xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 4

เพียงขวัญกับอัทธ์นั่งคุยกันอยู่มุมหนึ่ง

“พี่ร้อนใจกลัวน้องขวัญจะเข้าใจพี่ผิด พี่ไม่เคยบอกคุณพ่อเรื่องขวัญเลยนะ”
เพียงขวัญพยักหน้ายอมรับ ยอมเชื่อ
“ดิฉันเชื่อคุณค่ะ”
“เห็นคุณพ่อบอกว่าไปคุยกับแม่นภา”
“แม่ร้องไห้ใหญ่ เขาทำให้แม่ร้องไห้มาตลอด เขาควรจะรู้ตัว แล้วออกไปจากชีวิตพวกเราเสีย”
“คุณแม่พี่เสียไปแล้ว คงไม่ผิดอะไรที่คุณพ่อจะมาดูแลแม่นภากับขวัญ”
“ถ้าคิดอย่างนี้ เราก็ไม่มีอะไรพูดกัน ขวัญกับแม่ไม่ต้องการความช่วยเหลือจากใครทั้งนั้น”
เพียงขวัญโกรธขึ้นมาทันที ลุกขึ้นจะไป อัทธ์รีบบอก
“เอ้อ ๆพี่ขอโทษ พี่จะไม่พูดแบบนี้อีก”
“คุณต้องทำงานขึ้นล่องเชียงใหม่กับพระนคร รีบกลับไปเถอะค่ะ”
“คราวหน้าอนุญาตให้พี่มาหาอีกนะคะ พี่เกิดมาตัวคนเดียว ไม่มีพี่น้อง พี่อยากมีน้องสาวจริงๆ เรื่องอะไรที่น้องไม่ชอบ พี่จะไม่ทำ ขออย่างเดียวอย่าไล่พี่ไปไหนอีกนะคะ”
เพียงขวัญพยักหน้า อัทธ์ยิ้มออกมา ทั้งสองยิ้มมองกัน มีความผูกพันกันเสมอ

กองถ่ายจัดที่บริเวณแอ่งน้ำตก จะถ่ายฉากกินรีทั้งเจ็ดกำลังเล่นน้ำที่สระโบกขรณีแห่งนี้ ชนะเรียก เพียงขวัญ บงกชและกินรีที่เหลือที่แต่งตัวแล้วอธิบายให้ฟัง
“ฟังนะ ลำดับต่อไป...เราจะถ่ายฉากกินรีเล่นน้ำ ดูเหมือนเป็นฉากง่ายๆแต่อย่างที่อ.ศิลป์ พีระศรีกล่าวไว้ ชีวิตสั้น ศิลปะยาว เข้าใจใช่ไหม...”
ทุกคนงงว่าจะให้เข้าใจอะไร เพียงขวัญอึกอัก ชนะยังคงอธิบายต่อ
“กินรีเป็นนางฟ้าเป็นบุตรสาวของท้าวทุมราช อันท้าวทุมราชนั้นท่านกินตำแหน่งใหญ่โต ปกครองเขาไกรลาส. ทีนี้ทุก 7 วัน นางกินรีทั้ง 7 ก็จะบินมาอาบน้ำที่สระโบกขรณี”
ชนะมีอาการเหมือนจะเล่าเรื่องตั้งแต่ สมัยกรุงสุโขทัย เพียงขวัญเลยตัดบทให้ทุกคนที่รอฟังอยู่เข้าใจได้ในทันที ความเป็นลุงหลาน ฟังเรื่องนี้บ่อยๆ เลยรู้ใจชนะพนักหน้าหงึกๆ
“ใช่ๆ จะพูดแค่นั้นแหละ...นี่...แล้วเพื่อความสวยงามสมบูรณ์ของภาพ ผมประดิษฐ์เครื่องกำเนิดควันมาด้วย ที่สำคัญมันคือเครื่องกำเนิดควันเครื่องแรกของประเทศไทย”
ชนะยิ้มพอใจมาก กระตือรือร้น ทุกคนแยกย้ายกันไป บงกชส่ายหน้าพึมพำกับกินรีอื่นๆ
“ผู้กำกับสติเฟื่องแบบนี้ จะฝากอนาคตไว้ดีไหมเนี่ย ฮึ !”

เพ้งนอนหลับรอเหมือนเคย ชนะเดินมาสะกิด ภูมิใจนำเสนอ
“ขอโทษครับ...เสี่ย...เสี่ยคอยดู...เครื่องกำเนิดควันตรงนั้น ที่อยู่หลังต้นไม้ปลอมนั่นน่ะครับ จะปล่อยควันออกมา บางๆเบาๆ ทำให้บรรยากาศรอบสระเป็นเหมือนสวรรค์ หนังเราต้องสวยไม่เหมือนใครเลยครับ”
“เออๆ พูดมากน้ำลายเต็มป่าไปหมดแล้ว รีบๆถ่ายเข้า จะบ่ายแล้ว”
ชนะยิ้มแย้มพยักหน้าว่า จะได้ถ่ายฉากสวยๆสมใจ รีบวิ่งไปประจำการ
“เสี่ย...เสี่ยดูนะ เครื่องกำเนิดควันเครื่องนี้จะทำให้บรรยากาศรอบ ๆ สระเป็นเหมือนสวรรค์”
ชนะกดปุ่มโชว์ เกิดเสียงระเบิด บึ้ม...บรรยากาศควันลอยพวยพุ่ง ทุกคนตกใจวิ่งชุลมุน บงกชร้องลั่น
“ระเบิด...ระเบิด ไฟไหม้...ไฟไหม้”
เพียงขวัญ จันท์กระพ้อกับกลุ่มผู้ช่วยวิ่งเข้าไป วักน้ำใส่กันใหญ่เท้าเตะสายไฟเกี่ยวขากล้อง โมเดลหล่นน้ำ กลุ่มกินรี แตกฮือ วิ่งไปแถวที่มีการจัดไฟสปอตไลท์หลายตัววางตั้งอยู่ เพ้งร้องลั่น
“เฮ้ย ระวังกล้อง”
ไฟสปอตไลท์ดวงใหญ่ราคาแพง ถูกกลุ่มกินรีเตะเอา จนเอนร่วงจ๋อมลงไปในน้ำแป้ก ระเบิดเล็กๆ ควันฉุย เพ้งสะดุ้ง กระโดดตัวลอยหน้าซีด ตะโกนด่าลั่น
“โฮ้ย...ไอ้ชนะ...ไอ้วินาศสันตะโร”
ชนะหน้าซีด ย่นคอ จ๋อยๆ

เพ้งยืนด่าชนะเสียงดัง โมโหมาก
“บอกแล้ว บอกแล้วใช่ไหม ให้ใช้ปี๊บ ใส่กากมะพร้าว เหมือนที่คนอื่นเขาใช้กัน”
“ก็มันไม่เหมือนสวรรค์”
“สวรรค์ของลื้อ นรกของอั๊วะ ข้าวของเสียหายหมด กล้องนั้น ราคาเท่าไหร่ ลื้อรู้ไหม”
ชนะหน้าเสีย
“ตัดค่าตัวผมไปก็ได้”
เพ้งเสียงดังว่าเดิม
“โฮ้ย...ค่าตัวลื้อมีเหลือให้ตัดเสียที่ไหน หนังเรื่องก่อนก็เจ๊ง เรื่องใหม่ลื้อก็ผลาญเงินอั๊วะไปแทบจะหมดตัว ต้องฟังเมียแก่ด่าทุกวัน”
“เสี่ยครับ หนังเรื่องนี้ ต้องกลายเป็นประวัติศาสตร์ เป็นความภาคภูมิใจของชาติ เหมือนที่ อากิระ คุโรซาว่าได้ประกาศความเกรียงไกร ของภาพยนตร์ญี่ปุ่น คนไทยเราก็ต้องมีอย่างนั้นบ้าง”
“พอๆ เลิกเพ้อ เลิกบ้าได้แล้ว หนังคือเงิน เงินเอาไว้ต่อเงิน มันก็แค่นั้นจบ อั๊วะตัดสินใจแล้ว อั๊วะไล่ลื้อออก”
ชนะตาเหลือก
“ไล่ผมออก ไม่ได้นะครับ หนังเรื่องนี้ผมทุ่มเททั้งชีวิต เสี่ยอย่าไล่ผมออกเลยนะครับ”
“อั๊วะเสียเงินมากไปกว่านี้ไม่ได้ กลับบ้านไปได้แล้ว เราจบกันแค่นี้”
ชนะช็อค เข่าอ่อนไปหมดทรุดตัวนั่งลง ในสภาพใจสลาย เพ้งเดินจากไป

เพียงขวัญกับจันท์กระพ้อแอบฟัง จนรู้เรื่องหมดแล้ว กลุ้มแทน

ค่ำนั้น จ่าละไมเดินอ้อมเครื่องบินมาเจอรณพีร์นั่งรออยู่เซ็งมาก

“สวัสดีครับคุณชาย เอ๊า ไม่ไปหาดาราคนสวยหรือครับ มานั่งง่อยอะไรอยู่ตรงนี้ล่ะครับ”
“ผู้หญิงทั้งพระนคร เข้าคิวรอไปทานข้าวกับผม แต่เธอกลับไม่สน ไล่ผมออกจากชีวิตเธอ”
จ่าละไมเคาะที่เครื่องบินที่ซ่อมอยู่
“อืม...ระบบนำร่องมันรวน”
“หาอะไหล่ซ่อมไม่ได้หรือ จ่าละไม”
“ขี้ใจน้อย ขี้งอนเจ้าอารมณ์ มีอะไหล่ที่ไหนกัน”
รณพีร์งง ตกลงพูดเรื่องอะไรวะ
“คนมีความรักก็อย่างนี้ ระบบนำร่อง สมองเสมิง มันรวนทุกคน ไม่มีเหตุผล หงุดหงิด โกรธง่าย”
จ่าละไมบ่นงุบๆงิบๆ ระหว่างซ่อมเครื่อง รณพีร์ค้อนๆ ที่หลอกด่ากันอีกแล้ว

วันใหม่...เพียงขวัญเดินมาดูบ้านชนะ มองไป รอบๆ เห็นประตูหน้าต่างปิดหมด เธอมองที่ประตู มีปิ่นโตวางอยู่ มดขึ้นเต็มไปหมด
“ประณตเอาปิ่นโตไปวางให้ตั้งแต่เช้า นี่ห้าโมงเย็นแล้ว ยังวางที่เดิมแสดงว่าไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า”
เพียงขวัญเคาะประตู
“ลุงนะ ลุงนะ ลุงนะอยู่หรือเปล่าคะ”
เพียงขวัญ ถอนใจ เคาะประตูก็ไม่เปิด ตายไปหรือยังก็ไม่รู้เธอเดินไปด้านหลังจะเปิดประตู เห็นประตูแง้มอยู่ เพียงขวัญรู้แกวหาไม้กวาดเล็กๆ แถวนั้น เขี่ยเปิดประตู
ชนะนอนไม่สบายตรอมกาย ตรอมใจอยู่ เพียงขวัญเดินมาหา จับที่แขน
“ลุงชนะ...ลุงชนะ ตัวร้อนนี่นา”
“ลุงไม่เป็นไร ลุงอยากอยู่คนเดียว”
“ลุงไม่สบาย ต้องตื่นมากินข้าว แล้วก็กินยาค่ะ เดี๋ยวขวัญไปเอามาให้กิน แต่ตอนนี้เช็ดตัวก่อนนะคะ”
เพียงขวัญไปเตรียมน้ำมา ชนะนอนเพ้อ เศร้า มองไปที่รูปป้าของเพียงขวัญที่อยู่บนหิ้งกลางบ้าน พูดกับรูป
“ลุงสัญญากับราตรีไว้ จะทำหนังเรื่องกินรี เพื่ออุทิศให้ราตรี เมียรักของลุง”
เพียงขวัญเริ่มเช็ดแขนให้ชนะ มองรูปป้าของตน คิดถึงเหมือนกัน
“แม่รำฉุยฉาย ป้าราตรีรำกินรีร่อน ป้าราตรีสอนให้หนูตั้งแต่ยังเด็ก”
“ลุงเป็นคนฉายหนัง เอาหนังไปฉายที่สนามหลวง เจอราตรีเขารำอยู่บนเวที ลุงก็เลยพากย์หนังผิดๆถูกเพราะคิดถึงราตรีทั้งคืนพอเราแต่งงานกัน ลุงได้เป็นผู้กำกับ ชีวิตมันเหมือนจะสมบูรณ์ แต่อยู่ๆ ราตรีก็มาจากลุงไป ลุงไม่เหลืออะไร เหมือนโลกมันมืด...มืดไปหมดแล้ว”
น้ำตาของชนะไหลรินลงมา เพียงขวัญเห็นแล้วนึกสงสาร
“ถ้าลุงทรมานตัวเองอยู่อย่างนี้ ป้าราตรีคงไม่ชอบใจหรอกค่ะ”
“ลุงอยากเห็นพระสุธน มโนราห์ โลดแล่นบนแผ่นฟิล์ม ประกาศความเป็นไทย หนังน่ะมีอายุเป็นร้อยๆปีเลยนะ คนรุ่นหลังจะได้เห็นรำกินรีร่อนของราตรีที่แสดงโดยหนู”
“ขวัญจะไปคุยกับเสี่ยเพ้งให้ ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ เดี๋ยวขวัญไปเอาข้าวเอายามาให้นะคะ”
“ถ้าไม่มีหนัง ลุงก็ไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ต่อไปทำไม โลกนี้มีแค่สองสิ่งที่ลุงรัก คือรักการทำหนัง กับ...รักราตรี นอกไปจากนี้ ไม่มีอะไรมีความหมายสำหรับลุงอีกแล้ว”
ชนะน้ำตาไหลริน เพียงขวัญเดินออกมากำลังจะเดินไปเอาอาหาร มองท้องฟ้าที่ประตูนึกถึงคำพูดของรณพีร์
“ความรัก ความรักอีกแล้วหรือ...เฮ้อ”
เพียงขวัญเดินออกไป ชนะมองรูปเมียรักใบหน้ายังมีน้ำตา

