xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 4

ไม่นานต่อมา พ่อใหญ่ถือไม้ค้ำยันพยุงตัว เดินออกมาจากภายในเรือนมาที่ชานบ้าน ไกสอนกับแฮรี่เดินตามหลังออกมา

"พ่อใหญ่คึดว่าสิขังอีสร้อยไว้โดนซำได๋ อีสร้อยซนอย่างกับวอก บ่เคยอยู่สุข ขังแค่มื้อเดียวกะอาจสิขาดใจตายได้" ไกสอนว่า
"นั่นน่ะซิครับ สั่งขังเจ็ดวัน สำหรับเจ้าสร้อยคงเหมือนถูกขังเจ็ดปีเลยนะครับ"
"เฮาอยากให้เจ้าสร้อยมีเวลาได้สำนึกเถิ่งควมผิดที่ได้เฮ็ดไป เจ้าสร้อยใจฮ้อนเอาแต่ใจจังซี้ บ่ฮู้ว่า ต่อไปสิเฮ็ดงานใหญ่ได้จังได๋"
"พ่อใหญ่อย่าลืมว่า เฮายังมีดวงใจของชาวเวียงพูคำ ที่ยังเป็นความหวังของหมู่เฮาอยู่"
"แต่ก็เป็นความหวังที่เลือนลางเต็มทีนะ ท่านไกสอน จนป่านนี้เรายังไม่รู้เลยว่า ดวงใจของชาวเวียงพูคำหนีหายไปอยู่ที่ไหน ตอนนี้เราคงได้แต่ฝากความหวังไว้ที่เจ้าสร้อย เรื่องที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ ทำให้ผมเริ่มตีความหมายของคำนายได้กระจ่างขึ้น"
"มีอะหยังต้องตีความอีก เฮากะแน่ใจแล้วว่า คุณชายรัชชานนท์เป็นคนในคำทำนาย เป็นมงกุฎแห่งเทพ"
"ก็คำทำนายที่ว่า “เมื่อถึงเวลานั้น วลาหกจะเสียแก้วตาไป” ผมเกรงว่าเราอาจจะเสียแก้วตาให้กับมงกุฎแห่งเทพนะครับ พ่อใหญ่ ผมแน่ใจว่า เจ้าสร้อยปิดบังความจริงอะไรบางอย่างอยู่ ถ้าหากว่าเจ้าสร้อยกับคุณชาย"
พ่อใหญ่บอก
"บ่ต้องเว้าต่อแล้ว แฮรี่ บางเฮื่องเฮาบ่ฮู้บ่เห็นสิดีกว่า แม้ว่าคุณชายสิเป็นคนในทำนายจริงๆ เฮากะยังบ่พร้อมที่สิเสียลูกสาวไป!"
พ่อใหญ่นิ่งขรึมจนแฮรี่ไม่กล้าพูดอะไรต่ออีก

แม้พ่อใหญ่จะพอเดาได้ว่า สร้อยกับรัชชานนท์หายไปในป่าด้วยกันทั้งคืน ก็ไม่คิดจะต่อความให้เป็นเรื่องไปมากกว่านี้

สร้อยนั่งจับเจ่าอยู่ที่มุมห้องแล้วมองไปที่หนังสือเรียนกองโตพร้อมสมุดที่เปิดกางไว้พร้อมปากกา สร้อยถอนใจเฮือกขยับไปเปิดหนังสือประวัติศาสตร์เล่มโต สร้อยเขียนหนังสือไปได้ไม่กี่ตัวก็ปิดสมุดดังปังอย่างเบื่อหน่าย มองไปรอบๆห้องที่กักขังเธอไว้อยู่
“เจ็ดมื้อ! ข้อยต้องท่องหนังสืออย่างนี้เจ็ดมื้อ ! ตายคักๆ"
สร้อยล้มลงนอนแผ่หลากลางห้องแล้วเหลือบตามองไปที่ขวดยาต่างๆ ในล่วมยา สร้อยรีบลุกขึ้นมอง นึกถึงรัชชานนท์ที่ได้รับบาดเจ็บจากโดนไม้ไผ่ถากที่ไหล่

รัชชานนท์กับจันทาเดินขึ้นมาบนเรือน รัชชานนท์ชวนคุยเรื่องโน้นเรื่องนี้มาตลอดทางเพื่อถ่วงเวลาที่จะพูดถึงเรื่องพรานเจ้ย
"ฉันไม่อยากเชื่อเลยว่า จันทาจะหายเร็วอย่างนี้ จันทารู้มั้ยว่า คนในหมู่บ้านนี้ยกย่องแม่เฒ่าว่าเป็นหมอเทวดา แล้วจันทารู้หรือยังว่าหมู่บ้านนี้ชื่ออะไร ชื่อหมู่บ้านวลาหก แปลว่า หมอก จันทาแข็งแรงกว่านี้เมื่อไหร่ ฉันจะพาจันทาเที่ยวให้ทั่วหมู่บ้านเลยนะ"
"คุณชายจ๊ะ"
รัชชานนท์ชะงักหันมามองจันทาที่มองมาอย่างขอร้อง
"จันทาไม่อยากไปเที่ยวไหน จันทาอยากรู้เรื่องพ่อเจ้ย ตอนนี้พ่อเจ้ยของจันทาอยู่ที่ไหน พ่อเจ้ยบาดเจ็บอยู่ใช่มั้ยจ๊ะ พ่อเจ็บมากเลยเหรอ ถึงไม่มีใครยอมบอกอะไรจันทาเลย"
รัชชานนท์รวบมือจันทาเข้ามา กุมมือไว้แน่นเพื่อปลอบใจ
"จันทา"
"พ่อคงจะบาดเจ็บสาหัสก็เลยมาหาจันทาไม่ได้ แต่แม่เฒ่าจะต้องรักษาพ่อได้ใช่มั้ย เหมือนกับที่แม่เฒ่ารักษาคุณชาย รักษาจันทา พ่อจะต้องหายดี แล้วเราก็จะได้กลับบ้านด้วยกัน..ใช่มั้ยจ๊ะ คุณชาย"
ลึกๆ แล้วจันทาก็คิดว่า พ่อต้องมีอันเป็นไปแน่ แต่ก็ยังพยายามหลอกตัวเองอยู่
"จันทา ฉันขอโทษ ฉันขอโทษจริงๆ มันเป็นความผิดของฉันเอง"
จันทาเริ่มกลัวความจริง
"ถ้าคุณชายยังไม่อยากบอกจันทาตอนนี้ ก็ยังไม่ต้องบอกก็ได้จ้ะ"
สร้อยถือย่ามใส่ยาค่อยๆ ย่องขึ้นบันไดมา
"พรานเจ้ยตายแล้ว จันทา พรานเจ้ยถูกทหารเวียงยิงตาย” รัชชานนท์บอก
"พ่อ"
จันทาสะเทือนใจอย่างรุนแรง นิ่งอึ้งเหมือนโลกถล่มทลาย ก่อนที่น้ำตาจะไหลพรากๆ ร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน รัชชานนท์ต้องดึงรั้งร่างแบบบางของเธอเข้ามาใกล้ให้ซบลงที่ไหล่ของตน รัชชานนท์โอบกอดจันทาไว้หลวมๆ ปล่อยให้จันทาร้องไห้ต่อไป

สร้อยยืนอึ้ง นิ่งงันไป ขณะมองรัชชานนท์กอดปลอบใจจันทาอยู่ ด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบอย่างที่เธอก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน!

สร้อยเดินอย่างเซื่องซึมลงมาจากเรือนแม่เฒ่าอย่างช้าๆ จ่อยแบกกองฟืนเข้ามาวางกองไว้ที่ใต้ถุนเรือน พอเห็นสร้อยเข้าก็ชะงัก

“อีสร้อย! มาได้จังได๋ พ่อใหญ่บ่ได้ลงโทษเจ้าดอกหรือ โชคดีแท้น้อที่เทื้อนี้ พ่อใหญ่บ่ได้เอาเฮื่องเจ้า”
“ไผว่าล่ะ พ่อใหญ่สั่งขังข้อยเจ็ดมื้อเจ็ดคืน ห้ามก้าวออกจากเฮือนแม้แต่ก้าวเดียว ! แล้วยังสั่งให้ข้อยเฮียนหนังสือกับแฮรี่ทุกมื้อ ข้อยบ่ตายมื้อนี้ แล้วสิไปตายมื้อเหิง”
จ่อยมองสร้อยขึ้นๆลงๆอย่างเป็นงง
“อ้าวๆๆ พ่อใหญ่สั่งขังเจ้า แล้วเจ้ามานี่ได้จังได๋ อีสร้อย ! นี่เจ้าหนีพ่อใหญ่มาใช่บ่ หาเฮื่องอีกแล้วแม่นบ่ ไปๆ กลับไปเดี๋ยวนี้เลย ไป”
จ่อยรีบดึงตัวสร้อยออกไปแล้วนึกได้ จ่อยชะงักหันมาจ้องหน้าสร้อยอย่างสงสัย
“แล้วเจ้ามาเฮ็ดหยัง”
สร้อยอึกอัก
“ข้อย...ข้อยเอายามาให้บักคุณชาย”
“เอามาเฮ็ดหยัง แม่เฒ่ากะมียาอยู่แล้ว นี่เจ้าห่วงบักคุณชายจนกล้าขัดคำสั่งพ่อใหญ่เชียวเรอะ นี่มันจังได๋ละเนี่ย”
“คุณชายเจ็บตัวเพราะข้อย ข้อยกะต้องแสดงน้ำใจ เลยเอายามาให้ มันกะซำนั้น คือเพิ่นได้ยาดีแล้ว ยาของข้อยบ่มีประโยชน์แล้ว ข้อยกลับเฮือนล่ะ บ่ต้องบอกไผล่ะว่า ข้อยมา”
สร้อยผละออกไปอย่างนึกเสียใจที่มาหารัชชานนท์แล้วต้องมาเจอภาพบาดตา
“เซาเซา อีสร้อย รอข้อยด้วย”
จ่อยรีบสาวเท้าตามสร้อยไปอย่างมีเรื่องคาใจ

บนเรือนแม่เฒ่า รัชชานนท์โอบไหล่จันทาด้วยความสงสารจับใจ เธอนั่งนิ่งหลังจากร้องไห้จนไม่มีน้ำตาจะไหล ดวงตาเหม่อลอยเหมือนคนเคว้งคว้างไร้ที่พึ่ง ได้แต่พิงตัวรัชชานนท์อย่างหมดแรง
“จันทา..ถึงพ่อเจ้ยของเธอจะไม่อยู่แล้ว แต่เธอยังมีฉันนะ”
“คุณชาย”
จันทาเงยหน้าขึ้นมองรัชชานนท์อย่างซึ้งใจ แล้วเพิ่งรู้สึกตัวว่าใกล้ชิดรัชชานนท์เหลือเกิน เธอขยับตัวห่างออกมา แต่รัชชานนท์คว้ามือจันทาไว้เพื่อพูดด้วยอย่างจริงจัง
“ฉันพูดจริงๆ ฉันจะดูแลเธอแทนพรานเจ้ยเอง”
“คุณชายไม่ต้องมารับผิดชอบจันทาหรอก เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่เป็นความผิดของคุณชาย มันเป็นเวรเป็นกรรมของจันทาเอง”
“แล้วเธอจะทำยังไงต่อไป เธอมีญาติพี่น้องที่ไหนที่พอจะพึ่งพาได้งั้นหรือ จันทา”
จันทาแตะสร้อยจี้พระจันทร์ที่อยู่ใต้เสื้ออย่างอดไม่ได้ที่จะนึกถึงพ่อแม่ที่แท้จริง
“ไม่มี แต่ไม่เป็นไร ถึงไม่มีพ่อแล้ว จันทาก็อยู่ได้”
“เธอเป็นผู้หญิง เธอจะใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวได้ยังไง แล้วที่สำคัญเธอจะไปอยู่ที่ไหน ยังไงเธอก็กลับไปที่ร้านเหล้าของเธอไม่ได้แล้ว ไปอยู่กับฉันเถอะ จันทา ฉันจะคุ้มครองเธอเอง”
“แล้วคุณชายจะให้จันทาไปอยู่ด้วยในฐานะอะไรคะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันจะไม่ทำให้จันทาต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ฉันจะจัดการเรื่องของจันทาให้ถูกต้อง พรานเจ้ยฝากจันทาไว้กับฉันแล้ว ฉันจะดูแลจันทาอย่างดีที่สุด ฉันให้สัญญา”
จันทานิ่งอึ้งตีความเองว่า รัชชานนท์จะรับเธอเป็นเมีย เข้าใจไปคนละทางกับรัชชานนท์ที่ตั้งใจจะรับจันทาเป็นน้องสาวบุญธรรมเพื่อรับผิดชอบที่ทำให้จันทาต้องกำพร้าพ่อ
รัชชานนท์สบายใจที่จัดการปัญหาคาใจได้ ไม่ได้รู้เลยว่าจันทาคิดเตลิดไปไกลแล้ว

สร้อยจ้ำเดินมาอย่างรวดเร็วมาถึงหลังเรือนพ่อใหญ่ มีจ่อยเดินไล่ตามมา
“อีสร้อยๆ เซาๆ ! อย่าฟ่าวไป”
จ่อยวิ่งไปขวางทางพร้อมกางมือห้ามไม่ให้สร้อยไป
“มีอะหยัง ! ข้อยต้องฟ่าวขึ้นเฮือน เดี๋ยวพ่อใหญ่สิจับได้ว่าข้อยหนีมา”
“เกิดอะหยังขึ้นในป่ามื้อคืน !”
สร้อยนิ่งอึ้งไปทันที ภาพที่เธออยู่กับรัชชานนท์สองต่อสองผ่านวูบเข้ามาในหัวทันที ภาพที่รัชชานนท์กอดสร้อยปลอบใจจากฝันร้าย แต่เธอยังปากแข็ง
“บ่ ! บ่มีอะหยังเกิดขึ้น”
“แล้วเป็นหยังเจ้าเถิงไปดีกับบักคุณชาย เจ้าเลิกคึดไล่เพิ่นออกไปจากหมู่บ้านแล้วใช่บ่ มีอะหยังเกิดขึ้น เจ้าเถิงได้เปลี่ยนไป”
“บอกแล้วว่า บ่มีอะหยัง เลิกถามบ้าๆได้แล้ว เจ้ากะเห็นแล้วว่า คู่ฮักของเพิ่นกำลังหายดี อีกบ่โดนกะสิไปจากที่นี่แล้ว ข้อยสิไปไล่เพิ่นเฮ็ดหยัง”
“แล้วเจ้าไปเจอบักคุณชายตอนไหน ถึงได้กลับมาด้วยกันได้ เจ้า..เจ้ากับคุณชายคงบ่ได้อยู่ด้วยกันทั้งคืนใช่บ่”
สร้อยรีบกลบเกลื่อน
“ป๊าดโธ่เว้ย ถามอะหยังกะบ่ฮู้ เฮื่องบ่เป็นเฮื่องแท้ๆ ฟ่าวๆ ช่วยข้อยปีนกลับขึ้นเฮือนเร็วเข้า ก้มลง !”
จ่อยจำใจก้มตัวลงอย่างรู้งาน สร้อยรีบขึ้นเหยียบหลังจ่อย จากนั้นจ่อยๆค่อยลุกขึ้นยืน สร้อยใช้จ่อยเป็นตัวช่วยส่งขึ้นไปเกาะขอบหน้าต่างไว้ได้ สร้อยถีบหลังจ่อยจนหลังแอ่นเพื่อเป็นแรงส่งให้จับขอบหน้าต่างได้มั่นคงขึ้น จ่อยล้มลงหงายเงิบไป
สร้อยเกาะขอบหน้าต่างได้เหนียวแน่นแล้วเหนี่ยวตัวเองพุ่งข้ามเข้ามาในห้องจนได้
สร้อยทิ้งตัวลงพื้นเกือบหน้าทิ่ม แล้วรีบลุกขึ้นโผไปชะโงกที่หน้าต่างโบกมือให้จ่อย
“ขอบใจนะ ไอ้จ่อย”
จ่อยกำลังคลำตูดป้อยๆด้วยความเจ็บ ยกมือโบกให้อย่างแกนๆ
“บ่เป็นหยัง แล้วอย่าหนีออกมาอีกล่ะ รับปากข้อยซิ”
สร้อยดื้อมาก
“บ่ ! ฟ่าวไปๆ เจอกันมื้ออื่น”
สร้อยถอยออกมาจากหน้าต่างอย่างไม่สนใจจ่อยอีก
“บ่มีไผขังอีสร้อยได้ดอก สั่งขังได้ ข้อยกะหนีได้ สิต้องไปย่านอะหยัง”
“ เจ้าบ่ย่านอะหยังอีหลีบ่”
สร้อยสะดุ้งเฮือกสุดตัวหันมาเห็นพ่อใหญ่นั่งรออยู่ที่มุมห้องอยู่แล้ว
“แม้แต่พ่อ...เจ้ากะบ่ย่าน ใช่บ่”
“พ่อใหญ่ ! ข้อยบ่ได้ตั้งใจขัดคำสั่งพ่อใหญ่เด้อ ข้อย..ข้อยจำเป็นที่ต้องออกไปอีหลี ข้อยไป..ไป”
“คำสั่งของพ่อบ่ศักดิ์สิทธิ์ คำสอนของพ่อกะบ่มีความหมาย เจ้าโตแล้ว คึดเอง ตัดสินใจได้เอง พ่อสิบ่บังคับอะหยังเจ้าอีก เจ้าอยากเฮ็ดอะหยังกะเฮ็ดได้ตามใจเจ้า”
“พ่อใหญ่ !”
พ่อใหญ่ค่อยๆ ลุกขึ้นหยิบไม้ค้ำยันพยุงตัวเดินออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย

สร้อยยืนหนาวเย็นยะเยือกตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่พักเดียวก็รีบเร่งตามพ่อใหญ่ออกไป

พ่อใหญ่ใช้ไม้ค้ำพยุงตัวเองเดินลงมาถึงหน้าเรือน สร้อยวิ่งพรวดพราดกระโดดข้ามบันไดมาหลายขั้นจนมาทันขวางทางพ่อใหญ่ไว้ได้

