xs
xsm
sm
md
lg

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 12

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 12

ขณะเดียวกัน ที่อาศรมครูเฒ่าในคีรีรัฐ บราลีนั่งกินอาหารเช้าเป็นเครื่องดื่มร้อนๆ หน้าเตาผิง ขรึมๆ มีเสียงคนลงมาจากชั้นบน บราลีหันไป กระตือรือร้น เป็นเด็กรับใช้เดินลงมา บราลีผิดหวัง อึ้งๆ
“เดี๋ยวคุณจะเดินทางใช่ไหมครับ”
“เอ้อ ก็...”
“ไม่ทราบเก็บกระเป๋าหรือยังครับ ผมจะได้ยกลงมาให้”
“เอ้อ ยัง เดี๋ยวชั้นจะจัดการเอง ไม่เป็นไรจ้ะ”
“งั้นผมจะไปเรียกมอเตอร์ไซค์ให้นะครับ จะเอาม้าไป คุณคงไม่สะดวก แต่มีคนขับรถมอเตอร์ไซค์รับจ้างครับ ต้องไปเรียกไกล ถึงในหมู่บ้าน ผมต้องรีบไปเรียกล่วงหน้า”
“แต่”
“แต่อะไรครับ”
“เอ้อ เปล่าจ้ะ เธอไปเรียกรถเถอะ”
เด็กยิ้ม รีบไป บราลีกินเสร็จ เช็ดปาก มีเสียงเท้าเดินลงบันไดมา บราลีหันไป ครูเฒ่าเดินลงมา บราลีเห็น หน้าผิดหวังทันที
“สายแล้ว ถ้าจะเดินทางต้องรีบไปก่อนจะร้อน”
“งั้น หนูไปเลยก็ได้ค่ะ ให้เด็กไปตามรถแล้ว”
“ก็ดี”
“แล้ว องค์ชายยังไม่ลงมาอีกหรือคะ”
“นั่นสิ ตั้งแต่เช้า ยังไม่เห็นเลย”
“ถ้างั้น หนูคงไปเลยดีกว่าที่จะรอให้ตื่นบรรทมมา แล้วมาไล่หนูอีก”
ครูเฒ่ายิ้มๆ ไม่พูดอะไร

บราลีในชุดพร้อมเดินทางแบบขี่มอเตอร์ไซค์ หลังสะพายเป้ เดินออกมา ที่หน้าบ้าน มีมอเตอร์ไซค์แบบกึ่งวิบากจอดรออยู่ พร้อมคนขับที่แต่งตัวรัดกุมซึ่งก็คือจ้าวซันสวมหมวกกันน็อคปิดบังหน้ายืนรออยู่ บราลีเดินมาถึง จ้าวซันเดินมารอที่รถ ส่งหมวกกันน็อคสำหรับคนซ้อนให้บราลี
“ขอบใจนะจ๊ะ ฉันจะเข้าไปในเมืองจ้ะ จากนี่ ไปเมืองหลวง คงไม่ไกลใช่ไหม” จ้าวซันส่ายหัว “รู้จักวัด อะไรซักอย่างที่เป็นที่สร้างเจดีย์อนุสาวรีย์ทหารที่สละชีพเพื่อเจ้าหลวงองค์ก่อน ที่อยู่ใกล้ๆ ริมแม่น้ำเวียงสาย ที่ไหลผ่านเมืองหลวงไหมจ๊ะ” จ้าวซันอึ้งไปนิด แล้วพยักหน้า “ไกลจากที่นี่มากไหม” จ้าวซันส่ายหน้า “ฉันจะไปวัดนั้นก่อน แล้วค่อยเข้าเมือง ได้ไหมจ๊ะ”
จ้าวซันพยักหน้า บราลีทำท่าพร้อมเดินทาง กระชับกระเป๋า เดินไปที่รถ จ้าวซันปลดขาตั้ง ขึ้นคร่อม แล้วสตาร์ทรถ บราลีขึ้นคร่อมซ้อนท้าย จ้าวซันออกรถไป

ฮ่องกง ที่บริษัทจ้าวฉินเย่ว์ เหม่ยอิงปัดแฟ้มที่เทเรซ่าถือมานำเสนอตกลงบนพื้น เอกสารกระจาย
“ไม่ได้เรื่อง” เหม่ยอิงดุเทเรซ่าเสียงดัง ทุกคนในบริษัทได้ยิน เงยหน้าจากโต๊ะของตัวเอง แอบมอง บ้างก็ซุบซิบกัน บ้างกลัวก้มหน้างุดๆ “บัญชีง่ายๆ แค่นี้ ทำไม่เป็นหรือไง ไร้สมอง ไม่มีเซ้นส์เอาซะเลย ไม่รู้ทำงานมาจนถึงปูนนี้ได้ยังไง”
เทเรซ่าก้มลงเก็บกระดาษที่กระจายอยู่บนพื้นอย่างจำทน
“มันไม่ง่ายนะคะ คุณให้ดิฉันมาเปลี่ยนวิธีการคำนวณบัญชีของบริษัทใหม่ทั้งหมด แต่ให้เวลาแค่วันเดียว ฉันไม่มีปัญญาทำให้คุณทันหรอกค่ะ”
“ก็รู้ตัวดีนี่ว่า “ไม่มีปัญญา” ฉันไม่แปลกใจหรอกนะยะ เธอมันเป็นเลขาที่เสียสมรรถภาพมานานแล้ว ถ้าจะเปรียบเป็นคอมพิวเตอร์ล่ะก็คงเป็นประเภทที่ RAM ต่ำๆ ราคาถูกๆ”
เทเรซ่าเหลืออด โยนปึกกระดาษที่เก็บมาทั้งหมดลงบนโต๊ะใส่หน้าเหม่ยอิง
“งั้นลองทำให้ฉันดูหน่อยสิคะ ดิฉันก็อย่างรู้เหมือนกันว่าคอมพิวเตอร์ราคาแพงๆ RAM สูงๆ อย่างคุณจะทำได้ดีกว่าดิฉันสักแค่ไหนเชียว หรือว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ประเภทที่สวยแต่รูป ดูดีแต่ภายนอก แต่ข้างในก็ไม่ต่างอะไรกับเครื่องพิมพ์ดีดธรรมดา”
เหม่ยอิงตบโต๊ะ ลุกขึ้นมองหน้า ด่าเทเรซ่าเสียงดัง
“แกสิเครื่องพิมพ์ดีด อย่าคิดว่ามีจ้าวซันคอยถือหางแล้วฉันไม่กล้าทำอะไรนะ”
ซ่างกวานซิงรีบเข้ามาในห้อง หวังจะไกล่เกลี่ย
“คงไม่ได้ทำแล้วมั้งคะ เพราะดิฉันจะ...” เทเรซ่าเดินเข้าไปตะโกนใส่หน้าเหม่ยอิง “ลาออก”
“ไม่! ไม่ต้องลา เพราะฉันจะไล่แกออกอยู่นี่”
เหม่ยอิงเสียงดังจนคนในบริษัททุกคนเงยหน้าขึ้นมามอง ซ่างกวานซิงอึ้ง ช็อก แต่เห็นเทเรซ่าขยับตัวจะไปมีเรื่องอีกก็รีบดึงแขนเทเรซ่าไว้ พยายามเตือนสติ
“ใจเย็นๆ ก่อน” ซ่างกวานซิงเดินไปพูดกับเหม่ยอิง “เอ่อ คุณเหม่ยอิงครับ ใจเย็นๆ ก่อนสิครับ คุณเทเรซ่าเองก็เป็นคนเก่าคนแก่ของที่นี่ ถ้าไล่ออกไปตอนนี้...”
“คน “แก่” ประเภทนี้อยู่ไปบริษัทมันถึงไม่เจริญไง”
“แต่...”
“แกอย่างลองดีอีกคนใช่ไหม ได้” เหม่ยอิงเดินออกไปหน้าห้องแล้วตะโกนประกาศให้ทุกคนรู้ “ฉันขอประกาศให้ทุกคนรู้ไว้ นับตั้งแต่วินาทีนี้ไปฉันไล่เทเรซ่ากับซ่างกวานซิงออกจากบริษัท ถ้าอีกสิบนาทีนี้ยังไม่เก็บของออกไป ฉันจะโทรไปเรียกตำรวจมาจับข้อหาบุกรุก”
เทเรซ่าเดินเชิดออกมาที่โต๊ะ เก็บของไม่แคร์ เหม่ยอิงสะใจ
“คุณเหม่ยอิงครับ”
“ไป! รีบเก็บหัวแล้วไสหัวออกไปจากบริษัทฉัน” ขณะที่เทเรซ่าเก็บของ พนักงานคนอื่นๆ พยายามจะเข้ามาปลอบ และมาช่วยเก็บข้าวของให้ เหม่ยอิงเห็น “ไม่ต้องยุ่ง ฉันเห็นใครช่วยสองคนนี้เมื่อไหร่ ฉันจะไล่ออกให้หมด”
ทุกคนหลบตาหน้ากันวูบวาบ และพากันแยกย้ายกันไปทำงาน เทเรซ่าก้มหน้าก้มตาเก็บไม่สนใจผิดกับซ่างกวานซิงที่ร้องไห้ไป เก็บของไป เพื่อนพนักงานแอบมองด้วยความเห็นใจ เกาเฟยเดินเข้ามาให้บริษัท มองงงๆ เดินตรงไปหาเหม่ยอิง

เกาเฟยเดินเข้าไปหาเหม่ยอิง
“คุณหนูใหญ่ นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันขึ้นเหรอ”
“มาได้จังหวะเลย” เหม่ยอิงเดินไปที่โต๊ะเทเรซ่าและซ่างกวานซิงที่กำลังเก็บของอยู่ ตั้งใจพูดกระทบให้ได้ยิน
“ทุกคน ขอแนะนำให้รู้จัก “เกาเฟย” เกาเฟยงงๆ เหม่ยอิงพยักหน้าส่งสัญญาณบอกให้เดินขึ้นมาข้างหน้า “ต่อไปนี้เกาเฟยจะมาทำงานในงานบริษัทเรา แทนพนักงานที่เพิ่งถูก “ไล่” ออกไป”
พนักงานมองหน้ากันงงๆ ไม่มีใครแสดงความยินดี เกาเฟยมองเหม่ยอิง ตามไม่ทัน

สักพักมีพนักงานคนหนึ่งค่อยๆ ปรบมือขึ้น คนอื่นๆ จึงค่อยๆ ปรบตามพอเป็นพิธี เกาเฟยพยักหน้างงๆ เทเรซ่าหันหลังไม่สนใจ ลอบมองเกาเฟย เบ้ปาก
“งานแลกที่จะให้เธอทำก็คือ ถ้าในอีกห้านาทียังมีพวกแปลกปลอมแฝงตัวอยู่ในบริษัทเราล่ะก็ ช่วยจัดการโยนพวกมันออกไปที”
เหม่ยอิงยิ้มเชิดเดินเข้าไปเฉียดเทเรซ่าและซ่างกวานซิง สะใจ ซ่างกวานซิงร้อนรน รีบเก็บของสุดชีวิต

ที่คีรีรัฐ รถมอเตอร์ไซค์ที่จ้าวซันขับ บราลีซ้อน แล่นมาตามถนนเลียบเขา จู่ๆ จ้าวซันก็จอดรถ บราลีถึงกับงง
“อ้าว จอดทำไม” จ้าวซันเปิดกระเป๋าใบนึงที่ติดมาหลังรถ แล้วหยิบกระติกน้ำอย่างดีออกมาส่งให้บราลี “อ้อ พักเหรอ” บราลีถอดหมวกกันน็อคออกวางที่เบาะ แล้วเดินมารับน้ำ “มีบริการน้ำดื่มด้วย ดีจัง ขอบใจนะ” บราลีดื่มน้ำ จ้าวซันไปยืนชมวิว บราลีตามไป “แล้วเธอล่ะ ไม่ดื่มน้ำเหรอ” จ้าวซันส่ายหัว แล้วชี้ให้ดูวิว ผายมือเป็นเชิงให้ดูรอบๆ “วิวสวย เนอะ ภูเขาสูงๆ ทั้งนั้นเลย ป่าไม้ก็ยังอุดมสมบูรณ์อยู่มากเลย” บราลีอึ้งไปนิดแล้วถอนใจ จ้าวซันมองหน้า
“ไม่มีอะไรหรอก แค่ผิดหวังอะไรนิดหน่อยน่ะจ้ะ เดี๋ยวพอไหว้พระ ไหว้เจดีย์ที่วัดเสร็จ ฉันคงต้องไปจากคีรีรัฐแล้วล่ะ เฮ้อ...นึกว่าจะได้อยู่หลายๆ วันหน่อย” จ้าวซันไม่พูดอะไร เดินกลับไปที่รถ ทำท่าว่าไปต่อเถอะ “อ้าว...พักแป๊บเดียวเองหายเมื่อยแล้วหรือ” จ้าวซันไม่ตอบ ส่งหมวกกันน็อคให้บราลี บราลีวิ่งกลับมา พร้อมกระติกน้ำ ส่งแลกกับหมวก “อีกไกลเหรอ”
จ้าวซันพยักหน้า หันไป สตาร์ทรถ บราลีรีบซ้อน จ้าวซันขับออกไป
ถนนช่วงนี้ค่อนข้างคดเคี้ยว และถนนเสียๆ บราลีถอดเป้ออกมา เอาเป้มากั้นระหว่างตัวจ้าวซันกับตัวเอง ไม่ให้ตัวไปแนบติดหลังจ้าวซัน แล้วค่อยจับเอวจ้าวซันไว้ จ้าวซันแอบยิ้ม พอใจ

ที่วัดซึ่งค่อนข้างเงียบ รถมอเตอร์ไซค์แล่นมาจอด บราลีก้าวลงมา
“เงียบจัง” บราลีมองรอบๆ จ้าวซันไม่ว่าอะไร บราลีถอดหมวกกันน็อค ดูว่าควรไปทางไหนยังไง จ้าวซันชี้ไปที่เจดีย์ริมน้ำ “เจดีย์ ริมน้ำหรือ” จ้าวซันพยักหน้า “งั้นรอนี่เดี๋ยวนะ”
บราลีเดินไป จ้าวซันมองตาม แล้วเดินไปที่มุมนึง
มีที่วางธูป เทียน และมีดอกบัวกำๆ ด้วยตอกมัด วางไว้ แล้วมีที่หยอดบริจาค ให้คนจัดการเอง จ้าวซันล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกง ใส่ในที่หยอดบริจาค แล้วหยิบดอกไม้ ธูปเทียน 2 ชุด เดินตามไป
ที่ริมน้ำมีเจดีย์ขาว ที่สลักชื่ออินปง-จันทร์แรมภาษาคีรีรัฐที่ฐาน มีกระถางธูปเล็กๆ และแจกันหินตรงนั้น ที่มีคนมากราบไหว้ มีดอกไม้เหี่ยว ธูปเทียนกุดๆ จำนวนนึง บราลีมาหยุดยืนดูแล้วอึ้งนึกถึงคำพูดไทไทก่อนเดินทางมาคีรีรัฐ
“เข้ามานี่ มาใกล้ๆ เข้ามา” บราลีอึ้ง แล้วเข้ามาคุกเข่าตรงหน้าไทไท “จงไปที่นั่น ที่ที่ท่านถือกำเนิดขึ้นมา ไปกราบบิดามารดาของเจ้าหญิง”
“อะไรนะ”
“อัฐิของทั้งสอง ถูกบรรจุไว้ในเจดีย์ที่วัดตรงแม่น้ำ ที่เจ้าเดินทางจากมา ไปหาพวกท่าน แล้วเจ้าหญิงจะได้รับพลังที่ดีจากท่านทั้งสอง เพื่อไปทำให้เจ้าชายเอาชนะเหล่าศัตรูร้ายทั้งหมดได้”
“เหล่าศัตรูร้าย ทั้งหมด หรือคะ แปลว่า ยังมีพวกนั้นหลงเหลืออยู่หลายคนหรือคะ”
“ใช่”
“แสดงว่า คุณชายจ้าวซันจะมีอันตรายหรือคะ”
“ใช่”
ปัจจุบัน บราลีมองเจดีย์นั้นแล้วอุทานออกมา
“ทำไม จ้าวไทไทรู้”
“จ้าวไทไทรู้อะไร”
บราลีสะดุ้ง หันมา จ้าวซันถือดอกไม้ ธูปเทียนอยู่ มีหมวกกันน็อคหนีบอยู่ที่แขน บราลีมองอย่างตะลึง
“จ้าวซัน เอ้อ...องค์ชาย”
จ้าวซันยิ้ม ส่งดอกไม้ธูปเทียนให้
“จ้าวไทไทรู้อะไรหรือ”
บราลีอยากจะโวยวาย แต่ก็ดีใจ
“โหย...จ้าวซันก็คือจ้าวซันวันยังค่ำ เจ้าเล่ห์ เต็มไปด้วยแผนการมากมาย ขี้โกงที่สุด”
“ไหว้พ่อแม่ของน้องก่อนดีไหม ม่านฟ้า”
บราลีมองๆ แล้วในที่สุด ซึ้งใจ คุกเข่าลง ไหว้
“น้องขอพระราชทานอภัย แล้วก็ขอขอบพระทัยเจ้าพี่มาก ที่เมตตาพาน้องมาพบพ่อกับแม่”
จ้าวซันมองรอบๆ กลัวคนมาเห็น
“เวลานี้เป็นจ้าวซัน กับบราลีกันก่อนดีไหม หากใครมาเห็นเข้า จะไม่ดี” บราลีรีบลุก
“ตกลงค่ะ” บราลีทำหน้าว่าง่าย รับดอกไม้ ธูปเทียนไป

ธูปเทียนที่จุดแล้วถูกปักลง ดอกไม้ถูกวาง บราลีนั่งพนมมือ เคียงข้างจ้าวซัน บราลีน้ำตาไหลออกมา แล้วพยายามเช็ด จ้าวซันหันมา ส่งผ้าเช็ดหน้าให้
ทั้งสองยืนเคียงกันดูสายน้ำที่ไหลผ่าน
“ที่นี่แหละ ที่พี่ได้เห็นการพลีชีพของพ่อแม่น้อง เป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เห็นคีรีรัฐ เมื่อ 20 ก่อน”
“หม่อมฉันไม่คิดเลยว่าจะมีวาสนา ได้มาเห็นสถานที่นี้”
“เจ้าป้า ได้เป็นองค์ประธานให้สร้างวัดนี้ขึ้นเมื่อไม่ถึง 10 ปีมานี่เอง พี่ก็ทำได้แค่ช่วยส่งเงินมาทำบุญ ผ่านทางภูสินทร แต่พี่ก็ตั้งใจมาตลอด ว่าซักวันจะพาม่านฟ้ามา”
“จ้าวไทไท บอกว่าหม่อมฉันจะช่วยเจ้าพี่ได้ หากหม่อมฉันมาที่นี่”
“จ้าวไทไทก็สนับสนุนให้น้องมาหรือ”
“จ้าวไทไทมีญาณพิเศษไม่ใช่หรือคะ เพราะฉะนั้น เจ้าพี่ก็ไม่ควรจะไล่หม่อมฉันกลับ เพราะหม่อมฉันจะต้องมีประโยชน์ในเรื่องใดเรื่องนึงที่จะช่วยแบ่งเบาภารกิจของเจ้าพี่แน่ๆ นะคะๆๆ”
จ้าวซันมองหน้า แล้วจับบนหัวบราลี โยกไปมา
“เด็กเอ๊ย แบบนี้พี่ก็คงต้องยอมแพ้น้องแล้วล่ะ แต่...”
“แต่อะไรคะ”
“น้องจะทำอะไรได้ ในที่ๆ ใครเป็นมิตรใครเป็นศัตรูเราก็ไม่มีวันรู้ อันตรายเต็มไปหมด แถมน้องก็ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ ไม่มีคนรู้จักเลย เป็นคนแปลกหน้าอย่างแท้จริง”
“เจ้าพี่คะ ฟังน้องบ้างนะคะ เพราะน้องเป็นคนแปลกหน้าที่ไม่มีใครรู้จักนี่แหละค่ะ คือข้อได้เปรียบของน้อง ไม่ใช่ข้อเสียเปรียบ น้องอาจจะทำอะไรได้มากมาย ที่ตัวเจ้าพี่หรือบรรดาคนของเจ้าพี่ ไม่สามารถจะทำได้ก็ได้ จริงไหมคะ”
จ้าวซันอึ้ง ชักคล้อยตาม