พิมพรรณเดินไปเดินมาในห้องอาหาร กระวนกระวายใจว่ายอดยศจะมาไหม แม่เดินเข้ามามองสำรับอาหารที่เสร็จนานแล้วมีฝาชีครอบอยู่
“ตายอดยศไม่มาอีกแล้ว นัดไม่เคยเป็นนัด...ฮึ”
“เดี๋ยวหนูจะโทรหาเขาที่กองบินค่ะ”
พิมพรรณเดินออกไปที่โทรศัพท์ แกล้งยกหูขึ้น ทำนิ้วเหมือนโทรแต่เอาตัวบังไว้ ไม่ได้โทรจริง
“จ่าสร้อยทองหรือคะ ดิฉันพิมพรรณ ขอเรียนสายหมวดยอดยศค่ะ...อ้อหรือคะ ค่ะ...ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะ”
พิมพรรณเดินกลับมาบอกแม่
“มีคำสั่งด่วนให้พี่ยอดยศขึ้นบินค่ะ”
แม่เซ็ง พิมพรรณยิ้มแห้ง
“กี่ครั้งแล้วเนี่ย ที่ให้รอแบบนี้”
“กินข้าวเถอะแม่”

พิมพรรณพยายามเปลี่ยนเรื่อง

วันใหม่...วิไลรัมภา พิมพรรณ ไฉไล มาที่บ้านพักทหารของยอดยศ พิมพรรณเดินเก็บข้าวของรกๆ ลงถังขยะ ทำงานบ้านให้ยอดยศ ตามประสาแม่บ้านแม่เรือนเหมือนที่เคยทำก่อนหน้านี้ วิไลรัมภากับไฉไลนั่งที่เก้าอี้แขก

“โกหกช่วยคุณยอดยศเนี่ยนะ ทำไปได้ยังไง ถ้าเป็นรัมภา รัมภาจะบอกคุณพ่อคุณแม่ตามตรง”
ไฉไลขัดขึ้น
“ถ้าบอกคุณพ่อคุณแม่ บอกคุณพ่อคุณแม่เพื่ออะไรคะคุณรัมภา”
“คุณพ่อคุณแม่ก็จะเร่งการแต่งงานขึ้นมา คุณก็จะได้ครอบครองคุณยอดยศ โดยไม่ต้องออกแรง แล้วนี่คุณทำอะไรคะ ทำไมไม่ให้ทหารรับใช้มาทำให้ล่ะคะ”
พิมพรรณหันมาบอกเรียบๆ
“คุณแม่สอนว่าให้ปรนนิบัติคุณยอดยศด้วยตัวเอง เพราะไม่มีใครดูแลคนรักดีเท่าเรา นี่ไงคะ ซักไม่สะอาดจริงๆด้วย เดี๋ยวต้องซักให้ใหม่”
พิมพรรณหยิบเสื้อออกมาจากกองเสื้อรีดแล้วที่ร้านส่งมาให้ แล้วเอาใส่อีกตะกร้าที่ต้องส่งซัก วิไลรัมภาไม่เห็นด้วยกับการกระทำขอเพื่อน
“คุณเป็นลูกสาวนายพลนะคะ ทำเองแบบนี้ ใครจะนับถือ คุณไฉไลคะ จัดการให้ได้ใช่ไหมคะ”
ไฉไลสะดุ้ง
“โอ๊ะ...ใช่ค่ะ ไฉไลทำได้ งานพวกนี้ ไฉไลช่วยแม่ทำมาตั้งแต่เด็ก ไฉไลทำให้เอง”
ไฉไลกุลีกุจอไปเก็บเสื้อผ้าของยอดยศเข้าตู้ให้ วิไลรัมภาเดินไปดึงพิมพรรณออกไป

วิไลรัมภาดึงพิมพรรณมานั่งที่โต๊ะที่เฉลียง
“มานั่งตรงนี้ ดื่มน้ำชา วางท่าให้สง่างาม ไม่ใช่ไปยืนหน้ามันกับงานแบบนั้น เป็นภรรยาของนักบิน อนาคตคุณหญิงแน่นอน ต้องวางตัวไว้ก่อน คุณไฉไลคะ ขอชาร้อนสักชุดสิคะ”
รัมภาส่งเสียงบอกไป ไฉไลส่งเสียงตอบกลับมา
“ได้ค่ะ”
พิมพรรณรีบบอก
“เกรงใจคุณไฉไล”
“พ่อไฉไลเป็นแค่เจ้าของเรือข้ามฟาก เรานับเขาเป็นเพื่อน คนระดับไฉไลได้รับเกียรติขนาดนั้น เขาต้องตอบแทนเราสองคนบ้าง”
พิมพรรณถอนใจบางๆ
“คุณรัมภาอย่าโมโหพิมเรื่องพี่ยศเลยนะคะ พิมแค่อยากให้การแต่งงานเกิดขึ้นจากความรัก ความต้องการของพี่ยอด ไม่ใช่จากการเร่งรัดของพิมกับคุณแม่ คุณรัมภาใช้วิธีเข้าทางผู้ใหญ่แบบนี้กับคุณชายพีร์หรือคะ”
วิไลรัมภาตอบอย่างมั่นใจ ความเชื่อมั่น ความถือในศักดินา เป็นมาตั้งแต่เกิดเป็นโดยธรรมชาติ
“ใช่ค่ะ...ปลายปีนี้ คุณชายใหญ่จะแต่งงาน รัมภาจะขอให้หม่อมย่าจัดงานแต่งงานหลังงานคุณชายใหญ่สักเดือนหนึ่ง หม่อมย่าต้องเห็นด้วยแน่นอน”
ยอดยศเดินมา พอเห็นพิมพรรณก็ละอายใจ
“พี่ยอด” พิมพรรณดีใจ
“มาดูแลบ้านให้ผมหรือครับน้องพิม บ้านผมสกปรกมากเลย เกรงใจจริง”
“เมื่อวาน พี่ยอดนัดกับคุณแม่ไว้ว่าจะมาทานข้าวที่บ้าน คุณแม่รอตั้งนาน”
ยอดยศอึ้งไป
“ตายจริง ผมลืมสนิทเลย ฝากกราบขอโทษท่านด้วยนะครับ”
วิไลรัมภาหน้าเสียทันที
“ลืมหรือคะ เป็นคำที่น่าเจ็บปวดมากเลยนะคะ”
พิมพรรณเบือนหน้าเศร้า ยอดยศเสียใจมาก ไม่น่าพูดออกไปเลย วิไลรัมภาชี้ไปที่บ้านข้างๆ
“พี่ชายพีร์ไม่ได้อยู่บ้านพักหรือคะ เมื่อครู่ รัมภาแวะไปดูไม่เห็นเจอใคร”
“หมู่นี้เขาไม่ค่อยอยู่ที่กองบินหรอกครับ คงอยู่ที่วัง”
วิไลรัมภาชะงัก
“ไม่นะคะ...รัมภาไปที่วังทุกวัน ไม่ค่อยเจอเหมือนกัน ไม่ได้อยู่ที่บ้านพักทหาร ไม่ได้อยู่ที่วัง แล้วพี่ชายพีร์ไปไหน”

วิไลรัมภาเริ่มสงสัย ว่ารณพีร์กำลังสนใจอะไร

รณพีร์ขับรถเท่เข้ามาจอด ทีมงานกำลังขนของเข้าไปเซ็ทข้างใน เขาลงจากรถเข้าไปในโรงถ่าย รณพีร์เดินเข้ามามองงงๆ ไม่ใช่ฉากนางเสือสาวแล้ว เป็นฉากเก้าอี้ยาวในห้องรับแขก บงกชกำลังนอนเซ็กซี่อวดผิวสวยอยู่ บงกชถ่ายสองสามรูปเสร็จพอดี เดินลงมาหา

“มาหานางเอกเจ้าเสน่ห์หรือคะ”
“เขาไม่ได้ถ่ายนางเสือสาวกันแล้วหรือครับ
“ปิดกล้องไปตั้งแต่วันที่เพื่อนคุณมาอาละวาดคราวก่อน นี้...ดิฉันกำลังถ่ายโฆษณาสบู่”
“คุณเพียงขวัญไม่ได้มาหรือครับ”
บงกชค้อนๆ แล้วเชิด
“ฉันเป็นนางเอกคนเดียว บริษัทสบู่เขาต้องการคนผิวผ่องอย่างฉัน”
“เอ...แล้วเขาจะไปถ่ายที่ไหนกันต่อครับ กินรียังไม่เสร็จใช่ไหมครับ”
“ไปถามทีมงานเอาเองสิคะ ฮึ...แมงเม่า ชอบบินเข้ากองไฟของ ยายเพียงขวัญ ระวังจะถูกเผาตายเหมือนเพื่อนคุณนะ”
รณพีร์ยิ้มแห้งๆ จ๋อยๆ บงกชเดินออกไป

ในสำนักงานบริษัทภาพยนตร์ของเพ้ง เพียงขวัญมาหาเจ้าหน้าที่
“ดิฉันมาขอพบเสี่ยเพ้งค่ะ”
“รอสักครู่นะคะ”
เลขาเดินเข้าไป ที่โต๊ะโทรศัพท์ห่างไป

เพ้งมาจ่ายเงินค่าโรงถ่ายกำลังดูบัญชีต่างๆในมืออยู่
“สตูดิโอของคุณมันเหนียวจริงโว้ย ค่ากาแฟยังคิด หยุมหยิมไม่เข้าเรื่อง โอ๊ย...แล้วนี่ค่าอะไรอีกเนี่ย ขีดออกเดี๋ยวนี้เลย ไม่ได้ใช้โว้ย”
เจ้าหน้าที่โต๊ะถัดไปรับสายโทรศัพท์ที่ดังเข้ามา
“โทรศัพท์ค่ะ”
เพ้งเดินไปรับสาย เสียงเลขาดังมา
“คุณเพียงขวัญมาขอพบเสี่ยค่ะ”
เพ้งดีใจ
“เพียงขวัญ...มาหาผมหรือ บอกเขาไปสิว่าผมมาโรงถ่ายมาเคลียร์เงิน เอ้อ...ไม่...ไม่ บอกให้อีไปพบอั๊วที่โรงแรมดาวทอง...อีกชั่วโมงเจอกัน”
สมุนชายสองคนมองหน้ากันยิ้มๆ นัดผู้หญิงที่โรงแรม บงกชเข้ามาได้ยินพอดี

เพียงขวัญฟังเลขาบอกแล้วไม่สบายใจ
“โรงแรมหรือคะ เอ...คุณช่วยโทรกลับไปขอนัดที่อื่นได้ไหมคะ”
เลขามองนาฬิกาสีหน้าเย็นๆ ไม่ค่อยสนใจใคร
“เที่ยงแล้ว เวลาพัก ขอโทษค่ะ อย่าคิดมากนะคะ เสี่ยเป็นเจ้าของโรงแรมดาวทอง นัดคุยกับดาราที่นั่นบ่อยๆ”
เลขาเดินออกไป ไม่สนใจอะไรทั้งนั้น เพียงขวัญยืนจ๋อย

เพ้งเดินออกมาหน้าโรงถ่าย สมุนตามติด ทีมงานทักทาย
“กลับแล้วหรือครับเสี่ย”
“มีนัดกับนางเอก นัดกับหนูเพียงขวัญโว้ย หนูเพียงขวัญเขานัดมาเมื่อกี๊”
เพ้งจงใจพูดเสียงดังให้คนแถวนั้นได้ยิน อยากประกาศ อยากจองเป็นเจ้าของ พวกผู้ชายหัวเราะกันใหญ่ สมุนแซว
“วันนี้คง...เหนื่อยแย่...เลยนะครับเสี่ย”
เพ้งหัวเราะใหญ่ คนอื่นหัวเราะตามกันหมด
“เพียงขวัญมีผู้ชายมาข้องแวะเยอะแยะ แต่เขาเลือกอั๊ว ติดใจลีลาของอั๊วที่ไอ้พวกนั้นมันสู้ไม่ได้”
เสียงหัวเราะดังลั่นอีกด้วยถ้อยคำที่เกินจริง แต่จงใจอวดผู้ชายด้วยกัน รณพีร์ยืนอยู่ได้ยินแล้วมือกำหมัดแน่น รณพีร์จะเดินเข้าไปเอาเรื่อง บงกชโผล่มาดึงไปเข้าไปคุยกันเสียงเบามุมหนึ่ง
“คุณจะทำอะไร”
“ออกไปคุยกับไอ้เสี่ยนั่นให้รู้เรื่อง เพียงขวัญไม่ใช่คนแบบนั้น”
“จะบ้าหรือ”

บงกชลากรณพีร์ออกไป เพ้งเดินขึ้นรถของตัวเองไปพร้อมสมุน
 
อ่านต่อหน้า 2

คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

บงกชลากรณพีร์ที่ยังโมโหมาคุยด้วย

“คุณก็เหมือนกับยอดยศ เหมือนผู้ชายทุกคนที่ถูกเสน่ห์ยายนั่นกับเสี่ยเขาคั่วกันมานานแล้ว ก่อนที่คุณจะโผล่มาเสียอีก คุณจะไปรู้อะไร”
“คุณกับเพียงขวัญไม่ถูกกัน นั่นคือสิ่งที่ผมเห็น”
“แต่ฉันรู้จักเพียงขวัญมาก่อนคุณ เขาเล่นหนังที่ฉันเป็นนางเอกมาสองเรื่อง แค่สองเรื่องเขาก็ได้เลื่อนขั้นเป็นนางเอก เพราะเขาเอาตัวเองลงทุนไว้สูงกับเสี่ยเพ้ง แล้วคุณล่ะรู้จักเขามานานเท่าไหร่”
“ระหว่างลมปากของคนอื่น กับสายตาตัวเอง เป็นคุณ คุณจะเชื่ออะไร”
“เจอยายนั่นบีบน้ำตาเข้าใส่ใช่ไหมล่ะ”
รณพีร์อึ้งไป เพราะจริง
“มารยาชั้นตื้นๆของผู้หญิง ใช้ได้ดีกับผู้ชายโง่ๆ”
รณพีร์สะดุ้งเล็กๆ
“ยายนั่นร้องไห้เพราะกลัวมีคนไปฟ้องเมียหลวงเสี่ยต่างหาก ใครๆก็รู้ว่าเมียเสี่ยดุแค่ไหน ไม่ใช่ร้องไห้เพราะถูกฉันใส่ร้ายซะหน่อย”
รณพีร์เบือนหน้าหนีแสดงกริยาไม่เชื่อ
“ไม่ต้องเชื่อฉันก็ได้ ไปที่โรงแรมดาวทองสิ ผู้หญิงดีๆเขาไม่นัดผู้ชายที่โรงแรมหรอก”
“ผมจะกลับบ้าน”
รณพีร์สีหน้าเฉยๆ ตอบเสร็จเดินกลับ บงกชมองตามยิ้มร้าย สะใจที่ได้เมาท์เขาเสียๆหายๆ

