โดมทอง ตอนที่ 9
ขณะเดียวกันภูไทและพันธุ์สูรย์กำลังนั่งทำงานพลาง คุยกันพลางตามประสาคนอารมณ์ดี อยู่ในออฟฟิศ
“แสดงว่านายจะสู้”
“แน่นอน ในเมื่อคนสองคนรักกันมาก แล้วเรื่องอะไรจะยอมให้คนอื่นมาขัดขวางอย่างไม่มีเหตุผล”
ภูไทวางมือ แล้วมองพันธุ์สูรย์ตรงๆ “ถามจริง! ทำไมคุณอดิศวร์เขาถึงเกลียดนายนักหนา”
พันธุ์ยังคงสนใจงานตรงหน้าขณะพูด
“ก็บอกแล้วไงว่า เขาเกลียดตามคุณย่าของเขา คุณย่าพูดอะไร คุณหลานก็เชื่อหมด”
“แล้วจะบอกได้หรือยังว่า ตระกูลนายไปกุมความลับอะไรของพวกตระกูลคุณอดิศวร์”
“มันยังไม่ถึงเวลา”
เสียงโทรศัพท์ออฟฟิศดังขึ้น ภูไทหยิบขึ้นมารับสาย
“สวัสดีครับ”
อดิศวร์โทร.มาจากโดมทอง ด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“ผมจะสั่งดอกไม้ของคุณมาประดับในงานที่โดมทอง”
ภูไทขยับตัว “งานอะไร”
“งานฉลองหมั้น” อดิศวร์บอก
ภูไทพยักหน้าช้าๆ “อ้อ...”
“ผมอยากได้ดอกกล้วยไม้ทั้งหมด...เจ้าจะมาดูสถานที่ก่อนก็ได้”
“จัดวันไหนหรือครับ”
“วันศุกร์ต้นเดือน...ผมขอเชิญทั้งเจ้าแล้วก็เจ้าลานนามาเป็นเกียรติด้วย”
“ขอบคุณมากครับ”
ภูไทวางโทรศัพท์ลง แล้วสบตาพันธุ์สูรย์ซึ่งมองเขม็งเป็นเชิงถาม
“คุณอดิศวร์ ศิโรดมสั่งดอกไม้เราไปตกแต่งในงานหมั้น”
“งั้นก็แสดงว่า ที่เจ้าลานนาไม่ได้ยินคุณแสงแขพูดอวดในร้านตัดเสื้อก็เป็นความจริง”
ภูไทพยักหน้าช้าๆ
บรรยากาศในบริเวณนั้น สวยงามสดชื่น ทั้ง 2 เดินคุยกันมาช้าๆ วิรงรองมองไปโดยรอบพลางถาม
“ที่ไร่ลานนาสวยกว่านี้อีก...ทำไมเราไม่ไปคุยกันที่นั่น”
“ขี้เกียจไปทะเลาะกับคน”
“เยอะไปหรือเปล่า” วิรงรองปราม
อนิรุทธิ์หยุดชะงัก “ใคร! ผมน่ะเรอะเยอะ”
“ใช่ ! ลานนาน่ะน่ารักจะตาย...ใครได้เป็นแฟน...”
อนิรุทธิ์รีบขัดขึ้น “ได้โปรด! ใครจะได้เป็นก็ช่างใคร กรุณาอย่าได้เอามาโยนให้ผม”
“จะบ้าเรอะ”
เสียงโทรศัพท์ดังขัดขึ้น วิรงรองหยิบมือถือขึ้นมาดู
“พูดถึงก็โทร.มาพอดี! ไงจ้ะ...ลานนา”
อนิรุทธิ์สะดุ้งเฮือก “เฮ้ย”
“ได้...ได้ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” วิรงรองปิดโทรศัพท์หันมาทางอนิรุทธิ์ “ไป”
“ไปไหน” อนิรุทธิ์งง
“ไปบ้านลานนา”
อนิรุทธิ์ทำตาเหลือกมองฟ้าอย่างสุดจะเซ็ง
ดอกกุหลาบดอกโตปักอยู่ในแจกันบนโต๊ะตรงมุมเทอเรซ ซึ่งมีน้ำดื่ม และขนมน่ากินวางอยู่พร้อม ลานนาเล่าเรื่องที่ฟังมาจากเจ้าภูไทจบแล้วจิ้มขนมใส่ปากเคี้ยวอย่างเอร็ดอร่อย ตามองปฏิกิริยาของวิรงรอง
ขณะที่รุทธิ์มองท่าทีของลานนาอย่างขวางๆ แกมรำคาญเล็กๆ
“ว่าไงจ๊ะ วิ ... เห็นนั่งนิ่งตั้งนานแล้ว”
“ก็ไม่เห็นจะต้องว่ายังไง เขาจะแต่งงานหรือจะหมั้นกับใคร มันก็เรื่องของเขา”
“ใช่เลย! วิพูดถูกต้องเลย!”
“มีใครเขาขอให้คุณเสนอความเห็นมิทราบ”
“ไม่จำเป็นต้องมีใครขอ...ผมชอบเสนอเอง”
“งั้น...รู้จักมั้ย...คำว่ากาลเทศะน่ะ”
“รู้ ว่าแต่คุณเถอะ รู้จักมั้ย .... มารยาทการเป็นเจ้าของบ้านน่ะ” อนิรุทธิ์ต่อปาก
ลานนาฉุนผุดลุกขึ้นทันที “วิ! ฉันน่ะไม่อยากจะหยาบคายหรอกนะ แล้วก็ยินดีรับเพื่อนของเธอมาเป็นเพื่อนของฉันทุกคน ยกเว้น ...” เจ้าน้องชี้หน้ารุทธิ์ “นายคนนี้”
อนิรุทธิ์ลุกขึ้นโวยกลับ “แหม! คิดเหมือนกันเปี๊ยบเลย”
“พอที” วิรงรองลุกขึ้นกางแขนห้ามทั้ง 2 คน
เสียงเจ้าภูไทดังขึ้น “อะไรกันน่ะ”
ทุกคนหันไปมอง อนิรุทธิ์หลิ่วตานิดๆ ให้ลานนาก่อนจะหันไปมอง เห็นภูไทและพันธุ์สูรย์เดินตรงมา
ลานนากระแทกเสียงใส่ “ขอตัว” แล้วสะบัดหน้าเดินออกไป
“รุทธิ์! ไปขอโทษลานนาเดี๋ยวนี้เลย” วิรงรองสั่ง
อนิรุทธิ์ร้อง “อ้าว”
“รุทธิ์เป็นคนผิด” วิรงรองบอก พลางหันมาทางภูไท “ขออนุญาตให้รุทธิ์ไปขอโทษลานนาหน่อยนะคะ”
“เชิญครับ”
อนิรุทธิ์มองวิรงรองแล้วมองภูไท “ขอบคุณครับ” จากนั้นจึงออกเดินไป
ภูไทพูดไล่หลัง “ขอโทษอย่างเดียวนะครับ”
อนิรุทธิ์ชะงัก แล้วเดินไปต่อโดยทำสีหน้าเบื่อหน่าย พร้อมกับพึมพำ
“ยังกับอยากจะทำอะไรนักนี่! พูดยังไม่อยากจะพูดด้วยเลย”
ด้านลานนาเดินมากระแทกตัวลงนั่งตรงอีกมุมหนึ่งของศาลา อย่างหงุดหงิด
“เป็นอะไรไม่รู้! ไม่ถูกชาตากับทหารเรือ”
อนิรุทธิ์เดินมาหยุดตรงหน้า ในระยะห่างพอสมควร
“ขอโทษครับ”
ลานนามองอนิรุทธิ์หัวจรดเท้า และจากเท้าขึ้นไปจดหัว
อนิรุทธิ์พยายามสะกดกลั้นความหงุดหงิด “ขอโทษครับ” เสียงดังขึ้นอีก
“เอากองไว้ตรงนั้นแหละ”
“ผมขอโทษแล้วนะ”
“ฉันก็บอกแล้วว่าให้กองไว้ตรงนั้น”
อนิรุทธิ์ฮึดฮัดขัดใจอยู่ครู่หนึ่ง เช่นเดียวกับลานนาซึ่งเชิดหน้ามองมาอย่างดูแคลน
“นี่ ...” / “นี่ ...” สองคนพูดพร้อมกันโดยไม่ได้ตั้งใจ
ซึ่งทั้งสองต่างสะดุ้งตกใจแกมขัดเขินกันไปครู่หนึ่ง จนลานนาปรับสีหน้าและอารมณ์ได้ในที่สุด
“หมดธุระแล้วก็ไปได้”
“แสดงว่าคุณยอมรับคำขอโทษของผม !
“เปล่า! มันยังกองอยู่ตรงนั้น”
ลานนาเดินหน้าคว่ำหนีไป
อนิรุทธิ์มองตามพลางส่ายหน้า “ผู้หญิงอะไร กวนโมโหอย่างร้าย” แล้วเดินย้อนกลับไป
ระหว่างทางกลับโดมทองอนิรุทธิ์ขับรถไปเรื่อยๆ ขณะที่วิรงรองนั่งมองไปข้างหน้าอย่างเคร่งขรึม
“เลยเสียฤกษ์หมด อยากกลับบ้านไหม”
“บ้านไหนล่ะ ถ้าเป็นบ้านวิจริงๆ ก็ต้องกลับกรุงเทพฯ”
“จะกลับจริงๆ หรือเปล่า! ผมจะขับไปส่งเดี๋ยวนี้เลย”
วิรงรองถอนใจ “วิยังกลับไม่ได้...มีบางสิ่งบางอย่างที่วิต้องทำให้สำเร็จ”
“ฟังดูลึกลับจังแฮะ” อนิรุทธิ์ว่า
“ถ้าหากรุทธิ์ว่าง...วันงานที่โดมทอง วิอยากให้คุณมาด้วย”
“เจ้าของงานเขาไม่ได้เชิญสักหน่อย”
วิรงรองหันมาด้วยสีหน้าอ้อนวอน “มาเถอะค่ะ...มาอยู่เป็นเพื่อนวิ”
อนิรุทธิ์ชำเลืองมองสีหน้าเศร้าๆ เหงาๆ ของวิรงรองแว่บหนึ่งด้วยความแปลกใจ
ลานนานั่งหน้าบึ้งอยู่บนโซฟาในห้องนั่งเล่น ภูไทเดินเข้ามา ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ
“ไม่รีบไปดูเสื้อผ้าก็ต้องมีอารมณ์ด้วย”
“น้องเกลียดนายอนิรุทธิ์”
“อะไร เจอกันแค่ไม่กี่ครั้งก็เกลียดเขาแล้ว!…เขาไปทำอะไรให้”
“พี่ชายเคยได้ยินไหมคะที่เขาว่า “ศรศิลป์ไม่กินกัน” น่ะ ...น้องรู้สึกอย่างนั้นเลย” ลานนาว่า
อนิรุทธิ์ขับรถพาวิรงรองมาส่งที่เดิม ทั้งคู่นั่งกันเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง จนวิรงรองเป็นฝ่ายหันมาพูดกับอนิรุทธิ์ในที่สุด
“ถ้ารุทธิ์ไม่ว่าง ...ก็ไม่ต้องมา...วิขอโทษที่บังคับคุณเมื่อกี้ ...
“เอาเป็นว่า ถ้าว่าง...ผมจะมาก็แล้วกัน”
วิรงรองยิ้มขณะถาม “คุณว่าลานนาน่ารักไหม”
อนิรุทธิ์สีหน้าขรึมลง “คุณไม่รู้จริงๆ หรือว่าแกล้งทำเป็นไม่รู้”
วิรงรองนิ่งเงียบ รอยยิ้มหายไป
“ผม...รักคุณมาตั้งแต่แรก”
“รุทธิ์...”
“ตอนนั้นคุณมีนายพิชญ์อยู่แล้ว ผมเลยต้องพยายามหักใจคิดว่าคุณเป็นแค่เพื่อน แต่เวลานี้ คุณเป็นอิสระ...พิชญ์แต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ผม...”
วิรงรองรีบขัดขึ้น “อย่า”
อนิรุทธิ์ชะงัก
“วิเสียดายความเป็นเพื่อนของเรา วิไม่อยากเสียมันไป”
วิรงรองบอกต่อขณะเปิดประตูลงไป อนิรุทธิ์มองตาม
“ผมจะรอจนกว่าคุณจะลืมนายพิชญ์”
อดิศวร์ยืนอยู่ที่หน้าต่างห้องทำงานแล้วมองออกไป เห็นวิรงรองเดินช้าๆ เหมือนคนใจลอยตรงมาที่บ้าน
อดิศวร์มองร่างแบบบางด้วยแววตาใคร่ครวญครุ่นคิด
ขณะที่วิรงรองเดินมาขึ้นบันไดจะไปห้อง อุษารีบเดินเข้ามาหา
“น้องวิ”
วิรงรองหยุด หันมามอง
“หายแล้วหรือคะนั่น ถึงได้ออกไปข้างนอก”
วิรงรองพูดเสียงอ่อยๆ “ก็...ค่อยยังชั่วแล้วค่ะ...เหลือแค่ปวดหัวนิดหน่อย”
“นั่นไง...เดี๋ยวพี่จะเอายาให้”
“ไม่ต้องค่ะ...วิมีแล้ว เอ้อ...วิขอขึ้นไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
“เชิญค่ะ”
อุษามองวิรงรองเดินขึ้นห้องไปด้วยสีหน้าครุ่นคิด
วิรงรองเปิดประตูห้องเข้ามา แล้วปิดลงเบาๆ เดินมาวางกระเป๋าบนโต๊ะ แล้วลงนั่ง ถอนใจกลุ้มๆ ภาพอนิรุทธิ์บอกรัก ผุดเข้ามาในห้วงความคิด
“ผม...รักคุณมาตั้งแต่แรก”
ตามมาด้วยภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่อนิรุทธิ์พูดกับวิรงรอง พยายามจะบอกว่าคิดยังไงกับเธอ
“รุทธิ์เอ๊ยรุทธิ์ ไม่น่าคิดอะไรบ้าๆ เลย”
วิรงรองหยิบยาแก้ปวดหัวกิน แล้วล้มตัวลงนอน
ตอนค่ำ ท้องฟ้าเริ่มตั้งเค้ามีเมฆฝน ฟ้าแลบแปลบปลาบเหมือนฝนกำลังจะตก
อดิศวร์เดินเข้ามาในห้องอาหาร
“คุณลบมาแล้ว” แสงแขดึงโถข้าวจากโอบอ้อม “เอามานี่ ฉันตักข้าวให้คุณลบเอง”
อดิศวร์ทรุดตัวลงนั่งเอ่ยถามขึ้น “วิรงรองล่ะ”
มือแสงแขที่กำลังตักข้าวให้อดิศวร์ชะงักไปนิดหนึ่ง
“ทานตั้งแต่เมื่อเย็นแล้วค่ะ...แกไม่ค่อยสบาย”
นัยน์ตาอดิศวร์เป็นประกายเหมือนจะโกรธแว่บหนึ่ง ประมาณว่าอวดดียังไม่แข็งแรงดี แล้วยังจะไปเที่ยว
“โถ...ก็ยังไม่ทันจะหายดีนี่น้า...แต่ก็นั่นแหละ เพื่อนสนิท อุตส่าห์มารับทั้งที” แสงแขพูดพลางเลื่อนชามแกงให้เอาใจอดิศวร์ “แกงจืดลูกรอกค่ะ คุณลบ”
“ขอบใจ ไม่ต้องเลื่อนมาก็ได้...พี่ตักถึง”
แสงแขเม้มปากด้วยความน้อยใจ ขณะที่อุษาก้มหน้าก้มตากินข้าวเงียบๆ
วิรงรองอยู่ในชุดนอน กำลังคุยโทรศัพท์กับมารดา
“คุณรักษาสุขภาพด้วยนะคะ...หลังจากงานเลี้ยงฉลองพิธีหมั้น คุณอดิศวร์กับคุณแสงแขแล้ว หนูจะได้กลับบ้านเราเสียที ค่ะ...หนูก็รักแล้วคิดถึงคุณมากเหมือนกัน”
วิรงรองวางมือถือลง น้ำตารื้นขึ้นมาด้วยความรู้สึกต่างๆ ประดังประเดเข้ามา
จังหวะนี้มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น วิรงรองเดินไปใกล้ประตูแล้วร้องถาม
“ใครคะ”
“ฉันเอง” เสียงแสงแขดังเข้ามา
วิรงรองมีสีหน้ารำคาญ ประมาณว่า... “อีกแล้วหรือ” แล้วเปิดประตู
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับเธอ”
“เรื่องอะไรคะ”
“ไปที่เฉลียงดีกว่า”
“ดึกแล้วนะคะ! ฝนก็กำลังจะตก”
แสงแขไม่ใส่ใจฟังหันหลังเดินนำไป วิรงรองตามอย่างไม่เต็มใจนัก
ครู่ต่อมาแสงแขเดินมาถึงเฉลียงรูปครึ่งวงกลม แล้วหันกลับมา วิรงรองเดินเข้ามาหยุดห่างพอสมควร ท้องฟ้ายังคงมีเมฆฝนกระจาย รวมทั้งฟ้าแลบวับๆ เป็นระยะ
วิรงรองเงยหน้ามองแว่บหนึ่งบอกอีก “ฝนจะตกแล้ว”
“คนที่มารับเธอวันนี้เป็นใคร นายสมบอกว่าไม่ใช่เจ้าภูไท”
“เพื่อนดิฉันค่ะ”
“เธอก็มีเพื่อนผู้ชายหลายคน แล้วทำไมถึงได้ยังจะมาแย่งคุณลบไปจากฉันอีก ทั้งๆ ที่รู้อยู่เต็มอกว่า เรารักกัน”
“คุณแสงแขเข้าใจผิด” ตัดสินใจปดไป “เอาละค่ะ บอกความจริงให้ก็ได้ว่าดิฉันกำลังศึกษาดูใจกับเพื่อนคนนี้อยู่”
แสงแขเบิกตากว้าง นัยน์ตามีแววยินดีแว่บขึ้นมา “จริงหรือ”
“จริงค่ะ”
“แล้วคุณพิชญ์ล่ะ เธอกับเขารักกัน...”
