บ่วงบาป ตอนที่ 12
ขุนไวและรำพึงวิ่งมาหยุดที่หน้ากระท่อมพร้อมลูกน้อง ขุนไวสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด
“ไปลากหัวมันออกมา”
รำพึงสูดลมหายใจหนัก
ลูกน้องขุนไววิ่งเข้าไปในกระท่อม เพียงชั่วครู่ก็รีบวิ่งออกมารายงาน
“ไม่มีใครอยู่เลยขอรับ”
“อะไรนะ”
รำพึงวิ่งขึ้นไปดูบนเรือน ขุนไวตามไปติดๆ ในเรือนมีแต่ความว่างเปล่า
“พวกมันไหวตัวทัน”
รำพึงเจ็บใจ
“นังชุ่มนี่มันเป็นแมวเก้าชีวิตหรือไงเนี่ย”
ขุนไวหันไปสั่งลูกน้อง
“ออกล่ามัน พวกมันคงยังไปได้ไม่ไกลนัก”
“คุณพี่ก็ต้องตามให้เจอให้ได้นะคะ ถ้าคุณพี่ไม่อยากเห็นน้องทรมานใจไปจนตาย”
จังหวะนั้น หลวงตามั่นเดินออกมาจากด้านหลังกระท่อม
“ใจของโยมจะไม่ทรมาน ถ้าโยมหยุดการจองเวร”
รำพึงหันขวับไปทางเสียงเห็นหลวงตามั่นยืนอยู่ ขุนไวเดินลงไปกราบ
“หลวงตามาทำอะไรที่นี่ขอรับ”
“เจ้าไว เลิกแล้วต่อกันเถอะ อย่าเอาบาปของคนอื่นมาแบกไว้อีกเลย”
รำพึงได้ยินก็ปรี๊ดขึ้นทันที
“หลวงตาพูดแบบนี้ หมายความว่ายังไงเจ้าคะ”
“โยมย่อมรู้อยู่แก่ใจ ถ้าโยมหยุด คนอื่นก็จะพ้นบาปไปด้วย แต่ถ้าโยมไม่หยุด มือที่เปื้อนเลือดมันจะไม่ใช่มือโยมเพียงคนเดียว”
“บาปหน้าตาเป็นยังไง..ข้าไม่รู้จัก ถ้าบาปกรรมมีจริงก็ให้มันมาคิดบัญชีกับข้า ไม่ใช่กิจของหลวงตาที่ต้องมายืนเทศน์อยู่อย่างนี้”
ขุนไวลุกพรวดดุรำพึงด้วยความไม่พอใจ
“น้องรำพึง! น้องไม่ควรพูดอย่างนี้กับหลวงตา”
รำพึงชะงักกึก สะบัดพรึ่บ
“หลวงตาขอรับ น้องรำพึงต้องเจ็บปวดกับการกระทำของไอ้พิทักษ์มามากพอแล้ว กระผมทนดูคนรักเจ็บปวดไม่ได้ขอรับ”
รำพึงหันมายิ้มเยาะ
“ความลุ่มหลงจะนำเจ้าไปสู่หายนะ”
รำพึงเข้าไปคว้าแขนขุนไว
“คุณพี่เคยสาบานกับน้องว่าต่อให้พลิกแผ่นดิน คุณพี่ก็จะตามล่าเอาชีวิตนังชุ่มมาให้น้อง น้องหวังว่าคุณพี่จะไม่ผิดคำสาบาน”
หลวงตามั่นมองขุนไวที่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทางเลือก
“หลงทางไป รีบหาทางสว่างให้เจอนะเจ้าไว”
รำพึงบีบแขนขุนไวแน่น ขุนไวยืนกำหมัดก้มหน้าหนีหลวงตา ขุนไวสั่งการ
“ส่งคนออกตามหาไอ้พิทักษ์กับนังชุ่ม เดี๋ยวนี้!”
รำพึงยิ้มชนะ นี่คือทางที่ขุนไวเลือก หลวงตามั่นจำต้องเดินจากไป หลวงตาเห็นขุนไวเงยหน้าขึ้นมามองด้วยแววตารู้สึกผิดหนักหนา
ขุนพิทักษ์หอบสัมภาระประคองชุ่มเดินเร็วจนมาถึงปากถ้ำ ชุ่มมีอาการเหนื่อยมาก
“เรามาไกลกันมากแล้ว พักที่นี่ก่อนเถอะ”
“ข้าไหวเจ้าค่ะ ไปต่อเถอะ หลวงตาบอกว่าให้เราไปให้ไกลที่สุดนะเจ้าคะ”
เมื่อตอนที่หลวงตามั่นเดินเข้ามาที่กระท่อมท้ายป่า ทั้งชุ่มและขุนพิทักษ์กราบหลวงตา
“รีบหนีไปให้ไกลที่สุด”
ขุนพิทักษ์หันมองชุ่มด้วยความสงสาร
“เป็นเพราะข้าแท้ๆ”
“รีบไปเถอะ แล้วอย่าหวนกลับมา อย่าหลงเข้ามาติดบ่วงของเขาอีก”
ชุ่มกับขุนพิทักษ์มองหน้ากัน
“รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ”
ชุ่มพยายามจะเดินต่อ แต่พูดไม่ทันขาดคำ ชุ่มก็มีอาการเจ็บท้องจี๊ดขึ้นมา
“พักก่อนเถอะ เชื่อข้า เอ็งไม่ต้องกลัวอะไรทั้งสิ้น ข้าไม่ยอมให้รำพึงทำอะไรเอ็งกับลูกของเราได้เป็นอันขาด”
ชุ่มมองขุนพิทักษ์อย่างอุ่นใจ ขุนพิทักษ์ประคองชุ่มเข้าไปในถ้ำ
เวลาเช้าที่หน้าเรือน ขุนไวกำลังสั่งลูกน้อง
“ข้ากลับจากเรือนท่านเจ้าคุณพิชัย ข้าต้องได้ความเรื่องไอ้พิทักษ์ เอ็งกำชับคนให้ออกตามหามันทุกหัวระแหง”
“ขอรับท่านขุน”
ขุนไวเห็น พระสูงวัยกับเด็กวัดที่ช่วยถือของที่พระบิณฑบาตเดินตัวเอียงเดินมาตามทาง
“ไหวมั้ยไอ้ดวง”
“ไหวจ๊ะหลวงตา แค่นี้ทำได้ ชาวบ้านเขาตั้งใจจะทำบุญ มันเป็นหน้าที่ที่เราต้องทำนี่จ๊ะ หลวงตาสอนดวง ดวงจำได้ขึ้นใจ”
ขุนไวเห็นตรงหน้าก็นึกย้อนถึงตัวเองในวัยเด็ก
ภาพขุนไวเดินบิณฑบาตตามหลวงตามั่น ภาพที่หลวงตาอาบน้ำให้ ภาพหลวงตาสอนหนังสือ
“โตขึ้นอยากเอ็งอยากเป็นอะไรเจ้าไว”
“อยากเป็นคนดีจ๊ะหลวงตา หลวงตาสอนข้าว่าถ้าเราเป็นคนดี บาปกรรมจะทำอะไรเราไม่ได้”
“จำคำของเจ้าเอาไว้นะเจ้าไว วันใดที่เจ้าเดินทางผิด สำนึกของเจ้าจะเป็นสิ่งที่พาเจ้ากลับมาสู่หนทางดี”
ขุนไวในปัจจุบันมองภาพพระสูงวัยกับเด็กวัดเดินไกลออกไปด้วยสายตาอึ้งๆ
บริเวณลานดินกลางวัด หลวงตามั่นเดินจงกลม ขุนไวยืนจดๆจ้องๆ มองอยู่ แต่ไม่กล้าเข้าไป สุดท้ายขุนไวตัดสินใจหันหลังกลับ แต่เสียงที่ดังจากข้างหลังของหลวงตาหยุดขุนไวไว้
“ใจมันร้อนเป็นไฟใช่มั้ย เจ้าไว”
ขุนไวหันกลับมาเห็นหลวงตา ยืนอยู่ ด้านหลัง
“ไม่มีใครดับไฟในใจของเจ้าได้ นอกจากตัวเจ้าเอง ตาช่วยไม่ได้จริงๆ”
“หลวงตาช่วยกระผมมามากพอแล้ว กระผมมันก็แค่เด็กคนหนึ่งที่ไม่เคยมีใครต้องการ ไม่มีหัวนอนปลายเท้า ไม่มีแม้แต่ที่ซุกหัวนอน มีชีวิตเป็นผู้เป็นคนได้แบบนี้เพราะมีหลวงตา หลวงตาช่วยกระผมมาตลอดชีวิตแล้ว”
“ตาเต็มใจช่วยเจ้าเสมอ หากช่วยให้เจ้าพ้นทุกข์ได้..แม้กระทั่งชีวิตของตา ตาก็ให้เจ้าได้”
น้ำตาของลูกผู้ชายอย่างขุนไวไหลอาบแก้ม
“แต่ครั้งนี้มันคงสายเกินไป สายเกินกว่าที่กระผมจะหันหลังกลับไปได้อีกแล้ว”
“ไม่มีคำว่าสาย สำหรับการเป็นคนดีหรอกเจ้าไว”
“เป็นคนดี บาปกรรมจะทำอะไรเราไม่ได้ คำสอนของหลวงตา กระผมยังจำไม่เคยลืม แต่ตอนนี้..ไม่มีความดีอะไร เทียบได้กับความรักที่กระผมมีให้ต่อน้องรำพึง กระผมยอมเอาชีวิตเข้าแลก ต่อให้ต้องจมอยู่ในขุมนรกกระผมก็ยอม”
“เจ้าไว”
ขุนไวลงนั่งยกมือขึ้นมาพนม
“หลวงตาเป็นคนให้ชีวิตกระผม แต่กระผมคงเป็นได้แค่ไอ้คนอกตัญญู ไม่อาจทดแทนบุญคุณของหลวงตาได้ในชาตินี้ กระผมขอกลับมาชดใช้ในชาติหน้า ขอให้กระผมได้มีพ่ออย่างหลวงตา ขอให้กระผมได้ตอบแทนหลวงตาด้วยชีวิตของกระผมบ้าง”
ขุนไวกราบลงไปที่เท้าหลวงตามั่น หลวงตามั่นใช้มือลูบหัว ขุนไวเงยหน้าขึ้นและลุกขึ้นเดินออกไปตามทางที่เขาเลือก ขุนไวเดินเช็ดน้ำตาจากไป ปล่อยให้หลวงตามั่นยืนมองอยู่ทางด้านหลัง
ภายในกระท่อมท้ายป่า เวลากลางวัน แจ่มหิ้วของมาที่กระท่อมแต่เห็นประตูปิดเงียบ แจ่มแปลกใจ จึงส่งเสียงเรียก แต่ก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ แจ่มตัดสินใจขึ้นไปบนเรือน แต่ยังไม่ถึงประตู ลูกน้องขุนไวก็เปิดประตูออกมา แจ่มตกใจ ของตกพื้นกระจาย
“นังใบ้แจ่มนี่เอง”
แจ่มเห็นท่าไม่ดี รีบถอยกรูดจะวิ่งหนี แต่ลูกน้องคนที่สอง และสามตามออกมาสมทบจากด้านหลัง แจ่มมองไปรอบตัวที่ตอนนี้ถูกล้อมไว้
“ถ้าจับนังใบ้นี้ไว้ ท่านขุนกับคุณรำพึงอาจพอใจ ตบรางวัลให้พวกเราก็ได้นะเว้ย”
แจ่มได้ยินก็ไม่รอช้า วิ่งหนี สุดตัว ลูกน้องพุ่งเข้าล็อกตัวแจ่มไว้ แจ่มทั้งร้อง ทั้งดิ้น ขาถีบ เป็นพัลวัน เสียงในคอแจ่มคำรามไม่หยุด แจ่มกัดมือลูกสมุนที่ล็อกตัวจนลูกสมุนร้อง
“โอ้ย ฤทธิ์เยอะนักนะ”
ลูกน้องคนที่สองร้องขึ้นแล้วตบแจ่มจนร่วงสลบไป
“เอามันไปมัดไว้ในเรือน เอ็งไปส่งข่าวบอกท่านขุนกับคุณรำพึง”
ลูกน้องคนที่สามวิ่งออกไป ลูกน้องคนที่หนึ่งและสองลากตัวแจ่มเข้าไปในกระท่อม
ภายในเรือนขุนไว จวงตบเข่าดังฉาด
“แหม คิดถึงเมื่อคืนแล้วเสียดาย อีกนิดเดียวนะเจ้าคะ ไม่งั้นเราคงได้ตัวนังชุ่มกับท่านขุนพิทักษ์แล้ว ทูนหัวของบ่าวจะได้ไม่ต้องร้อนรนทุรนทุรายแบบนี้”
จวงทำท่าอกสั่น ร้อนรนทุรนทุราย
“นังจวงอย่าให้มันมากนัก” รำพึงบอก
จวงรู้ตัวหัวหด
“เจ้าค่ะ เอ่อ..ว่าแต่ว่า คราวนี้เห็นท่านขุนพิทักษ์อยู่กับนังชุ่มซะขนาดนั้น จะเลิกรักท่านขุนพิทักษ์ได้รึยังเจ้าคะ จะไปรักทำไมเจ้าคะคนที่เขาไม่รักเรา”
รำพึงสะดุดกับคำพูดของจวง
“ดูท่านขุนไวสิเจ้าคะ รักคุณรำพึงมาก ถึงขนาดยอมถวายชีวิต คุณรำพึงกลับไม่รัก น่าสงสารท่านขุนไวนะเจ้าคะ”
รำพึงน้ำตาจุก
“ถ้าข้าบังคับหัวใจตัวเองได้แบบนั้น ข้าก็คงไม่ต้องมานั่งทุกข์อยู่แบบนี้หรอกนังจวง”
“ฟ้าดินชอบเล่นตลกกับหัวใจคนนะเจ้าคะ ดีนะเนี้ย ที่จวงไม่มีความรัก”
ลูกน้องขุนไวคนที่สามวิ่งขึ้นเรือนมา
“ท่านขุนขอรับ...”
“คุณพี่ไม่อยู่ เอ็งมีอะไร”
ภายในถ้ำ ขุนพิทักษ์สะบัดน้ำหยดสุดท้ายจากกระบอกป้อนให้ชุ่ม ที่พื้นมีห่อข้าวที่ห่อมาจากเรือนเปิดวางหมดอยู่
“ท่านให้ข้ากินน้ำจนหมด ส่วนท่านยังไม่ได้แตะอะไรเลย แบบนี้ท่านจะแย่นะเจ้าคะท่านขุน”
“ข้ายังไม่ตายหรอก เอ็งเชื่อข้าสิ เพราะข้าต้องมีชีวิตไว้อยู่กับลูกกับเมียข้า”
ชุ่มตีขุนพิทักษ์
“ข้าห่วงท่านจริงๆนะเจ้าคะ”
ขุนพิทักษ์ดึงชุ่มมากอด
“ข้ารู้ ไม่มีใครห่วงข้าเท่ากับเอ็งอีกแล้วชุ่ม”
“เราจะไปจากที่นี่กันรึยังเจ้าคะ”
“ข้าขอออกไปดูลาดเลาก่อนว่าพวกไอ้ไว มันมาป้วนเปี้ยนแถวนี้รึเปล่า และข้าจะไปหาเสบียงมาเพิ่มด้วย”
ขุนพิทักษ์หยิบกริชที่อยู่ในห่อผ้าขึ้นมาส่งให้ชุ่ม
“เอ็งเก็บกริชนี้ไว้ เพื่อมีอะไรจะได้เอาไว้ป้องกันตัว ข้าจะรีบไปรีบมา”
ชุ่มรับกริชมาไว้ ขุนพิทักษ์หยิบกระบอกน้ำแล้วรีบออกไป ชุ่มมองตามอย่างเป็นห่วง
ภายในกระท่อมท้ายป่า จวงถือถังน้ำสาดใส่แจ่มจนสะดุ้งฟื้น แจ่มเงยหน้ามองรำพึงด้วยแววตารังเกียจและแข็งกร้าว
“มันฟื้นแล้วเจ้าค่ะ...”
