"
"ตอนนี้คุณคงรู้แล้วนะว่า คุณทำไม่ได้"
อนุพันธ์เดินออกไปที่หน้าตึก นายทหารที่รอรับใช้อยู่ รีบยืนตรง
"ไปเอารถออก"
นายทหารรีบวิ่งออกไปตามคำสั่งทันที
คุณหญิงดารณีนุชยืนกำมือด้วยความโกรธและเจ็บปวด ได้แต่ยืนนิ่งมองแผ่นหลังของอนุพันธ์ เห็นสามีดึงนาฬิกาพกออกมาดูอีกครั้ง
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 3 (ต่อ)
ฟากหม่อมเอียดเดินออกมาส่งธราธรกับพุฒิภัทร ศินีนุชเดินตามหลังมาเกาะแขนหม่อมเอียดอย่างเอาใจ
"หม่อมย่าตัดสินใจถูกแล้วล่ะค่ะ ที่ไม่ให้รัมภาไปด้วย แค่นุชไปคนเดียวก็เกินพอแล้ว นุชจะช่วยดูแลพี่ๆทุกคน จะทำตัวให้เป็นประโยชน์มากที่สุด รับรองนุชจะไม่ทำให้หม่อมย่าผิดหวังค่ะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะที่หม่อมย่าเชื่อคำแนะนำของนุช"
"ย่าไม่ได้ทำตามคำแนะนำหรือคำข่มขู่ของใคร"
ศินีนุชนิ่งอึ้ง รู้ว่าย่าเอียดกระทบเข้าให้แล้ว
"ย่าไม่ให้หนูรัมภาตามไปด้วยอยู่แล้ว หนูนุชไปคนเดียวก็เป็นภาระมากพอแล้ว ถ้าให้หนูรัมภาไปอีกคน คงจะไม่ไหว หนูรัมภาคงเข้าใจนะ"
วิไลรัมภาเกาะแขนย่าอ่อนเดินตามมา ยิ้มให้ย่าเอียดอย่างอ่อนหวานปนเศร้า
"รัมภาเข้าใจค่ะ งั้นรัมภาขอมารอฟังข่าวที่นี่ทุกวันนะคะ รัมภาจะได้มาอยู่เป็นเพื่อนหม่อมย่ากับย่าอ่อนด้วย"
"โถ ! แม่คุณของย่าอ่อน ห่วงชายพีร์ก็ห่วง แล้วยังมีใจคิดถึงคนแก่อีก มาได้เลย ลูก มาได้ทุกวัน จะมาค้างคืนก็ได้ เดี๋ยวย่าจะให้นังแจ๋วจัดห้องหับไว้ให้"
"ขอบคุณย่าอ่อนมากนะคะ"
วิไลรัมภากอดย่าอ่อนอย่างเอาใจ
"แล้วก็ขอบพระคุณหม่อมย่าด้วยที่เมตตารัมภามาตลอด"
วิไลรัมภาถลาไปกราบที่ไหล่ของย่าเอียด แต่โดนศินีนุชดันกระเด็นออกไป แล้วตวัดสายตาจิกใส่ ศินีนุชให้รู้ว่า สนิทกับย่าๆ ที่นี่แค่ไหน
ถนอมกับสมบุญช่วยกันขนกระเป๋าใส่ท้ายรถจนเสร็จเรียบร้อย
"เราต้องรีบไปแล้วล่ะครับ เดี๋ยวจะไปไม่ทันเครื่องบิน" ธราธรบอก
"ไปถึงแล้วก็รีบส่งข่าวมานะ อย่าหายไปเหมือนชายพีร์อีกคน"
หม่อมเอียดรู้สึกจุกอกขึ้นมา เมื่อเห็นหลานชายจะไปอีกสองคนก็เริ่มกังวลใจมากขึ้น
คุณชายพุฒิภัทรจับมือหม่อมเอียดไว้อย่างให้กำลังใจ
"หม่อมย่าอย่ากังวลมากเกินไปเลยนะครับ เดี๋ยวโรคหัวใจจะกำเริบขึ้นมาอีก เชื่อผมนะครับ เราจะต้องตามหาชายเล็กเจอแน่ๆ"
ธราธรบอก
"เราจะพาชายเล็กกลับมาครับ หม่อมย่า ผมสัญญา!"
