มณีสวาท ตอนที่ 12
ที่โต๊ะอาหารเช้าในห้องอาหารวังนาเคนทร์ หม่อมภาณีวางแก้วกาแฟในมือลง สีหน้าท่าทางกลัดกลุ้มใจมาก นารีวรรณคอยปลอบ
“ถ้าคุณแม่เป็นห่วงพี่ชายมาก..คุณแม่ก็โทร.บอกพี่ชายสิคะ...ให้กลับมาบ้าน”
“โทร.ไปก็ไม่รับ”หม่อมภาณีทั้งห่วง ทั้งโกรธ พูดเสียงเครือๆ “ความรักกำลังทำให้พี่เราตามืดบอด ไม่มอง ไม่ฟัง ไม่ยอมรับรู้อะไรทั้งนั้น แม้แต่ความรัก ความหวังดีของแม่”
“งั้นเดี๋ยวหนูนาโทรฯตามพี่ชายเองค่ะ” นารีวรรณรีบหยิบมือถือทำท่าจะกดโทร.ออก
“ขนาดแม่...ตาชายยังไม่เชื่อ แล้วคิดเหรอว่าตาชายจะสนใจหนูนาเหรอลูก” หม่อมบอกเสียงเศร้า
นารีวรรณเงียบไปนิด “แล้วเราจะทำยังไงดีล่ะคะ พี่ชายถึงจะยอมกลับบ้าน”
“ก็คงต้องไปตามถึงบ้านเจ้าอุรคา”
“แล้วคุณแม่รู้จักบ้านเจ้าอุรคาหรือคะ”
หม่อมภาณีรู้ดีว่าใครจะรู้เรื่องนี้
หม่อมภาณีพาตัวเองมาอยู่ที่ที่ร้านเพชรของเจ้าประกายคำ ท่าทีร้อนรุ่ม เจ้าประกายคำกลับบอกว่าตนไม่รู้จักที่อยู่
“ดิฉันไม่ทราบจริงๆ ค่ะหม่อม ว่าบ้านของเจ้าอุรคาอยู่ที่ไหน”
หม่อมภาณีงง “อ้าว! ก็ดิฉันเห็นเจ้ากับเจ้าอุรคาออกจะสนิทสนมกัน”
“ดิฉันรู้จักเท่าที่เจ้าอยากให้รู้จักน่ะค่ะ”
หม่อมภาณีพึมพำอย่างแปลกใจ “รู้จักเท่าที่เจ้าอยากให้รู้จัก?”
เจ้าประกายคำยิ้มอ่อนโยน “ก็เหมือนกับที่ทุกคนรู้กันดี เจ้าค่อนข้างถือความเป็นส่วนตัว ดิฉันพูดคุยติดต่อกับเจ้าเฉพาะเรื่องธุรกิจเท่านั้นค่ะ”
หม่อมภาณีนิ่วหน้า ยุ่งยากใจ “แล้วดิฉันจะติดต่อกับเจ้าอุรคาได้ยังไงบ้างค่ะเจ้า”
เจ้าประกายคำนึกสงสัย “คุณชายภุชคินทร์ก็สนิทสนมกับเจ้าอุรคามิใช่หรือคะ? หม่อมไม่คุยกับคุณชายดู”
หม่อมภาณีอึกๆ อักๆ ยิ้มกลบเกลื่อน “ช่วงนี้ตาชายงานยุ่งน่ะค่ะ กลับดึกทุกวันเลย...ดิฉันมีเรื่องด่วนจะคุยกับเจ้าอุรคา แต่ไม่รู้จะติดต่อกับเจ้ายังไง”
“จนปัญญาจะช่วยจริงๆ ค่ะ เพราะตอนนี้ดิฉันก็ติดต่อเจ้าไม่ได้เหมือนกัน จู่ๆ เจ้าก็หายตัวไป ราวกับว่า ต้องการปลีกตัวออกจากวงสังคม”
หม่อมภาณีหน้านิ่วคิ้วขมวด ยุ่งยากใจมาก “งั้นดิฉันไม่มีทางจะติดต่อกับเจ้าอุรคาได้เลยหรือคะ”
เจ้าประกายคำนิ่งไปนิด “หม่อมไม่ลองไปที่เฮือนภูจำปาดูล่ะคะ”
ดวงตาของหม่อมภาณีเป็นประกาย มีความหวังขึ้นมา
ตอนค่ำวันนั้น ภิงคารเคลียร์งานอยู่ที่กระทรวงฯ พร้อมกับคุยโทรศัพท์ท่าทีตกใจ
“อะไรครับ พี่ภาณีจะไปภูจำปา”
หม่อมภาณี เดินกระวนกระวายอยู่ในวัง บอกน้องชายอย่างร้อนรนว่า
“ใช่...พี่จะไปตามตาชายกลับมา!”
“ก็แล้วทำไม พี่ภาณีถึงได้คิดว่านายชายจะไปอยู่ที่ภูจำปา”
หม่อมภาณีไม่มั่นใจนัก แต่เถียง “ก็...เจ้าอุรคาอยู่ที่นั่น ตาชายก็ต้องอยู่ที่นั่นด้วยสิ”
“นายชายเค้าอาจจะอยู่เมืองไทย....แต่เป็นที่ไหนซักแห่งก็ได้”
“พี่มั่นใจว่าตอนนี้เจ้าอุรคาไม่ได้อยู่ที่นี่ เพราะไม่มีใครติดต่อเจ้าได้ อีกอย่างตาชายก็หายตัวไปแล้วจะให้พี่คิดยังไง”
ภิงคารเตือนสติ “ผมว่าพี่ภาณีใจเย็นๆ ก่อนดีมั้ยครับ”
“จะให้พี่เย็นได้ยังไงภิงคาร ลูกพี่หายไปทั้งคน ไม่ได้หายไปกับคนธรรมดา แต่หายไปกับผี”
ระหว่างนั้นภุชคินทร์เดินเข้ามาทันได้ยินพอดี ถามหม่อมแม่อย่างเหนื่อยๆ
“ใครหายไปกับผีครับคุณแม่?”