“ไงนังทาสผู้ภักดี เสียใจด้วยนะที่เอ็งต้องกลายเป็นหมาโดนทิ้งแบบนี้ นังใบ้”
แจ่มพยายามดิ้นให้หลุดจากการมัด พร้อมส่งเสียง
“ดูมันสิเจ้าคะ ไปไหนไม่ได้แล้วยังจะอวดดีอีก”
รำพึงเข้าไปลูบหัวแจ่ม แจ่มขู่ใส่
“ข้าต้องขอบใจเอ็งมากนะนังใบ้ ที่พาข้ามาถึงรังรักของนังชุ่ม ถ้านังชุ่มมันตาย เอ็งจะมาโทษข้าไม่ได้ เอ็งต้องโทษตัวเองที่เกิดมาโง่..ข้าเตือนแล้วใช่มั้ยว่าถ้าอยากมีชีวิตอยู่อย่างสงบ ก็อย่าหาเรื่องใส่ตัว”
แจ่มถุยน้ำลายใส่หน้ารำพึง จวงตาโตและพูดแบบกลัวๆ
“สงสัยจะไม่ได้แก่ตายแล้วนังน้าแจ่ม”
รำพึงปรี๊ดสะบัดหัวแจ่มออกจากมือ จนแจ่มหน้าคว่ำ
“อวดดีนัก ถ้ารักนังชุ่มมันนัก ข้าก็จะสงเคราะห์ให้ได้ตายไปพร้อมๆกัน”
รำพึงสะบัดหน้าออกไป จวงยังมองแจ่มแล้วทำท่าปาดคอแบบกลัวๆ กลืนน้ำลาย
“ไม่รอด”
แจ่มคลั่งคำรามใส่จวง จวงรีบวิ่งแจ้นตาม รำพึงออกไป ทิ้งแจ่มให้ร้องไห้และพยายามดิ้นหนี
ขุนพิทักษ์เดินมาถึงลำธารน้ำแล้วรีบใช้กระบอกวักน้ำ แต่เสียงที่ลอยมา ทำให้ขุนพิทักษ์ต้องชะงัก
“ยังไม่มีวี่แววเลย ไม่รู้ป่านนี้พวกมันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว”
ขุนพิทักษ์รีบหาทางหลบหลังต้นไม้ใหญ่
“นั่นสิ แล้วถ้าไม่เจอจะทำไงกันวะนี่”
“นี่ยังดีนะที่จับนังแจ่มใบ้ได้ ไม่งั้นพวกเราหัวขาดกันทุกคนแน่”
“แต่จะว่าไปก็สงสารนังแจ่มใบ้นะ ไม่น่าไปที่กระท่อมเลยเลยโดนหางเลขไปด้วย เอ็งว่าท่านขุนจะเชือดนังใบ้หรือเปล่าวะ”
“ไม่รู้ว่ะ ข้าว่าเรื่องนี้อยู่ที่คุณรำพึงมากกว่าไม่ใช่ท่านขุน”
ลูกน้องขุนไวเดินผ่านไป ขุนพิทักษ์มีสีหน้ากังวลด้วยความเป็นห่วงแจ่ม
ภายในถ้ำเวลาเย็น ชุ่มตกใจ
“น้าแจ่มโดนจับ”
“ข้าต้องไปช่วยแจ่ม”
ขุนพิทักษ์ลุกพรวด ชุ่มคว้ามือหมับ
“ท่านขุน”
“แจ่มช่วยข้ามาตลอด ถึงเวลาที่ข้าต้องตอบแทนบ้าง ข้าคงมีชีวิตอยู่ไม่เป็นสุข ถ้าข้าทิ้งแจ่มไว้แบบนั้น”
ชุ่มพยักหน้าจับมือขุนพิทักษ์
“เจ้าค่ะ ท่านขุนไปช่วยน้าแจ่มเถอะเจ้าค่ะ”
“รอข้าอยู่ที่นี่ อย่าไปไหน รอจนกว่าข้าจะกลับมา”
“แต่ท่านต้องสัญญาว่าท่านจะกลับมาอย่างปลอดภัย”
“ข้าต้องมีชีวิตกลับมา เพื่อเอ็ง เพื่อลูก”
ขุนพิทักษ์กอดชุ่มไว้แน่นยืนยันคำสัญญา
เวลาเย็นที่กระท่อมท้ายป่า ลูกน้องขุนไวเอาถาดอาหารมาวางตรงหน้าแจ่ม
“เอ้า ! กินซะเดี๋ยวจะตายซะก่อน”
แจ่มเกรี้ยวกราดมองด้วยความโกรธ ถีบจานอาหารกระเด็น
“วะ... นังใบ้นี่ งั้นก็ไม่ต้องกิน ฤทธิ์เยอะนัก”
ลูกน้องขุนไวเดินฉุนเฉียวออกไป แจ่มได้แต่นั่งร้องไห้
“คุณหญิงเจ้าขา ช่วยปกป้องท่านขุนกับนังชุ่มให้ปลอดภัยด้วยนะเจ้าคะ”
ลูกน้องขุนไวเดินลงมาจากเรือน คุยกับเพื่อนที่เฝ้าเวรอยู่
“เฮ้ย!ข้าฝากดูนังใบ้มันก่อน พูดไม่รู้เรื่อง เสียอารมณ์”
ลูกน้องเดินไปทางหลังเรือน ขุนพิทักษ์ยืนแอบซุ่มอยู่หลังต้นไม้ บริเวณหน้าเรือน ลูกน้องคนที่สองถูกตีคว่ำด้วยท่อนไม้ใหญ่ในมือขุนพิทักษ์ ท่านขุนรีบวิ่งขึ้นเรือนไป
ภายในเรือน แจ่มซุกหน้าแนบกับเข่า แจ่มสะดุ้งเฮือกพร้อมสู้เมื่อประตูเปิด ภาพตรงหน้าคือ ขุนพิทักษ์ แจ่มแทบไม่เชื่อสายตา แจ่มส่งเสียงด้วยความดีใจปนกลัว ขุนพิทักษ์รีบเข้าไปช่วยแก้มัด
“ไม่ต้องกลัวนะแจ่ม ข้ามาช่วยแล้ว”
แจ่มร้องไห้น้ำหูน้ำตาไหล
บริเวณหน้าเรือน ลูกน้องคนแรกเดินกลับมาเห็นลูกน้องคนที่สองล้มอยู่
“เฮ้ย...ไอ้ช่วย ใครทำเอ็งวะ ! ไอ้ช่วย”
ลูกน้องคนที่สองเริ่มรู้สึกตัว ลูกน้องคนแรกตะโกนเรียกพวกลั่น
“เฮ้ย...มีคนบุกโว้ย!”
ด้านใน ขุนพิทักษ์ได้ยินเสียงลูกน้อง ขุนพิทักษ์เร่งแกะเชือกจนหลุดหมด
“ไปแจ่ม”
จังหวะที่ขุนพิทักษ์พาแจ่มลุก ลูกน้องคนแรกเข้ามาพร้อมดาบ
“มาให้จับถึงที่ก็ดี จะได้ไม่ต้องเหนื่อยตามหา”
ลูกน้องคนแรกเข้าชาร์ท ขุนพิทักษ์สู้ 3- 4 ดอกจนขุนพิทักษ์แย่งดาบมาได้ ขุนพิทักษ์จัดการลูกน้องคนแรกจนร่วงลงไป ข้าวของล้มคว่ำกระจาย
ที่ด้านนอก ขุนพิทักษ์พาแจ่มออกมาเจอกับลูกน้องคนที่สองที่ได้สติ
“แจ่ม ไปก่อน ทางนี้ข้าจัดการเอง”
แจ่มส่ายหัวไม่ยอมไป แต่ผลักให้ขุนพิทักษ์เป็นฝ่ายไป
จังหวะนั้น ลูกน้องขุนไวคนที่สี่และห้าเข้ามาสมทบ ลูกน้องคนที่สองเข้าโจมตีขุนพิทักษ์ ลูกน้องคนอื่นเข้าช่วย ขุนพิทักษ์ถูกรุม
ภายในถ้ำ ชุ่มนั่งชะเง้อคอรอขุนพิทักษ์ ชุ่มพนมมือขึ้น
“ขอให้ท่านขุนกับน้าแจ่มปลอดภัยด้วยเถอะเจ้าค่ะ”
ทันใดนั้นชุ่มก็มีอาการปวดท้องมาก ชุ่มทรุดลงไปนั่ง
“โอ้ย...!”
ชุ่มคลานลงไปนอนบนผ้าที่ขุนพิทักษ์ปูไว้ให้
“ลูก...”
ชุ่มใช้มือหนึ่งจับท้องเหงื่อแตกพลั่ก และเริ่มร้องด้วยความเจ็บ
จวงเดินถือถาดดอกไม้เดินตรงมาที่เรือนขุนไว ลูกน้องคนที่สามวิ่งเข้ามาชนโครม ถาดดอกไม้ตกกระจาย จวงโวยวาย
“เฮ้ย...วิ่งไล่ควายมาหรือไง ชนเข้ามาได้ นี่คนนะเว้ยไม่ใช่ควาย”
ลูกน้องคนที่สามไม่สนใจจะรีบวิ่งขึ้นเรือน จวงฉุดเอาไว้และตบปากลูกน้อง ดังเพี๊ยะ!
“นี่แน่ะ ชนแล้วหนี ไม่คิดจะขอโทษสักคำ ตบให้ปากฉีกเลย”
“ตบข้าปากฉีก ข้าพูดไม่ได้ขึ้นมา เอ็งจะแย่นะโว้ย”
“เอ็งพูดอะไรของเอ็ง”
“ก็ข้าต้องบอกท่านขุนไว ว่าขุนพิทักษ์มันบุกมาที่กระท่อมท้ายป่า”
“ห๊า...จริงเหรอวะ”
“ก็เออสิวะ ตอนนี้พวกที่อยู่ที่โน่นกำลังจับมันอยู่”
“เอ็งไปได้แล้ว”
“อ้าว! จะไปได้ไง ข้ายังไม่ได้บอกท่านขุนเลย”
“ข้าจะบอกท่านขุนให้เอง เอ็งไม่ต้องห่วงหรอก เดี๋ยวข้าจะเอ่ยชื่อเอ็ง เอ็งจะได้ได้รางวัลอย่างงาม”
“จริงนะ”
“จริงสิ...ไม่ต้องห่วงหรอกน่า”
ลูกน้องหลงเชื่อจวงแล้ววิ่งกลับไปทางเดิม
“ไอ้โง่...ข้านี่เรอะจะไปบอกท่านขุนไว เรื่องท่านขุนพิทักษ์ทูนหัวของบ่าวต้องรู้เป็นคนแรกโว้ย”
จวงรีบพรวดพราดขึ้นเรือนไป
นอกกระท่อมท้ายป่า ขุนพิทักษ์ฟันสมุนขุนไวได้ แต่อีกฝั่งก็เข้าโจมตี
“แจ่ม หนีไป”
จังหวะที่ขุนพิทักษ์หันมาทางแจ่ม ลูกน้องขุนไวก็เข้าถีบขุนพิทักษ์จนกระเด็น ขุนพิทักษ์เสียหลัก ลูกน้องขุนไวได้ทีเงื้อดาบหมายจะแทง
แจ่มเห็นแล้วตะโกนสุดเสียง ก่อนที่จะพุ่งเข้าไปผลักขุนพิทักษ์ และใช้ร่างตัวเองรับดาบนั้นแทน ปลายดาบจ้วงเข้าไปที่แจ่ม แจ่มทรุดลงกับพื้น น้ำตาหยด
ขุนพิทักษ์เห็นถึงช็อก
“แจ่ม!”
แจ่มมองขุนพิทักษ์ก่อนร่างจะร่วงลงไปที่พื้น ขุนพิทักษ์เข้าไปประคองแจ่ม จังหวะนั้นเองที่ลูกน้องของขุนไวกรูเข้ามาใช้ดาบล้อมขุนพิทักษ์เอาไว้
ภายในถ้ำ ชุ่มเบ่งด้วยความเจ็บปวดทรมาน เหงื่อปนน้ำตาของชุ่ม เต็มใบหน้า ชุ่มร้องเสียงเจ็บปวดเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ชุ่มจะกรี๊ด เสียงเด็กร้องดังสนั่น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาของชุ่มยิ้มออกมาได้
ลูกน้องคนที่สองใช้เชือกมัดมือขุนพิทักษ์โยงกับขื่อเรือน เท้าของพิทักษ์ถูกมัดแน่นหนา
“รอให้ท่านขุนไวมาก่อน ท่านจะได้ตายสมกับที่รนหาที่แน่”
ลูกน้องคนที่สองเดินออกไป ลูกน้องคนที่สี่และห้าช่วยกันลากลูกน้องคนแรกที่ตายแล้วออกไปจากเรือน แต่มีดสั้นที่ตกอยู่ที่พื้น
ขุนพิทักษ์เห็นมีดพยายามตะเกียกตะกายเข้าหามีด แต่ไม่สำเร็จ ขุนพิทักษ์หอบเหนื่อยด้วยความหงุดหงิดหนัก
รำพึงกับจวงเดินมาตามทางในเวลากลางคืน
“พอไปถึง เอ็งเฝ้าที่หน้าเรือนไว้ ห้ามให้ใครเข้าไปในเรือน” รำพึงสั่ง
“รวมทั้งท่านขุนไวด้วยหรือเปล่าเจ้าคะ”
“นั่นแหละคนที่ห้ามเข้าไปเด็ดขาด เพราะข้ามีเรื่องต้องสะสางกับคุณพี่พิทักษ์”
“เจ้าค่ะ ! แต่ทูนหัวของบ่าวอย่าเข้าไปนานนะเจ้าคะ จวงยิ่งแพ้ทางท่านขุนไวอยู่ เดี๋ยวความจะแตกกันพอดี ว่าจวงแจ้นไปบอกเรื่องนี้กับคุณรำพึงก่อนท่านขุนไว”
“ข้ารู้..ข้าไม่ได้โง่เหมือนเอ็ง”
รำพึงเร่งฝีเท้าเดิน จวงเร่งตาม
รำพึงเดินเข้าไปหาพิทักษ์
“ต่อให้หนีไปสุดหล้าฟ้าเขียว ยังไงคุณพี่ก็หนีน้องไม่พ้น”
“รำพึง หยุดซะทีเถอะ จะตามจองล้างจองผลาญกันเพื่ออะไร”
“เพื่อทวงคำสัญญาที่คุณพี่เคยให้ไว้กับน้องไง คุณพี่เคยให้คำมั่น ว่าจะรักกันจนวันตาย แม้แต่ชีวิตก็ยอมพลีได้ คุณพี่เคยให้คำมั่นว่าชีวิตนี้จะมีน้องเพียงคนเดียว แต่สุดท้ายคุณพี่ก็ผิดคำสัญญากลับไปรักนังชุ่ม คุณพี่เอาหัวใจน้องไปย่ำยี”
“เพราะหัวใจของเจ้าเต็มไปด้วยไฟริษยาอาฆาต ต่อให้เจ้าเป็นนางฟ้านางสวรรค์พี่ก็รักไม่ลง”
รำพึงเจ็บจี๊ด
“ที่น้องทำทุกอย่างเพราะน้องรักคุณพี่ น้องผิดตรงไหนที่น้องพยายามจะชิงดวงใจของน้องคืนมาจากนังชุ่ม”
“ความรักคือการให้ไม่ใช่การทำลาย แต่ความรักของเจ้าทำลายทุกคน เผาผลาญทุกอย่าง รวมถึงตัวเจ้าเอง”
รำพึงร้องไห้เบือนหน้าหนี
บนเรือนลูกน้องคนที่สามที่เดินชนกับจวงบ่นกับลูกน้องอีกคน
“คุณรำพึงไปที่กระท่อมคนเดียว ก็ไหนนังจวงบอกว่าจะไปเรียนท่านขุนไว”
จังหวะนั้นขุนไวกลับมา
“มีอะไรกัน!”
“ท่านขุนขอรับ พวกเราจับขุนพิทักษ์ได้แล้วขอรับ”
“แล้วทำไมไม่รีบให้คนไปบอกข้า”
“ก็นังจวงมันบอกว่ามันจะแจ้งท่านขุนเอง กระผมก็ยังแปลกใจว่าทำไมเป็นคุณรำพึงที่ไปที่กระท่อม”
“น้องรำพึง...ทำแบบนี้หมายความว่ายังอาลัยอาวรณ์มันอยู่อีกเหรอ”
ขุนไวรีบรุดไปที่กระท่อม สมุนขุนไวตามไปติดๆ
“รำพึง...ยังไม่สายที่จะกลับไปแก้ไขทุกอย่าง” ขุนพิทักษ์บอก
รำพึงเริ่มใจอ่อน แต่...
“น้องมาไกลเกินกว่าจะถอยหลังกลับแล้ว”
“รำพึง...ทำไมเจ้าถึง”
“น้องจะให้ทางเลือกกับคุณพี่ ถ้าคุณพี่ต้องการมีชีวิตต่อไป เพียงแค่พูดออกมาว่ารักน้อง”
ขุนพิทักษ์ผิดหวังเบือนหน้าหนี รำพึงพูดต่อ
“แค่รักน้อง มันทำยากนักหรือไง โกหกก็ได้ พูดออกมาสิค่ะคุณพี่ พูดออกมา”
รำพึงเขย่าตัวขุนพิทักษ์แล้วกอดขุนพิทักษ์ทั้งน้ำตา
“พี่เลือกแล้ว ชุ่ม คือผู้หญิงเพียงคนเดียวที่พี่จะรัก”
“ไม่มีอะไรที่จะเปลี่ยนใจของคุณพี่จากนังชุ่มได้ นอกจากความตายใช่มั้ย”
รำพึงเดินไปหยิบมีดสั้นที่มุมหนึ่ง
“ถ้าการตายของพี่จะเป็นการชดใช้บาปทั้งหมดที่พี่ทำไว้กับน้อง และมันจะทำให้เรื่องทุกอย่างจบลง...พี่ก็เต็มใจตาย”
น้ำตารำพึงไหลพราก
บริเวณหน้าเรือน จวงหันไปเห็นบางอย่างก็ชะงักตาโต
ขุนไว และลูกน้องเดินตรงมาที่กระท่อม จวงรีบตะโกนบอกรำพึง
“คุณรำพึงเจ้าขา ท่านขุนไวมาแล้วเจ้าค่ะ”
ในเรือน รำพึงหันขวับ
“ฆ่าพี่ซะ เพราะถึงน้องไม่ลงมือไอ้ไวมันก็บั่นคอพี่อยู่ดี แต่นั่นหมายถึงการตายของพี่ไม่ได้เป็นการชดใช้บ่วงกรรมระหว่างเรา รำพึง มือของเจ้าจะช่วยปลดบาปให้กับพี่ ทุกอย่างมันจะได้จบสิ้นกันเสียที”
รำพึงยกมีดขึ้น ขุนพิทักษ์หลับตา รำพึงฟันฉับ มีดตวัดไปตัดเชือกขาด
“บ่วงกรรมของเรายังไม่จบสิ้น”
รำพึงเอามีดยัดใส่มือขุนพิทักษ์ที่มองอย่างงงๆ
จวงออกจากที่ซ่อนมาที่หน้ากระท่อม ขุนไวพุ่งเข้ามาถึงพอดี
“ท่านขุนเจ้าขา!”
ขุนไวยังไม่ทันได้พูดอะไร เสียงรำพึงในกระท่อมร้องกรี๊ด ประตูกระท่อมเปิดออกมา
“ช่วยด้วย ช่วยข้าด้วย”
รำพึงจับมือขุนพิทักษ์ให้เอามีดจี้ตนเอง ขุนพิทักษ์พยายามยื้อ แต่รำพึงไม่ยอมปล่อย
“ไอ้พิทักษ์!”
“คุณพี่ถอยไปค่ะ ไม่งั้นมันฆ่าน้องแน่”
ขุนไวกระชับดาบ
“ปล่อยน้องรำพึงเดี๋ยวนี้!”
“รำพึง...”
รำพึงกัดฟันพูดในคอกับขุนพิทักษ์
“ถ้าคุณพี่ไม่ทำแบบนี้ ก็ต้องตายที่นี่...เลือกเอา”
รำพึงหันไปพูดกับขุนไว
“บอกให้คนของคุณพี่ถอยไปเถอะนะคะ หรืออยากเห็นน้องตายตรงนี้”
ขุนไวกัดกรามแน่น
ชุ่มอุ้มลูกขึ้นมาตรงหน้า ชุ่มค่อยๆบรรจงจูบลูกเบาๆ
“ลูกแม่…”
ชุ่มน้ำตาคลอที่เห็นเลือดในอกของตัวเอง
“พ่อกลับมา พ่อจะต้องดีใจที่ได้เห็นหน้าลูก”
เด็กน้อยร้องเหมือนรับรู้
“พ่อกำลังกลับมาหาลูกนะจ๊ะ คนดีของแม่”
ชุ่มอุ้มลูกไว้กับอกด้วยความรู้สึกสุดรัก
ในป่า รำพึงลากขุนพิทักษ์มาได้สักระยะ ขุนพิทักษ์ก็ผลักรำพึงออก
“ทำไมต้องทำแบบนี้”
“เพราะชีวิตคุณพี่เป็นของน้อง คุณพี่จะตายได้ก็ต่อเมื่อน้องสั่งให้ตายเท่านั้น นับจากนี้ความรักของน้องจะกลายเป็นความเกลียดชัง และไม่มีวันที่น้องจะให้อภัยทุกคนที่มันทำกับน้อง”
ขุนพิทักษ์มองรำพึงอย่างสายเกินแก้ ก่อนที่จะหันหลังเดินจากไป
“หนี้ชีวิตของคุณพี่ครั้งนี้ นังชุ่มต้องเป็นคนชดใช้”
บ่วงบาป ตอนที่ 12 (ต่อ)
เสียงจวงดังมาแต่ไกล
“ทูนหัวของบ่าวเจ้าขา เป็นอะไรรึเปล่าเจ้าคะ โธ่ๆๆ”
จวงดิ่งมาประคองรำพึง ขุนไววิ่งมาสมทบ
“ทำไมถึงมาที่กระท่อมคนเดียว ทำไมถึงไม่รอพี่ให้มาพร้อมกัน”
รำพึงร้องไห้ และรีบแก้ตัว
“ความแค้นมันสุมอยู่ในอก น้องรอเวลาอีกต่อไปไม่ไหว”
ขุนไวสวมกอด ทั้งสงสารรำพึง ทั้งแค้นขุนพิทักษ์
“พี่ก็รอเวลาที่จะแก้แค้นไอ้พิทักษ์อีกต่อไป ไม่ไหวแล้วเหมือนกัน”
รำพึงโล่งใจที่ขุนไวเชื่อ แต่แววตายังคลั่งแค้นคิดถึงชุ่ม
ขุนพิทักษ์วิ่งมาถึงเกือบปากถ้ำ เสียงเด็กร้องดังออกมา
“ลูกพ่อ...”