“พ่อใหญ่ ! ข้อยผิดไปแล้ว พ่อใหญ่ยกโทษให้ข้อยด้วย ข้อยให้คำมั่นกับพ่อใหญ่ได้เลย ต่อไปข้อยสิเซื่อฟังพ่อใหญ่ทุกอย่าง”
“หลีกไป”
“ข้อยต้องเฮ็ดหยังพ่อใหญเถิงยกโทษให้ข้อย พ่อใหญ่สิขังข้อยกี่มื้อกี่คืนกะได้ สิขังเป็นเดือนกะได้ ข้อยบ่หนีอีก ข้อยฮู้ตัวแล้วว่า ข้อยเฮ็ดโตบ่ดี พ่อใหญ่สิดุด่าว่าข้อยจังได๋กะได้ อย่าได้ย่างหนีข้อยจังซี้”
“พ่อบ่ได้ย่างหนีเจ้า พ่อให้อิสระเจ้าต่างหาก ปากเจ้าเว้าว่า เจ้าฟังพ่อ แต่ใจเจ้าบ่เคยเซื่อ ถ้าเจ้าฟังพ่ออีหลี เจ้ากะบ่ต้องให้พ่อลงโทษเจ้าดอก”
“ข้อยฮู้ ข้อยเฮ็ดผิดมาหลายเทื้อหลายครา แต่กะเพราะข้อยอยากซ่วยงานพ่อใหญ่ ไอ้พวกทหารเวียงเข้ามาใกล้หมู่บ้านเฮาทุกทีๆ แล้วข้อยสิอยู่เฉยๆได้จังได๋ ข้อยกะต้องออกไป ข้อยเป็นลูกสาวพ่อใหญ่ ข้อยมีหน้าที่...”
“บ่ใช่ ! เจ้ามีหน้าที่เดียวคือ ฮักษาชีวิตเจ้าเอาไว้ ! เอาเถอะ นี่คงเถิงเวลาที่พ่อควรปล่อยเจ้าแล้ว เจ้าสร้อย”
พ่อใหญ่ขยับเดินออกไปอย่างไม่สนใจลูกสาวแล้วจริงๆ
“พ่อใหญ่ ! พ่อใหญ่ยกโทษให้ข้อยอีหลีบ่ พ่อใหญ่”
พ่อใหญ่ยังคงเดินต่อไปเรื่อยๆ, สร้อยทรุดตัวลงคุกเข่าที่พื้น
“ถ้าพ่อใหญ่บ่ยอมยกโทษให้ข้อย ข้อยสิคุกเข่าอยู่หม่องนี้”
พ่อใหญ่ชะงักนิดเดียวแล้วก้าวเดินต่อไป
“ข้อยบ่ลุกขึ้นจนกว่าพ่อใหญ่สิยกโทษให้”
พ่อใหญ่เดินห่างออกไปจากสร้อยไปเรื่อยๆ เธอคุกเข่าอยู่ด้วยสีหน้ามุ่งมั่น

พ่อใหญ่ใช้ไม้ค้ำยันพยุงตัวเดินมาตามทางในหมู่บ้าน เห็นถึงความสงบสุขของคนในหมู่บ้าน ชาวบ้านตำข้าว เก็บปลาแห้งเนื้อแห้งที่ตากอยู่ เด็กเล็กวิ่งเล่นกันเกรียวกราว กลุ่มผู้ใหญ่โขกหมากรุกกัน เด็กเล่นกุบกับ (เดินบนกะลามะพร้าว) บางคนเล่นตีคลี
พ่อใหญ่เดินผ่านไปที่ไหน ผู้คนต่างยกมือไหว้แสดงความเคารพยำเกรงยิ่ง บางคนวิ่งเอาตะกร้าผัก ปลาแห้งพวงใหญ่มาส่งมอบให้ พ่อใหญ่ได้แต่ยกมือห้ามไม่รับของใดๆจากชาวบ้าน
พ่อใหญ่กวาดตามองคนในหมู่บ้านอย่างหนักใจเมื่อนึกถึงเวลาที่จะต้องหนีอีกครั้งแล้ว
พ่อใหญ่มองไปเห็นทับทิมกับชายสองสามคนกำลังลากเกวียนอยู่ไกลๆ ซึ่งเป็นเกวียนที่บรรทุกเสบียงไว้เต็มออกไปท้ายหมู่บ้าน
แม่เฒ่าถือล่วมยาเดินออกมาจากเรือนของชาวบ้านหลังหนึ่ง แม่เฒ่าเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ พ่อใหญ่แต่เยื้องหลัง
“มงกุฎแห่งเทพกะมาฮอดหมู่บ้านเฮาแล้ว เฮาสิต้องรออะหยังอีก พ่อใหญ่บ่มีห่วงมื้อใด๋ กะมื้อนั้นแหละ”
พ่อใหญ่นิ่งคิดยังตีความไม่ทัน
“ห่วงของผู้เป็นพ่อแม่สิมีอะหยังกันเล่า”
“เจ้าสร้อย จังสั้นกะบ่มีมื้อใดที่เฮาสิพาคนของเฮาออกไปจากที่นี่ได้ เฮาสิหมดห่วงลูก กะต่อเมื่อเฮาหมดลมหายใจเท่านั้น”
“บ่ต้องรอถึงมื้อนั้นดอก พ่อใหญ่ มีคนผู้หนึ่งที่พ่อใหญ่ฝากแก้วตาให้ดูแลแทนได้”
“ไผ”
“แล้วพ่อใหญ่สิฮู้เอง มื้อใด๋ที่พ่อใหญ่เฮ็ดใจยกแก้วตาให้เพิ่นได้ มื้อนั้นกะเป็นฤกษ์งามยามดีที่พ่อใหญ่สิพาคนในหมู่บ้านอพยพไปจากที่นี่”
แม่เฒ่าค่อยๆ เดินออกไป ปล่อยให้พ่อใหญ่คิดหนักหาทางออก

ผ่านเวลามา ชาวบ้าน 6-7 คนเดินผ่านมาเห็นสีหน้าจริงจังของสร้อยก็ได้แต่ถอยออกไปื ชาวบ้านผลัดกันเอาข้าวเอาน้ำมาวางไว้ให้ แต่สร้อยยังคุกเข่านิ่งไม่ยอมแตะ พ่อใหญ่ยืนแอบดูอยู่ไกลๆ อย่างคิดตริตรองว่า จะทำยังไงกับลูกสาวคนนี้ดี
จ่อยวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาสร้อย
“อีสร้อย !”
จ่อยมองสร้อยอย่างไม่รู้จะช่วยยังไงได้
พ่อใหญ่ค่อยๆขยับเดินออกไปอย่างช้าๆ เผยให้เห็นถึงหลังของพ่อใหญ่ที่งุ้มลงเหมือนมีภาระหนักอึ้งอยู่บนบ่า สร้อยคุกเข่านิ่งจนเริ่มเหนื่อยล้าแต่ยังอดทนได้อยู่

บริเวณหน่วย ตชด.ย่อยในจังหวัด หนองคาย คุณชายรณพีร์กับชัชวีร์เดินคุยมากับตชด. ยศร.ต.อ. คนที่ 1 ขณะที่ตชด. คนที่ 2 คุมตัวทหารเวียงพูคำสองคนไปรวมกับกลุ่มทหารเวียงอีกกลุ่มใหญ่ที่ทางการจับได้
“หมวดตัดสินใจถูกแล้วล่ะที่ควบคุมตัวทหารเวียงพูคำมาที่นี่ เรากำลังรวบรวมตัวทหารเวียงที่ก่อปัญหาทั้งหมดไปที่กองร้อยฯวันนี้พอดี”
“แล้วยังไงต่อครับ ผู้กอง ให้ผู้บังคับบัญชาทางโน้นมารับตัวลูกน้องกลับไป อีกวันสองวันเจ้าพวกนี้ก็ข้ามกลับมาก่อเรื่องอีก อย่างนี้ปัญหาก็ไม่จบไม่สิ้นน่ะซิครับ ผมว่า เราน่าจะจับพวกมันดำเนินคดี เอาให้เรื่องถึงศาลเลย” รณพีร์บอก
“เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ถ้าขืนทางเราทำเป็นเรื่องใหญ่ มันจะเกิดปัญหาตามมาอีกไม่รู้เท่าไหร่ เราก็ได้ทำหน้าที่ของเราอย่างดีที่สุดแล้ว หลังจากนี้ไปก็ขึ้นอยู่กับทางผู้ใหญ่แล้ว” ชัชวีร์บอก
ตชด.1บอก
“ทางเราตระหนักถึงปัญหานี้อยู่ ต่อจากนี้ทางด่านตรวจคนเข้าเมืองจะเข้มงวดมากขึ้น ทหารเวียงพูคำจะข้ามแดนมาไม่ได้ง่ายๆเหมือนก่อนอย่างแน่นอน หมวดไปเที่ยวต่อได้อย่างสบายใจเลย รับรองไม่เจอทหารเวียงอีกแน่ ผมรับรองได้ !”
ตชด. คนที่ 1 ตบไหล่รณพีร์อย่างสัพยอกแล้วเดินออก รณพีร์กับชัชวีร์รีบยกมือไหว้ลา รณพีร์มองนาฬิกาข้อมือแล้วก็ต้องเซ็งในอารมณ์
“นี่ก็เย็นมากแล้ว จะกลับเข้าไปในป่าตอนนี้ก็คงไม่ได้แล้ว” รณพีร์บอก
“กลับไปที่บ้านพักก่อน แล้วเราเดี๋ยวค่อยวางแผนกันใหม่” ชัชวีร์ว่า
บุญโฮมเร่งรีบเดินเข้ามาหาทั้งสอง
“อ้าว ! ลุงบุญโฮมนี่ มารับพรานเกิ้นเหรอ เราส่งกลับไปแล้ว ป่านนี้คงกลับไปตะบันหมากกินอยู่ที่บ้านแล้ว” รณพีร์ว่า
ชัชวีร์ชักเอะใจ
“ลุงรู้ได้ยังไงว่า เราอยู่ที่นี่”
บุญโฮมบอก
“ผมรู้ได้ยังไง ไม่สำคัญหรอกครับ มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่า ถ้าอยากทราบว่าเรื่องอะไร ก็หันไปมองทางโน้นเลยครับ โน่นครับ มากันแล้ว”
คุณชายธราธรกับพุฒิภัทรเดินหน้าเคร่งตรงเข้ามา บุญโฮมเห็นบรรยากาศเริ่มอึมครึมก็เลยรีบฉากหลบถอยออกไป รณพีร์กับชัชวีร์มองหน้ากันแล้วหันกลับไปมองพี่ชายทั้งสอง
ชัชวีร์หน้าเคร่งทันทีด้วยความยำเกรง แต่รณพีร์ทำใจดีสู้เสือ ส่งยิ้มให้พี่ๆ อย่างประจบ

มุมเงียบใน หน่วยตชด.ย่อย รณพีร์กับชัชวีร์เดินถอยหลังช้าๆ โดยมีธราธรกับพุฒิภัทรหน้าเคร่งเดินไล่บี้มาอย่างช้าๆ ที่สุดรณพีร์และชัชวีร์จนมุมหลังชนผนังตึกหนีไปไหนไม่พ้น

“พี่ชายใหญ่กับพี่ชายภัทรนี่เก่งจริงๆ มาถึงเมื่อไหร่ครับเนี่ย ทำไม ตามหาเราเจอได้เร็วขนาดนี้”
“เรามาถึงที่นี่ไม่ถึงสิบนาที ก็ได้ข่าววีรกรรมของสองเสืออากาศไทยแล้ว จะไม่ให้เราตามหาพวกนายเจอได้ยังไง” ธราธรบอก
“ถึงพี่ๆจะไม่ตามมาเจอเราที่นี่ เราก็กำลังจะกลับไปรอที่บ้านพักแล้วล่ะครับ ได้พี่ชายใหญ่มานำทัพอย่างนี้ เราต้องตามหาพี่ชายเล็กเจอแน่ๆ” รณพีร์
“แน่ใจหรือว่า นายรอพวกเราอยู่ ไอ้ที่บุ่มบ่ามรีบเข้าป่าไปตามชายเล็กจนมีเรื่องกับพวกทหารเวียงพูคำ ไม่ใช่เพราะไม่ยอมรอเราก่อนหรอกเหรอ ที่จริงนายผิดตั้งแต่แรกแล้วที่หนีมาที่นี่โดยไม่ปรึกษากันก่อน” พุฒิภัทรบอก
รณพีร์เริ่มหงุดหงิด
“ผมผิดด้วยหรือครับที่เป็นห่วงพี่ชายเล็ก”
“ถ้านายอยากล่วงหน้าออกไปตามชายเล็กก่อน ก็ติดต่อส่งข่าวมาซิ ไม่ใช่หนีหายไปเฉยๆ ให้ทุกคนต้องเป็นห่วง เราต้องเสียเวลาตามหานาย แทนที่เวลานี้เราควรจะมานั่งร่วมวางแผนตามหาชายเล็กด้วยกัน” ธราธรบอก
พุฒิภัทรบอกกับธราธร
“ชายพีร์คงคิดว่า ไม่ต้องพึ่งเราก็ตามหาชายเล็กเองได้ งั้นเราต่างคนต่างแยกกันไปตามหาชายเล็กดีกว่านะครับ”
“ก็ดีเหมือนกันกัน !”
ธราธรกับพุฒิภัทรเดินออกไป ธราธรชะงักหันมาทิ้งท้ายให้รณพีร์รู้สึกผิดไปอีก
“ชายพีร์ ขอให้รู้ไว้นะ เราทุกคนก็ห่วงชายเล็กไม่น้อยไปกว่านายเลย”
ธราธรกับพุฒิภัทรถอยออกมาแล้วเดินออกไปอย่างเสียอารมณ์ ชัชวีร์หันไปมองรณพีร์เป็นเชิงเตือนสติเพื่อน บุ้ยใบ้ให้รีบตามพวกพี่ชายไป
“ไอ้พีร์ !”
รณพีร์ยังคงฮึดฮัดไม่ยอมเสียฟอร์มง่ายๆ ชัชวีร์มองอย่างอ่อนใจ

ธราธรกับพุฒิภัทรเดินตรงออกมาจากอาคารของหน่วยตชด.ย่อย บุญโฮมยืนรออยู่ที่ข้างรถจี๊ปที่จอดรอ เมื่อเห็นคุณชายทั้งสองเดินมาถึงรถ บุญโฮมก็กุลีกุจอเปิดประตูให้ ธราธรกับพุฒิภัทรกำลังจะขึ้นรถแล้วต้องชะงัก
“พี่ชายใหญ่ พี่ชายภัทร”
ธราธรกับพุฒิภัทรชะงัก แล้วแอบสบตาและแอบยิ้มก่อนที่จะหันกลับมาประจันหน้ากับน้องชาย
พุฒิภัทรพูดเสียงเบา
“เป็นอย่างที่พี่ชายใหญ่คิดไว้เลยครับ”
“ดื้อแพ่งนัก ต้องดัดนิสัยเสียหน่อย” ธราธรตอบเสียงเบา
รณพีร์รีบเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าพี่ชายทั้งสอง รีบยกมือไหว้อย่างยอมรับผิด
“ผมขอโทษครับ ผมผิดไปแล้ว”
ชัชวีร์ก้าวเข้ามายกมือไหว้ขอโทษอีกคน
“ผมก็ต้องขอโทษนะครับ ผมก็ผิดที่ไม่ได้ช่วยห้ามชายพีร์ไว้”
ธราธรบอกกับชัชวีร์
“สำหรับนาย ฉันยกโทษให้ เพราะฉันรู้ว่า นายคงถูกชายพีร์บังคับให้มาด้วย แต่สำหรับนาย ชายพีร์ เราคงต้องขอคิดดูก่อนว่า สมควรจะยกโทษให้หรือเปล่า” ธราธรแกล้งพูดกวน
“โธ่ พี่ชายใหญ่ ผมก็ยอมรับผิดแล้ว ยกโทษให้ผมเถอะนะครับ ผมเป็นห่วงพี่ชายเล็ก ก็เลยไม่ได้คิดให้รอบคอบ ตอนที่ผมโทรทางไกลไปแจ้งข่าวพี่ชายเล็ก สายโทรศัพท์ก็ไม่ดี เสียงขาดๆหายๆ”
“แต่เราส่งโทรเลขมาย้ำเตือนแล้วว่า ให้รอเราก่อน ไม่ได้ส่งฉบับเดียวด้วย” พุฒิภัทรว่ารณพีร์ทำเป็นคิด
“โทรเลขๆ เราได้รับโทรเลขด้วยเหรอ ไอ้ชัช”
บุญโฮมโพล่งบอก
“ได้ซิครับ คุณชาย ผมส่งโทรเลขให้คุณชายกับมือผมเอง”
“แล้วพอนายอ่านโทรเลขจบ นายก็บอกฉันว่า นายจะไม่รอพี่ชายใหญ่อย่างแน่นอน” ชัชวีร์ว่า
รณพีร์มองชัชวีร์ตาขวาง
“ไอ้เพื่อนทรยศ”
“แล้วตกลงที่พากันลุยไปตามหาชายเล็กกันมานี่ นอกจากจับทหารเวียงกเฬวราก (กะ-เล-วะ-ราก)มาได้สองคน แล้วได้เรื่องอะไรมาอีกบ้าง”ธราธรถาม
“ไม่ได้เรื่องอะไรเลยครับ”
รณพีร์พูดแล้วแขวะประชดขำๆบุญโฮม
“คงต้องขอบใจลุงบุญโฮมที่หาพรานนำทางชั้นยอดมาให้เรา”
บุญโฮมยิ้มกว้างรับคำชมอย่างเต็มใจ เพราะยังคงมั่นใจในตัวพรานเกิ้นอยู่
“พรานเกิ้นพรานมือหนึ่งของเราพาเดินวนเวียนอยู่นาน แล้วหยุดหมดแรงอยู่ที่ชายป่าที่เราไปเจอกับพวกทหารเวียงนั่นแหละครับ”
“แต่ที่เราไปครั้งนี้ก็ไม่ใช่เปล่าประโยชน์เสียทีเดียวนะครับ อย่างน้อยก็ทำให้ทางเวียงพูคำไม่กล้าส่งทหารข้ามมาไปอีกพักใหญ่ๆ พรุ่งนี้เราจะได้ตามหาพี่ชายเล็กโดยไม่ต้องพะวงว่าจะต้องไปเจอพวกทหารเวียงอีก” ชัชวีร์บอก
“ฉันชักจะเป็นห่วงแล้วล่ะซิ ที่ชายเล็กหายไปนี่ ไม่ใช่เพราะถูกทหารเวียงจับตัวไปนะ พวกมันอาจจะเข้าใจผิด คิดว่าชายเล็กเป็นพวกลี้ภัย” ธราธรว่า
ผมไม่คิดว่าอย่างนั้นครับ ผมแน่ใจว่า พี่ชายเล็กยังติดอยู่ในป่านั่น มัน
“เป็นความรู้สึกเหมือนตอนที่พี่ชายใหญ่หายไปกับน้องมะปราง ตอนนั้นแน่ใจว่า พี่ชายใหญ่ต้องปลอดภัย ตอนนี้ก็เหมือนกัน ผมเชื่อว่า พี่ชายเล็กต้องไม่เป็นอะไร” รณพีร์บอก
“ฉันก็เชื่ออย่างนั้นเหมือนกัน ขอแค่เราอย่าหมดความหวังเท่านั้น ไม่ว่าจะต้องเหนื่อยยากแค่ไหน เราจะต้องพาชายเล็กกลับบ้านให้ได้” พุฒิภัทรว่า
พุฒิภัทรตบไหล่รณพีร์ให้ความมั่นใจ ธราธรเข้ามาตบไหล่กอดคอน้องชายทั้งสองสร้างความมั่นใจอีกแรง
 