อีกด้านหนึ่งที่บ้านสี่ฤดู แม่สี่กับอากง ช่วยกันถือของเซ่นไหว้ พวกผลไม้ น้ำชาเข้ามาบนห้องที่มีแท่นบูชาจ้าวฮินเย่ว์ แต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเหม่ยอิงยืนอยู่หน้ารูปจ้าวฉินเย่ว์ มองอย่างท้าทาย
“เหม่ยอิง”
“คุณหนูใหญ่”
เหม่ยอิงหันมา
“แหม ร้องเรียกกันเซ็งแซ่เชียวนะ”
“คุณหนูมีธุระอะไรหรือเปล่า”
“ฉันก็อยากจะไหว้เต้ของฉันบ้าง ไม่ได้หรืออากง แม่คะ มาค่ะ” เหม่ยอิงเข้ามารับจานผลไม้ไป “ขอหนูทำหน้าที่แทนแม่ดีกว่านะคะ”
“หนูว่างหรือจ๊ะ วันนี้”
“ไม่ว่างหรอกค่ะ หนูกำลังทำหน้าที่ของหนูต่างหาก”
“หน้าที่อะไร”
“หน้าที่ คนที่ดูแล ปกครอง จัดการทุกสิ่งทุกอย่างที่นี่แทนพี่ใหญ่ ระหว่างที่พี่ใหญ่ไม่อยู่น่ะสิ”
“คงไม่ต้องมีใครมาทำอะไรแทนใครหรอกครับ คุณชายใหญ่ก็สั่งผมไว้หมดแล้ว”
“แต่พี่ใหญ่สั่งฉัน หลังจากนั้น...ว่าพี่ใหญ่ฝากชั้น ให้จัดระเบียบทุกสิ่งทุกอย่าง ใหม่หมด”
“อะไรคือใหม่หมด”
“อะไรก็ตาม ที่ขวางหูขวางตาฉันน่ะสิ เช่น...อากง”
“ผม ทำไม”
“อากงแก่มากแล้ว ทำงานมากี่ปีแล้ว ไม่เคยวันหยุดพักผ่อนชั้นรู้สึกสงสารมากๆ”
“แล้วไง”
“อากง ควรลากลับบ้านไปพักผ่อนกับลูกหลานได้แล้ว”
“เหม่ยอิง ลูกจะทำอะไร หน้าที่ดูแลบ้านสี่ฤดู ไม่ใช่เรื่องของลูก”
“แต่ตอนนี้ มันใช่ค่ะ แม่”
“แต่ ผมไม่มีบ้าน ไม่มีลูกหลาน บ้านนี้คือบ้านของผม พวกคุณหนู คุณชายก็คือลูกหลานของผม”
“มันจะไม่มากไปหน่อยเหรอ อากง พวกชั้น ไม่ใช่ลูกหลานอากง แล้วบ้านนี้ก็ไม่ใช่บ้านอากงด้วย”
“ใช่ แต่ที่นี่คือที่เดียวที่ผมมี ผมไม่มีที่อื่นให้ไป”
“อากงควรจะไป ฉันจะจัดที่ให้อยากได้ภูเขา หรือทะเลล่ะ”
“คุณหนูหมายถึง ฮวงซุ้ยเหรอ”
“บ้า คิดอะไรโอเวอร์ไปได้ ชั้นไม่แช่งกงขนาดนั้นหรอก ชั้นหมายถึงบ้านพักตากอากาศน่ะ อากงอยากไปไหนล่ะ ชั้นจะจัดให้เอง ตอบแทนความดีของกงไงคะ”
“เหม่ยอิง ถ้ากงเขาไม่อยากไปไหน หนูก็ไม่ต้อง”
“แม่คะ หนูไม่ได้ถามความเห็นแม่ค่ะ แม่ก็เหมือนกัน ทุกอย่างที่แม่ทำอยู่ มันผิดหมด แม่เองก็ต้องเปลี่ยนค่ะ”
แม่สี่ อากง อึ้ง มองหน้ากัน เครียด

ที่สนามหน้าบ้าน ผิงอันกับสาวๆ อีกสามคนกำลังเล่นตีวอลเล่บอลกันอยู่ แบ่งเป็น 2 ข้าง ตั้งใจเล่นเพื่อเอาชนะกันจริงจัง
“3-3 แล้วนะ หลิงหลิง อย่าประมาทนะ ไม่งั้นเราอาจจะแพ้ก็ได้”
“ก็ตัวเองนั่นแหละ ไม่ขยันวิ่งเอาซะเลย”
“เอ้าๆๆ อย่ามัวแต่คุยสิ 2 คนนี้ เสิร์ฟมาเลยๆ เก่งไม่กลัว กลัวไม่เก่ง”
“หนอย ดูถูกกันไปหน่อยแล้ว แบบนี้ต้องเจอลูกเสิร์ฟมหากาฬของจุง โคชิกะ”
“จุง โคชิกะ เอามาจากไหนน่ะผิงอัน”
“จากหนังของอาม่าน่ะสิ”
ผิงอันกับเพื่อนๆ หัวเราะกัน ขณะที่เด็กๆ กำลังเริงร่าอยู่ เหม่ยอิงเดินมา พลางมองตรงมาด้วยสายตาไม่ประสงค์ดี
“นี่มาส่งเสียงเอะอะกรี๊ดกร๊าดอะไรกันนี่ ผิงอัน ที่นี่ไม่ใช่สวนสาธารณะนะ แต่นี่คือบ้านสี่ฤดูที่สูงส่ง”
“อะไรนะคะ บ้านสี่ฤดู ที่สูงส่ง”
“ชั้นหมายความว่า พวกเรา ตระกูลจ้าง เป็นผู้ดีที่มาจากเชื้อสายแมนจูอันสูงส่ง ไม่ใช่พวกชนชั้นต่ำที่อพยพมาเพราะไม่มีจะกิน เธอก็ควรจะเลือกคบเพื่อนที่เป็นผู้ดีมีสกุล ที่มีกิริยามารยาทที่ดีพอ ที่จะไม่มีส่งเสียงรบกวนเจ้าของบ้านที่เขาต้องการความสงบ”
เพื่อนๆ ผิงอันซีด อึ้ง หน้าเอ๋อ
“พี่เหม่ยอิง นี่พี่ด่าเพื่อนๆ หนูหรือ”
“ชั้นพูดความจริง”
“หนูก็เป็นเจ้าของบ้านนี้คนนึงเหมือนกัน หนูมีสิทธิ์ที่จะพาเพื่อนที่หนูรักมากๆๆ” ผิงอันเข้าไปกอดคอเพื่อนๆ “มาเล่นกันตามประสาเด็ก “คนแก่ๆ” ก็น่าจะเข้าใจกันบ้าง”
“เธอไม่ใช่เด็กๆ แล้วนะ ซายหมุย เธอหมดเวลา เล่นสนุกประสาเด็กได้แล้ว เธอต้องหัดทำตัวเป็นสุภาพสตรีที่งดงาม เพราะปีนี้ฉันจะส่งเธอไปงานเดบูตองท์แล้ว”
“เดบูตองท์ เชอะ หนูไม่เห็นอยากไป งานเฟคๆ กับยัยพวกคุณหนูเฟคๆ สู้เพื่อนหนูทั้งหมดนี่ก็ไม่ได้ เราจริงใจต่อกัน”
“ทุกคนก็ต้องจริงใจกับเธอทั้งนั้นแหละ ผิงอัน เพราะเธอรวยไง จริงไหม เด็กๆ”
เพื่อนๆ ทุกคนหน้าซีด
“ผิงอัน เรากลับดีกว่า”
“ไว้เจอกันนะ คุณหนูเดบูต๊อง”
เพื่อนๆ เผ่นแน่บ
“หลิงหลิง เพ่ย จีจี้ อย่าเพิ่งไป”
เพื่อนๆ ไม่เหลียวหลัง ผิงอันหันมามองเหม่ยอิง แค้นใจ

ผิงอันเดินร้องไห้เข้ามา เหม่ยอิงเดินตามมา
“ต่อไปนี้ ชั้นจะไม่ยอมตามใจเธออีกแล้ว ซายหมุย เธอควรทำตัวเองให้สมบูรณ์แบบซะที”
“สมบูรณ์แบบ แบบพี่น่ะเหรอ ไม่มีทาง ให้หนูตายซะดีกว่า”
“เอ๊ะ อีเด็กบ้า โง่ เซ่อเซอะ แกมันก็ดีแต่เห็นคนอื่นดีวิเศษ แล้วเห็นพี่ตัวเองเป็นยักษ์เป็นมาร ไม่เคยเห็นความรัก หวังดี ห่วงใยของพี่แท้ๆ เลย”
“รัก หวังดี ห่วงใยเหรอคะ คนที่เขารักกัน เขาไม่ทำแบบนี้กันหรอก ถ้าพี่เหม่ยอิงเที่ยวทำแบบนี้กับคนที่พี่รัก เขาก็จะวิ่งหนีพี่หมด หนูจะบอกให้”
“ปากดีนักนะ ใช่สิ คนอย่างแก ก็แค่ชอบให้คนประจบ ตามใจ เอาใจ เพราะพี่ชายใหญ่โอ๋แกจนเสียผู้เสียคนอยู่นี่ไง ดีแล้ว ชั้นจะส่งแกไปเมืองนอก ช่วงที่พี่ใหญ่ไม่อยู่นี่แหละ”
“อะไรนะ”
“ทำไม โรงเรียนทางนั้นก็ตอบรับมาแล้วตั้งหลายที่ แต่แกก็ไม่ตัดสินใจซะที ว่าจะเลือกโรงเรียนไหน แล้วพี่ใหญ่ก็มัวแต่ยุ่งแบบนี้ แล้วใครจะติดสินใจให้แก ในเมื่อแกไม่ยอมตัดสินใจซะที”
“หนูเป็นห่วงพี่ชายใหญ่ หนูไม่ไปไหนทั้งนั้น หนูจะรอ จนกว่าพี่ชายใหญ่จะกลับมา”
“อย่าหวังเลย แกต้องไป ชั้นจะจับแกยัดใส่เครื่องบินไปเอง ถ้าแกไม่ยอม ก็คอยดูก็แล้วกัน ว่าแกจะโดนอะไร” เหม่ยอิงทำหน้าโหดใส่ แล้วเดินออกไป ผิงอันร้องไห้โฮๆๆ

อาม่าเอาเครื่องดื่มมาให้ผิงอัน
“โอ๋ๆๆ ซายหมุย อย่าร้องนะ อย่าร้อง”
“ไม่มีพี่ชายใหญ่ หนูก็อยู่ไม่ได้แล้วบ้านนี้ เมื่อไหร่พี่ชายใหญ่จะกลับมา กลับมากะบรี ยัยปีศาจนี่จะได้เป็นฝ่ายไปซะได้”
“ตายแล้วซายหมุย อย่าพูดแบบนี้สิ คุณหนูใหญ่คือพี่สาวแท้ๆ พ่อแม่เดียวกันกับซายหมุยนะคะ แต่ทั้งคุณชายจ้าวซัน แล้วก็...ยัย...เอ๊ย คุณบรี เค้าเป็นคนอื่นนะคะ ลองคิดดูดีๆ”
“หนูคิดดีแล้ว อาม่าสิ เคยลองคิดดูไหม ทำไมพี่ๆ แท้ๆ ของหนู ไม่ว่าพี่เหม่ยอิง แม่เดียวกัน หรือพี่ชายรอง พ่อเดียวกัน แต่มีใครไหมที่เป็นคนดี นิสัยดี มีเมตตากรุณา หนูจะบอกให้ คนสกุลจ้าวนั่นแหละ ที่ใจร้าย ร้ายหมดเลย มีแต่คนอื่น ที่เป็นคนดี ใจดี และรักเมตตาหนูจากใจจริง ไม่เกี่ยวกับชาติกำเนิดสายเลือดอะไรเลย”
“คุณหนู อย่าเที่ยวไปพูดแบบนี้ให้ใครฟังนะคะ”
“เพราะแบบนี้ไง ที่จ้าวไทไทบอกว่าบ้านเราต้องมีอันเป็นไปแบบนี้ไง จ้าวไทไทถึงฝากตระกูลจ้าวไว้กับพี่ชายใหญ่กะบรี แต่ตอนนี้สองคนนั้นหายไปไหน หรือเขาจะทอดทิ้งพวกเราแล้ว ม่า...เราจะทำยังไงกันดี ฮือๆๆ”

ที่คุกสเตนลี่ย์ นักโทษชายกำลังเล่นบาสกันอยู่ที่สนาม ในจำนวนผู้เล่นมีพันหงปิงกับตี๋ใหญ่ร่วมด้วย เมื่อลูกออก พันหงปิงวิ่งพลางหันมามองอีกด้าน
อีกด้าน ราชิดกับโกศินออกกำลังกายกับเครื่องช่วยยืดกล้ามเนื้อ เครื่องช่วยแกว่งแขนแกว่งขาแบบที่ชอบมีในสวนสาธารณะ ราชิดมองนาฬิกาประจำเรือนจำ กำลังจะบ่ายสอง แล้วเงยมาสบตากับพันหงปิง ราชิดผงกหัวเล็กน้อย ให้สัญญาณว่าใกล้ถึงเวลาที่เรารอคอยแล้ว
โกศินมองรอบๆ ผู้คนยืนประจำจุดต่างๆ ที่ประตู ที่รั้ว ที่หอสังเกตการณ์
“เวลาบ่ายสองโมงวันนี้ จะมีรถของหน่วยเอกซเรย์เคลื่อนที่ เข้ามาตรวจสุขภาพประจำปีให้นักโทษ”
ทันใดที่ประตูทางเข้าออกคุก รั้วเปิด มีรถจากหน่วยงานพยาบาลของรัฐแล่นเข้ามา เป็นรถที่จะเข้ามาเพื่อตรวจสุขภาพควบคุมป้องกันเชื้อโรคในเรือนจำ เจ้าหน้าที่เรือนจำตรวจเอกสารตามกฎ แล้วอนุญาตให้รถเข้ามา
“เวลานั้นนักโทษทุกคน ทุกแดน จะถูกเกณฑ์ให้ออกมารวมตัวกันที่สนาม”
ทันใดเสียงประกาศจากเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ดัง
“ขอความร่วมมือนักโทษทุกแดนออกมารวมตัวกันที่ลานด้านนอกเพื่อรับการตรวจสุขภาพ”
พวกนักโทษที่ทำกิจกรรมต่างๆ อยู่ มีผู้คุมมาไล่ นักโทษเซ็ง ต้องหยุดกิจกรรม ทยอยกันไป นักโทษจากเรือนนอนก็ทยอยกันออกมา
“ช่วงเวลานั้นเหมาะสมที่สุด ที่เราจะลงมือตามแผน และชั้นจะเป็นคนให้สัญญาณเริ่มเอง”
พันหงปิงเดินเข้าไปหานักโทษอีกคนที่ดูเป็นนักเลงตัวพ่อประจำคุก มีลูกน้องบริวารพอสมควร กำลังนอนหลับตา สบายอารมณ์ ไม่สนใจสภาพแวดล้อม แต่บริวารของตัวพ่อกันไว้
“จะทำอะไร”
“ทายสิว่าข้าเจอโทรศัพท์มือถือของเอ็งในห้องนอนใคร”
นักเลงตัวพ่อลืมตาตื่น พร้อมโหด
นักเลงตัวพ่อเดินแหวกพวกนักโทษกระจอกๆ ที่เกะกะอยู่ พุ่งตรงเข้าไปหานักโทษขาใหญ่อีกคนที่กำลังหัวเราะเฮฮา แล้วไม่พูดพร่ำทำเพลง ตัวพ่อก็เข้ากระชากคอชกขาใหญ่ทันที นักเลงตัวพ่อกับขาใหญ่ซัดกันนัว บริวารของทั้งสองกลุ่มเฮเข้าหากัน พวกคนคุกอื่นๆ เฮไปด้วย ราวกับเชียร์มวย ล้อมวงเฮ
ผู้คุมรีบทยอยมาคุมสถานการณ์ตรงจุดที่นักโทษมีเรื่องกัน คว้ากระบอง ตะคอกเสียงดังเพื่อควบคุม ที่รถแพทย์ พวกแพทย์ที่เตรียมตั้งจุดตรวจสุขภาพ ต่างก็งงๆ พยายามมองว่าเกิดอะไรขึ้น โดยไม่รู้ว่าตี๋ใหญ่แอบมาที่รถ เปิดประตูจากอีกด้าน เปลี่ยนเกียร์ แล้วเอาก้อนหินทับคันเร่ง หักพวงมาลัยให้ได้องศา เป้าหมายอยู่ที่เสาไฟใหญ่ของเรือนจำแล้วโดดลงจากรถ ปล่อยรถแพทย์นั้นเคลื่อนที่ไหลไปเอง พวกแพทย์หันมาอีกที เห็นรถเคลื่อนไปแล้วก็ตกใจ
“เฮ้ย รถๆๆ”
รถนั้นไหลไปพุ่งเข้าชนกับเสาไฟฟ้าใหญ่ของคุก โครม เกิดประกายไปแว่บหนึ่งแล้วไฟฟ้าก็ดับทั้งคุกพรึ่บ คุกมืด สัญญาณเตือนไฟดัง เป็นจังหวะ ไฟสำรองสว่างพรึ่บเป็นหย่อมๆ พวกนักโทษเฮลั่น และเริ่มแตกฮือ
ตี๋ใหญ่วิ่งกลับมาหาพรรคพวกร่วมขบวนการ คือ พันหงปิง ราชิด โกศินและคนคุกอีกสามคน
“ไป มีเวลาสามสิบวิ ก่อนที่ไฟฟ้าจะกลับมา ปีนรั้วหนีไป”

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 12 (ต่อ)