ขุนพิทักษ์จะวิ่งเข้าไปแต่ถูกลูกน้องขุนไวดักไว้
ลูกน้องได้ยินเสียงเด็กร้อง
“ท่านขุนไวสั่งให้มาฆ่าขุนพิทักษ์และนังชุ่ม แต่ดูท่าแล้วจะได้ฆ่ามากกว่านั้น”
“ถ้าจะทำร้ายลูกเมียข้า ก็ข้ามศพข้าไปก่อน”
ลูกน้องสองคนเข้ารุมขุนพิทักษ์ แต่ขุนพิทักษ์ฝีมือเหนือกว่า ปลดดาบในมือลูกน้องได้
ด้านในถ้ำ ชุ่มได้ยินเสียงต่อสู้
“ท่านขุน”
ชุ่มหยิบกริชมากำไว้แน่น ก่อนที่จะลุกออกไป
ที่ด้านนอก ขุนพิทักษ์ฟันหลังลูกน้องคนหนึ่งและกลับไปแทงลูกน้องคนที่สอง แต่จังหวะนั้น ขุนไวฟันดาบผ่านหน้า ขุนพิทักษ์โยกหลบ ขุนไวเข้ามาพร้อมกับลูกน้องคนที่สามและสี่
“ไอ้ไว!”
“คราวนี้ต่อให้มีปีก เอ็งก็หนีไม่รอด”
ทันใดนั้น ชุ่มอุ้มลูกออกมาจากในถ้ำ ขุนพิทักษ์เห็นชุ่ม
“ท่านขุน”
ขุนพิทักษ์ตะโกน
“ชุ่มพาลูกหนีไป! เร็ว”
ขุนพิทักษ์เข้าโจมตีขุนไว ชุ่มรีบพาลูกวิ่งหนี ไปอีกทางหนึ่ง
“ตามไปจับตัวมาให้ได้”
ลูกน้องสองคนแรกตามชุ่มไป ขุนพิทักษ์พยายามยื้อสุดชีวิต แต่ขุนไวกับลูกน้องอีกสองคนกันไว้
ขุนพิทักษ์ต่อสู้กับขุนไวและลูกน้องอย่างบ้าคลั่ง ถวายชีวิต
ชุ่มอุ้มลูกหนีมาถึงริมน้ำ แต่ถูกพวกสมุนขุนไวดักไว้
“จะไปไหน”
ชุ่มตาวาวดั่งแม่เสือ ชุ่มกระชับกริช ยกขึ้นมา ชุ่มกวัดแกว่งกริชป้องกันตัว
“ถอยไปนะ ถอยไป”
รำพึงก้าวเข้ามา
“เป็นหมาจนตรอกแล้วยังจะอวดดี อ้อ...แถมยังเป็นหมาแม่ลูกอ่อนซะด้วย ...จับมัน แล้วเอาเด็กมาให้ข้า”
ลูกน้องเข้าจับตัว ชุ่มใช้กริชป้องกันตัว แต่ชุ่มต้องพะวงกับลูกทำให้ไม่ถนัด ลูกน้องเข้าประชิดอย่างรวดเร็ว จังหวะที่ยื้อแย่งกัน กริชพลาดโดนแขนของเด็ก เสียงเด็กร้องลั่น ชุ่มตกใจทิ้งกริช
“ลูกแม่”
ชุ่มจะพุ่งเข้าไปหาลูก แต่ถูกลูกน้องจับแขนดึงไว้แล้วกดลงลูกน้องส่งเด็กให้รำพึง รำพึงรับไปอุ้ม
“รู้สึกยังไงล่ะ เวลาที่โดนคนอื่นแย่งหัวใจของเอ็งไป มันทรมานมั้ย รู้รึยังว่าข้าเจ็บปวดขนาดไหน”
“คุณรำพึง ข้าขอร้อง อย่าทำอะไรลูกข้าเลย ได้โปรดเถอะเจ้าค่ะ”
“เอ็งขอร้องข้างั้นเหรอ แล้วเวลาที่ข้าขอเอ็งให้เลิกยุ่งกับคุณพี่พิทักษ์ ทำไมเอ็งไม่ให้ข้า!”
เสียงเด็กร้องระงม ปนกับเสียงชุ่ม
“ข้ากราบล่ะเจ้าค่ะ ปล่อยลูกข้าเถอะ เอาชีวิตข้าไป เอาไปเลย”
รำพึงยิ้มเหี้ยม
“ถ้าเอ็งอยากแลกข้าก็จะให้แลก ฆ่าตัวตายต่อหน้าข้า แล้วข้าจะไว้ชีวิตลูกเอ็ง!”
ชุ่มอึ้งไป
“ทำได้มั้ยล่ะ หยิบกริชขึ้นมา ปลิดชีวิตตัวเองแลกกับลมหายใจของลูกเอ็ง”
เสียงเด็กน้อยยังร้องไม่หยุด ลูกน้องขุนไวปล่อยชุ่ม ชุ่มค่อยๆหยิบกริชขึ้นมา รำพึงยิ้มเหี้ยมตวัดสายตามองชุ่ม เสียงฟ้าคำรามดังก้อง
ท้องฟ้ามืดดำ มีสายฟ้าแลบและเสียงฟ้าคำราม ขุนพิทักษ์ฟันลูกน้องขุนไว ขุนไวเข้าถีบที่กลางอก ขุนพิทักษ์กระเด็นไป ดาบขุนพิทักษ์หลุดจากมือ ขุนไวเข้าเตะซ้ำที่ยอดหน้าขุนพิทักษ์ และแทงขุนพิทักษ์เข้าที่ท้อง ก่อนที่จะชักดาบออกมา ฟั่บ! ขุนพิทักษ์ทรุดลงไปที่พื้น
“จับมันขึ้นมา”
ลูกน้องเข้าไปจับขุนพิทักษ์ให้ลุกขึ้น ขุนพิทักษ์ลมหายใจรวยริน
“จบสิ้นกันสักที!”
“ข้าไม่เคยกลัวตาย อยากฆ่าก็ฆ่า!”
ขุนไวหันขวับ
บริเวณป่าริมน้ำ ชุ่มยกกริชขึ้นมา ชุ่มมองหน้าลูก รำพึงอุ้มเด็กจ้องอยู่ ชุ่มตัดสินใจใช้กริชแทงเข้าไปที่ท้องตัวเอง ชุ่มสำลักเฮือก ตัวกระตุกขึ้น เสียงรำพึงหัวเราะสะใจ
ขุนไวใช้ดาบฟันลงที่กลางอกของขุนพิทักษ์จนล้มคว่ำลง ชุ่มดึงดาบออกจากท้อง ชุ่มล้มไปกองกับพื้น ภาพตรงหน้าเริ่มพร่ามัว
“ปล่อยลูกข้า!”
รำพึงยิ้มเยาะ
“นังหน้าโง่...คิดเหรอว่าข้าจะปล่อยให้ไอ้เด็กนี่อยู่เป็นเสี้ยนหนามตำใจ ข้า ข้าจะส่งมันไปอยู่กับเอ็งในนรก ทุกชีวิตต้องชดใช้สิ่งที่ทำไว้กับข้า”
รำพึงเดินไปที่ริมน้ำ
ชุ่มช็อก
“ไม่...อย่า...อย่า”
ชุ่มพยายามตะเกียกตะกายไปหาลูก... รำพึงค่อยยกเด็กขึ้นมาจะโยนลงน้ำ เสียงลูกร้องดัง ชุ่มร้องสุดเสียง
“ลูก...ลูกแม่!”
เสียงฟ้าคำรามลั่น ชุ่มสติขาดไปกับภาพตรงหน้า
สายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมา รำพึงชะงัก เด็กหยุดร้องไห้ รำพึงค่อยๆมองหน้าเด็ก เห็นเด็กมองหน้ารำพึงตาแป๋ว ภาพขุนพิทักษ์ซ้อนหน้ากับเด็กน้อย
รำพึงคิดถึงภาพที่ขุนพิทักษ์หอมรำพึงซึ่งป้อนขนมกับภาพที่ขุนพิทักษ์ให้กอดตนหลบขุนไวรำพึงใจอ่อนยวบลงทันที
“คุณพี่”
รำพึงตัดสินใจอุ้มเด็กมากอดซบที่อกตนเอง
ในป่า ขุนพิทักษ์หายใจรวยริน ค่อยๆยกมือขึ้นพนม
“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูกกับเมียของข้าด้วย ข้าขอเอาชีวิตของข้าแลกชีวิตพวกเขา…”
จบคำสายฟ้าวิ่งผ่านบนฟ้า แสงแวบขาวสาดเข้าตาขุนพิทักษ์แล้วดับวูบลง
ขุนไวยิ้มอย่างผู้ชนะ ก่อนเดินจากไปทิ้งขุนพิทักษ์ให้นอนจมกองเลือดอยู่ตรงนั้น
ที่กลางป่า รำพึงอุ้มเด็กน้อยเดินกลับมา ขุนไวพาลูกน้องเดินเข้ามาสมทบ
“พี่ส่งไอ้พิทักษ์มันลงนรกไปแล้ว!”
รำพึงนิ่งอึ้ง ใจหายวูบ
“เอาไอ้เด็กนี้มาทำไม ทำไมไม่ปล่อยให้มันตายไปพร้อมกัน”
“น้องจะเลี้ยงเด็กคนนี้”
“ว่าไงนะ พี่หวังว่าที่น้องทำแบบนี้คงไม่ใช่เพราะน้องยังรักไอ้พิทักษ์อยู่หรอกนะ”
รำพึงปิดบังความจริง
“เด็กคนนี้ต้องอยู่เพื่อชดใช้สิ่งที่พ่อแม่มันทำ”
“แต่ว่า...”
“เด็กนี้เป็นสิทธิ์ของน้อง ห้ามใครแตะต้อง”
รำพึงพูดจบก็เดินออกไปเลย ขุนไวไม่พอใจ
“ไอ้พิทักษ์ เอ็งตายไปแล้วยังทิ้งมารหัวใจไว้เป็นหนามยอกอกข้าอีก”
ในเวลากลางคืน แสงไฟจากหัวเรือลำหนึ่งลอยผ่านตามลำแม่น้ำ ขุนเกิดหนุ่มรูปงาม นั่งอยู่ที่หัวเรือ
“ข้าได้ตัวยาที่สำคัญแล้ว กลับไปครั้งนี้คงได้ปรุงยาดีๆเก็บไว้”
มุมหนึ่งที่ริมฝั่ง มีแสงวิบวับๆ สะท้อนมาถึงเรือ ขุนเกิดเห็นเลยสั่งคนเรือให้เข้าไปดู
“ตรงนั้นมีแสงอะไร ลองบ่ายหัวเรือเข้าไปดูสิ”
“แต่พายุจะมาแล้วนะขอรับ ท่านขุน”
“ข้าสั่งให้เข้าไปดู เผื่อว่ามีใครต้องการความช่วยเหลือ”
“ขอรับ”
คนเรือบ่ายหัวเรือไปที่ฝั่ง
บริเวณป่าริมน้ำ ร่างของชุ่ม นอนจมกองเลือดอยู่ ขุนเกิดเข้ามากับคนเรือ
“ท่านขุนขอรับ นั่น...”
ขุนเกิดตรงไปยังร่างชุ่มแล้วจับประคองพลิกหน้าชุ่มขึ้นมา ใบหน้าของชุ่มเต็มไปด้วยน้ำตา ขุนเกิดสงสารจับใจตั้งแต่แรกเห็น
“ตายหรือยังขอรับ”
ขุนเกิดใช้นิ้วอังที่จมูกชุ่ม
“ยังมีลมหายใจ”
ขุนเกิดจับชีพจรต่อ คนเรือหยิบกริชขึ้นมาดู
“แสงที่เห็นคงเป็นแสงที่กริชนี่ สะท้อนกับฟ้า โชคดีจริงๆเลยแม่คุณ ไม่งั้นตาย เป็นผีเฝ้าป่าแน่”
ชุ่มตัวสั่นหายใจแรง ขุนเกิดอุ้มตรงไปที่เรือ
“อ้าว! ท่านขุน”
คนเรือหยิบเอากริชขึ้นมาแล้ววิ่งตามขุนเกิดไป
แสงวาบส่งร่างขุนพิทักษ์มาที่ยมโลก ในนรก... เต็มไปด้วยการชดใช้กรรมของมนุษย์ นายนิรยบาลตัวใหญ่ดำทะมึนคุมการลงทัณฑ์ เสียงโหยหวนของคนที่ถูกทรมานจากการชดใช้กรรม ดังไม่เป็นสรรพ พิทักษ์เห็นแล้วช็อก พึมพำกับตัวเอง
“ที่นี่ที่ไหน”
ท้องฟ้าเปิดแหวกออก เป็นแสงส่องมาที่ขุนพิทักษ์ เสียงพญายมดังขึ้น
“ทุกสรรพสัตว์ที่เคยสร้างบาปจะต้องชดใช้กรรมที่ตนเองก่อขึ้นในนรกภูมินี้ทั้งสิ้น”
“นรก”
ทันใดนั้น ไฟนรกปะทุขึ้น นายนิรยบาล 2 ตน เข้ามากระชากตัวขุนพิทักษ์ไป
“ปล่อยข้าๆ”
ขุนพิทักษ์ถูกลากผ่านเห็นคนปีนต้นงิ้ว และนายนิรยบาลใช้หอกทิ่ม แทง บนพื้นมีแต่ไฟลุกไหม้ทั่วไปหมด
ขุนพิทักษ์ถูกลากมาถึงบ่อกระทะทองแดง คนที่อยู่ในบ่อพยายามตะเกียกตะกายหนี แต่ภาพที่ขุนพิทักษ์เห็นแล้วช็อกหนัก คือภาพของพระยาสุรเดชไมตรีที่ทนทุกข์ทรมานอยู่ในบ่อกระทะทองแดง
“เจ้าคุณพ่อ”
ขุนพิทักษ์ พยายามสะบัดออกจากการคุมตัวของนายนิรยบาลแต่ไม่หลุด ขุนพิทักษ์ดิ้นสุดแรง
“ปล่อยพ่อข้า ปล่อยพ่อข้า”
พระยาสุรเดชไมตรีมีความเจ็บปวด
“มันเป็นบาปที่พ่อต้องชดใช้”
บาปของพระยาสุรเดชไมตรีคือ การสั่งขังคนบริสุทธิ์เพื่อปกป้องขุนพิทักษ์ที่โกงส่วยแผ่นดิน
“ไม่...มันเป็นบาปของข้า เจ้าคุณพ่อไม่ผิด!”
“บาปของลูกที่พ่อร่วมทำ พ่อก็ต้องชดใช้บาปนั้น”
นายนิรยบาลแทงพรวดไปที่ร่างขุนพระยาสุรเดชไมตรี
“อ๊าก!”
ขุนพิทักษ์ดิ้นรนจะไปหาพ่อ
“ลูกขอโทษ เพราะลูก เพราะลูกคนเดียว ลูกขอโทษ!”
“ต่อให้พ่อต้องตกนรกขุมที่ลึกที่สุด พ่อก็พร้อมที่จะรับกรรมแทนลูก”
พระยาสุรเดชพูดจบก็ถูกลากลงไปในน้ำทองแดง ขุนพิทักษ์เรียกพระยาสุรเดชสุดเสียง
“เจ้าคุณพ่อ...เจ้าคุณพ่อ...”
ขุนพิทักษ์สะบัดหลุดและวิ่งเข้าไปหาพ่อ
แต่ทันใดนั้นมีแสงวาบใหญ่สาดลงมา ขุนพิทักษ์ถูกกระแทกกลับไปที่เดิม ทุกอย่างตรงหน้าหายไปเหลือเพียงความว่างเปล่า และไฟที่ล้อมรอบตัวเขาอยู่ พิทักษ์พยายามหรี่ตามองแสงขาว แต่ถูกผลักให้ลงนั่ง แสงสีขาวจ้าปรากฏขึ้นตรงหน้า
ขุนพิทักษ์น้ำตาไหล
“ปล่อยพ่อข้าเถอะ ข้าจะชดใช้ทุกอย่างแทนพ่อข้าเอง”
เสียงพญายมดังขึ้น
“กรรมของใครเป็นของคนนั้น พ่อเจ้าต้องชดใช้บาป ก่อนที่จะเสวยบุญที่เขาสั่งสมมา ส่วนเจ้า...ยังต้องกลับเผชิญชะตากรรมเพื่อเรียนรู้ ผิดชอบชั่วดีอีกมากบนโลกมนุษย์”
“แต่ข้าตายแล้วไม่ใช่เหรอ”
“ชะตาของเจ้ายังไม่ถึงฆาต สัตย์สาบานที่เจ้าให้ไว้กับพ่อเจ้า ดึงเจ้าให้ลงมาเห็นบ่วงกรรมในนรกภูมิ”
ขุนพิทักษ์เคยสาบานกับพ่อว่าจะเป็นคนดี
เสียงพญายมยังคงก้องต่อไป
“ทุกบาปกรรมรอการชดใช้ จงเลือกทำแต่สิ่งที่ดีงาม!”