เพียงขวัญเพิ่งมาถึงโรงแรมมองไปรอบๆ ไม่ค่อยแน่ใจด้วยว่าควรมาไหม เดินมาหาเจ้าหน้าที่
“ดิฉันมาพบคุณเพ้งค่ะ”
“เชิญขึ้นไปชั้นบนสุดค่ะ 601 ค่ะ”
“ช่วยโทรบอกเขาว่า ดิฉัน เพียงขวัญ จะรอข้างล่าง ไม่อยากรบกวนค่ะ”
เจ้าหน้าที่กดโทรศัพท์ขึ้นไป เพียงขวัญเดินไปนั่งรอ

เพ้งอาบน้ำอยู่ ถูตัวให้สะอาดเอี่ยม ระหว่างอาบก็รำพึงไป
“เพียงขวัญ ยอดดวงใจของเสี่ย เสี่ยจะให้หนูเป็นนางเอก เป็นดาวค้างฟ้า ฮิฮิ”
เสียงโทรศัพท์ดังข้างนอก เพ้งไม่ได้ยิน ดมปากตัวเอง เดินมาแปรงฟันเตรียมพร้อมสุดฤทธิ์

เจ้าหน้าที่วางสายลง
“ไม่รับสายค่ะ”
เพียงขวัญยังลังเล เลยเดินมานั่ง กระวนกระวายมองนาฬิกา คิดในใจ หรือว่าจะมาคุยวันอื่นดี รณพีร์หน้าบึ้งเดินเข้ามามองมาดูว่าเพียงขวัญอยู่นี่จริงไหม ทั้งที่บอกว่าไม่อยากมาแต่ในที่สุด ด้วยอารมณ์ รักมากเลยหึงมาก เลยแวะมาดู เพียงขวัญหันไปเห็น
“คุณพีร์”
รณพีร์งอนเดินจากไป เพียงขวัญตามออกไป

รณพีร์เดินหน้าบึ้ง แค่จะมาดูเขาตามที่บงกชแนะ มาแล้วก็เจ็บ เพียงขวัญตามมาคุย
“คุณมาทำอะไรที่นี่คะ”
รณพีร์โวยเล็กๆ
“แล้วคุณล่ะมาทำอะไรที่นี่”
“คุณโมโหอะไรมา”
“ผมแค่อยากถาม คุณปฏิเสธผมเพราะอะไร เพราะคุณเข้าใจไปว่า ผมทำให้คุณเป็นนางเอกหนังไม่ได้ เพราะผมไม่ใช่เจ้าของโรงแรม ไม่ใช่ผู้อำนวยการสร้างรึไง ทำไมไม่บอกผมตรงๆล่ะ ผมให้คุณได้ทุกอย่าง มากกว่าเสี่ยเพ้งอีก”
เพียงขวัญหน้าตึงชักโกรธ รณพีร์ ดูผีเข้าผีออก เข้าใจยากจริง
“คราวที่แล้วคุณให้กำลังใจ คราวนี้คุณกลับมาดูถูกฉันอีก”
เพียงขวัญเดินออกไป รณพีร์มองหน้าเพียงขวัญ ไม่รู้จะพูดอะไรอีก ที่จริงไม่เข้าใจตนเองด้วยซ้ำ ว่าทำไมต้องบ้าๆบอๆแบบนี้ ร้องฮึ่ยแล้วเดินออกไป เพียงขวัญร้องฮึโกรธเหมือนกันเดินกลับเข้าโรงแรม บรรยากาศมึนตึงต่างเดินไปคนละทาง เพียงขวัญเดินขึ้นบันได...รณพีร์สตาร์ทมอเตอร์ไซด์ ออกตัวเร็ว...เพียงขวัญมาถึงหน้าห้องเพ้ง กำลังจะเคาะแล้วชะงัก สติคืนมาจะหันหลังกลับ เพ้งในชุดผ้าขนหนูเสื้อกล้าม เปิดประตูออกมา เพ้งดีใจ
“หนูขวัญ กำลังจะให้คนไปตามเลย มาสิ เข้ามา”
“เอ้อ...ดิฉันจะมาคุยเรื่องคุณชนะแต่ว่า” เพียงขวัญมองเสื้อผ้าเพ้ง ชักกลัว “วันนี้เสี่ยคงจะไม่สะดวก”
“โฮ้ย สะดวกสิ รออยู่เลย เข้ามาสิ เข้ามา”
เพ้งเข้าไปจับมือขวัญ จะดึงมา เพียงขวัญชักรู้สึกได้ถึงอันตราย ขืนตัวไว้
“ดิฉันว่า เราลงไปคุยกันข้างล่างดีกว่านะคะ ให้เสี่ยเสร็จธุระก่อน”
“เอ๊ะ บอกว่าให้มานี่ มาถึงนี่แล้วจะลงไปอีกทำไม”
“เอ้อ”
“มานี่...เอ๊ะ ดื้อจริงโว้ย”
เพ้งลากเพียงขวัญให้พ้นประตูเข้ามา เพียงขวัญได้แต่ขืนตัวไว้ สมุนคนสนิทสองคน เปิดประตูออกมาจากอีกห้อง ข้างๆกันเพราะได้ยินเสียง เพียงขวัญร้องลั่น
“ปล่อยค่ะ...ปล่อย”
สมุนทั้งสองมาช่วยจับเพียงขวัญเข้าไปในห้องเสี่ย
“ช่วยดะ...”
เพียงขวัญยังไม่ทันร้องก็ถูกสมุนปิดปาก ดันตัวเข้าไปในห้อง ประตูปิดลง

สมุนจับเพียงขวัญล็อกไว้บนเตียง เพ้งจ้องหน้า
“หนูจะมาคุยเรื่องไอ้ชนะ จะช่วยพูดให้มันกลับมาเป็นผู้กำกับล่ะสิ รักกันจริงนะ คนบ้าๆ บอๆ อย่างนั้น มีอะไรดีวะ”
เพียงขวัญดิ้น เพ้งหน้าหื่น
“มาเป็นเมียเสี่ยดีกว่าน่ะ เสี่ยจะส่งเสียหนูเอง เรื่องที่บ้าน เรื่องยาย เสี่ยจัดการให้หมด”
เพียงขวัญตื่นกลัว
“เสี่ยอย่าทำอะไรหนูนะ”
เพียงขวัญดิ้นจนหลุด ถลึงตัวจากเตียงพุ่งไปที่ประตู สมุนทั้งสองรีบตาม
“ช่วยด้วย”
สมุนตามมาดัก แล้วตบเพียงขวัญ ทีเดียวสลบเหมือด สมุนอีกคนรับไว้ทัน สมุนอุ้มไปนอนบน
เตียง เพ้งหัวเราะสะใจ ตามลงไปนอนข้างๆ
“ตอนนี้อั๊วะขอมีความสุขคนเดียวก่อนนะ เดี๋ยวลื้อตื่น ค่อยมาสนุกด้วยกัน”
สมุนยิ้มออกไป ปิดประตูห้องให้ เพ้งลูบไล้ใบหน้างดงามหัวเราะร่า ฉีกเสื้อ บริเวณแขนเสื้อข้างหนึ่ง ขาดแคว่ก สายตาเพ้งหื่นและน่ากลัว เพ้งก้มหน้าลงไปเชยชมร่างสาวงามบริเวณไหล่ขาวๆนั้น รณพีร์วิ่งขึ้นมามองหาห้อง แต่ทุกห้องล็อค...

สมุนสองคนเดินออกมาตามทาง
“อิจฉาเสี่ยว่ะ ได้เล่นหนังโป๊สดๆ กับนางเอกเพียงขวัญ”
สมุนหัวเราะกัน รณพีร์วิ่งมาเจอ
“เพียงขวัญอยู่ไหน”
สมุนถีบ รณพีร์หลบ ต่อสู้กันสองสามยก รณพีร์ฉลาดใช้ประตูห้อง ใช้ถังขยะจัดการสองสมุนจนสมุน คนหนึ่งสลบเหมือดแล้วชักปืนออกมาขู่สมุนอีกคน...สมุนคนนั้นตื่นกลัวรีบบอก
“ห้องบนซ้ายสุด”
รณพีร์วิ่งออกไป

รณพีร์ถีบประตูเข้าไป เจอเพ้งก้มอยู่บนตัวเพียงขวัญ
“ไอ้เดรัจฉานเพ้ง”
รณพีร์ลากเพ้งขึ้นมาชกต่อย เพ้งถลาไปที่พื้น เพ้งลุกมาต่อสู้ทั้งสองชกต่อยกัน เพ้งโดนหมัดหนักๆไปสองสามหมัดก็สลบเหมือด เพียงขวัญตื่นขึ้นมา
“คุณพีร์”
เพียงขวัญงุนงงไม่รู้เกิดอะไรขึ้นมองไปรอบๆ รณพีร์พุ่งไปหาห่วงใยอย่างที่สุด รู้สึกผิดจนแทบจะร้องไห้ที่เห็นสภาพเพียงขวัญเป็นแบบนี้
“ผมขอโทษ ผมควรจะอยู่เป็นเพื่อนคุณ ผมไม่น่าปล่อยคุณไว้ ผมผิดเอง ผมไม่ได้เรื่องเอง”
เพียงขวัญมองแขนเสื้อที่ขาด รู้สึกถึงความรุนแรง กักขฬะจากแขนเสื้อข้างหนึ่งที่ขาด นิ่วหน้าร้องไห้โฮออกมา รณพีร์ต้องรีบบอก
“ไม่...ยังไม่เกิดอะไรขึ้น ผมมาช่วยคุณทันเวลาพอดี คุณแค่สลบไป เขายังไม่ได้ล่วงเกินอะไรคุณ”
เพียงขวัญร้องไห้อย่างหนัก
“ฉันอยากกลับบ้าน”
“ผมจะพาคุณไปส่งเอง ไม่ต้องกลัวคุณขวัญ ไม่มีอะไรแล้ว”

รณพีร์ประคองเพียงขวัญที่ร้องไห้ออกจากห้องไป

เย็นนั้น วิไลรัมภา พิมพรรณ ไฉไลนั่งทานอาหารกันอยู่ในร้านอาหารฝรั่งเศส วิไลรัมภายังคิดเรื่องรณพีร์ ส่วนพิมพรรณเพิ่งเห็นมือตนเอง ว่าไม่มีแหวนรีบหันไปค้นกระเป๋าถือ ไฉไลสงสัย

“หาอะไรเหรอคะคุณพิม”
พิมพรรณเจอแหวนช่อของตนหล่นอยู่ในกระเป๋านั่นเอง รีบหยิบมาใส่นิ้ว โล่งใจมาก
“ค่อยยังชั่ว ใจหายหมดเลย หลุดอยู่ในกระเป๋านี่เอง คงเมื่อกี๊ตอนที่ล้วงกุญแจรถ”
วิไลรัมภาหันมาถาม
“แหวนอะไรคะ หน้าตาดูแปลกๆ”
“พี่ยอดยศ เขาให้พิมค่ะ”
พิมพรรณเศร้าเมื่อนึกถึงวันนั้น
“ก็มีทุกคนค่ะ คนที่จบนายเรืออากาศต้องทำแหวนช่อ 2 วง สำหรับตัวเอง 1วง สำหรับผู้หญิงที่เขารัก อีก 1 วง”
วิไลรัมภาร้องอืม ชักอยากรู้ของคุณชายรณพีร์ให้ใครไปหรือยัง
“แบบนี้พี่ชายพีร์ก็มีสิคะ”
“ถ้ามีจริงๆก็ต้องตกเป็นของคุณรัมภา ถูกต้องไหมคะ”
ไฉไลยิ้มประจบ วิไลรัมภายิ้มรับ มั่นใจ

ถนนยามค่ำคืน...รณพีร์ขับมอเตอร์ไซค์ มีเพียงขวัญซ้อนท้าย เธอหยุดร้องไห้แล้วเหม่อช็อค รถมอเตอร์ไซค์ขับเข้ามาที่น้ำพุ เธอสะกิดบอกเขา
“จอดรถหน่อยค่ะ”
รณพีร์จอดรถ เพียงขวัญไปที่น้ำพุ เอาน้ำลูบหน้าลูบตารำพึง
“ทำกับขวัญอย่างนี้ได้ยังไง ทำไมเขาต้องตีขวัญ ทำไมต้องทำร้ายขวัญขนาดนี้ด้วย”
รณพีร์จับเพียงขวัญสองไหล่ สบตากัน
“ต่อไปนี้ผมจะปกป้องคุ้มครองคุณเอง คุณขวัญ ผมขอสัญญาจะไม่มีใครทำร้ายคุณได้อีก”
“คุณพีร์”
เพียงขวัญร้องไห้โผกอดรณพีร์

รณพีร์ขับมาส่งเพียงขวัญที่หน้าบ้าน
“ทำหน้าให้สดชื่น เดี๋ยวคุณแม่คุณตื่นขึ้นมาเห็นเข้าจะเป็นห่วง ผมบอกแล้วไง ไม่มีอะไรเกิดขึ้น คุณก็ยังเป็นคุณคนเดิม ลืมเรื่องวันนี้เสีย”
“ฉันไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไงดี คุณพีร์”
“ตอบแทนผมด้วยมิตรภาพสิ มันมั่นคงที่สุด”
เพียงขวัญยิ้ม
“เข้าบ้านเถอะครับ”
“คุณพีร์ฉันขอร้อง อย่าเล่าเรื่องนี้ให้ใครฟัง”
“ครับจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
รณพีร์พยักหน้ารับคำ เพียงขวัญเข้าบ้านไป รณพีร์มองตามแค้นๆเพ้งอยู่