ในรูท่อระบายน้ำใหญ่ใต้คุก ตี๋ใหญ่วิ่งนำมา ราชิด โกศินตามใส ในท่อทั้งสกปรกและเหม็นมาก ทั้งสองต้องอุดจมูก จะอ้วกกัน พันหงปิงมองแบบเหยียดๆ หนีมาถึงช่วงนึงเหมือนรูตัน แต่ตี๋ใหญ่เปิดฝาเหล็กผนังข้างหน้าออก เป็นรูแคบ แล้วผายมือ ราชิด โกศินลังเล
“เฮีย นำไปเร้ว”
พันหงปิงคลานนำไป ราชิดพยักโกศิน โกศินอุดจมูก มุดไปก่อน ราชิดมุดตาม ตี๋ใหญ่ตามท้ายแล้วปิดฝาลงดังเดิม

พันหงปิงมุดมาโผล่ในโพรงใหญ่ โกศิน ราชิด ตี๋ใหญ่ตามมา
“หยุดๆๆ นอนพักกันก่อน” ตี๋ใหญ่บอก
“อะไรนะ”
“รออีก 4 ชั่วโมง ให้ข้างนอกมืดก่อน”
“หา รอในนี้เนี่ยนะ”
“มันมีอากาศหายใจที่ไหน เหม็นจะตายแล้ว”
“จะเหม็นตาย หรือจะถูกยิงตาย”
“อย่าทำให้แผนแหกคุกของผมพังนะ คุณนายพลทั้งสอง นอนๆๆ นอนหลับรอก่อน”
พันหงปิง ตี๋ใหญ่ ล้มตัวนอนอย่างสบายใจ โกศิน ราชิด มองหน้ากัน อึ้ง
“แล้วพวกเจ้าหน้าที่จะไม่ตามมาเจอเราก่อนเหรอ”
“ไอ้พวกที่ตายกันมากมาย กับความเสียหายในนั้น คงทำให้ข้างในวุ่นๆ อยู่อีกนานแหละน่า”
“กว่าจะรู้ว่าเราหายไปก็คงอีกสักพัก แล้วไอ้รูส้วมของผมเนี่ย จ้างมันก็ไม่มีวันหาเจอง่ายๆ ฮ่ะๆ”
“อั๊วะเลือกคบคนไม่ผิดเลยว่ะ อาตี๋ใหญ่”
พันหงปิง ตี๋ใหญ่หัวเราะกัน แล้วหลับตาลง ราชิด โกศินจะอ้วก ทั้งเหม็นและอึดอัด

ส่วนที่คีรีรัฐ จัตุรัสเดินแยกออกมาตามทางเดิน เป็นบริเวณด้านหลัง ลับตาคน มีนายทหารคนนึงในชุดลึกลับเดินอยู่บนหลังคาขนานไปกับเส้นทางการเดินของจัตุรัส เมื่อสุดทางนายทหารลึกลับนั้นจึงโดดลงมาขวางหน้า และคุกเข่าคำนับทันที
“คนของเราออกสืบทั่วฮ่องกงแล้ว ไม่มีการรายงานข่าวเกี่ยวกับโรคระบาดเลยครับ แล้วทุกโรงพยาบาลก็ไม่มีชาวคีรีรัฐไปเป็นคนไข้เลย”
“แล้วท่านราชิดหายไปไหน”
“ไม่มีเบาะแสเลยครับ”
“ทำไมอสุนีถึงบอกว่าพ่อมันป่วย มันโกหกข้าทำไม มันรู้อะไร หรือว่ามันรวมหัวอะไรกับพ่อมันแล้วไม่บอกข้า”
“มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นทุกอย่างที่ท่านว่ามาครับ”
“มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
ทหารยื่นหนังสือพิมพ์ให้
“นี่คือข่าวสุดท้ายเกี่ยวกับการเสด็จเยือนฮ่องกง รายงานแค่ว่าการต้อนรับองค์รัชทายาทจากคีรีรัฐเป็นไปด้วยความราบรื่นดี ด้วยฝีมือการต้อนรับของคุณชายใหญ่แห่งอาณาจักรจ้าว คุณชายจ้าวซัน”
จัตุรัสรับหนังสือพิมพ์มาดูข่าว ในภาพมีการลงภาพจ้าวซันจับมือกับศิขรนโรดมด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม จัตุรัสรู้สึกคุ้นหน้า
“ทำไม ทำไมชั้นรู้สึกเหมือนกับ เคยเจอเขามาแล้ว”
“เขาเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างสูงในฮ่องกง ไม่แปลกที่ท่านจะคุ้นหน้าครับ”
“คุณชายจ้าวซัน”
จัตุรัสยังคงพิจารณาใบหน้าจ้าวซัน

จ้าวซันเดินออกมาจากในบ้านครูเฒ่า บราลีตามมายื้อ งอแง
“ทำไมหม่อมฉันถึงต้องรออยู่แต่ที่นี่ด้วย”
“ม่านฟ้า พี่ไม่ส่งน้องกลับฮ่องกงแล้ว น้องก็อย่าได้คืบจะเอาศอกสิ”
“อ้อ ค่ะ ขอบพระคุณในความเมตตาอย่างสูง”
“ไม่ต้องประชดพี่ ยังไงพี่ก็ไม่ให้น้องไป”
“ที่นี่ก็เป็นบ้านเกิดของน้องเหมือนกัน”
“น้องคือทุกอย่างของพี่ ถ้าน้องเป็นอะไรไป แล้วพี่จะอยู่ยังไง”
“น้องจะดูแลตัวเองให้ปลอดภัย”
“ด้วยการอยู่รอพี่ที่นี่”
“ฝ่าบาท”
บราลีขัดใจ สะบัดหน้าหันหลังให้ จ้าวซันตามมา โอบอย่างอ่อนโยนและขอร้อง
“ได้โปรดเถอะม่านฟ้า อยู่รอพี่ที่นี่ พี่สัญญาว่าจะไปไม่นาน พรุ่งนี้ เวลาเย็นๆ พี่จะกลับมาพร้อมข่าวดี”
“แต่คนที่รอคอย มันเป็นห่วง มันทรมาน เข้าใจมั้ยคะ”
“ม่านฟ้า พี่ขอร้อง”
บราลีก้มหน้า ซ่อนแววตา
“ค่ะ น้องจะรอ”
“ขอบใจน้องมาก”
จ้าวซันจะไป แต่ชะงักหันกลับมากอดบราลีแน่น ราวกับเป็นการกอดครั้งสุดท้าย ก่อนจะปล่อยมือ แล้วหันเดินออกไปที่มอเตอร์ไซค์ซึ่งเด็กรับใช้กำลังทำความสะอาดให้อยู่ พอจ้าวซันมา เด็กรับใช้ก็รีบถอยออกมาให้ บราลีมองตามจนกระทั่งจ้าวซันขี่มอเตอร์ไซค์ลับไป
ทันใดบราลีก็ดวงตาแวววาว คิดจะทำอะไรบางอย่าง รีบหันหลังกลับ แต่พบว่าครูเฒ่ายืนอยู่ จ้องจับผิด
“คิดจะทำอะไร”
“เปล่าค่ะ ไม่ได้ทำอะไร จะไปอาบน้ำนอนค่ะ”
บราลีเดินผ่านไป ครูเฒ่ามองตาม แล้วส่ายหัว

ส่วนที่ฮ่องกง ด้านหน้าของคุกสเตนลี่ย์มีรถตำรวจผ่านเข้าออกและมีตำรวจยามรักษาการแข็งขัน ห่างออกไปที่ทะเลติดกับคุก ราชิด โกศิน พันหงปิงกำลังว่ายน้ำออกมาจากคุกโดยมีสมุนพันหงปิงว่ายนำ ทุกคนร้อนรน บางคนหันกลับไปมองคุกด้วยความระแวง
ไฟดวงใหญ่จากกำแพงคุกฉายออกมาเป็นระยะ ทันใดนั้นเสียงสัญญาณจากคุกดังกังวานไปทั่ว ทุกคนที่อยู่ในทะเลมีสีหน้าตกใจ ไฟดวงใหญ่เปลี่ยนมาฉายที่พื้นน้ำ สมุนพันหงปิดหันไปเห็นรีบบอกให้ทุกคนหลบ

“ดำลงไปเร็ว”

สมุนพันหงปิงดำน้ำจนมิดหัวเป็นคนแรก ทุกคนเห็นกลั้นใจ แล้วทำตาม สักพักทุกคนโผล่ขึ้นมาเหนือน้ำ หายใจเอาอากาศเข้าเต็มปอด แล้วหันไปดูอีกที
“อีกนิดเดียวก็ถึงฝั่งแล้วอดทนหน่อย”
“ถ้าไม่ตายในคุกก็คงต้องมาตายในทะเลนี่แหละวะ”
“ไหวมั้ยท่าน” โกสินถามราชิด
“รีบไป ไม่ต้องเป็นห่วงข้า”
สมุนพันหงปิงว่ายเข้ามาใกล้ฝั่งจนยืนได้ก่อน
“เร็วๆ เข้า”
ทุกคนว่ายน้ำตามมาติดๆ เสียงสัญญาณเตือนภัยดังไกลออกไป สมุนพันหงปิงขึ้นถึงฝั่งได้ก่อน ตามด้วยโกศิน ราชิด ทั้งหมดคลานไปนอนหมอบที่ชายหาดอย่างหมดแรง พันหงปิงกำลังคลานขึ้นมาจากทะเลอย่างทุกลักทุเล
“รอดตายสักที”
ชายหาดด้านบน มีรถตำรวจแล่นออกมาลาดตระเวน ผ่านไปสองคัน ทุกคนก้มตัวหลบ
“ถ้าไม่รอดตอนนี้ก็สงสัยจะไม่มีทางรอดแล้ว”
รถตำรวจคันหนึ่งแล่นมาจอดอยู่ตรงชายหาดด้านบน ไฟหน้ารถฉายมาทางพวกราชิด ทุกคนหมอบต่ำกว่าเก่า ลุ้นหนัก ตำรวจสองคนถือปืนลงมาที่ชายหาด
“เอาไงดี”
พันหงปิงล้วงเอาห่อพลาสติกที่เหน็บเอวไว้ออกมา รีบแกะออก
“มาถึงขนาดนี้แล้ว ตายเป็นตาย”
ทุกคนหันไป ตกใจ
“อย่ายิง” โกสินร้องห้าม
“เดี๋ยวพวกมันได้ยินก็แห่กันมาหรอก” ราชิดบอก
“แล้วจะรอให้เป็นศพอยู่ที่นี่หรือไง”
อยู่ดีๆ สมุนพันหงปิงก็ลุกขึ้น แล้วยกมือทั้งสองข้างแล้วเดินไปหาตำรวจ
“เฮ้ยๆๆ” ราชิดร้องออกมาอย่างตกใจ
“โดนมันหักหลังแล้ว ไหนบอกว่าคนของเจ้าไว้ใจได้ไง” โกศินหันไปทางพันหงปิง พันหงปิงหน้าเสีย โกรธ รีบลุกขึ้น เล็งปืนไปที่สมุนของตัวเอง
“หนอย”
“อย่า”
ราชิดร้องห้าม สมุนพันหงปิงหันกลับมาพอดี เอามือทั้งสองข้างลง กระหยิ่ม
“สายของพวกเรามารับแล้ว รีบไปกันเร็ว” สมุนพันหงปิงบอก ซึ่งหมายถึงพวกตำรวจที่เดินมาหาคือตำรวจปลอมนั่นเอง
พันหงปิงยังไม่แน่ใจรีบลดปืนลงช้าๆ ราชิดและโกศินมองหน้ากัน ยังไม่คลายความระแวง ค่อยลุกขึ้น

ท่าเรือไปมาเก๊ามีเรือจอดอยู่เรียงราย ราชิด โกศิน พันหงปิงกำลังก้าวขึ้นเรือไป โดยมีสมุนพันหงปิงยืนส่งอยู่บนฝั่ง
“ขอบใจเจ้ามาก”
“แน่ใจนะว่าจะไม่ไปด้วยกัน”
“เมียผมยังอยู่ในคุกเลยครับ คงต้องหลบอยู่ที่นี่อีกสักพัก”
“อย่าลืม ไปที่คีรีรัฐเมื่อไหร่ เราจะตบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม”
“ขอบคุณท่านมากครับ”
ราชิด โกศิน พันหงปิงเดินเข้าไปในเรือ สมุนโค้งคำนับลาอยู่บนท่า
เรือยนต์ลำเล็กๆ แล่นฉิวออกจากท่าเรือไปอย่างรวดเร็ว

คืนเดียวกันนั้น จ้าวซัน กับภูสินทร ยืนอยู่ข้างกองไฟในป่า ข้างหน้าคือหีบอาวุธ ภูสินทรเปิดออกมา ผ่าง! ในหีบมีปืน ระเบิดมากมาย
“ทำไมเราต้องใช้อาวุธหนักกันขนาดนี้ เราบอกเจ้าแล้วใช่ไหม ว่าเราไม่ต้องการให้มีการเข่นฆ่า”
“เราไม่ต้องการ แต่คนอื่นต้องการพะย่ะค่ะ”
“ใครต้องการ”
ทันใดมีความเคลื่อนไหวรอบๆ ทั้งสองหันไป ตกใจ จัตุรัส ราชิด โกศิน เดินเข้ามาคนละทาง แต่ละคนถือปืนแบบอาวุธหนัก
“ไม่น่าถามเลย องค์ชายน่านปิงนรเทพ ขอต้อนรับกลับสู่คีรีรัฐพะย่ะค่ะ”
“ถ้าไม่ต้องการอาวุธ แล้วเราจะไปซื้ออาวุธกันทำไม”
“มั่นใจเกินไปแล้ว จ้าวซัน เป็นจ้าวซันสบายๆอยู่ดีๆ ไม่ชอบ จะกลับมาตายที่บ้านเกิดให้ได้เลยใช่ไหม”
“พวกแกควรจะอยู่ในคุกที่ฮ่องกงไม่ใช่เหรอ”
“ไม่มีคุกที่ไหนขังคนอย่างพวกข้าได้หรอก ไอ้หนู เอ็งน่ะยังอ่อนนัก”
มาทยาธร ก้าวออกมา ท่าทางสง่า น่าเกรงขาม
“ถ้าพวกลุงไม่แน่จริง คงทำให้พ่อเจ้าสละชีพไม่ได้หรอก”
จ้าวซัน ภูสินทรผงะ ศิขรนโรดมก้าวออกมาจากอีกด้าน
“คนที่เคยตายไปแล้ว อย่าคิดว่าจะกลับคืนมาได้”
ศิขรนโรดมยิงภูสินทร แล้วยิงจ้าวซัน จ้าวซันร่วง กระสุนเข้าเต็มอก จ้าวซันมองศิขรนโรดมอย่างไม่อยากเชื่อศิขรนโรดมแสยะยิ้ม ก้าวเข้ามา กระทืบซ้ำที่แผล

จ้าวซันสะดุ้งลุกพรวด ก้มลงดูแผลที่อก แต่พบว่าไม่มีอะไร ฝันไป จ้าวซันนั่งอึ้งๆ เหงื่อแตก ภูสินทรที่หลับข้างๆ ลืมตาพึ่บขึ้นมา รีบลุกตาม
“ฝ่าบาท มีอะไร”
“เราฝันร้าย”
“คงทรงวิตกกังวลถึงวันพรุ่งนี้ ก็เลยเก็บเอาไปฝัน”
“นั่นสิ”
“ฝันว่าอะไร พะย่ะค่ะ”
“ฝันว่าราชิด โกศิน มาอยู่ที่นี่กับไอ้จัตุรัสด้วย แล้วเสด็จลุงก็มายืนตรงนี้ ส่วนศิขรเป็นคนยิงเราตาย” ภูสินทรหัวเราะ
“เป็นเรื่องไร้สาระทั้งสิ้น องค์ชายศิขร คงไม่มีวันจะทำเช่นนั้น เช่นเดียวกับเจ้าหลวงมาทยาธร คงไม่มีวันจะทรงประทับยืนได้อีกแล้ว ที่แน่นอนที่สุดคือ ราชิดกับโกศิน มันไม่มีทางออกมาจากคุกที่ฮ่องกงข้ามน้ำข้ามทะเลมาได้แน่ๆพะย่ะค่ะ”
“นั่นสิ ฝันร้ายต้องกลายเป็นดีแน่ๆ”

ภูสินทรยิ้ม จ้าวซันหัวเราะเบาๆ

เช้าวันรุ่งขึ้นที่พระราชวังคีรีรัฐ อสุนีเดินเข้ามาตามเส้นทางไปยังท้องพระโรง เพราะถูกตามตัวด่วน แต่เมื่อเข้ามาด้านใน พบว่ามาทยาธรอยู่กับจัตุรัสสีหน้าเคร่งเครียด อสุนีแปลกใจ อสุนีคำนับตามระเบียบ
“ขอพระองค์ทรงพระเจริญ”
“อสุนี ราชิดพ่อเจ้าอยู่ที่ไหน” อสุนีอึ้ง แปลกใจ เหลือบมองจัตุรัสที่ยืนกระหยิ่มยิ้มอยู่ข้างกายมาทยาธร ลังเลว่าจะตอบเช่นไรดี “ได้ยินว่า พ่อของเจ้าป่วยเป็นโรคติดต่ออยู่ที่ฮ่องกง ไม่ใช่หรือ” มาทยาธรมองอสุนีอย่างจับผิด
“เอ่อ ใช่ ใช่แล้วพะยะค่ะ”
“แล้วตอนนี้ราชิดอาการเป็นอย่างไร อยู่โรงพยาบาลอะไร หมอคนไหนดูแล”
“เอ่อ คือ...”
“อ้ำๆ อึ้งๆ อยู่ทำไม เจ้าเป็นลูกไม่ใช่เหรอ แล้วแถมติดตามพ่อไปถึงนั่น แต่กลับตอบไม่ได้”
“ฝ่าบาทอย่าสนใจพระทัยเลยพระเจ้าค่ะ จะไม่สบายใจเอาเปล่าๆ เวลานี้บิดาหม่อมฉันอาการทุเลาแล้ว อีกไม่นานคงจะกลับมา”
“เจตนาทูลความเท็จต่อหน้าพระพักตร์ โทษคืออะไร เจ้าน่าจะรู้ดีนะอสุนี”
อสุนีอึ้ง มองจัตุรัสที่มีท่าทีรู้ความจริงแล้ว
“หมายความว่ายังไง”
“กระหม่อมเป็นห่วงพลเอกราชิดไม่ต่างจากพระองค์จึงได้ให้คนตามสืบข่าวอาการป่วยของพลเอกราชิดแต่ที่โรงพยาบาลทุกแห่งในฮ่องกงไม่มีคนไข้ชาวคีรีรัฐที่ป่วยด้วยโรคระบาดเลยสักรายเดียว”
ทหารรักษาท้องพระโรงกรูเข้ามา 4 นาย ล้อมอสุนี อสุนียืนงง
“อสุนี บอกความจริงมา เกิดอะไรขึ้นกับบิดาของเจ้า ไม่อย่างนั้นข้าไม่ปรานีเจ้าแน่”
“เอ่อ หม่อมฉัน...”
“เจ้าสมคบคิดกับใคร แอบทำอะไรลับหลังฝ่าบาทหรือเปล่า”
อสุนีอึ้งที่จัตุรัสกล้าโยนข้อหา จัตุรัสกระหยิ่ม
“อะไรนะ”
“เป็นไปได้ไหม ว่าเจ้ากับราชิด และโกศินไม่ได้ป่วย แต่ไม่กลับมา ทั้งๆ ที่ไม่ได้รับอนุญาตจากข้า ซึ่งหมายความว่าพวกนั้นอาจอยู่ในอันตราย”
อสุนีตกใจ หันไปมองหน้าจัตุรัส ว่ามายุยงอะไร จัตุรัสมองมาแบบเจ้าเล่ห์ ว่าอสุนีจะสารภาพอะไรไหม อสุนีมองแบบแค้นใจ รีบกราบหน้าติดพื้น
“หามิได้พระเจ้าค่ะ ฝ่าบาท ที่บิดาป่วยนั้นเป็นเรื่องจริง หม่อมฉันขอสาบานแต่เหตุที่ไม่อาจค้นผู้ป่วยที่ฮ่องกงพบ เพราะองค์ชายต้องการปิดข่าวไว้ เพื่อไม่ให้เกิดผลเสียต่อภาพลักษณ์ของคีรีรัฐจึงไม่แปลกที่คนของนายพลจัตุรัสจะสืบไม่พบเบาะแสใดๆ”
“โกหก ฝ่าบาทอย่าไปทรงเชื่อ”
“หม่อมฉันทูลความจริงฝ่าบาทได้โปรดเห็นแก่ความจงรักภักดีของหม่อมฉันและบิดาให้โอกาสหม่อมฉันได้แสดงความบริสุทธิ์หม่อมฉันจะรีบให้ทางการฮ่องกงอนุญาตให้บิดารีบติดต่อกลับมาดีไหมพระเจ้าค่ะ”
“ดี ไปจัดการเดี๋ยวนี้เลย”
อสุนีก้มกราบน้อมรับคำบัญชา ลุกยืน จ้องหน้ากับจัตุรัสอย่างแค้นใจ แล้วรีบออกไป จัตุรัสมองตาม ไม่ไว้ใจ