แสงกระตุกวูบ จ้าสว่างเข้าตา ขุนพิทักษ์กระเด็นไปสุดแรง
วันใหม่ ภายในกระท่อมเกลียว ร่างขุนพิทักษ์กระตุกเฮือก ตื่นขึ้น ภาพตรงหน้าไม่ชัดเจนเห็นภาพหน้าของผู้หญิงคนหนึ่ง ชัด เบลอระคนกันยู่
“พ่อ เขารู้สึกตัวแล้ว”
ขุนพิทักษ์พยายามยื่นมือไป เพราะคิดว่าเป็นชุ่ม เกลียวคว้ามือขุนพิทักษ์ไว้
“ท่านปลอดภัยแล้วนะ”
“ชุ่ม”
เกลียวมีสีหน้าแปลกใจ สิ้นคำขุนพิทักษ์ก็สลบเหมือดไป
เกลียวเขย่าตัวขุนพิทักษ์
“ท่านๆ ท่าน”
เกลียวเอาหูแนบฟังที่หัวใจของขุนพิทักษ์ พ่อของเกลียวเดินเข้ามาเห็น
“ให้มันน้อยๆหน่อย เขาเป็นคนแปลกหน้าไม่รู้จักหัวนอนปลายเท้า ถ้าเอ็งไม่ขอ ข้าก็ไม่ช่วยมันกลับมาจากป่านั้นหรอก”
“ช่วยคนได้บุญนะพ่อ แล้วอีกอย่างข้าว่ายังไงชายคนนี้ก็ดีกว่าตาแก่ตัณหากลับอย่างพระยาสุรินนั่นตั้งเยอะ ข้าไม่มีวันยอมไปเป็นเมียทาสของมันเด็ดขาด”
พ่อเกลียวสีหน้าหนักใจ เกลียวดูแลขุนพิทักษ์อย่างเต็มใจ
เวลากลางวัน ที่เรือน พระยาสุรินหันขวับมา
“ข้าอยากได้อะไรต้องได้ เอ็งหาทางพาตัวนังเกลียวมาให้ข้าให้ได้ ไม่ว่าวิธีไหน ข้าไม่สน!”
“ขอรับท่านเจ้าคุณ”
“เล่นตัวไปเถอะนังเกลียว ยังไงข้าต้องเอาเอ็งมาทำเมียให้ได้”
พระยาสุรินมีแววตัณหาจับ
บริเวณเรือนขุนไว อัฐนอนอยู่บนเตียง จวงคอยดูแลอยู่ที่พื้น รำพึงนั่งมองอัฐอยู่ในระยะใกล้
รำพึงพูดกับเด็กน้อย
“ข้าจะตั้งชื่อเจ้าว่าอัฐนะ...ตาอัฐ”
จวงคันปาก
“จวงไม่เข้าใจจริงๆเจ้าค่ะว่าทำไมทูนหัวของบ่าวถึงเอาเด็กคนนี้มาเลี้ยง เอามาอยู่ใกล้ให้ตำหูตำตาทำไม”
“ในเมื่อพ่อมันไม่รักข้า ลูกมันจะต้องรักและบูชาข้ายิ่งกว่าแม่บังเกิดเกล้าของมัน ข้าจะสั่งให้มันไปตายที่ไหนมันก็ต้องไป”
“คงไม่ใช่เพราะเก็บไว้เป็นตัวแทนท่านขุนพิทักษ์หรอกนะเจ้าคะ”
รำพึงนิ่งไม่ตอบ
จวงนึกได้
“แล้วถ้าลูกอิจฉาตามมาเกิดล่ะเจ้าคะ คุณรำพึงไม่กลัวมีปัญหาเหรอเจ้าคะ ไหนจะท่านขุนไวอีก ต้องกลายเป็นพ่อเด็กคนนี้แบบจำใจ”
รำพึงอยู่ๆก็มีอาการคลื่นไส้อาเจียน จนต้องลุกขึ้นไปอาเจียน
“อุ๊ย...พูดไม่ทันขาดคำ ลูกท่านขุนไวมาแล้วแน่ๆใช่ไหมเจ้าคะ”
จวงตามไปลูบหลัง รำพึงนิ่งคิด
หมอไสย์เข้าปล้ำ รำพึงร้องกรี๊ด ขุนไวเข้ากอดแต่รำพึงผลักออก
“หมู่นี้น้องเป็นอะไรไป ไม่ให้โอกาสพี่ได้ชื่นใจเลยสักคืน”
รำพึงตาวาว กำหมัดแน่น
“อย่าเพิ่งให้เรื่องนี้รู้ไปถึงหูคุณพี่”
“แบบนี้แปลว่า...ไม่แน่”
จวงชักเสียว แต่รำพึงคิดหนัก
ในเวลากลางวัน ขุนเกิดนั่งบดยาอยู่ ที่ด้านหลัง บ่าวผู้หญิงวางถาดยาแล้วห่มผ้าให้ชุ่ม
“ทายาเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะท่านขุน”
“ยาที่ข้าบดให้ใหม่นี้ เอ็งคอยพอกที่แผลทุกเช้าเย็น เดี๋ยวข้าจะไปปรุงยาบำรุงให้หญิงผู้นี้ เอ็งให้คนเตรียมสมุนไพรให้ข้าด้วย”
“เจ้าค่ะท่านขุน”
บ่าวเดินออกไป ขุนเกิดเดินเข้าไปดูชุ่มที่หลับอยู่ที่เตียง ใบหน้าชุ่มช่างละมุนละไม
“เจ้าเป็นใครกัน ทำไมผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างเจ้าถึงมีบาดแผลฉกรรจ์อย่างนี้”
ขุนเกิดใช้มือปัดไรผมที่ตกมาปรกหน้าชุ่ม เป็นจังหวะที่ชุ่มลืมตาฟื้นขึ้นมา ตาสองตาประสานกัน ชุ่มตกใจลืมตัว ลุกขึ้น แต่ชุ่มเจ็บ ขุนเกิดจะเข้าไปประคอง
“อย่านะ..อย่าทำอะไรข้า”
“ไม่ต้องกลัว ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก ข้าเป็นหมอ ข้าพบเจ้าที่ชายป่าริมน้ำ บอกข้าได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”
ชุ่มพยายามจะนึกภาพ ในมโนสำนึกชุ่มได้ยินแต่เสียงเด็กร้อง และเสียงหัวเราะ จนชุ่มต้องกุมหัวตัวเอง
“โอ้ย...ไม่รู้ ข้าไม่รู้”
ขุนเกิดเห็นอาการตื่นกลัวของชุ่มก็รู้สึกสังหรณ์ใจ
“เจ้าชื่ออะไร เจ้าจำได้มั้ย”
“ชื่อ...ชื่อ ข้าชื่ออะไร”
สีหน้าชุ่มเต็มไปด้วยแววตาตื่นกลัว
“จำไม่ได้ ข้าจำอะไรไม่ได้เลย”
ขุนเกิดพยายามปลอบ
“ไม่เป็นไร แล้วก็ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น อยู่ที่นี่ไม่มีใครทำร้ายเจ้าได้”
“ข้าอยู่ที่นี่ได้เหรอ”
“เจ้าอยากอยู่นานแค่ไหนก็ได้ ส่วนเรื่องชื่อ ข้าจะตั้งชื่อให้เจ้าใหม่”
ขุนเกิดคิดๆ แล้วบอก
“นวล...จะได้สมกับหน้าตาผิวพรรณของเจ้า”
“นวล”
ชุ่มมองหน้า ขุนเกิดยิ้มให้ชุ่มอย่างอบอุ่น ชุ่มค่อยคลายความกังวลลงบ้าง
เวลากลางคืน ขุนไวเปิดประตูห้องนอนเข้ามา รำพึงเข้ามากอด
“คุณพี่หายไปไหนเสียนานคะ น้องคิดถึงคุณพี่เหลือเกิน”
“พี่ก็ไปให้ไกลจากเสียงไอ้เด็กนั่น พี่เกลียดหน้ามัน เห็นแล้วก็นึกถึงพ่อของมัน”
“ถ้าคุณพี่ไม่อยากให้น้องรักเด็กนั่น คุณพี่ก็รีบมีลูกของเราสิคะ น้องจะได้ไม่รัก ไม่หลงใครไปมากกว่าลูกของเรา”
รำพึงพูดจบก็พรมจูบที่แก้มขุนไว
“พี่รอคอยคำนี้ของน้องมานาน”
ขุนไวก้มลงไซร้ซอกคอรำพึง รำพึงหน้าเปลี่ยนจากยิ้มเป็นนิ่งสนิท
หนึ่งเดือนผ่านไป … ภายในห้องนอนรำพึง หมอกำลังตรวจรำพึงอยู่
“ท่านขุนจะได้เป็นพ่อคนแล้วขอรับ”
ขุนไวดีใจ
“จริงเหรอท่านหมอ”
หมอพยักหน้า
“ลูกของเรา ลูกของพี่กับน้องรำพึง”
ขุนไวเข้าไปกอดรำพึงที่ยิ้มรับ
“คุณพี่ไปส่งท่านหมอก่อนเถอะค่ะ”
“พี่จะรีบกลับมาชื่นใจ รับขวัญลูกของเรานะ”
ขุนไวพาหมออกไป จวงรีบไปปิดประตู แล้วหันมายกนิ้วให้รำพึง
“ทูนหัวของบ่าวนี่เป็นจอมวางแผนจริงๆเจ้าค่ะ เอาลูกคนอื่นมาเป็นลูกท่านขุนไวได้อย่างแนบเนียน”
“หุบปากให้สนิทนะนังจวง ถ้าอยากอยู่กับข้าไปจนตาย ก็อย่าให้เรื่องนี้แพร่งพรายเด็ดขาด จำไว้”
“เจ้าค่ะ จวงจะหุบปากให้สนิท” จวงหุบปากมับ แล้วพูดต่อ
“ต่อให้เอาไม้พายมางัดปาก จวงก็ไม่พูดเจ้าค่ะ”
รำพึงลูบท้องและก็กำหมัดแน่น ที่ต้องผ่านเรื่องราวแต่ละเรื่อง
ที่เรือนของเกลียว ขุนพิทักษ์นั่งกินข้าว มีเกลียวนั่งมองอยู่ตาแป๋วอยู่
“อาการพี่ดีขึ้นมากแล้ว ถ้าหายดีแล้ว พี่จะไปไหนต่อเหรอจ๊ะ”
“ข้าต้องออกตามหาเมียกับลูกของข้า”
เกลียวชะงัก
“ข้าต้องตามหาพวกเขาให้เจอ”
เกลียวหลุดปาก
“ไม่ไปไม่ได้เหรอ”
ขุนพิทักษ์ชะงัก
“เอ่อ คือ...ไม่อยากให้พี่ไปตกอยู่ในอันตรายแบบนั้นอีก”
ขุนพิทักษ์อ่านเกลียวออก
“ข้ารู้ว่าเจ้ารู้สึกยังไงกับข้า ข้าขอบใจในน้ำใจของเจ้า แต่เราคงเป็นได้แค่เพียงพี่น้อง”
เกลียวอายเกินกว่าที่จะอยู่ตรงนั้น เกลียววิ่งออกไป ขุนพิทักษ์มองตามเกลียวอย่างไม่รู้จะทำยังไง
ที่หน้าเรือน เกลียววิ่งร้องไห้ออกมาบ่นกับตัวเอง
“นังเกลียว นังคนไม่มียางอาย รักคนมีเจ้าของแล้ว มันก็ต้องเจ็บแบบนี้”
พ่อเกลียวเดินมาเห็นลูกสาวร้องไห้พอดี
“นังเกลียวเอ้ย...บุญวาสนาไม่ได้ทำร่วมกันมา ทำใจเถอะวะ”
เกลียวหันไปกอดพ่อร้องไห้
จังหวะนั้นลูกน้องพระยาสุริน บุกเข้ามา
“ตาเกลี้ยง...ได้เวลาจ่ายดอกท่านพระยาสุรินแล้ว งวดนี้ รวมเบ็ดเสร็จก็ 10 ชั่ง”
“ไอ้ขี้โกง วันพระที่แล้วดอกข้ายังไม่ถึงชั่ง ทำไมวันนี้อยู่ๆขึ้นเป็น 10 ชั่งได้วะ”
“ก็โทษฐานที่มีลูกสาวสวยแต่ไม่ยอมไปขัดดอกไงวะ งวดนี้ถ้าไม่มีจ่าย คงต้องเอานังเกลียวไปจ่ายให้ท่านพระยาสุรินแทน ใช่มั้ยวะ”
ลูกน้องพากันหัวเราะ
“พ่อไม่ต้องจ่ายมัน คนชั่วอย่างพวกเอ็ง มันก็ทำได้แต่รังแกคนไม่มีทางสู้”
“พูดดีๆด้วยไม่ชอบ สงสัยชอบโดนฉุด เฮ้ย จัดการมัน”
สมุนตรงเข้าฉุดเกลียว พ่อเกลียวเข้ามาช่วยลูกแต่ถูกลูกน้องผลักกระเด็นไป เกลียวสู้สุดชีวิต
“ปล่อยข้า ไอ้พวกบ้า”
ขุนพิทะกษ์เข้าถูกกระชากไหล่ลูกน้องออกมาจากเกลียว และต่อยจนคว่ำลงไป และถีบลูกน้องอีกคนไปกองกับพื้น เกลียววิ่งไปหลบหลังขุนพิทักษ์ พ่อเกลียวไปรวมตัว
“อย่าแส่ ไม่ใช่กงการของเอ็ง”
“คนที่นี่จะไม่ไปไหนกับพวกเอ็งทั้งนั้น”
เกลียวมองขุนพิทักษ์อย่างซาบซึ้งที่ปกป้องตน ลูกน้องคว้ามีดพร้าแถวนั้นขึ้นมาเป็นอาวุธ
“ระวังนะพี่”
ลูกน้องเข้ามาสู้ ขุนพิทักษ์จัดการจนพร้ากลับมาอยู่ในมือ ขุนพิทักษ์ใช้พร้าชี้หน้าลูกน้อง
“อย่ามายุ่งกับพวกเขาอีก ไม่งั้นพร้านี้ได้เปื้อนเลือดพวกเอ็งแน่”
ขุนพิทักษ์ขว้างพร้าไปปักฉึ่ก! อยู่ที่พื้นข้างตัวลูกน้อง เหล่าลูกน้องหลบพัลวันก่อนวิ่งหางจุกตูดกลับไป พ่อเกลียวกุมขมับ
“ตายๆๆ พระยาสุรินไม่เอาเราไว้แน่”
“แต่ถ้าต้องให้ข้าไปเป็นเมียมัน ข้าก็ยอมตายเหมือนกัน”
ขุนพิทักษ์มองเกลียวอย่างสงสาร
ขุนเกิดกำลังคัดสมุนไพรแห้ง นวลเดินมาด้อมๆมอง ขุนเกิดเห็นก็ยิ้มให้
“แม่นวล อยากดูก็เข้ามาสิ”
นวลค่อยๆเดินเข้าไปอย่างสนใจ
“ท่านขุนเก่งจังนะคะ รู้จักยาสมุนไพรตั้งมากมาย”
“ข้าเป็นหมอ ข้าก็ต้องรู้เยอะเพื่อเอาไว้รักษาคน เหมือนที่รักษาเจ้ายังไง”
ขุนเกิดมองหน้านวลแล้วยิ้มอย่างแอบรัก ก่อนถามขึ้น
“แผลดีขึ้นมากแล้วใช่มั้ย”
“ดีขึ้นมากแล้วจ๊ะ ข้าว่าถ้าข้าหายแล้ว ข้าคงไม่อยู่รบกวนท่านแล้ว”
ขุนเกิดที่คัดเลือกสมุนไพรอยู่ ชะงักไปทันทีก่อนหันมามองชุ่ม
“เจ้ารู้แล้วเหรอว่าจะไปไหน”
นวลก้มหน้าแล้วส่ายหน้า
“แล้วจะไปทำไม ข้าเคยบอกเจ้าแล้วว่าเจ้าจะอยู่ที่นี่ นานแค่ไหนก็ได้”
“แต่ข้าเกรงใจท่าน คนอื่นจะติฉินนินทาท่านได้”
“ข้าไม่สนใจคำนินทาของคนอื่น มากไปกว่าความห่วงใยที่ข้ามีให้เจ้า ข้าจะไม่รั้งเจ้าเลย ถ้าเจ้ามีที่ไป มีที่ปลอดภัยรอเจ้าอยู่”
“แต่ข้า...”
“ข้าขอให้เจ้าอยู่ที่นี่ ไม่ต้องคิดอะไรทั้งสิ้น จนกว่าเจ้าจะได้คำตอบว่าเจ้าเป็นใคร มาจากไหน ถึงวันนั้นข้าจะปล่อยเจ้าไป”
แววตาของขุนเกิดเต็มไปด้วยความห่วงใย จนนวลต้องหลบตาให้กับสายตาแห่งความจริงใจนั้น
พระยาสุรินทุบโต๊ะที่ลูกน้องฝีมือพ่ายขุนพิทักษ์กลับมา
“มันเป็นใคร บังอาจมาจองหองกับคนอย่างข้า”
“ไม่รู้ขอรับ แต่ดูท่านังเกลียวจะออเซาะมันมาก” ลูกน้องคนแรกบอก
“หรือจะเป็นผัวนังเกลียวขอรับ” ลูกน้องอีกตนเสริม
พระยาสุรินเตะเสยหน้าทาสหงายไป
“เมียใครลูกใคร ข้าไม่สน ใครที่คิดมาลบเหลี่ยมพระยาสุริน จุดจบของมันคือความพินาศเท่านั้น!”
ภายในห้องนอนรำพึง อัฐนอนอยู่ที่เตียง รำพึงเล่นกับอัฐ มือรำพึงลูบไปที่แก้มอัฐ
“ตาอัฐลูกแม่”
รำพึงหอมไปที่แก้มอัฐ แล้วลูบไปที่แผลเป็นที่หัวไหล่ของอัฐ
“อย่างน้อย ส่วนหนึ่งของชีวิตคุณพี่จะยังเป็นของน้อง”
อัฐดวงตาใสแจ๋วยิ้มให้รำพึง รำพึงรู้สึกรักอย่างไม่รู้ตัว
บ่วงบาป ตอนที่ 12 (ต่อ)
อัฐร้องไห้จ้ามากขึ้นๆ นวลนอนฝันร้ายอยู่บนเตียง เห็นชุ่มนอนจมกองเลือด และเสียงเด็กร้องเซ็งแซ่มาในหัว นวลดิ้นทุรนทุรายเอามือกุมหัว ขุนเกิดถือถาดยาเข้ามาวางแล้วรีบเข้ามาดูนวล ขุนเกิดจำต้องจับตัวนวล นวลสะดุ้งตื่น และโผเข้ากอดขุนเกิด ตัวสั่นเหมือนลูกนก ขุนเกิดค่อยๆเอามือลูบหัวนวล
“แค่ฝันร้าย แม่นวล...แค่ฝันร้าย”
นวลหอบเหนื่อย รู้สึกถึงความผูกพันกับบางอย่างที่ยังไม่ชัดเจนในความทรงจำ
พระยาสุรินยืนอยู่หน้ากระท่อมเกลียว ลูกน้องถือคบไฟเตรียมเผา เกลียวและพ่อนั่งร้องไห้โฮไหว้ขอร้องอยู่
“อย่าเผาเรือนข้าเลยนะขอรับท่านพระยา”
“ข้าไหว้ล่ะ ข้ากับพ่อจะรีบหาอัฐมาใช้คืนให้ “
“แต่ข้าต้องการตอนนี้ 10 ชั่ง! ถ้าไม่มี..เผา”
ลูกน้องพุ่งเข้าไปจะเผา แต่เจอเท้าขุนพิทักษ์ถีบกระเด็น พระยาสุรินชี้หน้า
“เอ็งใช่ไหมที่หยามเกียรติข้าเมื่อวานนี้”
เกลียวรีบแทรก
“ท่านพระยาเจ้าคะ มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดยะเจ้าคะ ชายผู้นี้ไม่ใช่...”