คุณชายทั้งสองจับมือหม่อมเอียดอย่างให้คำมั่น จนหญิงชราค่อยสบายใจขึ้น ย่าอ่อนหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับน้ำตาด้วยความตื้นตันและเป็นห่วง
ธราธรกับพุฒิภัทรสบตากัน และรู้สึกหนักใจเหมือนกันว่า จะทำตามสัญญาได้ไหม
ทางด้านรัชชานนท์กับสร้อยเดินลัดเลาะมาตามทางในป่า สร้อยชะงักได้ยินเสียงผิดปกติดังขึ้นมาจากทางข้างหน้า
"มีอะไร"
สร้อยดึงรัชชานนท์หลบวูบหลังต้นไม้ใหญ่
"พวกทหารเวียงเหรอ"
สร้อยเอามือตะปบปิดปากรัชชานนท์ไว้ ไม่ให้พูดอะไรได้อีก ทั้งคู่นิ่งรอแทบจะกลั้นหายใจ ทุกอย่างรอบตัวนิ่งเงียบสงบ ลมพัดใบไม้ไหวเบาๆ
เสียงสวบสาบของคนหลายคนย่ำเท้าเดินเข้ามา อีกพักเดียว ทหาร 5 คนเดินลาดตระเวนกันมา
ทหารเวียงพูคำคนที่ 1 เดินแยกจากกลุ่มมุ่งตรงมาต้นไม้ที่สองคนหลบอยู่ รัชชานนท์กับสร้อยนิ่งเกร็งด้วยความตึงเครียด สร้อยเกร็งจนกดมือที่ปิดปากรัชชานนท์แน่นได้อีก
ทหาร กำลังจะเดินไปสำรวจหลังต้นไม้ เพียงอีกก้าวเดียวก็จะเห็นตัวสร้อยกับรัชชานนท์
แต่ทหารเวียงคนที่ 6 วิ่งกระหืดกระหอบมาหาทหารเวียงคนที่ 2 ที่ดูเป็นผู้นำที่สุด
"ผู้กองๆ คนของเฮาถูกคนไทยจับตัวไป !"
ทหารคนที่ 1 ถอยออกมาจากต้นไม้มุ่งไปรวมกับกลุ่มทหารคนอื่นๆ
ทหารคนที่ 2 บอก
"กลับ !"
ทหารคนที่ 2 เดินนำออกไป ลูกน้องอีกห้าคนรีบตามหัวหน้าไปอย่างรวดเร็ว
สร้อยโล่งใจ
"พวกมันไปแล้ว !"
สร้อยสงสัยว่าทำไมรัชชานนท์ไม่พูดอะไร หันไปมองเห็นรัชชานนท์นิ่งเฉยยอมให้สร้อยปิดปากอยู่ สร้อยรีบดึงมือออกแทบไม่ทัน เขาแกล้งจับมือเธอรั้งไว้ชั่วครู่ก่อนจะยอมค่อยๆปล่อยมือไป รัชชานนท์มองสร้อยแล้วอดยิ้มไม่ได้
"ยิ้มเฮ็ดหยัง"
"บอกไม่ได้ ถ้าบอกเดี๋ยวได้ถูกเธอถีบแน่"
สร้อยเสียงดุ
"บอกมา !"