หม่อมภาณีชะงักหันมาทางเสียง
“ตาชาย”
หม่อมภาณีวางโทรศัพท์ลงในทันที ภิงคารงง
“พี่ภาณีๆๆๆ”
ภาณีวางสายไปแล้ว ภิงคารทำหน้างุนงงปนหนักใจ
หม่อมภาณีกับนารีวรรณมองหน้าภุชคินทร์ชนิดที่เรียกว่าจ้องตาไม่กระพริบ จนภุชคินทร์ต้องถาม
“ผมมีอะไรผิดปกติหรือครับ คุณแม่ถึงได้จ้องมองผมอย่างนี้”
“แม่มอง...เพราะอยากรู้ว่า ชายยังเป็นลูกของแม่คนเดิมหรือเปล่า”
สองแม่ลูกมองหน้ากัน
สายตาภุชคินทร์มีแต่ความงุนงง แต่แววตาหม่อมภาณีมีแต่ความรักความห่วงใย โผเข้าไปกอด พลางจับตามเนื้อตามตัวเป็นห่วงน้ำตาคลอ
“ชายยังมีเลือดเนื้อ มีตัวตน....แม่ดีใจเหลือเกิน” หม่อมพูดละล่ำละลัก “แม่รักชายมากนะลูก รักมากที่สุดในชีวิต”
“ผมก็รักคุณแม่มาก รักที่สุดชีวิต”
“จริงนะลูก..จริงนะ” หม่อมภาณีมองอย่างปลาบปลื้มดีใจ วอนเว้าเสียงแผ่ว “งั้น...ชายอยู่กับแม่นะลูก อยู่กับแม่ อย่าไปอยู่กับเจ้าอุรคา”
“ผมก็ไม่ได้ไปกับเจ้าอุรคานี่ครับคุณแม่”
หม่อมภาณีมอง สีหน้าไม่เชื่อ “ไม่จริง ชายกำลังโกหกแม่”
“ผมจะโกหกคุณแม่เพื่ออะไร”
หม่อมภาณีบอกเสียงเข้ม “เพราะชายรู้ ว่าแม่ไม่ยอมให้ชายไปอยู่กับเจ้าอุรคาน่ะสิ”
ภุชคินทร์บอกด้วยท่าทีจริงจัง “ผมไม่ได้ไปอยู่กับเจ้าอุรคาจริงๆ ครับ”
“งั้นบอกแม่มาสิ ว่าชายหายไปไหนตั้งหลายวัน บอกมาสิ!”
“ผม!” ภุชคินทร์ ลำบากใจ ไม่อยากบอกที่มีเรื่องกับสุบรรณ
หม่อมภาณียิ่งโกรธ “ฮึ! ชายบอกไม่ได้ เพราะชายไปอยู่กับเจ้า” พร้อมกวาดมองตามตัว เห็นรอยฟกช้ำ ก็นึกถึงความฝัน ตอนเจ้าอุรคาขย้ำภุชคินทร์
หม่อมคิดเตลิดไปใหญ่ ทั้งกลัว ทั้งห่วง “แล้วนี่รอยอะไร เจ้าอุรคาทำลูกใช่มั้ย” หม่อมตรงเข้ามาดูรอยตามเนื้อตัว “เจ้าอุรคาทำลูกใช่มั้ย”
ภุชคินทร์เบี่ยงตัวออก “ไม่ใช่ครับแม่”
หม่อมภาณีคาดคั้น “งั้นใครทำ”
“ไม่ใช่เจ้าอุรคาแน่นอนครับ”
“ชาย! นี่ลูกกำลังโกหกแม่ กำลังปกปิดแม่ เพื่อช่วยผู้หญิงคนนั้น”
“มันไม่ใช่อย่างที่คุณแม่คิด”
“งั้นบอกแม่มา” หม่อมภาณีจับตามรอย “รอยพวกนี้ ใครเป็นคนทำ”
“คุณแม่เลิกคาดคั้นผมซะทีได้มั้ย ผมบอกว่าไม่ใช่เจ้าอุรคาก็เชื่อผมบ้างสิ”
ภุชคินทร์กระแทกเท้าเดินปึงปังหนีไป ท่าทีฉุนจัด หม่อมภาณีกรีดร้อง
“แม่ไม่เชื่อ ชายกลับมาคุยกับแม่ให้รู้เรื่องก่อนนะตาชาย ตาชาย!”
ภุชคินทร์ไม่หยุด หม่อมภาณีร้องไห้โฮๆ
“เป็นเพราะเจ้าอุรคาคนเดียว ทำให้ตาชายเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้”
นารีวรรณเข้ามาปลอบ “คุณแม่คะ ใจเย็นๆ ก่อนค่ะ พี่ชายอาจจะไม่ได้ไปกับเจ้าอุรคาจริงๆ ก็ได้นะคะ”
หม่อมภาณีเสียงดัง “งั้นบอกแม่สิ ว่าตาชายไปกับใคร”
นารีวรรณนิ่ง ใจจริงก็แอบคิดอย่างนั้น หม่อมภาณีโกรธขึ้นมาอีก
“ไม่ต้องมาปลอบแม่ หนูนาก็คิดอย่างแม่นะแหละ” หม่อมร้องไห้ออกมาอีก “ลูกนะลูกทำไมไม่คิดถึงหัวอกแม่บ้างเลย” พร้อมกับทิ้งตัวลงบนพนักโซฟาอย่างหมดแรง “แล้วแม่จะทำยังไงหนูนา แม่ต้องทำยังไง?”