“ ใช่! ข้าทำข้าก็ต้องรับ เรื่องนี้พ่อเกลี้ยงกับเกลียวไม่เกี่ยว ถ้าท่านจะคิดบัญชีก็มาคิดเอากับข้า”
“กำแหงนัก พูดแบบนี้จะไม่มีเงาหัว” พระยาสุรินบอก
“ท่านเป็นถึงพระยา แต่ใช้อำนาจรังแกคนไม่มีทางสู้ ถือว่าเป็นบาปหนัก หยุดตอนนี้ยังไม่สาย หยุดสร้างบาปสร้างกรรมเถอะขอรับ”
พระยาสุรินโกรธมาก
“เอ็งกล้าดียังไงมาสั่งสอนข้า จับตัวมันไปให้หมด เผาบ้านมันให้วอด”
ลูกน้องพระยาสุรินล้อมทั้งสามไว้ และจุดไฟเผาบ้าน พ่อเกลียวทนดูไม่ได้เข้าไปแย่งคบไฟ ลูกน้องพระยาสุริน ผลักพ่อเกลียวล้มกลิ้งเข้าไปในกระท่อม ไฟลุกพรึ่บ! เกลียวร้องกรี๊ด!
พ่อออกมาจากกระท่อมไม่ได้ เกลียวพุ่งเข้าไปจะช่วยพ่อ แต่โดนลูกน้องจับไว้
“พ่อ”
ฝั่งขุนพิทักษ์บู๊กับลูกน้องพระยาสุรินที่มีมากกว่า ทำให้ขุนพิทักษ์สะบักสะบอมและถูกจับในที่สุด
พระยาสุรินชกหน้าขุนพิทักษ์
“ถ้าบาปกรรมมีจริงก็มาคิดบัญชีเอากับข้าสิโว้ย!”
ลูกน้องล็อกตัวเกลียวเข้ามาหา พระยาสุรินเข้าไปบีบหน้าเกลียว
“ยังไงเอ็งก็ต้องเป็นเมียข้า นังเกลียว ฮ่าๆๆ ลากตัวพวกมันกลับไป”
ขบวนของพระยาสุรินเดินไป ขุนพิทักษ์ถูกลากให้เดินตาม เกลียวหันมองพ่อแล้วร้องไห้สุดเสียง
ขุนพิทักษ์ถูกใส่โซ่ตรวนเยี่ยงทาส ลูกน้องพระยาสุรินถามชื่อจะลงทะเบียน
“ชื่ออะไร”
ขุนพิทักษ์นิ่งไม่ตอบ ลูกน้องที่เป็นคนคุมอยู่กระทุ้งถาม
“ตอบสิวะ”
“ข้าชื่อ...ทัด...ไอ้ทัด”
“ก็แค่เนี้ย”
ขุนพิทักษ์ถูกตีตราทาส ด้วยเล็กร้อนๆ นาบลงไปที่หัวไหล่
“ข้าจะไม่ยอมให้ชื่อข้าทำให้วงศ์ตระกูลของข้าต้องเสื่อมเสียเป็นอันขาด”
ขุนพิทักษ์กัดฟันแน่น
หลังขุนพิทักษ์ถูกตีตราทาสแล้วก็ถูกเฆี่ยน ถูกทรมาน ในอดีตที่ขุนพิทักษ์เคยเฆี่ยนชุ่ม
ภาพขุนพิทักษ์ถูกเลือกให้ลงไปแข่งมวย ขุนพิทักษ์ถูกรุมยำตีน ในอดีตขุนพิทักษ์เคยกระทืบสม
นวลช่วยขุนเกิดปรุงยา นวลทำอาหารให้ขุนเกิดชิม นวลสวดมนต์ ขุนเกิดมองนวลอย่างแสนรัก
รำพึงคลอดลูก ขุนไวดีใจอุ้มลูกของตัวเอง ในขณะที่รำพึงอุ้มอัฐที่อายุเกือบขวบ
พระยาสุรินขืนใจเกลียว เกลียวนั่งร้องไห้อยู่ข้างเตียง เกลียวเข้ามานั่งจับแขนขุนพิทักษ์ผ่านกรงขัง
ในห้องขัง ทาสนอนกันเรียงราย แต่ขุนพิทักษ์นั่งมองดวงจันทร์ที่อยู่ข้างนอก
ทาสคนหนึ่งถาม
“นั่งฝันอะไรวะไอ้ทัด ไม่นอนเก็บแรงไว้โดนกระทืบพรุ่งนี้หรือไง เอ็งมันยิ่งเป็นตัวโปรดของท่านพระยาสุรินซะด้วย เอ็งทนได้ยังไงวะ เป็นคนอื่นกระอักเลือดตายไปนานแล้ว”
“ข้าต้องมีชีวิตอยู่ ข้าจะต้องหลุดพ้นจากการเป็นทาส”
“เอ็งคิดว่าเอ็งจะได้หลุดไปจากนรกนี่เหรอ”
“ที่นี่ยังไม่ได้ครึ่งของนรกจริงๆหรอก ถ้าการที่ข้าต้องถูกทรมานอยู่ที่นี่เป็นการชดใช้กรรมที่ข้าเคยทำไว้ นับว่าฟ้ายังปราณีข้า มากกว่าอีกหลายคนที่ต้องชดใช้กรรมอยู่ในนรกนั้น”
“เพ้อไปแล้วโว้ย ไอ้ทัด นอนเหอะ”
ทาสล้มตัวลงนอนทิ้งให้ขุนพิทักษ์นั่งมองดวงจันทร์
“ข้าจะต้องหลุดไปจากที่นี่ สักวันข้าจะต้องตามหาเมียกับลูกข้าให้เจอ!”
๑๕ ปีผ่านไป ณ เรือนใหม่ของคุณพระไวที่มารับตำแหน่งเวลากลางวัน รำพึงยืนหันหลังมองอาณาบริเวณบ้านของตัวเองอยู่กลางสวน เสียงเรียกดังของอัฐขึ้นมา
“คุณแม่ครับ”
รำพึงหันมาในชุดสวยสมวัยยิ้มให้กับอัฐที่เดินมาหา
“ตาอัฐ!”
อัฐในชุดหล่อเดินเข้ามาหารำพึงด้วยใบหน้าหล่อละมุน แววตาของรำพึงที่มองอัฐเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู รำพึงยื่นมือไปให้ลูกชาย อัฐเอื้อมมือเข้าไปคว้ามือแม่ไว้
“คุณแม่คิดถึงเรือนเก่าของเราใช่มั้ยครับ”
รำพึงมองตัวเรือนใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
“นี่ถ้าคุณพ่อไม่ต้องมารับตำแหน่งใหม่ที่เมืองนี้ เราคงยังอยู่ที่เดิม ที่นั่นมีความทรงจำของแม่มากมาย แม่คงลืมไม่ได้ง่ายๆ”
รำพึงครุ่นคิดถึงเรื่องเก่า อัฐมองรำพึงอย่างสงสัย รำพึงเห็นสายตาของอัฐจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
รำพึงเอื้อมมือไปลูบหน้าลูกชาย
“ไหนขอแม่ดูลูกชายให้เต็มตาหน่อย แต่งตัวซะหล่อแบบนี้ สาวที่ไหนเห็นเป็นต้องหลงเสน่ห์ลูกแม่แน่ๆ”
อัฐยิ้มสดใส มองรำพึงอย่างชื่นชม
“สาวที่ไหนก็สู้คุณแม่ของผมไม่ได้หรอกครับ”
“อย่ามาปากหวานอ้อนแม่หน่อยเลย”
อัฐหัวเราะสดใส รำพึงมองอย่างเอ็นดู
“ก็อ้อนได้แต่กับคุณแม่ล่ะครับ ขืนอ้อนกับคุณพ่อผมคงโดนเอ็ดว่าไม่รู้จักโตสักที”
รำพึงชะงัก รู้สึกว่าอัฐแอบเสียใจ
“คุณพ่อเข้มงวดเพราะอยากให้ลูกได้ดีนะตาอัฐ”
“ครับคุณแม่ อะไรที่ทำให้คุณพ่อภูมิใจในตัวผม ผมจะทำทุกอย่าง”
อัฐยิ้ม รำพึงลูบหัวลูกชาย
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวคุณพ่อจะถามหา”
รำพึงจะพาอัฐเดินไป
“อ้อ...แล้วน้องล่ะตาอัฐ ระพีแต่งตัวเสร็จรึยัง”
๑๕ ปีผ่านไป ณ เรือนใหม่ของคุณพระไวที่มารับตำแหน่งเวลากลางวัน รำพึงยืนหันหลังมองอาณาบริเวณบ้านของตัวเองอยู่กลางสวน เสียงเรียกดังของอัฐขึ้นมา
“คุณแม่ครับ”
รำพึงหันมาในชุดสวยสมวัยยิ้มให้กับอัฐที่เดินมาหา
“ตาอัฐ!”
อัฐในชุดหล่อเดินเข้ามาหารำพึงด้วยใบหน้าหล่อละมุน แววตาของรำพึงที่มองอัฐเต็มไปด้วยความรักและความเอ็นดู รำพึงยื่นมือไปให้ลูกชาย อัฐเอื้อมมือเข้าไปคว้ามือแม่ไว้
“คุณแม่คิดถึงเรือนเก่าของเราใช่มั้ยครับ”
รำพึงมองตัวเรือนใหม่ที่ไม่คุ้นเคย
“นี่ถ้าคุณพ่อไม่ต้องมารับตำแหน่งใหม่ที่เมืองนี้ เราคงยังอยู่ที่เดิม ที่นั่นมีความทรงจำของแม่มากมาย แม่คงลืมไม่ได้ง่ายๆ”
รำพึงครุ่นคิดถึงเรื่องเก่า อัฐมองรำพึงอย่างสงสัย รำพึงเห็นสายตาของอัฐจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
รำพึงเอื้อมมือไปลูบหน้าลูกชาย
“ไหนขอแม่ดูลูกชายให้เต็มตาหน่อย แต่งตัวซะหล่อแบบนี้ สาวที่ไหนเห็นเป็นต้องหลงเสน่ห์ลูกแม่แน่ๆ”
อัฐยิ้มสดใส มองรำพึงอย่างชื่นชม
“สาวที่ไหนก็สู้คุณแม่ของผมไม่ได้หรอกครับ”
“อย่ามาปากหวานอ้อนแม่หน่อยเลย”
อัฐหัวเราะสดใส รำพึงมองอย่างเอ็นดู
“ก็อ้อนได้แต่กับคุณแม่ล่ะครับ ขืนอ้อนกับคุณพ่อผมคงโดนเอ็ดว่าไม่รู้จักโตสักที”
รำพึงชะงัก รู้สึกว่าอัฐแอบเสียใจ
“คุณพ่อเข้มงวดเพราะอยากให้ลูกได้ดีนะตาอัฐ”
“ครับคุณแม่ อะไรที่ทำให้คุณพ่อภูมิใจในตัวผม ผมจะทำทุกอย่าง”
อัฐยิ้ม รำพึงลูบหัวลูกชาย
“ไปกันเถอะ เดี๋ยวคุณพ่อจะถามหา”
รำพึงจะพาอัฐเดินไป
“อ้อ...แล้วน้องล่ะตาอัฐ ระพีแต่งตัวเสร็จรึยัง”
12.3.2
ภายในห้องนอน ระพีหมุนตัวในชุดสวยอยู่หน้ากระจก จวงปรบมือชื่นชม
“คุณหนูระพีของจวงงามมากเจ้าค่ะ ลูกบ้านไหนก็ไม่สวยเท่าลูกบ้านนี้”
ระพียิ้มภูมิใจ
“จริงเหรอน้าจวง ระพีสวยใช่มั้ย”
“จริงสิเจ้าคะ โบราณท่านว่าลูกไม้หล่นไม่ไกลต้น คุณแม่งามยังไง คุณหนูระพีก็งามตามมาติดๆเจ้าค่ะ”
ระพียิ้มฝัน
“ไปกราบท่านเจ้าคุณสุริน ระพีก็จะได้เจอพี่เทิด ไม่รู้พี่เทิดจะจำระพีได้หรือเปล่า”
“จำได้สิเจ้าคะ น้าจวงเอาหัวเป็นประกัน...ตอนนั้นท่านเจ้าคุณสุริน พาคุณเทิดไปราชการที่เมืองเราตั้งสองปี คุณระพีกับคุณอัฐเป็นเพื่อนเล่นคุณเทิดมาตลอด ทำไมจะจำไม่ได้เจ้าคะ”
ระพีมีความหวัง
“ระพีก็จะทำให้พี่เทิดละสายตาจากระพีไม่ได้เลย คอยดู!”
ระพีหันไปแต่งตัวที่หน้ากระจกต่อ
จวงแอบมองและพูดคนเดียว
“เฮ้อ...ลูกไม้หล่นไม่ใกล้ต้นของจริง เรื่องผู้ชายล่ะก็ เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก”
ระพีมองกระจกอย่างเชิดๆเริ่ดๆ
ภายในเรือนพระยาสุริน เทิดลุกขึ้นยืนต่อหน้าพ่อ
“ไม่เห็นมีอะไรน่าจำ ระพีก็แค่คนเคยรู้จัก”
“คุณพระไวกับครอบครัวเคยช่วยเหลือพ่อและดูแลเราเป็นอย่างดี พ่ออยากให้ลูกอยู่ต้อนรับเขา”
“ลูกไม่อยู่เจอหรอกครับ ลูกจะไปหาคุณน้อย”
พระยาสุรินมองดุ
“พ่อเทิด!”
เทิดชักสีหน้า
“ไปหาแม่น้อยวันไหนก็ได้แต่ไม่ใช่วันนี้ นี่เป็นคำสั่ง!”
“เจ้าคุณพ่อ”
เทิดลงนั่งอย่างหงุดหงิดใจ ที่ไม่อาจขัดใจพ่อได้
บริเวณโถงเรือนคุณพระเกิด ผู้หญิงคนหนึ่งนั่งร้อยมาลัย คุณน้อยรำอย่างอ่อนช้อย ยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าใสใส เสียงพิณพาทย์จบลง เสียงปรบมือดังขึ้น
“เก่งมาก”
นวลยิ้มอบอุ่นมองลูกสาว
น้อยยิ้มเดินไปหานวล น้อยเข้าไปกอดซบแม่
“น้อยเก่ง เพราะว่าน้อยเป็นลูกแม่นวลกับคุณพ่อไงคะ”
เสียงคุณพระเกิดดังขึ้นมา
“นึกว่าจะไม่คิดถึงพ่อซะแล้ว”
คุณพระเกิดเดินยิ้มปนหัวเราะมาแต่ไกล
“คุณพ่อกลับมาแล้ว!”
คุณน้อยผละออกมาจากอกนวล วิ่งไปหาพ่อ
“ไปครั้งนี้คุณพ่อได้สมุนไพรมาเยอะมั้ยคะ คุณพ่อจะสอนน้อยปรุงยาด้วยมั้ยคะ แล้วที่พระนครสวยมั้ยคะแล้วเมื่อไหร่คุณพ่อจะพาน้อยไปเที่ยวบ้าง”
นวลหัวเราะอย่างเอ็นดู
“แม่น้อยถามแบบนี้ คุณพ่อตอบไม่ทันหรอกลูก คุณพ่อเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ให้คุณพ่อพักก่อนเถอะ”
“แหม...ก็น้อยคิดถึงคุณพ่อนี่คะคุณแม่”
“พ่อก็คิดถึงลูก และก็แม่ของลูกมาก”
ขุนเกิดส่งสายตาให้นวล นวลมองหน้าสามีได้แต่ยิ้มอ่อนๆ
“ดื่มน้ำมะตูมก่อนนะคะ ดิฉันต้มไว้เดี๋ยวให้เด็กเอามาให้”
นวลหันไปสั่งเด็ก
“ว่าแต่เราเถอะยัยน้อย ซ้อมรำไปถึงไหนแล้ว งานเรือนท่านเจ้าคุณสุรินจะถึงอีกไม่กี่วัน คงไม่ไปหกคะเมนเอากลางเวทีหรอกนะ”
น้อยแกล้งงอนๆ แต่อมยิ้ม
“ฝีมือระดับนี้รับรองไม่ทำให้คุณพ่อผิดหวังแน่ค่ะ”
คุณพระเกิดยิ้มตาม
“แล้วพ่อจะคอยดู”
คุณพระเกิดลูบหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู
“แต่น้อยอยากให้แม่นวลไปด้วยจัง น้อยไม่รู้จะคุยกับใคร ยิ่งต้องเจอกับคุณเทิดด้วย น้อยยิ่งไม่อยากอยู่คนเดียว แม่นวลจ๋าไปกับน้อยเถอะนะ”
นวลอึกอักต่อการรบเร้าของน้อย คุณพระเกิดออกตัวเข้าช่วย
“แม่น้อยอย่าทำให้แม่เขาเป็นกังวลสิลูก เรื่องงานสังคม แม่เขาไม่ค่อยถนัด”
“มีคุณพ่อไปด้วย พ่อเทิดคงต้องเกรงใจ ไม่ต้องห่วงนะลูก”
“ค่ะแม่”
น้อยกอดนวล คุณพระเกิดมองลูกเมียอย่างแสนรัก
ที่ด้านหลังเรือนพระยาสุริน เทิดถีบโครม! ไปที่กระบุงข้าวจนข้าวกระจาย นายทัดที่กำลังขนกระสอบข้าวมาเก็บ หันขวับมอง
“โธ่เว้ย...แทนที่จะได้ไปหาคุณน้อยกลับต้องมาติดแหง็กอยู่แบบนี้”
เทิดเห็นทัดมองอยู่
“มองหน้าข้า มีปัญหาเหรอ...ไอ้ทัด”
ทัดเมินหน้าหนี เทิดยิ่งยัวะ
“เอ็งกล้าดียังไงมาเมินใส่ข้า ไอ้ทัด”
“คุณเทิดอารมณ์ไม่ดีก็ไม่น่าต้องทำให้ข้าวของเสียหายนะขอรับ ของพวกนี้จะต้องใช้ในวันงาน”
“ไม่อยากให้ข้าทำลายข้าวของ งั้นข้าจะกระทืบเอ็งแทน...เฮ้ย จับมัน”
เทิดสั่งคนจับทัด คนงานแถวนั้นจำต้องจับ เทิดเตะเข้าที่ท้องทัด
“คนงานอย่างเอ็งไม่มีสิทธิ์มาสั่งสอนข้า”
เทิดต่อยเข้าที่ปากทัด 2 หมัด เกลียวเข้ามาเห็นและสั่งเสียงเฉียบ
“หยุดนะคุณเทิด”
เทิดหันขวับไปมอง เกลียวตากร้าวเข้ามา
“นายทัดทำผิดอะไร ถึงต้องลงโทษกันรุนแรงแบบนี้”
“อย่าสะเออะ...คนอย่างข้าไม่จำเป็นต้องตอบคำถามเมียทาสของเจ้าคุณพ่อ”
“แต่เมียทาสอย่างดิฉันก็เป็นเมียคนเดียวที่ท่านเจ้าคุณยกย่อง ถ้าดิฉันมีดีไม่พอ ฉันคงอยู่ไม่ได้จนถึงทุกวันนี้ จำไม่ได้เหรอคะ ทุกครั้งที่มีเรื่องกันมันจบยังไง หรือจะลองวัดดูมั้ยคะว่าระหว่างเมียทาสอย่างดิฉัน กับ คุณเทิด ท่านเจ้าคุณจะอยู่ข้างใคร”
เกลียวมองอย่างไม่กลัว เทิดโกรธ ชี้หน้าเกลียว
“วันหนึ่งเจ้าคุณพ่อจะต้องรู้ว่าเลี้ยงอสรพิษไว้ในบ้าน”
เทิดโกรธออกไป เกลียวเข้าไปหาทัด เกลียวสั่งคนงาน
“เจ็บมากมั้ยพี่ทัด”
“เกลียวไม่น่าทำแบบนี้ ถ้าท่านเจ้าคุณรู้ เอ็งจะเดือดร้อน”
“ทุกวันนี้มันก็ตายทั้งเป็นอยู่แล้ว ไม่มีอะไรที่ฉันต้องกลัวไปมากกว่านี้”
ทัดมองเกลียวอย่างเข้าใจความรู้สึก
“ขอบใจนะเกลียวที่เอ็งช่วยพี่”
“ฉันต่างหากที่ต้องขอบใจพี่ พี่ทัดยอมลำบากอยู่ที่นี่ ทั้งๆที่ควรจะได้เป็นไทไปตั้งนานแล้ว พี่ยอมทนอยู่ที่นี่เพราะฉัน ฉันรู้”
“ในครั้งก่อนข้ารอดตายมาได้ก็เพราะเอ็งกับพ่อเกลี้ยง ถ้าข้าทิ้งเอ็งในขณะที่เอ็งทุกข์หนัก ข้าคงไม่ใช่คน”
เกลียวมองทัดอย่างเสียใจ
“หมายความว่า ถ้าไม่ใช่เพราะอยากตอบแทนฉันกับพ่อ ฉันคงไม่ได้เห็นหน้าพี่แล้วใช่มั้ย”
ทัดมองเกลียวอย่างเข้าใจในความหมาย
“เกลียว เอ็งเป็นน้องข้า”
เกลียวเจ็บทั้งๆที่รู้ แล้วเดินจากทัดไป ทัดได้แต่มองตามไป
บริเวณ ศาลาพักรอเรือนพระยาสุริน เวลากลางวัน คนใช้เสิร์ฟน้ำชาต้อนรับ แต่พลาดทำน้ำชาร้อนหกใส่อัฐ
“โอ้ย!”