วิรงรองขัดขึ้นทันที “เคยรักค่ะ...พอเขาแต่งงาน เรื่องของเราก็จบลง ดิฉันไม่แย่งของของใคร”
“แม้แต่คุณลบของฉัน” แสงแขถาม
วิรงรองเน้นคำ “โดยเฉพาะคุณลบของคุณ”
แสงแขยังคงมองวิรงรอง อย่างคลางแคลงใจ
วิรงรองสบตาแน่วแน่ “เชื่อดิฉันเถอะค่ะ ดิฉันพูดจริง...ทำจริง”
“ฉันจะยังไม่วางใจจนกว่าเธอจะแต่งงาน”
“การแต่งงานเป็นเรื่องใหญ่...ถึงเราจะรักกัน แต่ก็ต้องใช้เวลาศึกษากัน”
“แปลว่า...เธออาจจะเปลี่ยนใจได้”
“นั่นเป็นเรื่องของอนาคตค่ะ...แต่คุณแสงแขก็จะหมั้นจะแต่งงานกับคุณอดิศวร์แล้วไม่ใช่หรือคะ”
แสงแขสบตาวิรงรองเขม็ง “จำคำพูดของเธอไว้ให้ดี เธอมีคนรักแล้ว และคุณลบก็มีเจ้าของแล้วซึ่งก็คือฉัน ฉันรักเขามาก และขอสาบานว่าฉันจะเอาชีวิตเป็นเดิมพันเพื่อให้เขาเป็นคนของฉันตลอดไป”
ทั้งสองสาวสบตากันนิ่งๆ ครู่หนึ่ง แล้วแสงแขจึงเดินออกไป วิรงรองมองตามจนลับตา
แสงแขเดินเข้ามาในห้องตัวเอง แล้วปิดประตูเบาๆ มองไปที่หน้าต่าง เห็นท้องฟ้าร้องครืนครันมากขึ้น
“ผิดคำพูดเมื่อไหร่ ไม่แกหรือฉันก็ต้องตายไปข้างหนึ่ง”
สายฟ้าฟาดเปรี้ยง แสงจากฟ้าวาบขึ้นที่ใบหน้าและดวงตา ของแสงแขซึ่งดูดันและน่ากลัว
ฝนเริ่มโปรยปรายลงมา โดยฟ้าคะนองมากยิ่งขึ้น แถมด้วยลมแรงจัด วิรงรองหันหลังจะเดินกลับเข้าไปข้างใน แต่มีเสียงเรียกดังขึ้น
“พลับพลึง” เป็นเสียงของเจ้าพรยาสรรักษ์ไกรณรงค์
วิรงรองชะงัก ยืนนิ่งจังงัง
เสียงดังขึ้นอีก “พลับพลึง”
วิรงรองค่อยๆ หันกลับมาทางเฉลียงช้าๆ
“ใคร...ใครเรียกฉัน”
จู่ๆ มีเสียงรถม้ากระทบพื้นดังแว่วมา วิรงรองเดินแข็งทื่อเหมือนถูกสะกดกลับมายังลูกกรงเฉลียง แล้วชะเง้อมอง
เห็นรถม้าคันเดิมแล่นออกมาจากความมืด ท่ามกลางสายฝน และฟ้าแลบแปลบปลาบ
วิรงรองจ้องมองตาไม่กระพริบ รถม้าคันนั้นตรงมาหยุดหน้าระเบียง ท่านเจ้าคุณยังคงนั่งนิ่ง หมวกหรุบลงปกปิดใบหน้า
“พลับพลึง”
ท่านเจ้าคุณค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมาอย่างช้าๆ วิรงรองจับลูกกรง ก้มลงไปมอง ราวกับถูกสะกด เห็นท่านเจ้าคุณหน้าซีดขาว นัยน์ตาไร้วี่แวว แข็งทื่อจนน่ากลัว
วิรงรองโน้มตัวลงไปเรื่อยๆ เหมือนว่าวิรงรองจะกระโดดลงไป
เสียงเพรียกดังออกมาโดยที่ท่านเจ้าคุณไม่ได้ขยับปาก “พลับพลึง”
วิรงรองหลับตาลง ร่างโงนเงนไปมา และทำท่าจะตกลงไป
เสียงอดิศวร์ดังขึ้น “วิรงรอง”
ร่างวิรงรองจวนเจียนจะตกอยู่รอมร่อ อดิศวร์รีบถลามาจับไว้ได้ทันท่วงทีแบบเส้นยาแดงผ่าแปด
อดิศวร์จับวิรงรองให้หันมา นัยน์ตาทั้งตกใจและโกรธจัด ส่วนวิรงรองนัยน์ตาว่างเปล่ามองมาเหมือนยังถูกสะกดอยู่
“จะบ้าเรอะ ออกมาตากฝนอย่างเดียวไม่พอ ยังคิดจะกระโดดตึกตายอีก”
แล้ววิรงรองก็เป็นลมหมดสติลง ขณะที่อดิศวร์มารับร่างไว้ได้ทันท่วงที
ฟ้าคะนองและฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง ห้องอุษาปิดไฟมืดมิด แต่สว่างวาบเป็นระยะด้วยแสงฟ้าแลบและฟ้าผ่าเปรี้ยงๆ
อุษานอนหลับสนิท เสียงอดิศวร์เคาะประตูปังๆ ดังขึ้น พร้อมเสียงตะโกนร้อนรน
“อุษา! อุษา! ตื่นเร็ว”
อุษาตกใจตื่น
“คุณลบนี่”
อุษารีบคว้าเสื้อคลุมสวมทับ แล้วเดินแกมวิ่งไปที่ประตู เปิดออก
“ตามมาเร็วเข้า”
อดิศวร์ตัวเปียกโชก ออกเดินอย่างรวดเร็ว อุษารีบตาม
จังหวะนั้นประตูห้องแสงแขเปิดออกด้วยได้ยินเสียงเอะอะ และทุบประตูแรงๆ แสงแขรีบเดินสะกดรอยตาม 2 คนไปห่างๆ
สักครู่หนึ่งอดิศวร์เดินนำอุษาลิ่วๆ มา จนอุษาเดินไม่ทัน อดิศวร์เปิดประตูเข้าไปในห้องวิรงรอง อุษาเร่งฝีเท้าตามเข้าไป แล้วปิดประตูลง
แสงแขที่ตามมา ชะเง้อมองด้วยความไม่พอใจ ผสมอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ส่วนในห้องอุษามองร่างวิรงรองที่นอนเปียกปอนบนที่นอนด้วยความตกใจ
“ตายจริง ! วิรงรองเป็นอะไรไปคะ”
“รีบเปลี่ยนเสื้อให้เขาก่อน พี่ก็จะไปเปลี่ยนเหมือนกัน”
อดิศวร์เดินไปที่ประตู แล้วหันกลับมาอย่างนึกได้
“ค่ะ” อุษาพยักหน้ารับรู้
แล้วอดิศวร์จึงเดินออกไป อุษารีบเดินไปหยิบเสื้อผ้า และผ้าเช็ดตัวมา
ด้านแสงหลบมุมในความมืด มองดูอดิศวร์เดินเข้าห้องไป
“เป็นอะไรกันไปหมด”
ฝนฟ้าภายนอกเริ่มซาลงบ้างแล้ว แต่ฟ้ายังร้องครืนครันอยู่ ส่วนภายในห้อง อุษาเปลี่ยนเสื้อผ้าให้วิเสร็จแล้ว ... วิรงรองนอนขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม
ประตูเปิดออก อดิศวร์เดินเข้ามาในเสื้อผ้าชุดใหม่ ผมแห้งหมาดๆ
“เป็นยังไงบ้าง”
“ตัวร้อนจี๋เลยค่ะ คุณลบช่วยเช็ดตัวให้หน่อยได้ไหมคะ อุษาจะไปเอายาแก้ไข้ ของน้องวิหมดแล้ว”
อุษาพยักหน้าไปที่ขวดยาแก้ไข้ที่วางอยู่
“ได้”
อุษารีบเดินออกไป อดิศวร์ทรุดตัวลงนั่ง แล้วเช็ดตัวให้ เริ่มจากหน้าผาก ซอกแก้ม แขน ใบหน้าอดิศวร์ยามนี้แสดงความเป็นห่วงกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“อยู่ดีๆ ทำไมถึงจะได้กระโดดลงไป หรือว่าเสียใจที่พิชญ์กับพิณทองจะมาฉลองแต่งงานที่นี่”
จู่ๆ วิรงรองก็กระสับกระส่าย ละเมอเพ้อออกมาเบาๆ อดิศวร์เอียงหน้าลงฟัง
“รถม้ามาอีกแล้ว”
อดิศวร์ขมวดคิ้ว มองหน้าวิรงรองซึ่งกึ่งเพ้อกึ่ง และเวลานี้ถูกวิญญาณพลับพลึงสิง
“ขับเร็วเหลือเกิน เห็นไหมคะ ม้าสีน้ำตาลตัวใหญ่ ...เขาตรงมานี่แล้ว”
วิรงรองผุดลุกขึ้นในทันทีทันใด อดิศวร์รีบกอดไว้ทันควัน ขณะที่วิรงรองพยายามดิ้นรนจะลงจากเตียงให้ได้
“เขามารับฉัน ปล่อย ฉันต้องไปแล้ว เขามารับฉัน ฉันต้องไปกับเขา ปล่อย ฉันจะไปอยู่กับเขาในที่ที่ไม่มีใครจะมาแยกเราได้ ปล่อย”
อดิศวร์กอดไว้แน่น แล้วก้มลงกระซิบริมหู “ฉันไม่อนุญาตให้เธอไปไหนทั้งนั้น อยู่กับฉันเถิดนะ อยู่กับฉันที่ “โดมทอง” นี่ตลอดไป...วิรงรอง”
วิรงรองเหมือนชะงักนิดๆ “ใครนะ! ฉันไม่ใช่...”
อดิศวร์เน้นเสียงหนัก “ใช่ เธอคือวิรงรอง เธอต้องอยู่กับฉันที่นี่”
พลับพลึงในร่างวิรงรองกรีดร้อง แล้วดิ้นสุดแรง “ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ชื่อนั้น ฉันต้องไปแล้ว”
อดิศวร์จับไหล่วิรงรองไว้แน่น ก้มหน้าลงมอง ดวงตาเป็นประกายวาวโรจน์
“ไปไม่ได้ เธอชื่อวิรงรอง จำเอาไว้ว่า เธอชื่อวิรงรอง วิรงรอง”
วิรงรองคออ่อนคอพับหมดแรงในอ้อมแขนอดิศวร์ ซึ่งกอดไว้แนบอก
“วิรงรอง...เธอคือวิรงรองของฉัน”
ประตูห้องค่อยๆ เปิดออก เห็นอุษาก้าวเข้ามา แล้วชะงักเมื่อเห็นภาพอดิศวร์แนบหน้ากับเรือนผมของวิรงรองนิ่งนาน
อุษารออยู่ครู่หนึ่ง แล้วตัดสินใจเรียกเบาๆ “คุณลบคะ”
อดิศวร์เหลียวมามอง
อุษาถือถาดวางน้ำและยา “ยาแก้ไข้มาแล้วค่ะ”
“เอามาซิ”
อุษาเข้ามาใกล้ อดิศวร์หยิบยาใส่ปากวิรงรอง แล้วหยิบแก้วน้ำจ่อปาก
“กินยาหน่อยนะ...คนดี” สุ้มเสียงอดิศวร์อ่อนโยนมาก
อุษาถอยออกไปมองเงียบๆ วิรงรองส่ายหน้าหนี ทั้งที่ยังคงหลับตา
“กินยานะ...จะได้หาย”
วิรงรองกลืนยาลงไปอย่างว่าง่าย อดิศวร์ผ่อนลมหายใจยาว
ในจังหวะที่วิรงรองเพ้ออยู่นั้น ไม่มีใครเห็นว่าวิญญาณของพลับพลึงยืนอยู่ที่เฉลียง ขณะที่ท่านเจ้าคุณกำลังเร่งบังคับม้ามาด้วยความเร็ว
อ่านต่อหน้า 2
โดมทอง ตอนที่ 9 (ต่อ)
บรรยากาศยามเช้าวันนี้ดูขมุกขมัว ด้วยฝนตกหนักเมื่อคืน อุษาเดินเข้ามาภายในครัว เตรียมจะทำซุปให้ท่านผู้หญิง แต่ชะงักไปนิดหนึ่ง เมื่อเห็นแสงแขยืนกอดอกคอยอยู่
“มันตายหรือยังล่ะ”
อุษาเดินเข้ามา แล้วเปิดตู้เย็น “เหลวไหล”
แสงแขกระชากให้หันมา จนอุษาเซเกือบหกล้ม “ใครเหลวไหลกันแน่”
“เอ๊ะ แสงแข” อุษาชักโกรธ
“มันเป็นอะไรกับพี่อุษา ถึงต้องลงทุนไปนอนเฝ้ามัน ทุเรศ ไร้ศักดิ์ศรี ตัวเองเป็นใครแล้วมันเป็นใคร”
“หรือเธอจะให้คุณลบนอนเฝ้าล่ะ” อุษาย้อนเจ็บ
“พี่อุษา” แสงแขฉุน
“จะบอกให้ว่าถ้าพี่ไม่เฝ้า คุณลบจะต้องนอนเฝ้าแน่” พูดพลางเดินไปหยิบมะเขือเทศในตู้เย็นออกมา
“งั้นคุณลบทรยศแข เหมือนที่คุณปู่ทรยศคุณย่า”
อุษาหันมามองแสง แล้วส่ายหน้าอย่างปลงอนิจจัง
“พูดอะไรน่ะ คุณลบกับเธอไม่ได้เป็นอะไรกันนะ!”