"ที่ยิ้มก็เพราะรู้สึกดีน่ะซิ อยู่ดีๆก็มีผู้หญิงเอามือมาให้จูบ"
สร้อยผลักรัชชานนท์หงายหลังออกไปแล้วรีบเดินหนีไป พลางถูมือเช็ดกับเสื้ออย่างขยะแขยง
จันทาเดินกระย่องกระแย่ง เพราะยังเจ็บแผลที่ถูกยิงอยู่ เธอออกมาจากห้องในเรือนแม่เฒ่า เดินมาหยิบเสื้อผ้าจากตะกร้าผ้าแล้วก็เห็นย่ามผ้าของตัวเองวางอยู่
แม่เฒ่าเดินมาหาจันทาก่อนที่จันทาจะเอื้อมไปหยิบเสื้อผ้าของตัวเองในย่ามผ้า
"แม่เฒ่า ! ไผเป็นผู้เอาย่ามผ้าของข้อยมาคืนให้"
"บักทับทิม คนของท่านไกสอน"
"เพิ่นกลับเข้าไปในป่ามื้อเหิง แล้วเพิ่นเจอไผบ่ ได้เจอพ่อของข้อยบ่ เกิดอะหยังขึ้นกับพ่อ บอกข้อยมาเถอะ แม่เฒ่า"
แม่เฒ่าเปลี่ยนเรื่อง
"นี่เสื้อผ้าที่ข้อยเตรียมไว้ให้เจ้า"
แม่เฒ่าหยิบเสื้อผ้าจากตะกร้าส่งให้จันทา
"เจ้าเป็นชาวเวียงพูคำกะต้องใส่เสื้อผ้าของเวียงพูคำ"
"ข้อยบ่ใช่คนเวียงพูคำ"
แม่เฒ่าหยิบสร้อยจี้พระจันทร์ส่งคืนให้จันทา
"ถ้าสร้อยเส้นนี้เป็นของเจ้า เจ้ากะต้องเป็นคนเวียงพูคำ สร้อยเส้นนี้เป็นฝีมือของคนเวียงพูคำ ข้อยบ่ฮู้ดอกว่า เจ้าเป็นลูกหลานไผ แต่คงสืบหาบ่ยากดอก สร้อยงามๆจังซี้ต้องเป็นฝีมือของช่างเก่าแก่ในวังหลวง"
"ข้อยบ่อยากฮู้ว่า ข้อยเป็นลูกหลานไผ ชีวิตนี้ข้อยมีพ่อเจ้ยผู้เดียวกะพอแล้ว แม่เฒ่าเก็บสร้อยนี้ไว้เถอะ ข้อยให้ ถือเป็นการขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้อยไว้"
แม่เฒ่าไม่ยอมรับสร้อยจี้พระจันทร์ แต่ยัดใส่คืนในมือจันทา
"บ่ได้ ! เจ้าต้องเก็บสร้อยเส้นนี้ไว้ แล้วสร้อยเส้นนี้จะพาเจ้ากลับไปที่ที่เจ้ามา พ่อที่เลี้ยงเจ้ามายังตั้งชื่อเจ้าว่า “จันทา” กะเพราะสร้อยพระจันทร์เส้นนี้ มื้อนี้เจ้ายังบ่ยอมรับ แต่มื้อหน้าเจ้าสิยอมรับเองว่า เจ้าเป็นคนเวียงพูคำ !"