ชัชวีร์มองสามพี่น้องอย่างชื่นชม แต่อดเจ็บแปลบๆ นึกเปรียบเทียบไม่ได้ ที่เขามีชีวิตที่โดดเดี่ยวอ้างว้าง รณพีร์มีครอบครัวที่อบอุ่น ขณะที่ชัชวีร์ไม่มีใครเลย
 
อ่านต่อหน้า 2

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

บนเรือนแม่เฒ่าเวลานั้น รัชชานนท์กำลังใช้ผ้าพันแผลใหม่ที่ไหล่ซ้ายอย่างเก้ๆ กังๆ ไม่ถนัดนัก จันทาขยับเข้ามาช่วยพันผ้าให้จนเสร็จ แล้วรีบถอยออกมาอย่างขวยเขิน

รัชชานนท์รีบคว้าเสื้อมาใส่อย่างรวดเร็ว ไม่ทันสังเกตอาการที่แปลกๆ ไปของจันทา
“จันทากินยาแล้วนอนพักนะ นอนพักเยอะๆ จะได้แข็งแรงเร็วๆ”
“คุณชายก็ยังไม่ได้กินยานี่จ๊ะ นี่ค่ะ ยาของคุณชาย”
รัชชานนท์มองถ้วยยาด้วยสีหน้าเหยเกแล้วกลั้นใจคว้ามาดื่มอั๊กๆรวดเดียวหมด
“คุณชายจะรีบไปไหนจ๊ะ”
รัชชานนท์ยิ้มเมื่อนึกถึงสร้อย
“จะไปเยี่ยมนักโทษเสียหน่อย ไม่รู้ถูกขังลืมไปหรือยัง”
จ่อยเดินโครมครามเข้ามาอย่างร้อนรน
“แม่เฒ่าๆ ! แม่เฒ่ายังบ่ต่าวมาอยู่”
จันทาบอก
“แม่เฒ่ายังบ่กลับมาเลย อ้ายจ่อย”
“แม่เฒ่าบ่อยู่ แล้วไผสืไปซ่วยอีสร้อยได้”
“มีอะไรเกิดขึ้นหรือ บักจ่อย พ่อใหญ่ลงโทษสร้อยฟ้าหนักเลยเหรอ”
“หนักบ่หนัก ไปเบิ่งเอง แต่บ่ต้องไปดอก ถึงไปเจ้ากะช่วยบ่ได้ คนอย่างเจ้ามีแต่หาเฮื่องเดือดร้อนให้อีสร้อยมัน เจ้าอยู่ให้ห่างอีสร้อยไว้ ถ้าบ่เซื่อกันล่ะกะ...” จ่อยพูดทำหน้าเหี้ยม
รัชชานนท์ไม่ฟังและไม่กลัว
“สร้อยฟ้าอยู่ที่ไหน ยังอยู่ที่เรือนพ่อใหญ่ใช่มั้ย บักจ่อยรอแม่เฒ่าอยู่ที่นี่แล้วกัน จะได้อยู่เป็นเพื่อนจันทาด้วย”
รัชชานนท์ผลุนผลันออกไปทันที
จันทา/จ่อยพูดย้ำชื่อสร้อยของรัชชานนท์ขึ้นพร้อมกัน
“สร้อยฟ้า”
จันทากับจ่อยงุนงนกับชื่อสร้อยฟ้าไปคนละทาง จ่อยไม่คุ้นกับชื่อสร้อยฟ้า จันทาเองก็ยังไม่เคยเจอหน้ากับสร้อยเลย

เวลาต่อเนื่องมา พ่อใหญ่ถือไม้ค้ำยันพยุงตัวเดินกลับมาแล้วหยุดนิ่งมองไปที่หน้าเรือน
สร้อยยังคงคุกเข่าอยู่ที่เดิมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด พ่อใหญ่มองอย่างไม่ได้แปลกใจนัก ไกสอนกับแฮรี่รีบร้อนเดินเข้ามาหาพ่อใหญ่พลางหันไปมองสร้อยอย่างห่วงใย
“พ่อใหญ่ นี่อีสร้อยคุกเข่ามาโดนแล้ว ยกโทษให้มันเถอะ “ ไกสอนว่า
“ครั้งนี้เจ้าสร้อยคงจะสำนึกผิดแล้วจริงๆ สั่งให้เจ้าสร้อยลุกขึ้นเถอะครับ” แฮรี่ว่า
“เฮาบ่ได้สั่งลงโทษมัน มันคุกเข่าของมันเอง กะให้มันลุกเอง”
พ่อใหญ่เดินผ่านหน้าสร้อยที่คุกเข่าอยู่อย่างช้าๆ สร้อยพูดเสียงเบา
“ข้อยขอโทษ ข้อยฮู้แล้วว่า ข้อยเฮ็ดผิด”
พ่อใหญ่ยังคงเดินมุ่งไปที่บันไดจะขึ้นเรือนไปอย่างไม่สนใจฟังสร้อย ไกสอนกับแฮรี่มองพ่อใหญ่อย่างเกรงๆ ไม่กล้าคัดค้านอะไรอีก
รัชชานนท์วิ่งพรวดพราดเข้ามาแล้วเห็นสร้อยคุกเข่าอยู่ที่พื้น
“พ่อใหญ่ครับ”
พ่อใหญ่หยุดเดินหันกลับมารอฟังรัชชานนท์
“ผมทราบว่า ผมเป็นคนนอก ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายไม่มีสิทธิ์ออกความคิดเห็นใดๆ แต่การลงโทษสร้อยฟ้าอย่างนี้ มันออกจะเกินไปนะครับ”
“ผมยกเลิกคำสั่งลงโทษไปแล้ว”
“งั้นที่สร้อยฟ้าคุกเข่าอยู่อย่างนี้ก็เพราะต้องการลงโทษตัวเอง นั่นหนักหนาสาหัสกว่าถูกพ่อใหญ่สั่งลงโทษเสียอีก เพราะไม่มีรู้ว่าการลงโทษครั้งนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่ การยกเลิกคำสั่งลงโทษไม่มีความหมายเลย ถ้าหากพ่อใหญ่ไม่ยอมยกโทษให้สร้อยฟ้า”
“ผมจะยกโทษให้คนทำผิดที่สำนึกผิดจริงๆ แล้วเท่านั้น”
“แล้วพ่อใหญ่รู้ได้ยังไงว่า สร้อยฟ้ายังไม่สำนึกผิด”
“ผมรู้จักลูกสาวของผมดี”
พ่อใหญ่ขยับตัวจะเดินออกไป รัชชานนท์ตัดสินใจคุกเข่าลง ในเวลาเดียวกับที่จ่อยวิ่งเข้ามา
“คุณชาย !”
ทุกคนชะงักมองรัชชานนท์อย่างตกใจคาดไม่ถึง
“สร้อยฟ้าต้องขัดคำสั่งของพ่อใหญ่ก็เพื่อออกไปช่วยผม ผมเป็นต้นเหตุของเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด ผมก็สมควรที่จะลงโทษตัวเองเหมือนกัน”
“คุณชาย ! บ่ต้องมายุ่ง ข้อยเฮ็ดผิดผู้เดียว บ่เกี่ยวอะหยังกับเจ้า” สร้อยบอก
“ถ้าพ่อใหญ่ทำโทษเธอตามสมควร ฉันจะไม่ยุ่ง การลงโทษ มันต้องมีขอบเขต แต่นี่มันไม่ใช่แล้ว ไม่ว่าเธอจะต้องคุกเข่าอยู่ที่นี่เป็นวัน เป็นเดือน”
รัชชานนท์มองพ่อใหญ่นิ่งและเอาจริงเอาจัง
“ฉันก็จะคุกเข่ากับเธอด้วย เพื่อให้พ่อใหญ่เห็นว่าเราสำนึกผิดจริงๆ”
“ลุกขึ้นเถอะครับ คุณชาย” พ่อใหญ่บอก
รัชชานนท์ยังคงนิ่งไม่ยอมขยับตัวลุกขึ้น พ่อใหญ่มองรัชชานนท์อย่างนิ่งคิดพิจารณา
“เจ้าด้วย เจ้าสร้อย ลุกขึ้นมา”
สร้อยดีใจมาก
“พ่อใหญ่ยกโทษให้ข้อยแล้วแม่นบ่”
พ่อใหญ่พยักหน้าให้แล้วขยับตัวเดินขึ้นเรือนไป รัชชานนท์รีบลุกขึ้นยืนแล้วช่วยพยุงสร้อยที่โผเผลุกขึ้นแทบจะยืนไม่ไหว ไกสอนกับแฮรี่ต่างดีใจเข้ามาช่วยพยุงรับสร้อยมาจากรัชชานนท์ จ่อยยืนมองรัชชานนท์ที่เป็นคนมาช่วยสร้อยอย่างขัดใจแล้วเดินคอตกออกไป

สร้อยมองรัชชานนท์อย่างขอบคุณซึ้งใจ

ส่วนบนเรือนพ่อใหญ่ เห็นพ่อใหญ่นั่งลงโดยมีไกสอนกับแฮรี่นั่งประกบซ้ายขวาประจำตำแหน่ง สร้อยค่อยๆคลานเข้ามาแล้วกราบลงที่เท้าของพ่อใหญ่และหมอบกอดเท้าพ่อใหญ่ไว้อยู่อย่างนั้น

รัชชานนท์เดินเข้ามาหยุดอยู่ห่างออกไป กันตัวเองอยู่วงนอกไป
“พ่อใหญ่”
พ่อใหญ่ลูบหัวสร้อยเบาๆอย่างเมตตา
“พ่อยกโทษให้เจ้า”
พ่อใหญ่ดึงตัวสร้อยให้ลุกขึ้นมา สร้อยยังคงนั่งที่พื้นกอดเอวพ่อใหญ่ไว้
“แต่จำไว้ คำสั่งของพ่อคือกฎของหมู่บ้าน บ่มีไผอยู่เหนือกฎ แม้แต่พ่อเอง บ้านเมืองสิเป็นจังได๋ ถ้าทุกคนบ่เคารพกฎเฮ็ดตามใจตัวเองคือเจ้า”
“ข้อยผิดไปแล้ว พ่อใหญ่อย่าซังข้อยเด้อ”
“พ่อบ่ซังเจ้า พ่อเป็นห่วงเจ้า”
“ต่อไปข้อยสิเซื่อฟังพ่อใหญ่ นี่บ่ใช่แค่ลมปาก แต่เป็นสัญญาจากหัวใจของข้อย...ข้อยสิบ่เฮ็ดผิดต่อพ่อใหญ่อีก”
“ดีแล้ว อีสร้อยเอ๊ย ควมพ่อแม่นี่ หนักเกิ่งธรณี ไผผู้ยำเกรงนบ หากสิฮุ่งเฮืองเมื่อหน้า” ไกสอนบอก
“ท่านไกสอนพูดถูกเสียยิ่งกว่าถูก คนที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพ่อแม่ย่อมจะเจริญรุ่งเรืองทุกคน เจ้าสร้อย บทเรียนครั้งนี้คงจะสอนให้เจ้าโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น แล้วคงจะต้องขอบคุณคุณชายด้วยที่ทำให้เรื่องวันนี้จบลงได้อย่างรวดเร็ว” แฮรี่บอก
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ผมทำในสิ่งที่ควรทำ ที่จริงผมต้องขอโทษพ่อใหญ่ด้วยนะครับ” รัชชานนท์บอก
รัชชานนท์เดินเข้าไปคุกเข่าที่พื้นเคียงข้างสร้อยแล้วยกมือไหว้พ่อใหญ่อย่างนอบน้อม
“ผมขอโทษนะครับ พ่อใหญ่ หากสิ่งที่ผมทำลงไปเป็นการล่วงเกิน หรือละเมิดกฎของที่นี่ ผมกับสร้อยฟ้าร่วมเป็นร่วมตายกันมา ผมไม่สามารถทิ้งเพื่อนคนนี้ได้จริงๆ ครับ”
พ่อใหญ่มองรัชชานนท์ที่คุกเข่าเคียงคู่กับสร้อย เริ่มรู้สึกมีเค้าลางบางอย่างตามที่แม่เฒ่าบอก
“เดี๋ยวนะครับ คุณชายเอิ้นอีสร้อยว่าอะหยังนะครับ” ไกสอนถาม
“นั่นซิ ก่อนหน้านี้ผมก็นึกว่า ผมฟังผิด นี่คุณชายเรียกเจ้าสร้อยว่า...” แฮรี่บอก
รัชชานนท์ยิ้มขำๆ
“สร้อยฟ้าครับ ผมเรียกของผมเอง ไม่รู้ซิครับ ผมว่าเธอน่าจะเหมาะกับชื่อนี้.... สร้อยฟ้า”
สร้อยทำหน้าไม่ถูกรู้สึกถูกทุกคนจับตามองว่า เริ่มสนิทกับรัชชานนท์เกินไป ไกสอนกับแฮรี่หันไปมองพ่อใหญ่เป็นตาเดียว อะไรจะประจวบเหมาะอย่างนี้

หน้าเรือนแม่เฒ่า จ่อยใช้ขวานผ่าฟืนอย่างแรงเป็นการระบายอารมณ์ จันทาเดินเข้ามาหยุดมองแล้วอยู่ๆก็ถามโพล่งออกมา
“อ้ายจ่อย ไผคือสร้อยฟ้า”
จ่อยยิ่งหงุดหงิด
“สร้อยฟ้าอะหยัง บ่มี! ในหมู่บ้านเฮาบ่มีคนซื่อสร้อยฟ้า”
“บ่มีได้จังได๋ คุณชายบอกว่าสิไปซ่วยผู้หญิงที่ซื่อสร้อยฟ้า เพิ่นเป็นไผ เป็นหยังคุณชายเถิงได้ห่วงเพิ่นหลาย”
“สร้อยฟ้า..บักคุณชายคงหมายถึงอีสร้อย มันบ่ได้ซื่อสร้อยฟ้าเด้อ มันซื่ออีสร้อย มีบักคุณชายผู้เดียวที่เอิ้นมันว่า สร้อยฟ้า”
“ผู้ที่ซ่วยชีวิตคุณชายไว้หลายเทื้อหลายหน กะคือ สร้อยฟ้าผู้นี้ใช่บ่ ที่คุณชายหายตัวไป กะหายไปกับสร้อยฟ้าใช่บ่”
“มันชื่ออีสร้อย บ่ใช่สร้อยฟ้า อีสร้อยมันชังชื่อนี้หลาย บักคุณชายคงอยากเปลี่ยนให้อีสร้อยมีชื่อเหมือนสาวเมืองกรุง แต่จังได๋กะบ่มีไผเปลี่ยนอีสร้อยได้ดอก อีสร้อยกะต้องเป็นอีสร้อยของข้อย เอ๊ย ของหมู่เฮา บ่มีวันเป็นสร้อยฟ้าของไผดอก”
“สร้อยฟ้า”
จันทานิ่งคิดกังวลใจด้วยความสังหรณ์ใจตามประสาผู้หญิง

ไกสอนกับแฮรี่เดินออกมาส่งรัชชานนท์
“เฮาส่งคุณชายหม่องนี้เด้อ”
รัชชานนท์มองไกสอนกับแฮรี่ที่ดูกระสับกระส่ายอยากกลับไปหาพ่อใหญ่เร็วๆ
“เมื่อครู่ผมพูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ หรือว่าเป็นเรื่องที่ผมเรียกชื่อสร้อยฟ้าผิดไปจากคนอื่น ถ้าหากมันไม่สมควรล่ะก็...”
“เรื่องที่ขึ้นอยู่กับเจ้าสร้อยครับ ถ้าเจ้าตัวไม่ถือสา ก็ไม่เป็นไร ไม่ได้ผิดประเพณีแต่อย่างไร คุณชายกลับไปพักผ่อนเถอะครับ” แฮรี่บอก
แฮรี่กับไกสอนแยกจากรัชชานนท์แล้วรีบกลับขึ้นเรือนไป รัชชานนท์เดินออกไปได้ก้าวสองก้าว ลูกไม้ป่าลอยละลิ่วมากระทบไหล่ เขาหันขวับไปทางทิศทางที่มาของลูกไม้ป่า แล้วก็เห็นสร้อยยืนอยู่บนเรือนมองลงมาก่อนกระโดด ตุ๊บ ! ลงมาตรงหน้า
“เรียกกันดีๆก็ได้ มีอะไรเหรอ”
“ขอบใจ”
สร้อยเดินออกไปทันที รัชชานนท์คว้าแขนสร้อยไว้ไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ
“เดี๋ยวๆ ขอบใจแค่นี้ยังไม่พอ”
“แล้วส่ำใด๋ถึงพอ”
“เดี๋ยวนะ ขอคิดดูก่อน ฉันช่วยให้พ่อใหญ่ยกโทษให้เธอได้ ช่วยให้เธอไม่ต้องถูกกักขัง เธอคิดว่าอิสรภาพของเธอนี่ มีค่าแค่ไหนล่ะ”
รัชชานนท์แกล้งทวงบุญคุณไปและยังจับแขนสร้อยไว้ตลอด เขาเหนี่ยวรั้งเธอไม่ให้ไป สร้อยดิ้นรนแต่ไม่หลุดจากมือรัชชานนท์จนต้องยอมนิ่งคิดๆๆหาทางตอบแทนรัชชานนท์
รัชชานนท์ยื่นหน้าไปใกล้หน้าสร้อยเกินความจำเป็น
“คิดออกหรือยัง”
สร้อยถอยหลังหนี แต่รัชชานนท์ยังก้าวตามไปและคอยยื่นหน้าแหย่เข้าไปใกล้ๆ
“คิดออกหรือยังๆ ถ้าคิดไม่ออก ฉันจะคิดให้นะ ก็แค่...”
รัชชานนท์เลื่อนมือที่จับแขนสร้อยไว้ไปกุมมือทำท่าจะแกล้งจูบมือ
“คึดออกแล้ว”
สร้อยสะบัดมือออกทันทีทันควันมือก็เลยเสยคางรัชชานนท์เข้าให้อย่างไม่ตั้งใจ จากนั้นสร้อยวิ่งออกไปทันที

ทิ้งให้รัชชานนท์หน้าหงายเห็นดาวระยิบระยับไป

พ่อใหญ่เปิดสมุดบันทึกปกหนังแล้วดึงกระดาษเก่าแก่คร่ำคร่าออกมา เป็นกระดาษเป็นแผ่นดวงมีวันเดือนปีเกิดของสร้อย และชื่อ “สร้อยฟ้า” ที่เขียนเป็นภาษาเวียงภูคำ