“แต่เรากำลังจะหมั้นกัน”
“เธอก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือว่า คุณลบไม่ได้รู้ตัวสักนิด”
แสงแขตวาดเสียงดัง “ทำไมพี่อุษาถึงได้ชอบเห็นนังนั่นดีกว่าน้องแท้ๆ ของตัวเอง ... ดีกว่าคุณย่าผู้มีพระคุณท่วมหัว! ทำไม”
“ในเมื่อพูดไม่รู้เรื่องก็อย่าพูดกันเลย...พี่จะทำซุปให้คุณย่า”
อุษาตัดรำคาญก้มหน้าก้มตาทำซุป ในขณะที่แสงแขมองด้วยสายตากร้าว
ฝ่ายวิรงรองยังคงนอนหลับด้วยความอ่อนเพลีย แต่หน้าตาเริ่มมีเลือดฝาดขึ้นมาบ้าง
ประตูห้องเปิดออก อดิศวร์เดินเข้ามา แล้วลงนั่งที่เตียงพร้อมกับยกมือขึ้นวางที่หน้าผากวิ รงรอง
“ตัวไม่ร้อนแล้วนี่”
สัมผัสนั้นทำให้วิรงรองค่อยๆ ลืมตาขึ้น พอเห็นเป็นใครก็สะดุ้งเฮือก จะลุกขึ้น
“นอนต่อเถอะ...ฉันเข้ามาดูว่าเธอเป็นยังไงบ้าง”
วิรงรองยังคงนิ่ง ดึงผ้าห่มขึ้นมาถึงคอ
“ไม่ง่วงแล้วค่ะ”
“งั้นก็ไปล้างหน้าล้างตา...ฉันจะพาไปหาหมอ”
วิรงรองรีบพูดรัวเร็ว “ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันหายแล้ว”
“ยังไงก็ต้องไป ฉันจะออกไปรอข้างนอก”
อดิศวร์เดินไปที่ประตู
“เดี๋ยวค่ะ”
นอกจากไม่หยุด อดิศวร์ยังเปิดประตูเดินออกไปแล้ว
วิรงรองถอนหายใจเฮือกอย่างหงุดหงิด “ทำไมถึงได้ชอบบังคับนักนะ”
แสงแขเดินเตร็ดเตร่อยู่บริเวณบันได ตาคอยมองไปข้างบน แต่ยังไม่ปรากฏร่างใคร
แสงแขกระวนกระวายอยู่ครู่หนึ่ง จนตัดสินใจจะเดินขึ้นไป แต่ต้องชะงัก เมื่อเห็นอดิศวร์และวิรงรองเดินลงมา โดยอดิศวร์คอยระแวดระวังกลัววิรงรองจะเป็นลมตกบันได
“เดินดีๆ นะ”
นัยน์ตาแสงแขเป็นประกายริษยาแว่บหนึ่ง แล้วรีบทำเป็นกระตือรือร้นขึ้นไปช่วยจับแขนวิรงรอง
“ค่อยๆ เดินจ้ะ” แล้วเบือนหน้าไปถามอดิศวร์ “นี่จะไปไหนกันคะ”
“พี่จะพาวิรงรองไปหาหมอ”
“ดีแล้วละค่ะ...หมู่นี้วิรงรองไม่ค่อยสบายบ่อย”
แสงแขพูดพลางจูงแขนวิรงรองลงมาเรื่อยๆ
“ระวังก้าวพลาดนะ”
ในที่สุดทั้งหมดลงมาถึงข้างล่าง
ทั้งหมดเดินออกมาหน้าตึก สมเตรียมรถรออยู่ รีบเปิดประตูตอนหลังให้
“สมไม่ต้องไปหรอก ..ฉันจะขับเอง”
สมปิดประตูหลัง ขณะที่อดิศวร์ขึ้นนั่งที่คนขับ แสงแขจูงวิรงรองมาส่งถึงประตูรถ แล้วเปิดให้
วิรงรองอึดอัดนิดๆ “ขอบคุณค่ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ...อย่าเป็นอะไรมากนะ”
วิรงรองขยับมุมปากนิดๆ
อดิศวร์ขับรถออกไป โดยมีแสงแขมองตาม ส่วนสมเดินอ้อมเข้าไปด้านหลังตึก
“ขอให้มันเป็นโรคร้ายรักษาไม่หายทีเทิ้ด...เพี้ยง”
เวลาเดียวกันในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ อุษาเลื่อนน้ำส้มให้ท่านผู้หญิง เมื่อทานซุปหมด มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วเห็นแสงแขเข้ามา แล้วทรุดลงคลานเข้ามาใส่ไฟทันที
“คุณลบพาวิรงรองไปหาหมอค่ะ คุณย่า”
“แล้วมันธุระกงการอะไรของลบล่ะ”
อุษาชำเลืองมองแสงแข แล้วส่ายหน้าระอาใจ
“ก็คงจะออดอ้อนให้คุณลบพาไปนั่นแหละค่ะ”
“โง่เหมือนกันไม่มีผิด”
อุษาก้มหน้าลงขณะที่แสงแขลอบยิ้ม
“แล้วมันเป็นอะไรถึงต้องประคับประคองกันไปหาหมอ”
“เห็นพี่อุษาเล่าว่า เมื่อคืนเขาออกไปยืนตากฝนเล่นจนคุณลบออกมาพบค่ะ”
อุษาสะดุ้ง “เปล่านะ พี่ไม่ได้พูดอย่างนั้น”
“ก็แล้วเขาออกมายืนตากฝนจริงหรือเปล่าล่ะ”
อุษานิ่งอึ้ง
“มันยอมทำให้ตัวเองเจ็บป่วย เพื่อเรียกร้องความสงสารจากคุณลบ” แสงแขใส่ไฟต่อ
อุษาทนไม่ไหว “พอที แสงแข”
“แกนั่นแหละพอ...นังอุษา” ท่านผู้หญิงบอก
แสงแขยิ้มเยาะใส่หน้าอุษา
“คุณย่าขา...” อุษาจะอธิบาย
ท่านผู้หญิงสวนออกมา “ฉันบอกว่าพอ”
อุษาก้มหน้าลง
“พี่อุษาไม่เคยเข้าข้างแขเลยค่ะ...มิหนำซ้ำยังรู้เห็นเป็นใจให้นังวิรงรองได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณลบบ่อยๆ”
“ไม่จริงค่ะ แสงแข เธอควรจะละอายใจบ้าง”
“นังอุษา ออกไป”
“ค่ะ”
อุษาคลานไปเล็กน้อย แล้วลุกเดินออกไป แสงแขมองตามพร้อมกับยิ้มเยาะ
อุษาปิดประตูเบาๆ แล้วเดินออกมาจากบริเวณนั้น ด้วยความเจ็บใจและเสียใจจนน้ำตาคลอ อุษาเอาแต่ก้มหน้าก้มตาเดินจนเกือบชนกับอุไร
“คุณอุษาขา”
อุษาเงยหน้าขึ้นมอง
อุไรตกใจ “อุ๊ย! ร้องไห้ทำไมคะ...อ้อ! รู้แล้ว ถูกท่านผู้หญิง...”
อุษาเสียงเข้ม “อุไร”
อุไรขานรับอ่อยๆ “ขา...”
“อย่าพูดมาก”
“ค่ะ”
อุษาเดินเลยไป อุไรมองตาม
แสงแขเดินตามออกมา ด้วยสีหน้าแววตาเย้ยหยันเต็มที่
“เป็นไง...น้ำตาเล็ดน้ำตาไหลเลยเรอะ นายแก”
อุไรหันมามอง
“สาระแนดีนัก สมน้ำหน้า”
แสงแขเดินกร่างออกไปด้วยสีหน้าท่าทางสบายอกสบายใจเต็มที่
สักครู่หนึ่งแสงแขเดินมาถึงหน้าห้องอุษา แล้วเคาะประตูเรียก
“พี่อุษา เปิดประตูหน่อย”
เงียบกริบ
แสงแขเคาะดังขึ้นอีก “พี่อุษา บอกให้...”
แสงแขยังพูดไม่ทันจบ ประตูเปิดออก
อุษาถามสีหน้าเคร่งขรึม “มีธุระอะไร”
แสงแขยักไหล่ “เห็นแล้วใช่มั้ยว่าควรจะอยู่ข้างใคร”
“พี่อยู่ข้างความถูกต้อง”
“ถ้าความถูกต้องของพี่หมายถึง นังวิรงรองละก็ พี่คิดผิด...แต่ก็เก็บไปคิดใหม่ให้ดีๆ นะ ถ้าอยู่ข้างแข...พี่ก็จะได้เป็นพี่เมียเจ้าของบ้าน...มีเกียรติมีศักดิ์ศรี ...เป็นเศรษฐีไปตลอดชาติ แต่ถ้าหากเข้าข้างนังวิรงรอง พี่อุษาก็จะต้องทำงานงกๆ เป็นยาจกไปตลอดชาติเหมือนกัน”
“เท่านี้หรือ” อุษาถามเสียงเรียบ
“เท่านี้”
อุษาปิดประตูใส่หน้า
แสงแขปรี๊ดแตก “นังพี่อุษา ดีละ แล้วจะได้เห็นกัน”
อดิศวร์ขับรถมาตารมทาง มุ่งหน้ากลับโดมทอง เห็นถุงยาวางอยู่ข้างๆ ตัววิรงรอง ที่ผินหน้าไปมองหน้าต่างตลอดเวลา
อดิศวร์เหลือบตามองแว่บหนึ่ง
“อย่าลืมกินยาตามที่หมอสั่งล่ะ”
วิรงรองยังคงนั่งนิ่งเงียบ
อดิศวร์ขับรถไปเรื่อยๆ
ครู่ต่อมาอดิศวร์ขับรถเข้ามาจอดหน้าบ้าน แสงแขเดินออกมายืนรอ
อดิศวร์เหลือบมามองวิรงรอง ถูกวิรงรองยิ้มเยาะ แล้วเปิดประตูลงไปในทันทีที่อดิศวร์จอดรถ โดยไม่ได้หยิบยาลงไปด้วย อดิศวร์หยิบถุงยาเดินลงไป
แสงแขทำเป็นถามวิรงรองเสียงอ่อนเสียงหวาน “คุณหมอว่าเป็นอะไรหรือจ้ะ วิรงรอง”
วิรงรองเดินเข้าไปโดยไม่ตอแย
แสงแขมองตามแว่บหนึ่ง แล้วหันมาทางอดิศวร์ “เขาคงไม่อยากพูดกับแขน่ะค่ะ”
อดิศวร์เดินจะเข้าไป
แสงแขรีบเรียกไว้ “คุณลบขา ...คุณย่าสั่งให้ไปพบค่ะ”
อดิศวร์พยักหน้า แล้วเดินเข้าไป แสงแขกัดปากกับท่าทีห่างเหินของอดิศวร์แล้วเดินตามไป
อดิศวร์มากถึงหน้าห้อง เคาะประตูเบาๆ แล้วเดินเข้าไป แสงแขซึ่งย่องตามมา ค่อยๆ เดินไปแนบหูฟังกับประตู
ภายในห้องเวลานั้นท่านผู้หญิงสรรักษ์จ้องเขม็งมาที่ถุงยา
“นั่นถือถุงอะไร”
อดิศวร์มองแว่บหนึ่ง “ถุงยาครับ”
“ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไป”
“คุณย่าครับ...”
“ถ้าลบรักย่า...ลบก็ต้องปล่อยให้มันตาย”
อดิศวร์นิ่ง
“นังคนนั้นมันทำเสน่ห์ให้ลบหลงจนลืมทุกสิ่งทุกอย่าง”
“ไม่จริงเลยครับ”
“นี่กล้าเถียงแทนนังชาติชั่วนั่นเรอะ มันวิเศษยังไง”
“เขาไม่ได้วิเศษยังไงหรอกครับ...ก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น ...ผมถึงไม่เข้าใจว่า ทำไมคุณย่าถึงได้จงเกลียดจงชังเขานักหนา”
“เพราะมันคือนังพลับพลึง”
“เขาเหมือนคุณย่าน้อยมากขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“ใช่ มันเหมือนราวกับคนๆ เดียวกัน”
“เป็นไปไม่ได้ที่คนซึ่งไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกันเลย จะเหมือนกันขนาดนั้น” อดิศวร์ท้วง
“ลบหาว่าย่าโกหก”
“เปล่าครับ...แต่คุณย่าอาจจะจำผิด”
ท่านผู้หญิงสวนคำทันที “ไม่มีวัน ไม่มีวันที่ย่าจะจำมันผิด มันทำร้ายหัวใจย่าอย่างโหดร้ายที่สุด” น้ำตาคลอ แล้วเอื้อมมือมาจับมือลบไว้ พูดด้วยสีหน้าวิงวอน “ผู้หญิงคนนี้ย่าขอไว้สักคนนะลูก...มันจะเป็นเมียลบไม่ได้เด็ดขาด ย่ายอมไม่ได้”
อดิศวร์นิ่ง สีหน้าเคร่งขรึมลงไปอีก
“แสงแขมันรักแก” ท่านผู้หญิงพูดต่อ
แสงแขยังแนบหูกับประตูแน่นยิ่งขึ้น นัยน์ตาเป็นประกาย มือกำแน่นอย่างตื่นเต้นขณะรอคอยคำตอบลบ
“แสงแขเป็นน้องครับ” เสียงอดิศวร์ดังออกมา
แสงแขเม้มปาก
“แต่แกก็เปลี่ยนให้มันเป็นเมียได้” เสียงท่านผู้หญิงสั่ง
“ผมทำไม่ได้ครับ และจะไม่มีวันทำด้วย”
แสงแขกำมือแน่น แล้วผละออกไปจากที่นั้นทันที
ท่านผู้หญิงชี้หน้าอดิศวร์อย่างกราดเกรี้ยว “เพราะแกรักนังพลับพลึงใช่ไหม แกรักมัน”
“ถ้าผมจะรักผู้หญิงคนนี้ ก็คงจะเป็นเพราะทุกคนมีส่วนทำให้เป็นอย่างนั้น” อดิศวร์ประชด
“ตาลบ”
“ถ้าหากทุกคนไม่ทำเหมือนมีความลับ ซุบซิบเกลียดชังเขา...ผมอาจจะไม่สนใจใคร่รู้เรื่องของเขามากกว่านี้”
“ออกไป”
"คุณย่าครับ"
"ฉันบอกให้ออกไป"
อดิศวร์ยืนนิ่งครู่หนึ่งแล้วเดินออกไปเงียบๆ ท่านผู้หญิงมองตามด้วยสีหน้าแววตาแข็งกร้าว
ด้านวิรงรองนอนซมอยู่บนเตียง มีเสียงเคาะประตูเบาๆ วิรงรองพูดทั้งที่ยังหลับตาสุ้มเสียงอ่อนระโหย
“เชิญค่ะ”
ประตูเปิดออก อดิศวร์เดินเข้ามาใกล้ จัดการหยิบซองยาออกมาจากถุง อ่านหน้าซองแล้วเทยาออกมา พลางทรุดตัวลงนั่งบนเตียง
วิรงรองลืมตาขึ้นมา แล้วชะงัก “คุณอดิศวร์”
“ทานยาก่อนอาหารก่อน”
วิรงรองรับยามา แล้วใส่ปาก อดิศวร์รินน้ำใส่แก้วส่งให้ วิรงรองรับมาดื่ม แล้วคืนแก้วให้อดิศวร์เอากลับไปวาง
วิรงรองบอกเสียงเบา “ขอบคุณค่ะ”
“หิวหรือยัง”
วิรงรองส่ายหน้า “ไม่ค่ะ อยากนอนมากกว่า”
“งั้นก็นอนซิ”
วิรงรองอึกอัก ด้วยอึดอัด “เอ้อ...”
“ทำไมไม่นอนล่ะ”
วิรงรองบ่นอุบอิบ “ใครจะไปนอนได้”
อดิศวร์เอียงหน้าเข้ามาใกล้ “ไหน...ว่ายังไง ฉันได้ยินไม่ถนัด”
วิรงรองเบือนหน้าหลบ “อย่าค่ะ...เดี๋ยวติดหวัด”
“ถ้าติดก็คงติดไปตั้งแต่เมื่อคืนนี้แล้วละ.. เพราะฉันอุ้มเธอเข้ามาในนี้”
วิรงรองเหมือนจะหน้าแดงขึ้นมา
“เธอยืนตากฝนจนเปียกไปทั้งตัว”
วิรงรองยังขัดเขิน เมื่อใบหน้าอดิศวร์เข้ามาใกล้มากขึ้น จนจมูกเฉียดอยู่ที่แก้ม
“ดิฉันจะนอน...”