จ่อยโผล่หัวมาจากด้านหลังแม่เฒ่าแล้วหดหัวกลับไป แม่เฒ่ารู้โดยไม่ต้องหันไปมอง
"มีอะหยัง บักจ่อย ! มีอะหยังกะขึ้นเฮือนมา"
จ่อยค่อยๆโผล่หัวขึ้นมาใหม่ที่หัวบันไดแล้วคลานตุ๊บตั๊บเข้ามา หัวเราะแหะๆแก้เกี้ยว
"เออ..ข้อยมาเบิ่งจันทา เออ หน้าตาสดใสดูดีกว่ามื้อวาน ข้อยเห็นแล้วกะซำบายใจ ข้อยไปล่ะ"
จ่อยจะผลุบหลบออกไป แต่ถูกแม่เฒ่าเรียกไว้ก่อน
"อย่าเพิ่งไป อยู่ดูแลจันทาที่นี่แหละ อีนกลูกบักบุญไสมันจับไข้ ข้อยว่าสิไปเบิ่งมันซักหน่อย"
แม่เฒ่าเดินออกไป คำสั่งแม่เฒ่าทำให้จ่อยไม่กล้าไปไหน ได้แต่ส่งยิ้มแห้งๆให้จันทา
จันทาถือเสื้อผ้าที่จะเปลี่ยนเดินมาที่หลังเรือนแม่เฒ่า จ่อยเดินทื่อๆตามมาอย่างไม่ละสายตา จันทาหยุดเดินกะทันหัน หันหน้ากลับมาจ้องจ่อยที่เบรกแทบไม่ทันจนเกือบชนจันทาเข้าให้
"อ้ายจ่อย ที่เจ้าหลบหน้าหลบตาข้อย เพราะกลัวว่าข้อยสิถามเฮื่องพ่อใช่บ่ เจ้าฮู้ว่า เกิดอะหยังกับพ่อข้อย แต่เจ้าบ่ยอมบอก ใช่บ่"
"เออ..คือ..อีสร้อยสั่งห้ามไว้ ข้อยกะเลยบอกบ่ได้"
จ่อยมั่วโยนเรื่องไปให้สร้อยก่อน
"อีสร้อยเป็นไผ เป็นหยังเจ้าต้องเชื่อฟังเพิ่น"
"อีสร้อยเป็นลูกสาวของพ่อใหญ่ พ่อใหญ่เป็นหัวหน้าของหมู่เฮา รองลงมาจากพ่อใหญ่ กะเป็นอีสร้อยนี่แหละ เออ..อีสร้อยสั่งห้ามไว้ ถ้าเจ้าอยากฮู้เฮื่องอะหยังกะให้ถามบักคุณชาย บ่ใช่เฮื่องของเฮาที่ไปยุ่งด้วย เจ้ากะใจเย็นๆรอบักคุณชายกลับมาล่ะกันนะ"
"คุณชายไปไส เจ้ากะตอบบ่ได้อีก เจ้าไปไสกะไป ข้อยบ่อยากเว้ากับเจ้าแล้ว ไปซิ ไป"
"แม่เฒ่าสั่งให้ข้อยคอยดูแลเจ้า"
"ข้อยบ่ต้องการคนดูแล !"
จ่อยมองจันทาอย่างรู้สึกคุ้นเคย อยากอยู่ใกล้ๆ อยากคอยดูแล
"ตอนนี้เจ้ากะบ่มีไผ ขอให้ข้อยดูแลเจ้าเถอะนะ จันทา"
จันทามองหน้าเซ่อๆซื่อๆของจ่อยแล้วใจอ่อนลง แต่ก็ยังปากแข็งใส่
"ข้อยบอกให้ไป !"
"โธ่ จันทา...อย่าเคียดข้อยเลย ! เจ้าสิให้ข้อยเฮ็ดอะหยัง ข้อยยอมทั้งนั้น"
"ยังบ่ไปอีก ข้อยบอกให้ไป !"