หม่อมภาณีถอนสะอื้นร่ำไห้แทบขาดใจ
นารีวรรณได้แต่กอดปลอบผู้เป็นมารดา สีหน้าว้าวุ่น ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน
ราตรีนั้นที่ใต้ลำน้ำโขง เจ้าอุรคายืนอยู่ ดวงหน้าเศร้าหมอง เสียใจกับสิ่งที่ภุชคินทร์ทำ คำพูดของชรายุดังก้องในหัว
“ทุกชีวิตล้วนรักตัวเองยิ่งกว่าสิ่งใด ไม่มีใครจะสละชีวิตได้เพื่อใครค่ะเจ้า”
เจ้าอุรคา น้ำตาซึม อาการเสียใจ เจ็บปวดใจกำเริบขึ้นมาอีก
“เราเลือกท่าน แต่ท่านกลับเลือกตัวเองภุชเคนทร์” เจ้าอุรคาพูดพลางยืดหน้าขึ้น พูดกับตัวเอง เหมือนต้องตัดสินใจเด็ดขาดแล้ว “เจ้าต้องถามตัวเองอุรคา..เจ้าจะมีชีวิตอยู่เพื่อเค้าเท่านั้นหรือ เจ้าต้องเร่งสร้างบารมีให้ตัวเอง อุรคา”
เจ้าอุรคาหลับตาลง พยายามตั้งสมาธิอย่างยากเย็น
รุ่งเช้าสุบรรณกำลังใส่บาตรพระที่หน้าคฤหาสน์ด้วยอาการนิ่งสงบ เยือกเย็น อำนาจและ
บรรดาลูกน้องมองสุบรรณอย่างงงๆ พระเดินไปแล้ว สุบรรณเดินไปกรวดน้ำใต้ต้นไม้ใหญ่ในบ้าน
“ผมจะพยายามหยุดความรู้สึกที่ยังมีความโกรธ และเกลียดต่อคุณทั้งสอง จะไม่สร้างวิบาก
ต่อ การทำบุญทุกครั้งต่อจากนี้ขอเป็นการอโหสิกรรม ต่ออดีตชาติที่ได้เคยล่วงเกินพวกคุณ เจ้าอุรคา คุณชาย”
สีหน้าของสุบรรณมีรอยยิ้มบางๆ เหมือนคนที่ปลดปลงแล้ว พยายามปล่อยวาง ก่อนเดินมาหาอำนาจที่ยืนรออยู่อีกมุม บอกนิ่งๆ เสียงไม่แข็งกระด้าง
“อำนาจต่อไป ไม่ต้องมีบอดี้การ์ด รปภ.ในบ้าน ก็มีเท่าที่จำเป็น” สุบรรณจะเดินไป
อำนาจงงมาก “ทำไมครับนาย”
“อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด เพราะฉะนั้นปล่อยมันไปตามที่วิถีที่มันควรจะเป็น”
สุบรรณเดินเข้าบ้านไป อำนาจมองตามแบบงงมาก
“เกิดอะไรขึ้นกับนาย”
อำนาจเดินตามสุบรรณไปด้วยความงุนงง แต่ต้องชะงักเมื่อลูกน้องอีกคนเดินเข้ามา ถามแบบคาใจ
“มีอะไรหรือเปล่าลูกพี่”
อำนาจงงคำถาม “ทำไม”
“ก็....เมื่อเช้าท่านสั่งให้ผมเตรียมของไปทำบุญเยอะแยะมากมาย ไม่ใช่ที่เดียวนะลูกพี่แต่ แทบจะทุกที่เลย”
อำนาจนิ่งงัน ตอบไม่ได้เหมือนกัน แต่ทำตาขวาง พูดปกป้องสุบรรณ
“นายสั่งอะไรก็ทำตามที่นายสั่ง ยังไงเราก็ต้องอยู่คอยดูแลรับใช้นายอยู่แล้ว จะสงสัยไปทำไม”
อำนาจเดินกลับเข้าไปด้านใน ลูกน้องเกาหัวแกรกๆ
“จะไม่ให้สงสัยได้ยังไง ที่ผ่านมานายเคยทำอย่างนี้ที่ไหนละ”
ตลอดทั้งวันอำนาจติดตามสุบรรณที่เดินทางไปทำบุญตามสถานที่ต่างๆ เช่น โรงทาน สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า บ้านคนชรา คนตาบอด คนพิการ แจกผ้าห่ม แจกถุงยังชีพ รวมทั้งข้าวสารอาหารแห้ง สุบรรณ พร้อมเหล่าคณะ บริวาร ทำบุญ มีกองทัพนักข่าวแห่ไปเก็บภาพสุบรรณ
สีหน้าของสุบรรณมีแต่ความอิ่มเอิบใจ
วันต่อมาหนังสือพิมพ์ลงข่าวสุบรรณทำบุญครั้งใหญ่ ไพศิษฐ์อ่านหนังสือพิมพ์อยู่ในห้องทำงาน บนโรงพัก จ่าชิดยื่นหน้าเข้าไปดูด้วยแบบสอดรู้สอดเห็นตามประสา
“จะมีการเลือกหัวหน้าใหม่รึไงครับผู้กอง ท่านสุบรรณ ถึงได้หมั่นทำบุญ สงเคราะห์ผู้คนกันเหลือเกิน แหม้...ดูแล้วพลอยอิ่มบุญไปด้วย นี่ถ้ามีการเลือกครั้งหน้า ผมคงต้องเลือกของท่านสุบรรณแน่ๆ”
ไพศิษฐ์พูดเยาะ “ทำบุญบังหน้า ทำบุญหวังผล”
“ผมแค่พูดเล่น” จ่าชิดบอกจริงจัง “ท่านสุบรรณคงไม่ได้ทำเอาหน้าหรอกครับ เพราะยังไม่มีวี่แววว่าจะเลือกใหม่เลย ผมว่าท่านสุบรรณคงได้พบความสุขจากรสพระธรรมมากกว่า”
“เหรอ? แต่ผมว่าคนอย่างท่านสุบรรณไม่ต่างจากสุนัขขี้เรื้อนคลุมกายด้วยหนังราชสีห์” ไพศิษฐ์บอก
จ่าชิดงง “หมายความว่ายังไงครับผู้กอง”
ไพศิษฐ์มองจ่าชิด “ต้นถั่วงอกขึ้นเต็มตาของจ่า ไปถอนมันออกซะ” แล้วเดินออกไป
“โอ๊ย! งงกว่าเดิมสิครับท่าน ถามดีๆ ทำไมต้องให้แปลด้วย มึนตึ้บเลย อะไรวะ? ต้นถั่วงอกขึ้นเต็มตา” จ่าเอามือคลำตาตัวเอง “ตาถั่ว ถั่วตรงไหนวะ”
จ่าชิดไม่รู้ตัวว่าถูกไพศิษฐ์ด่า ได้แต่ทำหน้างงอยู่อย่างนั้น
ขณะเดียวกัน ที่ริมสระน้ำบริเวณวังนาเคนทร์ สองสาวเดินคุยกันอยู่ พะนอฤดีบอกนารีวรรณท่าทีเกรงอกเกรงใจ
“ขอโทษนะหนูนา...ถ้าฤดีจะบอกว่าพี่ชายตาถั่ว ไม่รู้หรือไง ว่าเจ้าอุรคาไม่ใช่คนธรรมดา”
“นั่นน่ะสิ! ความรักบังตามันเป็นไปได้ขนาดนี้เชียวหรือ หนูนาล่ะกลุ้มใจจริงๆ เลยพี่ฤดี ไม่รู้จะแยกพี่ชายกับเจ้าอุรคาออกจากกันได้ยังไง?” นารีวรรณห่วงพี่ชายจนมองเจ้าอุรคาเป็นอื่นไปแล้ว
พะนอฤดีลอบยิ้ม “ฤดีก็บอกหนูนาแล้วไง ว่าฤดีจะช่วย”
นารีวรรณมองแล้วยิ้ม สายตาเต็มไปด้วยความหวัง พะนอฤดียิ้มตอบ