อดิศวร์ไม่ตอบ แต่ช่วยประคองวิลงนอนแล้วห่มผ้าให้
“หลับเสีย...ตื่นขึ้นมาแล้วจะมีรางวัล”
“คุณอดิศวร์จะให้ดิฉันกลับบ้านได้ใช่ไหมคะ”
สีหน้าอดิศวร์ขรึมลงทันที
“ใช่ไหมคะ”
อดิศวร์ถามด้วยสุ้มเสียงหมางเมิน “เธออยากไปจากที่นี่...อยากไปจากฉันมากนักหรือ”
วิรงรองกลับเป็นฝ่ายนิ่งอึ้งบ้าง
อดิศวร์ลุกขึ้น “เอาไว้เธอหายดี แล้วค่อยพูดกัน” แล้วเดินตรงไปเปิดประตูก้าวออกไป
วิรงรองหลับตาลง น้ำตาซึมออกมาด้วยความน้อยใจ
อุษาเดินตรงมา แล้วชะงัก เมื่อเห็นอดิศวร์ออกมาจากห้องวิรงรองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“อุษามาพอดี ... ช่วยเข้าไปดูเขาหน่อย”
“ค่ะ”
อดิศวร์เดินเลยไป อุษาหันไปมองตามงงๆ
ไม่นานนักประตูห้องวิรงรองค่อยๆ เปิดเข้ามา วิรงรองซึ่งนอนน้ำตาไหลด้วยความน้อยใจ รีบทำเป็นหลับ นอนตะแคงหันหลังให้ ด้วยคิดว่าอาจเป็นลบ
อุษาเดินเข้ามาด้วยฝีเท้าแผ่วเบา แล้วยื่นมือมาแตะหน้าผาก เรื่อยมาที่แขน วิรงรองลืมตาขึ้นอย่างโล่งใจ
“พี่อุษา”
“อ้าว...น้องวิไม่ได้หลับหรอกหรือคะ”
“ก็...กำลังจะหลับค่ะ”
อุษามองหน้าเพ่งพิศ “แล้วร้องไห้ทำไม”
“วิเป็นหวัดต่างหาก” วิรงรองแก้ตัว
“ถูกคุณลบดุมากกว่ามั้ง”
วิรงรองตาวาวทันที “วิไม่กลัวเขาหรอกค่ะ”
อุษายิ้มอย่างเอ็นดู “หิวหรือเปล่าคะ...พี่ทำซุปข้าวโพดไว้ให้”
“ขอบคุณค่ะ...แต่วิยังไม่หิว...อยากนอนมากกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นก็นอนเถอะค่ะ...ตื่นขึ้นมาค่อยทานก็ได้”
วิรงรองจับมืออุษา หลับตาลง “ขอบคุณมากนะคะ...”
สักครู่หนึ่งวิรงรองปล่อยมืออุษา ขดตัวด้วยท่าทางเหมือนเริ่มจะง่วงนอน อุษายืนมองครู่หนึ่ง แล้วเดินออกไปด้วยฝีเท้าแผ่วเบา
วิรงรองหลับอย่างง่ายดาย ด้วยอาการอ่อนเพลียเพราะฤทธิ์ยา และฝันถึงเหตุการณ์ที่เฉลียงตอนค่ำ ซึ่งฝนกำลังตกหนัก ฟ้าแลบแปลบปลาบ ท่านเจ้าคุณขับรถม้ามาด้วยความเร็ว แลเห็นพลับพลึงยืนรออยู่ที่เฉลียง
พอท่านเจ้าคุณมาถึงหน้าเฉลียง พลับพลึงจะกระโดดลงไป
แต่แล้วอดิศวร์เข้ามารวบตัวไว้ทัน ร่างพลับพลึงเลือนหายกลายเป็นวิรงรอง
วิรงรองลืมตาตื่นขึ้น เหงื่อแตกพลั่กท่วมตัวทั้งๆ ที่อากาศเย็น วิรงรองลุกขึ้นนั่ง
“คุณพลับพลึงนั่นเอง...หรือว่าดวงวิญญาณคุณพลับพลึงยังคงวนเวียนอยู่ใน “โดมทอง”
วิรงรองเอนตัวลงนอนใหม่ ภาพพลับพลึงผุดซ้อนเข้ามาในห้วงความคิด
“แล้วทำไมคุณพลับพลึงต้องหน้าตาเหมือนเรา หรือว่า...เราแค่จิตนาการไปเอง...เพราะไม่มีใครบอกได้เลยว่า คุณพลับพลึงหน้าตาเป็นยังไง”
วิรงรองยังคงนอนมองเพดานนิ่ง สีหน้าใคร่ครวญครุ่นคิดหนัก
ทางด้านอดิศวร์อยู่ในห้องทำงาน กำลังโทรศัพท์สั่งงาน
“สืบดูให้ดีด้วยว่า ทางครอบครัวคุณสวัสดิ์มีปมขัดแย้งอะไรบ้าง นอกเหนือจากเรื่องมรดก เท่านั้นแหละ”
อดิศวร์วางโทรศัพท์ลง แล้วเอนตัวพิงพนักด้วยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเข้ามารบกวนในความคิด
ภาพเหตุการณ์ที่วิรงรองเพ้อถึงท่านเจ้าคุณมารับ ผุดเข้ามาในห้วงความคิด
“เขามารับฉัน ปล่อย ฉันต้องไปแล้ว เขามารับฉันฉันต้องไปกับเขา ปล่อย ฉันจะไปอยู่กับเขาในที่ที่ไม่มีใครจะ มาแยกเราได้”
“ฉันต้องไป อย่าทรมานเราอีกเลย เรารอกันมานานเหลือเกิน...ปล่อย”
“ไม่ใช่ ฉันไม่ได้ชื่อนั้น ฉันต้องไปแล้ว”
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป อดิศวร์ขยับตัวเปลี่ยนอิริยาบถ ภาพเหตุการณ์ที่ตนคุยกับท่านผู้หญิผูดเข้ามาอีก
“เขาไม่ได้วิเศษอะไรหรอกครับ...ก็แค่ผู้หญิงธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น...ผมถึงไม่เข้าใจว่า ทำไมคุณย่าถึงได้จงเกลียดจงชังเขานักหนา”
“เพราะมันคือ นังพลับพลึง”
“เขาเหมือนคุณย่าน้อยมากขนาดนั้นเลยหรือครับ”
“ใช่ มันเหมือนราวกับคนๆ เดียวกัน”
อดิศวร์ดึงตัวเองกลับมาแล้วลุกขึ้นเดินออกไปจากห้อง
ที่บริเวณคอกม้า สมกำลังช่วยคนงานดูแลม้า อดิศวร์เดินเข้ามาหา
“สม”
“คุณลบ...มาดูม้าหรือครับ”
“เปล่า สมมีกุญแจห้องเก็บของไหม”
“มีกุญแจสำรองครับ...วันนั้นคุณวิรงรองก็มาถาม แต่ผมบอกไปว่าอยู่ที่ท่านผู้หญิง...ซึ่งอีกดอกก็อยู่ที่ท่านจริงๆ”
“เอามาให้ฉันหน่อย”
สมมองอดิศวร์อย่างแปลกใจ
อดิศวร์เดินมาที่ห้องเก็บของ ไขกุญแจ เปิดออก ก่อนจะเปิดประตูแล้วเดินเข้าไปช้า
บรรยากาศในห้องเก็บของมืดสลัว เพราะหน้าต่างปิดม่านทึบหมด อดิศวร์เดินเข้ามา ปิดประตูเบา แล้วมองไปโดยรอบ สายตาเลยเรื่อยไปหยุดที่ผ้าดำหนาหนักคลุมรูป
อดิศวร์เดินตรงไปที่รูปนั้น เขายืนนิ่งมองครู่หนึ่ง แล้วเอื้อมมือไปดึงผ้าออกช้าๆ ฝุ่นฟุ้งกระจาย เห็นกรอบรูป 2 รูปวางคู่กันอยู่ อดิศวร์จ้องมองอย่างพิศวง ขณะเอามือไปลูบฝุ่นที่เกาะอยู่ออก
สองภาพนั้นเป็นรูปท่านเจ้าคุณ และพลับพลึง ที่เหมือนอดิศวร์และวิรงรองโดยไม่ผิดเพี้ยน
อดิศวร์ตกตะลึงจ้องอยู่ครู่หนึ่ง รำพึงออกมาไม่อยากเชื่อ
“เป็นไปได้ยังไง”
แสงแขกำลังจัดแจกันดอกกุหลาบอยู่ในห้องนั่งเล่น โอบอ้อมเดินรีบๆ เข้ามาด้วยสีหน้าท่าทีล่อกแล่ก
“คุณแขคะ...เมื่อกี้โอบเห็นคุณลบเดินไปห้องเก็บของค่ะ”
แสงแขชะงัก
ท่านผู้หญิงตกใจมากในสิ่งที่ได้ยินจากแสงแข
“ตาลบไปที่นั่นทำไม เขาเข้าไปหรือเปล่า”
“ไม่ทราบค่ะ”
“ไปตามเจ้าสมมาซิ”
“ค่ะ” แสงแขออกไป
ท่านผู้หญิงมีสีหน้าแววตาร้อนอกร้อนใจมากๆ
ขณะที่อุษากำลังคนซุปในหม้อ อดิศวร์เดินเข้ามาในครัว
“อุษา”
อุษาสะดุ้งหันกลับมาและแปลกใจ “คุณลบ”
“ทำอะไรอยู่”
“อุ่นซุปข้าวโพดให้น้องวิค่ะ...คุณลบจะให้อุษาทำอะไรหรือคะ”
อดิศวร์มีสีหน้าแน่วนิ่ง
ครู่ต่อมาอุษาเดินตามอดิศวร์เข้ามาในห้องเก็บของ โดยถือถังน้ำแล้วเดินมาวางตรงใกล้รูปทั้งสอง อุษาชะงักไปครู่หนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้น อุษาก็ไม่ได้ตาฝาด”
อดิศวร์หันมามองเป็นเชิงถาม
“วันที่อุษาตามคุณย่าเข้ามารื้อชุดที่ท่านจะใส่วันงานน่ะค่ะ”
อุษาเล่าจนเห็นภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถึงตอนที่ผ้าดำปลิวเปิดราวกับมีคนสะบัดให้เห็น
“ตอนนั้นถึงจะมีฝุ่นจับ แต่ก็มองออกว่า...เหมือน...”
อดิศวร์ตัดบท “ช่วยพี่เช็ดรูปให้สะอาดหน่อย”
อุษารับคำแล้วใช้ผ้าชุบน้ำบิดหมาดๆ ค่อยๆ เช็ดฝุ่นออก ส่วนอดิศวร์ใช้ผ้าแห้งเช็ดอีกที
ฝ่ายท่านผู้หญิงพอรู้เรื่องก็โกรธจนตาแทบถลนออกมา
“แล้วแกให้เขาไปทำไมหา! ไอ้สม! ไอ้โง่”
สมมีท่าทางหวาดกลัวเงอะงะตลอด “ก็...ก็คุณลบถาม...ผมไม่กล้าโกหกขอรับ”
“ไสหัวออกไปจากบ้านฉันเดี๋ยวนี้”
“ท่านผู้หญิงขอรับ...” สมพยายามจะร้องขอ
ท่านผู้หญิงดึงทึ้งตัวเอง “โธ่เอ๊ย! ทำไมฉันไม่เผามันไปให้สิ้นซาก ทำไมฉันถึงได้โง่อย่างนี้ ไม่ควรเลย ไม่ควรเก็บมันไว้เลย เจ็บใจตัวเองนัก”
หญิงชราร้องไห้ทุบอกตัวเองไม่หยุด จนสมและแสงแขตกใจ
แสงแขรีบจับมือไว้ “คุณย่าขา...อย่าค่ะ”
“ปล่อยกู”
ท่านผู้หญิงถีบแสงแขกระเด็นไป
“โอ๊ย”
“ฉันอยากตาย อยากตาย”
“เร็ว นายสม รีบไปตามคุณลบมา”
สมถามซื่อๆ “คุณลบอยู่ที่ไหนครับ”
แสงแขฉุน “โธ่เอ้ย! ก็แกให้กุญแจห้องเก็บของเขาไปไม่ใช่เรอะ”
สมรีบออกไป แสงแขคอยมองท่าทางคร่ำครวญราวกับคนบ้าของท่านผู้หญิงอย่างหวาดๆ
ภายในห้องเก็บของ อดิศวร์และอุษายืนมองรูปท่านเจ้าคุณและพลับพลึงซึ่งบัดนี้อยู่ในกรอบรูปใสสะอาดอย่างพิศวง
อุษาพึมพำ “เหมือนเหลือเกิน...”
เสียงสมเรียกดังขึ้น “คุณลบครับ”
อดิศวร์และอุษาหันไปมอง เห็นสมซึ่งเข้ามาตาม และเพิ่งเห็นภาพนั้นถนัด มองอย่างตกตะลึง
“อะไรหรือสม”
“คุณแสงแขให้มาตามคุณลบไปห้องท่านผู้หญิงครับ ท่านโกรธมากจนจะไม่สบาย ที่ทราบว่าผมเอากุญแจห้องนี้ให้คุณลบ ...”
อดิศวร์รีบออกไปก่อนที่สมจะพูดจบ
อุษาวางผ้าลงแล้วรีบตามไปติดๆ สมมองรูปอีกครั้งแล้วรีบตาม
ไม่มีใครเห็นว่าใบหน้าพลับพลึงในรูป ขณะผ้าค่อยปิดลง เหมือนจะยิ้มออกมานิดๆ อย่างสะใจ แลดูน่ากลัว
ฝ่ายท่านผู้หญิงกำลังตีอกชกหัวร้องไห้คร่ำครวญ โดยมีแสงแขคอยห้ามอยู่ห่างๆ
“ไม่ควรเล้ย...ไม่ควรเลย ลบต้องเกลียดย่าแน่แล้ว”
“คุณย่าขา...อย่าค่ะ”
เสียงอดิศวร์ดังขึ้นขณะเดินเข้าใกล้เตียง
“ผมมาแล้ว...คุณย่าอย่าทำร้ายตัวเองนะครับ ผมไม่มีวันเกลียดคุณย่า”
ท่านผู้หญิงตาลุกวาว แล้วจับหน้าหลานรักไว้ “จริงนะลบ ลบจะไม่มีวันเกลียดย่า”
อดิศวร์บอกด้วยเสียงหนักแน่น “คุณย่าเลี้ยงผม...ให้ความเมตตาผมตลอดมา...ผมจะเกลียดคุณย่าได้ยังไง”
“งั้นก็เผามันซะ” ท่านผู้หญิงสรรักษ์บอกเสียงดัง
อดิศวร์ชะงัก
“เผาไอ้รูปบ้าๆ สองรูปนั้นให้หมด อย่าเอามันไว้”
“รูปสองรูปนั่นคือคุณปู่กับคุณย่าน้อยใช่ไหมครับ”
น้ำเสียงหญิงชราเคียดแค้นสุดๆ “ใช่ รูปไอ้อีที่มันทำร้าย...ทำลายหัวใจย่า...มันทำให้ย่าเจ็บปวดปางตาย...ย่ามีชีวิตอยู่ด้วยความเกลียดชังไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน ก็จะไม่มีวันอภัยให้พวกมัน ลบต้องเผารูปมันนะลูก เผาอย่าให้มันเหลือซาก”
สีหน้าแววตาท่านผู้หญิงเวลานี้ บ่งบอกความอาฆาตพยาบาทอย่างรุนแรง
อ่านต่อหน้า 3 เวลา 17.00 น.
โดมทอง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ไม่นานต่อมาอดิศวร์เดินถือรูปพลับพลึง และสมถือรูปท่านเจ้าคุณเดินเข้ามาในห้องบรรพบุรุษ อุษาเปิดประตูให้
“คุณลบจะเอาไว้ในห้องนี้จริงๆหรือครับ” สมถามขึ้น
“ฉันเอาเข้ามาในห้องนี้ ก็หมายความว่าจะเอาไว้ที่นี่ ยังจะต้องถามอะไรอีก” อดิศวร์ว่า
สมนิ่งไป สีหน้ายังกังวล
อดิศวร์ยืนมองหาที่วางครู่หนึ่ง “เอารูปเจ้าคุณปู่มาไว้คู่กับรูปคุณย่าตรงนี้...แล้วเอารูปคุณย่าพลับพลึงวางไว้อีกข้าง”
“แล้วถ้าเผื่อคุณย่าถามล่ะคะ” อุษาท้วง
“ท่านคงไม่ถาม เพราะไม่อยากรับรู้เหมือนกัน...ระวังแต่อย่าไปรบกวนท่านเองล่ะ”
แสงแขเดินเข้ามาถึงตรงประโยคที่อดิศวร์พูดพอดี
“ได้ยินไหม ! แสงแข” อดิศวร์เสียงเข้ม
แสงแขมีสีหน้าหวาดหวั่นกลัวเกรง “ค่ะ”
อดิศวร์ยังคงมองหน้าแสงแขเขม็ง
เวลายามเย็นใกล้ค่ำ ที่กรุงเทพฯ คุณหญิงวัชรีนั่งเงียบๆ อยู่ที่โต๊ะสนามหน้าบ้าน ราวกับรอใครสักคน
สักครู่หนึ่ง มีเสียงแตรรถดังขึ้น วัชรีมองไปที่ประตู เห็นสาวใช้เดินแกมวิ่งไปเปิด รถพิชญ์แล่นเข้ามา คนรถขับไปจอดหน้าตึก แล้วลงมาเปิดประตูให้
พิชญ์ส่งเสื้อนอก และของให้สาวใช้เอาเข้าไปเก็บ ส่วนตัวเองเดินมาหาแม่
“คุณแม่เป็นอะไรหรือครับ”
“นั่งลงซิ แม่มีเรื่องจะพูดกับแก”
พิชญ์ถอนใจ แล้วสีหน้าขรึมลง “ผมไม่อยากพูดเรื่องนั้นอีกแล้ว”
“นั่งลง !” วัชรีเสียงเข้ม
พิชญ์นั่งลงตามคำสั่ง
“ทุกวันนี้ แม่เครียดมาก”
“ผมทราบ ผมเองก็เครียดเหมือนกัน ทุกคนต่างเครียดกันไปหมด...” พิชญ์เอนตัวพิงพนักเก้าอี้ “พิณทองยังไม่กลับหรือครับ”
“เขาโทร.มาขออนุญาตไปค้างที่บ้านเขา”
“อ้อ ! แล้วคุณแม่ก็เลยโกรธผม”
“แม่ไม่ใช่คนไร้เหตุผลถึงขนาดนั้นหรอกนะ”
“ถ้าอย่างนั้น...”