ทั้งหมดกินข้าวเช้ากัน เพียงขวัญหน้าเศร้า เขี่ยข้าว แบบคนซึมเศร้านภาหันไปถาม
“ไม่กินข้าวล่ะลูก”
“ไม่ค่อยหิวค่ะ”
“ไม่สบายหรือเปล่า”
เพียงขวัญส่ายหน้า บุหลันถามบ้าง
“แล้วจะไปถ่ายหนังอีกเมื่อไหร่”
เพียงขวัญวางช้อนดังคลิ๊ก โกรธขึ้นมาทันที บุหลันบ่น
“เมื่อไหร่จะถ่ายให้มันจบๆ จะได้รับเงินมาซะที เริ่มติดหนี้เฮียที่ร้านชำอีกแล้ว เมื่อวานก็ไปเชื่อข้าวสารเค้ามา เกรงใจเขา”
เพียงขวัญหน้าเศร้าหมองลง
“ขวัญจะไม่ไปถ่ายหนังอีกแล้ว เราจะทำมาหากินด้วยการเย็บเสื้อ ขวัญจะไม่รำ ไม่ถ่ายหนัง ไม่ไปออกงานอะไรอีก”
เพียงขวัญเม้มปาก เป็นปัญหาที่ไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน รณพีร์เดินเข้ามา เพิ่งมาเอาข้าวสารกับอาหารมาให้
“สวัสดีครับ”
ยายดีใจ
“พ่อพีร์ หายไปไหนนานเชียว”
นภาเรียก
“มากินข้าวด้วยกันสิ”
“ผมเอาข้าวสารมาฝาก มีกับข้าวด้วย”
นภาเห็นของแล้วหน้าตื่น
“ตายแล้วทำไมมันเยอะแยะอย่างนี้ล่ะ”
“มากินข้าวบ้านนี้บ่อยๆเกรงใจ แล้วนี่ยาของยายครับ คุณชายหมอท่านฝากมา พอดีผ่านไปแถวนั้น เลยแวะไปเอามาให้”
“ขอบใจลูก ใจดีจริงๆ ยาของคุณหมอดีมากๆ ยายนอนหลับสบาย ไม่ปวดอีกเลย”
เพียงขวัญที่ยังหน้าบึ้งมาตลอด ทุกคนงงกันหมด มองหน้าเพียงขวัญมองหน้ากัน เพียงขวัญลุกไป รณพีร์ลุกตามวางข้าวของเดินออกไป

เพียงขวัญเดินหนีมา รณพีร์เดินตามมาคุย
“ไม่อยากเล่นหนังแล้ว พอเข้าใจ ไม่อยากรำนี่คืออะไรครับ”
“อีกหน่อยคงไม่มีใครจ้างอยู่ดี”
“ทำไมล่ะครับ”
“ฉันเล่นหนังกับเสี่ยเพ้งคนเดียวมาตั้งแต่ต้น มีเรื่องกันแบบนี้ เขาคงไม่สนับสนุนฉัน”
“ถึงสนับสนุน เราก็ไม่ควรไปยุ่งกับไอ้เดรัจฉานคนนั้น”
“อีกไม่นานคนก็จะลืมชื่อฉัน ไม่มีใครจ้างไปรำหรือทำอะไรอีก”
“คนมีฝีมืออย่างคุณ ใครๆก็ต้องจ้าง คิดมากไปเอง”
“ต่อไปนี้ ถึงจ้างฉันก็ไม่รำ”
รณพีร์สงสัย
“ยายเป็นนางรำ ก็เลยเจอตา แม่เป็นนางรำก็ได้เจอพ่อ การเป็นนางรำ เป็นนักแสดง คนเขาคิดถึงแต่รูปร่างหน้าตาของเรา ไม่มีใครจริงใจกับเรา”
“ไปกันใหญ่แล้วคุณขวัญ มันไม่ใช่อย่างนั้นซักหน่อย เรื่องเสี่ยเพ้ง ทำให้คุณเป็นไปขนาดนี้เลยหรือ คุณหมดอาลัยตายอยากในชีวิตขนาดนี้เลยหรือครับ”

เพียงขวัญเศร้าไป รณพีร์กลุ้มสงสารเพียงขวัญ จู่ๆมาซึมเศร้าอย่างนี้

อ่านต่อตอนต่อไป

ขณะที่กำลังช่วยกันเก็บรับ หลังทานอาหารเสร็จ นภาแปลกใจในคำพูดของลูกสาว พูดขึ้นมาอย่างสงสัย

“ขวัญเป็นอะไรไปนะ”
บุหลันบ่นๆ
“ไม่เล่นหนังไม่ออกงานรำ แล้วจะไปเอาเงินที่ไหน อีกหน่อยคนก็ลืม แล้วบอกจะหาเงินให้ยายไปผ่าตัด”
“ถ้ามันลำบากนักฉันไม่ผ่าก็ได้อุตส่าห์ทนมาได้ขนาดนี้แล้ว” ยายพูดขึ้น
บุหลันคิดนิดหนึ่งแล้วโพล่ออกมา
“หรือว่ามันจะท้อง”
นภาปราม
“บุหลัน นี่อย่าพูดแบบนี้ให้ขวัญมันได้ยินนะ”
“ผู้ชายมีดีที่ไหน คอยดูเถอะ ท้องไม่มีพ่อขึ้นมาอีกคน ชาวบ้านเขาได้นินทาสนุกปากแน่”
นภากลุ้มๆ กังวล ไม่รู้ลูกเป็นอะไร

เพียงขวัญยังเศร้าหมอง ประณตนั่งทำการบ้านหน้าเคร่งขรึม เพราะตั้งใจมาก กระป๋องใส่ดินสอไว้หลายเล่มวางอยู่ข้างตัว เพียงขวัญต่อว่า
“นี่ดินสอร้านสลักจิตจะเหลือขายให้ใครมั้ย เราเล่นไปซื้อมาสะสมไว้คน เดียวอย่างนี้”
รณพีร์หยิบกระป๋องดินสอขึ้นมาดู แล้ววางลงอย่างสงสัย
“ทำอะไรอยู่ครับ เสืออากาศ”
“ทำการบ้านครับ ที่ครูสั่งมาทำเสร็จไปแล้ว นี่กำลังทำแบบฝึกหัดล่วงหน้าดู”
รณพีร์ได้ช่องหาทางดึงเพียงขวัญออกจากอารมณ์เศร้า
“ขยันอย่างนี้ต้องให้รางวัล คุณประณตอยากได้อะไรครับ”
ประณตมองหน้ารณพีร์ กับเพียงขวัญสลับไปมา
“อยากไปเที่ยวครับ นะ...พี่ขวัญนะไปด้วยกันนะ”
เพียงขวัญมองรณพีร์เกรงใจ
“อะไรกัน เพิ่งไปดูเครื่องบินกันมา เมื่อไม่กี่วันนี้เอง จะไปเที่ยวที่ไหนอีก”
“เที่ยวแถวนี้ก็ได้ครับ” รณพีร์บอก
“งั้นไปกับคุณพีร์สองคนละกันนะตาณต พี่อนุญาต”
เพียงขวัญจะเดินออก รณพีร์คว้ามือไว้แบบสุดเอื้อม เธอหันมา เขาพูดเลียนแบบประณต
“นะ...คุณขวัญนะ ไปด้วยกันนะ”

รณพีร์ เพียงขวัญ ประณต พายเรือมาตามคลองสามเสน เพื่อเดินทางไปที่ตลาด เพียงขวัญยังเหม่อเศร้า ประณตคอยชี้ชวนเล่าให้ฟัง รณพีร์คอยมองเพียงขวัญ ชวนคุยเพื่อให้เธอผ่อนคลายขึ้น บางคราวก็แหย่ ให้หัวเราะนั่นนี่ เพียงขวัญรู้สึกสนิทสนมกับรณพีร์ เหมือนเพื่อนที่สนิทกันมากขึ้น

ทั้งสามนั่งกินก๋วยเตี๋ยวด้วยกัน...
“โอ๊ยอิ่มช่วงนี้สอบ อ่านหนังสือ มันเครียดก็เลยกินซะเยอะเลยพี่พีร์”
“คุณประณตเป็นผู้ชายคนเดียวในบ้าน ต้องตั้งใจเรียนเป็นนักบินให้ได้จริงๆ จะได้ดูแลยาย คุณแม่ กับพี่ขวัญด้วย”
พอพูดเรื่องแม่ เรื่องพี่ เพียงขวัญแว่บเศร้า รณพีร์รีบคีบลูกชิ้นจากชามของเพียงขวัญ
“เอ๊ะนี่ลูกชิ้นฉันนะ เอาคืนมานี่เลย”
เพียงขวัญเลยแย่งจากประณต ประณตโวยวาย สองคนแย่งประณตกินสนุกสนาน

ทั้งสามอยู่ในร้านกาแฟ คนขายเอาโอเลี้ยงมาวางให้ ประณตหันมาถามเพียงขวัญ
“พี่ขวัญไม่รับงานรำแล้ว แล้วงานลอยกระทง ที่รับปากเขาไว้ใครจะไปรำฉุยฉายแทนล่ะพี่”
รณพีร์ชะงัก
“งานลอยกระทงหรือ...”
ประณตเตือน
“รับปากเขาแล้ว แต่ไม่ไปทำงานแบบนี้มันไม่ถูกนะฮะ”
เพียงขวัญกลับไปเศร้าอีก พอดีประณตเดินออกไป จะไปร้านเครื่องเขียนรณพีร์จึงขยับไปใกล้ พูดเสียงเบาได้ยินกันสองคน
“นายเพ้งมันรังแกคุณครั้งเดียว แต่คุณรังแกตัวเองร้อยครั้ง”
เพียงขวัญชะงัก
“หมายความว่าไง”
“ความคิดไง ความคิดที่วนเวียนไม่ยอมปล่อยวันละร้อยๆครั้ง”
เพียงขวัญถอนใจ รณพีร์พูดถูก แต่จะให้หายเศร้ามันทำไม่ได้ในทันที รณพีร์เหลือบไปเห็น ประณต ชะเง้อมองแอบๆซ่อนอยู่ตรงถังขยะแถวหน้าร้านเครื่องเขียน
“ประณตทำอะไรน่ะ”
เพียงขวัญมองไป
“อ๋อ เด็กผู้หญิงในร้านเครื่องเขียนชื่อสลักจิต เป็นเพื่อนนักเรียนของประณตค่ะ”

เพียงขวัญยิ้มๆ รู้เรื่องนี้อยู่ ทั้งสองนั่งมองอาการประหลาดของประณตต่อไป

ภายในร้านเครื่องเขียนเวลานั้น มีบุญชัยดูแลปัดฝุ่น ส่วนสลักจิตนั่งอ่านหนังสือ ทำการบ้านอยู่ที่โต๊ะด้านใน ประณตบ้าบออยู่ที่หน้าร้านเครื่องเขียนคนเดียว และแอบอยู่หลังถังขยะ พยายามชะเง้อเข้าไปมองหาสลักจิตอยากดูว่าเขาทำอะไรอยู่

ประณตยื่นหน้าเข้าไปในถังขยะ แล้วฟุดฟิดว่าเหม็น เลยถอยห่างออกมายืนที่มุมหนึ่งตั้งท่าดีๆ ดูหล่อๆ แล้วบรรจงเดินผ่านหน้าร้านจากมุมหนึ่งไป มุมหนึ่งเพื่อขอใช้ปลายสายตาดูว่าสลักจิตทำอะไรอยู่ กระนั้นก็ยังไม่พอ ประณตยังไปแอบดูอยู่ด้านหนึ่ง แล้วฉวยเอาหนังสือพิมพ์แถวนั้น เป็นของติดมือ เพื่อเดินกลับ ก่อนเดินกลับมีปรับตัวเองให้ดูหล่อ แล้วบรรจงวางท่าการเดินกลับ ทำนองว่า ไปซื้อหนังสือพิมพ์มา แต่จังหวะที่เดินมากลางร้าน รณพีร์ไปขวางเอาไว้ ไม่ให้ประณตเดินต่อ เขาหลบซ้าย รณพีร์ก็หลบ ซ้าย เขาหลบขวา รณพีร์หลบขวา
“พี่พีร์”
ประณตแอบเดินผ่านเดินมาพร้อมรถเข็น บุกเข้าใกล้ตู้หนังสือ สลักจิตเหลือบมอง ประณตหลบ จะมองอีกเจอบุญชัยพูดขึ้นเสียงดุ
“จะซื้ออะไร”
ประณตคอตกจ๋อย เดินเข้าไปในร้านหน้าซีด
“ดินสอแท่งหนึ่งครับ”
ประณตได้เข้าใกล้สลักจิตเพราะสลักจิตนั่งทำการบ้านบนโต๊ะทำงานของบุญชัย เขาหยิบสตางค์จากเสื้อรัดหนังยาง 1 สลึง วางตรงหน้าแล้วมองๆเธอ สลักจิตไม่มองเหมือนไม่รู้จักด้วยซ้ำ พอสลักจิตมองประณตก็ทำหน้าไม่ถูก จนบุญชัยส่งดินสอให้

ทั้งสามเดินถือของกลับมาที่เรือ ประณตนั่งมองดินสอ เพียงขวัญกับรณพีร์อมยิ้ม
“แค่ได้เดินผ่านหน้าบ้านเขาก็ดีใจจะแย่แล้วใช่มั้ยล่ะ” รณพีร์พายเรือแทน
“พูดอะไรไม่เห็นรู้เรื่องเลยพี่พีร์” ประณตเขินพร้อมเอาดินสอซ่อน
รณพีร์แหย่ต่อ
“ไม่เคยคุยกับเขาหรือ ได้ยินว่าชื่อสลักจิตน่ารักดีเนอะ”
“สอบได้ที่ 1 นั่งหน้าห้อง ส่วนผมอยู่หลังห้อง จำชื่อผมไม่ได้ด้วยมั้ง”
“ให้พี่ช่วยไหมล่ะ”
เพียงขวัญแอบขำ