“ฤดีจะช่วยหนูนาเอง แต่ฤดีมีเรื่องลำบากใจอยู่นิดนึง”
“อะไรเหรอพี่ฤดี”
พะนอฤดียิ้มขณะบอก “ก็...ฤดีกลัวว่า หนูนาจะรังเกียจพี่สะใภ้คนนี้น่ะสิ”
นารีวรรณตาโต “พี่สะใภ้”
พะนอฤดียิ้มรับ พยักหน้าเขินๆ แต่ก็ชอบใจอยู่ในที
“ก็...มันคงเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้พี่ชายเลิกยุ่งกับเจ้าอุรคา
พะนอฤดีแลอบยิ้มอย่างสาสมใจ
ฟากภุชคินทร์นอนอยู่ในห้อง ท่าทางไม่สบอารมณ์ ไม่สบายใจ รู้สึกผิดกับที่ทำลงไป
“หรือเจ้าจะรู้...ว่าผมใช้เจ้าเป็นเครื่องมือเพื่อเอาชนะไอ้สุบรรณ เจ้าถึงได้หนีผมไป” ราชนิกุลหนุ่ม ทอดถอนลมหายใจหนักหน่วง กลุ้มมาก “ใจจริงแล้วผมรักเจ้า...ผมแค่ต้องการให้ไอ้สุบรรณมันเจ็บปวดบ้าง ที่เจ้าไม่เคยรักมัน ไม่เคยต้องการมัน” ภุชคินทร์อัดอั้นจนร้องไห้ออกมา
ที่ด้านหน้าห้อง นารีวรรณเดินมากับพะนอฤดี ที่ถือถาดชามข้าวต้มมาในมือ สองคนมองหน้า
กัน นารีวรรณพยักหน้าเห็นด้วย พะนอฤดียิ้มตาเป็นประกาย แล้วเคาะประตูเบาๆ
“พี่ชายคะขออนุญาตเข้าไปนะคะ”
ภุชคินทร์สะดุ้งเหลือบมองไปที่ประตู ยังไม่ทันได้คิดอะไร หรือฟังอะไร
ส่วนด้านนอกพะนอฤดีจ๋อยๆ “พี่ชายไม่ยอมเปิดประตู”
นารีวรรณบอกเบาๆ “พี่ฤดีเข้าไปเถอะๆ ทำให้สำเร็จนะพี่”
พะนอฤดียิ้ม ที่นารีวรรณออกโรงเชียร์ รีบเปิดประตูเข้าไปในขณะที่นารีวรรณย่องเดินออกไป
พะนอฤดีปิดประตู ขณะที่ภุชคินทร์ตกใจลุกพรวดหันมา พูดห้วนๆ อย่างไม่รักษามารยาท
“เข้ามาได้ยังไง”
พะนอฤดียิ้มเจื่อน รีบบอก “ทุกคนไม่กล้าเข้าหน้าพี่ชายน่ะค่ะ เลยวานให้ฤดีเอาข้าวต้มมาให้
พี่ชายแทน”
“ไม่ทาน ออกไปเลย”
พะนอฤดีคะยั้นคะยอ “ฤดีทำเองค่ะ พี่ชายช่วยชิมให้ฤดีหน่อยนะคะ” พร้อมกับเดินเข้ามาหา
ภุชคินทร์สะบัดเสียง “ไม่!!”
พะนอฤดีอ้อน “พี่ชายขา..อย่าให้ฤดีเสียน้ำใจเลยนะคะ” ตักยื่นให้ ยิ้มหวานใส่ “ซักคำนะคะ พี่ชาย”
“พะนอฤดี” ภุชคินทร์เสียงเข้ม “พี่ต้องการอยู่เป็นส่วนตัว”
พะนอฤดีแสร้งบีบน้ำตา “ฤดีขอโทษค่ะ ถ้าความห่วงใย ความปรารถนาดีของฤดี ทำให้พี่ชายรู้สึก
รำคาญ”
ภุชคินทร์พูดแทบเป็นตวาด “แล้วจะมัวโอ้เอ้อยู่ทำไม ห๊า!”
พะนอฤดีตกใจ “พี่ชาย ทำไมพูดกับฤดีอย่างนี้ล่ะคะ”
คราวนี้ภุชคินทร์เสียงแข็ง ตาดุดัน “ก็นี่มันห้องนอนพี่ เธอไม่ควรก้าวเท้าเข้ามาแม้แต่ก้าวเดียว ไปเลย รีบออกไป” จับแขนดึงพะนอฤดี แทบจะเขวี้ยงออก
“พี่ชายคะพี่ชาย”
“บอกให้ออกไป๊”
ภุชคินทร์ผลักพะนอฤดีออกประตูอย่างแรง จนล้มลงกองกับพื้นหน้าห้อง แล้วภุชคินทร์ก็ปิดประตูใส่หน้าดังปัง
พะนอฤดีเหวอไปทันที ก่อนจะร้องไห้ออกมาด้วยความอับอาย
มณีสวาท ตอนที่ 12 (ต่อ)
ไม่นานนาน พะนอฤดีร้องไห้ฟูมฟายอยู่ในห้องโถงของวัง มีนารีวรรณคอยปลอบ และมีหม่อมภาณีนั่งทำหน้าตกใจปนไม่พอใจพะนอฤดีอยู่ด้วย
“พี่ชายต้องโดนอำนาจเวทมนตร์ของเจ้าอุรคาแน่ๆ ถึงได้ทำกับพี่ฤดีถึงขนาดนี้” นารีวรรณว่า
หม่อมภาณีมองพะนอฤดี สีหน้าไม่พอใจมาก “ผู้ชายทั่วไปที่ไม่ใช่ผู้ชายมักง่าย เค้าก็ทำอย่างนี้ทั้งนั้นแหละ แล้วทำไมฤดีต้องเข้าไปในห้องนอนของตาชาย”
“เอ่อ…ฤดีตั้งใจทำข้าวต้มไปให้พี่ชายทานค่ะ”
หม่อมภาณีเน้นคำ มองจ้อง “แล้วทำไมต้องเข้าไปถึงห้องนอนด้วย”
นารีวรรณหน้าเจื่อน “เอ่อ! หนูนาพาพี่ฤดีเข้าไปเองค่ะคุณแม่”
หม่อมภาณีเสียงดัง “ทำไมหนูนาถึงเป็นคนไม่มีมารยาทขนาดนี้ ไม่รู้รึไง ห้องนอนถือเป็นห้องส่วนตัว” มองสองคนอย่างตำหนิ “โดยเฉพาะผู้หญิง ไม่ควรจะสร้างความเสื่อมให้กับตัวเองด้วยการทำตัวให้ผู้ชายมองว่า...ง่าย”
“ฤดีไม่ได้คิดอะไรค่ะ” พะนอฤดีพูดปด
หม่อมภาณีมองนิ่ง “หัดคิดบ้างก็ดี เพราะการที่ผู้หญิงเข้าไปหาผู้ชายถึงในห้องนอนโดยไม่ได้
เป็นอะไรกัน ตีความได้อย่างเดียวคือให้ท่า ถึงฉันจะไม่ต้องการมีลูกสะใภ้ผี ฉันก็ไม่ต้องการผู้หญิงที่ไม่ใช่กุลสตรีมาเป็นสะใภ้เหมือนกัน” หันมาเฉ่งนารีวรรณ “แม่ไม่ชอบใจอย่างมากที่หนูนาทำอย่างนี้”
นารีวรรณน้ำตาคลอ “หนูนาขอโทษค่ะ ที่หนูนาทำอย่างนี้ เพราะอยากให้พี่ฤดีช่วยแยกพี่ชาย
ออกมาจากเจ้าอุรคา หนูนาทนไม่ได้ที่เห็นคุณแม่ร้องไห้ คุณแม่เป็นทุกข์”
หม่อมภาณีได้ฟัง มองมาด้วยสายตาอ่อนลง เสียงเครือ “ใช่! แม่เสียใจ แม่เป็นทุกข์ เรื่องเลวร้ายทุกอย่างจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าเจ้าอุรคาจะไม่เข้ามาในชีวิตของตาชาย ฉันเกลียดเธอเจ้าอุรคา...ฉันเกลียดเธอ!”