"โธ่...จันทา อย่าไล่ข้อยเลยเด้อ"
"เจ้าอยู่ แล้วข้อยสิอาบน้ำได้จังได๋ล่ะ หรือเจ้าสิอยู่เบิ่งข้อยอาบน้ำ"
จ่อยมองไปรอบๆเพิ่งรู้ว่า เดินกันมาถึงหลังเรือนที่มีโอ่งน้ำตั้งอยู่เป็นมุมอาบน้ำ จ่อยหัวเราะแหะๆ
"เออ...งั้นข้อย ข้อยไปรอบนเฮือนล่ะกันเน้อ เจ้าอาบน้ำได้ตามซำบายเลย! ข้อยไปล่ะๆ"
จ่อยรีบเผ่นออกไป จันทามองตามอย่างโกรธไม่ลงจริงๆ
รัชชานนท์กับสร้อยเดินกันมาอย่างเร่งรีบจนมาถึงใกล้ทางเข้าหมู่บ้าน ทั้งสองมองหน้ามองหลังแต่ไม่เห็นวี่แววของทหารเวียงพูคำอีกเลย
"แปลกแท้ ไอ้พวกทหารเวียงหายไปหมดแล้ว"
"ได้ยินเหมือนว่า คนของพวกมันถูกจับตัวไป ทางการของไทยอาจจะส่งคนมาก็ได้นะ ไม่งั้นพวกมันคงไม่รีบถอนกำลังคนออกไปเร็วอย่างนี้"
"งั้นกะฟ่าวไปกันเถอะ ก่อนที่พวกมันสิย้อนกลับมาอีก"
รัชชานนท์รั้งตัวสร้อยไว้ก่อนที่เธอรีบเร่งจะออกไป
"สร้อยฟ้า..เธอคิดว่า เธอกับชาวหมู่บ้านวลาหกจะหลบซ่อนในป่านี้ไปได้อีกนานแค่ไหน ถ้าจะให้ดีพวกเธอน่าจะย้ายออกไปอยู่ในเมือง ฉันเชื่อว่าทางการไทยคุ้มครองพวกเธอได้แน่ นอกเสียแต่ว่า พวกเธอไม่ใช่ชาวเวียงพูคำธรรมดาๆ"
สร้อยทำไม่รู้เรื่อง
"เจ้าเว้าอะหยัง ข้อยบ่เข้าใจ !"
"ฉันเชื่อว่า หมู่บ้านวลาหกไม่ใช่เป็นแค่หมู่บ้านของชาวเวียงพูคำที่ลี้ภัยมาเท่านั้น แต่เป็นที่ตั้งของกองกำลังกู้ชาติเวียงพูคำด้วย พ่อใหญ่ไม่ใช่ชาวบ้านธรรมดาๆ ดูท่าทางแล้วต้องเคยเป็นนายทหารแน่ๆ แล้วยังลุงไกสอนกับแฮรี่อีก ทั้งสองคนดูยังไงก็ไม่ใช่..."
สร้อยรีบพูดขัด
"เจ้าอย่าได้ยุ่งกับเฮื่องของเฮาเลย ขอให้ฮู้ไว้กะพอว่า พวกเฮากำลังเฮ็ดในสิ่งที่ถูกต้อง เพราะนี่คือภาระหน้าที่ของชาวเวียงพูคำทุกคนที่ต้องทวงแผ่นดินคืนกลับจากจอมเผด็จการที่กำลังทำลายบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง ถ้าเจ้าอยากช่วย เมื่อไปจากที่นี่แล้ว กะขอให้ลืมเรื่องหมู่บ้านวลาหกเสีย กะพอแล้ว !"
สร้อยรีบเดินออกไปอย่างเร็ว
"เดี๋ยวก่อน สร้อยฟ้า อย่าเพิ่งไป"
"อะหยังอีกล่ะ บ่ต้องเว้าโพด ตามมา"
สร้อยก้าวพรวดๆเข้าไปในทางเข้าหมู่บ้าน โดยลืมเรื่องด่านป้องกันทหารเวียงพูคำที่รัชชานนท์ทำไว้ก่อนหน้านี้ไปเลย สร้อยก้าวพรวดพราดเกี่ยวเอาเชือกเถาวัลย์ที่ขึงขวางไว้ระดับข้อเท้า ทันใดเชือกเถาวัลย์ดึงเหนี่ยวเอาไม้ไผ่แหลมที่ซ่อนอยู่พุ่งวื๊ดออกมา
รัชชานนท์กระโดดพุ่งตัวเข้ากอดสร้อยล้มลง ไม้ไผ่พุ่งเฉียดฉิวไม่โดนสร้อยแต่ถากไหล่ซ้ายของรัชชานนท์ไปแทน
"โอ๊ย !"
สร้อยตกใจ
"โดนเจ้าแม่นบ่ เป็นอะหยัง เจ็บบ่"
"เจ็บซิ ถามได้ !"