ที่อาศรมครูเฒ่า ครูเฒ่ากำลังนั่งทำความสะอาดพระพุทธธูป พระเครื่อง ของบูชาต่างๆ ที่โต๊ะซึ่งมองเห็นบันไดที่ลงมาจากชั้นสองของบ้าน เสียงเพลงบรรเลงคลาสสิคดังมาจากชั้นบน ครูเฒ่าทำความสะอาดไป เหลือบมองที่บันไดไป อยู่ๆ เสียงเพลงดังขึ้นมาก ครูเฒ่าเหลือบตาสู่ชั้นบน ส่ายหัว
ที่เครื่องเล่นแผ่นเสียงข้างบน บราลีในชุดพร้อมเดินทาง มีเป้เล็กบนหลัง กำลังเร่งวอลุ่มเครื่องเล่นแผ่นเสียงให้ดังขึ้นๆ จากนั้นก็ย่องไปที่ระเบียง
บราลีปีนลงจากระเบียง โดยมีเด็กรับใช้ครูเฒ่า ยืนรอบราลีอยู่ข้างล่างด้วยสีหน้าลุ้นๆ บราลีปีนลงมาสำเร็จด้วยตัวเอง ช่วงท้าย มีโดดลงมานิดหน่อย แล้วก็ลงมาหมอบนิ่งกับพื้นสักพัก ครูเฒ่ายังทำความสะอาดพระไป เหลือบตามองข้างบนพลาง เสียงเพลงยังดังต่อเนื่อง
บราลี กับเด็กรับใช้ ก้มตัวแอบๆ วิ่งหนีกันไปแบบระวังไม่ให้เสียงดัง

อสุนีมารีรอหน้าห้องศิขรนโรดม ศิขรนโรดมออกมา มองหน้ากัน ศิขรนโรดมรีบดึงอสุนีไปกระซิบ
“มีอะไร”
“เจ้าหลวงจะให้พ่อหม่อมฉันติดต่อกลับมาด่วน แล้วเราจะทำยังไงกันดี”
“รีบจัดการให้เรียบร้อยเร็วๆ เถอะ”
สองคนสบตากัน แล้วรีบออกไปจากตำหนัก
ศิขรนโรดม อสุนี รีบรุด เดินลิ่วไปด้วยกัน ขณะนั้นจัตุรัสซุ่มอยู่ด้านหนึ่งกับลูกน้องสองคน จตุรัสรอจนศิขรนโรดม อสุนี เดินออกไปพ้นจากตรงนั้น จัตุรัสพยักหน้ากับสมุน แล้วทั้งหมดรีบตามไป

ประตูวังด้านข้างที่มีที่กั้น รถจี๊บเล็กแบบทหารแล่นออกมา คนขับคืออสุนีและศิขรนโรดมนั่งข้าง ทหารวังรีบวิ่งมาเปิด และทำความเคารพแบบนอบน้อมสุดๆ อสุนีขับออกไป รถอสุนีเลี้ยวไปสักพัก รถอีกคันก็แล่นออกมา ภายในรถคือจัตุรัสนั่งที่นั่งข้างหลัง คนขับคือทหารสนิท และมีทหารสนิทอีกคนนั่งข้าง อาวุธครบมือกัน ทหารวังก็รีบเปิดและทำความเคารพแบบพึ่บพั่บ
ถนนด้านข้างวัง รถของศิขรนโรดมแล่นมุ่งไปทางด้านหลัง แล้วเลี้ยวออกถนนซอยไป ทิ้งระยะสักพัก รถของจตุรัสก็แล่นตามไป
ขณะนั้นรถสองแถวเล็ก มีการตกแต่งแปลกๆ ดูท้องถิ่นๆ ออกมาจากซอยอีกฝั่ง แล่นมา แล้วเลี้ยวไปทางหน้าวัง แล้วจอดฝั่งตรงข้าม บราลี และเด็กรับใช้รีบวิ่งลงมา เดินไปจ่ายเงินที่คนขับ สองแถวแล่นต่อไป บราลีหันไปมอง ตื่นตา
“ที่นี่หรือวังหลวง”
“ครับ”
“ก็ใหญ่โตสวยงามเหมือนกันนี่นา ดูไม่ใช่ประเทศที่ยากจนซะหน่อย”
บราลีมองสำรวจบริเวณรอบๆ ไม่ไกลมากนัก มีประตูทางเข้าออก มีนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มๆ กำลังติดต่อเจ้าหน้าที่ด้านหน้าเพื่อเข้าเยี่ยมชมภายใน โดยมีไกด์ท้องถิ่นเป็นคนคีรีรัฐ ประมาณว่าเข้าชมได้เป็นรอบๆ โดยมีเจ้าหน้าที่คีรีรัฐนำทัวร์ ห้ามแตกแถว ห้ามเดินมั่วซั่วเอง
บราลี นึกขึ้นได้ว่ามากับเด็กรับใช้
“ขอบใจเธอมากนะ” บราลีควักเงินให้ “อ้ะ ชั้นให้”
“แต่...”
“รับไว้เถอะ” บราลียัดเงินใส่มือ “แล้วเธอก็กลับไปก่อนนะ ถ้าท่านครูถามถึงชั้นก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็น เข้าใจมั้ย”
“คุณจะทำอะไรหรือครับ ผมอยู่รอที่นี่ดีกว่า”
“ไม่ต้องๆๆ ชั้นก็แค่อยากมาเที่ยว ชมวัง ถ่ายรูป ตามประสานักท่องเที่ยวนั่นแหละ กลับไปเถอะ ไปๆๆ”

บราลีไล่เด็กรับใช้ไป แล้วตัวเองก็รีบวิ่งไป

ไกด์ท้องถิ่นนำกรุ๊ปนักท่องเที่ยวเข้าไปแล้ว บราลีเพิ่งจะวิ่งเข้ามาในคราบของนักท่องเที่ยว ถือกล้องถ่ายรูป รีบเข้าไปที่เจ้าหน้าที่ประจำทางเข้า เจ้าหน้าที่ที่เฝ้าปิดที่กั้นลงใส่หน้าพอดี บราลีผงะ เจ้าหน้าที่กำลังจะไป
“excuse me! ขอโทษค่ะๆ”
เจ้าหน้าที่ไม่แยแส โบกมือไล่
“พักเที่ยงแล้ว คุณมาใหม่พรุ่งนี้”
“พักเที่ยง”
“พระราชวังหลวง เปิดให้ชมถึงเที่ยงเท่านั้น เราปิดช่วงบ่าย ห้ามเข้า เชิญกลับไปได้” บราลียกมือไหว้
“ได้โปรดเถอะค่ะ ชั้นจะกลับประเทศพรุ่งนี้แล้ว ชั้นตั้งใจมาที่นี่เพื่อชมวังนี้เลย ชั้นขอร้อง ขอชั้นเข้าไปอีกคนเดียว พลีสๆๆๆ”
เจ้าหน้าที่หันไปปรึกษากัน
“แค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
บราลีรีบหยิบเงินค่าตั๋วให้แล้ว ไหว้ปะหลกๆ
“แท้งกิ้วๆๆ”
“รีบเดินตามไกด์ไป อย่าแตกแถวเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
บราลีชี้ไปอีกทางที่มีทหารคุมเยอะ
“ทางนั้นเหรอคะ”
“ทางนี้! นักท่องเที่ยวชมได้เฉพาะพระราชวังชั้นนอกเท่านั้น ส่วนพระราชวังชั้นใน เป็นที่ประทับขององค์เจ้าหลวงและเจ้านายชั้นสูง ห้ามเข้าเด็ดขาด เข้าใจมั้ย”
“ค่ะๆ เข้าใจแล้วค่ะ ตามไกด์ทัวร์ ไม่แตกแถวค่ะ”
บราลีรีบเข้าไป

ในบริเวณวัง พระราชฐาน ไกด์เดินนำไป ชี้ดูศาลาอันนึง พลางอธิบาย พวกลูกทัวร์ยืนรุมฟังกัน
“ศาลานี้ เราเรียกว่าศาลาทรงบาตร ทุกๆ วันพระ องค์เจ้าหลวง และพระเทวีจะออกมาทรงบาตรกันที่นี่ เพราะคีรีรัฐเป็นประเทศที่มีพุทธศาสนาเป็นหลักประจำใจ” บางคนถ่ายรูปกัน “ลองมาดูไม้สลักนี่สิคะ จะพบว่าเป็นการสลักแบบที่แตกต่างไปจากลายไทย ลายพม่า หรือลายจีน เป็นศิลปะคีรีรัฐแท้ๆ”
คนอื่นๆ เข้าไปมุงกัน บราลีทำเป็นถ่ายรูปดอกไม้ ต้นไม้ แล้วเดินล้ำเข้าไปในรั้วต้นไม้ บราลีหันมอง ไม่มีใครสนใจตน รีบผลุบตัวหายไปในรั้วต้นไม้ พวกกรุ๊ปทัวร์กับไกด์ยังมุงถ่ายรูปไม้สลักกันอยู่

เขตวังฝ่ายใน บราลีมองซ้าย ขวา ย่องๆๆ เจ้าหน้าที่วังหญิงเดินผ่านไป ด้านนึง หน้าเรือนแถวยาว มีชาววังสาวๆ เดินถือข้าวของอุปกรณ์และวัตถุดิบสำหรับการทอผ้าเดินผ่านไปมา บราลีมองการแต่งตัวของสาวๆ พวกนั้น
“แต่งตัวสวยจัง” บราลีย่องๆ เข้าไปแอบใกล้หลังต้นไม้ สาวชาววังกำลังนั่งทำขั้นตอนต่างๆ ของการทอผ้าฝ้ายอยู่ “ทอผ้า...โอ้โห ช่างเป็นชีวิตชาววังแบบย้อนยุคจริงๆ เลย”
บราลีถอยๆ พอดีมีเจ้าหน้าที่วังหญิงผ่านมา บราลีโดดแอบขึ้นไปบนเรือน แล้วเห็นประตูห้องนึงเปิดอยู่ จึงเข้าไปแอบในห้องนั้น บราลีซุ่มสักพัก เสียงเงียบไป บราลีหันมองรอบๆ
ในนั้นคือห้องเก็บเสื้อผ้า มีเสื้อ ผ้านั่ง เครื่องแต่งตัว จัดเก็บเป็นหมวดหมู่ในตู้กระจก บราลีเดินดูอย่างตื่นตาตื่นใจ
“นี่มันหน้าร้านขายเสื้อผ้าโอท็อปหรือไงนะ”

บริเวณที่ทอผ้า สาวชาววังคีรีรัฐทำนั่นทำนี่กันไปมา สักพัก บราลีที่แต่งชุดชาววังกลมกลืนเป๊ะๆ เหมือนสาวๆตรงนั้น บราลีย่องออกมาจากห้อง มือยังกอดเป้ตัวเองอยู่ เจ้าหน้าที่วังเดินผ่านมา บราลีนั่งคุกเข่า ก้มหน้าลงเจ้าหน้าที่เดินผ่านไป แล้วกลับมาดู
“นี่เธอ”
“ค่ะ...จ้ะ เจ้าคะ...เอ้อ...” บราลบีไม่รู้จะพูดยังไงดี
“นี่ยังถือเป้อะไรอยู่ทำไม เพิ่งกลับจากไปเยี่ยมบ้านมาล่ะสิ ผมเผ้าไม่เรียบร้อยเอาเลย รีบเอาของไปเก็บ แล้วไปทำงาน”
“เจ้าค่ะ” บราลีรีบเผ่น เจ้าหน้าที่เดินต่อไป
บราลีเดินไป มองผมคนอื่น เขารวบและทำผมมวยหลวมๆ กัน คนอื่นๆ มองบราลีแบบไม่มีใครสังเกตอะไรบราลีเห็นซอกบนหลังชั้นวางของที่ระเบียงด้านข้างเรือนจึงโยนเป้ขึ้นไปวางฝากไว้ก่อน แล้วจัดแจงรวบผม ทำผมมวยบ้าง
ทันใดมีคนมาจับบ่า บราลีสะดุ้ง หันไป ปรากฏว่าเป็นแม่นม บราลีทำอะไรไม่ถูก ทรุดลงไปหมอบ
“อย่ามายืนเกะกะสิเธอ ตรงนี้เป็นที่ประทับพระเทวี”
“พระเทวี เสด็จแม่ขององค์ศิขรนโรดม” บราลีกระซิบกับตัวเองแล้วคลานตุ้บๆๆ หลบชิดฝา แอบเงยดู
แม่นมหันไปข้างหลัง ยิ้มย่อตัวนิดๆ พระเทวีสิริวารตีเดินมา แม่นมเข้าไปจัดที่ตรงนั้น พระเทวีสิริวารตีเดินไปนั่ง บราลีมอง ลืมตัว ตะลึง พระเทวีสิริวารตีมองมาเห็นบราลี บราลีสะดุ้ง รีบหมอบกราบลงไป พระเทวีสิริวารตีมอง เขม้น
“นั่น เด็กใหม่หรือ ไม่เคยเห็นหน้า” บราลีสะดุ้ง เงยมา แล้วรีบคลานๆๆ จะหนี “เดี๋ยว เธอ...” บราลีหน้าซีด พนมมือ “ชื่ออะไรน่ะ”
บราลีสั่น พูดไม่ออก
“อ้าว เลยกลัวใหญ่เลย พระเทวีถามว่าชื่ออะไรจ๊ะ”
“ชื่อ...ชื่อ ม่านฟ้าเพคะ”
พระเทวีสิริวารตีเบิกตากว้าง
“ชื่อเหมือนคนโบราณนะ สมัยนี้เขาตั้งชื่อแปลกๆ จำยากกันหมดแล้วม่านฟ้า อยู่ตำหนักไหนล่ะ”
บราลีอึ้ง ซีด ในที่สุดก็มั่วไป
“อยู่...อยู่...อยู่...ตำหนักใหม่เพคะ”
“อ้อ พวกตำหนักใหม่ มิน่า ไม่ค่อยรู้จัก”
“พวกทำกับข้าวนั่นเอง”

“เพคะ” บราลีรีบกราบ แล้วถอยๆ ลุกได้ วิ่งสุดชีวิต พระเทวีสิริวารตี แม่นมมองตาม งงๆ ส่ายหัว บราลีใจเต้น หนีสุดๆ

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 12 (ต่อ)