ดวงตาของหม่อมภาณีเต็มไปด้วยความโกรธ เกลียด เจ็บช้ำที่พรากลูกชายไป ไม่ได้อาฆาตพยาบาทแต่อย่างใด
ขณะเดียวกันเจ้าอุรคา ซึ่งแหวกว่ายอยู่ใต้ท้องน้ำอยู่ ทะยานขึ้นสู่ผิวน้ำ ร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดเสียใจร้าวรันทดรุนแรง
“เราไม่ได้ต้องการทำให้ใครเกลียดชัง เราไม่ได้ต้องการทำให้ใครเป็นทุกข์ เราแค่ต้องการมาหาความรักของเรา...แต่...” นางพญานาคีเสียงสั่นเครือร่ำไห้ออกมา “ความรักอันสูงค่าของเรา กลับถูกตีค่าเป็นแค่การลวงหลอก ภุชเคนทร์ท่านภาคภูมิที่ได้หัวใจรักเราไป แต่แท้จริงแล้วท่านกำลังเหยียบย่ำ”
ระหว่างนั้นชรายุ ปรากฏกายขึ้น พูดเตือนใจ
“จิตมนุษย์ยากแท้ หยั่งถึง”
“พญานาคอย่างเรา รักคือรัก เกลียดคือเกลียด จิตไม่ซับซ้อนเหมือนมนุษย์ ท่านภุชคินทร์บอกว่ารักเรา แล้วเหตุใด ถึงได้ทำกับเราอย่างนี้? เรากลัว...กลัวความเป็นมนุษย์เหลือเกินชรายุ”
“เราจึงไม่ควรเข้าไปใกล้ชิดกับมนุษย์มากนัก เพราะหากจิตเราไม่ตั้งมั่นพอ จิตเราจะถูกดึงให้ต่ำลง ด้วยว่ากิเลสของมนุษย์มันมากมายเหลือเกิน ทั้งรัก โลภ โกรธหลง”
“แตกต่างจากพญานาคอย่างเรา ที่มีแต่ราคะกับโทสะ แต่แค่ขนาดนี้ ทั้งราคะและโทสะ ยังนำพาความทุกข์มาให้กับเรามากมายเหลือเกิน”
“แล้วเจ้ายังอยากจะใกล้ชิดกับมนุษย์อยู่อีกหรือ” ชรายุย้อนถาม
ดวงตาของชรายุเต็มไปด้วยคำถาม และดวงตาของเจ้าอุรคาก็เต็มไปด้วยความสงสัยลังเลใจ
ตกตอนกลางคืน ภุชคินทร์ก้าวลงมาจากรถ ณ บริเวณที่เป็นที่ตั้งเฮือนภูจำปา บริเวณนั้นยัง
เป็นที่โล่ง ไม่ปรากฏเฮือนภูจำปาแต่อย่างใด ภุชคินทร์มองภาพตรงหน้าด้วยความเศร้า เสียใจ อาลัย
“ผมขอโทษเจ้า..ผมขอโทษ...ผมเสียใจ ผมผิดไปแล้ว” ภุชคินทร์เสียงเครือ “ได้โปรด..กลับมาหาผมนะครับเจ้า....ได้โปรด”
ในกรอบสายตาภุชคินทร์ ทุกอย่างรอบตัว เวิ้งว้าง ว่างเปล่า มีแค่เสียงของตัวเองสะท้อนกลับมา
แววตาภุชคินทร์เจ็บปวดยิ่ง มองภาพตรงหน้า ความเสียใจแปรเปลี่ยนเป็นน้อยใจบอกเสียงกร้าวนิดๆ
“ผมไม่ได้ตั้งใจทำร้ายเจ้า ผมแค่ต้องการทำร้ายไอ้สุบรรณ ให้มันรู้รสความเจ็บปวด ความพ่ายแพ้ซะบ้าง ทำไมเจ้าไม่เข้าใจผมบ้าง ทำไม”
เวลาต่อมาภายในผับแห่งหนึ่ง ภุชคินทร์เมามายแทบไม่ได้สติ ไพศิษฐ์ในชุดนอกเครื่องแบบเดินเข้ามาห้าม เอามือดึงแก้ว
“นายเมามากแล้วชาย พอแล้ว!”
“ม่ายเมา!” ภุชคินทร์สะบัดมือไพศิษฐ์ออก จะคว้ามาดื่มอีก
ไพศิษฐ์ไม่สนใจควักเงินวางลงไปแล้วลากตัวภุชคินทร์ออกมาอย่างทุลักทุเล โดยมีเสียงภุชคินทร์ร้องโวยวาย
“ปล่อยฉัน ปล่อยฉัน ปล่อย!”