“สร้อยฟ้า”
พ่อใหญ่นึกแปลกใจที่รัชชานนท์เรียกชื่อเต็มของสร้อย พ่อใหญ่นึกถึงคำพูดของแม่เฒ่า
“มีคนผู้หนึ่งที่พ่อใหญ่ฝากแก้วตาให้ดูแลแทนได้ แล้วพ่อใหญ่สิฮู้เอง มื้อใด๋ที่พ่อใหญ่เฮ็ดใจยกแก้วตาให้เพิ่นได้ มื้อนั้นกะคือฤกษ์งามยามดีที่พ่อใหญ่จะพาคนในหมู่บ้านอพยพไปจากที่นี่”
ไกสอนกับแฮรี่รีบเร่งเดินเข้ามาหาพ่อใหญ่
“นี่อาจเป็นเฮื่องบังเอิญกะได้ พ่อใหญ่ หรือเพิ่นอาจไปได้ยินชื่อนี้จากไผในหมู่บ้านกะเป็นไปได้” ไกสอนบอก
“ไม่มีใครอื่นอีกแล้วที่รู้ว่า เจ้าสร้อยมีชื่อเต็มๆว่า สร้อยฟ้า คุณชายคนนี้เป็นมากกว่ามงกุฎแห่งเทพที่ทำให้มนต์หมอกเสื่อมสลาย แต่เขาอาจจะเป็นผู้ที่ช่วยให้เรากลับไปเวียงภูคำได้เร็วขึ้น” แฮรี่บอก
“เฮามีเจ้ารัชทายาทแล้ว บ่ต้องพึ่งพาผู้อื่นพาเฮากลับเวียงภูคำ” ไกสอนพูดต่อ
“แต่ตอนนี้เรายังตามหาเจ้ารัชทายาทไม่เจอ คุณชายรัชชานนท์อาจเป็นกุญแจนำทางเราไปสู่จุดหมาย ไม่งั้นโชคชะตาคงไม่พาคุณชายมาถึงที่นี่หรอกครับ พ่อใหญ่”
“คุณชายบ่ใช่ชาวเวียงภูคำ เฮาให้คุณชายมาเสี่ยงชีวิตกับเฮาบ่ได้ดอก แต่การมาคุณชายผู้นี้เฮ็ดให้เฮาตัดสินใจเฮื่องบางอย่างได้เร็วขึ้น ไกสอน. แฮรี่ เฮาได้ฤกษ์อพยพแล้ว”
ไกสอนกับแฮรี่หันไปมองพ่อใหญ่อย่างตามไม่ทัน

ธราธรกับพุฒิภัทรเดินเข้ามาในบ้านพัก ศินีนุชผุดลุกผุดนั่งอย่างหงุดหงิดที่รออยู่นาน เธอรีบโผเข้าไปหาธราธรกับพุฒิภัทรทันทีที่เห็นหน้า เธอกระเง้ากระงอดใส่ แต่ไม่ถึงกับปรี๊ดแตกยังควบคุมความเป็นนางเอกไว้ได้
“พี่ชายใหญ่ ! พี่ชายภัทร ! ทำไมเพิ่งกลับมาคะ ไหนว่าจะถามข่าวคราวพี่ชายพีร์ประเดี๋ยวเดียว นี่อะไรคะ ทิ้งให้นุชอยู่ที่นี่คนเดียวเป็นชั่วโมงๆ”
รณพีร์กับชัชวีร์เดินตามเข้ามา
“อย่าต่อว่า พี่ชายใหญ่เลย น้องนุช เป็นความผิดของพี่เอง ที่ทำให้พี่ๆ กลับมาช้า”
“พี่ชายพีร์ ! นุชดีใจจริงๆที่พี่ชายพีร์ปลอดภัย”
“แล้วไม่ดีใจที่เห็นพี่ชัชเค้าหรอกเหรอ อย่างนี้พี่ชัชน้อยใจแย่นะ”
“ก็..ก็ดีใจค่ะ นุชก็คิดไว้อยู่แล้วว่า พี่ๆต้องไม่เป็นอะไร เราเจอพี่ชายพีร์แล้ว งั้นเราก็ไปตามหาพี่ชายเล็กกันเลยซิคะ”
“ไปตอนนี้ไม่ได้หรอก อีกไม่กี่ชั่วโมงก็จะมืดแล้ว เราจะไปกันพรุ่งนี้เช้า” ธราธรบอก“เราจะต้องออกเดินทางออกจากที่นี่ตั้งแต่ตีสี่ น้องนุชตื่นไหวหรือเปล่า” พุฒิภัทรถาม
“ไหวซิคะ เพื่อพี่ชายเล็กแล้ว นุชทำได้ทุกอย่าง”
รณพีร์มองศินีนุชอย่างขยาดๆไม่อยากให้ไปด้วย รีบหันไปกระซิบกับชัชวีร์
“ทำอะไรเข้าซักอย่างซิวะ เราไปเดินป่าไม่ใช่ไปเที่ยวซาฟารี”
“น้องนุชครับ เปลี่ยนใจตอนนี้ก็ยังทันนะครับ” ชัชวีร์บอก
ศินีนุชลืมตัววี๊ดใส่
“เอ๊ะ นุชบอกว่า ไหวก็ไหวซิคะ”
ศินีนุชรู้ตัวก็ปรับสีหน้ายิ้มหวาน พูดน้ำเสียงไพเราะ
“พี่ชัชเนี่ยชอบแกล้งขัดใจนุชอยู่เรื่อยเชียว เออ...แล้วคืนนี้เราจะพักที่ไหนดีคะ”
“ก็พักที่นี่ซิครับ ที่นี่มีห้องนอนสองห้อง พวกเราผู้ชายนอนเบียดๆกันก็ได้ แค่คืนเดียวเอง ส่วนอีกห้องก็ยกให้น้องนุชไปเลยคนเดียว”รณพีร์บอก
“นอนที่นี่ !”
ศินีนุชมองไปรอบๆ อย่างสะพรึงกลัวในความเก่าแก่ของบ้านพัก
“นุชนอนที่นี่ไม่ได้หรอกค่ะ นุชเดินสำรวจดูแล้ว ห้องนอนมีแต่ฟูกเก่าๆกับพัดลมเครื่องนึง วิทยุซักเครื่องก็ไม่มี ห้องน้ำก็สกปรก น้ำในโอ่งก็ขุ่นคลั่ก แล้วยังเรื่องอาหารการกินอีก เราอยู่ไกลปืนเที่ยงอย่างนี้จะไปหาร้านอาหารดีๆได้ที่ไหนล่ะคะ แล้วที่สำคัญไม่มีคนรับใช้”
รณพีร์รีบขัดคอ
“ถ้าน้องนุชพักที่นี่ไม่ได้ แล้วจะไปเข้าป่ากับพวกพี่ๆได้ยังไง น้องนุชลองคิดถึงป่า... ป่าจริงๆนะครับ ไม่ใช่ป่าในนวนิยายโรมานซ์”
“พอได้แล้ว ชายพีร์ คืนนี้น้องนุชไปพักที่โรงแรมในเมืองก็แล้วกัน นายชัช ไปอยู่เป็นเพื่อนน้องนุช ไป” ธราธรบอก
“ครับ พี่ชายใหญ่”
บุญโฮมแบกกระเป๋าเดินทางสี่ใบของศินีนุชเข้ามาอย่างลำบากยากเย็น
“ลุงบุญโฮม ยกกลับไปที่รถครับ คุณสองคนนั้นจะไปพักในเมือง” รณพีร์บอก
“อ้าว ! งั้นเหรอ ยกกลับหมดนี่เลยหรือครับ”
รณพีร์พยักหน้ารับขึงขัง ชัชวีร์เข้าไปดึงกระเป๋าเดินทางจากบุญโฮมมาช่วยยกให้
“ไม่ต้องครับ ผมคนเดียวยกไหวครับ ไหวครับ ไหว” บุญโฮมกัดฟันพูด
บุญโฮมแบกยกกระเป๋าเดินทางสี่ใบออกไปอย่างทุลักทุเล ชัชวีร์มองศินีนุชอย่างอ่อนใจ

บุญโฮมยกกระเป๋าใบสุดท้ายของศินีนุชใส่รถจี๊ป ชัชวีร์ถือกระเป๋าเดินทางของตัวเองเดินเร็วๆออกมา ศินีนุชสาวเท้าตามแทบไม่ทัน
“เดี๋ยว ! พี่ชัชอย่าเพิ่งไป เรายังมีเรื่องจะต้องคุยกัน”
ศินีนุชตรงเข้าดึงตัวชัชวีร์ให้หันมาหา
“ทำไมพี่ชัชไม่บอกนุชเรื่องที่มาตามหาพี่ชายเล็ก นุชสั่งแล้วใช่มั้ยว่า ให้คอยตามข่าวคราวพี่ชายเล็กให้นุช”
“พี่ไม่อยากให้เรื่องยุ่งวุ่นวายไปมากกว่านี้ ก็เลยไม่บอกให้รู้”
“นี่พี่ชัชกล่าวหาว่า นุชทำตัวยุ่งวุ่นวายหรือคะ นุชมาช่วยนะคะ ไม่ได้มาเป็นภาระอะไรเลย ไม่งั้นพี่ๆไม่ยอมให้นุชมาด้วยหรอกค่ะ แล้วอีกอย่าง นุชมีสิทธิ์มาตามหาคู่หมั้นคู่หมายของนุช”
“นุชอย่าเพิ่งอ้างสิทธิ์อะไรเลย เรื่องหมั้นหมายยังอีกยาวไกล พี่ชายเล็กยังไม่เจอนุชด้วยซ้ำ พี่อยากให้นุชเผื่อใจไว้”
“ทำไมนุชต้องเผื่อใจ คุณแม่บอกว่า ยังไงนุชก็จะต้องได้แต่งงานกับพี่ชายเล็ก นุชกับพี่ชายเล็กเหมาะสมกันที่สุด ไม่งั้นช่วงสี่ห้าปีที่นุชไปเรียนต่อที่ปีนัง พี่ชายเล็กก็คงมีคู่รักไปแล้ว แต่นี่พี่ชายเล็กรอนุชอยู่...”
“แล้วทำไมทันทีที่รู้ว่าน้องนุชกลับมา พี่ชายเล็กก็รีบทำเรื่องขอย้ายมาทำงานที่นี่ทันทีเลยล่ะ พี่ถึงอยากเตือนให้นุชอย่าเพิ่งคิดเข้าข้างตัวเอง”
ศินีนุชจี๊ดเจ็บ
“ไม่ต้องมาเตือน! อย่ามาตีเสมอนุช อย่าลืมว่า พี่ชัชเป็นแค่ลูกเมียเก็บของคุณพ่อ มีหน้าที่รับใช้นุชก็รับใช้ไป นุชสั่งอะไรก็ให้เป็นไปตามที่สั่ง!”

ศินีนุชเดินหงุดหงิดโมโหขึ้นรถไป ชัชวีร์ยืนนิ่งอย่างอดกลั้น

ภายในครัวเรือนพ่อใหญ่ หม้อกะทิร้อนกรุ่นอยู่บนเตาไฟ มีข้าวเหนียวกองอยู่ในตะกร้าโปร่งรอสะเด็ดน้ำอยู่ สร้อยกำลังวุ่นวายกับการฉีกใบตองเตรียมทำข้าวต้มมัด

รอบๆ ตัวเลอะเทอะไปด้วยเศษซากกองมะพร้าวขูด เศษใบตอง เชือกกล้วย เปลือกกล้วย
สร้อยหันมากวนกะทิบนเตาแล้วหันรีหันขวางจนเจอกระปุกน้ำตาลและเกลือ แต่ก็ยังไม่แน่ใจได้อีก เลยเอานิ้วควักน้ำตาลและเกลือขึ้นมาแตะลิ้นชิมดู
จ่อยโผล่เข้ามามองสร้อยอย่างแปลกใจ
“เฮ็ดอะหยัง อีสร้อย ตั้งแต่เกิดมา ข้อยบ่เคยเห็นเจ้าย่างเข้ามาในครัวนี่เลย นี่เกิดอะหยังขึ้นมาเนี่ย แล้วนี่เจ้าเฮ็ดอะหยังอยู่”
“ข้าวต้ม”
“เฮ็ดไปเฮ็ดหยัง”
“เฮ็ดไปกินน่ะซิ บ่ต้องถามโพด ออกไปๆ คนกำลังยุ่ง”
“เฮ้ย เซาๆ”
จ่อยมองตาเหลือกเมื่อเห็นสร้อยเทเกลือพรวดลงไปในน้ำกะทิ กวนฉับๆแล้วเทข้าวเหนียวตามลงแล้วกวนต่อไป จ่อยมองไปที่ข้าวเหนียวในกระทะอย่างสยองๆ
ข้าวเหนียวในกระทะเหนียวหนืดดูไม่ออกว่าจะออกมาในรูปแบบไหน

บนเรือนตาจั่น ข้าวต้มมัดสิบห่อถูกวางปึงลงตรงหน้ารัชชานนท์ สร้อยยิ้มอย่างภาคภูมิใจเสียเหลือเกิน
“ข้าวต้มที่เจ้าเคยบ่นอยากกิน ! กินซะซิ”
“ที่ว่าคิดออกๆ คือเจ้าข้าวต้มมัดนี่น่ะเหรอ เปลี่ยนเป็นอย่างอื่นไม่ได้เหรอ”
“บ่ได้ ! กินๆไป แล้วกะถือว่า ข้อยได้ตอบแทนบุญคุณเจ้าแล้ว กิน” สร้อยพูดแล้วสั่ง
รัชชานนท์แกะข้าวต้มมัดออกมากินอย่างไม่เต็มใจ กัดไปแค่คำแรกก็ชะงักด้วยความเค็มปี๋
สร้อยแอบหน้าเสีย
“แซ่บบ่”
รัชชานนท์ฝืนใจบอก
“อร่อยๆ”
สร้อยจ้องมองจนรัชชานนท์ต้องกล้ำกลืนกินไปจนหมดหนึ่งห่อด้วยสีหน้าทรมานสุดๆ
เธอยิ้มกว้าง
“แซ่บกะกินอีกซิ กินให้เหมิดเลย นี่ข้อยเฮ็ดเป็นเทื้อแรกเนาะนี่ คือเก่งแท้ข้อยนี่ เดี๋ยวข้อยขอแบ่งไปให้บักจ่อยมันกิน เป็นหยังบ่”
รัชชานนท์รีบตอบ
“บ่เป็นหยัง เอ๊ย ไม่เป็นไร เอาไปให้บักจ่อยหมดนี่เลยก็ได้ ฉันกินห่อเดียวก็อิ่มแล้ว”
“บ่ได้ๆ ข้อยแบ่งไปครึ่งเดียวกะพอแล้ว ถ้าอยากกินมื้อใด๋กะบอก ข้อยสืเฮ็ดให้กินอีกเด้อ”
สร้อยแบ่งข้าวต้มมัดไปห้าห่อแล้วเดินออกไปอย่างเริงร่า
รัชชานนท์ขย้อนอยากจะคายออก สร้อยนึกได้หันมา เขาชะงักปิดปากไม่กล้าอ้วกออกมา
“อ้อ แลงๆค่ำๆไปหาพ่อใหญ่ที่เฮือนด้วย พ่อใหญ่สั่งมา”
สร้อยถือข้าวต้มมัดออกไปโดยเร็ว รัชชานนท์อมข้าวต้มมัดเต็มปากจดๆจ้องๆรอจังหวะ
แต่รัชชานนท์ก็รอไม่ไหว สร้อยยังไม่ทันลงเรือนไป รัชชานนท์โผไปไปคายทิ้งออกนอกชานเรือน

ที่ใต้ถุนเรือนแม่เฒ่า จ่อยพะอืดพะอมแล้วก็คายถุยทิ้งข้าวต้มมัดของสร้อยลงพื้นอย่างไม่เกรงใจ
“ถุย! รสชาติหมาบ่แดก”
สร้อยกระโดดผางลุกขึ้นยืนมองจ่อยอย่างโมโห
“ไอ้จ่อย ! ปากเจ้าคือหมาแท้”
“อีหลี ! เค็มอย่างกับเกลือ บ่มีไผกินลงดอก”
“เดี๋ยวข้อยตำปากแตก บักคุณชายยังบอกว่าแซ่บอีหลี เจ้ามันบ่ฮู้จักของดีของอร่อย ถ้าบ่กินให้เหมิด กะบ่ต้องมาเว้ากันอีก”
จ่อยเสียงอ่อย
“คือ...คือข้อย ข้อยอิ่มแล้ว “
“ข้อยสั่งให้กิน กะกิน กิน”
จ่อยแกะข้าวต้มมัดอีกห่อมากินอย่างกล้ำกลืน
“เออ..มันกะแซ่บๆเค็มๆ ดี ข้อยยอมรับแล้วว่า เจ้าเก่งแท้เด้อ ข้อยบ่ต้องกินอีกได้บ่ ข้อยต้องเก็บท้องไว้กินมื้อแลงมื้อใหญ่อีก”
“เจ้าสิไปกินมื้อแลงที่ไส”
“อ้าว เจ้าบ่ฮู้ดอกหรือ พ่อใหญ่สิจัดพิธีบายศรีสู่ขวัญให้บักคุณชายกับจันทามื้อแลงนี้ จังได๋กะต้องมีของกินของอร่อยอีหลี นี่พ่อใหญ่เพิ่นคงอยากเฮียกขวัญเฮียกกำลังใจให้บักคุณชายกับจันทาก่อนที่เพิ่นทั้งสองไปจากที่นี่”
“ไปจากที่นี่ พวกเพิ่นสิไปมื้อใด๋”
“เห็นพ่อไกสอนบอกว่า เร็วที่สุดกะคงเป็นมื้อฮือ แลงนี้เจ้าแต่งตัวงามๆ ไว้เด้อ โดนแล้วที่หมู่บ้านเฮาบ่มีงานบุญงานมงคลจังซี้”
สร้อยนิ่งอึ้งอดใจหายไม่ได้ ไม่คิดว่ารัชชานนท์จะไปจากที่นี่เร็วขนาดนี้