สร้อยมองแผลที่ไหล่ของรัชชานนท์ที่โดนถากจนเลือดซิบๆเท่านั้น รัชชานนท์ยังคงกอดประคองสร้อยไว้อยู่ สร้อยจ้องหน้าเขม็งใส่ แต่เขาก็ยังไม่ปล่อยมือ
"กะซ่ำนี้ยังบ่เจ็บเท่าไหร่ดอก ต้องจังซี้เถิงสิเจ็บแท้ !"
สร้อยกดมือไปที่แผลของรัชชานนท์อย่างหมั่นเขี้ยวมาก
"อ๊าก โอ๊ย"
สร้อยผลักรัชชานนท์ออกไปแล้วรีบผละออก เธอยืนท้าวสะเอวมองรัชชานนท์อย่างสะใจ
รัชชานนท์เดินกุมแผลเลือดไหลซิบที่ไหล่ซ้ายเข้ามาในหมู่บ้าน สร้อยที่เดินอยู่ข้างๆ ปรายตารัชชานนท์ แม้เป็นห่วงนิดๆแต่ทำไม่สนใจ รัชชานนท์แกล้งบ่นพึมพำ
"เจ็บๆ เจ็บจริงๆ ผู้หญิงอะไร ตัวเล็กนิดเดียว แต่มือหนักชะมัด นี่จะเอากันถึงตายเลยใช่มั้ยเนี่ย"
"บ่ต้องเว้าโพด แผลถากๆกะซำนี้บ่เถิงตายดอก เจ้าฟ่าวกลับไปเฮือนของเจ้าไป ข้อยสิฟ่าวไปหาพ่อใหญ่ ข้อยหายไปทั้งคืน เพิ่นคงสิห่วงข้อยแย่แล้ว"
สร้อยรีบแยกออกไปแล้วชะงักด้วยความตกใจ นึกอะไรขึ้นได้กลับไปกระชากคอเสื้อรัชชานนท์ให้กลับมา สร้อยจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
"เจ้า...เจ้าห้ามบอกไผว่า เจ้ากับข้อยค้างแรมอยู่ในป่าด้วยกัน เข้าใจบ่"
"ไม่เห็นจะต้องกลัวอะไรเลย เราสองคนไม่ได้ทำอะไรผิดนี่นา"
"เป็นหยังบ่ผิด ผู้บ่าวผู้สาวอยู่กันสองต่อสอง... เออน่า เฮ็ดตามที่ข้อยบอกล่ะกัน"
"แล้วเรากลับมาด้วยกันอย่างนี้ จะโกหกคนอื่นได้ยังไง"
"บ่มีไผเห็นนี่ว่า เฮากลับมาด้วยกัน"
"อีสร้อย !"
รัชชานนท์กับสร้อยหันไปมองเห็นจ่อยวิ่งเข้ามาด้วยความดีใจ
"อีสร้อย ! เจ้ากลับมาแล้ว ฮู้บ่ ทุกคนเป็นห่วงเจ้ามากแค่ไหน เร็วเข้า ฟ่าวไปหาพ่อใหญ่ไวๆ"
จ่อยหยุดชะงักเพิ่งเห็นว่ารัชชานนท์มากับสร้อยด้วย
"นี่เจ้าสองคน...เจ้าสองคนกลับมาด้วยกันได้จังได๋ อย่า..อย่าบอกนะว่า เจ้ากับบักคุณชายอยู่ด้วยกันทั้งคืน"
สร้อยกับรัชชานนท์มองหน้ากันอย่างทำหน้าไม่ถูก
เวลาต่อมา พ่อใหญ่มองจ้องสร้อยกับรัชชานนท์ด้วยสีหน้าเฉยเรียบจนดูไม่ออกว่าคิดอะไรอยู่