“แม่สงสารพิณทอง”
พิชญ์นิ่งไป จังหวะนี้สาวใช้ยกน้ำเปล่าและน้ำผลไม้มาเสิร์ฟแล้วก็ออกไป
“เขายังสาว...ยังสวยมาก...มีผู้ชายดีๆ อีกหลายคนที่เห็นคุณค่าของเขา”
พิชญ์ก้มมองมือตัวเองกระแทกเสียงแดกดันตัวเอง
“ยกเว้นผู้ชายโง่ๆ บางคน”
แล้วพิชญ์ก็ทอดถอนใจ
“เขามาปรึกษาแม่เรื่องจะขอหย่ากับแก”
พิชญ์ยิ้มหยัน “งั้นคุณแม่สบายใจได้เลยว่า เขาไม่อยากหย่า เพราะคนจะหย่าจริงๆ เขาไม่ปรึกษาทางโน้นที ทางนี้ทีหรอกครับ เขาจะขอหย่าทันทีเลย”
“แกอย่าไปดูถูกเขานะ ที่เขาปรึกษาก็เพราะเกรงใจผู้ใหญ่ทั้ง 2 ฝ่าย”
พิชญ์ลุกขึ้น “งั้นคุณแม่ก็อนุญาตได้เลยครับ! ดีเหมือนกัน จะได้ไม่ต้องทรมานทั้ง 2 ฝ่าย”
“ก็แล้วที่คุณทวดจะเลี้ยงฉลองให้ที่โดมทองล่ะ”
“ก็บอกงดไปเลย”
วัชรีลุกขึ้น “นายพิชญ์” สุ้มเสียงคุณหญิงทั้งเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด
พิชญ์ซึ่งกำลังเดินไป หันกลับมามอง
“รอให้ครบปีก่อน ฉันจะยุให้หนูพิณหย่าขาดจากแก ที่ต้องรอก็เพราะไม่อยากให้ใครนินทาหนูพิณได้ว่าแต่งไม่ทันไร ก็ต้องหย่า”
“ตกลงครับ”
“ดี”
พิชญ์เดินเข้าบ้านไป วัชรีมองตามอย่างหงุดหงิด
ขณะเดียวกันพิณทองกำลังเดินเข้ามาในบ้านพร้อมด้วยข้าวของพะรุงพะรัง โดยมีสาวใช้ช่วยถือ
“นั่นหอบอะไรมาเยอะแยะน่ะลูก” คุณหญิงแก้วถาม
“หลายอย่างค่ะ” พลางหันมาบอกสาวใช้ “เอาขึ้นไปเก็บในห้องฉัน”
“ค่ะ”
สาวใช้หอบของทั้งหมด รวมทั้งของที่พิณทองถือ ขึ้นข้างบนไป
“พิณขอมานอนค้างกับคุณแม่สักพักหนึ่งนะคะ”
แก้วมองลูกสาวเขม็ง “เอาอีกแล้ว”
“โธ่! ก็พิณคิดถึงคุณพ่อคุณแม่นี่คะ” พิณทองอ้าง
“คุณพ่อไปประชุมรัฐมนตรีเศรษฐกิจอาเซียน”
“นั่นไง! พิณยังต้องอยู่เป็นเพื่อนคุณแม่ใหญ่เลย” พิณทองแถต่อ
“ทะเลาะกับพิชญ์มาใช่ไหม” แก้วถามอย่างรู้ทัน
พิณทองฝืนทำหน้ารื่นเริง “เปล่าค่ะ พิณไม่ได้พูดกับเขาเลย แล้วจะทะเลาะกับเขาได้ยังไงคะ”
สักครู่หนึ่ง พิณทองเดินเข้ามาในห้องนอนเดิม ปิดประตูลง แล้วยืนพิงประตูเหมือนจะพยายามตัดความขมขื่นให้ออกไป ก่อนจะเดินมาที่เตียง ทรุดตัวลงนั่ง แล้วมองไปที่ถุงต่างๆ ที่สาวใช้วางไว้ให้อย่างเรียบร้อย
พิณทองหยิบถุงใบหนึ่งขึ้นมา แล้วหยิบกล่องในนั้นมาวางบนเตียง เปิดออก เห็นเป็นเสื้อชุดหนึ่งพับอย่างเรียบร้อยในกล่องนั้น เป็นชุดสวยสีเข้ากับสีผิววิรงรอง
พิณทองพึมพำ “น้าลบทำอะไรแปลกๆ” พลางมองจ้องเสื้อสวยชุดที่ยังอยู่ในกล่อง
เวลาผ่านไปอีก พิณทอง พิชญ์ และครอบครัวเดินทางมาถึงโดมทองแล้ว
ตอนนั้นวิรงรองหยิบชุดสวยที่พิณทองเลือกซื้อนั้นขึ้นมาดู พูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย แล้วหันมาทางพิณ
“มันสวยเกินไปค่ะ! ขอบคุณที่กรุณาซื้อมาฝาก แต่ดิฉันคงรับไม่ได้”
พิณทองอึ้ง ผิดหวังเล็กๆ “อ้าว”
วิรงรองพับเก็บอย่างประณีตลงใส่กล่องตามเดิม
“อุ๊ย! ไม่ต้องเก็บค่ะ! เสื้อชุดนี้เป็นของคุณ”
“ดิฉันไม่ได้ฝากคุณซื้อ”
“ก็ใช่...แต่ว่า...”
วิรงรองบอกด้วยสีหน้าเด็ดเดี่ยว “ดิฉันไม่รับของ ของคนอื่น”
พิณทองไหวไหล่นิดๆ มองวิรงรองเหมือนจะหยั่งเชิงขณะถาม “...ทุกอย่างหรือคะ”
วิรงรองตอบอย่างหนักแน่น มั่นคง “ทุกอย่างค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของ..หรือว่าคน”
ทั้งสองสาว ยังคงมองหน้าสบตากันอยู่นิ่งและนาน
ตรงมุมทิวทัศน์สวยๆ ภายนอกโดมทอง อดิศวร์ และพิณทอง สองคนเดินมาด้วยกันช้าๆ ในบริเวณนั้น
“ท่าทางเขาหยิ่งมากนะคะ” พิณทองปรารภขึ้น
“จองหอง! อวดดีด้วย” ผู้เป็นน้าเค้นคำพูด
“น่าเสียดายที่เขาจะไม่ใส่! เสื้อชุดนั้นสวยมาก แล้วก็แพงมาก”
“ยังไงเขาก็ต้องใส่” อดิศวร์ว่า
พิณทองมองน้าชายผั้แสนดีอย่างแปลกใจ “เอ๊ะ”
อดิศวร์ไม่ทันรู้ตัวว่า กำลังถูกหลานสาวมองอย่างจับกิริยา
“เขาต้องใส่”
“น้าลบขา...”
อดิศวร์หันมามอง
“ทำไมน้าลบจะต้องเอาชนะเขาให้ได้ด้วยคะ? หรือว่าคุณวิรงรองทำอะไรให้น้าลบเจ็บใจ”
“เสื้อชุดนั้นอยู่ที่ไหน” อดิศวร์ไม่ตอบ แต่ถาม
“พิณเอาไปวางไว้ในห้องทำงานน้าลบค่ะ”
อดิศวร์หันกลับเดินไปทางเข้าบ้าน
พิณทองมองตามยิ่งแปลกใจ “น้าลบนี่ท่าทางจะยังไงเสียแล้ว”
ภาพตอนอดิศวร์แนะนำวิรงรองให้พิณทองและพิชญ์รู้จักครั้งแรก ตอนมาฮันนีมูนที่โดมทองผุดเข้ามาในห้วงคิด
ภาพนั้นเลือนหาย พิณทองยังคงมีสีหน้าครุ่นคิดอยู่อย่างเดิม
ค่ำแล้วโดมทอง บรรยากาศยามค่ำทั่วทั้งโดมทอง ดูลึกลับน่ากลัวเช่นเคย มีเพียงแสงไฟสว่างออกมาเป็น
บางห้องส่วนใหญ่ ปิดไฟมืด
ภายในห้องทานข้าว ทุกคนทานข้าวกันไป คุยกันไป เว้นวิรงรองซึ่งนั่งก้มหน้าก้มตากินเงียบๆ เช่นเดียวกับ
พิชญ์และอุษา
“ตกลงพี่พจน์จะมาแน่หรือเปล่าครับ” อดิศวร์ถามแก้ว
“แน่จ้ะ...คุณย่าอุตส่าห์เลี้ยงฉลองแต่งงานให้ลูกสาวทั้งที..ไม่มาได้ยังไง”
แสงแขพยายามอดใจไว้ทั้งๆ ที่อยากจะบอกเต็มแก่ “เชื่อเถอะค่ะว่างานที่คุณย่าจัดครั้งนี้ จะต้องหรูหรายิ่งใหญ่ แล้วก็สนุกที่สุด! ทุกคนจะสมหวังมีความสุข! อ้อ...” แสงแขปรายตามองวิรงรองแว่บหนึ่งก่อนพูดต่อ “อาจจะไม่ทุกคนก็ได้”
“หนูแสงแขพอจะบอกได้ไหมว่า ใครไม่มีความสุข” วัชรีซัก
“คงต้องสังเกตกันเองในวันงานแล้วล่ะค่ะ”
แสงแข แก้ว และวัชรี หัวเราะหัวใคร่ขณะที่พิชญ์และวิรงรองนิ่งงันกันอยู่
พิณทองเองก็นิ่งและลอบสังเกตท่าทีของทั้งสอง
ในที่สุดวิรงรองก็รวบช้อนส้อม “ขออนุญาตก่อนนะคะ” แล้วลุกเดินไปเลย
แสงแข แก้ว และวัชรี มองตามยิ้มๆ อุษารวบช้อนส้อมอีกคน
“ดิฉันก็ต้องขออนุญาตไปดูคุณย่าค่ะ”
อุษาลุกเดินไป
“อ้าว! แล้วหนูแสงแขล่ะ...ไม่ขออนุญาตไปไหนอีกคนหรือจ๊ะ” วัชรีถามเย้าๆ
“แขต้องอยู่คอยอำนวยความสะดวกให้ทุกคนค่ะ”
“หนูแสงแขนี่น่ารักจังนะคุณลบ..ตั้งแต่พวกเรามาถึงก็คอยอำนวยความสะดวกสบายให้ทุกอย่าง” แก้วว่า
“ก็ดูแลตั้งแต่คราวที่แล้ว แล้วละ” วัชรีเสริม
“เป็นหน้าที่ของแขค่ะ..โอบ...เอาของหวานมาเสิร์ฟซิจ๊ะ ของหวานเป็นส้มลอยแก้วค่ะ”
“ค่ะ” โอบยกไปเสิร์ฟ
“ดีจัง! น้าชอบส้มลอยแก้ว” แก้วยิ้มแย้ม
“น้าลบดูเงียบไปนะคะ” พิณทองเอ่ยขึ้น
“ว่าแต่น้าลบ คุณพิชญ์ของคุณพิณก็เหมือนกัน...ตั้งแต่มาถึง น้าลบยังไม่ได้ยินเสียงเลย”
“ผมพูดไม่ทันครับ” พิชญ์ฝืนทำร่าเริง
พิณทองแขวะ พูดทีเล่นทีจริง “พูดไม่ทันหรือไม่อยากพูดกันแน่คะ”
พิชญ์นิ่ง พิณทองทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
เวลาต่อมาวิรงรองกำลังนั่งแปรงผม หลังจากอาบน้ำเสร็จ มีเสียงเคาะประตูเบาๆ
“ใครคะ”
“ฉันเอง” เสียงอดิศวร์ดังเข้ามา
“ดิฉันไม่สะดวกจะคุยตอนนี้ค่ะ...เอาไว้พรุ่งนี้เช้าดีกว่า”
ทุกอย่างเงียบไป
วิรงรองนิ่งฟังเสียงครู่หนึ่ง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้น เดินย่องไปที่ประตู แล้วแง้มออกและค่อยๆ ยื่นหน้าออกไปดู
วิรงรองสะดุ้ง เห็นอดิศวร์ถือกล่องเสื้อตัวนั้นอยู่
วิรงรองจะดึงประตูปิด แต่ไม่ทัน อดิศวร์ดึงไว้ แล้วเข้ามาได้
วิรงรองรีบเดินมาหยิบเสื้อคลุมสวมทันที แล้วหันกลับมามองอดิศวร์และกอดอก
“ดิฉันบอกแล้วว่าไม่สะดวกจะพูดกับคุณตอนนี้”
“ฉันฝากพิณทองซื้อเสื้อชุดนี้มาให้เธอใส่วันงาน”
“ฉันก็บอก คุณพิณทองไปแล้วว่าฉันไม่ใส่! และจะไม่ออกไปร่วมงาน”
อดิศวร์จ้องหน้าวิรงรองเขม็ง
“เข้าใจแล้ว ก็เชิญออกไปด้วย”
“เธอต้องใส่ชุดนี้ออกไปร่วมงาน”
“ฉันไม่...”
“เธอต้องใส่...เพราะถ้าไม่ใส่..ฉันจะใส่ให้เธอเอง”
“บ้า! คุณมันไม่ใช่สุภาพบุรุษ”
“ก็ไม่เคยบอกว่าเป็น”
วิรงรองกัดปากและมองอดิศวร์อย่างแค้นใจ
“ฉันเป็นคนพูดจริงแล้วก็ทำจริง”
อดิศวร์วางกล่องเสื้อลงบนเตียง เดินไปที่ประตู แล้วเปิดออกไป วิรงรองเดินมาคว้ากล่อง เขวี้ยงลงพื้นอย่างหงุดหงิด
“คนบ้า คิดว่าฉันจะยอมให้คุณมาบังคับง่ายๆ”
ขณะเดียวกันคุณหญิงแก้วกำลังเปิดประตูรับพิณทองเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าเสื้อผ้า
“ยัยพิณ” แก้วตกใจ
“พิณขออยู่ด้วยคนค่ะ!” พิณทองลากกระเป๋ามาวางไว้ที่ตู้เสื้อผ้า
“แล้วตาพิชญ์...”
“ตาพิชญ์ของคุณแม่เขาไม่มีสิทธิ์มาว่าอะไรพิณหรอกค่ะ”
“โธ่เอ๊ย! นี่มันจะไปกันใหญ่แล้วนะลูก”
“ไม่หรอกค่ะ...”
“แล้วถ้า คุณพ่อมา...”