ในป่า ศิขรนโรดม อสุนี เดินลงมาที่ริมน้ำ ทั้งสองไปยืนใกล้ฝั่งน้ำ แล้วอสุนีเอากล้องถ่ายรูปออกมา ศิขรนโรดมชี้ให้ถ่ายวิวตรงนั้นตรงนี้
จากบนเนินสูงเหนือฝั่ง จัตุรัสกับสมุนมาโผล่ อสุนีถ่ายเสร็จเอากล้องมาให้ศิขรนโรดมเช็คภาพ ศิขรนโรดมกดดู แล้ววิพากษ์วิจารณ์กัน ก้มดูในกล้องกัน จัตุรัสงง
“อะไรวะ”
“นั่นสิครับ ไม่เห็นมีอะไร”
“แต่ท่าทีองค์ชายกับอสุนีตอนนั้น มันเหมือนกับว่า มีอะไรแปลกๆ”
“แล้วมาเที่ยวเล่นถ่ายรูปกันเล่นเท่านั้นหรือนี่”
“องค์ชายไม่เอาทหารรักษาพระองค์มาเลย มาพระองค์เดียว นอกหมายกำหนดการ ไม่มีการสั่งการใดๆ ไม่ใช่การเสด็จไปหาท่านพระครู แล้วมาถ่ายรูปเล่นทำไมตรงนี้ มันไม่ใช่ที่สำหรับท่องเที่ยว ไม่มีวิวสวยๆ อะไรเลย”
ขณะนั้น อยู่ๆ ศิขรนโรดมเอากล้องขึ้นเล็ง แล้วหันมาทางที่พวกจัตุรัสอยู่กันแล้วกดซูมจนเห็นจัตุรัสชัดเจนจัตุรัส และพวกผงะ ศิขรนโรดมกดชัตเตอร์ แล้วลดกล้องลงหันมาหัวเราะกับอสุนี
“เสียดายนะ ที่นี่มันเป็นกล้องถ่ายรูป ไม่ใช่ปืน ไม่งั้นก็คงเรียบร้อย”
ทั้งศิขรนโรดม อสุนี มองไปทางจัตุรัส แล้วพากันหัวเราะแบบงอหาย
“เรามีแขกที่ไม่ได้รับเชิญตามมาจริงๆ ด้วย”
“บอกแล้ว ทุกอย่างมันจะต้องเรียบร้อยในวันนี้”
ทั้งสองหัวเราะกันอีก ท่าทางสะใจยิ่งนัก เจตนายั่วยุจัตุรัส
จัตุรัสแค้นใจ ออกจากที่ซ่อน เดินลิ่วๆ เข้าไป ทหารทั้งสองตามติด
“ทรงคิดว่าจะล้อเล่นกะคนอย่างข้าได้งั้นหรือทรงรู้จักนายพลจัตุรัสน้อยไปแล้ว”
ศิขรนโรดม อสุนีสบตากัน เมื่อจัตุรัสมาถึง
“โอ๊ะ นี่ท่านแอบสะกดรอยตามพวกเรามาหรือ ท่านจัตุรัส”
จัตุรัสเดินมา ยืดตัวข่ม วางท่าเก๋า
“หม่อมฉันมาถวายอารักขาต่างหาก เพราะไม่ไว้ใจไอ้เด็กคนนี้” จัตุรัสจ้องหน้าอสุนี
“อสุนีจะทำอะไรเรา”
“หรือว่าฝ่าบาทก็ร่วมมือกับอสุนีด้วย”
“เราก็ร่วมมือกับอสุนีทุกเรื่อง ท่านจัตุรัสหมายถึงเรื่องอะไรอีกล่ะ”
“หม่อมฉันเริ่มสงสัย ว่าเกิดอะไรขึ้นที่ฮ่องกง ทำไม ท่านราชิดกับโกศินไม่กลับมา หรือว่าองค์ชายกำลังจะกระทำการกบฎ”
“หึๆ ท่านกล้าพูดถ้อยคำเหล่านี้ต่อหน้าองค์ชายรัชทายาทเชียวหรือ จะมั่นใจเกินไปหรือเปล่า ท่านจัตุรัส พรรคพวกของท่านไม่อยู่ ไม่ได้ทำให้ท่านรู้จักสงบเสงี่ยมเจียมตัวลงบ้างเลยหรือ”
“องค์ชายรับสั่งแบบนี้ ก็แปลว่าองค์ชายทรงทราบดี ว่าพรรคพวกของหม่อมฉัน ไม่อยู่เพราะเหตุไร”
“แล้วท่านจัตุรัสกับพรรคพวก กำลังวางแผนจะทำอะไรกันอยู่ล่ะ”
“อสุนีหรือว่าเจ้าเอง ที่ทรยศ”
“ใครกันแน่ ที่ทรยศ ใครกันแน่ ที่คิดจะรวบอำนาจไปจากเจ้าหลวงและองค์รัชทายาท”
จตุรัส และทหารทั้งสองยกปืนขึ้นจ้องอสุนีทันที
“อะไรกัน นี่ พวกเจ้ากล้าทำเช่นนี้กับคนของเรา ต่อหน้าเรา”
“ท่านจัตุรัส ท่านรู้ตัวไหม ท่านกำลังทำอะไรอยู่”
จัตุรัสหันปืนไปจ้องศิขรนโรดม
“หม่อมฉันไม่มีทางเลือกแล้ว พวกฝ่าบาทกำลังทำอะไรกันอยู่ ทำไมท่านราชิดไม่กลับมา ไม่แม้แต่จะติดต่อมา แล้วหม่อมฉันจะติดต่อเขาก็ทำไม่ได้ ทำไม”
ศิขรนโรดมอึ้ง จัตุรัสหน้าตาเครียดเขม็ง ดึงกล้องถ่ายรูปในมือศิขรนโรดมมา

บราลีเดินลัดเลาะเข้ามา มีเจ้าหน้าที่หญิงยืนคุยกัน บราลีย่อตัวต่ำ ย่องผ่านด่านนั้นไป บราลีผ่านเข้ามาในอุทยานหลวง หมุนตัวรอบๆ แล้วเห็นศาลาหน้าตำหนักหลวงอยู่ด้านนึง มีสาวชาววังบางส่วนกำลังช่วยกันตัดไม้ดอก ไม้ใบ สำหรับเอาไปจัดดอกไม้
บราลีย่องๆ จะผ่านไป พอเงยแล้วสะดุ้ง ทหารชายเดินรีบๆ สวนมา จะหนีก็ไม่ทัน บราลีรีบหัน ทำเป็นเก็บดอกไม้แถวนั้นบ้าง ทหารเดินมาถึง มองๆ แล้วก็ยิ้มให้ บราลียิ้มตอบ เก็บดอกไม้เป็นการใหญ่
“ดอกไม้ที่ตำหนักฝ่ายในไม่พอหรือจ๊ะ ถึงต้องมาเก็บของตำหนักหลวงนี่”
“จ้ะ”
ทหารยิ้มๆ มองชอบใจ แล้วก็เดินผ่านไป บราลีมองตามทหารไปจนลับตา แล้วหันกลับไปมองที่ตำหนักหลวง แล้วรีบเดินเร็วๆ ไป บราลีมองรอบๆ ไม่เห็นใคร คราวนี้วิ่งสุดฝีเท้า ขึ้นไปบนศาลาด้านหน้า
บราลีวิ่งขึ้นมา ศาลาหน้าว่างเปล่าไม่มีคน บราลีเหนื่อยหอบ แล้วนั่งลง พัก จับคอเสื้อกระพือให้เกิดลม เช็ดเหงื่อไปมา
“เฮ้อ นี่หรือ ตำหนักหลวง แปลว่าเป็นที่ประทับของเจ้าหลวงหรือเปล่า”
บราลีหันไปอีกด้าน แล้วชะงักเมื่อเห็นรูปเจ้าหลวงมาทยาธรเด่นเป็นสง่า คู่รูปพระเทวีสิริวารตี บราลีมองอย่างตะลึง แล้วลุกขึ้น เดินเข้าไปใกล้อย่างลืมตัว บราลีแหงนมองรูปนั้น
“เจ้าหลวงมาทยาธร คนที่ฆ่าเจ้าพ่อของน่านปิงนรเทพ แล้วเป็นต้นเหตุให้พ่อแม่เราตาย”
บราลีมองเขม็ง

บราลีกำลังเดินสำรวจมาในตำหนัก หันรีหันขวาง ไม่รู้จะไปทางไหน บราลีได้ยินเสียงฝีเท้าและคนคุยกันใกล้เข้ามาตรงที่บราลียืนอยู่
ทหารคีรีรัฐกลุ่มหนึ่งกำลังเลี้ยวมาทางบราลียืนอยู่ บราลีตัดสินใจ รีบผลักประตูเข้ามาในห้องห้องหนึ่งที่อยู่ใกล้ที่สุด ภายในห้องเป็นห้องนอน มีเตียงใหญ่โตสวยงามตั้งตระหง่านอยู่ตรงกลาง บราลีตกใจกับภาพที่เห็น รู้ทันทีว่าเป็นห้องบรรทมของเจ้าหลวง หันหลังกำลังจะรีบออกไป
“ใคร”
บราลีรีบทรุดลงนั่งกับพื้น รีบก้มหน้า ถวายความคำนับ รลวีลแชร์แล่นมาช้าๆ จากด้านใน เจ้าหลวงพารถตัวเองใกล้เข้ามา มองบราลี งงงัน
“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร มาทำไม”
“องค์เจ้าหลวง เอ่อ...หม่อมฉัน เอ่อ...หม่อมฉันเอา...” บราลีมองไปรอบๆ ชำเลืองเห็นถาดผลไม้วางอยู่บนโต๊ะ
“เอาผลไม้ พวกนี้มาถวายเพคะ”
มาทยาธรมองไปยังถาดผลไม้ที่อยู่บนโต๊ะ ค่อยๆ เข็นรถเข็นเข้าไป แล้วหยิบผลไม้ขึ้นมา สีหน้าครุ่นคิด มาทยาธรมองไปยังบราลีที่กำลังก้มหน้างุดอยู่

“ขอบใจ”

บราลีก้มหน้าก้มตา คุกเข่าถอยหลัง รีบหันกลับเพื่อจะออกจากห้องให้เร็วที่สุด บราลีกำลังจะผลักประตูและก้าวออกไป
“ใครใช้เจ้ามา”
บราลีสะดุ้งสุดตัว ค่อยๆ ก้มหน้าแล้วหันกลับไปช้าๆ
“เอ่อ คือ...”
“สิริวารตีใช่ไหม”
“อ่า ใช่เพคะ พระเทวีทรงใช้ให้หม่อมฉัน”
บราลีเงยหน้าขึ้นมาทูลกับเจ้าหลวงด้วยความโล่งใจ มาทยาธรเห็นบราลี ชะงัก ตกใจไปเล็กน้อย
“จันทร์แรม”
บราลีอึ้ง

จัตุรัสและพวก ใช้ปืนควบคุมศิขรนโรดมกับอสุนี ให้เดินไปในที่ลับตาคน ในป่าทึบ ศิขรนโรดม อสุนีสบตากัน
“จะไปไหน เราเมื่อย เดินไม่ไหวแล้ว” ศิขรนโรดมบอก
“เมื่อย แค่เสด็จสิบยี่สิบนาที ทรงเมื่อยง่ายๆ อย่างนี้ จะทำการใหญ่ได้ยังไง ฝ่าบาท”
“ท่านจัตุรัสจะพาเราไปทำอะไรไม่ทราบ รู้ไหม ว่าโทษทัณฑ์ครั้งนี้ร้ายแรงแค่ไหน”
“รู้สิ แล้วหาก มีคนมาพบร่างองค์ชายและพบหลักฐานว่าคนปลงพระชนม์คือเจ้าล่ะ อสุนี”
“เจ้าคิดว่า จะสังหารข้ากันง่ายๆ อย่างนั้นหรือ ท่านจัตุรัส”
“ก็ไม่น่าจะยาก พะย่ะค่ะ”
“แล้วเจ้าไม่สงสัยหรือ ว่าเรากับอสุนี มาทำอะไรที่นี่”
“จะเสด็จมาทำไม ไม่สำคัญ”
“สำคัญสิ เรามาเพราะอยากให้เจ้าตามไงล่ะ”
“ใช่ เพราะท่านขี้สงสัยไม่น้อย เรื่องพ่อข้าหายไปไม่กลับมา ท่านก็ถามซ้ำถามซากอยู่นั่น สงสัยข้ากับองค์ชายไม่หยุด ข้าก็กะแล้วว่าท่านต้องอยากติดตามความเคลื่อนไหวของข้ากับองค์ชายแน่ๆ เราก็เลยทำให้ท่านสนใจ และตามมาได้จริงไงล่ะ”
“ท่านก็แก่มากแล้วนะ ทำไมไม่ฉุกคิดหน่อยล่ะ ว่าทำไมข้าปล่อยให้ท่านตามมาง่ายๆ สบายๆ แล้วพอมาถึง ก็ไม่เห็นมีอะไรซักหน่อย”
“แล้วไง ฝ่าบาท จะทรงตั้งพระทัยเพื่ออะไร ก็ไม่มีประโยชน์อีกแล้วล่ะ เพราะจะต้องทรงอำลาจากโลกนี้ซะแล้ว”
จตุรัสเงื้อปืนเล็ง ทันใดมีลูกดอกพุ่งมาปักคอทหารสมุนจัตุรัสที่ต้นคอคนนึง หลังคอคนนึง ทีละคน ทีละดอก ฉึก! ฉึก! ทหารทั้งสองคว่ำไป
จัตุรัสตกใจ ตัดสินใจล็อกคอศิขรนโรดม แต่ศิขรนโรดมหมุนตัว แล้วใช้เพลงมวยฟันข้อมือ ให้ปืนจัตุรัสหล่นไป
อสุนีโดดคว้าเก็บปืนไปถือไว้ จัตุรัสผงะ ถอยๆ
“ที่จริง พวกเรานึกว่าท่านจะมากันหลายคน ไม่นึกว่าจะประมาทขนาดนี้”
“แต่ก็ดี อะไรๆ มันจะได้ง่ายขึ้น”
“พวกฝ่าบาท คือพวกไหน ลูกดอกพวกนี้ มันคืออาวุธคีรีรัฐสมัยก่อนที่ตอนนี้พวกทหารหนุ่ม ไม่มีใครใช้กันแล้ว”
ภูสินทรเดินออกมา
“พอดี คนที่ใช้มันไม่ใช่ทหารหนุ่มไงล่ะ”
จัตุรัสงง จำภูสินทรไม่ได้
“ท่าน คือ...”
“คนรู้จักเก่า”
“ข้าไม่เคยรู้จักท่าน”
“ก็ดี ข้าไม่ทบทวนความจำให้ก็แล้วกัน แต่มีคนที่ท่านสมควรจะจดจำ ไม่มีวันลืมมาด้วยคนนึง”
“ใคร”
จ้าวซันเดินออกมา หน้าตาเยือกเย็น
“แต่เราว่า เขาคงเราจำไม่ได้หรอก เวลามันก็ผ่านมาตั้งนานนม ใครจะมานั่งจำ”
จัตุรัสมองจ้าวซัน งงๆๆ จ้าวซันเดินมาข้างหน้า ใกล้ๆ
“ท่านคือใคร ข้าเคยเห็นท่านจริงๆ ด้วย”
“ลองนึกดูดีๆ”
“อ๋อ จ้าวซัน นักธุรกิจฮ่องกง อะไรวะ แล้วคุณเกี่ยวอะไรด้วย คิดจะมาแส่ปัญหาการเมืองภายในประเทศเล็กๆ เพื่อจะมาปล้นทรัพยากรธรรมชาติของเรารึไง” จ้าวซันหัวเราะ
“คิดอะไรไกลตัวจริง ลองคิดดูใกล้ๆ หน่อยสิ”
“เอ๊ะ ทำไม”
“อะไร” จ้าวซันก้าวเข้าไปใกล้อีก “ลองดูหน้าชัดๆ สิ สายตายังดีอยู่หรือเปล่าล่ะ หรือฝ้าฟางไปหมดแล้ว”
จัตุรัสมองชัดๆ แล้วผงะ
“น่านปิงนรเทพ”
“เป๊ะเว่อร์”
จ้าวซันยิ้มเหี้ยม ศิขรนโรดม อสุนี ภูสินทรยิ้มสะใจ จัตุรัสหน้าซีด เหงื่อแตก

จ้าวซันและจัตุรัสยืนประจันหน้ากันอยู่ริมฝั่งของแม่น้ำเวียงสาย ทั้งคู่จ้องหน้ากันไปมาอย่างท้าทาย
“อึ้งไปเลยล่ะสิ”
จัตุรัสแสยะยิ้มกวนโทสะ ทำใจดีสู้เสือไม่สะทกสะท้าน
“ขอถวายบังคมอดีตองค์รัชทายาทกลับสู่ “บ้านเก่า” นึกว่าชาตินี้จะไม่ได้เข้าเฝ้าอีกแล้ว”
จ้าวซันมองจัตุรัสด้วยสายตาเย็นชา
“ผิดกับเรา ที่นึกอยู่เสมอว่าชาตินี้จะต้องมาเจอเจ้าอีกให้ได้”
“ก็ต้องขอประทานอภัยทีที่เมื่อกี้จำไม่ได้ ก็ไม่เห็นทรงมีเค้าของเจ้าหลวงพีริยเทพกับพระเทวีศุลีมานเหลืออยู่สักเท่าไหร่ “ ภูสินทรขยับจะเข้าไปซัด แต่จ้าวซันยกมือห้ามไว้ “แต่พอดูอีกที เห็นแววพระเนตรที่ดูถูกดูหมิ่นผู้คนเสมอๆแล้วก็เลยจำได้ เหมือนเจ้าพ่อเจ้าแม่ไม่มีผิด”
จ้าวซันโกรธ แต่พยายามข่มอารมณ์ไว้
“จัดการมันเลยดีกว่าพะย่ะค่ะ” ภูสินทรบอก
จ้าวซัน ศิขรนโรดม ภูสินทร อสุนี ยืนเรียงหน้าจ้องมองมาทางจัตุรัสอย่างเลือดเย็น จัตุรัสถอย เริ่มหวาดๆ มองไปรอบๆ เริ่มรู้ว่าไม่มีทางเลี่ยง ทหารที่มาด้วยก็ยังนอนอยู่กับพื้นไม่ได้สติ
“เฮ้ยๆ ลูกผู้ชายเขาไม่หมาหมู่กันหรอกเว้ย” จ้าวซันหัวเราะ
“ไม่ต้องกลัว เราไม่มีพฤติกรรมอย่างที่พวกเจ้าเคยทำกับเราและครอบครัวของเราหรอก”
จัตุรัสอึ้งไปสักพัก
“ดี งั้นได้โปรดทรงสั่งสอนผู้ชราสักครั้ง”
จัตุรัสตั้งท่าเตรียมต่อสู้
“เจ้าพี่ ทรงอย่าประมาทเห็นมันแก่แบบนี้แต่ฝีมือมันร้ายกาจไม่ใช่เล่น”

จ้าวซันพยักหน้าให้ศิขรนโรดม ตั้งท่ามวยคีรีรัฐอย่างสวยงามเตรียมพร้อม ศิขรนโรดม อสุนี ภูสินทรหลบฉากออกมาข้างหลังจ้าวซัน

ส่วนที่ตำหนักมาทยาธร มาทยาธรกำลังเพ่งพิศหน้าบราลีใกล้ๆ
“เหมือนมาก เหมือนจนน่าตกใจ”
“เหมือน ใครหรือเพคะ”
มาทยาธรนิ่ง ไม่ตอบ เปลี่ยนเรื่อง
“เจ้าชื่ออะไร เป็นลูกเต้าเหล่าใคร แล้วเข้ามาทำงานในวังนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน”
“เอ่อ...คือ หม่อมฉัน คือมารดาของหม่อมฉันพามาถวายให้เป็นข้ารับใช้พระเทวีสิริ...”
“โกหก”
บราลีสะดุ้งหน้าถอดสี
“ธรรมเนียมการเอาลูกมาถวายเป็นข้ารับใช้ในวังถูกยกเลิกไปสิบกว่าปีแล้ว เจ้าเป็นใครกันแน่ สำเนียงคีรีรัฐก็ฟังดูแปร่งหู” บราลีลุ้นๆ
“หม่อมฉันเอาผลไม้มาถวาย หากไม่โปรด หม่อมฉันยกออกไปก็ได้”
มาทยาธรมองไปที่ถาดผลไม้ในมือ
“ในผลไม้มีอะไร แล้วเธอเป็นใครกันแน่”
มาทยาธรหยิบถาดขึ้นมาโยนผลไม้ทั้งหมดใส่บราลี
“อ๊ายย”
“ทหาร! มีผู้บุกรุกๆ” บราลีเหวอ หันรีหันขวาง ทำตัวไม่ถูก รีบลุกจะหนีออกจากห้อง ทหารคีรีรัฐหกคนพร้อมอาวุธเข้ามาในห้องกันพึ่บพั่บ “จับตัวนังนี่ไปสอบสวนเดี๋ยวนี้ จัตุรัสไปไหน”
ทหารมองหน้ากัน แล้วพยักหน้า
“ขอเชิญเจ้าหลวงทางนี้”
ทหารคนหนึ่งอ้อมไปด้านหลังเข็นรถเข็นของมาทยาธร อีกคนหนึ่งคอยเปิดประตูไว้ ทหารรีบเข็นออกไปอย่างรวดเร็ว
“เฮ้ยย เดี๋ยว พวกเจ้าจะพาเราไปไหน จับอีนางคนนั้นสิ”
ทหารคนสุดท้ายมองดูบราลี ที่กำลังงงจับต้นชนปลายไม่ถูก คิดว่าจะทำยังไงดี ทหารเดินตรงมาหาบราลี ก้มลงชี้หน้าขู่
“ห้ามบอกเรื่องนี้ให้ใครรู้เป็นอันขาด เข้าใจไหม! ไม่อย่างงั้น...” บราลีกลัว ก้มหน้าหลับตาปี๋ ทหารเอานิ้วดีดที่หน้าผากบราลีเบาๆ แล้วหัวเราะสะใจ “ไม่ต้องกลัวขนาดนั้นหรอกน้องสาว รีบไปซะเถอะ”
บราลียิ้มให้แหยๆ ถอยหลัง วิ่งหนี ทหารพวกนั้นรีบเข็นเจ้าหลวงมาทยาธรไป บราลีโผล่จากที่แอบ มองตามไป