ภายในห้องรับแขก วังจุฑาเทพ หม่อมเอียดกำลังคุยโทรศัพท์อยู่กับธราธร
“ขอบใจมาก ชายใหญ่ ได้เรื่องชายเล็กยังไงก็รีบส่งข่าวมาล่ะ แล้วฝากบอกชายพีร์ด้วยว่า กลับมาเมื่อไหร่ เราคงมีเรื่องต้องคุยกันยาว”
ย่าอ่อนเดินเข้ามาหยุดฟังอย่างหูตั้ง
“แล้วย่าจะรอฟังข่าวดีนะ”
หม่อมเอียดวางโทรศัพท์ลง ย่าอ่อนปราดตรงเข้าไปหาพี่สาวทันที
“ชายใหญ่โทรมาหรือคะ คุณพี่ นี่เจอตัวชายพีร์แล้วหรือคะ ชายพีร์ปลอดภัยดีไม่เป็นอะไรใช่มั้ยคะ คุณพี่ไม่น่ารีบวางสายเลย น้องอยากคุยสายกับชายพีร์เสียหน่อย”
“ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อชายพีร์ของเธอปลอดภัยดี ห่วงแต่พ่อชายเล็กเถอะ จนป่านนี้ยังไม่มีวี่แววว่าจะตามตัวเจอเลย ตอนนี้เราคงจะทำอะไรไม่ได้ นอกจากรอ กว่าชายใหญ่จะส่งข่าวมาได้อีกก็คงหลายวัน แล้วนี่หนูรัมภากลับไปแล้วเรอะ” หม่อมเอียดอดถอนใจไม่ได้
“กลับไปแล้วค่ะ คุณพี่ก็น่าจะให้หนูรัมภาอยู่ค้างกับเรานะคะ หนูรัมภาจะได้อยู่คอยรับชายพีร์ตอนกลับมาถึงบ้าน เดี๋ยวจะตามไม่ทันคู่ชายเล็กกับหนูนุช นี่ถ้าลงตัวจับแต่งงานกันได้ทั้งสองคู่ ก็วิเศษไปเลยนะคะ คุณพี่”
“เธอก็ฝันหวานไปไกลโน่น เรายังตามหาชายเล็กไม่เจอเลย ว่าก็ว่าเถอะ ใจฉันเอนเอียงไปทางคู่ชายเล็กกับหนูนุชมากกว่า คุณชายอนุพันธ์กับคุณชายเทวพันธ์ถึงเป็นเทวพรหมเหมือนกัน”
ย่าอ่อนตอบรับ
“แต่คุณชายอนุพันธ์เหนือกว่าในทุกๆด้าน เป็นนายทหารที่ทุกคนยกย่องนับถือ แต่คุณชายเทวพันธ์ทำงานทำการอะไรก็ล้มเหลว คุณชายอนุพันธ์ถึงได้ตั้งแง่กับเรานัก”
“ก็ดูคนของเราก่อเรื่องอะไรไว้บ้างล่ะ ฉันก็หวังว่า คุณชายอนุพันธ์จะไม่ตัดรอนเราเสียทีเดียว”
“โอ๊ย ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ คุณพี่ คุณหญิงดารณีนุชอยู่ข้างเรานะคะ เธอพร้อมจะยกหนูนุชเป็นหลานสะใภ้เราอยู่แล้วล่ะค่ะ”

ย่าอ่อนกระหยิ่มยิ้มย่องอย่างมั่นใจ แต่หม่อมเอียดยังคงไม่แน่ใจนัก

อ่านต่อหน้า 3

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ขณะที่พลตรี ม.ร.ว. อนุพันธ์ เทวพรหม นั่งอ่านหนังสืออยู่ภายในห้องรับแขก วังกิตติวงศ์ พลางหยิบถ้วยน้ำชาขึ้นมาจิบด้วยสีหน้าสงบสุข

คุณหญิงดารณีนุชเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าอย่างจงใจ บรรยากาศสงบสุขเริ่มแตกกระเจิง อนุพันธ์เงยหน้ามองอย่างรำคาญใจ
“มีอะไร”
“ฉันจะมาบอกคุณว่า ลูกนุชเดินทางถึงหนองคายอย่างปลอดภัยแล้ว ลูกฝากให้คุณชายใหญ่โทรมาบอกเมื่อครู่ใหญ่ ถึงคุณจะไม่สนใจลูก แต่ฉันก็ต้องมาบอกในฐานะที่คุณยังเป็นพ่อของลูกนุชอยู่”
“ผมรู้แล้ว ผมให้คนทางโน้นคอยตามข่าวลูกให้อยู่”
“ตามข่าวลูกคนไหนล่ะคะ ลูกของฉันหรือลูกของคุณ ฉันจะต้องทำยังไง คุณถึงจะรักลูกนุชเหมือนอย่างที่คุณรักไอ้ชัชไอ้ลูกกาฝากของคุณ”
อนุพันธ์ผุดลุกขึ้นเผชิญหน้ากับดารณีนุชทันที
“ผมไม่ตามใจลูก ไม่ได้หมายความว่า ผมไม่รักลูก ผมก็รักยายนุชเท่าๆที่คุณรักนั่นแหละ ผมไม่เห็นด้วยที่คุณยัดเยียดลูกให้คุณชายเล็ก เพราะผมไม่อยากให้ลูกของเราหมดค่า ! ผมถามคุณกลับบ้าง ผมต้องทำยังไง คุณถึงจะเลิกกดหัวนายชัชซักที ผมไม่ได้ขอให้คุณรักนายชัชเหมือนลูกขอแค่คุณมีความเมตตา”
“ไม่มีวัน ถ้าคุณเก็บหมาแมวมาเลี้ยง ฉันอาจจะให้ความเมตตาได้บ้าง แต่นี่มันเป็นไม่ใช่ มันเป็นหนามยอกอกทิ่มแทงหัวใจของฉัน ตราบใดที่ฉันยังอยู่ มันก็เป็นได้แค่ไอ้ลูกขี้ครอกนั่นแหละ”
“ชัชวีร์มีค่าสูงส่งเกินกว่าที่คุณจะคาดคิด แล้ววันนึงคุณจะต้องเสียใจกับการกระทำของคุณในวันนี้”
อนุพันธ์เดินออกไป ดารณีนุชมองตามอย่างไม่เข้าใจ คิดว่า อนุพันธ์ยกย่องชัชวีร์เกินเหตุ

อนุพันธ์เดินเข้ามาในห้องทำงานด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขายืนสงบสติอยู่พักหนึ่งแล้วเดินไปเปิดลิ้นชักในตู้ที่ดารณีนุชเคยพยายามเปิดแต่เปิดไม่ออก อนุพันธ์หยิบกุญแจที่ติดอยู่กับตัวไขเปิดตู้แล้วหยิบหีบออกมา เขาค่อยๆ เปิดหีบออกเห็นเสื้อผ้าและเครื่องประดับของเจ้าส่องดาว เขาหยิบผ้าคลุมไหล่ของเจ้าส่องดาวขึ้นแล้วแตะเพียงเบาๆอย่างทะนุถนอม เขาอยู่ในภวังค์จนไม่สังเกตว่า ประตูห้องทำงานเริ่มแง้มเปิดออก ดารณีนุชหยุดแอบมองที่ประตู ตาลุกโพลงด้วยความโกรธ เพราะเป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ อนุพันธ์ซ่อนข้าวของๆแม่ของชัชวีร์ไว้ในตู้ที่ดารณีนุชหมายตาไว้อยู่
คุณหญิงดารณีนุชผละออกมาที่หน้าห้องทำงานอย่างหงุดหงิดฮึดฮัดทำอะไรไม่ได้
“เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ! รักมันมากใช่มั้ย ถึงได้เก็บข้าวของๆมันไว้ มันเป็นใคร ไอ้ชัช ! แม่แกเป็นใคร”
ม.ร.ว. ดารณีนุช เทวพรหมทั้งโกรธทั้งเจ็บจนจุกอกแทบกระอัก!!

นาฬิกาพกที่มีรูปของเจ้าส่องดาวเปิดอยู่ในมือของอนุพันธ์ เขาจ้องมองอย่างอ้อยอิ่งอยู่กับความหลัง แล้วเขาก็เอื้อมไปหยิบรูปถ่ายในหีบเล็กอีกหลายรูป เป็นรูปถ่ายของเจ้าส่องดาว มีรูปถ่ายคู่ของเขากับเจ้าส่องดาว 2-3 รูป เขาค่อยๆหยิบมาดูทีละรูป เป็นรูปเจ้าส่องดาวในชุดปกติสากลแล้วมาหยุดที่รูปสุดท้ายของเจ้าส่องดาวในวัยสาวที่ใส่ชุดสาวชาวเวียงภูคำ ซึ่งเป็นคนละรูปกับที่พ่อใหญ่มี
“ผมขอโทษ ผมน่าจะดูแลชัชวีร์ได้ดีกว่านี้ ผมขอโทษ”
เจ้าส่องดาวในชุดสาวเวียงภูคำราวกับมีชีวิต

สร้อยในชุดสาวเวียงภูคำที่ดูเป็นผู้หญิงที่สุดแล้วในชีวิต สวยแปลกตาไปกว่าเดิม แต่คงยังมีคราบความเป็นทะโมนอยู่ หัวยังยุ่งเหยิงปักดอกไม้รกๆ เสื้อกระโปรงยับยู่ยี่เหมือนเพิ่งถูกรื้อมาใส่ เธอเดินยิ้มอย่างโอ่ มั่นใจว่าวันนี้คงสวยไม่ใช่เล่น!!
บรรยากาศพิธีบายศรีสู่ขวัญที่มีพ่อใหญ่นั่งเป็นประธาน มีพานบายศรีตั้งอยู่ตรงกลาง พร้อมเครื่องเซ่นต่างๆ ตามมีตามเกิดของชาวบ้านป่า ไกสอนและแฮรี่นั่งขนาบซ้ายขวาของพ่อใหญ่ จ่อยกำลังขยับยกจัดวางทุกอย่างให้เข้าที่ รวมทั้งมีกลุ่มพ่อเฒ่าแม่แก่นั่งอยู่เต็มชานเรือน
ทุกคนหันไปมองสร้อยด้วยสีหน้าแปลกใจและอดยิ้มอย่างเอ็นดูไม่ได้
“อีสร้อย ! งามหลายแท้” จ่อยบอก
สร้อยยิ้มกว้างอย่างยอมรับ ไม่ได้มีเขินอายแม้แต่น้อย
“บ่ต้องบอก ข้อยกะฮู้ว่า ข้อยงามหลายอยู่”
พ่อใหญ่มองสร้อยแล้วอดส่ายหน้ากับความแก่นเซี้ยวของลูกสาวไม่ได้ พ่อใหญ่หันไปเห็นทับทิมเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ห่างๆท่าทางมีเรื่องมารายงาน
พ่อใหญ่พยักหน้าให้ไกสอนส่งสัญญาณให้ออกไป ไกสอนรีบขยับตัวเดินออกไปกับทับทิม
แฮรี่หันไปมองพ่อใหญ่อย่างรู้กันว่า ทับทิมมีข่าวอะไรมาอีกแน่ แต่ไม่อยากทำลายท่ามกลางบรรยากาศงานมงคลที่น่าปลื้มปิติ
“แม่เฒ่ามาแล้ว พ่อใหญ่” แฮรี่บอก
แม่เฒ่าเดินนำรัชชานนท์กับจันทาเข้ามา
สร้อยจ้องมองไปที่รัชชานนท์ที่เดินเคียงคู่กับจันทามาราวกับคู่บ่าวสาว จันทาในชุดสาวเวียงภูคำดูสวยละมุนอ่อนหวานไปตั้งแต่หัวจรดเท้า จ่อยมองจันทาอ้าปากค้างอดตกตะลึงไม่ได้
“งามแท้ๆ งามอย่างกับนางฟ้านางสวรรค์”
สร้อยยืนจ้องจันทารู้สึกว่าตัวเองหมองไปในทันที จันทาเงยหน้าขึ้นมองสร้อย เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้เจอหน้ากันจังๆ รัชชานนท์ยิ้มกว้างเมื่อเห็นสร้อยอย่างเต็มตา
“วันนี้สวยจริง สร้อยฟ้า”
จันทาแอบจับตารัชชานนท์อย่างหวั่นใจ
“จังได๋กะบ่งามเท่าแม่หญิงของเจ้าดอก” สร้อยว่า
สร้อยถอยออกไปนั่งอยู่มุมชานเรือนทันที จ่อยคลานตุ๊บตั๊บไปนั่งเคียงข้าง แม่เฒ่านั่งลงตรงหน้าพ่อใหญ่

รัชชานนท์กับจันทานั่งลงตาม เขาคงยังหันไปมองสร้อยอย่างอดไม่ได้

พระจันทร์เต็มดวงสว่างจ้าบนท้องฟ้า ท่ามกลางบรรยากาศอบอุ่นของพิธีบายศรีสู่ขวัญที่ชานเรือน

“ขวัญเอยมาฮอดแล้วให้อยู่แสนสบาย หายโพยภัยทุกข์โศก วิปโยค ทุกข์หนักหนา เจ้าเป็นมาหายคลาดแคล้ว ใสดั่งแก้วไพฑูรย์ เป็นมงคลมื้อนี้”
แม่เฒ่านั่งทำพิธีให้ศีลให้พรเรียกขวัญให้รัชชานนท์กับจันทาที่นั่งอยู่คู่กัน
“...ไม้เท้าซี้พยาธิ์หาย พยาธิ์ตายเอาปลายแหย่ อยู่นำพ่อแม่อย่าได้หนี สามพันปีให้เจ้ามั่นปานสุเมรุราช ให้เจ้าอาชญ์ดังเอราวัณ..”
พ่อใหญ่ที่นั่งเป็นประธานมองไปที่รัชชานนท์อย่างนิ่งคิดพิจารณา แม่เฒ่าเอาด้ายขาวผูกข้อมือให้รัชชานนท์พลางสวดพึมพำให้พร แม่เฒ่าพึมพำ
” ฝนตกเจ้าอย่าด่วนไป ฟ้าฮ้องเจ้าอย่าด่วนไปไกล ให้เจ้ากลับมา สามื้อนี้วันนี้เดี๋ยวนี้ มาฮอดแล้วกูจักใส่กระแจขวัญนะผูก โมมัด พุธยัด ธาอุด ยัดปีด สัพพะทุกขา สัพพะยา สัพพะโรคา วินาศสัน ”
แล้วแม่เฒ่าก็เอาด้ายขาวผูกข้อมือให้จันทาต่อไปพลางให้ศีลให้พรเรียกขวัญไป
สร้อยกับจ่อยที่นั่งมองรัชชานนท์กับจันทาอยู่อย่างขวางตาเหลือเกิน
“นี่มันพิธีบายศรีหรืองานกินดองเด้อ เป็นหยังเพิ่นดูยังกับเจ้าบ่าวเจ้าสาว”
สร้อยฟังแล้วขัดหูลุกพรวดๆออกไปจากเรือนทันที
รัชชานนท์กับจันทาคลานมาที่ตรงหน้าพ่อใหญ่ให้พ่อใหญ่ผูกข้อมือให้รัชชานนท์
“ขอให้มีขวัญ มีกำลัง มีสติ มีปัญญา จงมีศีลและมีธรรมนำพาชีวิต ไปสู่ความสุขความเจริญ”
รัชชานนท์ยกมือไหว้พ่อใหญ่ พ่อใหญ่ขยับไปผูกข้อมือให้จันทาต่อไป
“ขวัญเจ้าไปไกลกะให้มา ขวัญเจ้าไปนากะให้ต่าว เจ้าผ่านความทุกข์แค้น แสนสาหัส พ่อแม่ต้องจากไป ต่อไปขอให้บ่มีทุกข์บ่มีโรค มีแต่สุข”
จันทาน้ำตาคลอเมื่อนึกถึงพรานเจ้ย พ่อใหญ่ผูกข้อมือให้แล้วแตะที่หัวจันทาอย่างเมตตา
แฮรี่เข้ามาผูกข้อมือให้รัชชานนท์กับจันทาต่อไป มีพ่อเฒ่าแม่เฒ่ารอผูกข้อมือให้อีกหลายคน พ่อใหญ่มองหาสร้อยแต่ไม่เห็นเสียแล้ว จ่อยคลานเร็วๆมาจ่อแถวรอผูกข้อมือให้จันทา
“เจ้าสร้อยล่ะ หายไปไส”
“อีสร้อยมันเผ่นลงเฮือนไปแล้ว พ่อใหญ่”
“เป็นหยังบ่อยู่จนจบพิธี เฮ็ดอะหยังตามใจตัวอีกแล้ว”
รัชชานนท์ชะเง้อมองหาสร้อย

ในบรรยากาศรื่นเริงยามเย็นของหมู่บ้านวลาหก กลุ่มผู้ชายจับกลุ่มคุยสังสรรค์ก๊งเหล้าสาโท กลุ่มเด็กวิ่งเล่นกันสนุกสนาน เสียงแคนดังครึกครื้นมาจากกลุ่มคนที่กำลังร้องรำทำเพลงอยู่ กลุ่มเด็กๆ ล้อมกันอยู่เป็นวงกว้างส่งเสียงเฮๆ ดังลั่นไม่ขาดสาย

รัชชานนท์เดินตามหาสร้อยแล้วแหวกกลุ่มเด็กๆเข้ามาแล้วต้องชะงักอึ้ง สร้อยกำลังปีนเสาแข่งกับเด็กผู้ชาย ทั้งสองต่างปีนพรวดๆ ขึ้นไปยอดเสาของตัวเอง
สร้อยปีนไปจนถึงยอดเสาแล้วปักธงชาติเวียงภูคำลงที่ปลายเสาพลางชูมืออย่างผู้ชนะ
เด็กๆส่งเสียงเฮลั่นอีกรอบทำให้ผู้คนเข้ามามุงดูมากขึ้นๆ สร้อยปีนลงจากเสาอย่างรวดเร็วไวปานวอกแล้วกระโดดตุ๊บลงตรงหน้ารัชชานนท์
รัชชานนท์มองสร้อยที่หมดสภาพสาวเวียงภูคำไปแล้วกระโปรงถูกถกเหน็บกางเกง หัวยุ่งยิ่งกว่าเดิมและเสื้อผ้าขาดวิ่งบางส่วน
“มดสวยกันพอดี ! เล่นเป็นเด็กๆไปได้ พ่อใหญ่ถามหาแน่ะ รีบกลับไปเร็วเข้า”
รัชชานนท์จะคว้าแขนดึงสร้อยออกไปด้วย แต่สร้อยเบี่ยงตัวหลบได้ทัน
“บ่ไป พ่อใหญ่จัดพิธีรับขวัญเจ้ากับคู่ฮัก บ่ได้เกี่ยวอะหยังกับข้อย เดี๋ยวพิธีจบ ข้อยสิกลับเฮือนไปเอง ไป ไป เจ้ากลับไป ไป”
“บอกกี่ครั้งแล้วว่า จันทาไม่ใช่คู่รักของฉัน ถ้าเธอไม่กลับ ฉันก็ไม่กลับ แล้วนี่เล่นอะไรอยู่ ฉันขอเล่นด้วยคนสิ”
“บ่ได้เล่น นี่คือการแข่งขัน ไผเอาธงขึ้นไปเถิงยอดเสาก่อนกะชนะ”
สร้อยหันไปเยาะเย้ยข่มทับเด็กผู้ชายที่แข่งปีนเสาแพ้ที่ยืนหน้าม่อยอยู่
“ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นข้า เจ้าเป็นข้าของข้อยแล้ว ไอ้บุญมี”
“โธ่เอ๊ย แข่งกับเด็ก ก็ต้องชนะซิ”
“เจ้ามาแข่งกับข้อยบ่”
“ถ้าฉันปีนเสาแข่งกับเธอ ฉันก็ต้องชนะอยู่แล้ว ดูตัวเองเสียก่อน ตัวเล็กเท่าเมี่ยง จะปีนสู้ฉันไหวเหรอ”
“บ่กล้าแข่งกับข้อย กลัวแพ้กะบอกมาเถอะ ตัวโตยังกับยักษ์ปักหลั่น บ่กล้าแข่งกับผู้หญิง น่าอายแท้ๆ”