"บ่ ! บ่ใช่เป็นอย่างที่ทุกคนคึด! พ่อใหญ่ต้องฟังข้อยอธิบายก่อนเด้อ"
"ทุกอย่างเป็นความผิดของผมเองครับ พ่อใหญ่ ถ้าเมื่อวานผมไม่เดินเซ่อซ่าตกลงไปในหลุมดักสัตว์ สร้อยก็คงไม่ต้องกลับไปช่วยผม"
"เจ้าบ่ต้องเว้า ข้อยเว้าเอง ข้อยฟ่าวไปที่หลุมดักสัตว์ แต่ว่าคุณชายกะหายตัวไปแล้ว เฮาเลยบ่ได้เจอกัน แล้วข้อยกะหลบพวกทหารเวียงอยู่ในป่าทั้งคืน พอเช้ากะรีบกลับมาหมู่บ้าน เฮื่องกะมีแค่นี้แหละ"
ไกสอนกับแฮรี่นั่งอยู่ประจำตำแหน่ง ต่างหันมองหน้ากันอย่างไม่ค่อยเชื่อนัก
"เจ้าพูดยังกับว่า เจ้าบ่ได้เจอคุณชายจนกระทั่งมื้อเช้านี้ แม่นบ่" ไกสอนถาม
สร้อยตบเข่าดังฉาด
"แม่นแล้วๆ เป็นอย่างที่ลุงไกสอนว่านั่นแหละ"
"แล้วทำไมถึงกลับมาพร้อมกันได้ล่ะ เจ้าสร้อย ! เจ้าเล่าข้ามอะไรไปหรือเปล่า" แฮรี่ถาม "เฮาบ่ได้กลับมาพร้อมกัน บ่เชื่อกะถามบักจ่อยได้"
ทุกคนหันไปมองจ่อยที่ทำหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่ สร้อยถลึงตาใส่อย่างบังคับ
"บักจ่อย ! บอกทุกคนไปซิ ว่า เจ้าเห็นข้อยกลับมาก่อน แล้วคุณชายค่อยตามมาทีหลัง"
"ให้บักจ่อยมันเว้าเอง ว่าจังได๋ล่ะ บักจ่อย เจ้าเห็นอะหยัง กะเว้ามา" พ่อใหญ่บอกจ่อยหลบตาวูบบอก
"อีสร้อยว่าจังได๋ กะเป็นจังสั้นแหละ พ่อใหญ่"
สร้อยรีบตัดบท
"ข้อยกับคุณชายกะกลับมาอย่างปลอดภัยแล้ว เป็นอันหมดเฮื่องแล้วเด้อ ข้อยขอไปกินข้าวก่อนล่ะ หิวคักแล้ว"
"เดี๋ยว ! อย่าเพิ่งไป เฮายังมีเฮื่องต้องเว้ากัน" พ่อใหญ่ว่าแล้วหันมาบอกกับรัชชานนท์ "ผมต้องขอโทษแทนเจ้าสร้อยมันด้วย ที่ทำให้คุณชายต้องลำบาก บักจ่อย !"
จ่อยรีบขยับเข้ามาใกล้เพื่อรอรับคำสั่ง
"พาคุณชายไปทำแผลที่เฮือนแม่เฒ่า ไป"
รัชชานนท์มองสร้อยอย่างเป็นห่วง
"ไปเถอะครับ คุณชาย อยู่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกครับ ยังไงคนทำผิดก็ต้องถูกลงโทษ !"