เพียงขวัญกับรณพีร์หิ้วตะกร้ามาจะซื้อกับข้าว เธอมองหน้าเขาคิดเล็กน้อย
“ชอบทานแกงส้มดอกแคผักกระเฉดไหมคะ”
เพียงขวัญเขินๆ
“แม่บอกว่า ฉันทำอร่อย อยากทำให้คุณลองชิมดู”
รณพีร์ตะลึง ยิ้มกว้าง ดีใจมาก ที่หญิงสาวแสดงอาการเอื้ออาทรเขาออกมาเป็นครั้งแรก
“ชอบครับ อยากทานมากครับ”
เพียงขวัญพยักหน้า ทั้งสองซื้อของกัน รณพีร์ดีใจสุดๆ ที่เพียงขวัญมีทีท่าตอบรับตนมากขึ้นเรื่อยๆ

เพียงขวัญและประณต พายเรือมาตามทาง เอาเรือไปจอดที่ข้างๆกอผักกระเฉด จะเอาผักกระเฉดไปทำแกงส้ม โดยไม่ต้องซื้อ เธอเด็ดผักกระเฉดอย่างคล่องแคล่ว รณพีร์เลยทำตาม มีทีท่าเก้กังเล็กน้อยเพราะไม่เคยทำ
“นี่มันผักรู้นอนใช่ไหมครับ”
“เรียกเหมือนพวกผู้ดี พวกชาววังเลยนะคะ”
รณพีร์สะดุ้งเล็กน้อย
“อ้อ...ผักกระเฉด”
เพียงขวัญมองทีท่าที่ไม่คล่องแคล่วของเขา
“คนอะไร ทำเหมือนไม่เคยเก็บผักกระเฉด”
ประณตเอาเบ็ดตกกุ้งที่ตนปักไว้ริมตลิ่งก่อนหน้า ได้กุ้งมา 3 ตัว ก็เอากลับมาที่เรือ รณพีร์ตาโต
“โห...ได้กุ้งมาขนาดนี้เลยหรือ”
“อะไรพี่ จับกุ้งแม่น้ำแค่นี้ต้องตกใจด้วยรึ อย่าบอกนะว่าเป็นชาวนา จับกุ้งจับปลาไม่เป็น เมื่อวาน มาว่ายน้ำ เห็นมีไข่กุ้งติดที่ตอไม้ก็แปลว่ามีแม่มันอยู่แถวนี้ เมื่อคืนเลยเอาเบ็ดมาวาง”
รณพีร์ยิ้มแห้ง ก็มันมีแต่คนทำให้ ไม่รู้กระบวนการโดยละเอียดขนาดนี้นี่นา

ทั้งหมดตั้งวงกินข้าวเย็นกัน ทุกคนวางช้อนอิ่มแล้วนั่งมองรณพีร์กินแกงส้มดอกแคจนหมดถ้วย
“ขออีกชามได้มั้ยครับคุณประณต”
รณพีร์ยิ้มมอง เพียงขวัญเขิน เพราะรู้ดีที่เขากินหมด เพราะเธอบอกว่าทำให้เขา
“ได้ครับ”
ประณตหยิบหม้อใบย่อมขึ้นมาเอาทัพพีขูดไปที่หม้อให้รณพีร์ดู
“หมดแล้วครับ”

เพียงขวัญยิ้มที่เห็นรณพีร์ทานอย่างเอร็ดอร่อย

อ่านต่อหน้า 3

คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

ค่ำนั้น รณพีร์นั่งเอาขาจุ่มน้ำคนเดียว มีถ้วยขนมหวานอยู่ข้างๆทานยังไม่หมด มีตะเกียงวางข้างๆ เพียงขวัญเสร็จงานเดินถือเสื้อแจ๊คเก็ตเข้ามาคืน เขารีบมานั่งบนเสื่อ

“ขอบคุณอีกครั้งสำหรับเรื่องเมื่อคืนนะคะ...ขนมหวานไม่อร่อยหรือคะ หรือว่าหวานไป”
“หวานสู้คุณได้หรอครับ”
เพียงขวัญชะงัก
“หือ”
รณพีร์กรุ้มกริ่มดีใจที่เห็นเพียงขวัญดีขึ้นเรื่อยๆ
“เวลาคุณยิ้มให้ผม ขนมหวานที่ไหนก็หวานสู้คุณไม่ได้หรอก”
เพียงขวัญเขินมองหน้ากัน เพียงขวัญรู้สึกตัวหยิบขันน้ำส่งให้ รณพีร์ถือโอกาสจับมือ เธอเขินตีมือเขา
“คุณกลับเถอะคะ ดึกแล้วค่ะ น้าบุหลันเขาออกมามองหลายครั้งแล้ว เขาคงกลัวชาวบ้านแถวนี้ครหา”
รณพีร์ลุกขึ้นยืน
“ขอบคุณสำหรับวันนี้ ขอบคุณสำหรับแกงส้มแสนอร่อย ขอบคุณสำหรับรอยยิ้มที่คุณมอบให้ ยิ้มอีกครั้งได้มั้ยครับ”
“ทำไมเหรอคะ”
“ก่อนกลับผมอยากเก็บรอยยิ้มคุณกลับไปด้วยครับ”
เพียงขวัญผลักรณพีร์ออกไป แล้วยืนมองยิ้มๆ

วันใหม่...สมุน เพ้งอยู่ที่โต๊ะทำงาน อัทธ์เดินเข้ามาในบริษัท
“เสี่ยเพ้ง”
“ลื้อ”
เพ้งพยายามนึก เพราะเคยเจออยู่ในกองถ่าย
“ผมมาขอพบน้องเพียงขวัญ”
“ขวัญเขวินอะไรไม่รู้โว้ย เด็กเนรคุณนั้น อั๊วไม่ยุ่งด้วยแล้ว อั๊วยกเลิกหนังกินรีไม่ถ่ายแล้ว นางเสือสาวก็เหมือนกัน ถ่ายเสร็จก็ไม่ตัดต่อ ไม่ฉาย”
อัทธ์ตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นหรือครับ”
“มันพาคนมาซ้อมอั๊ว ที่เจ็บอยู่นี่เพราะมันทั้งนั้น เสียแรงอุตส่าห์เอาดิน มาปั้นให้เป็นดาว คนอกตัญญู”
เพ้งร้อนรนขึ้นมาทันทีทีท่ามีพิรุธ กับสายตาไม่วางใจของอัทธ์ โวยวายเสียงดัง สมุนทั้งสองพยักหน้าว่าจริง ไม่ได้ทำอะไร อัทธ์กลุ้มๆแล้วคราวนี้จะทำมาหากินอะไรกันต่อไป

อัทธ์มาหาพ่อที่บ้านเล่าให้ฟัง อดุลย์แปลกใจ
“เพียงขวัญมีเรื่องกับเสี่ยเพ้งหรือ”
“ครับ”
ทั้งสองกลุ้มเป็นห่วงเพียงขวัญ

นภาสอนเด็กเรียนรำอยู่ ประณตนั่งอ่านหนังสือ อดุลย์เดินถือถุงใส่ของกองใหญ่เข้ามาเป็นข้าวสารอาหารแห้ง นภาหันมาเสียแข็งใส่
“ฉันบอกแล้วไงคะบ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณ”
“ผมเอาของพวกนี้มาฝาก”
“เอาของของคุณกลับไป ที่นี่ไม่ต้องการ”
นภาผลักของออกไปทำให้อาหารกระป๋องหลุดจากถุงกลิ้งมาตรงหน้าประณต เขาหยิบมาวางข้างๆตัว เพียงขวัญเดินออกมาเจอเข้า ตกใจเหมือนกัน
“คุณอดุลย์...เด็กๆไปพักก่อน”
ระหว่างที่คุยกัน ประณตเจ้าเล่ห์ กระกระถดตัวไปที่กระป๋องลิ้นจี่ที่มันกลิ้งมาแถวๆตัวเขากระดื๊บๆ ทีละนิด ไม่ให้ใครเห็น เพียงขวัญหันมาหาอดุลย์
“เราคุยกันแล้วนะคะคุณจะไม่มาให้เรารู้สึกแย่อีก”
“เพียงขวัญ หนูไม่ได้เล่นหนังแล้วไม่ใช่หรือ อัทธ์เค้าเล่าให้พ่อฟังแล้ว พ่อก็เลยอยากจะมาชวนหนูไปทำงานที่บริษัท”
นภาแทรกขึ้น
“ทำงานที่บริษัท บริษัทของคุณน่ะหรือ”
“บริษัททำไม้นี่แหล่ะ ไม่ไกลจากที่นี่ พ่ออยากให้หนูไปฝึกงาน วันข้างหน้าถ้าหนูอยากได้มัน พ่อจะยกให้”
“ขอบคุณมากค่ะ แต่ฉันไม่ต้องการ ข้าวของพวกนี้ก็เหมือนกัน ฉันไม่เอา”
เพียงขวัญลุกไป หยิบลิ้นจี่ที่ประณตกระดื๊บไปใกล้ถึงแล้วหยิบใส่ถุงแล้วขยับถุงต่างๆคืนอดุลย์
“กลับไปซะเถอะค่ะ พวกเราดูแลตัวเองได้ ฉันอยากให้คุณจำไว้ว่า เราสองคนแม่ลูกได้ตายจากคุณไปนานแล้ว”
อดุลย์หน้าเศร้าหมอง ประณตหยิบลิ้นจี่ใส่ถุงคืนให้อดุลย์ รณพีร์เพิ่งเข้ามาแอบยืนมองอยู่มุมหนึ่ง ได้ยินเกือบหมดแล้ว
“คุณก็ทราบแล้วนี่คะว่าบ้านนี้ไม่ต้อนรับคุณ”
อดุลย์พยักหน้าให้คนขับรถที่ยืนรออยู่ ขนของกลับ ตัวเองถอนใจมองหน้าคนใจแข็งทั้งสองคนแล้วยอมหันกลับไป

นภาหน้าเครียด เช่นเดียวกับเพียงขวัญ

เพียงขวัญนั่งปักผ้า รณพีร์นั่งซ่อมอุปกรณ์อื่นๆในบ้านให้ เขาชอบทำงานพวกนี้ เพราะเห็นว่าบ้านนี้ไม่มีผู้ชาย

“เขาคงอยากช่วยเหลือด้วยความหวังดี อย่าคิดมากซิครับ”
เพียงขวัญหงุดหงิด หัวเสียไม่เลิกรา
“เขาสงสารฉันมาก ถึงได้หอบข้าวของเป็นถุงๆแบบนั้นมา แต่เขาคงลืมสิ่งที่เขาทำกับฉันกับแม่นภา”
รณพีร์อึ้งไป โดนโวยไปด้วย
“ยิ่งสงสาร ยิ่งช่วยเหลือ ฉันยิ่งสมเพศตัวเอง ปล่อยฉันจัดการชีวิตด้วยตัวฉันเองไม่ได้หรือไง”
รณพีร์พยายามแย้ง
“แต่เขาเป็นพ่อคุณนะ”
“ฉันอยู่อย่างนี้ ฉันเป็นลูกแม่นภาก็ดีอยู่แล้ว ถ้าฉันเข้าบริษัทนั้น ฉันจะกลายเป็นลูกเมียน้อยของคุณอดุลย์ทันที เป็นนักแสดง คนก็ด่าว่าเป็นเมียน้อย ไปทำงานบริษัทเขา คนก็จะด่าว่าฉันเป็นลูกเมียน้อยอีก ฉันเบื่อ ฉันอยากเป็นแค่ผู้หญิงธรรมดาที่หาเลี้ยงครอบครัวด้วยตัวเอง ฉันขอแค่นี้...ฉันขอแค่นี้ไม่ได้เหรอค่ะ”
เพียงขวัญมีอารมณ์ไม่ชอบใจอย่างมาก จนรณพีร์กลุ้ม

รณพีร์กลับจากบ้านเพียงขวัญเพิ่งถึงวัง ท่าทางดีใจเพราะรู้แล้วว่าวันนี้พี่ชายคนหนึ่งจะกลับบ้าน สมบุญมารอรับ
“พี่ชายเล็กล่ะ มาถึงแล้วใช่ไหม”
วิไลรัมภาเดินออกมาหา เพราะมาที่นี่ทุกวันอยู่แล้ว
“คุณชายรัชชานนท์กลับมาแล้วค่ะ ขอตัวไปพักผ่อน...พี่ชายเล็กกับเจ้าหญิงสร้อยฟ้าน่ารักมากเลยนะคะ เรายังคุยกันเรื่องพี่ชายพีร์ว่า...”
รณพีร์ดีใจอยากเจอมาก ใจร้อน เพราะคิดถึงพี่ชาย ตัดบทวิไลรัมภาจะรีบไปห้องห้าสิงห์
“เอ้อ ขอตัวก่อนนะครับ น้องรัมภา”
“ทานขนมก่อนสิคะ วันนี้รัมภาทำไว้ให้พี่ชายพีร์ที่โถงใหญ่โน่นค่ะ”
รณพีร์รีบเดินเข้าไปทันที วิไลรัมภาโกรธ จะอยู่คุยกันมันเสียเวลามากหรือ