ขณะนั้นจ้าวซันกับจัตุรัสกำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดด้วยเพลงมวยคีรีรัฐอยู่กลางแม่น้ำเวียงสาย จ้าวซันกระโดดข้ามลำน้ำเล็กๆ ขึ้นมาอยู่บนโขดหิน จัตุรัสกระโดดตามมารัวหมัดชุดใหญ่ใส่จ้าวซันไม่ยั้ง จ้าวซันตั้งรับได้ทุกกระบวนท่าและหาทางสวนกลับไปเมื่อมีโอกาส
จัตุรัสยังปราดเปรียวและเอี้ยวตัว ก้มหน้าก้มหลัง หลบหมัดจ้าวซันได้ด้วยท่ายากต่างๆ ศิขรนโรดม อสุนีมองลุ้นๆ ส่วนภูสินทรมองอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าทนดูไม่ได้แล้ว ออกไปช่วยองค์ชายกันเหอะ”
“ยังไม่เห็นมีทีท่าว่าจะสู้มันไม่ได้นะ”
“แล้วจะต้องรอให้องค์ชายเพลี่ยงพล้ำก่อนหรือไง”
“ใจเย็นๆ ก่อน”
“กระหม่อมไม่เข้าใจเลย กับไอ้คนเลวๆ พรรค์นี้ องค์ชายจะต้องไปใช้กฎกติกา มารยาทกับมันทำไม ให้พวกเราทั้งหมดออกไปจัดการมันแค่นี้ก็สิ้นเรื่อง”
“เราอยากให้เจ้าพี่ปราบมันจนหมอบแทบพระบาท ให้มันยอมรับในพระบารมีอย่างไม่มีข้อแม้มากกว่า”
“แล้วที่สิ่งมันทำกับเจ้าหลวงพระองค์ก่อนล่ะ แล้วที่ทำกับบายศรีเมียของหม่อมฉันล่ะ คนอย่างมันสมควรที่จะได้รับศักดิ์ศรีนี้ด้วยเหรอ”
ศิขรนโรดมนิ่ง ไม่ตอบ เบือนหน้าไปทางจ้าวซันและจัตุรัสที่ยังคงต่อสู้อยู่อย่างดุเดือด ทั้งคู่กระโดดขึ้นไปบนหินก้อนใหญ่ที่อยู่กลางลำน้ำ และต่อสู้กันด้วยเพลงมวยคีรีรัฐบนนั้น
จัตุรัสมุ่งเล่นงานที่ช่วงขา เน้นกระบวนท่าในการเตะ หมายจะให้จ้าวซันยืนไม่อยู่และตกลงไปในน้ำ จัตุรัสรุกหนัก และกระโดดเข้าไปประชิดจ้าวซันมากขึ้นแต่ไม่ได้ระวังช่วงลำตัวด้านบน จ้าวซันเห็นช่องโหว่จึงสวนหมัดใส่จัตุรัสชุดใหญ่จัตุรัสก้าวพลาด ลื่นตกลงไปนั่งอยู่ในน้ำ จ้าวซันได้ที รีบกระโดดเข้าไปซ้ำ จัตุรัสวักน้ำสาดใส่หน้าจ้าวซัน
น้ำเข้าตาจ้าวซัน จ้าวซันหันหน้าหลบ รีบเอามือเช็ด จัตุรัสยืดขาไปเตะไปที่พับในของจ้าวซันเต็มแรง จ้าวซันทรุดนั่งลงทันที ภูสินทร ศิขรนโรดม อสุนี ตกใจ
จัตุรัสลุกขึ้นรีบเข้าไปซ้ำ เงื้อหมัดเต้มเหนี่ยว จ้าวซันหันควับกลับมา นัยน์ตาคมกริบ ชกไปที่ท้องจัตุรัสอย่างเต็มแรง จัตุรัสตัวงอ ลงไปกองกับพื้นน้ำจ้าวซันตามไปจับล็อกแขน บิดขึ้นมาไพล่หลังแล้วกดหัวจัตุรัสลงกับพื้นน้ำ
จัตุรัสสำลักน้ำ ทุรนทุราย จ้าวซันจับยกขึ้นมา แล้วกดซ้ำลงไปอีกที ศิขรนโรดม ภูสินทร อสุนีวิ่งมา จัตุรัสเงยหน้า พ่นน้ำออกมา
“จะฆ่าก็ฆ่า ไม่ต้องมาทรมาน”
“จะไม่ร้องขอชีวิตหน่อยเหรอ”
จัตุรัสถุยน้ำในปากออก
“ไม่”
“ไม่ร้องของกับเรา ก็ไปร้องขอกับ “ภูสินทร” เอาแล้วกัน”
จัตุรัสอึ้ง ตะลึง หันไปมองหน้าภูสินทร ภูสินทรเดินก้าวเข้ามา ยิ้มเหี้ยมเกรียม จัตุรัสช็อก
“ภะ...ภูสินทรเหรอ”
ภูสินทรเตะไปที่หน้าจัตุรัส จัตุรัสหน้าหงาย

ทหารคีรีรัฐเข็นรถเข็นรถเจ้าหลวงมาอนาธรไปตามทาง มาทยาธรดิ้นรน ตื่นตระหนก
“นี่พวกเจ้าจะพาเราไปไหน ปล่อยเราลงเดี๋ยวนี้ ได้ยินไหมบอกให้ปล่อย”
รถเข็นแล่นลับมุมอาคารไป บราลีวิ่งแบบย่องๆ แอบตามไปดู บราลีแอบอยู่ที่มุมอาคารนั้น ค่อยๆ โผล่หน้าออกไปดู ทหารคนเดิมโผล่หน้ามาดักไว้
“ตามมาทำไม ก็บอกให้ไปไม่เข้าใจเหรอ”
“คือ...”
“อยากรู้อยากเห็นแบบนี้สงสัยเอาไว้ไม่ได้แล้ว”
“เปล่าๆ จ๊ะ คือพี่ทหารชื่ออะไรเหรอจ๊ะ กลัวว่าวันหลังจะไม่ได้เจอกันอีก”
บราลียิ้มหวานให้ ทหารใจอ่อน เขินยิ้มตอบ
“อยากรู้จริงหรือเปล่า แม่น้องนาง”

บราลีกระพริบตาถี่ๆๆ พยักหน้าส่งๆ แต่แอบชะเง้อลอบมองทางที่ทหารพาเจ้าหลวงมาทยาธรไป

ผาห่มดอกเป็นหอคอยศิลาแลง ส่วนบนสุดของหอคอยเป็นห้องวงกลมใช้คุมขังนักโทษ จัตุรัสที่มีบาดแผลทั่วตัว หัวแตกเลือดกรัง รอยฟกช้ำ รอยเฆี่ยน มือทั้งสองข้างถูกมัดห้อยไว้กับเสา จัตุรัสหัวเราะใส่
“เอาเลย ทำให้เหมือนกับที่ข้าทำกับเอ็งไว้ทุกอย่างเลยนะ มันจะได้สาสมกัน ไหนล่ะเหล็กร้อนๆ ไหน เอามานาบตัวข้าด้วยสิ” ภูสินทรมองหน้าจ้าวซันไม่รู้จะทำยังไงกับจัตุรัสดี “เสียดายที่ข้าไม่มีเมีย เจ้าก็เลยพามาให้มันมาฆ่าตัวตายต่อหน้าข้าไม่ได้”
จัตุรัสหัวเราะ ภูสินทรเดินเข้าไป ตบฉาดๆๆ จนเหนื่อย
“พอก่อน”
จ้าวซันเข้ามาห้ามและดึงภูสินทรออกไป
“ไอ้นิสัยชอบทำตัวเป็นพระเอกแบบนี้แหละที่ข้าเกลียดนัก ถุย”
จ้าวซันเดินเข้าไปหาจัตุรัส แล้วตบหน้าฉาดใหญ่ จัตุรัสงง จ้าวซันพูดใส่หน้าจัตุรัส
“มันยังตายตอนนี้ไม่ได้”
“แต่มันต้องอยู่ที่นี่ไปจนตาย”
“ทุกอย่างกำลังจะจบแล้ว ทิ้งมันไว้ที่นี่สักพักเถอะ”
ภูสินทรพยักหน้า แต่หันไปตบหน้าจัตุรัสอีกฉาด ยังไม่สบอารมณ์นัก จ้าวซันกับภูสินทรพากันจะเดินออกไป
“แน่ใจเหรอว่าจะจบ พวกเจ้าประเมินข้าต่ำไปแล้ว” จัตุรัสหัวเราะเสียงดัง จ้าวซันกับภูสินทรหันกลับมา งง
“ข้าคิดไว้แล้วว่าต้องมีอะไรเกิดขึ้นที่ฮ่องกง ทำให้ราชิดไม่กลับมา นึกว่าข้าโง่เหรอ จะบอกให้พวกเจ้ารู้เอาไว้ ตอนนี้ชีวิตเจ้าหลวงมาทยาธรอยู่ในกำมือของข้าแล้วจะบีบก็ตาย จะคลายก็.. .ตายอยู่ดี”
“โกหก”
“ข้าเป็นคนสนิทของเจ้าหลวง ดูแลเจ้าหลวงมาตลอดยี่สิบปี เจ้าหลวงไว้ใจข้ายิ่งกว่าใคร จะหลอกพาไปไหนมาไหนก็แสนง่ายดาย”
“เจ้าคิดจะทำอะไร”
“ลองปล่อยให้ข้าตายดูสิ รับรองว่าจะไม่มีใครได้พบเจอเจ้าหลวงก็อีกต่อไป” จัตุรัสหัวเราะสะใจ จ้าวซันกับภูสินทรมองหน้ากันสงสัย จะเชื่อดีหรือไม่เชื่อดี

คืนนั้นที่ตำหนักมาทยาธร ทหารคีรีรัฐเพิ่งเดินลาดตระเวนผ่านไปชุดหนึ่ง ภูสินทรในชุดไอ้โม่งดำกระโดดเข้าจากกำแพง หันซ้ายหันขวาแล้วย่องเข้าไปในตำหนัก
ภายในวังเจ้าหลวง ภูสินทรซุ่มหลบอยู่รอจังหวะให้ทหารยามเดินผ่านไป ภูสินทรปีนหน้าต่างห้องนอนเจ้าหลวงเข้ามา มองซ้ายมองขวา ไม่เห็นใคร เดินสำรวจทั่วห้อง สักพักภูสินทรได้ยินเสียงคนเดินมาใกล้ รีบหาที่ซ่อน
ภูสินทรเข้าไปหลบที่ซอกเตียง และเป็นจังหวะเดียวกับที่ประตูห้องนอนเปิดออกมา พระเทวีสิริวารตีเปิดประตูเข้ามาภายในห้อง ตามมาด้วยมิถิลา และศิขรนโรดม
“แล้วเราจะทำยังไงกันดี ราชิดก็ไม่อยู่ จัตุรัสก็ไม่รู้หายไปไหนอีก” ศิขรนโรดมกับมิถิลามองหน้ากัน “คนที่ทำต้องเป็นคนที่เข้านอกออกในวังได้ ถึงลักพาเจ้าพ่อไปได้เงียบๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่มีใครรู้”
“อาจจะไม่ใช่อย่างที่เจ้าแม่ทรงกลัวก็ได้ เดี๋ยวลูกจะออก...”
พระเทวีสิริวารตียึดแขนศิขรนโรดมไว้
“ไม่ได้ เจ้าห้ามออกไปไหนทั้งนั้น ถ้าเจ้าเป็นอะไรไปอีกคน...”
“เสด็จแม่กลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า คืนนี้ก็ดึกมากแล้ว”
ศิขรนโรดมพยักเพยิดให้มิถิลาช่วยพูดด้วยอีกคน
“ไม่น่าจะมีอะไรหรอกเพคะ เจ้าหลวงอาจจะเสด็จไปประพาสที่ไหนกับท่านจัตุรัส”
พระเทวีสิริวารตีก้มดูนาฬิกาที่ข้อมือ
“เที่ยวไหน จนดึกดื่นอย่างนี้ เป็นไปไม่ได้ ถ้าเช่นนั้นเราไปบ้านจัตุรัสกัน”
พระเทวีสิริวารตีจะรีบเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อนเสด็จแม่”
“นี่เจ้าพ่อทรงหายไปทั้งคน ถึงยังไงเขาก็เป็นบิดาของเจ้าจำไว้ซะ”
“เอ่อ...เมื่อกี้เห็นพี่อสุนีบอกว่าตอนนี้พระครูกับพวกอำมาตย์ก็กำลังประชุมกันอยู่”
ศิขรนโรดมหันมาทางมิถิลา ทำหน้าเชิงเป็นคำถามว่าจริงหรือที่พูดไป มิถิลาขยิบตาแล้วบุ้ยใบ้บอกให้ศิขรนโรดมตามน้ำไป
“ใช่ เสด็จแม่ คือ...เรื่องนี้ต้องปิดเป็นความลับ เพราะเราไม่รู้ว่าตอนนี้ใครเป็นพวกใครกันแน่”
“จะมี ใคร...กบฏอีกหรือ”
ศิขรนโรดมไม่ตอบ ถอนหายใจหนัก
“เสด็จแม่ก็ต้องระวังตัวด้วยเช่นกัน เอาอย่างนี้ เดี๋ยวลูกจะให้ทหารตามไปอารักขา ส่งถึงพระตำหนักเลย”
“หม่อมฉันจะตามเสด็จไปด้วยเพดะ”
ศิขรนโรดมพยักหน้าให้มิถิลาเป็นเชิงขอบใจ และให้รีบพาพระเทวีสิริวารตีออกไป มิถิลากับพระเทวีสิริวารตีออกไปจากห้อง มีทหารตามมาอารักขาออกไป ศิขรนโรดมเดินไปปิดประตู
“ออกมาได้แล้ว” ภูสินทรค่อยๆ ออกมาจากที่ซ่อน ดึงผ้าคลุมหน้าออก “ได้ความว่าไงบ้าง”
“ไอ้จัตุรัส มันน่าจะได้องค์เจ้าหลวงไปเป็นตัวประกันแล้วจริงๆ ฝ่าบาท”
ศิขรนโรดมและภูสินทรทำหน้าหนักใจด้วยกันทั้งคู่

จัตุรัสซถูกมัดห้อยอยู่กับเสาในคุกผาห่มดอก
“พวกฝ่าบาทไม่มีทางหาเจ้าหลวงเจอหรอก พื้นดินทุกตารางนิ้วของคีรีรัฐไม่มีใครรู้จักดีเท่ากระหม่อม” จัตุรัสหัวเราะ
“เจ้าจะเอาอะไร”
“กระหม่อมสิควรจะถามฝ่าบาทมากกว่า ว่าทรงต้องการสิ่งไร เสด็จกลับมาทวงบัลลังก์คืนใช่ไหม”
“เรากลับมาทวงถามความยุติธรรม คนชั่วอย่างพวกเจ้า ควรจะรับผลกรรมได้แล้ว”
“โอ๊ยย ขำ ความยุติธรรมไม่มีหรอกองค์ชาย โลกนี้มันมีแต่ความจริงที่ว่า ใครดี ใครได้ ใครชนะ คนนั้นคือคนดี คนถูกต้อง ใครแพ้ คนนั้นก็เลว เป็นกบฏ”
“ดี เพราะคราวนี้ เราคือผู้ชนะ”
จ้าวซันหันหลังกลับแล้วเดินออกไป
“เดี๋ยว ฝ่าบาทไม่อยากทราบแล้วหรือว่าเจ้าหลวงอยู่ที่ไหน”
จ้าวซันหันกลับมาไม่หวาดหวั่น
“เจ้าคงลืมไปว่าเราเองก็เป็นคนคีรีรัฐเหมือนกัน เรื่องแค่นี้คงไม่ยากอะไร”
“ทรงฝันไปเถอะ” จัตุรัสหัวเราะ จ้าวซันมองขรึมๆ เยือกเย็น
“ก็ถ้าเราหาเจ้าหลวงไม่พบ ก็จะไม่มีใครมาพบเจ้าที่นี่ได้เหมือนกัน”
จ้าวซันเดินออกจากคุกไปไม่หันกลับมามอง
“เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน...เดี๋ยว...”
เสียงจัตุรัสดังก้องไปทั่วคุก

คืนเดียวกันนั้นที่บ้านสี่ฤดู ผิงอัน อาม่า และแม่สี่กำลังนั่งดูละครซีรีส์เกาหลีพากย์เสียงจีนในทีวี เหม่ยอิงพามัณฑนากรหนุ่มพร้อมช่างต่อเติมเข้ามาในห้อง

“มานั่งสุมหัวกันอยู่ตรงนี้เอง” ทุกคนหันไปมอง งงๆ “เริ่มจากห้องนี้ก่อนเลย”

วันนี้ที่รอคอย ตอนที่ 12 (ต่อ)