“ตาอัฐ เป็นยังไงบ้างลูก” รำพึงถาม
คนใช้ลนลาน
“สะเพร่าจริงๆเลย” ระพีว่า
“ขอโทษเจ้าค่ะ อิฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ได้ตั้งใจหรือ โง่กันแน่ แค่รินน้ำชาแค่นี้ยังทำไม่ได้”
“โดนน้ำร้อนแค่นี้ตาอัฐมันทนได้ เป็นลูกผู้ชายอย่าทำสำออย” คุณพระไวบอก
อัฐมองพ่อ คุณพระเกิดมองอัฐด้วยสายตาเย็นชา
“ผมไม่เป็นอะไรครับ อย่าไปดุน้าเขาเลย”
“คนพวกนี้ไม่สั่งสอนไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะได้ใจ ไม่รู้จักที่สูงที่ต่ำ”
จังหวะนั้นเกลียวเดินมาพอดี เพื่อจะมาตามไปพบท่านเจ้าคุณ เกลียวได้ยินสิ่งที่รำพึงดูถูกคนใช้
คนใช้กลัวจะร้องไห้
“อิฉันกราบขอโทษจริงๆเจ้าค่ะ”
“ถ้างั้นก็กราบลูกฉันซะ จะได้จำไม่ทำอะไรโง่ๆแบบนี้อีก”
“คุณแม่...”
คนใช้กลัวกำลังจะก้มกราบ เสียงเกลียวดังขึ้น
“ไม่ต้องกราบ”
รำพึงหันขวับไปมอง เกลียวเดินเข้ามา รำพึงมองเกลียวหัวจรดเท้า เกลียวไม่มีทีท่ากลัวเกรง
“เธอเป็นใคร กล้าดียังไงมาออกคำสั่ง”
“ดิฉันเกลียว ภรรยาของท่านเจ้าคุณสุรินค่ะ”
คุณพระไวหน้าเสีย
“ดิฉันต้องขอโทษคุณพระแทนคนของดิฉันด้วยนะคะ คนใหม่เพิ่งเข้ามายังไม่ค่อยรู้งาน ดิฉันจะจัดการ คนของดิฉันให้”
รำพึงไม่ยอมแพ้
“คนนี้นี่เอง เมียท่านเจ้าคุณที่ชื่อเสียงโด่งดัง ว่าไต่เต้าขึ้นมาจากนางทาสชั้นต่ำจนได้มาเป็นชนชั้นสูง ปกป้องคนรับใช้แบบนี้ เพราะเข้าใจหัวอกคนประเภทเดียวกันใช่มั้ยคะคุณเกลียว”
รำพึงมองเกลียวอย่างเหยียดหยาม คุณพระไวรีบเข้าขวางศึกครั้งนี้
“ท่านเจ้าคุณลงมาหรือยังครับคุณเกลียว”
“ท่านเจ้าคุณให้ดิฉันมาเชิญคุณพระให้เข้าพบได้แล้วค่ะ”
“เราไปหาท่านเจ้าคุณกันเถอะน้องรำพึง”
คุณพระไวดึงรำพึงไป ระพีมองเลิ่กลั่กเดินตามไป อัฐหันไปพูดกับเกลียว
“ผมขอโทษด้วยนะครับ”
เกลียวยิ้มให้อัฐ
“ไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ น้าชินแล้ว”
อัฐเดินเข้าบ้านไป เกลียวมองตามความแตกต่างของแม่กับลูกชาย และเดินตามไป
บริเวณโถงเรือนพระยาสุริน คุณพระไวไหว้พระยาสุริน มีรำพึง อัฐ ระพีนั่งอยู่ด้วย ระพียิ้มหวานมองเทิดที่นั่งหน้าบูดไม่วางตา รำพึงมองเกลียวแบบใช้หางตา จนเกลียวรู้สึกได้
“กระผมพาครอบครัวมากราบท่านเจ้าคุณ หากมีสิ่งใดที่กระผมควรจะทำ ขอให้ท่านเจ้าคุณช่วยแนะนำด้วยนะขอรับ”
“ฉันดีใจที่คุณพระย้ายมาที่นี่ คนมีความสามารถมันก็ต้องก้าวหน้า แม่รำพึงนี่โชคดี มีผัวดี ชีวิตก็รุ่งเรือง”
“รำพึงต้องขอบพระคุณท่านเจ้าคุณด้วยเจ้าค่ะที่ช่วยสนับสนุนคุณพี่”
พระยาสุรินหัวเราะ
“แหม!คุณพระเองก็ถือเป็นผู้ชายที่โชคดี ได้เมียทั้งฉลาด ทั้งสวย แม่เกลียวของฉันท่าจะสู้ไม่ได้”
รำพึงหันไปมองเกลียว แต่เกลียวนิ่งไม่สนใจใคร
“ดิฉันต่างหากเจ้าคะที่สู้คุณเกลียวไม่ได้ ดิฉันเป็นลูกพระยา แต่เป็นได้แค่เมียคุณพระ แต่คุณเกลียวสิคะเป็นแค่ทาส แต่กลับได้เป็นถึงเมียพระยา วาสนาดีจริงๆ”
เกลียวหันขวับมองรำพึง รำพึงทำหัวเราะกลบเกลื่อน คุณพระไวรีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“พ่อเทิดโตเป็นหนุ่ม รูปงามถอดแบบท่านเจ้าคุณมาเลยนะครับ”
พระยาสุรินมองไปทางอัฐกับระพี
“ตาอัฐเองก็โตขึ้นมากนะเรา นี่ห่างกับพ่อเทิดไม่กี่ปีจะโตทันกันแล้ว หนูระพีเองก็ดูจะสวยเหมือนแม่ ตอนเล็กยังวิ่งไล่พ่อเทิดอยู่เลย”
“ระพีสนุกมากเลยค่ะ ถ้าตอนนั้นไม่ได้เล่นกับพี่เทิด ระพีคงเหงาแย่”
ระพีหัวเราะคิกคัก
เทิดโพล่งออกมาทันที
“ใครอยากเล่นด้วย”
ระพียิ้มๆอยู่ก็หุบยิ้ม หน้าจ๋อยไปทันที
พระยาสุรินส่งเสียงปราม
“พ่อเทิด”
เกลียวเห็นท่าไม่ดี รีบเข้าแก้สถานการณ์
“คุณเทิดเป็นหนุ่มแล้ว คงจะเขินที่พูดถึงสมัยเด็กน่ะค่ะ”
เทิดหันขวับไปมองเกลียว
“ใช่มั้ยคะคุณเทิด” เกลียวถาม
เทิดกัดฟันตอบ
“ครับ”
ระพีกลับยิ้มหน้าบานที่ได้ยินคำตอบของเทิด รำพึงตาวาว มองเกลียวอย่างหมั่นไส้
“ดิฉันขอตัวไปดูอาหารที่โรงครัวก่อนนะคะท่านเจ้าคุณ”
“ไปเถอะ”
เกลียวเดินออกไป รำพึงมองตามอย่างไม่ยอมลดละ
“ถ้างั้นดิฉันขอไปดูในครัวท่านเจ้าคุณสักหน่อยนะคะ เผื่อจะได้ตำรับอาหารใหม่ๆไปทำให้คุณพี่ทานบ้าง”
“ตามสบายเลยแม่รำพึง”
รำพึงเดินตามเกลียวไป คุณพระไวมองตามอย่างกังวล
“คืนพรุ่งนี้ที่เรือนฉันจะมีงานสังสรรค์ของข้าราชการ ฉันอยากเชิญครอบครัวของคุณพระมาด้วย จะได้ถือโอกาสทำความรู้จักกับคนอื่น”
“ถือว่าเป็นเกียรติมากครับ”
“รับรองงานคืนพรุ่งนี้ต้องสนุกแน่”
ระพียิ้มอย่างมีความสุข แต่สีหน้าของเทิดกลับบอกบุญไม่รับ
เกลียวเดินมาทางด้านหน้าเรือน แต่ต้องหยุดชะงักด้วยเสียงรำพึง
“มีของดีอะไรเหรอคะ ถึงได้ขึ้นมาชูคอเป็นหงส์ได้แบบนี้”
เกลียวหันมา รำพึงใส่ต่อ
“ดิฉันแค่อยากรู้เคล็ดลับของคุณเกลียว ว่าใช้วิธีไหนมัดใจท่านเจ้าคุณ จากแค่เมียทาสได้มาเป็นเมียออกหน้าออกตา ทั้งๆที่ท่านเจ้าคุณก็มีเพชรตั้งมากมายให้เลือก แต่ดันมาคว้าขี้โคลนให้ชื่อเสียงแปดเปื้อน”
เกลียวรู้ว่า รำพึงประกาศสงคราม
“เรื่องแบบนี้ ฉันคงไม่ต้องบอกคุณรำพึง เพราะว่าจะผู้ดีหรือขี้ข้า ก็คงมีวิธีมัดใจผัวไม่ต่างกัน เรื่องในมุ้งไม่แยกแยะหรอกค่ะว่าใครเป็นเพชรใครเป็นตม มันแยกกันตรงจิตใจมากกว่าว่าใครดีกว่าใคร”
รำพึงกำหมัดแน่น เกลียวเดินไปทางครัว
“ผู้หญิงอย่างพวกแกมันก็แค่นังทาสชั้นต่ำ”
รำพึงหันขวับไป จะเดินตามไปลุยต่อ ที่มุมหนึ่งมีคนงานกำลังขนของออกไปทางท่าน้ำ รำพึงหันขวับ เห็นแผ่นหลังของชายคนหนึ่ง ช่างเหมือนขุนพิทักษ์เหลือเกิน
“คุณพี่พิทักษ์!”
รำพึงเดินตามไปได้ สอง สามก้าว แต่ถูกขัดด้วยเสียงเรียกของคุณพระไว
“น้องจะไปไหน”
“ก็จะไปดูในครัวไงคะ”
“นั่นมันทางไปท่าน้ำ ไม่ใช่ทางไปครัว”
“อ้อ...เอ่อ...คือน้องตามคุณเกลียวไม่ทัน ก็เลยไม่รู้ทางไหนเป็นทางไหน”
“ไม่มีอะไรแน่นะ”
“ไม่มีค่ะคุณพี่ คุณพี่จะกลับแล้วใช่มั้ยถึงออกมาตามน้อง ไปเถอะค่ะ น้องจะได้ไปกราบลาท่านเจ้าคุณ”
รำพึงดันสามีไป แต่ตัวยังหันกลับไปมองทางที่ชายปริศนาคนนั้นเดินลับตาไป
ภายในห้องนอนของคุณพระเกิด เวลาค่ำ คุณพระเกิดยื่นขวดน้ำอบให้นวล
“พี่มีน้ำอบมาฝากเจ้า กลิ่นนี้เจ้าคงชอบ”
นวลเอื้อมมือไปรับ
“ขอบคุณนะคะ”
ขุนเกิดจับมือนวลไว้
“คุณพี่พักเถอะค่ะ เหนื่อยมาทั้งวัน”
คุณพระเกิดยกมือนวลขึ้นมาหอม
“แค่เห็นหน้าเจ้าพี่ก็หายเหนื่อยแล้ว เจ้าทำให้พี่สุขใจ ขอบใจนะแม่นวลที่ยอมร่วมชีวิตกับพี่”
นวลค่อยๆเอื้อมมือไปกุมมือคุณพระเกิด
“คุณพี่มีบุญคุณกับดิฉัน ดิฉันไม่รู้จะหาอะไรมาตอบแทนได้ ดิฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอบคุณ”
คุณพระเกิดมองนวลด้วยสายตาเศร้า
“พี่จะรอคำว่ารักจากปากของเจ้า แทนคำว่าตอบแทนบุญคุณ ต่อให้พี่ต้องรอทั้งชีวิตเพื่อที่จะได้ยินคำนั้น พี่ก็จะรอ”
ขุนเกิดค่อยๆปล่อยมือนวลแล้วหันหลังเดินจากไป นวลมองประตูที่ที่ปิดลง
“หัวใจของดิฉันมันไม่ได้อยู่ที่นี่ สักวันดิฉันคงจะหามันเจอ”
ภายในห้องนอนอขงทัด บริเวณเรือนพระยาสุริน ทัดพนมมืออยู่ต่อหน้าพระพุทธรูป
“บุญใดที่ข้าได้ทำ ข้าขออุทิศให้กับลูกเมียของข้า ขอให้พวกเขา อยู่เย็นเป็นสุข และขอให้บุญนั้นส่งผลให้ข้าได้พบหน้าลูกเมียอีกครั้ง แม้ข้าต้องแลกด้วยชีวิต ข้าก็ยอม”
ทัดก้มกราบพระ
“ชุ่ม ข้าคิดถึงเอ็งกับลูกเหลือเกิน ข้าต้องชดใช้หนี้กรรมอีกนานแค่ไหนกว่าที่ข้าจะได้เจอพวกเอ็ง”
ทัดล้มตัวลงนอนพลางคิดถึงหน้าชุ่ม
ระพียิ้มระรื่นเข้ามาที่โถงเรือนคุณพระไว
“ระพีดีใจจังค่ะที่ได้เจอพี่เทิด”
“ลูกพ่อไม่เคยดีใจขนาดนี้ มีอะไรรึเปล่า”
ระพีรีบแก้ตัว
“ก็แหม...คนคุ้นเคยกันได้มาเจอกัน ก็ต้องดีใจเป็นธรรมดาสิคะ หรือ คุณพ่ออยากให้ระพีหน้าหงิกเวลาเจอพี่เทิด”
“ลูกคนนี้ยอกย้อนเป็นที่หนึ่ง พ่อดีใจซะอีกที่ลูกพ่อมีเพื่อนจะได้ไม่เหงา”
ระพียิ้ม
รำพึงเดินเข้ามาพร้อมจวง
“จะทำอะไรก็รักษากริยาไว้ด้วย เป็นลูกผู้หญิงอย่าให้มันเกินงาม”
“คุณแม่หมายความว่ายังไงคะ”
“แกรู้อยู่แก่ใจ ว่าแม่หมายความว่ายังไง”
ระพีไม่สนแม่ หันไปหาพ่อ
“ระพีไม่รู้หรอกค่ะ... คุณพ่อคะพรุ่งนี้ระพีจะแต่งตัวสวยๆให้เป็นที่เชิดหน้าชูตาของคุณพ่อไม่ให้น้อยหน้าคนอื่น”
“พ่อเชื่อว่าใครได้เห็นลูกสาวพ่อก็ต้องชื่นชม”
ระพียิ้มชนะหันมองรำพึงก่อนเดินเข้าห้องไป รำพึงไม่พอใจ คุณพระไวตวัดตาไปมองอัฐ
“ส่วนแกตาอัฐ ถ้าไม่อยากไปงานนี้ก็ไม่จำเป็นต้องไป เดี๋ยวจะเผลอไปทำอะไรให้ฉันได้อาย”
รำพึงตัดบทสรุป
“ไปกันหมดนี่แหละค่ะ จะได้ไม่ตกเป็นขี้ปากชาวบ้านว่าพ่อบ้านนี้ลำเอียงรักแต่ลูกสาว”
รำพึงพูดประชดเสร็จก็หันหลังเดินออกไปอีกทาง คุณพระไวไม่พอใจ มองหน้าอัฐก่อนเดินออกไปอีกทางหนึ่ง จวงเข้าไปหาอัฐด้วยความสงสาร
“อย่าคิดมากนะเจ้าคะคุณอัฐ คุณพ่อกับคุณแม่คงเหนื่อย ก็เลย...”