รัชชานนท์กับสร้อยฟ้า กำลังเปิดสไลด์ภาพ เวียงภูคำ เห็นถึงความสงบร่มเย็นของบ้านเมือง พร้อมอธิบายถึงการปกครองของชัชชวีร์
“บริเวณ...นี้...เป็นลานประชุมถึงการปกครองรูปแบบใหม่ที่เจ้าหลวงรังสิมันต์มอบให้เป็นของขวัญแก่ประชาชนของเขา เดโมเครซี่ หน่วยการปกครองแบบประชาธิปไตย เหมือนของเราครับ”
ระวีรำไพพูดขึ้น
“กว่าจะทำให้พวกเขาเข้าใจได้ คงจะเหนื่อยกันแย่ซิค่ะ”
รณพีร์เข้ามาเปิดไฟในห้องจุฑาเทพ...แป๊ะ...ทุกคนหันไปมองการมาของน้องคนสุดท้อง รณพีร์ สวัสดีพี่ทุกคน เดินเข้าไปทักทาย รัชชานนท์แบบสนิทสนม เพราะไม่ได้เจอกันนาน
“สวัสดีทุกคนครับ พี่ชายเล็ก”
“ชายพีร์เป็นยังไงบ้าง”
“สบายดีพี่ เจ้าหญิงสร้อยฟ้าทรงคล้ำลงไปเยอะนะครับ...แต่สิริโฉมงดงามกว่าเดิม”
“งดงามอะไรกันค่ะ ก็เด็กชาวป่าคนเดิมนั่นแหละค่ะ”
ระวีรำไพใช้ช้อนเคาะแก้วชาม...แก๊งๆๆๆ
“ปรางว่าเราเข้าเรื่องกันเลยดีกว่าค่ะ”
รณพีร์เห็นทุกคนอมยิ้มจ้องมาที่เค้าเป็นตาเดียว ธราธรถามขึ้น
“ไหนเล่ามาซิ เรื่องผู้หญิงของพีร์ ฟังจากพุฒิภัทรเล่ายังไม่กระจ่างเท่าไหร่”
กรองแก้วเสริม
“เห็นว่าเป็นนางเอกหนังด้วยใช่มั้ยค่ะ”
สร้อยฟ้าถามบ้าง
“แล้วเรื่องที่จะให้ชายรัชชานนท์ทำจดหมายให้ทุนผ่าตัดเข่าอะไรนั่น มันคืออะไรกันค่ะ”
รณพีร์รีบยกมือห้าม
“เธอชื่อเพียงขวัญ”
พุฒิภัทรพูดต่อ
“คุณยายเธอป่วยต้องผ่าตัดเข่า”
“ผมเป็นห่วงเธอ”
ระวีรำไพมองรณพีร์
“รัก...ไม่ใช่ห่วง อยากดูแลออกค่ารักษาพยาบาลให้เขา”
“ก็...นั่นแหละครับ ประเด็น แต่เธอถือทิฐิ นอกจากคุณยายที่ป่วยอยู่ตรงนั้น ที่บ้านก็มีปัญหาเรื่องการเงินชักหน้าไม่ถึงหลังแล้ว เพียงขวัญไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใคร แม้แต่พ่อของเธอเอง”
“อุ้ย...เรื่องมันชักสนุกแล้วซิค่ะ อย่างนี้ชายรัชชานนท์ทำจดหมายให้ทุนไปเลยค่ะ” สร้อยฟ้านึกพล็อต “ชายพีร์ก็จะได้เป็นสุภาพบุรุษ ผู้อยู่เบื้องหลัง ให้ความช่วยเหลือ แด่นางอันเป็นที่รัก”
กรองแก้วขัดขึ้น
“แต่ว่าย่าเอียด ย่าอ่อนคงจะไม่สนุกด้วยหรอกค่ะ หากท่านรู้เข้า”
ระวีรำไพหนักใจแทน
“แล้วหญิงวิไลรัมภาล่ะค่ะ ชายพีร์จะเอาไปไว้ไหนค่ะ”
รณพีร์กลุ้มใจ

“นี่แหละครับปัญหา ผมไม่ได้รักน้องรัมภา ผมรักเพียงขวัญ”

ด้านวิไลรัมภาเดินมาพร้อมกาน้ำชามาหน้าห้องเธอคิดจะดุ่มๆ เปิดประตูเข้าไป สมศรีเดินมากับแจ๋ว สมศรีรีบบอก

“ขออภัยค่ะคนนอกห้ามเข้าห้องนี้”
“ได้ค่ะป้าสมศรีให้แจ๋วเอาไปให้เองก็ได้ค่ะ คุณวิไลรัมภา”
แจ๋วเข้ามาขอน้ำชา วิไลรัมภาด่าทันที
“พวกชั้นต่ำ”
สมศรีกับแจ๋ว ตกใจมาก หน้าหวานๆ จู่ๆก็ด่า
“มองหน้าฉันรึ...ดีแล้ว มองหน้าฉัน แล้วจำเอาไว้ว่า นี่คือสะใภ้จุฑาเทพคนต่อไป”
วิไลรัมภายัดชาใส่มือแจ๋วแล้วเดินกลับไป แจ๋วกับสมศรีโกรธ แจ๋วอึ้งๆ
“ไม่มีคุณท่านคนไหน เรียกเราอย่างนี้เลย”
“เพราะอะไรรู้ไหม เพราะคนชั้นสูงจริงๆจะไม่เอ่ยปากดูถูกใครว่าเป็นคนชั้นต่ำกันหรอกแจ๋ว”
ทั้งสองมองตามวิไลรัมภาอย่างเกลียดชัง

วิไลรัมภาลุกลี้ลุกลนเข้ามาในห้องรณพีร์ เห็นกล่องใส่แหวนช่อสำหรับผู้หญิงวางอยู่ข้างรูปรณพีร์
“แหวนช่อวงนี้ มันจะต้องอยู่ในนิ้วนางซ้ายของวิไลรัมภาเท่านั้น”
วิไลรัมภาโกรธจนน้ำตาคลอ กำหมัดแน่น

วันใหม่...ยอดยศนั่งคุยกับวิไลรัมภาอยู่ที่กองบิน
“ผู้หญิงที่เห็นใกล้ชิดไอ้พีร์ที่สุด ก็คือคุณวิไลรัมภานี่แหละครับ สำหรับพวกเรา เรื่องชายพีร์ไปทานข้าวกับผู้หญิงนี่ เห็นบ่อยๆครับ แต่ไม่เห็นยืดยาวสักราย คุณรัมภาก็รู้นี่ครับ”
“แต่ไม่มีใครที่พี่ชายพีร์คิดจะให้แหวนช่อ ใช่ไหมคะ”
“ไม่มีหรอกครับ”
วิไลรัมภาหมายมาด

เพียงขวัญ นั่งปักผ้ากับ รณพีร์นั่งกันอยู่ศาลาริมน้ำ
“คืนนี้ลอยกระทง ตกลงคุณจะไปรำไหมครับ ถ้าคุณกลัวเรื่องงานดึก ผมจะไปรับส่งคุณเอง”
เพียงขวัญลังเล คิดอยู่เลยไม่ตอบ
“คุณแค่กำลังท้อใจ หมดกำลังใจ ก็เท่านั้น คิดถึงคนที่รอดูคุณอยู่ คิดถึงเจ้าของงานที่เขาชื่นชอบงานของคุณสิครับ”
เพียงขวัญมองไปที่ชนะที่นั่งอยู่บันไดหน้าบ้าน
“คนที่ท้อใจมากกว่าฉัน...นั่นไง”
รณพีร์มองไป ชนะนั่งอยู่ตรงบันไดหน้าบ้าน ซึมเศร้า
“คนที่หมดอะไรตายยาก เพราะสูญเสียสิ่งที่ตัวเองรักไป ก็มักจะเป็นอย่างนี้แหละครับ”
ชนะพึมพำออกมา
“รอก ต้องเพิ่มเฟือง เข้าไปอีกอัน มันก็จะไม่ค้าง เอ๊ะ! แต่ฉันไม่ได้ทำหนังอีกแล้วนี่”
พอตั้งสติได้ก็คิดเรื่องเศร้า คร่ำครวญทันที
“ราตรี ผมควรจะทำยังไงต่อไปดี ไม่มีคุณแล้ว ยังไม่มีหนังให้ทำอีก”
ชนะน้ำตาคลอขึ้นมาอีก รณพีร์กับเพียงขวัญอ่อนอกอ่อนใจ

รณพีร์มองไปที่ชนะอีกครั้ง
“คุณชนะเป็นแบบนี้ เพราะไม่ได้ทำในสิ่งที่ตนรัก คุณไม่ได้รำแล้วจิตใจมันจะแย่ หรือว่าคุณชอบเย็บเสื้อ”
เพียงขวัญนิ่งอึ้งไม่พูด
“คุณเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับการรำ ผมเคยเห็นเวลาคุณรำคุณเหมือนต้องมนต์ คุณเคยบอก กว่าจะรำสวยได้ต้องฝึกเป็นปี คุณทำอย่างนั้นได้เพราะคุณรักมัน”
“งานเย็บเสื้อมันก็งานเหมือนกัน งานที่ได้เงิน แล้วไม่ต้องยุ่งกับใคร ไม่มีใครมายุ่งกับเรา น่าทำจะตาย”
รณพีร์มองไปทางนภาที่สอนเด็กๆที่ลานรำ

นภาสอนเด็กรำ แดงตีฉิ่งให้ ไม่ได้เข้าฝึกรำเพราะไม่ชอบ
“จะโจงจะ ทิงโจงทิง”
เด็กๆรำตามการให้จังหวะของฉิ่งและเสียงนภาสีหน้านภามีความสุข รณพีร์กับเพียงขวัญมองไปที่นภาสอนเด็กๆ
“คุณน้านภา สอนเด็กทุกวัน มีงานมาจ้างบ้างไหม”
“ไม่ค่อยมีหรอกค่ะ เราไม่ได้ตั้งเป็นคณะ อีกอย่าง เด็กพวกนี้ กว่าจะใช้งานได้ก็เป็นปีๆ แม่น่ะขี้สงสาร”
“เด็กพวกนี้ ถ้าไม่ได้หัดรำ แดงก็คงเป็นอันธพาลตามพี่ชาย ส่วนเด็กผู้หญิงก็ยิ่งอันตราย”
เพียงขวัญพยักหน้า
“เด็กพวกนี้ พ่อแม่ขี้เมา บางคนก็ไม่มีงานทำเลย แม่คิดว่าถ้าเขามีวิชาติดตัว มีอะไรยึดเหนี่ยว เขาก็ไม่เสียคนตามพ่อแม่”
“น้านภารักเด็กพวกนี้ รักการรำ น้านภาพบสิ่งที่ตนเองรัก ต่อให้มีปัญหามากมาย ดูสิ...เธอยังดูมีความสุข มีมากกว่าคุณ มากกว่าใคร”
จริงของรณพีร์ นภานั่งยิ้มระหว่างมองเด็กๆ รำได้ดีขึ้น นภาเรียกเด็กคนหนึ่งมาดัดแขนด้วยน้ำข้าวอุ่น
“มานี่มา เอาน้ำข้าวอุ่นๆมาช่วยดัดมือ ดัดแขนก็เพราะ อีกหน่อยก็ตั้งวงสวย”
นภาดัดที่แขนของเด็กคนหนึ่ง ตามวิธีการโบราณ เพียงขวัญรำพึง
“กว่าจะเป็นนางรำได้ ต้องเจ็บขา เจ็บแขนเป็นปีๆ”
รณพีร์หันมองหน้าเพียงขวัญ
“ทั้งหมดนี้มันคือชีวิตของคุณนะครับคุณจะทิ้งมันได้ลงเหรอ”

สองคนมองหน้ากันซึ้งๆ

ขณะที่พิมพรรณ วิไลรัมภาและไฉไล เดินเข้ามา เห็นยอดยศเมาหลับอยู่ที่โซฟา ไฉไลถอนใจ

“อุ๊ย วันนี้เมาอยู่ที่บ้าน เฮ้อ...งานการไม่ทำ”
พิมพรรณเดินมาใกล้จะมาเก็บแก้ว ขวดเหล้า เจอรูปเพียงขวัญเป็นโปสเตอร์โฆษณา 1 รูป รูปที่ถ่ายคู่กับยอดยศอีก 1รูปหล่นอยู่ใกล้มือยอดยศ เมื่อคืนยอดยศคงคิดถึงเพียงขวัญนั่งดูรูปจนเมาหลับไป พิมพรรณชะงักเศร้า วิไลรัมภาจึงมาหยิบแทน
“นี่น่ะหรือ แม่ดาราที่คุณยอดยศติดใจนักหนา ไม่เห็นสวยเลย ฮึ...พวกผู้หญิงเต้นกินรำกิน”
วิไลรัมภามองรูปเพียงขวัญรังเกียจ ยอดยศงัวเงียตื่น
“คุณพิม”
ยอดยศรีบลุกขึ้น แย่งรูปจากวิไลรัมภาและรูปอื่นมาซ่อนไว้ใต้หมอน เกรงใจพิมพรรณที่ยืนหน้า
ซีดเศร้าอยู่
“ขอโทษครับ...นี่กี่โมงแล้วเนี่ย”
“สิบโมงกว่าแล้วค่ะ”
“ฮ้า! ผมตื่นไม่ทันอีกแล้วเหรอครับเนี่ย”
วิไลรัมภาหันมาถาม
“พี่ชายพีร์ไม่อยู่ที่กองบิน ไม่อยู่ที่บ้านพัก คุณยอดยศทราบไหมคะ เธอไปไหน”
“วันนี้วันหยุดเขา...แต่ไม่ใช่ของผม เฮ้อ ขาดงานอีกแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ”
ยอดยศปลีกตัวไปแต่งตัว วิไลรัมภาบ่นเซ็งๆ
“คิดจะมาเฝ้าพี่ชายพีร์จะมาดูสักหน่อยว่าวันนี้พี่ชายพีร์ทำอะไรบ้าง กลายเป็นวันหยุดไปเสียอีก”
พิมพรรณยังอารมณ์เศร้า ไฉไลนึกได้
“วันนี้วันลอยกระทง เดี๋ยวชวนคุณยอดยศ ไปทานข้าวดีกว่า อย่าคิดมากกันนะคะ เดี๋ยวไม่สวย”
ไฉไลจับมือวิไลรัมภาที่เซ็งและมือของพิมพรรณที่เศร้า ให้กำลังใจ