“พิณก็จะขอให้น้าลบจัดห้องให้อีกห้องหนึ่ง! ง่ายจะตาย”
“พิณทอง” คุณหญิงออกอาการอ่อนอกอ่อนใจ
“ถ้าคุณแม่กังวลเรื่องพิชญ์ละก็...สบายใจได้...เพราะพิชญ์เขาก็คงพอใจที่พิณแยกห้องมาเสียได้”
คุณหญิงแก้วมองลูกสาวที่รื้อชุดนอนออกมาเตรียมอาบน้ำ อย่างอ่อนอกอ่อนใจ
กลางดึก ตัวบ้าน “โดมทอง” ตกอยู่ท่ามกลางความมืด ไฟทุกดวงมองเข้าไปดับหมด โดมทอง มองดูเหมือนคฤหาสน์ร้าง ที่มีดวงวิญญาณสิงอยู่
ส่วนภายในห้องท่านผู้หญิง ซึ่งมืดสนิท มีเพียงแสงจันทร์สลัวส่องเข้ามาเห็นร่างตะคุ่มๆ ของท่านนอนหลับ
อยู่บนเตียง
ทันใดนั้น มีเสียงเพลงนางครวญดังขึ้นเบาๆ โหยหวนวังเวงแทรกผ่านความเงียบเข้ามา
ท่านผู้หญิงลืมตาโพลงขึ้นมาทันที เสียงเพลงดังขึ้น เหมือนคนร้องกำลังเดินใกล้เข้ามาทุกที จากภายนอก
ท่านผู้หญิงสรรักษ์ขยับลุกขึ้นนั่งและกระซิบเบาๆ
“พิศ! นังพิศ! ช่วยข้าด้วย”
ท่านผู้หญิงดึงผ้าห่มขึ้นมาจนถึงหน้าอก ตามองเขม็งไปที่ประตู
เท้าของพลับพลึงที่ถูกโซ่ล่าม ก้าวตรงมาช้าๆ เท้าคู่นั้นก้าวมาเรื่อยๆ พร้อมเสียงโซ่กระทบพื้น แล้วมาหยุดห่างห้องท่านผู้หญิงพอสมควร
พลับพลึงกำลังมองไปที่หน้าห้องท่านผู้หญิง เห็นผีนางพิศยืนหน้าถมึงทึงเฝ้าอยู่
พลับพลึงพูดด้วยสุ้มเสียงให้แผ่วโหย แต่น่ากลัว “นังพิศ! ถอยไป”
ผีพิศคงยืนจ้องมา ดวงตาแข็งทื่อ ไม่ขยับเขยื้อนไปไหน
“นี่ไม่ใช่เรื่องของเอ็ง”
ผีพิศยังคงยืนนิ่งแน่วนิ่ง ร่างพลับพลึงกลายเป็นหมอกควันสีขาวพุ่งผ่านตัวพิศเข้าไปในห้อง พิศกรีดร้องโหยหวน
ขณะเดียวกันอดิศวร์กำลังนั่งอ่านสำนวนคดีอยู่ในห้อง แต่ต้องชะงัก ด้วยได้ยินเสียงกรีดร้องหวีดหวิวมา
อดิศวร์ลุกขึ้น แล้วเดินออกไปทันที
“นังพลับพลึง! ออกไป” ท่านผู้หญิงแผดเสียงใส่
พลับพลึงยังคงเดินลากโซ่มาเรื่อยๆ จนมาหยุดหน้าเตียงท่าน โดยระหว่างลากโซ่เข้ามา...คอพลับพลึงเอียงบิดไปทางโน้นที ...ทางนี้ที ตากลอกไปมา
“แก...แกออกมาได้ยังไง”
พลับพลึงกรีดร้องโหยหวย ดังหวีดหวิวน่าสยอง
ประตูห้องเปิดออก อดิศวร์เข้ามาและเปิดไฟ เห็นท่านผู้หญิงนั่งพิงเตียง มีผ้าห่มคลุม ตัวสั่นเทา หลับหูหลับตา
อดิศวร์รีบเข้ามาทรุดตัวลงนั่ง “คุณย่า”
อดิศวร์แตะแขน ท่านผู้หญิงสะดุ้งเฮือก
“กลัวแล้ว! ฉันกลัวแล้ว”
“คุณย่าครับ!...นี่ผมเอง”
ท่านผู้หญิงลืมตาขึ้น “ลบ”
“คุณย่าเป็นอะไรหรือครับ”
“นังพลับพลึงมันเดินลากโซ่ คอบิดไปบิดมา นัยน์ตากลอกกลิ้ง มาหาย่า”
“คุณย่าฝันร้ายอีกแล้ว”
“ไม่ได้ฝัน”
อดิศวร์มองโดยรอบ “แล้วทำไมคุณย่านอนคนเดียว หายไปไหนกันหมด”
“ย่าไม่ให้ใครมานอนเอง! ย่ามีนังพิศมาคอยเฝ้าอยู่แล้ว แต่นังพิศก็ปล่อยให้มันเดินคอบิดเข้ามาจนได้”
“ใครหรือครับ...นังพิศ” อดิศวร์ฉงน
“มันเป็นบ่าวของย่า..มันจงรักภักดี...” ท่านผู้หญิงบอก
“คุณย่าอยู่คนเดียวได้ไหมครับ..ผมจะไปตามอุษามานอนเป็นเพื่อน”
“ไปเถอะ! เปิดไฟไว้อย่างนี้ อีพลับพลึงมันไม่กล้าเข้ามาหรอก”
“งั้นเดี๋ยวผมมานะครับ”
อดิศวร์ลุกเดินออกไป
ท่านผู้หญิงมองไปโดยรอบอย่างระมัดระวัง
บรรยากาศยามเช้าวันนี้นอกโดมทองยังขมุกขมัว เช่นเดิม น้ำค้างยังเกาะตามใบไม้ใบหญ้า
วัชรีและแก้วเดินคุยมาด้วยกันด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“คุณแม่..คุณป้าขา”
2 คน หันไปมอง เห็นพิณทองเดินตรงมา
“คุณป้ากับคุณแม่ตื่นเช้าจัง...กำลังคุยเรื่องอะไรหรือคะ”
แก้วเหลียวซ้ายแลขวาและลดเสียงลง “คุยเรื่องคุณทวดท่านถูกผีหลอกเมื่อคืน!”
“ฮ้า!” พิณทองตกใจ
“จริง! ป้าได้ยินโอบมันเล่าให้อุไรฟัง” วัชรีว่า
“ผีเผอที่ไหนกันคะ”
“ผีคุณพลับพลึง เมียน้อยของท่านเจ้าคุณไงจ๊ะ เธอเป็นน้องสาวแท้ๆ ของคุณทวดมณฑา”
พิณทองหัวเราะ “แหม!...เมียน้อยตายไป กลายเป็นดวงวิญญาณมาหลอกเมียหลวง พิณว่าดราม่ามากไปหน่อยค่ะ”
“หนูพิณ! เรื่องแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่นะลูก” วัชรีว่า
พิณทองยิ้มขำ “พิณไม่ได้ลบหลู่ค่ะ แค่คิดว่ามันแปลกดี! ไปทานข้าวกันเถอะค่ะ...เดี๋ยวน้าลบจะรอ!”
ทั้งหมดพากันเดินไปทางห้องอาหาร
ก่อนวันงานเลี้ยงมาถึง คนงานช่วยกันจัดโต๊ะกินเลี้ยงที่บริเวณหน้าโดมทอง คนงานอีกส่วนแยกกันติดไฟตรงต้นไม้ใหญ่ในบริเวณนั้น ในลักษณะดูดวงไฟระย้าย้อย และปีนติดบริเวณตัวตึกอย่างขมักเขม้น
ส่วนภายในห้องโถง คนงานอีกส่วนจัดเป็นสถานที่สำหรับเต้นรำ คนงานต่างช่วยกันเต็มที่ แล้วทดสอบเปิดไฟตามต้นไม้ เห็นความสวยงามสว่างไสวทั่วทั้งโดมทองยิ่งงดงาม
งานเลี้ยงจัดขึ้นตอนค่ำวันนี้ มองจากด้านนอก แลเห็นไฟที่ติดไว้บริเวณต้นไม้สว่างระยิบระยับด้วยสีสันต่างๆ ในเวลากลางคืน แขกทยอยมากันคึกคัก และพากันชี้ชวนชมไฟประดับตามที่ต่างๆ รวมทั้งที่ตัว “โดมทอง” ทำให้ดูมีชีวิตชีวามากกว่าที่ผ่านมา
ด้านวิรงรองยังคงนอนอ่านหนังสือ มีเสียงเคาะประตูเบาๆ เป็นเสียงอุษาเรียกตามมา
“น้องวิคะ”
วิรงรองวางหนังสือลง ลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู
“สวยจังพี่อุษา”
อุษาซึ่งอยู่ในชุดผ้าไหม สีสว่างเข้ากับผิวพรรณยิ้มเขินๆ
“ช่างตัดเสื้อเขาเก่งน่ะค่ะ” พลางมองวิรงรองซึ่งยังอยู่ในชุดธรรมดาอยู่กับบ้าน “น้องวิยังไม่แต่งตัวหรือคะ”
วิรงรองเดินกลับมานั่ง “ขี้เกียจค่ะ”
อุษาตามเข้ามา ท่าทีร้อนใจ “ไม่ได้นะคะ! แขกเริ่มทยอยมากันแล้ว”
“ไม่ใช่แขกของวิ! วิไม่รู้จัก”
“ก็แล้วพวกเจ้าลานนาล่ะคะ...แขกของน้องวิทั้งนั้น” อุษาบอก
“จริงด้วย...งั้นวิจะรีบอาบน้ำแต่งตัว..แต่พี่อุษาต้องอย่าลืมสัญญานะคะ”
สีหน้าอุษาฉายแววกังวลขึ้นมาทันที “พี่ไม่แน่ใจ”
“งั้นวิก็จะไม่ออกไปร่วมงาน” วิรงรองยื่นเงื่อนไข
“ก็ได้ค่ะ”
“เดี๋ยววิตามลงไป”
อุษาพยักหน้า แล้วเดินออกไป วิรงรองปิดประตู หันกลับเดินไปเข้าห้องน้ำ
ด้านแสงแขเฉิดฉายอยู่ในชุดสวยงาม ยืนมองตัวเองหน้ากระจกอย่างพอใจ โอบอ้อมมองอย่างปลาบปลื้มขณะพูดสอพลอ
“สวยจังเลยค่ะ...คุณแขขา...สวยสมกับที่จะเป็นเจ้าสาวของคุณลบ”
“เดี๋ยวใส่เครื่องประดับแล้วยิ่งจะสวยกว่านี้อีก”
แสงแขเปิดกล่องเครื่องประดับออกหยิบตุ้มหูขึ้นมาใส่ โดยมีโอบอ้อมจ้องมองอย่างตื่นเต้นตาไม่กระพริบ
แสงแขหยิบสร้อยทาบคอ โอบอ้อมช่วยติดตะขอข้างหลังให้ จากนั้นแสงแขหยิบแหวนมาสวมเป็นชิ้นสุดท้าย แล้วมองความสวยสง่าของตัวเองอย่างพอใจสุดๆ
แสงแขนึกได้รีบถอดแหวน “ต๊าย ลืมไปสนิทเลย”
“อ้าว คุณแขถอดแหวนทำไมคะ” โอบอ้อมงง
“เพราะเดี๋ยวคุณลบจะสวมแหวนหมั้นให้ฉันน่ะซียะ ขืนใส่วงนี้ไปด้วยได้ตีกันตาย” แสงแขยิ้มเจิดจ้า
“จริงด้วย โอบลืมสนิทเลย”
แสงแขเดินเชิดหน้าตัวพองไปที่ประตู
“แหม...อยากให้คุณลบได้เห็นคุณแขเร็วๆจัง”
แสงแขยิ้มแย้มอย่างพอใจกับคำพูดของสาวใช้คนสนิท
ส่วนที่อีกห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์โวยวายเสียงดังลั่นกับอุษา
“ไม่เอา ฉันไม่ใส่ตัวนี้ ฉันจะเอาชุดเก่าของฉัน”
“แต่ชุดนี้คุณลบสั่งตัดให้นะคะ คุณย่าขา...”
“ตาลบจะมารู้ดีได้ยังไง ฉันจะใส่ชุดของฉัน”
“ชุดนั้นเก่าแล้วค่ะ” แสงแขท้วง
มีเสียงเคาะประตูเบาๆ แล้วเห็นแสงแขเดินเข้ามา ท่านผู้หญิงมองแสงแขอย่างพอใจ ขณะที่อุษาเองก็ชื่นชม
“สวยจัง แสงแข”
“ตาลบต้องพอใจแน่ๆ”
ท่านผู้หญิงพูดอย่างมาดหมาย
ภูไทและลานนาเดินมองซ้ายมองขวาเข้ามา
“ยัยวิอยู่ไหนเนี่ย ปล่อยให้เราเงอะงะอยู่ได้”
“อย่าบ่นน่า”
อุไรซึ่งกำลังชะเง้อมอง รีบเดินตรงมา
“ทางนี้ค่ะเจ้า เชิญตามมาทางนี้ค่ะ”
ภูไทและลานเดินตาม
“วิเขายังไม่ลงมาหรือ” ลานนาถาม
“คุณวิสั่งให้ป้าพาเจ้าเข้าไปนั่งรอในบ้านก่อน...เดี๋ยวเธอจะลงมาพบค่ะ”
อุไรพาทั้ง 2 เข้าไปในบ้าน
ด้านวิรงรองแต่งตัวเสร็จด้วยเสื้อสไตล์น่ารักของตัวเอง ตรวจดูความเรียบร้อย แล้วเดินมาหยุดมองกล่องเสื้อบนเตียง
“เรื่องอะไรฉันจะใส่ชุดของคนอื่น”
วิรงรองเดินไปที่ประตูเปิดออก แล้วสะดุ้ง อดิศวร์ยืนมองมาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“กลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อเดี๋ยวนี้”
“ฉันจะใส่ชุดของฉัน”
“มานี่”
อดิศวร์คว้าข้อมือวิรงรองเดินกลับเข้าไปในห้อง
“เอ๊ะ! ปล่อยนะ”
อดิศวร์ดึงวิรงรองมาที่เตียง แล้วเปิดกล่องหยิบเสื้อส่งให้
“เปลี่ยนเป็นชุดนี้”
วิรงรองอ้าปากจะเถียงอดิศวร์ชิงพูดก่อน
“อย่าเถียง”
วิรงรองกัดปาก มองนายจ้างตาเขียว
“อย่างที่เคยบอก...ถ้าเธอไม่เปลี่ยน...ฉันจะเปลี่ยนให้เอง”
อดิศวร์เดินมาส่งเสื้อให้ถึงมือ วิรงรองดึงเสื้อมาอย่างกระแทกกระทั้น แล้วเดินไปเข้าห้องน้ำ
“ก็แค่นี้แหละ”
พอเข้ามาในห้องน้ำ วิรงรองเอาเสื้อแขวนไว้แล้วทรุดตัวลงนั่งอย่างสบายอกสบายใจ
“อยากบังคับดีนัก...เอากับแม่ซิ! แม่จะปล่อยให้รอให้เข็ด”
วิรงรองเริ่มร้องเพลงหงุงหงิงๆ อยู่ในลำคอ
อดิศวร์ดูนาฬิกาข้อมืออย่างหงุดหงิด
“ดื้ออะไรอย่างนี้”!