ไพศิษฐ์ไม่สนใจ ลากภุชคินทร์ออกไป
ไพศิษฐ์ประคองร่างภุชคินทร์เข้ามาที่ริมน้ำสวยๆแห่งนั้น ภุชคินทร์นอนหงายแผ่ลงไป ภุชคินทร์มองขึ้นไปเห็นท้องฟ้ามืดครึ้ม เวิ้งว้าง แทบไม่มีแสงดาว ดูช่างอ้างว้างเหลือเกิน
ไพศิษฐ์ทรุดตัวลงนั่งข้างๆ ภุชคินทร์บอกเสียงแผ่ว
“ฉันเพิ่งรู้ตัวจริงๆศิษฐ์ว่าโง่ โง่ที่ทำกับเจ้าอย่างนั้น ทั้งๆที่ผ่านมา..เจ้ารักฉันมาตลอด”
ไพศิษฐ์มองมาอย่างเห็นใจ “นายไม่ควรล้อเล่นกับความรักตั้งแต่แรก เพราะถ้าความรักไม่เล่นด้วย นายเองนั่นแหละที่จะเป็นฝ่ายเจ็บปวด”
“ใช่! ตอนนี้ฉันเจ็บปวด เจ็บมาก เพราะในวันที่ฉันรู้ตัวว่าขาดเจ้าไม่ได้ เจ้าก็ไปจากฉันแล้ว ไม่น่าเลยศิษฐ์ ฉันไม่น่าทำเรื่องโง่ๆ เลยจริงๆ”
“เพราะนายมุ่งแต่คิดแก้แค้นท่านสุบรรณ จนไม่ได้คิดถึงอะไรเลย ถึงนายอยากจะฆ่าเค้า ทำร้ายเค้าแค่ไหน แต่ถ้ายังไม่ถึงเวลา เค้าก็ไม่เป็นอะไร แต่...แต่สิ่งที่นายทำต่างหากที่มันจะย้อนคืนกลับมาหานายทั้งหมด อย่างที่เรียกว่ากรรมตามสนอง”
ภุชคินทร์ลุกขึ้นมา นั่งมองหน้าไพศิษฐ์
“นายจำได้มั้ยที่เราคุยกัน คนเลว ที่วันนี้เขายังได้ดีอยู่ เพราะเขายังมีบุญจากอดีตชาติคอยหนุนนำ มันก็เหมือนกันล่ะชาย คนดี ถ้าไม่สร้างบุญต่อ แล้วยังทำเลว ซักวันหนึ่งคนผู้นั้นก็ต้องกลายเป็นคนเลว”
ภุชคินทร์เสียงกร้าว แค้นขึ้นมาอีก “ฉันยอมที่จะเลว ถ้าแลกกับการที่ฉันได้เอาคืน”
ไพศิษฐ์มองเพื่อนด้วยความเวทนา “คนรู้ตัวว่าเลวแล้วแก้ไข ยังไงก็ดีกว่า คนที่ไม่รู้ตัวว่ากำลังทำเลว”
ภุชคินทร์มองจ้องหน้าตึง โกรธที่ถูกด่า “นายด่าฉัน”
“แล้วนายคิดว่ายังไง เพราะสำหรับฉัน สิ่งที่นายทำ ก็มีแต่พวกอันธพาลเท่านั้นล่ะที่ยกย่องว่าเป็นผู้กล้า”
ภุชคินทร์โต้เสียงกร้าว “ฉันไม่ต้องการให้ใครมายกย่องหรือว่าประณาม ฉันพร้อมจะรับสิ่งที่มันจะเกิดขึ้นกับฉัน ฉันไม่มีทางอโหสิกรรมให้คนที่มันทำลายชีวิตฉัน ชาติแล้วชาติเล่าแน่”
ภุชคินทร์เดินออกไปอย่างฉุนเฉียวโกรธจัด ไพศิษฐ์มองตามแล้วถอนหายใจหนักหน่วงกลุ้มจัด ได้แต่พูดแผ่วๆ กับตัวเอง
“ฉันเข้าใจชาย การอโหสิกรรมมันทำได้ยาก ไม่งั้นคนทั้งโลกคงมีแต่การให้อภัย ไม่มีการโกรธแค้น ไม่มีสงคราม แต่ที่ฉันไม่เข้าใจ ทำไมนายเลือกที่จะเดินสู่ที่มืด ทั้งที่นายมาจากที่สว่าง” เสียงผู้กองหนุ่มแผ่วลงอีก เหนื่อยใจมาก “ทำไมชาย? ฉันไม่เข้าใจ?”
ไพศิษฐ์ได้แต่บ่นกับตัวเองอย่างกลัดกลุ้ม
เวลานั้นเจ้าอุรคา ดวงตาเบิกกว้าง เสมือนมองเห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า น้ำตาของเจ้าอุรคารินไหลมีทั้งความโสมนัสและโทมนัสอยู่ในนั้น
“เราเคยเสียใจ แต่มาบัดนี้เรายินดีที่ได้รู้ว่าท่านภุชคินทร์รักเราด้วยหัวใจ” พลางหันมาบอกชรายุ “ชรายุ...มันช่างคุ้มค่ากับสิ่งที่เราได้ทำลงไป”
ชรายุเสียงแผ่ว ไม่อยากถาม...แต่ต้องถาม “แน่ใจหรือคะเจ้า”
เจ้าอุรคามองฉงน “ทำไม”
“วันนี้เจ้ามีรอยยิ้ม แต่ที่ผ่านมา เจ้าต้องเสียน้ำตาให้กับมัน ไม่ใช่แค่ครั้งเดียว แต่ครั้งแล้วครั้งเล่า”
ดวงตาของเจ้าอุรคาสลดลง ทอดถอนหายใจหนักหน่วง บอกด้วยเสียงปวดร้าว
“สิ่งที่ได้เกิดขึ้น มันสอนให้เราได้เรียนรู้กับคำว่าอนิจจัง ความไม่เที่ยง ทุกอย่างในโลกนี้ มีการแปรเปลี่ยน มีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป แต่เราก็ยังอดที่จะยินดีกับมันไม่ได้ ทั้งๆที่รู้ว่า ความรู้สึกเปรมปรีดีนี้ จะต้องผ่านเราไปในซักวัน”
ชรายุมองอย่างเห็นใจ “ข้าดีใจที่เจ้ารู้ทันสิ่งที่กำลังเกิดอย่างมีสติ”
เจ้าอุรคายิ้มอ่อนโยน ดวงตาหมองเศร้า “เรารับรู้ทุกอย่าง แต่ก็เรากล้าที่จะแลกด้วยน้ำตาหากมันจะแปรเปลี่ยนเป็นอื่น เพราะความรัก ทำให้หัวใจเราอิ่มเอม แต่สิ่งที่ยังค้างคาอยู่ในหัวใจของเราก็คือ ท่านภุชคินทร์ยังไม่ได้ถอนคำสาบาน”
ดวงหน้าของเจ้าอุรคาสลดลงอย่างเห็นได้ชัด
ฝ่ายภุชคินทร์ท่าทางหงุดหงิดหนัก กำลังเอาก้อนหินขว้างลงในน้ำระบายอารมณ์โกรธภายในใจ
“ศิษฐ์...สิ่งที่ฉันจะแก้ไข...คือ....ฉันจะไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำอีกแล้ว” ภุชคินทร์ร้องตะโกนแต่เสียใจในน้ำเสียง รู้ตัวว่าเป็นเรื่องที่ผิด แต่ความแค้นในใจมีมากกว่า “ฉันจะไม่ยอมเป็นผู้ถูกกระทำอีกแล้ว.....”