รณพีร์ เพียงขวัญ ประณตออกมาซื้อกับข้าวเหมือนเคย รณพีร์ตามหิ้วของให้สนิทสนมมากขึ้น
เดินคุยกันมา ประณตเดินฉีกออกไปหน้าร้านเครื่องเขียน...ประณตเดินมาหามองๆสลักจิตอีกแล้ว รณพีร์ตามมาสะกิด
“อยากเป็นเพื่อนกับสลักจิตใช่ไหม ผมช่วยคุณประณตได้นะ”
“ผมไม่รู้จะพูดอะไรกับเขาครับพี่”
“ก็ไม่ต้องพูด”
“พ่อเขายืนขายของอยู่หน้าร้านตลอด”
“พ่อเขาไม่รู้หรอก ใช้ฝีมือนิดหน่อย คุณประณตไปขอกระดาษกับดินสอที่เฮียมาให้ผม”
ประณตทำหน้าคิดจะเอาดีไม่เอาดี

ประณตขอกระดาษ กับดินสอมาจากร้านกาแฟ เพียงขวัญนั่งรอยิ้มๆ รณพีร์รับกระดาษจากประณตมาเขียนแล้วเริ่มพับเป็นเครื่องบิน ประณตสงสัย
“เขียนว่าอะไร”
“ห้ามดู ไม่ต้องรู้หรอกน่ะ”
รณพีร์พับเสร็จ ส่งให้ ประณตรับไปมองเครื่องบินนั้น

ประณตเดินมาแอบที่หน้าร้าน พอบุญชัยหันหลัง เขาก็ร่อนเครื่องบินไปตกลงที่โต๊ะหนังสือสลักจิตพอดี ประณตยิ้ม สลักจิตเปิดออกอ่านพออ่านเสร็จ เธอโกรธกอดอก หน้างอ ประณตงงๆ

รณพีร์กับเพียงขวัญ เอาของจากตลาดมาช่วยกันทำครัว รณพีร์หั่นผักเก้กังจนเพียงขวัญต้องเข้ามาช่วย
“นี่คุณ คุณนี่ให้ย่าทำทุกอย่างเลยหรือคะ อย่าปาดมีดลึกนักสิคะ เดี๋ยวก็ไม่เหลือเนื้อมะละกอให้แกงหรอกค่ะ”
รณพีร์ยิ้มแห้งหั่นต่อ ประณตเข้ามาหา
“จะบอกได้หรือยังครับ ว่ากระดาษนั่นเขียนอะไร”
“เขียนว่า สลักจิต พรุ่งนี้ผมจะทำสอบเลขให้ได้คะแนนมากกว่าเธอ จากประณต”
ประณตโวยวายเสียงดัง
“เฮ้ย...พี่ ผมไม่มีทางชนะสลักจิตเลยนะ นั่นน่ะที่หนึ่งของห้องนะพี่”
“จุดประสงค์ไม่ใช่เอาชนะสลักจิต สมมติว่าแพ้ คุณเป็นผู้หญิง คุณจะรู้สึกยังไงครับ คุณเพียงขวัญ”
“ไอ้ขี้โม้”
ประณตหน้าเหี่ยว เข่าอ่อน ลงไปนั่งกอง
“แย่แล้วนายประณต”
ประณตครวญ รณพีร์ยังยิ้มถามเพียงขวัญต่อ
“แล้วทำไม คุณรู้ล่ะว่า ขี้โม้”
“ก็คุณเขียนจดหมายมาบอกว่าจะชนะฉัน ฉันก็รอดูน่ะสิ เขียนมาแล้วทำไม่ได้ มันก็ต้องเป็นไอ้ขี้โม้”
“นั่นไง แล้วเขาก็ตามดูเราว่าสอบได้ไหม แล้วเขาก็จำเราได้ว่าเราคือไอ้ขี้โม้ ดีกว่าจำเราไม่ได้เลยจากที่เราเคยแต่แอบมองเขา เขาก็จะเป็นฝ่ายแอบมองเราบ้าง”
เพียงขวัญอึ้ง ประณตกลับมายิ้ม
“โหพี่พีร์...”
“คุณประณตตั้งใจเรียนเพื่อสอบเป็นนักบิน คุณประณตก็ต้องสอบให้ได้ที่หนึ่ง ถึงวันนั้น จากที่จำได้ จะกลายเป็นชื่นชม คุณสลักจิตจะไม่มีวันลืมคุณประณตแน่นอน”
ประณตเกิดความฮึกเหิม วางมาดขึ้นมาทันที สั่งเพียงขวัญ
“ผมจะไปอ่านหนังสือ บอกแม่ด้วยว่า ให้เอาข้าวไปส่งที่ห้อง ไม่ออกมากินแล้ว เสียเวลา”
ประณตหน้าตามุ่งมั่น เดินออกไป รณพีร์กับเพียงขวัญขำ
“ขอบคุณนะคะ คุณทำให้ประณตตั้งใจเรียนขึ้นมาก เพราะเขาอยากเป็นนักบินแบบคุณ ถึงตอนนี้คงอยากจะสอบได้ที่ 1 ด้วย”
“เพราะประณตรักที่จะเป็นนักบินไงครับ คุณเองก็ยังรักที่จะรำอยู่ไม่ใช่หรือ คุณควรจะไปทำในสิ่งที่คุณรักนะครับ”

เพียงขวัญยิ้มให้พยักหน้า ตกลง ดีขึ้นมากแล้ว

อ่านต่อหน้า 4

คุณชายรณพีร์ ตอนที่ 4 (ต่อ)

รณพีร์ขี่มอเตอร์ไซค์พาเพียงขวัญไปรำที่งานวัดแห่งหนึ่งในเมือง ทั้งสองพูดคุยกันสนิทสนม รถของยอดยศขับมาตามทางจะไปร้านอาหาร มีสามสาวนั่งอยู่ด้วย รถทั้งสามมาจอดติดไฟแดง

จังหวะนั้นวิไลรัมภามองกระจกข้างเห็นรณพีร์ขี่รถ มีผู้หญิงนั่งหลังมือกอดเอวแต่ไม่เห็นหน้าผู้หญิงเพราะตัวรณพีร์บังไว้ รณพีร์เลี้ยวเข้าซอย ไม่ได้มาจ่อท้ายรถยอดยศ รณพีร์และเพียงขวัญไม่เห็นรถยอดยศ
“เอ๊ะนั่น เหมือนพี่ชายพีร์ แต่พี่ชายพีร์ทำไมขี่รถมอเตอร์ไซค์”
“ไหนครับ”
“เลี้ยวไปทางนั้นแล้วค่ะ”
คนที่เหลือ ไม่มีใครเห็น มีแต่วิไลรัมภาเห็นคนเดียว พิมพรรณแปลกใจ
“จะใช่หรือคะ”
ยอดยศเปรยๆ
“หมู่นี้ชายพีร์ชอบขับรถพรรค์นั้นก็จริง เอ...แต่เมื่อครู่ผมไม่เห็นนะครับ ใช่เขาหรือครับ”
“มีผู้หญิงซ้อนท้าย แต่ไม่เห็นหน้า คุณยอดยศ เลี้ยวรถไปดูหน่อยสิคะ”
“เอางั้นหรือครับ”
วิไลรัมภาร้อนใจ
“ไปสิคะ บอกให้ไปก็ไปสิคะ”
ยอดยศหาทางกลับรถเลี้ยวรถเพื่อเข้าซอยดังกล่าว

รณพีร์ขับรถไป เลี้ยวอีกครั้ง รถยอดยศจึงค่อยโผล่มา แต่ยอดยศเลี้ยวไปอีกทาง ทำให้ไม่เจอกัน ยอดยศขับมาจอดข้างทาง
“ขับวนหาแถวนี้มาเกือบชั่วโมงแล้ว ไม่เจอใครเลยครับคุณรัมภา เอาไงต่อดีล่ะครับ”
“ไฉไลจองโต๊ะไว้ ป่านนี้เอาให้ใครไปหรือยังก็ไม่รู้”
พิมพรรณหันมาบอก
“อาจจะมองผิดก็ได้นะคะคุณรัมภา”
วิไลรัมภาเซ็ง
“ก็ได้ค่ะ ไปร้านอาหารเลยก็ได้”
ยอดยศออกรถไป

ค่ำนั้นงานลอยกระทงในวัด มีการเล่นพลุตะไล ไฟเย็น มีเด็กหัวจุก หัวแกละวิ่งเล่นมีมหรสพ มีของกิน เพียงขวัญรำอยู่บนเวทีที่มุมหนึ่ง รณพีร์ยืนมองชื่นชม เพียงขวัญรำเสร็จมีแฟนคลับกลุ่มหนึ่งหลากหลายวัยเอาพวงมาลัยมีเงินติดอยู่ไปคล้อง

แฟนคลับยังยืนคุยกับเพียงขวัญ เธอเซ็นโปสเตอร์ในนิตยสาร เซ็นในรูปให้แฟนคลับกลุ่มนี้ ยายคนหนึ่งชื่นชมมาก
“รำสวยมากเลย ยายขอลายเซ็นหน่อยจะเอาไปอวดหลานมัน”
ยายยัดเงินให้เพียงขวัญใส่มือ เพียงขวัญยกมือไหว้
“พี่มาจากนครสวรรค์ มาดูหนูรำเลยนะ สวยจริงๆ สวยกว่าในหนังอีก”
“พี่ฟังละครวิทยุหนูด้วยนะ ชอบมาก ชอบมากจริงๆ หนูนี่เก่งทุกอย่างเลยนะ”
“นี่ๆเรื่อง ไฟบาป ที่หนูเล่นน่ะ ที่หนูร้องไห้เสียใจพี่ร้องตามนะ ออกจากโรง ขึ้นรถรางกลับบ้าน คนมองหน้าใหญ่ที่ไหนได้ ไปดูหนังมา”
ทุกคนหัวเราะกันใหญ่
“มีผลงานเรื่องอะไรอีก ยายกับพวกพี่จะตามดูนะคะ”
รณพีร์ยืนมองห่างๆชื่นชม

ทั้งสองเดินมานั่งในที่เงียบๆริมคลอง ดึกแล้วคนเริ่มไม่มี
“แฟนหนังของคุณ มีไม่น้อยเลยนะ ไม่ทำให้คุณมีกำลังใจขึ้นมาบ้างเหรอ”
“ฉันคงลืมเขาไปจริงๆ ขอบคุณนะคะ ที่เตือนสติ ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง เรื่องเสี่ยเพ้ง ถ้าไม่มีคุณช่วย ป่านนี้ฉันจะเป็นยังไงก็ไม่รู้”
“เราผ่านมันมาแล้ว ลืมมันไว้ข้างหลังเถอะนะ”
เพียงขวัญพยักหน้า
“ฉันจะไม่เศร้าเรื่องนี้อีกแล้ว ฉันจะตั้งใจทำงานของฉันต่อไป ฉันสัญญา”
รณพีร์นึกครึ้มใจ
“สอนผมรำหน่อยสิ”
เพียงขวัญยิ้ม
“ตอนนี้หรือคะ”
“ตอนคุณรำอยู่คิดอะไรอยู่เหรอครับ ทำไมคุณถึงได้รำสวยขนาดนั้น”
“เราเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับสิ่งที่เรารัก เวลารำ ฉันกลืนหายไปกับเพลง กับท่วงท่า ฉันมีความสุข ทำไมเก้งก้างจัง ตั้งวงอย่างนี้ค่ะ งออีกนิดค่ะ”
เพียงขวัญมายืนตรงหน้าใกล้ชิด จับมือของรณพีร์ทั้งสองข้าง รณพีร์อดมองชื่นชมความงามตรงหน้าไม่ได้ มือขอเธอจับมือขอเขา รณพีร์รู้สึกได้ เปลี่ยนมาจับมือเธอแล้วดึงเข้ามาช้าๆอ่อนหวาน ทั้งสองสบตากัน ต่างต้องมนต์ในความรัก ต้องมนต์ในกันและกัน

รณพีร์จูบลงไปที่ริมฝีปากเพียงขวัญอย่างนุ่มนวล ในจังหวะที่พลุถูกจุดขึ้นบนฟ้าพอดี โดยกลุ่มคนอีกฝั่งคลอง ราวกับจะร่วมฉลองความยิ่งใหญ่และสวยงามของความรักเขาและเธอ

พลุกระจายตัวอย่างสวยงามบนท้องฟ้า ยอดยศ พิมพรรณ วิไลรัมภา และไฉไล มาเดินเล่นดูพลุ มือถือกระทงมาด้วย ไฉไลตื่นตาตื่นใจ

“สวยไหมคะ นั่นนั่น...ถ้าลอยกระทงในวังก็ไม่เห็นพลุเยอะขนาดนี้นะคะ”
พิมพรรณอารมณ์เบิกบานอย่างเห็นได้ชัด
“ดีจังนะคะ ขนาดดึกแล้ว ยังมีพลุให้ดูอยู่”
ไฉไลลดเสียงลง
“ก็คุณรัมภาบอกว่า ไม่ชอบคนเยอะ ไม่รู้ใครเป็นใคร ก็เลยต้องทานข้าวแล้วรอดึกๆเพื่อให้คนซาไปก่อน”
ยอดยศยิ้มให้สาวๆ
“ผมอยู่ด้วยทั้งคนอย่ากลัวเลยนะครับ คุณผู้หญิงทั้งหลาย”
วิไลรัมภาพูดขึ้น
“คุณพ่อต้องไม่ชอบแน่ๆ ปกติรัมภาลอยกระทงที่วัง หรือไม่ก็ไปที่วังจุฑาเทพบ้าง วังของท่านลุงบ้าง ท่านอาบ้าง แต่ที่นี่แปลกหูแปลกตาดีค่ะ”
“ถือว่าเปลี่ยนรสชาติไงคะ” ไฉไลชวน “มาเถอะค่ะมาลอยกระทงกัน ตรงนี้เลยดีกว่าค่ะ”
ทั้งหมดนั่งลงที่ริมคลอง ลอยกระทงกัน ยอดยศใช้กระทงใบเดียวกับพิมพรรณ ทั้งสองยังมีความรักผูกพันกันอยู่