สร้อยหัวเราะเยาะใส่ หมู่มวลเด็กๆ หัวเราะโห่รัชชานนท์ตาม เขามองสร้อยอย่างเอาเรื่อง

ด้านไกสอนอ่านข้อความในกระดาษที่สายข่าวส่งมากับนกพิราบสื่อสารอยู่หลายรอบ แล้วพึมพำอย่างสงสัย

“เกิดอะหยังขึ้น”
ไกสอนเงยหน้าขึ้นมองทับทิมที่ยืนรอฟังคำสั่งอยู่
“ข่าวร้ายใช่บ่”
“บ่ ข่าวดี ข่าวดีจนข้อยบ่อยากเชื่อเลย อีกประเดี๋ยวพิธีบายศรีผูกข้อมือคงสิเสร็จสิ้น แล้วค่อยบอกข่าวนี้กับพ่อใหญ่”
ไกสอนมองทับทิมอย่างนิ่งพิจารณา
“ตอนนี้พ่อใหญ่ห่วงเฮื่องสายข่าวของเฮาที่อยู่เขตชายแดน เฮาควรเพิ่มกำลังคนคอยจับตามองการเคลื่อนไหวของทหารเวียงให้มากกว่านี้”
“ข้อยบ่ไปได้บ่”
“ข้อยยังบ่บอกเลยว่าสิให้เจ้าไปเฮ็ดอะหยัง ข้อยบ่ได้ส่งเจ้าไปเป็นสายข่าวอย่างเดียว ข้อยสิให้เจ้าไปคุมกองกำลังของเฮาที่ชายแดนด้วย มีเจ้าผู้เดียวที่ข้อยวางใจว่าสิเป็นผู้นำกองกำลังได้”
“ข้อยบ่อยากเป็นผู้นำไผ ข้อยขออยู่ปกป้องพ่อใหญ่ที่นี่เถอะ ลุงไกสอน ข้อยยังบ่อยากไปไสจนกว่าข้อยฮู้แน่ว่า พ่อใหญ่และทุกคนอพยพไปอยู่ที่ปลอดภัยแล้ว ลุงไกสอนมอบหมายหน้าที่ให้ข้อยรับใช้พ่อใหญ่ กะขอให้ข้อยได้เฮ็ดหน้าที่ของข้อยเถอะ”
ทับทิมที่มั่นคงแน่วแน่ จนไกสอนต้องยอมฟัง

บริเวณลานกว้าง สร้อยขยับแขนขยับขาเตรียมพร้อมเต็มที่ รัชชานนท์ก้าวมายืนข้างสร้อย ท่าทางขึงขังเอาจริงไม่แพ้กัน
รัชชานนท์กับสร้อยเงยหน้ามองไปที่ยอดเสาสูงลิ่ว รัชชานนท์กลืนน้ำลายเอื๊อก เสาสูงใช่เล่น
“ไผขึ้นไปเอาธงจากยอดเสาลงมาได้ก่อน ชนะ”
“ชนะแล้วได้อะไร”
“แพ้เป็นข้า ชนะเป็นเจ้า เดี๋ยวเจ้าได้เป็นข้าของข้อยอีกคนแน่”
สร้อยโผเข้าปีนขึ้นเสาอย่างรวดเร็วก่อนเลย
“เฮ้ย ไม่มีนับหนึ่งสองสามก่อนหรือ ขี้โกงนี่นา”
รัชชานนท์รีบปีนขึ้นเสาตามไปอย่างรวดเร็ว ตัวสูงใหญ่ของรัชชานนท์ปีนขึ้นพรวดๆได้รวดเร็วตีคู่เสมอกับสร้อยแล้วค่อยๆปีนขึ้นนำไป
สร้อยมองรัชชานนท์ที่นำหน้าไปได้อย่างไม่ยอมแพ้ กอดเสาไว้แน่นแล้วถีบขาไปที่เสาของรัชชานนท์ให้เอนไปเอียงมาอย่างน่าหวาดเสียว
“เฮ้ยๆ อย่าแกล้งกันซิ !”
รัชชานนท์กอดเสาหยุดนิ่งทำให้สร้อยปีนนำไปได้พอผ่านตัวรัชชานนท์ก็ถีบให้อีกครั้ง
รัชชานนท์ไม่ทันระวังตัวจึงรูดเสาร่วงหล่นลงมาถึงพื้น ส่วนสร้อยปีนขึ้นไปพรวดๆไปถึงยอดเสาแล้วดึงธงมาโบกเย้วๆไปมา แล้วปีนกลับลงมาสู่พื้นดินได้อย่างสวยงามพลางชูธงโบกสะบัดอย่างภาคภูมิใจ เด็กกรูเข้าไปเฮล้อมตัวสร้อยราวกับเป็นวีรสตรี
รัชชานนท์กระย่องกระแย่งลุกขึ้นมองสร้อยอย่างเคืองๆแล้วก็อดขำกับท่ากระโดดโลดเต้นดีใจของสร้อยไม่ได้ ดูเป็นเด็กทะโมนใสซื่อน่าเอ็นดูจนโกรธไม่ลง

สร้อยเดินลิ่วๆจะกลับไปทางเรือนพ่อใหญ่ รัชชานนท์เดินตามมาติดๆ
“สร้อยฟ้า สร้อยฟ้า รอด้วยสิ”
“ตามมาเฮ็ดหยัง กลับไปเฮือนของเจ้าไป”
“ฉันเป็นข้าของเธอแล้วนี่ ฉันก็ต้องตามมารับใช้เธอสิ เออ แล้วนี่เธอไปจำมาจากไหน ไอ้สำนวนชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นข้าน่ะ ที่ฉันเคยได้ยินมา มันต้องเป็น”
“ชนะเป็นเจ้า แพ้เป็นโจร เป็นโจรบ่ดีใช้งานกะบ่ได้ ข้อยเลยเปลี่ยนเป็นแพ้เป็นข้าซะ ข้อยฮู้มาจากเฮื่องสามก๊ก แปลกใจล่ะซิที่สาวบ้านป่าอย่างข้อยอ่านหนังสือออก แฮรี่สอนข้อยเอง ข้อยเว้าภาษาฝรั่งกะได้นะ สิบอกให้ บ่เชื่อล่ะซี้”
สร้อยยิ้มอวดอย่างเบ่งมาก
รัชชานนท์ขำๆไม่เชื่อนัก
“เชื่อๆ เธอมีเรื่องให้ฉันได้แปลกใจทุกวัน”
รัชชานนท์มองสร้อยแล้วอดรู้สึกใจหายที่จะไม่ได้เห็นหน้ากวนๆของสร้อยอีก
“เธอคงรู้แล้วว่าอีกวันสองวัน ฉันจะต้องไปจากที่นี่แล้ว แต่ฉันยังอยู่ทำงานที่หนองคายนี่อีกนาน ฉันกลับมาเยี่ยมเธออีกได้มั้ย สร้อยฟ้า”
“บ่ต้องกลับมาดอก เจ้ากลับมาอีกที พวกเฮากะคงอพยพไปจากที่นี่แล้ว...เฮาคงบ่ได้เจอกันอีก ข้อยบอกเจ้าแล้ว เจ้าต้องลืมว่าเจ้าเคยฮู้จักหมู่บ้านวลาหก แล้วเจ้ากะต้องลืมด้วยว่าเคยฮู้จักข้อย”
“ไม่หรอก ฉันไม่มีวันลืมเธอ สร้อยฟ้า ที่จริงที่ฉันตามหาเธอก็เพราะว่า...”
รัชชานนท์ดึงด้ายขาวออกมาจากกระเป๋า
“ฉันอยากจะให้เธอผูกข้อมือให้ฉัน”
สร้อยมองด้ายขาวในมือรัชชานนท์อย่างลังเล เขายัดด้ายขาวใส่มือสร้อย
“ผูกข้อมือให้ฉันหน่อยนะ นะ สร้อยฟ้า”
สร้อยค่อยๆคลี่ด้ายขาวออกแล้วผูกข้อมือซ้ายให้รัชชานนท์ที่ยังว่างเปล่าเนื่องจากข้อมือขวามีด้ายขาวผูกอยู่เต็มข้อมือแล้ว
“ข้อยเว้าบ่เป็นเด้อ บ่เคยผูกข้อมือรับขวัญให้ไผ”
“ฉันไม่ต้องการให้เธอผูกข้อมือเพื่อเรียกขวัญฉันกลับมา ฉันให้เธอผูกข้อมือเพื่อเป็นการผูกเราสองคนเอาไว้ด้วยกัน ให้เธอรับฉันเป็นเพื่อนไว้อีกคน..ได้มั้ย สร้อยฟ้า”
สร้อยเงยหน้าขึ้นมองรัชชานนท์นิ่งคิด
“ได้...ข้อยผูกเจ้าเป็นเสี่ยว”
รัชชานนท์เอื้อมมือลูบผมยุ่งๆของสร้อยอย่างเบามือ
“เราเป็นเพื่อนกันแล้วนะ แล้วก็ไม่ได้เป็นเพื่อนกันธรรมดา เราเป็นเพื่อนร่วมเป็นเพื่อนร่วมตายกัน...และจะไม่มีวันลืมกัน”
รัชชานนท์เผลอตัวก้มลงหอมจูบที่หัวยุ่งๆของสร้อย เธอนิ่งอึ้งไปช่วงขณะแล้วผลักรัชชานนท์ออกไป
“เจ้า! เจ้า”
สร้อยพูดอะไรไม่ออก ได้แต่ผลักอกรัชชานนท์ออกไปอีกแล้ววิ่งหนีออกไปด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูก แปลกใจตัวเองที่ไม่โกรธรัชชานนท์อย่างที่ควรเป็น

รัชชานนท์ยืนมองสร้อยวิ่งหนีออกไป รู้สึกดีๆอย่างประหลาด

จันทาเดินลงมาจากเรือนพลางชะเง้อมองหารัชชานนท์ พ่อเฒ่าแม่แก่และชาวบ้านกลุ่มสุดท้ายทยอยเดินลงจากเรือนผ่านจันทาไป

จ่อยเดินรั้งท้ายตามหลังมาเห็นจันทายังคงยืนรออยู่
“อ้าว ! จันทา ยังบ่กลับอีกเรอะ นึกว่าไปแล้วเสียอีก”
“คุณชายไปไสกะบ่ฮู้ ยังบ่กลับมาเลยจ้ะ”
“เป็นหยังเจ้าต้องรอเพิ่น นี่มันกะมืดค่ำแล้ว กลับไปได้แล้ว บ่ต้องรอดอก ไปๆ ข้อยไปส่งเจ้าเอง”
“เดี๋ยวคุณชายอาจกลับมา”
จันทายังรีรอมองหารัชชานนท์อยู่
“ดึกป่านนี้ยังบ่มา บักคุณชายคงลืมเจ้าไปแล้วล่ะเนาะ ไปๆ”
จ่อยตอบซื่อๆอย่างที่คิด แต่ทำให้จันทาสะอึกอดน้อยใจรัชชานนท์ไม่ได้ จ่อยคว้าแขนจันทาพาเดินไป จันทารั้งตัวไว้จนจ่อยนึกได้รีบปล่อยมือจากจันทา
จ่อยหัวเราะแหะๆบอก
“ขอโทษเด้อ ข้อยใจฮ้อนไปหน่อย”
จันทายอมเดินนำหน้าออกไป แต่อดหันไปมองหารัชชานนท์ไม่ได้ จ่อยรีบเดินตามไปดูแล ไกสอนกับทับทิมเดินเข้ามาอีกทางสวนทางกับจันทาต้องคลาดแคล้วกันอีกหน

ในมือพ่อใหญ่ถือม้วนกระดาษอยู่ แล้วนิ่งคิดหลังได้อ่านข้อความจากสายข่าวแล้ว
“สายจากในเมืองส่งข่าวมาว่า ตอนนี้ทางเวียงพูคำหยุดความเคลื่อนไหว ทหารเวียงที่ข้ามมาฝั่งไทยกะทยอยข้ามกลับไปสิเหมิดแล้ว”
แฮรี่รับรู้ข่าวที่พ่อใหญ่บอก ไกสอนนิ่งคิดตรึกตรองมีทับทิมยืนอยู่อยู่เบื้องหลัง
“นี่นายพลเซกองเลิกคึดส่งคนตามกำจัดกองกำลังกู้ชาติแล้วแม่นบ่” ไกสอนถาม
“คงไม่ใช่หรอก ท่านไกสอน ตอนนี้สถานการณ์ในเวียงพูคำเริ่มตึงเครียด ตั้งแต่มีข่าวลือออกไปว่า เจ้าหลวงสุริยวงศ์ยังทรงมีชีวิตอยู่ ก็เริ่มมีการชุมนุมเรียกร้องให้เจ้าหลวงกลับไป ตอนนี้นายพลเซกองคงต้องการกำลังทหารกลับไปควบคุมสถานการณ์ในประเทศก่อน” แฮรี่ว่า
“ทางไทยกะเริ่มเข้มงวดเรื่องการข้ามแดนของชาวเวียงพูคำแล้วด้วย บ่ยอมให้ทหารเวียงข้ามฝั่งมาง่ายๆคือเก่า เห็นว่าทหารเวียงก่อเฮื่องหนักข้อขึ้นทุกมื้อ นี่กะเพิ่งมีข่าวว่าทหารเวียงดวลปืนกับทหารไทยจนเป็นเฮื่องใหญ่โต”ทับทิมบอก
“ถ้าจังสั้นตอนนี้กะเป็นโอกาสดีที่พวกเฮาสิฟ่าวอพยพไปจากที่นี่ ก่อนที่พวกทหารเวียงสิกลับมาอีก” ไกสอน
“ที่พ่อใหญ่บอกว่าได้ฤกษ์อพยพแล้ว เพราะคาดการณ์ไว้อยู่แล้วใช่ไหมครับ ว่าอีกไม่นานทางเวียงพูคำจะถอนกำลังออกไป” แฮรี่ถาม
“เฮากะคาดการณ์ว่า อีกบ่โดนทหารเวียงกะต้องอ่อนล้าถอนกำลังไปบ้าง แต่บ่คึดว่าสิเร็วจังซี้ กะดี ! พวกเฮาสิอพยพกันได้อย่างปลอดภัย” พ่อใหญ่บอก
“พวกเฮาสิอพยพไปตามแผนที่เคยวางไว้แม่นบ่ พ่อใหญ่ เฮากับบักจ่อยสิพาอีสร้อยกับพวกผู้หญิงล่วงหน้าไปก่อน” ไกสอนบอก
“บ่แม่น ! การอพยพเทื้อนี้เจ้าสร้อยสิบ่ไปกับพวกเฮา เฮาหาที่ปลอดภัยให้กับเจ้าสร้อยไว้แล้ว”
ทุกคนหันไปมองพ่อใหญ่ด้วยสีหน้าอึ้งและประหลาดใจเป็นอันมาก

บริเวณทางเดินไปเรือนพ่อใหญ่ สร้อยเดินลิ่วๆหนีรัชชานนท์มาด้วยรู้สึกเก้อเขินอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเดินเร็วๆตามมาทันจนได้ เขาจะดึงแขนสร้อยไว้ แต่สร้อยเบี่ยงตัวหลบทัน
“ตามมาเฮ็ดหยัง กลับเฮือนเจ้า ไปๆ”
“เธอนี่ชอบไล่ฉันเสียจริง นี่เธอเป็นอะไรหรือเปล่า ทำไมหน้าแดงก่ำยังกับลูกตำลึงสุก เป็นเพราะฉันใช่มั้ย เมื่อกี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ฉันทำอะไรลงไป เวลาอยู่ใกล้เธอทีไร...ฉันมักจะเผลอตัวเผลอใจทุกที...ฉัน”
“บ่ต้องมาขอโทษ...ข้อยสิคึดซะว่า เมื่อกี้บ่มีอะหยังเกิดขึ้น”
รัชชานนท์ตีหน้าตาย
“เปล่า..ฉันไม่ได้จะขอโทษ... ฉันแค่จะเตือนว่า ทีหน้าทีหลังอย่ามาใกล้ฉันอีก”
รัชชานนท์ก้มหน้าไปใกล้หน้าสร้อยแล้วพูดต่อ
“เพราะฉันไม่รู้ว่าควบคุมตัวเองได้แค่ไหน คราวหน้าฉันอาจจะไม่หยุดแค่นั้น”
“บัก..บักคุณชาย !” สร้อยแผดเสียงใส่
สร้อยเตะหน้าแข้งรัชชานนท์อย่างแรงจนเขาสะดุ้งโหยงถอยออกไปหลายก้าว
“โอ๊ย”
“เทื้อหน้าเจ้าสิเอาเปรียบข้อยกว่านี้แม่นบ่”
“เดี๋ยวๆนะ ฉันพูดผิดไปหน่อย”
สร้อยไม่ฟัง พุ่งเข้ารัวชกพุงของรัชชานนท์ จนต้องจับดันหัวสร้อยไว้ไม่ให้ชกถึงตัว สร้อยจึงได้ดิ้นรนรัวชกลมไปมา
รัชชานนท์แก้ตัวพัลวัน
“ฉันหมายถึงว่า ทีหลังอย่าไปใกล้ผู้ชายคนอื่นอย่างนี้... ผู้ชายคนอื่นคงจะไม่หยุดอยู่แค่นั้นอย่างฉัน”
สร้อยหยุดเหมือนจะฟัง รัชชานนท์วางใจจึงปล่อยมือจากสร้อย
สร้อยถือโอกาสชกพุงรัชชานนท์เข้าอย่างจังจนเขาตัวงอ
“แก้ตัวน้ำขุ่นๆ ! แก้ตัวจังได๋กะฟังบ่ขึ้น จังซี้บ่ต้องมาเป็นเสี่ยวกันแล้ว”
สร้อยสะบัดหน้าเดินออกมา รัชชานนท์ตั้งตัวได้รีบมาคว้าแขนสร้อยไว้แน่นไม่ยอมให้ไปง่ายๆ
“ไม่ได้นะ เธอยอมรับเป็นเพื่อนฉันแล้ว จะมากลับคำได้ยังไง”
จ่อยกับจันทาเดินด้วยกันมาจากทางเรือนพ่อใหญ่ ทั้งสองชะงักมองรัชชานนท์กับสร้อยที่จับมือถือแขนกันอยู่อย่างสนิทสนม สร้อยรีบสะบัดแขนจากรัชชานนท์
“อีสร้อย” จ่อยเรียกเสียงดัง
จันทาแทบไม่มีเสียง
“คุณชาย”
“ไปเที่ยวไสกันมา คงเที่ยวกันม่วนหลายล่ะซี้ ถึงได้ลืมคนที่รออยู่ทางนี้” จ่อยแดกดัน
“จันทารอฉันอยู่หรือนี่ ขอโทษที ฉันไม่รู้จริงๆว่า จันทารอฉันอยู่...นึกว่าเธอจะกลับพร้อมกับแม่เฒ่า ขอโทษจริงๆ นะ จันทา”
“จังสั้นเจ้ากะฟ่าวพาแม่หญิงของเจ้าไปส่งที่เฮือนซิ ไปๆ” สร้อยว่า
“เดี๋ยวก่อน สร้อยฟ้า เรายังคุยกันไม่จบ”
“บ่ต้องมาเว้า บ่อยากฟัง คนขี้ตั๋ว”