สร้อยหน้าจ๋อยเจื่อนทันทีเมื่อรู้ว่า วันนี้ไม่รอดแน่! จ่อยดึงตัวรัชชานนท์ออกไป แต่เขาไม่วายหันมามองสร้อยอย่างเป็นห่วง
3.4-3
จ่อยกึ่งคุมกึ่งพารัชชานนท์มาที่เรือนแม่เฒ่า
"ฉันไม่เป็นไรมากหรอก แผลแค่ถากๆเท่านั้น ฉันขอกลับไปดูสร้อยดีกว่า ไม่รู้จะถูกพ่อใหญ่ลงโทษอะไรบ้าง"
"บ่ได้ พ่อใหญ่สั่งให้เจ้ามาทำแผล เจ้ากะต้องมา ไผกะขัดคำสั่งพ่อใหญ่ บ่ได้"
"แล้วถ้ามีคนขัดคำสั่งพ่อใหญ่ จะเกิดอะไรขึ้นเหรอ พ่อใหญ่จะสั่งขังหรือว่าเฆี่ยนตีหรือยังไง"
"เจ้าบ่ต้องห่วงอีสร้อยดอก พ่อใหญ่เป็นคนที่ยุติธรรม ไผทำผิดกะลงโทษ ไปตามที่ผิด ถ้าเจ้าสิห่วง กะห่วงแม่หญิงของเจ้าดีกว่า"
"แม่หญิงของฉัน จันทาน่ะเหรอ จันทาเป็นยังไงบ้าง รู้สึกตัวแล้วหรือยัง"
"ฮู้สึกตัวแล้วซิ ถ้าบ่จังสั้นสิยืนรอเจ้าอยู่โพ้นได้จังได๋ล่ะ"
รัชชานนท์หันขวับมองไปที่บนเรือนของแม่เฒ่า จันทายืนมองมาที่รัชชานนท์นิ่งอึ้งตื้นตันที่ได้เห็นหน้าเขาอีกครั้ง
"จันทา"
รัชชานนท์รีบวิ่งเข้าไปหาจันทาแล้วรวบมือจันทากุมไว้
"คุณชาย"
จ่อยมองรัชชานนท์จับมือจันทาอย่างรู้สึกคันๆที่หัวใจอย่างบอกไม่ถูก
"แล้วข้อยกะกลายเป็นหมาหัวเน่าไป"
จ่อยเดินหน้าจ๋อยๆออกไป รัชชานนท์จับมือจันทาไว้อย่างดีใจ
พ่อใหญ่นั่งนิ่งมองสร้อยคิดหนทางลงโทษลูกสาวตัวดีอยู่
"ก่อนที่พ่อสิลงโทษเจ้า พ่ออยากฮู้ว่า เจ้าฮู้ตัวบ่ว่า เจ้าเฮ็ดผิดอะหยัง"
สร้อยเสียงอ่อยลง
"ฮู้ ข้อยขัดคำสั่งพ่อใหญ่ พ่อใหญ่ห้ามข้อยออกไปจากหมู่บ้าน แต่ข้อยกะยังดื้อดึงออกไป แต่ถ้าข้อยบ่ออกไป ป่านนี้คุณชายเพิ่นกะคงตายไปแล้ว ความดีข้อยกะยังมีอยู่นะ พ่อใหญ่"
"อ้าว ! เจ้าบอกว่า เจ้าบ่ได้เจอคุณชายเลย แล้วเจ้าสิไปช่วยคุณชายได้จังได๋ล่ะ" ไกสอนว่า
"เออ..ใช่ บ่เจอ ข้อยบ่ได้เจอคุณชายมื้อคืน แต่ข้อยเจอคุณชายมื้อเช้าที่ทางเข้าหมู่บ้าน ถ้าบ่ใช่ข้อย คุณชายกะหาทางกลับเข้าหมู่บ้านบ่ถูก"
"เรื่องวุ่นวายทั้งหมดจะไม่เกิดขึ้นหรอก ถ้าเจ้าไม่หลอกให้คุณชายไปติดอยู่ในป่าตั้งแต่แรก เจ้าคิดอะไรของเจ้าเหรอ เจ้าสร้อย" แฮรี่ว่า
"กะคุณชายเป็นคนในคำทำนาย เป็นคนที่สิเฮ็ดให้หมู่บ้านของเฮาต้องล่มสลาย ข้อยกะต้องกำจัดเพิ่นออกไป"
พ่อใหญ่บอก
"บ่ใช่หน้าที่ของเจ้า ! พ่อมีหน้าที่ดูแลคุ้มครองหมู่บ้านวลาหก บ่ใช่เจ้า เจ้าขัดคำสั่งของพ่อจักเทื้อแล้ว เทื้อนี้พ่อบ่ลงโทษเจ้าคงบ่ได้แล้ว เจ้าสร้อย"
พ่อใหญ่มองหน้าเขม็งจนสร้อยต้องหลบตา หน้าตาเริ่มสลดรับผิดแต่โดยดี
อ่านต่อตอนที่ 4