สถาปนิกเอาแบบที่ออกไว้มากางบนโต๊ะ ช่างเอาตลับเมตรมาวัดตามผนังห้อง ประตูและหน้าต่าง ผิงอันรู้สึกว่าตัวเองเกะกะ จนต้องลุกหลบไปนั่งที่อื่น
“อะไรกันน่ะลูก”
เหม่ยอิงคุยกับช่างโดยไม่สนใจที่แม่สี่ถาม
“ตรงนี้ทุบออกไปเลย แล้วที่เหลือก็เอาตามแบบที่ตกลงไว้”
“แล้วชั้นวางพวกนี้ล่ะครับ”
“เอาออกไปทิ้งให้หมด”
“อะไรกันคะคุณหนู”
เหม่ยอิงเดินตรวจตราไปรอบๆ ห้องไม่สนใจ
“พี่เหม่ยอิง” ผิงอันเรียกเกือบเป็นตะโกน
“โอ๊ย อะไร จะมาตะโกนทำไมเนี่ย”
“มาทำอะไรกันน่ะพี่”
“แต่งบ้านใหม่ ดูไม่ออกหรือไง” ผิงอัน แม่สี่ อาม่า ตกใจ มองหน้ากันอึ้ง “ทุกคนค่ะ นี่คุณชาง มัณฑนากรมือหนึ่ง เพิ่งกลับจากอเมริกามาหมาดๆ หนูพามาช่วย renovate บ้านนี้ใหม่หมด”
“รีโนอะไรนะพี่”
“โอ๊ยย ฉันจะบ้าตาย ศัพท์ง่ายๆ แค่นี้ก็ไม่รู้ อย่างนี้เนี่ยนะคิดจะไปเมืองนอก”
“จะดีเหรอลูก”
“ทำไมจะไม่ดีล่ะคะ บ้านเก่าซอมซอจะตาย ถึงเวลาที่จะต้องมาตกแต่งใหม่แล้ว”
ช่างต่อเติมเอาชอล์กทำเครื่องหมายเป็นรูปหน้าต่างบานใหม่บนฝาผนัง
“ตรงนี้เจาะเป็นหน้าต่างนะครับ”
“ไม่ได้นะคุณหนู”
“ทำไมจะไม่ได้”
“แล้วลูกไปขออนุญาตแม่ใหญ่หรือยัง”
“จะต้องไปขอทำไม หนูเป็นคนออกเงิน หนูอนุญาตเอง แม่ใหญ่เกี่ยวอะไร”
“ทำแบบนี้ฮวงจุ้ยบ้านมันจะเสียหมดนะคะ”
“เหรอ แล้วไอ้ฮวงจุ้ยเดิมที่ว่ากันว่าดีนักดีหนา ฉันก็ไม่เห็นช่วยส่งเสริมอะไรคนในบ้านเลย แม่สี่ก็จนลง แม่ใหญ่ก็เจ็บออดๆ แอดๆ”
“พี่เหม่ยอิงก็น่าจะบอกไทไทเขาหน่อยนะ”
“ไทไทรู้ต้องไม่ยอมแน่ๆ”
“โอ๊ยย น่ารำคาญ คำก็แม่ใหญ่ คำก็ไทไท”
“ยังไงซะแม่ใหญ่ก็ยังใหญ่ที่สุดในบ้านนะ”
“ใครบอกล่ะ” ทุกคนอึ้งมอง “เดี๋ยวก็รู้ว่าใครใหญ่กว่าใคร”

เหม่ยอิงเดินมาตามทางจนถึงห้องไทไท ผิงอัน แม่สี่ อาม่ารีบเดินตามมาพยายามมาห้าม
“ไว้วันหลังค่อยคุยก็ได้ลูก วันนี้มันดึกแล้วนะ แม่ใหญ่จะได้พักผ่อน”
“แม่ใหญ่พักผ่อนมาทั้งวันแล้วค่ะ”
เหม่ยอิงเปิดประตูผัวะเข้าไป ไทไทกำลังนั่งจิบน้ำชามองมาที่ประตูราวกับรอเหม่ยอิงอยู่แล้ว
“เอ่อ แม่ใหญ่ ขอโทษจริงๆ นะคะ คือ...” แม่สี่รีบบอก
“เอาอีนางกาลีนี่ออกจากบ้านไป อย่าให้มันเข้ามาเหยียบที่นี่”
เหม่ยอิงไปสนใจ เดินเข้าไปในห้อง
“เหยียบที่ไหนนะคะ ที่นี่หรือเปล่า หรือที่นี่...ที่นี่....ที่นี่...”
เหม่ยอิงเดินย่ำไปทั่วห้องรอบตัวไทไท
“อีคนอัปมงคล ออกไป! ไป ไป ถือว่าจ้าวซันไม่อยู่ แล้วคิดจะทำอำนาจบาตรใหญ่งั้นหรือ”
“นี่ไงค่ะ คนที่บอกให้สร้างโน่นสร้างนี่ตามฮวงจุ้ย แล้วยังไง ตัวเองก็มานั่งเป็นง่อยสติเลอะเลือนอยู่ตรงนี้” เหม่ยอิงเดินเข้าไปพูดใส่หน้าไทไท “ฮวงจุ้ยมันไม่ช่วยอะไรได้แล้วเหรอคะไทไท หนูอยากรู้”
“แก แกมันไม่ตายดีแน่ อีหินโสโครก สกปรก ต่ำช้า น่ารังเกียจยิ่งกว่าหนอนไชศพ”
“ด่าไปเถอะค่ะ อัดอั้นไว้ เดี๋ยวเส้นเลือดในสมองจะแตกตายก่อน”
“แกสิตายก่อน”
“อะไรน้า กระแสลมภายในบ้านต้องไหลอย่างคดเคี้ยว ถ้าประตูตรงกัน ลมจะวิ่งตรงเข้ามาปะทะ ทำให้ผู้อยู่อาศัยโชคไม่ดี”
เหม่ยอิงพูดพลางทำลายฉากที่กั้นอยู่หน้าประตูออก
“เหม่ยอิง” อาม่า แม่สี่ ผิงอัน ตกใจ รีบเข้าไปห้าม และจัดฉากให้ตั้งขึ้นมาเหมือนเดิม “กระจกหัวสิงห์ น้ำเต้า สิงห์คู่ กระดิ่งลม งมงาย” เหม่ยอิงพูดพลางหยิบข้าวของเหล่านั้นปาทิ้งลงไปบนพื้นพลาง “กลางคืนเปิดไฟให้สว่างจะได้พบกับความเจริญ” เหม่ยอิงไล่ปิดไฟที่ไม่จำเป็นจนห้องสลัว “แต่ตอนนี้รัฐบาลเขารณรงค์ให้ประหยัดไฟนะคะ”
“พอได้แล้วเหม่ยอิง” แม่สี่พยายามห้ามลูกสาว
“เฟอร์นิเจอร์เก่าๆ พวกนี้ก็ควรเปลี่ยนใช่ไหมคะ เพราะว่าอะไรน้า จะเป็นที่เก็บสะสมพลังงานด้านลบ”
เหม่ยอิงรื้อเครื่องประทับของไทไททิ้ง พวกม่าน ผ้า ของโชว์ต่างๆ
“ผีเปรต ผีตายโหง มันเป็นผีกลับชาติมาเกิด อีตัวซวย ออกไปๆๆ”
ไทไทคว้าเอาของต่างๆ ที่อยู่ใกล้ตัวขว้างปาใส่เหม่ยอิง ส่วนใหญ่จะเป็นพวกหมอน ผ้าห่ม เหม่ยอิงไม่รู้สึก ปัดออก ไทไทหยิบเอาน้ำชาในจอกสาดไปที่เหม่ยอิง
“โอ๊ย ทำอะไรน่ะอีบ้า มันร้อนนะ”
“คุณหนูใหญ่”
“พี่เหม่ยอิงหยุดเถอะ”
ผิงอันทำท่าจะร้องไห้หลบหลังอาม่าด้วยความกลัว
“หนูรู้แล้วว่าที่บ้านเรามันไม่เจริญอยู่ทุกวันนี้เป็นเพราะอะไร ก็เพราะแกไงล่ะที่เป็นตัวรวบรวมพลังงานด้านลบไว้ในบ้านมากที่สุด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหนูจะเป็นคนออกแบบและเปลี่ยนบ้านนี้ใหม่หมด พอกันที” เหม่ยอิงมองหาของที่จะรื้อทำลายได้ “เริ่มจากโละไอ้พวกของล้าหลังพวกนี้ออกไปซะ”
เหม่ยอิงกระชากรูปต่างๆ ที่แขวนอยู่ตามผนัง และจะเอื้อมไปหยิบรูปเต้ออก แต่ปรากฏว่าถูกมุมกรอบรูปบาดนิ้วมือ เหม่ยอิงสะบัดออก
“โอ๊ย”
เหม่ยอิงเอามือออกมาดูเลือดไหลโกรกเป็นทาง หยดลงบนพื้น เหม่ยอิงหน้าซีด
“ลางร้าย ลางร้ายๆ เลือดไหลอาบสังเวชเซ่นภูตผี” ไทไทหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง
“อีบ้า”
เหม่ยอิงก้มลงไปหยิบน้ำเต้าที่ตกอยู่ขว้างใส่ไทไท ไทไทยกมือขึ้นมารับไว้ได้แล้วขวางกลับโดนหน้าเหม่ยอิงอย่างจัง เหม่ยอิงโกรธ อาย รีบออกจากห้องไป
“เหม่ยอิง กลับมาของโทษแม่ใหญ่เดี๋ยวนี้นะ ลูก”

แม่สี่รีบวิ่งตามไป ไทไทกลับหัวเราะไม่หยุด อาม่าที่กำลังก้มเก็บของมองตกตะลึง ผิงอันแอบอยู่ข้างหลังด้วยความกลัว

อีกด้านหนึ่งที่คีรีรัฐ จ้าวซันพรางตัวในชุดดำ เปิดประตูเข้ามาในบ้านครูเฒ่าอย่างร้อนรน ที่โต๊ะในห้องโถง ครูเฒ่า ภูสินทรนั่งหน้าเครียด มีเด็กรับใช้ยืนก้มหน้าก้มตาอยู่ไกลๆ
“ตกลงพบเจ้าหลวงไหม”
ภูสินทรส่ายหน้า กลุ้มใจ
“ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้เบาะแสอะไรเลย”
“ไอ้เฒ่าเจ้าเล่ห์เอ๊ย”
“จะไปยากอะไร มันไม่ยอมบอก เราก็ทรมานมัน”
“จัตุรัสมันมีพิษมากกว่าที่เราคิด”
จ้าวซันนึกได้ มองรอบๆ ผิดสังเกต
“ม่านฟ้าล่ะ”
ครูเฒ่าและภูสินทรมองหน้ากัน ไม่รู้จะพูดยังไง
“ยังไม่กลับมา”
“อะไรนะ ออกไปไหน”
จ้าวซันมองหน้าแต่ละคน ไม่มีใครตอบ เด็กรับใช้ที่ยืนก้มหน้าอยู่ เริ่มอึกอัก กระสับกระส่าย
“ออกไปเที่ยวในเมืองครับ แล้ว”
“ให้ออกไปได้ยังไง เรากำลังทำการใหญ่ เกิดมีใครใช้ม่านฟ้าเป็นเครื่องมืออีกคน”
“ฝ่าบาททรงเย็นพระทัยก่อน”
“ครูก็ไม่น่าอนุญาตให้ม่านฟ้าออกไปไหนต่อไหนตามลำพังเลย ทำไมถึงปล่อยให้คลาดสายตาไปได้”
“ผมผิดเองครับ”
จ้าวซันเดินไปที่เด็กรับใช้ จ้องเขม็ง ทำตาดุ
“ออกไปไหนกัน แล้วไปตั้งแต่เมื่อไหร่”

จ้าวซันและภูสินทรยืนคุยกันหน้าเครียดอยู่หน้าบ้านครูเฒ่า มีเด็กรับใช้ยืนสลดอยู่ใกล้ๆ
“เจ้ารีบไปเอาม้ามา คืนนี้เราจะต้องตามหาม่านฟ้าให้พบ ก่อนที่จะสายเกินไป”
จ้าวซันบอกภูสินทร ทันใดนั้นก็มีเสียงรถม้าดังมาแต่ไกล วิ่งตรงมาทางบ้านครูเฒ่า จ้าวซันและภูสินทรรีบเข้าไปซ่อนตัวด้านหลังอาศรม รอดูท่าที เด็กรับใช้ท่าทางประหม่าออกไปยืนรออยู่ด้านหน้า ครูเฒ่าเปิดประตูออกมา
รถม้ามาจอดตรงหน้าเด็ก ชาวบ้านคนหนึ่งหน้าตาไม่น่าไว้วางใจกระโดดลงมาจากที่นั่งคนขับ
“ท่านพระครูอยู่ไหม”
“ใครกัน ดึกดื่นป่านนี้แล้ว มีธุระอะไร”
“มีคนหลงทางมา เขาบอกว่าเป็นลูกศิษย์ครู ข้าเลยพามาส่ง” ชาวบ้านหันไปที่รถม้า ไม่มีใคร “อ้าว...สงสัยจะหลับอยู่”
ชาวบ้านเดินนำไปที่ด้านหลังรถม้า ครูเฒ่ากับเด็กเดินตามไปห่างๆ อย่างระมัดระวัง ขณะที่ชาวบ้านจะเปิดผ้าคลุมด้านหลังรถออกมานั้นก็มีมือหนึ่งเปิดผ้าคลุมออกมาพร้อมกันพอดี
“เฮ้ย!” ชาวบ้านสะดุ้ง พร้อมกับเด็กและครูเฒ่าก็ตกใจด้วย “ตกอกตกใจหมด”
บราลีที่แต่งชุดชาววังกระโดดลงมาจาหลังรถม้า เนื้อตัวมอมแมม สภาพอิดโรย
“ม่านฟ้า” จ้าวซันขยับตัวจะออกไปแต่ภูสินทรรั้งแขนไว้ก่อน เอ่อ...ขอบใจมากนะพ่อคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับท่านพระครู ข้ายินดี”
ชาวบ้านขึ้นรถม้าแล้วควบกลับออกไป จ้าวซันรีบเดินออกมา พุ่งตรงไปที่บราลี
“สนุกนักใช่ไหม ทำไมถึงชอบทำตัวมีปัญหานัก ชอบทำให้คนอื่นเขาเป็นห่วงอยู่เรื่อย”
“ไม่ได้ชอบ” บราลีเถียง
“ไม่ชอบแล้วทำทำไม”
“ก็จะช่วยไง” จ้าวซันอึ้ง บราลีนิ่ง รู้สึกตัวว่าพูดแรงไป “ฝ่าบาทไม่ทรงเคยเห็นค่าความหวังดีที่หม่อมฉันมีให้เลยสักครั้ง”
บราลีรีบเดินหนีเข้าไปในห้อง จ้าวซันรีบคว้าแขนไว้
“เธอเองก็ไม่เคยเห็นค่าความห่วงใยที่ฉันมีให้เหมือนกัน”
บราลีสะบัดแขนออก บราลีและจ้าวซันจ้องหน้ากัน ไม่มีใครยอมใคร
“ครั้งนี้ฉันไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดที่ทำลงไป”
“เอาล่ะๆ อย่ามัวเถียงกันที่นี่เลย รีบเข้าไปข้างในกันก่อนดีกว่า” ครูเฒ่าบอก บราลีพูดกับกับจ้าวซันต่อ
“หม่อมฉันก็มีเลือดของคีรีรัฐเหมือนกับที่พระองค์มี ถ้าพ่อแม่ของหม่อมฉันสละเลือดเนื้อและชีวิตให้องค์เจ้าหลวงได้ ฉันก็ทำได้เหมือนกัน”
จ้าวซันเริ่มอ่อนลง ยอม ถอนหายใจหนักหน่วง
“เจ้าไปไหนมา”
“เรื่องนั้นไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญก็คือ...” บราลีลดเสียงเบาลง “เจ้าหลวงมาทยาธรทรงถูกลักพาตัวไป”
“โอ่ยย รู้แล้ว”
“อ้าว แล้วรู้หรือเปล่าว่าพระองค์ถูกจับไปที่ไหน”
จ้าวซันมองหน้าบราลี รอให้พูดต่อ
“เจ้ารู้เหรอ”
บราลีพยักหน้า จ้าวซันหันไปมองไม่ทันเห็นชัดๆ
“อะไร รู้หรือไม่รู้”
“รู้”
“ไปพบเจ้าหลวงได้ยังไง”
“ฝ่าบาททรงยังไม่รู้จักหม่อมฉันดีพอ และก็ประเมินหม่อมฉันต่ำเกินไป”
“เอาล่ะๆ ตอนนี้เรารู้จักเธอดีขึ้นมาอีกหน่อยแล้ว ตกลงบอกมาได้หรือยังว่าเจ้าหลวงอยู่ที่ไหน”
ครูเฒ่ามอง ลุ้นๆ

ในบ้าน ครูเฒ่ากำลังกินอาหาร มีเด็กคอยบริการ อสุนีเดินเข้ามาแล้วชะงัก อสุนีกวาดตา
“กินอะไรมาหรือยังล่ะ เชิญ ไปจัดอาหารมาอีกที่สิ” ครูเฒ่าสั่งเด็กรับใช้
“ขอโทษครับครู ผมมาขอเข้าเฝ้า เอ้อ...องค์ชายน่านปิงนรเทพ”
“องค์น่านปิง เสด็จไปทำราชกิจสำคัญ”
“ราชกิจสำคัญอะไรอีก ขณะนี้ขบวนการของเรากำลังประสบวิกฤติบางอย่าง แต่องค์ชายกลับหายไปเสียเฉยๆ”
“ไม่ได้ทรงหายเฉยๆ”
“งั้น...เสด็จไปไหน”
“หากไม่รับสั่งกับใคร ก็แปลว่ามันต้องเป็นความลับ”
“แล้วทำไมกับคนที่มอบกายถวายชีวิตร่วมหัวจมทาย กลับหาความไว้ใจกันไม่ได้ นี่แสดงว่าองค์น่านปิงทรงมีแผนซ้อนแผนงั้นหรือ “
“เจ้าพูดอะไรออกมา อสุนี รู้ตัวไหม ว่ามันแปลว่าอะไร”
“ท่านครูทรงลำเอียง รักเจ้าพี่มากกว่าเจ้าน้องอยู่แล้ว ท่านครูกับเจ้าพี่รู้อะไรด้วยกันทุกอย่าง แต่มีหลายอย่าง ที่ท่านครูไม่ทูลเจ้าน้อง”
“อะไรกัน อสุนี”
เสียงศิขรนโรดมดังขึ้น ทั้งหมดหันไป ศิขรนโรดมเดินเข้ามากับมิถลาที่แต่งเป็นชาย ศิขรนโรดมเข้ามา ตบอสุนีกระเด็น
“ลามปามท่านครู จาบจ้วงเจ้าพี่ ทำตัวแบบนี้มันสมควรตาย”
ทุกคนอึ้ง ศิขรนโรดมทำท่าเหมือนจะตามไปซ้ำ ครูเฒ่ารีบลุกมา ดึงห้ามไว้
“เจ้าน้อง ทรงพระทัยเย็นก่อน กำลังหน้าสิ่วหน้าขวาน เราทุกคนก็เครียดกันทั้งนั้น แต่ถ้ามัวมาตีกันแบบนี้ จะเอาแรงที่ไหนไปสู้กับศัตรูเล่าพะย่ะค่ะ”
มิถิลามองพี่ ห่วงๆ