“ไม่เป็นไรครับน้าจวง ผมเข้าใจ”
จวงมองอัฐด้วยความสงสาร
ภายในห้องนอน รำพึงนั่งอยู่หน้ากระจก คิดถึงคนที่เห็นเมื่อวาน แม้เห็นแค่แผ่นหลังก็ช่าง
เหมือนกับขุนพิทักษ์เหลือเกิน
“เหมือนเหลือเกิน”
จวงโผล่พรวดยื่นหน้ามา
“ใครเหมือนใครเหรอเจ้าคะ”
รำพึงตกใจ
“นังจวงบ้า! ข้าตกใจหมด”
“ก็จวงเห็นคุณรำพึงนั่งเหม่ออยู่ตั้งนาน คุณรำพึงคิดถึงใครอยู่เหรอเจ้าคะ”
“ข้ารู้สึกเหมือนว่าคุณพี่พิทักษ์อยู่ใกล้ๆ”
“ต๊าย..ตายแล้ว ทูนหัวของบ่าวเจ้าขา จนลูกโตแล้ว ยังไม่ลืมท่านขุนพิทักษ์อีกเหรอเจ้าคะป่านนี้ไปเกิดแล้วก็ไม่รู้”
“แต่ข้ารู้สึกแบบนั้นจริงๆ”
รำพึงมองเข้าไปในกระจกด้วยความสับสน
บ่วงบาป ตอนที่ 12 (ต่อ)
นวลกับน้อยกำลังเดินดูของในตลาด
“น้อยขอไปดูผ้าที่ร้านตรงหัวมุม เดี๋ยวน้อยกลับมานะคะ”
“ให้คุณพ่อไปด้วยดีกว่า คนเยอะ แม่ไม่อยากให้ลูกไปคนเดียว”
“แล้วแม่นวลล่ะ” คุณพระเกิดถาม
“ดิฉันจะไปดูเครื่องหอมสักหน่อยค่ะ คุณพี่จะได้มีของเอาไปฝากท่านเจ้าคุณคืนนี้ คุณพี่ไปกับลูกเถอะค่ะ”
น้อยเดินนำ พ่อเดินตามลูกไป นวลมองตามก่อนเดินออกไป
นวลเดินเลี้ยวมาตามทางเดิน ที่หน้าร้านร้านหนึ่ง ทัดยืนรอรับของอยู่หน้าร้าน แม่ค้ากำลังจัดของใส่ถุงยื่นให้
“แหม...ถ้าเรือนท่านเจ้าคุณสุรินจัดงานแบบนี้บ่อยๆ ก็ดีน่ะสิ ของจะได้ขายดีแบบนี้...ขอบใจนะทัด”
“จ้ะป้า”
ทัดยิ้มให้แม่ค้า นวลเดินเข้ามาใกล้ทุกที ทัดรับของอีกหลายถุงจากแม่ค้านวลเดินเข้ามาใกล้ทัดมาก ทัดรับของมาหมด
“ฉันไปนะ”
ทัดหันไปทางนวล ที่เสี้ยวหน้าของคนทั้งสองเกือบจะได้เจอกัน แต่ถุงของในมือทัดดันหลุดจากมือ
ทัดก้มหน้าลงมองของเป็นจังหวะที่นวลเดินผ่านหน้าไป
“อ้าวไอ้ทัด...ยังไม่ไปถึงไหนเลย”
ทัดก้มลงเก็บของ นวลผ่านไปห่างเพียงเสี้ยว ทัดเก็บของเสร็จลุกขึ้นมา เห็นหลังนวลเพียงแว่บก่อนเลี้ยวเข้าหลืบไป ทัดไม่ได้เอะใจ แต่เดินไปอีกทาง
นวลเดินมาถึงหน้าร้านเครื่องหอม นวลกำลังจะเข้าไป แต่ทันใดนั้นโจรเข้ามากระชากตะกร้าจากนวล นวลยื้อไว้ ผู้คนแตกตื่นแต่ไม่มีใครกล้าช่วย
“ปล่อยนะ!ปล่อยข้า ช่วยด้วย”
“ถอดสร้อยมาให้ข้า ถ้าไม่อยากเจ็บตัว” โจรบอก
ทัดมาเห็นผู้หญิงกำลังถูกทำร้าย จึงทิ้งของหมายจะเข้าไปช่วย แต่เป็นจังหวะที่นวลสะบัดหลุดแล้วจะวิ่งหนีแต่โจรกระชากมือไว้ จนนวลล้มลงไป จังหวะที่โจรดึงมือนวล ทัดเข้ามากระชากโจร และต่อยเข้าไปเต็มแรงจนโจรกระเด็นไป ทัดเข้าไปดูนวล
“เจ้าเป็นอะไรหรือเปล่า”
นวลหันมาจากที่คว่ำหน้าอยู่ หน้านวลกับหน้าทัดใกล้กันมาก ทัดตกอยู่ในภวังค์กับคนที่อยู่ตรงหน้า
“ชุ่ม!”
ที่ด้านหลัง โจรคว้ามีดขึ้นมาจะพุ่งเข้าใส่ทัด
“ระวัง!”
ทัดคว้านวลมาอยู่ในอ้อมกอดหมุนหลบ หน้านวลแนบอยู่กับอกของทัด ก่อนดันนวลออกไปให้หลบในที่กำบัง โจรใช้มีดขู่ทัด ทัดใช้เท้าถีบมีดและบู๊กับโจร 3-4 ดอก
ภาพในอดีตซ้อนเข้ามาในความทรงจำของนวล เป็นภาพของขุนพิทักษ์บู๊กับโจรที่ท่าเรือ
นวลรู้สึกปวดหัว ทัดบู๊กับโจรและเป็นจังหวะที่โจรถูกถีบไปที่พื้น ทัดจะเข้า แต่โจรรีบลุกวิ่งหนีไปก่อน ทัดมองตามโจรไป
“ชุ่ม!”
ทัดจะวิ่งเข้าไปหา แต่ทันใดนั้นก็มีเสียงขัดเข้ามา
“คุณแม่!”
นวลหันไปเห็นน้อย ทั้งสองวิ่งเข้าหากัน
“แม่น้อย”
ทัดไม่อยากจะเชื่อกับภาพลูก เมียที่เขารอคอยมาตลอดชีวิต
“ลูก!”
ทัดจะเข้าไปหา แต่น้อยเดินเข้ามากัน
“ลุงห้ามทำอะไรแม่หนู”
ทัดขยับจะพูด
“พะ...พะ...”
“เขาไม่ทำอะไรแม่หรอกลูก ผู้ชายคนนี้คือ...”
ทัดยิ้มให้นวล
“คนที่ช่วยแม่ไว้!”
ทัดอึ้งที่ชุ่มจำเขาไม่ได้ ทั้งคู่มองกัน ทัดเศร้าเหลือเกิน
จังหวะนั้นคุณพระเกิดเข้ามาพอดี น้อยพูดขึ้น
“คุณพ่อคะ!”
ทัดเหมือนโดนตีแสกหน้า เมื่อลูกสาวตนเรียกคนอื่นว่าพ่อ คุณพระเกิดเดินผ่านหน้านายทัดตรงไปหานวล เขาจับตัวนวล
“เป็นอะไรรึเปล่าแม่นวล”
ทัดอึ้ง
“นวล”
“ดิฉันไม่เป็นอะไรคะคุณพี่”
ทัดหันขวับไปมองคุณพระเกิด อย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง น้อยรายงานพ่อ
“โชคดีนะคะที่คุณลุงคนนี้มาช่วยแม่นวลไว้ ขอบคุณนะคะคุณลุง”
น้อยยกมือไหว้ทัด
“ฉันขอบใจนายมากที่ช่วยภรรยาฉันไว้ ครอบครัวของฉันจะตอบแทนอะไรนายได้บ้าง”
“ไม่ต้อง ผมไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น”
ทัดหันหลังเดินจากไป ทิ้งภาพไว้ข้างหลังเมื่อลูกเมียเป็นที่รักของคนอื่น นวลตะโกนบอก
“ขอบคุณนะคะ”
ทัดชะงักกึก
“พาแม่กลับบ้านกันเถอะลูก” คุณพระเกิดบอก
คุณพระเกิดประคองนวล นวลหันไปสวนกับทัดที่หันกลับมาดู
บริเวณหลังเรือนพระยาสุริน ทัดต่อยต้นไม้จนเหงื่อโซมกาย ความเจ็บที่ได้รับไม่เท่ากับภาพที่ได้เห็น
“เขาไม่ทำอะไรแม่หรอกลูก ผู้ชายคนนี้คือ...คนที่ช่วยแม่ไว้!”
“ฉันขอขอบใจนายมากที่ช่วยภรรยาฉันไว้ ครอบครัวของฉันตอบแทนอะไรนายได้บ้าง”
ทัดต่อยจนมือได้เลือด
“ทำไม...ทำไม...ทำไม”
เกลียวเข้ามาเห็นรีบวิ่งมาห้าม
“พี่ทัดหยุดเถอะ พี่ทัด...”
เกลียวจับมือทัดมาดู เห็นเลือดเต็มฝ่ามือ
“ทำไมทำแบบนี้”
“พี่ต้องการเจ็บให้มันรู้สึก ว่าสิ่งที่พี่เจอมันไม่ใช่แค่ฝัน”
“พี่ไปเจออะไรมา”
“พี่เจอเมียกับลูก ของพี่...”
เกลียวใจวูบไปแล้วกัดฟันพูด
“ก็ดีแล้วนี่จ๊ะ”
“ดีเหรอ ได้เจอลูกเมียอยู่กับผู้ชายคนอื่น มันดีอย่างงั้นเหรอ”
เกลียวหันขวับ ทัดทรุดลงนั่งไปที่พื้น เป็นภาพที่เกลียวไม่เคยเห็นทัดเป็นแบบนี้
ภายในห้องนอน น้อยทายาแผลถลอกให้นวล
“คุณพ่อคะ เราไม่ไปงานคืนนี้ได้มั้ยคะ น้อยเป็นห่วงแม่นวล ไม่อยากทิ้งให้อยู่คนเดียว”
“ไม่ได้หรอกแม่น้อย อย่าทำให้คุณพ่อเสียชื่อ” นวลว่า
“แต่พี่ก็เป็นห่วงเจ้า”
“คุณพี่คะ ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ เชื่อฉันนะคะไปงานเถอะ”
คุณพระเกิดพยักหน้ารับ
“แม่น้อย ไปแต่งตัวได้แล้ว” นวลบอก
“ค่ะคุณแม่”
“คุณพี่ไปล้างตัวเถอะค่ะ ฉันจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้”
น้อย กับ คุณพระเกิดเดินออกไป นวลมองแผลที่มือ พลางนึกถึงภาพที่อยู่ในอ้อมกอดของทัด
ภาพที่เขาเดินหันหลังจากไป นวลจับหัวใจตัวเอง
“ทำไมฉันรู้สึกเหมือนรู้จักกับท่านมาก่อน”
เวลากลางคืน บริเวณสวนเรือนพระยาสุริน แขกเหรื่อข้าราชการและครอบครัวพากันเข้ามาในงาน เกลียวออกมาช่วยต้อนรับแขก พระยาสุรินพาเทิด ไปนำให้แขกเหรื่อรู้จัก
“ขอบใจคุณพระนะที่ให้แม่น้อยมาช่วยงาน”
“ด้วยความเต็มใจขอรับท่านเจ้าคุณ ยังไงกระผมขอตัวไปดูลูกก่อนนะขอรับ”
“ผมขอไปกับคุณพระด้วยนะครับ”
“พ่อเทิด ลูกอยู่กับพ่อก่อน มีแขกต้องรับรองอีกมาก”
คุณพระเกิดเดินออกไป มีข้าราชการเข้ามา พระยาสุรินต้อนรับ เทิดชะเง้อคอมองน้อย แต่ก็ยังไม่เห็นแต่แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นหน้าระพีที่ยิ้มโปรยเสน่ห์นำมา ตามมาด้วยคุณพระไว รำพึงและอัฐ เทิดเบือนหน้าหนีพระยาสุรินหันไปมองตาม เห็นกลุ่มมา
“อ้าวนั่นบ้านคุณพระไวมากันแล้ว”
ทั้งหมดมาถึงยกมือไหว้ พระยาสุรินแนะนำคุณพระไวให้รู้จักกับข้าราชการอื่น
“พระไวเดชาชาญมากินตำแหน่งใหม่ที่นี่ยังไงฉันก็ฝากพวกท่านด้วย”
“ขอรับ”
ระพีปรี่เข้าไปหาเทิด
“พี่เทิดคะ เรือนพี่เทิดตอนกลางคืนนี่สวยจังเลยนะคะ ระพีช้อบ ชอบ”
เทิดยิ้มแบบเป็นพิธี
“เจ้าคุณพ่อ ลูกขอตัวไปดูคุณน้อยก่อนนะครับ”
เทิดเดินฉากออกไป
“ใครคือคุณน้อยคะพี่อัฐ”
“พี่ไม่รู้หรอก”
สิ้นเสียงอัฐ พิณพาทย์มโหรีดังขึ้น
“เอ้านั่น การแสดงของแม่น้อยลูกสาวคุณพระเกิดบริรักษ์เริ่มแล้ว ไปดูกันเถอะ”
ทั้งหมดเดินไป ทิ้งระพีไว้
“ทำไมพี่เทิดต้องสนใจคุณน้อยด้วย”
บริเวณเวทีในสวนเรือนพระยาสุริน น้อยรำอย่างสวยงาม คนนั่งดูนั่งดูอย่างชื่นชม เทิดมองน้อยอย่างภูมิใจ แต่คนที่ดูจะตกอยู่ในภวังค์คืออัฐ เขามองใบหน้าน้อยที่แสนอ่อนหวานอย่างตะลึงงัน ระพีมองเทิดที่ส่งสายตามองน้อยอย่างขัดใจ
“ไม่เห็นจะมีอะไรวิเศษเลย ทำไมพี่เทิดมองตาค้างขนาดนี้”
ที่มุมหนึ่ง ทัดออกมายืนดูงาน สายตาก็ไปสะดุดอยู่กับภาพบนเวที เขาเห็นลูกสาวตัวเองกำลังร่ายรำงามชดช้อย
“ลูกพ่อ!”
บริเวณมุมคนดู รำพึงเบือนหน้าไปในทิศทางที่ทัดยืนอยู่ ภาพตรงหน้าเป็นใบหน้าของขุนพิทักษ์จริงๆ รำพึงตะลึงงัน รำพึงลุกขึ้นมา คุณพระไวดึงไว้ รำพึงหันกลับมามองสามี
“รำพึง น้องจะไปไหน”
“คือน้องคอแห้งค่ะคุณพี่ น้องจะไปหาอะไรดื่มสักหน่อย”
“น้องอยู่นี่แหละ เดี๋ยวพี่สั่งคนเอามาให้”
คุณพระไวดึงรำพึงลงนั่ง รำพึงหันขวับกลับไป แต่ไม่เห็นเงาของขุนพิทักษ์แล้ว รำพึงพยายามมองหาแต่ก็ไม่เห็น
ระพียืนด้วยความหงุดหงิดอยู่
“เชอะ ไม่เห็นจะรำสวยสักเท่าไหร่ ถ้าเป็นระพี จะรำสวยกว่านี้ตั้งเยอะ”
“แต่พี่ว่าคุณน้อยรำสวยดีนะ น่ามอง” อัฐบอก
“พี่อัฐบ้า ระพีไม่พูดด้วยแล้ว”
รำพึงมองหาไปทั่วงาน จนคุณพระไวสังเกตเห็นจึงเดินเข้าไปหา
“น้องมองหาใครอยู่เหรอ พี่เห็นน้องดูกระวนกระวายตั้งแต่ที่ชมการแสดง”
“น้องก็แค่สำรวจรอบๆงาน ศึกษาไว้ไงคะ เผื่อจะเอาไปจัดที่เรือนเราบ้าง”
พระยาสุริน เทิดเดินนำคุณพระเกิด กับ น้อยเข้ามา
“ฉันจะแนะนำให้รู้จักกันไว้ นี่คุณพระเกิดบริรักษ์เป็นหมอยาที่มีชื่อเสียง และนี่ก็ลูกสาว แม่น้อย”
น้อยยกมือไหว้ขุนไวกับรำพึงและอัฐ อัฐรับไหว้ แต่ระพีรับแบบขอไปที
“ส่วนนั่นก็คุณพระไวเดชาชาญ ข้าราชการฝ่ายมหาดไทยมากินตำแหน่งใหม่ที่นี่และก็แม่รำพึงภรรยา พ่ออัฐ แม่ระพี ลูกชาย ลูกสาว”
“ยินดีที่ได้รู้จักนะครับ”
“เช่นกันครับ ถ้ามีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกได้นะครับ” คุณพระไวบอก
“ลูกสาวรำสวยมากค่ะ”
น้อยขอบคุณรำพึง
“ใช่ครับ คุณน้อยรำสวยที่สุดเลยล่ะครับ พี่ชอบมาก” เทิดบอก
“ขอบพระคุณค่ะคุณเทิด”
“ถ้าอย่างนั้นเราปล่อยเด็กๆเขาทำความรู้จักกันดีกว่า คุณพระทั้งสองกับแม่รำพึงไปดื่มกับฉันดีกว่า”
คุณพระเกิดมองน้อยอย่างเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงหรอก คุณพระ ลูกชายฉันดูแลแม่น้อยได้”
พระยาสุรินดันคุณพระเกิดออกไป
เทิดพาน้อยมาที่ท่าน้ำ ระพีตามมาติดๆ อัฐจำต้องมาด้วย
“ระพี กับ อัฐไม่จำเป็นต้องตามฉันมาก็ได้นะ บ้านตั้งกว้างอยากไปไหนก็ตามสบาย” เทิดบอก
“น้อยว่าดีแล้วค่ะ อยู่ด้วยกันหลายๆคนสนุกดี”
“จริงค่ะคุณน้อย อยู่กันมากคน จะได้ไม่ต้องเป็นที่ครหา” ระพีบอก
“ระพีอย่าพูดแบบนี้”
น้อยถามขึ้น
“คุณอัฐ กับคุณระพี เพิ่งย้ายมาใช่มั้ยคะ วันหลังน้อยจะพาเที่ยว แต่น้อยคงพาลงเรือไม่ได้นะคะ เพราะน้อยว่ายน้ำไม่เป็น”
น้อยยิ้มตาใส อัฐมองอย่างชื่นชม แต่ระพีตวัดมองได้ความคิด
“ไม่ต้องลำบากคุณน้อยหรอกครับ เดี๋ยวเจ้าคุณพ่อของพี่จัดการเรื่องนี้เอง” เทิดบอก
ระพีหมั่นไส้
“โอ้ยระพี คอแห้งจังเลย พี่อัฐช่วยไปเอาน้ำให้ระพีหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้สิ คุณน้อยเอามั้ยครับเดี๋ยวพี่เอามาให้”
“เรื่องของคุณน้อยเป็นธุระของฉัน นายไม่ต้อง จำไว้...รอสักครู่นะครับคุณน้อย” เทิดบอก
อัฐกับเทิดเดินไปเอาน้ำ ระพียิ้มกระหยิ่ม
ระพีไปยืนอยู่ที่ปลายท่าน้ำ น้อยนั่งอยู่ที่ศาลา
“ทำไมคุณน้อยว่ายน้ำไม่เป็นล่ะคะ” ระพีถาม
“น้อยไม่กล้าน่ะค่ะ คุณพ่อเคยหัดให้ น้อยกลัวแทบตาย หลังจากนั้นก็ไม่หัดอีกเลย”
ระพียิ้มมุมปาก ทันใดนั้นระพีแกล้งเจ็บขา
“โอ้ย”
น้อยได้ยินเสียงระพีร้องก็ตกใจ
“คุณระพีเป็นอะไรคะ”
“ตัวอะไรกัดระพีก็ไม่รู้ค่ะ เจ็บจัง”
น้อยวิ่งลงไปดูระพี น้อยเข้าไปถึงตัวระพี
“คุณระพีไหวมั้ยคะ มาค่ะน้อยช่วย”
น้อยจับแขนระพี แต่ระพีเบี่ยงตัวหลบ น้อยเสียหลักตกน้ำ ตูม! น้อยดำผุดดำว่าย ระพีแกล้งตกใจ
“ว้าย! คุณน้อย ตกน้ำ เดี๋ยวระพีจะรีบไปตามคนมาช่วยนะคะ”
ระพีเดินจากไปปล่อยน้อยให้เผชิญความตายอยู่ตรงนั้น
“เชอะ อยากเป็นดาวเด่นนัก มันต้องโดนแบบนี้”
น้อยสำลักน้ำ ทั้งกลัว ทั้งพยายามเอาชีวิตรอด ทันใดนั้นที่มุมหนึ่งก็มีเสียงตูม เหมือนคนโดดน้ำ
ในขณะที่น้อยกำลังจะหมดแรง ทัดว่ายเข้ามาช่วยน้อยขึ้นฝั่ง
ทัดวางน้อยลงที่พื้นน้อยสำลักน้ำ ทัดลูบหน้าลูบตาน้อยด้วยความเป็นห่วง
“ว่ายน้ำไม่เป็นเหมือนแม่ไม่มีผิด”
แต่จังหวะที่น้อยสำลักน้ำ ทัดลูบตัวน้อย อัฐถือน้ำเข้ามา อัฐเห็น
“จะทำอะไรน่ะ”
อัฐทิ้งน้ำเข้าผลักทัด อัฐวิ่งเข้าไปหาน้อย อัฐและทัดสบตากัน ทัดจะลุกเข้าไปหา
“ไม่ใช่นะครับ...”