แล้วเดินมาเคาะประตูห้องน้ำ
“วิรงรอง ออกมาเดี๋ยวนี้”
เงียบ
“เธอคิดว่าทำอย่างนี้แล้วจะชนะฉันได้หรือ”
ทุกอย่างยังเงียบอยู่
“ฉันให้เวลาเธอ 10 นาที ถ้าไม่ออกมา...ฉันจะเข้าไป”
วิรงรองผุดลุกขึ้นมาอย่างตกใจ
“คุณเข้ามาไม่ได้หรอก”
“ลองดูก็ได้นี่...อีก 10 นาที ถ้าไม่ออกมา ฉันจะเข้าไป”
“คนบ้า! ขู่ได้ขู่ดี”
วิรงรองหันรีหันขวางอย่างหงุดหงิด
อดิศวร์เดินไปนั่งที่เตียงอย่างใจเย็น ยกนาฬิกาขึ้นดู แล้วเดินไปที่หน้าต่าง มองลงไปข้างล่าง เห็นไฟกระพริบวิบวับตามมุมต่างๆ
อดิศวร์ยกนาฬิกาขึ้นดูอีกครั้ง แล้วเดินไปที่ห้องน้ำ วิรงรองเปิดประตูออกมาในชุดสวยที่อดิศวร์ซื้อให้ อดิศวร์มองภาพนั้นอย่างพอใจ ขณะที่วิรงรองมองตาขุ่นเขียว
“แต่งตัวสวยๆ แล้วก็ต้องทำหน้าตาให้มันดีหน่อย”
วิรงรองสะบัดหน้าเดินไปที่ประตู อดิศวร์ตามไปอย่างใจเย็น
อุษาเข็นรถของท่านผู้หญิงสรรักษ์เข้ามาในห้องโถงใหญ่ สถานที่จัดงานเลี้ยง ติดตามด้วยแสงแข
ท่านผู้หญิงนิ่งงันไปครู่หนึ่ง สีหน้าแววตาเหมือนจะทบทวนความทรงจำรำลึก
ภาพงานเลี้ยงในอดีตผุดขึ้นมาในห้วงคิด บรรดาแขกเหรื่อที่มาร่วมงานต่างจับกลุ่มคุยกัน โดยมีพนักงานคอยเดินเสิร์ฟแชมเปญ ทุกคนในนั้นต่างสนทนาปราศัยกันอย่างแจ่มใส
ภาพเหล่านั้นเลือนหายไป ท่านผู้หญิงกระพริบตาถี่ๆ น้ำตารื้นขึ้นมาแว่บหนึ่ง
แสงแขชะงักเมื่อมองไป เห็นอดิศวร์และวิรงรอง เดินคียงคู่กันเข้ามา
“คุณย่าคะ...ดูนั่นซิคะ”
ท่านผู้หญิง และอุษาหันไปมอง ท่านผู้หญิงชะงัก เมื่อเห็นสองคนอดิศวร์ และวิรงรอง
ภาพอดิศวร์กลายเป็นท่านเจ้าคุณ ส่วนวิรงรองกลายเป็นพลับพลึง
ท่านผู้หญิงลุกขึ้นทันที “ไอ้อีทรยศ”
ทุกคนในที่นั้นหันมามอง
อุษาตกใจ เรียกสติ “คุณย่าคะ”
ท่านผู้หญิงมองเขม้น ท่านเจ้าคุณและพลับพลึงกลับกลายเป็นอดิศวร์และวิรงรองตามเดิม
วิรงรองเห็นรีบหันมาบอกกับอดิศวร์เบาๆ “ขอตัวก่อนค่ะ”
วิรงรองเดินออกไป ท่านผู้หญิง อดิศวร์ แสงแข และอุษามองตาม
แขกเหรื่อคนที่อยู่ในบริวณนั้นเข้ามาไหว้ทักทายอดิศวร์และท่านผู้หญิงสรรักษ์
ท่านผู้หญิงไม่สนใจใคร “อุษา พาฉันกลับห้อง”
“ค่ะ”
แสงแขมีสีหน้าร้อนใจขึ้นมาทันที แล้วรีบเดินตามเช่นกัน ด้วยกลัวย่าจะลืมเรื่องหมั้น
อดิศวร์หันไปขอโทษขอโพย และทักทายคนที่อยู่ในบริเวณนั้น
อ่านต่อหน้า 4
โดมทอง ตอนที่ 9 (ต่อ)
ทุกคนเข้ามาในห้อง ท่านผู้หญิงลุกจากรถเข็นขึ้นนั่งบนเตียง แล้วเอนตัวลงนอน
“คุณย่าเป็นอะไรคะ” อุษาถาม
แสงแขกังวล “แล้วงานที่คุณย่าจะจัดล่ะคะ”
“ให้ฉันพักสักหน่อยก่อน แล้วค่อยออกไป” ท่านผู้หญิงไม่เอะอะโวยวาย แต่พูดเหมือนเหนื่อยหน่ายผิดปกติ
ท่านผู้หญิงหลับตาลง อุษาหยิบยาดมส้มโอมือ มาโบกไปมาบริเวณจมูกย่าไปมา
แสงแขสะกิดอุษาแล้วกระซิบ “แล้วที่แขจะหมั้นกับคุณลบล่ะ”
อุษายกนิ้วแตะปาก ส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามไม่ให้กวนท่าน
แสงแขสะบัดหน้าหงุดหงิด
ส่วนวิรงรองยกนาฬิกาขึ้นมาดู ทั้ง 3 นั่งกินอาหารกันอยู่โต๊ะหนึ่ง)
“จวนจะถึงเวลานัดแล้ว พี่อุษายังไม่ออกมาเลย”
“แล้วจะไปทั้งในชุดนี้น่ะหรือครับ” ภูไทถาม
“ค่ะ” จังหวะนี้วิรงรองเบิกตากว้างยกมือขึ้น “รุทธิ์ ! ทางนี้”
อนิรุทธิ์ซึ่งกำลังชะเง้อมองหา รีบตรงไปที่โต๊ะทันที ลานนาย่นจมูก เหมือนไม่ชอบใจที่อนิรุทธิ์มา
“นึกว่าจะไม่มาเสียแล้ว”
“ผมรับปากว่าจะมาก็ต้องมาซิ” อนิรุทธิ์หันมายื่นมือทักภูไท “สวัสดีครับเจ้า”
ภูไทจับมือทักตอบ “สวัสดีครับ”
อนิรุทธิ์หันมาทางลานนา “ไปเก็บคำขอโทษที่ผมกองไว้หรือยังครับเจ้าลานช้างเอ๊ย! ลานนา”
“บ้า”
“โดนเต็มๆ”
“รุทธิ์น่า อย่าชวนลานนาทะเลาะซิ” วิรงรองปราม
“อย่าห้ามเลยวิ ! มันกลายเป็นสันดานไปแล้ว” ลานนากัดแรง
อนิรุทธิ์สะดุ้ง อาหารที่เพิ่งเข้าปาก เหมือนจะติดคอ
“ยัยน้อง…พูดดีๆ ซิคะ” ภูไทเอ็ด
“แล้วเขาล่ะคะ เคยพูดดีกับน้องบ้างไหม ! ทำไมพี่ชายไม่ด่าเขาบ้าง” ลานนาย้อน
“ก็เขาไม่ใช่น้องของพี่นี่”
“ไม่เป็นไรครับ...ผมยินดีฝากเนื้อฝากตัวเป็นน้องของเจ้าภูไทเลย”
“เฮ้ย” วิรงรองอุทาน
“พูดแบบนี้ไม่ค่อยดีเหมือนกันนะคุณ” ภูไทติง
“เอาเลย ! ต่อยหน้ามันเลยค่ะพี่ชาย” ลานนาเดือดปุดๆ หมั่นไส้เต็มที่
“ยัยน้อง”
อนิรุทธิ์ชอบใจทำท่าจะแหย่ต่อ
“รุทธิ์ พอได้แล้ว” วิรงรองห้าม
“โอ.เค ไม่พูดก็ได้”
อนิรุทธิ์กินต่ออย่างเอร็ดอร่อย
“ใครเขาเชิญมิทราบ” ลานนาพูดลอยๆ
“อ้าว! คุณ” อนิรุทธิ์ฉุน
“ลานนา! หยุดชวนทะเลาะเสียที” ภูไทเอ็ด
วิรงรองดูนาฬิกา แล้วลุกขึ้น “เดี๋ยวมา ฝากรุทธิ์ด้วยนะคะ...ถ้าพูดไม่เข้าหูก็ทุบกระโหลกได้เลย”
อนิรุทธิ์สะดุ้ง “อ้าว คุณวิรงรอง”
วิรงรองรีบเดินไป อนิรุทธิ์หันกลับมายิ้มกับ เจ้าพี่ เจ้าน้อง แล้วกินต่อ
วิรงรองเดินเข้ามามุมหนึ่ง แล้วกวาดตามองหาอุษา แต่อุษาไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้น วิรงรองมีสีหน้ากังวล
“หายไปไหน”
ส่วนในบริเวณงาน
“วิเขาไปไหนหรือครับ” อนิรุทธ์พูดไป กินอาหารไปอย่างเอรโอร่อย
“ไม่ใช่เรื่องของนาย” ลานนาว่า
“พี่ว่าวิรงรองไม่น่าเสี่ยงขนาดนั้นเลย อดิศวร์ก็อยู่” ภูไทเอ่ยขึ้น
อนิรุทธิ์หูผึ่ง “วิทำอะไรหรือครับ”
“เอ๊ะ ก็บอกแล้วว่า ไม่ใช่เรื่องของนาย”
อนิรุทธิ์บอกอย่างหนักแน่น “วิเป็น...เพื่อนผม! ผมมีสิทธิ์จะรู้ว่า เขาจะเสี่ยงทำอะไร”
ลานนาส่ายหน้า “เสียใจ ฉันไม่บอก”
“ไม่ได้มีอะไรมากหรอกคุณ” ภูไทว่า
อนิรุทธิ์มอง 2 พี่น้องสลับกันอย่างไม่เชื่อนัก
ขณะเดียวกันอุษาเดินออกมาหน้าห้องท่านผู้หญิง แสงแขก็รีบตามเช่นกัน
“จะไปไหนน่ะพี่อุษา”
“เอ้อ...พี่ท้องเสีย แสงแขอยู่กับคุณย่าก่อนนะ...เดี๋ยวพี่มา”
อุษารีบเดินไป แสงแขมองตามอย่างแปลกใจ แล้วรีบกลับเข้าในห้อง
แสงแขเข้ามากระซิบโอบอ้อมนั่งเฝ้าท่านผู้หญิงอยู่
“เฝ้าคุณย่าไว้ให้ดี เดี๋ยวฉันมา”
“ค่ะ”
แสงแขรีบเดินออกไป
อีกปีกหนึ่งของโดมทอง ที่ไม่ได้จัดงาน บรรยากาศมืดสลัวเพราะไม่ได้เปิดไฟ
วิรงรองจับข้อมือเดินเข้ามาในบริเวณนั้น เพื่อจะออกทางด้านหลัง ทั่วบริเวณนั้นมืดสลัว ได้ยินเสียงเอะอะจากงานเลี้ยงดังมาแว่วๆ จากทางด้านหน้า วิรงรองมีสีหน้ามุ่งมั่นขณะที่อุษาสีหน้าสับสนลังเลไม่แน่ใจ ในที่สุดอุษาขืนตัวไว้
“ทำไมหรือคะ พี่อุษา”
“พี่ไม่ไปดีกว่าค่ะ”
“อุ๊ย! ไม่ได้นะคะ เราตกลงกันแล้ว ป่านนี้คุณพันธุ์สูรย์คงมารอ...”
อุษาอึดอัด ขัดขึ้น “ก็ปล่อยให้เขารอเก้อแล้วโกรธพี่ไปเลย จะได้ไม่ต้องมานัดหมายกันอีก เพราะยังไงพี่ก็ไม่มีวันลงเอยกับเขาได้”
วิรงรองเอาจริงเอาจัง “ฟังนะคะ พี่อุษา...ไม่ว่าจะลงเอยได้หรือไม่ได้แต่พี่อุษาเคยผิดนัด ปล่อยให้เขารอเก้อครั้งหนึ่งแล้ว คราวนี้พี่อุษาจึงควรจะไปพบเขา...ถ้าจะเลิกก็บอกให้เขารู้ตัวไปเลย คุณพันธุ์สูรย์จะได้ไม่หวังลมๆแล้งๆ อีก”
อุษานิ่งคิดครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าปล่อยให้วิรงรองจูงมือไป
อีกมุมหนึ่งของงาน อดิศวร์กำลังยืนคุยกับแขกที่มาในงาน แสงแขเดินเข้ามาชะเง้อมอง แล้วเดินตรงไปหาอดิศวร์ด้วยสีหน้าร้อนรนและเรียกเบาๆ
“คุณลบคะ พี่อุษากับวิรงรองน่ะค่ะ...” แสงแขแกล้งทิ้งท้าย
อดิศวร์หันมามองหน้าแสงแขแว่บหนึ่ง “ขอโทษนะครับ”
“เชิญครับ” แขกยิ้มให้
อดิศวร์และแสงแขเดินห่างออกมาจากงาน
“ลองคนนั่นทำอะไร”
“แขเห็นซุบซิบๆ กัน แล้วเดินไปทางปีกโน้นค่ะ ... สงสัยว่าจะแอบออกไปพบกับพันธุ์สูรย์”
นัยน์ตาอดิศวร์เป็นประกายกล้าแว่บหนึ่ง แล้วรีบเดินออกไป แสงแขมองตาม แล้วค่อยยิ้มออกมา
“ถ้าไปหาไอ้พันธุ์สูรย์จริงๆ ละก็...นังวิรงรองถูกเฉดหัวออกไปแน่”
ผู้คนในงานกำลังคึกคัก แขกเหรื่อมากันมากพอสมควร กลุ่มรัฐมนตรีพจน์กำลังคุยกับแขกที่มา ทักทายกันหลายราย พิชญ์พยายามกวาดตามองหาวิรงรองเนียนๆ แต่ก็ไม่หลุดพ้นสายตาของพิณทอง และแก้ว กับวัชรีไปได้
วัชรีลอบหยิกลูกชายเป็นระยะๆ อย่างหมั่นไส้เต็มที
ฟากอนิรุทธิ์เริ่มจะอิ่ม “เอ๊ะ วิหายไปไหนนานจัง”
ลานนาค้อนอย่างหมั่นไส้
“ไม่ทราบครับ” ภูไทบอก
“แต่ท่าทางเจ้าเหมือนทราบ”
“เอ๊ะ หาเรื่องพี่ชายฉันเรอะ”
“ไม่เอาน่า...ลานนา”
“ผมขอไปตามหาวิก่อน” อนิรุทธิ์บอก
“จ้างก็ไม่เจอ” ลานนาพูดแบบไม่รู้ไม่ชี้
อนิรุทธิ์สะดุดหู หันมามองลานนาอย่างจับอาการ
ลานนาตักอาหารกินหน้าตาเฉยๆ
ฝ่ายวิรงรองพาอุษามาจนถึงม้าที่ผูกอยู่
“นั่นค่ะ วิเตรียมม้าไว้ให้พี่อุษาแล้ว”
อุษาตกใจ “ตายจริง! นี่นายสมรู้ด้วยหรือ”
“ไม่หรอกค่ะ! วิจ่ายค่าปิดปากให้คนงานนิดหน่อย”
“น้องวิ”
“พี่อุษารีบไปเถอะ วิจะกลับไปคอยแก้สถานการณ์ในบ้านให้”
อุษามีสีหน้าหวาดหวั่น “พี่กลัวจัง”
“พี่อุษาจะไปพบคุณพันธุ์สูรย์นะคะ...ไม่ได้ไปเจอผี จะต้องกลัวอะไร”
อุษาหัวเราะอย่างไม่แจ่มใสนัก แล้วขึ้นม้าขี้ออกไป โดยวิรงรองกระตุ้นให้กำลังใจเต็มที่
วิรงรองมองตาม แล้วพ่นลมออกจากปากอย่างโล่งใจ
ไม่นานต่อมาวิรงรองเดินฮัมเพลงกลับมาอย่างสบายอกสบายใจ พอเดินมาใกล้โดมทองก็ถูกใครคนหนึ่งดึงแขนไว้ เรียกเสียงดุๆ
“วิรงรอง”
วิรงรองสะดุ้งเฮือก “อุ๊ย”
“เธอพาอุษาไปไหน”
“เปล่า”
“อย่าโกหก”
“เอ๊ะ” วิรงรองชักโกรธ
อดิศวร์บีบแขนขณะถาม “เธอเจ้ากี้เจ้าการให้น้องฉันไปพบกับไอ้พันธุ์สูรย์”
“อย่ามาหาเรื่องกันง่ายๆ”
“อย่าให้ฉันจับได้ก็แล้วกัน”
วิรงรองเห็นอดิศวร์ขยับจะเดินไปก็ตกใจ แล้วตัดสินใจเป็นลมทันที
“โอ๊ย ช่วยด้วยค่ะ”
วิรงรองซวนเซทรุดฮวบ อดิศวร์รับไว้ทันที วิรงรองหลับตาลง ปล่อยตัวปวกเปียกอย่างสมบทบาท อดิศวร์ละล้าละลัง แล้วตัดสินใจอุ้มวิรงรองกลับ
วิรงรองลอบหรี่ตามองแว่บหนึ่ง แล้วรีบหลับตามเดิม
ที่ห้องหนึ่งด้านที่ไม่ได้ถูกใช้จัดงาน อดิศวร์อุ้มวิรงรองเข้ามาในบริเวณนั้น แล้ววางลงบนโซฟา
“วิรงรอง”
วิรงรองค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทำตาปรอย
“คุณอดิศวร์”
“เป็นยังไงบ้าง”
วิรงรองค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้น “อยู่ดีๆ ก็หน้ามืดค่ะ”
“เธอพาอุษาไปไหน” อดิศวร์ถามเสียงเข้ม
“เปล่านี่คะ”
อดิศวร์ลุกขึ้นจะเดินออกไป
วิรงรองรีบเรียกไว้ “เดี๋ยวค่ะ”
อดิศวร์หันกลับมาหา
“ป่านนี้คุณพิณทองคงตามหาคุณอดิศวร์แล้วล่ะค่ะ คุณอดิศวร์ เป็นคนจัดงานฉลองสมรสให้เธอไม่ใช่หรือคะ”
อดิศวร์นิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง “อย่าให้ฉันจับได้นะวิรงรอง”
วิรงรองยิ้มสมใจ “คุณอุษาอาจจะอยู่ข้างบนก็ได้ เธอไม่มีอันตรายอะไรหรอกค่ะ”
อดิศวร์มองวิรงรองนิ่งๆ แล้วเดินออกไป วิรงรองมองตาม แล้วถอนใจโล่งออกมา ขณะเดินตาม
ทางด้านอุษาควบม้ามาจนถึงบริเวณป่าละเมาะ ริมน้ำตกแห่งนั้น แล้วต้องชะงัก สีหน้าทั้งประหลาดใจ และเต็มตื้นไปด้วยความซาบซึ้งใจ
ด้วยตรงหน้าเธอ มีเทียนหอมรูปทรงต่างๆ ในภาชนะรูปเดียวกัน ถูกจุดไว้เป็นระยะตามทางเดินคดเคี้ยวไปจนถึงบริเวณน้ำตก ด้วยฝีมือพันธุ์สูรย์ ที่สร้างบรรยากาศแสนโรแมนติก
อุษาลงจากหลังม้า แล้วเดินตามไปตามทางนั้นช้าๆ ราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย กำลังเดินเล่นในปราสาทสวย อุษาเดินมาเรื่อยๆ จึงเห็นพันธุ์สูรย์ก้าวออกมาจากมุมหนึ่ง ในอ้อมแขนของเขามีกุหลาบสีแดงดอกโตช่อใหญ่
อุษาหยุดเดิน มองพันธุ์ด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขปนเขินอาย ใบหน้าพันธุ์สูรย์มองมาด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรักสุดหัวใจ
พันธุ์สูรย์ก้าวช้าๆ ตรงมาที่อุษา แล้วทรุดตัวลงคุกเข่า ยื่นส่งช่อกุหลาบให้เป็นการต้อนรับ
อุษารับมาเขินๆ “ขอบคุณค่ะ”
พันธุ์สูรย์ลุกขึ้น แล้วโอบอุษาเข้ามาในอ้อมแขนอย่างทะนุถนอม
“คุณอุษา...ผมรักคุณ”
อุษาซบอกพันธุ์สูรย์ด้วยความตื้นตันใจ นิ่งและนาน สักครู่หนึ่ง อุษาเงยหน้าขึ้น น้ำตาคลอ
“เราจะต่อสู้กับอุปสรรคไปด้วยกัน” พันธุ์สูรย์บอก
อุษาส่ายหน้า “เราไม่มีวันชนะหรอกค่ะ”
พันธุ์สูรย์รวบมือไว้แล้วบีบเบาๆ “ถ้าคุณเชื่อและมั่นใจในตัวผม”
“อุษาเชื่อแล้วก็มั่นใจในตัวคุณ แต่อุษายอมออกมาพบคุณก็เพื่อจะบอกลา ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่เราจะได้พบกัน”
พันธุ์สูรย์จะท้วง “ผม ....”