สร้อยเดินลิ่วๆกลับไปที่เรือนพ่อใหญ่ จ่อยรีบสาวเท้าตามไป รัชชานนท์ยืนใจหายมองสร้อย ขณะที่จันทามองรัชชานนท์อย่างอดน้อยใจไม่ได้


อ่านต่อหน้า 4

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

รัชชานนท์เดินมาส่งจันทาถึงหน้าเรือน จันทาเหลือบมองรัชชานนท์ที่ดูใจลอยนึกถึงคำพูดของสร้อยอย่างค้างคาใจ

รัชชานนท์พึมพำออกมา
“คนขี้ตั๋ว...คนขี้ตั๋วนี่แปลว่าอะไรหรือ จันทา”
เขาถามให้แน่ใจ
“คนโกหกจ้ะ คุณชายไปโกหกอะไรสร้อยหรือ”
“ก็บอกความจริงไป แล้วมันเจ็บตัวนี่นา ก็เลยต้องตอบเลี่ยงๆ กันบ้าง สร้อยฟ้านี่มือหนักเท้าหนักอย่าบอกใครเชียว ฉันคงไม่มีวันเจอผู้หญิงคนไหนเหมือนสร้อยฟ้าได้อีก” รัชชานนท์ยิ้มขำอย่างเอ็นดู
“คุณชายคงไม่อยากไปจากที่นี่แล้วมังจ๊ะ”
“ถ้าเป็นไปได้ ฉันก็อยากอยู่ที่นี่ไปอีกซักพัก แต่ฉันหายตัวมาหลายวัน คงต้องรีบกลับไปก่อนที่ข่าวนี้จะรู้ไปถึงครอบครัวของฉันที่กรุงเทพฯ แล้วฉันก็ต้องรีบพาเธอกลับเข้าเมืองด้วย ฉันจะได้รีบจัดการเรื่องของเธอให้เรียบร้อย”
“คุณชายแน่ใจนะว่า จะไม่เสียใจทีหลัง ที่จริงคุณชายไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบดูแลจันทาเลย ถึงจันทาจะไม่มีญาติพี่น้องที่ไหน แต่ก็พอมีเพื่อนที่จะไปขออาศัย”
“เราพูดเรื่องนี้กันจบแล้ว จันทา เธอจะต้องไปอยู่กับฉัน ฉันจะดูแลเธอเอง ฉันจะไม่มีวันเปลี่ยนใจและจะไม่นึกเสียใจทีหลังด้วย”
รัชชานนท์จับมือจันทาไว้อย่างให้คำมั่น จันทาใจพองโตเริ่มมีความมั่นใจกลับคืนมา

สร้อยก้าวพรวดๆขึ้นบันไดมาหยุดนั่งหงุดหงิดใจอยู่ที่หัวบันไดเรือนพ่อใหญ่ จ่อยขึ้นบันไดตามมา
“อีสร้อย จังได๋มานั่งอยู่หัวบันได เฮ็ดจังซี้มันขะลำฮู้บ่” (หมายถึง ผิดผี)
สร้อยไม่ตอบอะไร ขยับตัวไปนั่งที่ชานเรือนแล้วนอนแผ่ลงที่พื้นแล้วก็ผุดลุกขึ้นมานั่งอีก
“เป็นอะหยัง”
“บ่ได้เป็นอะหยัง”
“ว่าผู้อื่นขี้ตั๋ว เจ้ากะมาขี้ตั๋วเสียเอง”
“ข้อยบ่ได้ขี้ตั๋ว ข้อยบ่ได้เป็นอะหยัง ข้อยกะแค่โมโหตัวเอง เมื่อกี้ข้อยน่าสิต่อยปากบักคุณชายอีกซักสองสามหมัด ข้อยสิได้หายแค้น”
“บักคุณชายเฮ็ดอะหยังเจ้าล่ะ”
สร้อยอึกอัก
“เพิ่น...เพิ่น เออน่า เพิ่นเฮ็ดอะหยังกะซางเถาะ พอเพิ่นไปจากที่นี่แล้ว ข้อยกะคงสิลืมไปเอง”
“ข้อยล่ะอยากให้บักคุณชายไปจากที่นี่เร็วๆ ไปมื้อนี้มื้ออื่นยิ่งดี... บ่ได้ซิ ถ้าบักคุณชายไป จันทากะต้องไปด้วย ข้อยห่วงจันทาหลายอยู่ เป็นหยังเถิงยอมไปอยู่กับเพิ่นง่ายๆ”
“จันทาสิไปอยู่กับบักคุณชาย เป็นหยังต้องไปอยู่กับเพิ่นเล่า”
“ถ้าจันทาบ่ไปอยู่กับคุณชาย แล้วสิให้เพิ่นไปอยู่กับไผ พ่อเพิ่นกะตายแล้ว ญาติพี่น้องกะบ่มี ถ้าบ่ใช่บักคุณชายอยากมาเที่ยวป่า พ่อของจันทากะบ่ต้องถูกทหารเวียงฆ่าตาย บักคุณชายต้องรับผิดชอบจันทา มันกะถูกแล้ว”
“มันกะถูก...คุณชายต้องรับผิดชอบจันทา แต่รับผิดชอบจังได๋ล่ะ”
จ่อยเพิ่งจะมานึกทบทวน
“บักคุณชายกะรับจันทาไปเลี้ยงดู... ถ้าจังสั้นกะหมายความว่า บักคุณชายรับจันทาไปเป็นเมียแม่นบ่ อีสร้อย”
สร้อยพึมพำ
“รับไปเป็นเมีย”

สร้อยใจหล่นวูบ นิ่งอึ้งไป

เช้ามืดวันใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศอันเงียบสงบของแม่น้ำโขง คุณชายพุฒิภัทรและรณพีร์แต่งตัวทะมัดทะแมงช่วยกันยกกระเป๋าและสัมภาระใส่ท้ายรถ

คุณชายธราธรมองไปที่ทางเข้าบ้านแล้วมองนาฬิกาข้อมือเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้
“นี่สายไปชั่วโมงแล้วนะ เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์จริงๆ”
“เราไปกันเลยดีกว่า ไม่ต้องรอน้องนุชหรอกครับ” รณพีร์บอก
“ไม่ได้ เดี๋ยวนายชัชได้โดนน้องนุชเล่นงานตายเลย” พุฒิภัทรว่า
“อย่างมากนายชัชก็คงโดนน้องนุชด่าจนหูดับไม่ถึงกับสมองเสื่อมให้พี่ชายภัทรต้องรับไปรักษาหรอกครับ พี่ๆลองนึกภาพน้องนุชเข้าป่าไปกับเราซิครับ เธอสำรวยเหลือเกิน จะไปกับพวกเราไหวหรือครับ รีบไปตอนนี้เถอะครับ ทางกำลังสะดวก”
รณพีร์พูดไม่ทันขาดคำ รถจี๊ปแล่นเร็วเข้ามาจอดตรงหน้า บรรดาคุณชายทั้งสามพรึ่บ
ชัชวีร์กระโดดลงจากรถอย่างร้อนใจ แล้วรีบยกมือไหว้ธราธรกับพุฒิภัทรอย่างรู้สึกผิด
“ผมขอโทษครับที่มาช้า ผมขอโทษจริงๆ คือว่า…”
“ไม่ต้องอธิบายหรอก พวกเราเข้าใจ”
ทุกคนหันไปมองที่รถเป็นตาเดียว ศินีนุชในชุดเดินป่าเต็มยศลงจากรถพลางบ่นไม่หยุดปาก
“พี่ชัช ทำไมขับรถเร็วเป็นพายุหมุนอย่างนี้ จะรีบไปไหน ดูซิๆ ผมเผ้านุชยุ่งหมดแล้ว ขับรถยังกับกุ๊ยชั้นต่ำ คอยดูนะ กลับไปนุชจะฟ้องคุณแม่”
ศินีนุชชะงักกึกหยุดพูด เมื่อพบว่าตัวเองเดินมาหยุดตรงหน้าคุณชายทั้งสาม เธอรีบปรับสีหน้ายิ้มหวาน
“Good morning ค่ะ พี่ชายใหญ่ พี่ชายภัทร พี่ชายพีร์ เมื่อคืนนอนหลับสบายดีไหมคะ แล้วนี่ยืนรออะไรกันอยู่คะ รีบไปกันเลยดีมั้ยคะ จะได้ไม่ต้องเสียเวลา ไปค่ะ ไป เราต้องรีบตามหาพี่ชายเล็กให้เร็วที่สุด เวลานี้นาทีเดียวก็มีค่าค่ะ”
รณพีร์แขวะ
“แต่น้องนุชก็ผลาญเวลาอันมีค่าของเราไปราวชั่วโมงกว่าๆ แล้วล่ะนะ”
ธราธรเตือนน้อง
“ชายพีร์! อย่าพูดมากให้เสียเวลาไปกว่านี้เลย เรารีบไปกันเลยดีกว่า บุญโฮมบอกว่าจะพาพรานนำทางมือหนึ่งไปเจอเราที่ร้านเหล้าพรานเจ้ย เห็นว่าพวกนายรู้จักร้านนี้ดี เราคงต้องเอารถไปสองคัน”
“เดี๋ยวนะครับๆ นี่พี่ชายใหญ่ให้ลุงบุญโฮมหาพรานนำทางให้หรือครับ” รณพีร์ว่า
“พรานนำทางที่ว่านี่ ผมหวังว่าคงจะไม่ใช่...” ชัชวีร์ว่า

ชัชวีร์กับรณพีร์หันมองหน้ากันอย่างหวาดหวั่น

บริเวณหน้าร้านเหล้า พรานเกิ้นเจ้าเก่ายกมือไหว้ท่วมหัวพลางยิ้มกว้างจนเห็นเหงือกแดง

“ซาหวัดดีครับ ข้อยซื่อพรานเกิ้น ยินดีรับใช้เด้อครับเด้อ”
ธราธรกับพุฒิภัทรมองพรานเกิ้นด้วยความพิศวงไม่คิดว่า จะแก่หงำเหงือกปานนี้ รณพีร์กับชัชวีร์มองหน้ากันอย่างเซ็งในอารมณ์พลางกระทุ้งศอกใส่กัน โทษกันไปมา
“ไม่ได้เตือนพี่ชายใหญ่ไว้ก่อนหรือไง” ชัชวีร์ถาม
“ลืมโว้ย ก็ฉันมัวแต่ปวดหัวกับเรื่องน้องสาวนายอยู่”
รณพีร์บอก แล้วรีบหันไปบอกธราธร
“พี่ชายใหญ่ครับ ผมว่า เราไปกันเองก็ได้นะครับ ไม่ต้องใช้พรานนำทางหรอกครับ”
“ไม่ได้หรอก เราให้บุญโฮมว่าจ้างพรานเกิ้นมาให้แล้ว เราจะเสียคำพูดได้ยังไง ต่อให้พวกนายเคยไปลุยป่าที่ไหนมาก่อนก็สู้คนท้องถิ่นไม่ได้หรอก”
“คราวก่อนพวกนายก็ให้พรานเกิ้นคนนี้เป็นคนนำทางไม่ใช่หรือ ทำไมมีปัญหาอะไรงั้นหรือ” พุฒิภัทรถาม
พรานเกิ้นยิ้มกว้างชิงบอก
“บ่มีปัญหาอะหยังเลยครับ คุณชาย ข้อยนำทางพาคุณๆไปอย่างบ่ฮู้จักเหน็ดเหนื่อย คุณๆอยากได้อะหยัง ข้อยกะเฮ็ดได้ดังใจทุกอย่าง คุณๆคงสิถูกใจข้อยคักๆ ถึงได้ให้บุญโฮมไปตามข้อยมารับใช้อีก”
รณพีร์กัดฟันพูด
“ใช่ๆ ถูกใจมาก”
“เออ...คือ เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรหรอกนะครับ พี่ชายภัทร แต่พรานเกิ้นเพิ่งกลับจากป่ากับเรา แล้วต้องเดินทางกลับเข้าไปอีกในเวลาสั้นๆอย่างนี้ ผมกลัวว่าพรานเกิ้นจะเหนื่อยเกินไป ไหวแน่นะ พรานเกิ้น” ชัชวีร์ว่า
“ไหวครับ ข้อยแข็งแฮงยิ่งกว่าม้าศึก ผู้บ่าวผู้สาวยังสู้ข้อยบ่ได้เลยครับ”
“เราจะออกเดินทางหรือยังคะ”
ทุกคนหันไปมองศินีนุชซึ่งเดินนำหน้าบุญโฮมที่แบกกระเป๋าเดินทางสี่ใบเข้ามา รณพีร์กัดฟันพูดเบาๆกับชัชวีร์
“อยากจะบ้าตาย ! น้องนุชครับ น้องนุชคงไม่ขนกระเป๋าทั้งหมดนั่นเข้าป่าไปด้วยหรอกใช่มั้ย” รณพีร์ถาม
“ทำไมล่ะคะ แค่กระเป๋าสี่ใบเอง มีปัญหาอะไรหรือคะ”
ศินีนุชมองหน้าทุกคนด้วยสีหน้าใสซื่อ ไม่เข้าใจจริงๆ ฝ่ายกลุ่มผู้ชายมองด้วยสายตาละเหี่ยใจยิ่งนัก

เรือนพ่อใหญ่ สร้อยนั่งก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือประวัติศาสตร์โลก ภาษาอังกฤษอย่างจริงจัง สร้อยอ่านหนังสือเร็วปรื๊ดๆจนถึงหน้าสุดท้ายแล้วปิดหนังสือปัง เงยหน้ามองแฮรี่อย่างท้าทาย
“ข้อยอ่านจบแล้ว ถามข้อยมาได้เลย ข้อยตอบได้หมดทุกข้อแน่นอน”
“ไม่ต้องถามก็เชื่อว่า เจ้าจำได้ทุกอย่างที่อ่าน แต่การที่เจ้าจะนำความรู้ที่ได้จากหนังสือไปใช้ประโยชน์ได้แค่ไหน นั่นสำคัญกว่า”
สร้อยพลิกดูหนังสือไปมาอย่างไม่แน่ใจ
“แฮรี่กะชอบให้ข้อยอ่านแต่หนังสือประวัติศาสตร์ ข้อยบ่ฮู้ว่าสิเอาไปใช้ประโยชน์ได้จังได๋ ข้อยบ่ใช่ผู้ใหญ่ผู้โตสิไปเปลี่ยนแปลงอะหยังได้ สิ่งเดียวที่ข้อยเฮ็ดได้คือช่วยพาพวกเฮากลับเวียงภูคำ แต่ว่า..ถ้าไอ้นายพลเซกองยังปกครองเวียงภูคำอยู่ เฮาสิกลับไปได้จังได๋ล่ะ แฮรี่”
“เราก็ต้องตามหาผู้ที่มีอำนาจปกครองเวียงภูคำโดยชอบธรรมก่อนน่ะซิ”
“นี่ได้ข่าวเจ้าหลวงสุริยวงศ์แล้วแม่นบ่ เจ้าหลวงอยู่ไส ข้อยสิไปช่วยตามให้เอง แล้วข้อยสิช่วยเจ้าหลวงล้มอำนาจไอ้นายพลเซกองเอง”
“เรื่องไม่ได้ง่ายอย่างนั้นหรอก ถ้าเจ้าหลวงกลับคืนบัลลังก์เวียงภูคำได้เมื่อไหร่ ก็ต้องรีบวางรากฐานให้มีการปกครองที่ยั่งยืนต่อไป การพัฒนาประเทศจะได้ไม่หยุดชะงักเพราะการแย่งชิงการปกครองกัน พูดง่ายๆก็คือเจ้าหลวงจะต้องมีรัชทายาทสืบราชสมบัติต่อ”
สร้อยลุกขึ้นเดินไปเดินมาอย่างคิดจริงจังมาก
“ถ้าจังสั้นเฮากะต้องไปตามหาเจ้าหลวง แล้วกะต้องไปตามหาเจ้ารัชทายาทอีกแม่นบ่ นี่มันยากแท้เกินกำลังข้อยแล้วล่ะมั้ง เจ้าหลวงเจ้าแผ่นดินคงบ่อยู่ในป่าในเขาให้ตามเจอง่ายๆ แล้วเจ้าหลวงมีเจ้ารัชทายาทแม่นอยู่บ่ บ่ใช่ว่าเป็นแค่นิทานหลอกเด็กของแม่เฒ่า”
“เจ้าหลวงทรงมีพระโอรสอย่างแน่นอน และไม่ได้มีแต่พระโอรสเท่านั้นยังทรงมีพระธิดาด้วย พระโอรสที่เป็นเจ้ารัชทายาทที่เรากำลังตามหาตัวอยู่ชื่อเจ้ารังสิมันตุ์”
“แล้วพระธิดาของเจ้าหลวงล่ะ ซื่ออะหยัง”
แฮรี่อึกอักรีรอไม่กล้าตอบออกมา พ่อใหญ่กับไกสอนเดินเข้ามาพอดี
“เจ้าฮู้ซำนั้นกะพอแล้ว เจ้าสร้อย ไปได้แล้ว ไป มื้อนี้เฮียนซำนี้พอ” พ่อใหญ่บอก
สร้อยรู้ทัน
“ข้อยอยู่นำบ่ได้บ๊อ พ่อใหญ่ ข้อยฮู้เฮื่องที่พวกเฮาสิต้องอพยพแล้ว มีอะหยังให้ข้อยช่วยบ่”
“บ่มีอะหยังให้เจ้าช่วย ออกไปได้แล้ว ไป”
พ่อใหญ่แค่มองหน้าสร้อยด้วยสีหน้านิ่งแต่มีอำนาจ สร้อยยอมเดินออกไปแต่โดยดี
“ผมขอโทษครับ พ่อใหญ่ แต่ผมคิดว่า นี่น่าจะถึงเวลาแล้วที่เจ้าสร้อยจะรู้” แฮรี่บอก“เจ้าสร้อยสิได้ฮู้เฮื่องที่ควรฮู้แน่ แต่ยังบ่ใช่เวลานี้”