เสียงของภุชคินทร์ดังก้องไปทั้งท้องน้ำเบื้องหน้า ส่วนอีกมุมห่างออกไปคนละฝั่ง ไพศิษฐ์ยืนอยู่ได้ยิน ไพศิษฐ์ได้แต่ทอดถอนใจด้วยความสลด เห็นใจ เข้าใจ
“อานุภาพของกรรม ช่างรุนแรงจริงๆ แต่ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อดึงนายออกมาจากแรงแค้นพยาบาทให้ได้ ชาย! และนั่นก็หมายถึง...กฎหมายจะต้องเอาผิดกับท่านสุบรรณ!”
ดวงตาของไพศิษฐ์เปล่งประกายกร้าว
แยกจากภุชคินทร์ไพศิษฐ์เดินฉับๆ ขึ้นมายังสน. และตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง จ่าชิดเดินตามเข้ามา
“อ้าว! ผู้กอง มาทำไมครับ”
“ก็มาทำงานน่ะสิจ่า ถามได้”
จ่าชิดขำๆ พูดเสียงเล็กเสียงน้อย “แหม้ๆๆๆๆ ผมก็นึกว่า มีเรื่องด่วนอะไร เห็นเดินมาฉับๆๆๆ”
ไพศิษฐ์ไม่ตอบหยิบเอาแฟ้มประวัติข้อมูลเพชรของเจ้าประกายคำขึ้นมาพลิกดู มองจ้องแต่ละภาพ
ราวกับจะจดจำเอาไว้ จ่าชิดชะโงกหน้ามอง
“นั่นแน่ะ ผู้กองแอบมาดูแบบเพชรไว้เป็นของหมั้นคุณนาถสุดานี่เอง”
ไพศิษฐ์ถอนหายใจ ท่าทีเบื่อๆ ขำๆ ปนอยากเตะ “เวลางานไม่ใช่เวลาเล่นนะจ่า”
จ่าชิดยังเล่นอยู่ รู้ว่าไพศิษฐ์ไม่ดุจริง “อ่ะจ๊าก!”
“นี่จ่าเข้าเวรอยู่ไม่ใช่เหรอ”
“ครับ”
“ครับก็ไปสิ! อย่าเอา เวลาราชการมาเดินเล่น” ไพศิษฐ์เน้นดุ “เปลืองเงินหลวง!”
จ่าชิดตะเบ๊ะ ท่าทีแข็งขัน “ครับผม” ยิ้มทะเล้น
จ่าชิดเดินถอยหลังออกไป แต่ตายังมองจ้องไพศิษฐ์ที่มองจ้องรูปเพชรแต่ละแบบ
“ต้องมีอะไรแน่ๆ เลย”
จ่าชิดแอบมองไพศิษฐ์สลับกับมองเพชร โดยไม่ทันได้ดูด้านหลัง มือของจ่าชิดปัดเข้าไปโดนหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งหล่นลงมา เห็นเป็นรูปของสุบรรณในภาพข่าวตามปกติ จ่าชิดไม่ได้สนใจ เพราะไพศิษฐ์หันมามองตาดุ จ่าชิดยิ้มเผล่ก่อนคว้าหนังสือพิมพ์วางไว้บนโต๊ะเหมือนเดิม แล้วรีบเดินออกไป
ไพศิษฐ์ถอนหายใจระอา ยิ้มนิดๆ ก่อนหันมาทำหน้าเคร่งดูแฟ้มเพชรต่อ หนังสือพิมพ์มีต้นเห็นเป็นรูปของสุบรรณยิ้มอยู่อย่างนั้น
เช้าวันต่อมา ขณะที่สุบรรณแต่งตัวอยู่หน้ากระจกในห้องน้ำ นึกถึงตอนที่เห็นเงาหัวตัวเองขาดสุบรรณชะงัก ดวงตามีความหวาดหวั่น ค่อยๆ เอามือลูบบริเวณลำคอและศีรษะ เห็นว่าศีรษะยังอยู่
สุบรรณถอนหายใจโล่งอก หันหลังกลับจะเดินออกไป แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นเงาของยมทูตแว้บๆ อยู่ที่กระจก ยมทูตนุ่งโจงกระเบนสีแดง พอสุบรรณหันขวับกลับไปมอง ไม่เห็นใครในนั้นนอกจากเงาของตัวเอง ดวงตาของสุบรรณหวาดหวั่นขึ้นมาอีก ได้แต่บอกตัวเองด้วยน้ำเสียงสั่นพร่า
“มันต้องมีอะไรเกิดขึ้นกับเรา” สุบรรณเสียงเข้มแต่ยังสั่นเครือ “ถ้าถึงที่ตาย มันก็ต้องตาย แต่เราจะไม่ผูกอาฆาตพยาบาทจองเวรจองกรรมกับคนที่ทำเรา...เราขออโหสิกรรม!”