อุษายกมือแตะปากพันธุ์สูรย์อย่างอ่อนโยน
“อุษาไม่อยากให้เราต้องเจ็บปวดไปมากกว่านี้ เราต้องเลิกพบกัน ยังมีผู้หญิงที่ดีกว่าอุษา...คู่ควรกับคุณมากกว่าอุษา”
พันธุ์สูรย์ดึงมือออกอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน “แต่ผมจะไม่มีวันรักใครอีก”
“อย่าทำร้ายตัวเองอย่างนั้น...อุษาคิดว่าเจ้าลานนา...”
“เจ้าลานนาเหมือนน้องสาวผม”
“เธอรักพันธุ์สูรย์ ถึงจะพบเธอไม่กี่ครั้ง แต่อุษาดูออก คุณกับเธอควรจะมีอนาคตที่สวยงามร่วมกัน”
นาทีนั้นพันธุ์สูรย์รวบอุษามากอดไว้แน่น แล้วก้มลงจูบอย่างละมุนละไม
2 หนุ่มสาว เหมือนตกอยู่ในดินแดนแห่งความฝัน เทียนหอมที่วางตามทาง ลดหลั่นกันไป ยิ่งทำให้สถานที่นั้นงดงาม
เหตุการณ์ภายในบริเวณห้องโถงใหญ่ สถานที่จัดงาน อดิศวร์ ศิโรดม ยืนอยู่กลางห้องโถง มือถือแก้วแชมเปญ
แขกผู้มีเกียรติยืนอยู่รายล้อม บรรยากาศดูอบอุ่นสวยงาม และหรูหรา ทุกคนมีสีหน้าแจ่มใส โดยเฉพาะ
แสงแขซึ่งยืนข้างๆ อดิศวร์
“เชิญทุกท่านดื่มอวยพรให้แก่หลานสาว และหลานเขยของผม ถึงจะฉลองช้าไปสักหน่อย แต่ก็ขอให้ทั้งคุณพิณและคุณพิชญ์ มีชีวิตสมรสที่มีความสุขและยืนยาว ไปจนตลอดชีวิต”
อดิศวร์นำดื่ม แขกทุกคนดื่มตาม วิรงรองยืนอยู่มุมหนึ่งกับภูไท ลานนา และรุทธิ์ โดยที่วิรงรองคอยหันหลังชะเง้อมองออกไปด้านนอกอย่างกังวล
ลานนากระซิบ “ยังไม่กลับมาอีกเหรอ”
วิรงรองส่ายหน้า “ยังไม่เห็นเลย”
ภูไทหงุดหงิดเล็กๆ “ไม่รู้พันธุ์สูรย์คิดยังไง มันจะทำให้ทุกคนเดือดร้อนกันไปหมด โดยเฉพาะน้องวิ”
“อย่าโทษคุณพันธุ์สูรย์เลยค่ะเป็นความผิดของวิเอง”
อนิรุทธิ์ฟังอยู่นาน ยื่นหน้าเข้ามาถามอย่างสนใจ “มีเรื่องอะไรกันหรือครับ”
ลานนาตวาด “เจ๋อ”
อนิรุทธิ์ยักไหล่ “จะว่าอย่างอื่นก็ว่ามาเถอะ”
“ส...” ลานนาจะพูดว่าเสือก!
ภูไทดุ “ยายน้อง”
เทียนหอมถูกจุดให้บริเวณป่าละเมาะริมน้ำตกสว่างเรืองๆ สวยงาม พันธุ์สูรย์และอุษา นั่งอิงแอบกันอยู่เงียบๆ ราวกับจะเก็บวินาทีนี้ไว้ให้นานที่สุด
พิชญ์และพิณทองเปิดฟลอร์ด้วยเสียงเพลงอ่อนหวาน คู่อื่นๆ ทยอยตามมา ภูไทหันมาทางวิรงรองจะขอเต้นรำ เช่นเดียวกับอนิรุทธิ์ แต่แล้วก็ชะงักเมื่ออดิศวร์เดินเข้ามา แตะเอววิรงรองจะพาเดิน แต่อีกฝ่ายขืนตัวเล็กน้อย
“อย่าดื้อ”
วิรงรองจำใจเดินตามอดิศวร์ออกไป ด้วยกลัวจะผิดปกติ
อนิรุทธิ์และภูไท ต่างมองตามด้วยสีหน้าเก้อๆ กันทั้ง 2 คน
“เฮ้อ ! ไม่ทันกินเล้ย” ลานนาเปรยขึ้ลอยๆ
“ไม่เป็นไร ผมเต้นกับเจ้าก็ได้ เชิญครับ”
อนิรุทธิ์ยื่นมือให้ ลานนาทำเป็นมองไม่เห็น แล้วดึงแขนภูไทออกไปเต้นแทน อนิรุทธิ์เลยยื่นมือเก้อ แล้วมองตามลานนาไปอย่างเจ็บใจ ยกมือเกาหัวแก้เก้อ
ในฟลอร์เต้นรำกลางห้องโถงใหญ่ อดิศวร์เต้นรำกับวิรงรอง โดยมีสายตาริษยาของแสงแขมองตาม
“อย่านึกว่าฉันอยากจะเต้นรำกับเธอนักหรอกนะ” อดิศวร์เอ่ยขึ้นในจังหวะหนึ่ง
วิรงรองสวนทันที “อ๋อ แล้วคิดว่าดิฉันอยากจะเต้นรำกับคุณนักหรือคะ”
“อุษาอยู่ที่ไหน” อดิศวร์ถามเสียงแข็ง
“ไม่ทราบ”
อดิศวร์โอบแน่นขึ้นอีกขณะถาม “อุษาอยู่ที่ไหน”
วิรงรองพยายามดันอดิศวร์ออก “ก็บอกว่าไม่รู้ อุ๊ย! อาจจะอยู่ข้างบนก็ได้”
ขณะเดียวกันพิชญ์ชะเง้อมองไปที่คู่อดิศวร์และวิรงรอง พิณทองเห็นนึกฉุน
“จะเปลี่ยนคู่เต้นก็ได้นะคะ”
“ผมไม่ทำให้คุณเสียหน้าหรอกน่า”
“ปล่อย” พิณทองจะออกจากฟลอร์
พิชญ์รัดพิณทองแน่นขึ้น “นี่มันงานของเรา อย่าเสียมารยาท เดี๋ยวเพลงก็จบแล้ว”
พิณทองกัดปาก จำใจเต้นต่อ
“ฉันถามเป็นครั้งสุดท้าย อุษาอยู่ที่ไหน” อดิศวร์ถามย้ำ
“ก็บอกว่า...”
“วิรงรอง! เธอไม่อยากให้ฉันทำให้เธออับอายขายหน้าใช่ไหม”
วิรงรองสะดุ้ง “คุณจะทำอะไร”
อดิศวร์ไม่ตอบจ้องวิรงรองเขม็ง ด้วยสีหน้าแววตาน่ากลัว
ที่สุดวิรงรองต้องยอมจำนนน ไม่นานต่อมา สองคนนั่งอยู่บนหลังม้า วิรงรองอยู่ด้านหน้า อดิศวร์โอบกอดไว้ ม้าวิ่งเหยาะย่างมาตามทางมุ่งไปทางป่าละเมาะริมน้ำตก วิรงรองพยายามจะเอนตัวออก สีหน้าอดิศวร์ทำเหมือนไม่รู้ไม่ชี้โอบไว้แน่น ทั้งสองยื้อยุดกันไปมา
“นั่งดีๆ ไม่งั้นม้ามันรำคาญพยศให้ตกลงไปไม่รู้นะ”
วิรงรองเหลียวขวับมามอง ขณะที่อดิศวร์ก้มหน้าลงมองพอดี ลูกจ้างสาวรีบหันหน้ากลับ นายจ้างหนุ่มยิ้มนิดๆ
ม้าวิ่งตรงไปยังป่าละเมาะ
ส่วนแสงแขเปิดประตูเข้ามาในห้องท่านผู้หญิงสรรักษ์ด้วยสีหน้ารีบร้อน ท่านผู้หญิงนอนหลับตามประสาคนแก่ที่ออกแรงไปก่อนหน้านี้ โดยมีอุไรก็ฟุบหลับอยู่ข้างๆ เตียง
แสงแขฉุน “ดู๊! หลับกันหมด คบคนแก่นี่ยิ่งกว่าคบเด็กสร้างบ้านอีก”
แสงแขเข้ามาคุกเข่าลงข้างเตียง แล้วทุบหลังอุไรดังอั๊ก
อุไรสะดุ้งโหยง “โอ๊ย! ใครวะ”
แสงแขบอก “ฉันเอง”
เสียงร้องของอุไร ทำให้ท่านผู้หญิงตกใจตื่นเช่นกัน
“เอะอะโวยวายอะไร...คนกำลังหลับกำลังนอน”
แสงแขเซ้าซี้ “คุณย่าขา...คุณย่าว่าจะออกไปประกาศหมั้นคุณลบกับแขไงคะ...”
“ตายจริง! ฉันก็หลับเพลินเลย นังอุไรก็ไม่รู้จักปลุก”
อุไรยิ้มแหยๆ แสงแขมองอุไรอย่างหมั่นไส้เต็มที่
“อุไรมันก็หลับเพลินเหมือนกันค่ะ”
ท่านผู้หญิงขยับตัว “ทุกคนพร้อมแล้วใช่มั้ย”
“คุณลบออกไปตามหาพี่อุษาค่ะ”
“อ้าว! แล้วนังอุษามันไปไหน! นังคนนี้ละเรื่องมากจริงๆ”
แสงแขตั้งท่าจะบอกความจริงแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ด้วยกลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่จนไม่ได้หมั้น
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ”
ท่านผู้หญิงบ่น “ตาลบไม่อยู่แล้วแกจะหมั้นกับใครฮึ กับผีเรอะไง”
แสงแขจ๋อยไปเล็กน้อย “งั้นแสงจะออกไปรอคุณลบก่อน...พอคุณลบมาแล้วแสงจะมาเชิญคุณย่าออกไปนะคะ”
“เออ”
แสงแขออกไปอย่างสงบเสงี่ยม ท่านผู้หญิงมองตามตาขวางด้วยความหงุดหงิด
“วุ่นวายมากนัก เดี๋ยวก็ไม่ต้องหมั้นกันหรอก”
ด้านอุษายังอยู่ตรงป่าละเมาะ ใกล้น้ำตกกับพันธุ์สูรย์ ในที่สุดอุษาขยับตัว
“อุษาต้องกลับแล้วล่ะค่ะ”
พันธุ์สูรย์ช่วยประคองอุษาขึ้นยืนอย่างว่าง่าย
อุษามองหน้าพันธุ์สูรย์น้ำตารื้น “อุษาจะไม่มีวันลืมวันนี้...เวลานี้เลย”
“ผมก็เช่นกัน” พันธุ์สูรย์บอก
ทั้งสองกอดลากันเป็นครั้งสุดท้าย
“อุษา” เสียงทรงอำนาจของอดิศวร์ดังขึ้น
อุษาและพันธุ์สูรย์ สะดุ้งเฮือกหันขวับไปมอง เห็นอดิศวร์ยืนหน้าถมึงทึง โดยมีวิรงรองยืนตั้งท่าจะห้ามทัพอยู่ใกล้ๆ
“อุษา! มาหาพี่”
อุษาน้ำตาไหลริน ขยับจะก้าวเดินไปหาอดิศวร์
พันธุ์สูรย์ตัดสินใจ ดึงตัวอุษาไว้ “ไม่ต้องไป! คุณอุษา”
วิรงรองยิ้มออกมาอย่างพอใจในท่าทีของพันธุ์สูรย์ ในขณะที่อุษาละล้าละลัง
อดิศวร์โกรธจนหน้าเขียว แล้วพยายามระงับอารมณ์ไว้และตั้งสติ “อุษา กลับ “โดมทอง” กับพี่ แล้วพี่สัญญาว่าจะไม่มีการลงโทษอะไรทั้งนั้น”
วิรงรองอดรนทนไม่ได้ “คุณอดิศวร์ นี่มันหมดสมัยลงโทษกันแล้วนะคะ แล้วคุณอุษาก็ไม่ใช่ลูกเล็กๆ ของคุณ”
อดิศวร์ตวาดลั่น “เงียบ”
พันธุ์สูรย์สบตาอดิศวร์อย่างแน่วนิ่ง “ผมรักคุณอุษา”
“ฉันจะถือว่าไม่ได้ยินที่แกพูด ปล่อยมือสกปรกของแกจากอุษาเดี๋ยวนี้”
พันธุ์สูรย์บอกด้วยหนักแน่นขึ้นไปอีก “ผมรักคุณอุษา...เรารักกันมาก”
“อุษา มาหาพี่เดี๋ยวนี้”
อุษาร้องไห้ออกมาด้วยความอัดอั้นตันใจ
“เรารักกัน” พันธุ์สูรย์ย้ำ
“ไร้สาระ! ที่นี่ไม่ต้อนรับแก ออกไป!”
“ผมทราบดีว่า ที่นี่ไม่ต้อนรับผม แต่เท่าที่หน้าด้านเข้ามาคืนนี้ ก็เพราะ...ผมอยากจะพบคุณอุษาเพียงอย่างเดียว... คุณลบอาจจะไม่เคยมีความรัก เลยไม่รู้ว่าคนเราลองรักใครแล้ว มันก็ยากเหลือเกินที่จะเลิกรักได้ ผมขอร้องให้คุณเห็นใจเราสองคน”
วิรงรองพยักเพยิดเอาใจช่วย “ใช่ค่ะ! เขาสองคนรักกัน”
อดิศวร์ตวาดเบาๆ “เงียบ”
อุษาหันมาทางพันธุ์สูรย์ “คุณกลับไปเถอะค่ะ พันธุ์สูรย์”
“ผมไม่กลับ”
อดิศวร์ต่อยเปรี้ยงทันที จนพันธุ์สูรย์เซล้มลงไปกองกับกับพื้น
“นี่แน่ะไม่กลับ”
อุษาและวิรงรองตกตะลึงที่เหตุการณ์รุนแรง และบานปลายโดยคาดไม่ถึง
อ่านต่อตอนที่ 10