พ่อใหญ่นิ่งขรึมหนักใจที่จะต้องบอกความจริงเรื่องที่สร้อย เป็น “เจ้าหญิงสร้อยฟ้า”

บนเรือนตาจั่น รัชชานนท์เก็บเสื้อผ้าและข้าวของยัดใส่กระเป๋าอย่างชุ่ยๆ จันทาเดินถือเสื้อผ้าของรัชชานนท์มาวางไว้ให้แล้วดึงกระเป๋าจากเขามาจัดกระเป๋าให้ใหม่

“ไม่ต้องจัดใหม่หรอก แล้วเสื้อผ้าของฉันก็ไม่ต้องเอาไปซักอีกนะ ฉันทำเอง ฉันเคยใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวหลายปี เคยซักผ้าทำอาหารเอง ไม่ใช่เรื่องยากลำบากสำหรับฉันเลย”
“สำหรับจันทาก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเหมือนกัน จันทาเคยทำงานหนักกว่านี้มาแล้ว ให้จันทาได้ช่วยดูแลคุณชายเถอะนะจ๊ะ”
“ก็ได้ ตามใจจันทา แต่ฉันคิดไว้แล้วนะ กลับไปนี่ ฉันคงต้องหาคนรับใช้ไว้ซักคนเอาไว้ช่วยงานจันทา แล้วจะได้กันข้อครหาด้วย หรือฉันจะส่งจันทาไปอยู่ที่บ้านกรุงเทพฯดี เรื่องนี้ฉันยังคิดไม่ตกเลย”
สร้อยเดินขึ้นมาบนเรือน
จันทางงๆกับคำพูดของคุณชายรัชชานนท์
“ทำไมต้องส่งจันทาไปอยู่กรุงเทพฯด้วยล่ะจ้ะ หรือคุณชายอยากให้ทางผู้ใหญ่รับรู้เรื่องจันทา แล้วพวกท่านจะว่ายังไงบ้าง”
รัชชานนท์คิดหนัก
“ฉันก็กำลังคิดอยู่นี่แหละว่า ฉันจะเรียนคุณย่าของฉันเรื่องจันทาว่ายังไงดี เรื่องของเราอาจจะไม่ง่ายอย่างที่ฉันคิดไว้”
รัชชานนท์เงยหน้าขึ้นเห็นสร้อยยืนฟังอยู่ เขาดีใจ
“สร้อยฟ้า”
สร้อยได้ยินทุกอย่างเต็มสองหู ตีความได้ว่าสองคนคุยเรื่องแต่งงานกัน สร้อยก็เลยถอยกลับออกไปอย่างรวดเร็ว รัชชานนท์ผุดลุกขึ้นทันที
“สร้อยฟ้า ! เดี๋ยวซิ อย่าเพิ่งไป เดี๋ยวฉันกลับมานะ ไม่ต้องกลัว เรื่องของเรายังไงก็ต้องมีทางออก คุณย่ามีแต่หลานชาย ท่านต้องดีใจแน่ที่ได้หลานสาวมาเพิ่มอีกคน”
รัชชานนท์รีบเผ่นลงเรือนไป
“ได้หลานสาวเพิ่มอีกคน...บ่ใช่หลานสะใภ้ นี่มันหมายความว่าจังได๋”
จันทาเริ่มใจหาย กลัวว่าเรื่องที่ผ่านมานั้น เธอคิดไปเองทั้งสิ้น !

รัชชานนท์วิ่งมาจากทางเรือนตาจั่นมาอยู่กลางหมู่บ้านวลาหก แล้วมองไปรอบๆ ตัวหาสร้อย
“สร้อยฟ้า”
กลุ่มชาวบ้านเพิ่งกลับจากเก็บผัก เก็บของป่าเดินผ่านรัชชานนท์ไปมา เขามองไปทางไหนก็เห็นแต่ชาวหมู่บ้านวลาหกไม่มีวี่แววของสร้อยเลย
รัชชานนท์เดินดุ่มๆ มั่วๆ ออกไปซอกไหนมุมไหนก็ตามหาสร้อยไม่เจอ
เขาเห็นกลุ่มชาวบ้านในแต่ละบ้านที่อยู่หน้าเรือน บ้างสานเสื่อ บ้างตำข้าว บ้างตากปลาแห้ง ต่างมองมาที่เขาแล้วยิ้มขำกับหน้าตาตื่นๆเป็นกังวลของเขา
รัชชานนท์เดินตามหาสร้อยต่อไป แม่เฒ่าถือตะกร้าสมุนไพรเดินสวนทางมา เขารีบคว้าตัวแม่เฒ่าไว้อย่างลืมตัว
“เจอแม่เฒ่าก็ดีแล้ว แม่เฒ่าเห็นสร้อยฟ้าหรือเปล่าครับ คนอะไรก็ไม่รู้ ไวอย่างกับปรอท วิ่งปรู๊ดปร๊าดหายไปไหนแล้วก็ไม่รู้”
“ข้อยบ่เห็นดอก”
“แม่เฒ่าต้องเห็นซิครับ มีแต่คนบอกว่า แม่เฒ่ารู้ทุกเรื่อง ทำนายอนาคตก็ยังได้ เรื่องแค่นี้ทำไมจะไม่รู้”
“บ่มีไผฮู้ทุกเฮื่องดอก คุณชาย ข้อยบ่ได้เป็นผู้วิเศษมาจากไส ข้อยฮู้ได้เฉพาะเฮื่องที่สวรรค์ให้ฮู้กะซำนั้น”
แม่เฒ่าจะเดินออกแล้วหันกลับมาบอกประโยคส่งท้าย
“ใช้แต่ตาสิมองเห็นอะหยังกั๋น”
แม่เฒ่าเดินออกไปอย่างใจเย็น รัชชานนท์ยืนงงตีความที่แม่เฒ่าพูด


รัชชานนท์เดินมาตามทางเรื่อยๆจนถึงท้ายหมู่บ้าน ที่มีเกวียนซึ่งเต็มไปด้วยเสบียงสัมภาระที่จัดเตรียมสำหรับการอพยพ บริเวณนี้ที่เป็นทางออกสู่ป่าอีกทาง
รัชชานนท์พึมพำ
“ใช้แต่ตาจะเห็นอะไรได้...ไม่ใช้ตาแล้วจะให้ใช้อะไร”
รัชชานนท์หลับตาลงแล้วตั้งสติคิดอีกครั้ง
“สร้อยฟ้าจะไปไหนได้ บ้านพ่อใหญ่ บ้านแม่เฒ่า ต้นไม้ ลำธาร”
รัชชานนท์ได้ยินเสียงน้ำตกดังขึ้นมาในความเงียบ
“น้ำตก”
รัชชานนท์เดินออกอย่างช้าๆไม่ผลีผลามเหมือนเมื่อครู่
รัชชานนท์เดินมาตามทางจนได้ยินเสียงน้ำตกดังขึ้นชัดเจนขึ้นทุกทีๆ เขาเดินแหวกผ่านต้นไม้ที่หนาทึบหลุดออกมายืนอยู่ที่ตรงหน้าที่มีน้ำตกสูงลิ่ว
“ไม่น่าเชื่อ หลังหมู่บ้านจะมีน้ำตกด้วย”
รัชชานนท์ยืนชื่นชมความงามของน้ำตกได้ชั่วครู่ก็รีบกวาดตาหาสร้อย รอบๆน้ำตก ไม่มีวี่แววของสร้อย เขาเริ่มหมดหวัง
มีดที่ยังใส่ปลอกมีดอยู่ทิ่มมาที่ด้านหลังของรัชชานนท์จนเขาสะดุ้งโหยงอย่างเสียววูบ
“เฮ้ย”
“ตามมาถึงหม่องนี้ได้จังได๋”
รัชชานนท์จำเสียงได้
“สร้อยฟ้า”
รัชชานนท์รีบหันมาเผชิญหน้ากับสร้อยแล้วคว้ามือสร้อยที่ถือมีดไว้
“ไผบอกให้หันมา หันกลับไป ข้อยบ่อยากเห็นหน้าเจ้า”
สร้อยดึงมือออกจากรัชชานนท์อย่างเร็ว
“ถ้าเธอไม่อยากเห็นหน้าฉัน แล้วเมื่อกี้เธอไปหาฉันทำไม”
“ข้อยมีเฮื่องจะถามเจ้า แต่ตอนนี้ข้อยเปลี่ยนใจแล้ว”
สร้อยเดินหนีไปปีนขึ้นไปบนโขดหินสูง
“เดี๋ยวก่อนซิ สร้อยฟ้า”

รัชชานนท์รีบปีนตามสร้อยขึ้นไปอย่างไม่ยอมลดละ

สร้อยปีนขึ้นมาอย่างคล่องแคล่วมาหยุดยืนอยู่บนโขดหินสูง เขาปีนตามมายืนอยู่เคียงข้าง

“เราไม่ได้เป็นเพื่อนกันแล้วเหรอ สร้อยฟ้า ถ้ามีอะไรให้ฉันช่วย บอกมาได้เลย ถ้าเธอยังไม่อยากให้ฉันไปจากที่นี่ ฉันก็จะยังไม่ไป”
“ข้อยบ่เคยเว้าซักคำว่า บ่อยากให้เจ้าไป เจ้าฟ่าวไปเถอะ สิได้ไปเอาลูก เอาเมียให้เรียบร้อย มีเมียแล้วกะอย่าเฮ็ดมือไวบายมือสาวไปทั่วเด้อ”
“เอาเมีย...เธอหมายถึงแต่งงานน่ะเหรอ ไปได้ยินมาจากไหน ฉันต้องรีบกลับออกไปเพราะมีงานรออยู่”
สร้อยไม่ฟัง
“บ่ต้องเว้าต่อ ! เจ้าสิดองกับไผ บ่ใช่เฮื่องของข้อย ที่ข้อยไปหาเจ้ากะเพราะสิอยากถามเฮื่อง...เวียงภูคำ…เจ้าฮู้บ่ ตอนนี้สถานการณ์ในเวียงภูคำเป็นจังได๋”
“เวียงภูคำปิดประเทศมากว่าสิบปี เพิ่งจะยอมเปิดประเทศเมื่อไม่นานมา นี้เอง แต่ก็มีข่าวเล็ดรอดออกมาว่า สถานการณ์ในเวียงภูคำไม่สู้ดีนัก ประชาชนไม่พอใจการปกครองแบบเผด็จการของนายพลเซกอง ก็เลยมีการชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นแทบทุกวัน ฉันเชื่อว่าคงมีผู้คนล้มตายไปไม่น้อยทีเดียว”
“ถ้าเจ้าหลวงกลับไปปกครองเวียงภูคำได้มื้อใด๋ มื้อนั้นเวียงภูคำกะจะได้กลับมาสงบสุขคือเก่า แล้วข้อยกะสิพาพ่อใหญ่กลับแผ่นดินเกิดได้ แต่กะบ่ฮู้ว่ามื้อนั้นสิมาฮอดบ่”
“สร้อยฟ้า ฉันให้คำสัญญากับเธอไว้แล้วนะว่า วันไหนที่เธอกลับเวียงภูคำ ฉันจะไปกับเธอด้วย”
“เฮาบ่ได้เป็นอะหยังกัน เป็นหยังเจ้าสิมาเสี่ยงชีวิตกับข้อย”
“ใครบอกว่า เราไม่ได้เป็นอะไรกัน เราผูกเสี่ยวกันแล้วนะ”
รัชชานนท์ชูมือซ้ายที่ผูกด้ายขาวของสร้อยอยู่ให้ดู
“เจ้าบ่ฮู้ดอกว่า คำว่าเสี่ยว มีความหมายจังใด๋ แค่เคยผ่านความเป็นความตายด้วยกันมาเทื้อเดียว ข้อยบ่ให้เจ้าเป็นเสี่ยวด้วยง่ายๆดอก”
“แล้วฉันจะต้องทำยังไง เธอถึงจะรับฉันเป็นเพื่อน”
สร้อยมองรัชชานนท์อย่างนิ่งคิดพิจารณา

จันทาเก็บจัดกระจาด ตะกร้า ขวดสมุนไพรให้เข้าที่เข้าทางอย่างคนที่ไม่ชอบอยู่ว่าง จ่อยเดินพรวดๆเข้ามาแล้วพอใกล้ตัวจันทาก็ผ่อนฝีเท้าลงอย่างไม่แน่ใจนักว่า ตัวเองจะมาพูดอะไร
จันทาหันมามองจ่อยพลางส่งยิ้มให้อย่างเจื่อนๆ เพราะยังกังวลกับคำพูดของรัชชานนท์ไม่หาย
“อ้ายจ่อย.”
“เออ...คือ พ่อให้มาเบิ่งเจ้า เจ้าแข็งแฮงเดินทางไกลได้แม่นบ่ เจ้าบ่ต้องเกรงใจเด้อ เจ้าพักอยู่ที่นี่กี่วันกี่เดือนกะได้ ขอให้เจ้าหายดีอีหลีก่อนแล้วค่อยกลับออกไป ให้บักคุณชายกลับไปก่อนกะได้ บ่ต้องกลับออกไปพร้อมกันเลยนี่นา”
“แต่ข้อยอยากกลับไปพร้อมคุณชาย”
จ่อยโพล่งพรั่งพรูขึ้น
“เจ้ากับบักคุณชายบ่สมกันเลย !เจ้าคึดดูให้ดีๆ เจ้ากับเพิ่นกะเพิ่งฮู้จักกัน อยู่ๆสิต้องมาดองกัน แล้วสิอยู่กันรอดบ่ ข้อยบ่ไว้ใจบักคุณชายว่า สิดูแลเจ้าได้ดี ที่เพิ่นต้องรับเจ้าไปเลี้ยงดูเจ้ากะเพราะเหตุการณ์มันบังคับ ถ้าฮักชอบกันกะว่าไปอย่าง”
จันทาเริ่มสะเทือนใจน้ำตาคลอ ยิ่งจ่อยมาพูดจี้ใจดำก็ยิ่งเสียใจ น้ำตาเริ่มไหล
“ข้อยฮู้ ข้อยฮู้แล้ว”
จันทาร้องไห้หนักขึ้น จนจ่อยตกใจมือไม้สั่นทำอะไรไม่ถูก
“ข้อยฮู้แล้ว คุณชายบ่ได้ฮักข้อย คุณชายฮับข้อยไปอยู่ด้วยเพราะความสงสาร บ่ใช่เพราะความฮัก บ่ใช่เลย บ่ใช่”
จ่อยรีบกลับคำ
“เออ...ข้อยอาจจะคึดไปเองกะได้ คุณชายอาจจะฮักเจ้าอยู่บ้าง เจ้าทั้งสวยทั้งอ่อนหวานจังซี้ ผู้บ่าวที่ไสกะต้องฮักเจ้า ไผบ่ฮักเจ้ากะบ่มีตาแล้ว แม้แต่ข้อยกะยังฮักเจ้าเลย จันทา”
ทั้งจ่อยทั้งจันทาต่างชะงักกึก มองหน้ากัน จ่อยทำหน้าไม่ถูกที่หลุดปากบอกว่ารักจันทาออกไป
“บ่ต้องคึดมาก บ่มีอะหยังๆ ไผๆกะฮักเจ้า ข้อยกะฮัก พ่อใหญ่กะฮัก พ่อไกสอนกะฮัก แฮรี่ แม่เฒ่า ทุกคนในหมู่บ้านฮักและเป็นห่วงเจ้าทั้งนั้น จังสั้นคุณชายกะต้องฮักเจ้า ถึงยังบ่ฮักมื้อนี้ แต่กะต้องฮักเจ้าซักมื้อ”
จ่อยรีบเดินออกไปก่อนที่หลุดปากให้จันทาได้ร้องไห้อีก แม่เฒ่าถือล่วมยาเดินสวนทางเข้ามา มองจ่อยอย่างเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“บ่ต้องเป็นห่วงอีหล้าเด้อ บ่ต้องเป็นห่วง เจ้าไปเตรียมตัวเดินทางดีกว่า เทื้อนี้สิต้องเดินทางไปไกล ไปไกลเกินกว่าที่เจ้าสิฮู้”
แม่เฒ่าเดินเข้าเรือนไป
“เตรียมตัวเดินทาง เดินทางไปไส...”
จ่อยงุนงงไม่ได้รู้เรื่องที่แม่เฒ่าพูดเลยแม้แต่นิดเดียว

รัชชานนท์มองลงไปเบื้องล่าง เห็นสายน้ำตกไหลลงไปสู่ลำธารไกลสุดสายตา เขาขยับตัวเผลอเตะก้อนหินหล่นลิ่วๆลงตามสายน้ำ แล้วหายวับไปอย่างน่ากลัว
“สร้อยฟ้า...นี่เธอจะให้ฉันพิสูจน์ตัวเองยังไง อย่าบอกนะว่า...”
รัชชานนท์มองไปเบื้องล่างของน้ำตกอีกครั้งพลางกลืนน้ำลายเอื๊อกๆอย่างหวาดเสียวสร้อยชะเง้อมองไปเบื้องล่างแล้วหันมาพยักหน้าหงึกๆใส่รัชชานนท์อย่างสบายอารมณ์
“บ่กล้าล่ะซี้ ! เจ้านี่เก่งแต่เฮื่องเว้าสาว เฮื่องอื่นบ่ได้ความ”
“อย่ามาดูถูกกัน ! ถ้าหากการที่ฉันโดดลงไป จะเป็นการพิสูจน์ความเป็นเพื่อนร่วมเป็นร่วมตายของเราล่ะก็ ฉันจะโดด”
“กะโดดไปซิ”
รัชชานนท์ยืนรวบรวมกำลังใจอยู่ชั่วครู่
“ชักช้าจริง เจ้าบ่โดด ข้อยโดดเอง”
สร้อยกระโดดพรวดลงไปยังสายน้ำเบื้องล่างทันที
รัชชานนท์ตกใจ
“สร้อยฟ้า”
รัชชานนท์กระโดดลงจากน้ำตกตามไปอย่างไม่ต้องคิด

ร่างของสร้อยกับรัชชานนท์ร่วงลงมาจากยอดน้ำตก สู่ลำธารที่ไหลเชี่ยวกรากเบื้องล่างตูมใหญ่

อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น