อัฐใช้ตัวบังน้อย ตาพร้อมสู้
“อย่าเข้ามานะ”
“คุณน้อยครับ คุณน้อย”
ทัดหันไปตามเสียง ทัดต้องตัดสินใจวิ่งหนีจากไป เทิดวิ่งเข้ามาเห็นอัฐกอดน้อย เทิดเข้าผลักอัฐทันที
“คุณน้อยเป็นอะไรไปครับ”
ระพีวิ่งเข้ามา
“ระพี คุณน้อยเป็นแบบนี้ได้ยังไง”
“คุณน้อยพลาดตกน้ำ ระพีก็รีบไปเรียกคนมาช่วย ระพีไม่ได้ทำอะไรเลยนะคะ”
กลุ่มผู้ใหญ่ทยอยเข้ามา คุณพระเกิดวิ่งเข้าไปดูลูกสาว เทิดจำต้องถอยออกมา น้อยเห็นพ่อร้องไห้
“ไม่เป็นไรนะลูก ไม่เป็นไรแล้ว”
คุณพระเกิดอุ้มลูกสาวตัวเองขึ้นมา
“กระผมต้องขอตัวนะขอรับท่านเจ้าคุณ”
อัฐมองตามน้อยอย่างสงสาร รำพึงมองลูกสาวอย่างรู้ทัน
บริเวณเรือนทัด ทัดถอดเสื้อที่เปียกออก ทันใดนั้นที่หน้าห้องมีเสียงเคาะประตู ขุนพิทักษ์ลุกไปเปิด เกลียวยืนอยู่
“เกลียว ทำไมเอ็งไม่อยู่ในงาน”
“พี่ทัดเป็นคนช่วยคุณน้อยไว้ใช่มั้ย”
“เอ็งรู้ได้ยังไง”
เกลียวหันไปมองเสื้อที่เปียกที่อยู่บนพื้น
“พี่ช่วยคุณน้อยทำไม”
“เพราะคุณน้อย คือ ลูกของพี่”
เกลียวตะลึงกับสิ่งที่ทัดบอกออกมา
“หมายความว่า...คุณนวล ภรรยาคุณพระเกิด ก็คือเมียของพี่”
“ใช่”
“พี่เจอลูกเมียพี่ แล้วพี่จะไปจากฉันใช่มั้ย”
เกลียวพุ่งเข้ากอดทัด ทัดผงะด้วยความตกใจ
“เกลียว อย่าทำแบบนี้”
“ทำไมจะทำไม่ได้ ทีคนที่ฉันไม่ได้รัก ฉันยังเป็นของมันได้ กับคนที่ฉันรัก ทำไมฉันจะเป็นของเขาไม่ได้ ฉันต้องการเป็นของพี่ พี่ทัดฉันรักพี่ ได้ยินมั้ยว่าฉันรักพี่”
ทัดพยายามดึงตัวเกลียว แต่เกลียวยังนัวไม่ยอมหยุด จนทัดจำต้องผลักเกลียวกระเด็นไป
“ทำแบบนี้ไม่ได้นะเกลียว มันบาป เอ็งเป็นเมียท่านเจ้าคุณ ข้าก็มีลูกมีเมียแล้ว ถ้าเราทำมันจะพาเราลงนรก”
“ฉันตกนรกตั้งแต่วันที่ฉันเป็นเมียไอ้แก่นั่น แต่สำหรับพี่ เพราะฉันรัก ฉันถึงทำ”
“ข้าขอโทษที่ข้ารักเอ็งไม่ได้ ไม่มีวันที่ข้าจะรักใครได้อีก เอ็งกลับไปเถอะเกลียว”
เกลียวร้องไห้ตัวโยน
“ฉันอยากให้พี่รู้ว่าฉันยอมทำทุกอย่างเพื่อพี่”
เกลียวเดินออกไปทิ้งความกังวลไว้ให้ทัด
ภายในห้องนอน รำพึงนั่งใจลอย ภาพขุนพิทักษ์ยังจำติดตา
“เป็นคุณพี่จริงๆ”
คุณพระไวเปิดประตูห้องมา รำพึงสะดุ้ง
“น้องตกใจอะไร คิดอะไรอยู่ถึงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
“น้องคิดถึงเรื่องยัยระพีกับพ่อเทิดน่ะค่ะ”
“ลูกเรายังเด็กก็คงจะเพลิดเพลินไปตามวัย ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก”
“แต่มันก็เป็นผลดีกับเราไม่ใช่เหรอคะ ถ้าเราจะได้ดองกับท่านเจ้าคุณ”
คุณพระไวมองรำพึงที่คิดการใหญ่
ภายในห้องนอน ระพีปาหมอนใส่อกจวงเต็มๆ
“อูย จุกเจ้าค่ะ”
“หึ้ย...นังน้อยมันน่าหมั่นไส้จริงๆเลยน้าจวง ทำตัวสนิมสร้อย ทั้งพี่เทิดทั้งพี่อัฐมองแต่มัน มันมีดีอะไรนักหนา”
“คุณอัฐเนี้ยนะคะมองผู้หญิง”
“ก็ใช่น่ะสิ ตาวาวเชียว แต่ใครมองมันก็ไม่เท่ากับพี่เทิดมองมัน ระพีเกลียดขี้หน้ามันนัก น่าจะจมน้ำ ตายๆไปเลย”
“อุ่ย...อย่าให้ถึงขั้นนั้นเลยเจ้าค่ะคุณหนูของจวง เอ๊...เมื่อกี้คุณระพีบอกว่าคุณอัฐดูจะชื่นชอบคุณน้อยนั่น ทำไมคุณระพีไม่ให้คุณอัฐขวางคุณเทิดกับคุณน้อย ล่ะเจ้าคะ”
“จริงด้วย...น้าจวงฉลาดที่สุดเลย คอยดูนะ ระพีจะไม่ยอมให้นังน้อยมาแย่งพี่เทิดได้เป็นอันขาด”
ภายในห้องนอน อัฐนั่งมองดวงจันทร์ที่นอกหน้าต่าง แต่หน้าน้อยกลับลอยเด่นอยู่ใกล้ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพน้อยรำ น้อยยกมือไหว้ น้อยยิ้มแล้วบอกว่าว่ายน้ำไม่เป็น จนถึงใบหน้าน้อยที่เปื้อนน้ำ
“คุณน้อย”
อัฐยิ้มให้กับตัวเอง เป็นครั้งแรกที่หัวใจของเขาเต้นโครมคราม
เวลาเช้าที่ห้องอนนรำพึง จวงตกใจอ้าปากหวอ
“ผีท่านขุนพิทักษ์ฟื้นคืนชีพเหรอเจ้าคะ”
รำพึงปิดปากจวง
“หุบปากให้สนิทนังจวง อย่าให้เรื่องนี้รู้ไปถึงหูคุณพี่เด็ดขาด”
จวงพยักหน้า รำพึงเปิดปากจวง
“เอ็งต้องไปสืบให้ข้าว่าที่ข้าเห็น มันคนเป็นหรือคนตาย เอาความมาให้ได้ว่าคุณพี่พิทักษ์ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า”
“ทำไมเรื่องผีๆต้องให้จวงทำทุกทีเลยเจ้าคะ”
“จะทำหรือไม่ทำ”
“ก็ต้องทำน่ะสิเจ้าคะ ทูนหัวของบ่าว”
จวงหน้าแหย รำพึงมีความหวัง
ภายในห้องนอน ระพีหวีผมอยู่ที่หน้ากระจก รำพึงเปิดประตูเข้ามา
“เรื่องเมื่อวาน ฝีมือลูกใช่มั้ยระพี”
ระพีตกใจ
“คุณแม่อย่าปรักปรำลูกแบบนั้นสิคะ ลูกไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ถ้าแกไม่พูดความจริงกับแม่ แม่ก็คงช่วยอะไรแกไม่ได้”
“คุณแม่จะช่วยระพีเหรอคะ”
“ถ้าแกอยากได้พ่อเทิดแกต้องบอกแม่”
ระพีตัดสินใจบอก
“ระพีก็แค่แกล้งนังน้อยไม่ได้คิดว่ามันจะเป็นเรื่องใหญ่นี่คะ ก็ระพีหมั่นไส้นังน้อย พี่เทิดไม่สนใจระพีเลยค่ะคุณแม่ มัวแต่จ้องนังน้อยอยู่ได้”
“เรื่องแกล้งแม่น้อย แม่ไม่ได้ว่าอะไร แต่แม่อยากให้แกใช้สมองมากกว่านี้”
ระพีหันขวับมองอย่างแปลกใจแล้วคิดนิดนึงก่อนพูด
“เรื่องนี้ระพีคงต้องให้พี่อัฐช่วย”
“ทำไมต้องดึงพี่อัฐเข้าไปเกี่ยวด้วย”
“ก็พี่อัฐดูจะชอบนังน้อยอยู่เหมือนกัน ถ้าพี่อัฐช่วยกันนังน้อยออกไปจากพี่เทิดได้ อย่างน้อยระพีก็จะมีความหวัง เรื่องพี่เทิดใช่มั้ยคะคุณแม่”
รำพึงนิ่งคิด ระพีดูมีความหวัง
บริเวณโถงเรือนคุณพระไว รำพึงส่งของให้อัฐ
“ตาอัฐ ลูกช่วยเป็นตัวแทนเอาโสมนี่ไปฝากคุณพระพ่อของหนูน้อยแทนพ่อกับแม่หน่อยนะ”
ระพีแอบอมยิ้ม
“คุณพ่อไม่ไปด้วยกันเหรอครับ”
“เรื่องแค่นี้ถ้าทำเองไม่ได้ ก็ไม่ต้องไปทำอะไรแล้ว” คุณพระไวบอก
ระพีเดือดร้อนกลัวอัฐไม่ได้ไป
“คุณพ่ออย่าว่าพี่อัฐอย่างนั้นสิคะ คุณแม่คะ”
ระพีหาตัวช่วย
“คุณพ่อมีราชการน่ะลูก แต่แม่อยากให้เราผูกมิตรกันไว้ เรื่องเมื่อคืนที่เกิดขึ้นกับหนูน้อย อาจทำให้คุณพระเกิดไม่สนิทใจกับพวกเราได้”
ระพีสะดุ้ง รำพึงตวัดตาไปมองระพี
“ครับคุณแม่ ผมจะไปเองครับ”
ระพียิ้มชนะที่แผนขั้นแรกสำเร็จ
ในห้องนอนของน้อย นวลเอาผ้าประคบหน้าผากให้ลูกสาว
“บอกพ่อมา ใครทำลูกตกน้ำ”
“น้อยพลาดเองค่ะคุณพ่อ น้อยจะไปช่วยคุณระพี แต่ไม่ทันระวังตัวก็เลยพลัดตกน้ำ”
“แน่ใจนะว่าไม่ได้ปิดพ่อ”
“แน่ใจค่ะคุณพ่อ เชื่อน้อยสิคะ”
“แล้วใครช่วยลูกขึ้นมาล่ะแม่น้อย” นวลถาม
“พ่ออัฐ หรือ พ่อเทิด” คุณพระเกิดถาม
“ไม่ใช่ทั้งสองคนค่ะ”
“ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นใคร”
น้อยยันตัวลุกขึ้นมา
“คุณลุงคนนั้นที่เคยช่วยแม่นวลที่ตลาดเป็นคนช่วยน้อยขึ้นมาค่ะคุณพ่อ ถึงน้อยสำลักน้ำ แต่น้อยก็ยังพอจำหน้าคุณลุงได้ น้อยยังได้ยินคุณลุงพูดว่าว่ายน้ำไม่เป็น เหมือนแม่ไม่มีผิด น้อยยังแปลกใจว่าเขารู้ได้ยังไงว่าแม่นวลว่ายน้ำไม่เป็น”
นวลคิดถึงภาพชายคนนั้น
“ช่างเถอะ ลูกปลอดภัยก็ดีแล้ว” คุณพระเกิดตัดบท
“คุณพ่อคะ น้อยว่าคุณลุงคนนั้นต้องทำงานอยู่ในเรือนท่านเจ้าคุณสุรินแน่ๆเลยค่ะ”
“แม่น้อยจะทำอะไรเหรอลูก” นวลถาม
“น้อยอยากไปขอบคุณคุณลุงค่ะแม่ที่เขาช่วยชีวิตน้อยไว้ เขาช่วยทั้งน้อยทั้งแม่นวล หรือว่าเขาจะเป็นผู้พิทักษ์ของเราคะแม่”
“เพ้อเจ้อน่ะยัยน้อย พ่อว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่า”
“แต่น้อยก็ยังอยากขอบคุณเขา คนทำดีควรได้รับสิ่งดีตอบแทนไม่ใช่เหรอคะคุณพ่อ”
นวลลูบหัวลูกสาว
“พาลูกไปเถอะค่ะคุณพี่ ลูกอยากทำดีเราควรสนับสนุนนะคะ”
น้อยโผเข้ากอดนวล
ผ่านเวลามา อัฐยืนรออยู่ที่หน้าเรือนคุณพระเกิด
“รอสักครู่นะคะ คุณท่านกำลังจะออกมา”
“ขอบคุณครับ”
อัฐเดินชมบริเวณบ้านที่ร่มรื่น
“คุณพระกับแม่น้อยไม่อยู่หรอกจ้ะ” นวลบอก
อัฐหันไปตามเสียง นวลกับอัฐได้เจอกัน นวลสัมผัสได้ถึงความรู้สึกบางอย่าง
“ผมอัฐครับ ลูกชายคุณพระไว กับแม่รำพึง ผมเอาของมาฝากคุณพระครับ”
อัฐยิ้มจริงใจ นวลต้องชะตากับเด็กคนนี้
บริเวณโถงเรือน นวลเอาขนมมาวางให้ตรงหน้าอัฐ
“ขอบคุณครับ”
“น้าต่างหากที่ต้องขอบใจพ่ออัฐที่มีน้ำใจเอาของมาฝาก”
อัฐจิ้มขนมขึ้นมา
“เอาเป็นว่าเราหายกันนะครับ”
อัฐเอาขนมใส่ปาก นวลขำออกมา
“เรือนคุณน้าสวยจังนะครับ ดูสงบ ร่มรื่น”
“คุณพระเธอชอบต้นไม้ ส่วนแม่น้อยก็ชอบปักผ้า เรือนนี้ก็เลยมีแต่ต้นไม้กับผ้าปักของแม่น้อย”
“ท่าทางคุณน้อยจะได้ครูดีใช่มั้ยครับ ถึงผักผ้าออกมาสวยแบบนี้”
“น้าก็สอนเท่าที่น้าพอจะรู้ งูๆปลาๆนะจ๊ะ”
“คุณน้าเป็นแบบนี้นี่เอง คุณน้อยถึงใจดีเหมือนคุณน้า”
นวลมองอัฐด้วยแววตาเอ็นดู สายตาของอัฐเหลือบไปเห็นกริชตั้งโชว์ที่ตั้งประดับที่อยู่ด้านหลังนวล
“กริชนั่นสวยจังนะครับ”
“พ่ออัฐอยากดูมั้ย”
“ดูได้เหรอครับ”
นวลยิ้มให้แล้วลุกขึ้นไปหยิบกริชมา
“ชอบก็ดูเถอะจ๊ะ ของน้าเอง คุณพระเอามาตั้งโชว์ไว้เพราะเห็นว่าสวยดี และก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร”
นวลส่งกริชให้อัฐ อัฐรับไปดู อัฐดูกริชอย่างชื่นชม
“ไม่รู้ทำไม ตอนเด็กๆผมฝันถึงกริชแบบนี้บ่อยๆ แล้วกริชเล่มนี้ก็เหมือนในฝันของผมเหลือเกิน”
นวลมองหน้าอัฐขณะพูด อัฐเงยมาเห็นนวลมองด้วยแววตาเอ็นดู
“สวยจริงๆ ครับ”
อัฐยื่นกริชคืน นวลยื่นมือมารับ ปลายนิ้วของนวลไปโดนอัฐ สัมผัสพิเศษบังเกิดขึ้น
จบตอนที่ 12
โปรดติดตามตอนที่ 13