อสุนีเดินมาหยุดที่มุมหนึ่ง มือกุมหน้า หันกลับไป
“หากเขาพบเจ้าหลวงก่อนเรา ไม่แน่ว่าเขาจะปลงพระชนม์”
“เขาหรือ? เจ้าเรียกเจ้าพี่ของข้าว่าเขา แล้วที่ร้ายกว่านั้นเจ้ากล้าคิดร้ายต่อพระองค์”
ศิขรนโรดมจะเข้ามาลงมืออีก มิถิลาขวางไว้
“ฝ่าบาท” มิถิลาหันมาดุพี่ “พี่อสุนี น้องขอร้องล่ะ”
“อสุนี เจ้าเป็นอะไรไป”
“ฝ่าบาทนั่นแหละ ทรงเปลี่ยนไป ตั้งแต่เขาเข้ามา ฝ่าบาทก็เห็นเขา เอ่อ...เห็นองค์น่านปิงเป็นดุจเทพเจ้า ทรงไว้วางพระทัยทุกอย่าง”
“ถ้าเจ้าหวาดระแวงองค์น่านปิงนรเทพ เจ้าก็เท่ากับหวาดระแวงข้า”
“เขา เอ่อ องค์น่านปิง ไม่ได้เป็นเพียงองค์น่านปิง เขายังเป็นจ้าวซันด้วย กระหม่อมลองค้นคว้าหาประวัติของเขามาศึกษาจากข้อมูลในอินเตอร์เน็ต มีบทความทางเศรษฐกิจมากมาย วิจารณ์เขาไว้ในแง่ไม่ดีนัก”
“แต่เรื่องพวกนั้นมันไม่เกี่ยวอะไรกับเรา”
“เขาเป็นพ่อค้าเจ้าเล่ห์ เป็นนายทุนที่ใช้เทคนิคมากมาย เอาชนะคู่แข่งทางธุรกิจแบบเลือดเย็น ปั่นหุ้น ล้วงข้อมูลลับในบริษัทอื่นๆ มีสายสนกลในกับรัฐ เขาไม่ใช่คนซื่อๆ แบบพวกเราชาวคีรีรัฐ”
“พอเถอะ พี่อสุนี เวลานี้ ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาจ้องจับผิดใคร”
“เรายอมให้เขาจับพ่อเราไป เรายอมให้เขามาถึงกลางใจเมืองเรา แล้วพระครูเฒ่าก็พวกเขาชัดๆ ฝ่าบาทฟังกระหม่อมบ้าง เขาอาจจะทำอะไรกับเจ้าหลวงก็ได้ เพราะเจ้าหลวงเป็นคนปลงพระชนม์พระบิดาของเขาจะต้องให้หม่อมฉันทูลซ้ำซากอีกกี่หน ว่าคนที่ฝ่าบาทจะเชื่อใจนั้น จ้าวซัน สมควรเป็นคนสุดท้าย”
ทุกคนอึ้ง ศิขรนโรดมทุกข์ใจอย่างหนัก

จ้าวซันขี่มอเตอร์ไซค์โดยมีบราลีซ้อนท้ายมาที่วัดร้างแห่งหนึ่ง จ้าวซันค่อยๆ เบารถ ลงจอดข้างกำแพง ที่ประตูวัดมีประตูไม้ชั่วคราวพังๆ ตีปิดไว้
“นี่มันวัดหลวงเก่าแก่หลังวัง ที่ถูกปล่อยให้ร้างมาตั้งแต่พี่ยังเล็กๆ ด้วยซ้ำ”
“ต้องซ่อนรถก่อนเพคะ ต่อไปนี้ต้องเดินกัน ไม่งั้นพวกมันจะได้ยินเสียงรถ และไหนจะไฟรถอีก”
“พวกมันเอาตัวเจ้าหลวงมาไว้ที่นี่หรือ”
“เพคะ”
จ้างซันเอารถไปซ่อนมุมนึง บราลีทำท่าจะปีนกำแพง แต่ปีนยาก
“เย้ย” จ้าวซันเข้าไปดึงไว้ “ใครอนุญาตให้น้องเข้าไป พี่จะเข้าไปเอง น้องรอข้างนอก”
“อะไรกัน หม่อมฉันเป็นผู้นำทางนะเพคะ แล้วทำไมจะไม่ให้หม่อมฉันเข้าไปด้วย”
“นำมาแค่นี้พอแล้ว พี่ไปต่อเอง”
“แล้วจะเสด็จเข้าไปลำพังเนี่ยนะ”
จ้าวซันหยิบปืนออกมา
“พี่มีนี่แล้วไง”
“ปืนกระบอกเดียว ทรงทราบหรือเปล่า ว่าพวกมันมีกี่กระบอก”
“แล้วน้องจะเข้าไปทำอะไรได้”
“คนเดียวหัวหาย”
“สองคนเพื่อนตาย ซึ่งแปลว่าตายทั้งคู่”
ทันใดมีทหารสามคนเดินเลี้ยวมาจากมุมกำแพง จ้าวซันรีบดึงบราลีวิ่งไป แต่รองเท้าบราลีหลุดหนึ่งข้าง บราลีจะหันไปเก็บแต่ไม่ทัน ทั้งสองโดดหลบหลังต้นไม้ รองเท้าตกอยู่เด่นมาก ทั้งสองช็อกและลุ้น พวกทหารเดินมากำลังจะผ่านไป บราลีกำมือแน่น ลุ้นสุดๆ แต่แล้วทหารคนนึง เห็นรองเท้า หยุดดู เอาเท้าเขี่ยๆ แล้วเห็นเป็นรองเท้าผู้หญิง หยิบมาดู ทุกคนมารุมวิเคราะห์ กระซิบๆ กัน แล้วพากันมองรอบๆ บราลีแทบกลั้นใจตาย จ้าวซันเซ็งสุดๆ
ทันใดพวกทหารมองมาที่พุ่มไม้นั้น ทุกคนเอาปืนกระจำตัวมาประทับ เดินตรงเข้ามา จ้าวซันกำปืน เตรียมยิง ถ้าทหารเข้ามาใกล้
ทันใดบราลีตัดสินใจ ถอดเสื้อแจ็คเก็ตตัวนอกออก แล้วดึงไหล่เสื้อยืดตัวในลงมา ให้ไหล่โผล่ข้างนึง แล้วอยู่ๆ วิ่งทำเซๆ ออกไป
“ช่วยด้วยๆ ค่า ช่วยด้วย”
จ้าวซันช็อก พวกทหารอึ้ง บราลีทำผมยุ่งๆ เดินเซๆ แล้วทำท่าอ้วกๆ พวกทหารมองหน้ากัน เอาไงดี บราลีหันมายิ้ม มาดึงรองเท้าข้างนั้นในมือทหารมาใส่คืน
“หนูเมาค่ะ พี่ขา หนูมาจากแบ๊งค่อก มาเที่ยวคีรีรัฐ แล้วหนูออกมาเที่ยวเล่นในถนนคนเดิน แล้วตอนนี้ หนูหลงทางกลับเกสท์เฮ้าส์ไม่ถูก พี่ๆ ช่วยพาหนูไปเกสท์เฮ้าส์หน่อยสิคะ”
พวกทหารมองดูรูปร่างหน้าตาบราลี แล้วแอบยิ้มกัน จ้าวซันโกรธ ลมออกหู
“ได้สิจ๊ะ แต่เกสท์เฮ้าส์มันไม่ได้อยู่แถวนี้นะ มันอยู่ไกลมาก”
“นั่นสิ ทำไมหนูหลงทางมาไกลจัง”
บราลีมองทางหนีทีไล่ เห็นก้อนหินก้อนนึงขนาดเหมาะมือ ริมถนน
“หนูไม่รู้ หนูเมา อ้วกๆ” บราลีเข้าไปนั่งทำเป็นก้มๆ อาเจียนแถวๆ ก้อนหินนั้น แล้วคว้าขึ้นมากำไว้ จ้าวซันเตรียมพร้อม
“ไหวมั้ยเนี่ย น้อง” ทหารเข้ามา ก้มลงดู
ทันใดบราลีหันมา เงื้อสุดมือแล้วเอาหินทุบหน้าผากทหารนั้นเต็มแรง ทหารร้องอ๊าก ล้มลง กุมหน้า ทหารอีกสองตกใจจะเข้ามา บราลีวิ่งสุดชีวิต ไปอีกทาง ทหารทั้งสองหันไปจะยิงบราลี
“อีนี่ มันเป็นใคร”
“ยิงมันเลย”
จ้าวซันโดดเข้าไปแบบเงียบกริบ เอาปืนทุบทหารคนนึงที่ก้านคอ แล้วถีบทหารอีกคนกระเด็นไป ทหารที่ถูกทุบสลบลง จ้าวซันโดดใส่คนที่ถูกถีบ เตะปลายคาง สลบตามไปอีกคน ทหารคนที่โดนบราลีเอาหินทุบ โงหัวขึ้นมา พร้อมปืน
บราลีกลับมา เอาท่อนไม้จากไหนไม่รู้ที่ติดมือมาด้วย บราลีตีอีกทีเต็มกบาล ทหารนั้นหน้าทิ่มลง จ้าวซันมอง ตะลึง ทั้งสองช่วยกันลากร่างทหารทั้งสามไปแอบมุมนึง
“เห็นไหมคะ น้องช่วยเจ้าพี่ได้” บราลียิ้มหอบๆ จ้าวซันฉุนขาด พุ่งเข้ามา ลากแขนบราลีไปอีกทางทันที
“ช่วยเหรอ แบบนี้เรียกว่าช่วยเหรอ มานี่”
บราลีร้อง ดิ้น จ้าวซันลากไป

จ้าวซันลากบราลีมา แล้วจับเหวี่ยงกับพื้นศาลาริมทาง
“ม่านฟ้า ทำอะไรลงไป มันเสี่ยงมากรู้ไหม”
“ก็มันจวนตัวนี่เพคะ ถ้าไม่ทำแบบนั้น ถ้ามีการยิงกัน เสียงปืนดังออกไป ทุกอย่างก็พังหมด”
“ตอนที่น้องวิ่งหนี พวกมันก็อาจจะยิงน้องตายได้เหมือนกัน”
“ไม่มีทาง น้องรู้ ว่าเจ้าพี่ต้องจัดการได้”
“ม่านฟ้า นี่ชีวิตจริงนะ ไม่ใช่หนังฮอลลีวูด พี่ไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ อาจจะเกิดเรื่องน่ากลัวที่สุดกับน้องได้ทุกเมื่อ”
“แต่ที่ผ่านมาก็น้องทั้งนั้น ที่ช่วยเจ้าพี่ทุกอย่าง ที่พบว่าพวกนั้นมันจับเจ้าหลวงมาไว้ที่นี่ก็เพราะน้องไม่ได้งอเมืองอเท้ารอเจ้าพี่อยู่ที่บ้าน”
“รอพี่ อยู่ข้างนอก”
“ไม่ได้หรอก”
จ้าวซันควักปืนอีกอันออกมา
“เอ้า พี่ให้น้อง เอาไว้ป้องกันตัว ถ้ามีอะไร”
“น้องรอตรงนี้ไม่ได้ ถึงมีปืน ก็ช่วยไม่ได้”
“ทำไม”
“น้องกลัวผี”

จ้าวซันพูดไม่ออก

บริเวณวัดร้าง จ้าวซัน โดดลงมาจากกำแพงเก่าๆ ผุพังตามบราลีลงมา บราลีชี้ว่าอยู่ทางโบสถ์ ทั้งสองจะวิ่งไป
พอดีมีทหารเดินยามสองคนโผล่มา ทั้งสองแอบหลังกองโบราณสถานพังๆ ทหารผ่านไป บราลี จ้าวซัน พากันวิ่งไปที่โบสถ์เก่า ทั้งสองย่องมา ใกล้ทางขึ้นโบสถ์ มองเห็นแสงเทียนวูบๆ มาจากภายใน จ้าวซัน บราลีสบตากัน จ้าวซันชี้ให้บราลีแอบข้างประตู บราลีทำหน้าดื้อ จ้าวซันทำหน้าดุ บราลีถอนใจ แล้วยอมถอยไปแอบ จ้าวซันก้าวเข้าไป แล้วชะงัก
หน้าพระประธานเก่าๆ ที่จุดเทียนสว่าง รถวีลแชร์ ที่มีร่างชายนึง นั่งหันหน้าไปทางพระ ทำคอเอนๆ พิงๆจ้าวซันมองตะลึง ร่างนั้นดูแน่นิ่ง จ้าวซันมองรอบๆ ไม่มีใคร ตัดสินใจเข้าไปแล้วจับเก้าอี้หันมา
“เจ้าลุง...หม่อมฉันมาช่วย”
ทันใดจ้าวซันช็อก ชายที่นั่งวีลแชร์คือราชิด ถือปืนเล็งมาที่จ้าวซัน
“ราชิด”
“คุณไม่ควรมาที่นี่เลย จ้าวซัน”
ราชิดยิงเปรี้ยง โดนเจ้าซันที่ไหล่ จ้าวซันเซล้ม ร่วง บราลีตกใจ โผล่มา แล้วตกใจ ช็อกอยู่ในเงามืด ราชิดลุกขึ้น แล้วโกศินเดินออกมา
“จุ๊ๆๆ เก่งจริงๆ จ้าวซัน แต่คุณมาผิดที่ผิดเวลา ที่ของคุณคือฮ่องกง ไม่ใช่ที่นี่”
โกศินเดินมา แล้วจ้องปืนมาที่จ้าวซัน
“ตายซะเถอะ”
ทันใดบราลีตัดสินใจยิงเปรี้ยง กระสุนไม่โดนใคร แต่โกศิน ราชิดก็ตกใจ
“เฮ้ย มันมีพวก”
บราลีกลิ้งตัวในความมืดมาอีกด้านแล้วยิงอีกเปรี้ยงที่ราชิด
“ชิบแล้ว”
ราชิด โกศินมองหน้ากัน แล้วรีบเผ่นไปอีกทาง บราลีวิ่งเข้าไปหาจ้าวซันทันที
“เจ้าพี่ๆๆ”
“ยัง ยังไม่ตาย”
“ตรงไหน โดนยิงตรงไหนเพคะ” จ้าวซันจับที่ไหล่
“มันยังชาๆ”
บราลีมอง ในแสงเทียน เห็นเลือกซ่ก
“เลือกออกมากเลยเพคะ ทำไงดี ลุกไหวไหมเพคะ”
บราลีประคองจ้าวซันขึ้น ทันใดมีความเคลื่อนไหว เป็นเงาๆ หลังองค์พระประธาน บราลีหันปืนไป
“ใคร” ร่างมาทยาธรคลานออกมา ดูน่ากลัวในความมืด “ตาย” บราลีเล็งปืนไป
“อย่า” จ้าวซันร้องห้าม
“ช่วยด้วยๆ”
จ้าวซันกุมไหล่ เดินเข้าไปดู บราลีเดินถือปืน คุ้มกันไป ในแสงวูบวาบของเทียน มาทยาธรมองขึ้นมา จ้าวซันเข้าไปคุกเข่า มองหน้า มาทยาธรมองจ้าวซัน บราลีมองลุ้นว่ามาทยาธรไว้ใจได้ไหม มีหรือปืนเปล่า
“เจ้าพี่ ระวัง” บราลีเตือน
“เจ้าพี่หรือ เจ้าพี่...ไหรกัน”
ในแสงวูบวาบของเทียน มาทยาธรเขม้นมอง จ้าวซันมองร่างนั้นอย่างสมเพช มาทยาธรเห็นจ้าวซันชัดๆ แล้วผงะ ช็อก
“พีริยเทพ ไม่ พีริยเทพตายไปแล้ว ไม่จริงๆๆ อ๊ากๆๆ กลัวแล้ว ผีหลอกๆๆ”

มาทยาธรตะกายหนี จ้าวซัน บราลีมองตามไปอย่างสมเพช มาทยาธรหมดแรง ฟุบลง จ้าวซัน บราลีมอง อนาถใจ

ราชิดตบหน้าทหารคนนึงคว่ำไป พวกทหารลูกน้องจัตุรัสอีก 2-3 คนที่เป็นพวกที่ไปเข็นเจ้าหลวงออกมา นั่งหมอบอยู่ตรงนั้นต่างกลัวเกรง ราชิดควักปืนออกมาเล็งที่ทหารพวกนั้น
“พวกเจ้าอาจหาญจับตัวเจ้าหลวงมาทั้งๆ ที่ไม่มีความมั่นใจอะไรทั้งนั้น ไม่มีกำลังสนับสนุน แล้วเหตุไรจึงทำอะไรโง่เง่านัก”
ทหารลนลาน กลัวตาย
“พวกข้าไม่ได้ทำโดยพลการ เป็นคำสั่งของท่านนายพลจัตุรัสที่กำชับเอาไว้”
“คำสั่งนายพลจัตุรัส?”
“ใช่ครับ ท่านนายพลกำชับเอาไว้ ว่าหากท่านหายตัวไป ให้พวกข้าจับกุมตัวเจ้าหลวงไว้เป็นประกันโดยทันที” ราชิดตกใจ
“จัตุรัสหายไปไหน”
พวกทหารทุกคนก้มหน้า ต่างไม่มีใครทราบ
“ท่านนายพลอาจจะเสียท่าให้จ้าวซันแล้วก็เป็นได้”
โกศินบอก ราชิดอึ้ง ไม่อยากเชื่อ
“ทำไมทุกอย่างถึงได้ผิดพลาดหมดอย่างนี้ เจ้าหลวงก็รอด นายพลจัตุรัสก็หายตัวไป อาวุธก็ไม่มี ไอ้น่านปิงก็อยู่ที่นี่ซะงั้น”
“ข้านึกไม่ถึงเลยว่า เราจะต้องมาทำสงครามกับคุณชายจ้าวซัน”
“ไม่ว่ามันจะเป็นใครก็หยุดข้าไม่ได้ พวกเจ้ายังอยากร่วมสู้รบกับข้าไหม”
พวกทหารคำนับ พร้อมจะสู้ด้วยกัน ราชิดมุ่งมั่น คิดกบฏให้สำเร็จ

ที่ท้องพระโรง สิริวารตีกำลังร้องไห้ ใช้ผ้าซับน้ำตา โดยมีแม่นมกับมิถิลาปรนนิบัติใกล้ชิด อีกด้าน ศิขรนโรดมกับอสุนีกำลังเอาเรื่องพวกทหารในวังที่ต่างก็ก้มหน้าหมอบติดกับพื้นอย่างสำนึกในความผิด
“พวกเจ้าทุกคนมีหน้าที่อารักขาฝ่าบาท แล้วทำไมถึงปล่อยให้พระองค์หายตัวไปได้โดยไม่รู้เรื่องกันสักคน ความผิดของพวกเจ้าใหญ่หลวงนัก...เอาตัวพวกมันทุกคนไปยิงเป้าให้หมด”
“อสุนี การที่เจ้าพ่อหายตัวไป แสดงให้เรารู้ชัดเจนว่าพวกกบฏไม่ได้มีเพียงคนที่ถูกจับไปแล้วเท่านั้น เวลานี้เราต้องการกำลังพลให้มากที่สุดเพื่อรับมือ คนที่ตายไปแล้วทำประโยชน์อะไรไม่ได้ปล่อยพวกเขาเถอะ”
อสุนีท่าทางขัดใจ แต่จำต้องทำตาม พระเทวีสิริวารตีพยักหน้าให้ทหารปล่อยตัว
มีทหารพวกหนึ่งแตกตื่นอยู่ด้านนอก พยายามจะเข้ามาภายในแต่ถูกกันเอาไว้ ส่งเสียงอื้ออึ้ง
“ข้างนอกมีเรื่องอะไร”
ทหารคนนึงวิ่งเข้ามารายงาน ทหารคุกเข่าคำนับ
“พระเทวี องค์ชาย มีคนมาแจ้งว่าพบทหารประจำหน่วยของท่านจัตุรัสนอนบาดเจ็บอยู่ที่บริเวณวัดหลวงเก่าพะย่ะคะ”

สิริวารตี ศิขรนโรดมแปลกใจทันที

จบตอนที่ 12

อ่านต่อตอนที่ 13 พรุ่งนี้ เวลา 09.30น.
กำลังโหลดความคิดเห็น