รณพีร์จูงมือเพียงขวัญมานั่ง เขาเอาแหวนช่อของผู้หญิงที่อยู่ในกระเป๋ามาร้อยใส่สร้อย
“แหวนวงนี้มีค่ากับผมมากที่สุด เพราะมันเป็นศักดิ์ศรีของนายเรืออากาศ ที่ต้องแลกมาด้วยความสามารถ ความมานะ ความพยายาม ไม่เกี่ยวกับชาติตระกูล ไม่เกี่ยวว่าผมเป็นใคร ผมมีความสุขมากในช่วงเวลาที่ผมอยู่ใกล้ชิดคุณได้สัมผัสคุณ”
เพียงขวัญไม่ได้คิดอะไรกับคำพูดของเขา รณพีร์ถอดสร้อยของตนจัดการร้อยแหวนเข้าที่สร้อย
“หน้าตาเหมือนแหวนที่คุณใส่”
“ครับ...แหวนช่อชัยพฤกษ์ แหวนรุ่นของนายเรืออากาศ ที่ทุกคนต้องมีไว้เพื่อมอบให้กับผู้หญิงที่เขารัก ผม...นายพีร์ อยากมอบแหวนวงนี้ให้กับคุณ”
เพียงขวัญอึ้ง
“ฉันรับไม่ได้หรอก คุณเก็บไว้เถอะคะ ฉันเคยบอกคุณแล้วว่า สักวันคุณอาจจะเจอคนที่เหมาะสมกว่าฉันก็ได้”
“คุณนั่นแหละเหมาะสมที่สุดเพียงขวัญ”
“ทำไมถึงต้องเป็นฉันด้วย”
รณพีร์ใส่สร้อยให้
“เพราะผมรักคุณ ผมไม่เคยรู้สึกอย่างนี้กับใครมาก่อน”
“เรารู้จักกันน้อยเกินไป น้อยเกินไปสำหรับคำว่ารัก สักวันคุณอาจจะเสียใจที่ทำแบบนี้”
รณพีร์จ้องลึกเข้าไปในตาของหญิงสาว สวมใส่สร้อยที่มีแหวนอยู่เข้าไปในคอของเธอ
“เพียงขวัญ เก็บมันไว้กับคุณนะครับ ผมไม่มีวันเสียใจหรอกครับ ที่ให้แหวนกับคุณคนที่ผมรัก ผมเป็นทหาร ผมต้องขึ้นบินแทบทุกวัน พรุ่งนี้ผมอาจตายก็ได้”
เพียงขวัญเอามือไปแตะที่ริมฝีปากของเขา
“คุณอย่าพูดแบบนี้อีกนะคะ”
รณพีร์จับมือเพียงขวัญขึ้นมาจูบ

ยอดยศ พิมพรรณ วิไลรัมภา ไฉไล เดินเล่นด้วยกัน ระหว่างนั้น เห็นกลุ่มวัยรุ่นที่ยังจับกลุ่มเล่นพลุ พบคู่รักที่กอดกันหลังพุ่มไม้ลับๆล่อๆ วิไลรัมภาไม่คุ้นกับสถานที่สาธารณะมากนัก ไม่ค่อยชอบเพราะถือตัว
“เหลือแต่พวกวัยรุ่น กับพวกที่ชอบพลอดรักกันค่ำๆมืดๆน่าบัดสี”
พิมพรรณหันมาบอกยอดยศ
“งั้นเราก็รีบกลับกันเถอะค่ะ”
วิไลรัมภาเบ้หน้ารังเกียจ
“สถานที่แบบนี้ไม่เหมาะกับคนอย่างพวกเราจริงๆ เผลอๆเขาจะนึกไปว่าเราเป็นพวกเดียวกับเขา”
ยอดยศมองไป รถมอเตอร์ไซด์ของรณพีร์มีเพียงขวัญซ้อนหลังวิ่งผ่านมา ทุกคนช็อคหยุดนิ่งกับภาพที่เห็น พิมพรรณ ไฉไล มองหน้ากัน ยอดยศนิ่ง วิไลรัมภาก้าวตาม 2-3 ก้าวน้ำตาร่วง รณพีร์มองเพียงขวัญ คุยกันเอง ไม่ค่อยสนใจมองข้างทางจึงไม่เห็นใคร รถขับผ่านหน้าคนทั้งหมดไป
ยอดยศช็อคนิ่งๆ พลุจุดขึ้นต่อเนื่องบนฟ้า กลบเสียงทุกอย่าง วิไลรัมภาวิ่งตามตะโกนเสียงดังอย่างเจ็บปวด เท้าวิ่งตาม ปากที่ตะโกน ไม่ได้ยินเสียงเพราะเสียงปังๆของพลุดังกลบ รณพีร์ขับรถต่อไป ท่ามกลางเสียงของวิไลรัมภา ที่ตะโกนแทบขาดใจ

วิไลรัมภาวิ่งมาถึงจุดหนึ่งของหยุดน้ำตาคลอหน่วยผิดหวัง

ทั้งหมดยังยืนงง นั่งกันหมดอยู่แถวนั้น วิไลรัมภาหันกลับมา

“มันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง”
ไฉไลคิดๆ
“คงเป็นเพราะ ที่เราขอให้คุณชายพีร์ไปหาเพียงขวัญ ก็เลยทำให้เขารู้จักกันแล้วนี่เขาสนิทกันขนาดนี้เชียวเหรอ”
ยอดยศชะงัก
“อะไรนะครับ”
พิมพรรณจ๋อยๆ
“พิมเองค่ะ พิมขอให้คุณชายพีร์ไปหาพี่ยอดที่กองถ่าย เพื่อหยุดความสัมพันธ์ของพี่ยอดกับเพียงขวัญ”
ยอดยศอึ้ง นึกไปถึงอดีตที่เขาเจอรณพีร์ในกองถ่าย ยอดยศลำดับความคิดอย่างหนัก ด้วยความเครียดเพราะไม่เคยนึกสงสัยเลย จู่ๆวิไลรัมภาก็เปลี่ยนเป็นคนละคน กราดเกรี้ยวขึ้นมา เดินเข้ามาสายตาดุ แถมยังจับที่แขนพิมพรรณเขย่ารุนแรง
“เธอ...เธอนี่เอง มายุ่งกับพี่ชายพีร์ของฉันทำไม คู่หมั้นเธอไม่สนใจเธอแล้ว มันก็เรื่องของเธอ เธอชักนำผู้หญิงคนนั้นเข้ามาทำลายชีวิตฉัน”
ไฉไลห้าม
“คุณรัมภา หยุดก่อนค่ะ หยุดค่ะ นี่คุณพิม เพื่อนคุณนะคะ”
วิไลรัมภาเครียด สติแตก อยากโทษใครสักคนในเหตุการณ์น่าตกใจนี้ ชี้หน้าด่ากราด แสดงธาตุแท้ลึกๆ ที่เพื่อนทั้งสามนึกไม่ถึง
“เรื่องความรักของพวกคุณ มันก็แค่ไอ้ขี้เมา ใฝ่ต่ำ กับผู้หญิงอ่อนแอ ที่ถูกผู้ชายทิ้ง มันเกี่ยวอะไรกับพี่ชายพีร์ หา…”
“คุณรัมภา”
ไฉไลตกใจเพราะเห็นวิไลรัมภา ชี้หน้าด่ายอดยศตามด้วยพิมพรรณ
“เธอเป็นคนบอกให้ยายพิมไปหาพี่ชายพีร์ พี่ชายพีร์ก็เลยไปเจอนังผู้หญิงคนนั้น”
ไฉไลหน้าเสียพอๆกับพิมพรรณ จนยอดยศต้องส่งเสียงนิ่งเย็นเตือนสติ
“คุณวิไลรัมภา”
วิไลรัมภา รู้สติว่าหลุดดึงสติกลับมา เข้าไปกอดพิมพรรณ
“ฉันขอโทษ พิมพรรณ ฉันขอโทษ”
วิไลรัมภานั่งลงร้องไห้ สองสาวค่อยคลายความโกรธวิไลรัมภาลง

วิไลรัมภาอยู่ในห้องนอนเดินมองกระจกเปลี่ยนบุคลิก บรรยากาศเป็นแม่มด มีเทียนรอบตัว สีหน้าเครียด โกรธจัด
“หม่อมหลวงวิไลรัมภา มีอะไรด้อยกว่านังนางเอกเพียงขวัญตรงไหน เป็นไปไม่ได้”
วิไลรัมภากวาดข้าวของบนโต๊ะเครื่องสำอางลงกับพื้นเปรี้ยง เธอหยิบลิปติกสีแดงที่หล่นหมุนอยู่กับพื้นขึ้นมาเขียนชื่อเพียงขวัญบนบานกระจก แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมา ร้องไห้เสียใจ

วันใหม่...วิไลรัมภาเล่าเรื่องรณพีร์ให้เทวพันธ์ กับมารตีฟัง
“ดาราหรือ...พวกเต้นกินรำกิน เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอีกแล้วหรือ” เทวพันธ์ชะงัก
มารตีหน้าเครียด
“คราวก่อนก็นางสาวสยาม คราวนี้ เราจะต้องพ่ายแพ้ให้กับดาราอีกแล้วเหรอ บ้า...บ้าที่สุด”
“คุณชายรณพีร์ ทำเสียชื่อเสียง ไปคบกับพวกผู้หญิงชั้นต่ำ พ่อจะไปฟ้องหม่อมย่าเอียด”
เทวพันธ์โกรธมากลุกไป วิไลรัมภารีบบอก วันนี้เธอไม่มีน้ำตาแล้ว มีแต่ความเยือกเย็นฉลาดกว่าเดิม
“ไม่ เราจะไม่ทำแบบนั้น”
“ทำไมล่ะลูก”
“เราต้องใจเย็น คราวนี้เราจะไม่ใช้วิธีการเดิมๆกับพี่ชายพีร์”
มารตีเห็นด้วย
“น้องรัมภาพูดถูก คุณชายจุฑาเทพ แต่ละคน ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เราพลาดมาทุกครั้ง เพราะเราแบบตรงไปตรงมา”
“นี่หมายความว่ายังไง เราจะทำยังไงหรือลูก”
“อย่าเพิ่งบอกใครเรื่องคุณชายรณพีร์คบหานังนางเอกเพียงขวัญ เราจะหาวิธีทำให้ผู้หญิงคนนี้ออกไปจากชีวิตของคุณชายรณพีร์ ให้ได้ค่ะท่านพ่อ”

วิไลรัมภาบอกอย่างมุ่งมั่นมาดหมาย

ยอดยศไม่ได้กลับบ้านจอดรถ คิดอยู่ทั้งคืนว่าจะเอาไงกับรณพีร์

ในสนามรักบี้ เกมส์รักบี้ 7 คนเล่นในสนาม มีโค้ชเตี้ยกับเด็กเสิร์ฟน้ำยืนลุ้นเกม นักรักบี้คนหนึ่งทำลูกน๊อคออนไปข้างหน้า โค้ชเตี้ยเป่านกหวีดปรี๊ด สั่งสกัม ในขณะที่ยอดยศเดินเข้ามาขออนุญาตโค้ชเตี้ย
“ผมขออนุญาตซ้อมด้วยคนนะครับโค้ช”
“ได้ๆไปเล่นเป็นฟลายฮาฟแล้วกัน”
เกมเริ่มต่อ รณพีร์ได้ลูกกำลังจะจ่าย ยอดยศแทรคสูง โค้ชเตี้ยเป่านกหวีด
“จับสูงอันตราย ทีม A ได้ลูกโทษ”
รณพีร์กำลังจะดร๊อปคลิ๊ก พอลูกออกจากเท้ารณพีร์ ยอดยศชาร์ทโครม โค้ชเตี้ยเป่านกหวีดปี๊ด
“แทรนเกิ้นเลท”
รณพีร์หน้าตื่น
“เฮ้ย...มันอะไรกันวะไอ้ยอด”
โค้ชเตี้ยเดินเข้าไปหายอดยศ
“ผมจะคุยกับไอ้พีร์ ตัวต่อตัวครับโค้ช ผมขออนุญาตนะครับ” เขาหันไปหาเพื่อนรัก “ฉันมีเรื่องจะคุยกับแก”
“มีอะไรก็ว่ามาสิ”
แต่จู่ๆ ยอดยศก็บุกเข้าชาร์จ ชนรณพีร์ล้มเปรี้ยงกับพื้น นักรักบี้ทุกคนฮือกันเข้ามาจะห้าม โค้ชเตี้ยขวางไว้
“ทุกคนอย่ายุ่ง”
ยอดยศโกรธมาก
“ไอ้เพื่อนทรยศ”
ทั้งสองสู้กัน คลุกกันไปมากลางสายฝน รณพีร์ปกป้องตนเองอย่างหนักแลกหมัดกันไปมา
“ไอ้บ้า แกบ้าไปแล้วหรือ”
ทั้งสองสู้กันอีกยก ก่อนที่ยอดยศ จะกดรณพีร์ลงกับพื้นแล้วตะโกนใส่หน้า
“เรื่องเพียงขวัญ แกทรยศฉัน”
คราวนี้รณพีร์ช็อค หยุดการป้องกันตัว ยอดยศต่อย รณพีร์เงยหน้ามองยอดยศยังอึ้งว่ารู้ได้ยังไง ยอดยศเดินจากไป สายตายังมีแต่ความโกรธ

รณพีร์มีรอยเขียวนิดหน่อย เจ็บแตกข้างใน เพียงขวัญทายาให้
“อยู่นิ่งๆ สิ โอ้ย นิดเดียว คุณยอดยศเขาต่อยคุณเพราะคุณมาคบฉันเหรอค่ะ ฉันทำให้คุณกับเพื่อนทะเลาะกันไม่น่าเลย”
รณพีร์รำพึง
“ผมน่าจะบอกเขา บอกตั้งแต่แรก”
เพียงขวัญเครียด
“ฉันจะไปอธิบายกับคุณยอดยศเองว่าระหว่างเราไม่มีอะไรกัน คุณยอดยศก็ไม่มีสิทธิอะไรจะมาโกรธคุณด้วย”
“จริงๆแล้วเขามีสิทธิที่จะต่อยผม เพราะเขาหึงหวงคุณ ที่มารักกับผม”
“บ้า...ฉันไปรักกับคุณตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”

รณพีร์จ้องไม่วางตา เพียงขวัญอายๆ

อ่านต่อตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น