สุบรรณบอกตัวเองอย่างเด็ดเดี่ยว พร้อมละเวรตัดกรรมสิ้นแล้วทุกอย่าง
เวลาเดียวกันนาถสุดา คุยอยู่กับผู้พันนรินทร์ ในห้องนั่งเล่นที่บ้าน ท่าทางของนาถสุดายังครุ่นคิดกังวล
“นาถก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าพี่สุบรรณจะฉุกคิดเรื่องที่นาถพูดบ้างหรือเปล่า”
ผู้การนรินทร์ยิ้มอ่อนฏยน “แล้วนาถอยากให้สุบรรณ คิดอะไรบ้างล่ะ”
“ก็อยากให้พี่สุบรรณคิดได้ทุกเรื่องนั่นล่ะค่ะ”
“ก็นาถพูดตั้งหลายเรื่อง ทั้งเรื่องของเจ้าอุรคา และเรื่องที่...” ผู้พันค่อยๆ พูด “ไม่อยากให้
สุบรรณ ทำในสิ่งที่ผิด”
นาถสุดาถอนหายใจ “ตั้งแต่วันที่นาถได้คุยกับพี่สุบรรณ แทนที่นาถจะรู้สึกสบายใจที่ได้พูดคุยกับพี่สุบรรณ นาถกลับกลัวมากขึ้น เพราะท่าทางพี่เค้าเหมือนทำอะไรผิด พี่เค้าปกปิดนาถ”
“ตกลง นาถอยากรู้ หรือไม่อยากรู้” ผู้เป็นพ่อย้อนถาม
“อยากรู้ค่ะ และนาถก็ต้องรู้ให้ได้ ว่าสิ่งที่พี่สุบรรณปกปิดอยู่คืออะไร”
สีหน้าของนาถสุดาจริงจัง
ไม่นานต่อมา นาถสุดานั่งอยู่บนรถแท็กซี่ ซึ่งจอดซุ่มอยู่บนถนนหน้าคฤหาสน์ของสุบรรณ หญิงสาวกดโทรศัพท์โทร.ออก
เวลาเดียวกันสุบรรณซึ่งกำลังจะเดินออกไปทำงาน กดรับสายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“มีอะไรจ๊ะนาถ”
“วันนี้เลิกงานแล้ว พี่สุบรรณไปไหนหรือเปล่าคะ”
“ก็...ว่าจะไปทำบุญซักหน่อย นาถมีอะไร”
นาถสุดาอมยิ้ม “แล้วจะกลับดึกหรือเปล่าคะ”
สุบรรณยิ่งสงสัย “นาถมีเรื่องอะไรหรือเปล่า? เดี๋ยวพี่ไปหาก็ได้”
“ไม่มีอะไรค่ะ นาถแค่จะโทรฯมาบอกว่า...นาถคิดถึงพี่สุบรรณค่ะ”
สุบรรณยิ้มอ่อนโยน “พี่ก็คิดถึงนาถจ้ะ...แล้วนึกยังไงถึงได้โทร.มาบอกว่าคิดถึงพี่อย่างนี้”
“ก็ที่ผ่านมา นาถไม่เคยทำซักที...” นาถสุดาบอกด้วยสีหน้าจริงจัง “ขอบคุณมากนะคะ พี่สุบรรณทำให้นาถรู้ว่าพี่ชายคนนี้รักน้องแค่ไหน? แล้วนาถก็จะทำให้สุบรรณรู้เหมือนกันว่านาถรักพี่สุบรรณแค่ไหน ดูแลตัวเองด้วยค่ะ”
“นาถก็เหมือนกัน ดูแลตัวเองด้วย...ว่างๆ ทานข้าวกันนะ”
“ค่ะ”
สองคนต่างวางสายกัน สุบรรณเดินมาที่รถ และขับออกไปข้างนอกอย่างอารมณ์ดี
ส่วนด้านหลัง นาถสุดานั่งอยู่ในรถแท็กซี่จอดซุ่มมองอยู่ จนสุบรรณขับรถไกลออกไป นาถสุดาบอกแท็กซี่
“นี่ค่ะเงิน”
นาถสุดาลงจากรถ แท็กซี่วิ่งออกไป นาถสุดาพึมพำ
“ขอโทษค่ะพี่สุบรรณ ที่นาถต้องทำอย่างนี้...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่นาถทำ เพราะนาถรักพี่
สุบรรณค่ะ”
นาถสุดาเดินลิ่วไปยังคฤหาสน์อย่างรวดเร็ว
นาถสุดาเดินตรงไปยังคฤหาสน์ของสุบรรณ เห็นทั่วทั้งคฤหาสน์เงียบผิดปกติ
“ทำไมถึงเงียบอย่างนี้ ไม่เห็นมีคนเลย”
รปภ.คนหนึ่งวิ่งเข้ามา
“สวัสดีครับคุณนาถ”
“ทำไมเงียบจัง หายไปไหนกันหมด”
“อ้อ! ท่านให้ออกหมดแล้วครับ เหลือแค่ผมคนเดียว ที่คอยเปิดปิดประตู”
นาถสุดาทำหน้าแปลกใจ รปภ.ว่าต่อ
“เอ่อ..ท่านไม่อยู่นะครับคุณนาถ เพิ่งออกไปเดี๋ยวนี้เอง”
“ไม่เป็นไร” นาถสุดาเว้นไปนิดหนึ่ง “ฉันจะแวะมาทำอะไรเซอร์ไพร้ส์ท่านหน่อย”
“เชิญครับเชิญ”
รปภ.เปิดประตูให้ นาถสุดาเดินเข้าไป ใจเต้นไม่เป็นส่ำ แล้วประตูรั้วของคฤหาสน์ก็ถูกปิดลง
เวลาเดียวกันที่ในห้องลับ อำนาจยืนมองภายในห้องนิ่งงัน เห็นหีบเพชรที่โจรกรรมมา บางหีบยังเปิดออก เห็นประกายเพชรส่องแสงประกายแวววาว อำนาจมองนิ่ง สายตาตามองเหม่อไปยังกลางห้อง ดวงตาระริกไหวคล้ายหวาดหวั่นอะไรอยู่
ที่แท้อำนาจนึกถึงตอนที่ตัวเองฆ่าลูกน้อง นึกเรื่องนี้แล้วอำนาจมีแต่ความสะเทือนใจ เสียใจ ขณะก้มมองมือตัวเองที่สั่นเทา
นาถสุดาเดินเข้าไปในคฤหาสน์ของสุบรรณ เห็นลูกน้องของสุบรรณยืนอยู่ตามจุดต่างๆ นาถสุดาใจหายแว้บ แต่ทำใจดีสู้เสือเดินเข้าไปด้วยอาการท่าทางปกติ ลูกน้องของสุบรรณเห็นนาถสุดาไม่ได้มีพิรุธอะไรจึงไม่ได้สนใจ
นาถสุดาเดินเข้าบ้านก่อนลอบถอนหายใจอย่างลุ้นๆ ก่อนลอบเข้าไปอย่างรวดเร็ว
ส่วนอำนาจยืนมองพื้นนิ่ง ซูมเข้าดวงตาอำนาจทำเป็นภาพFB (ต่อเนื่องจากตอนที่17/39 หลังจากที่ อำนาจถูกไพศิษฐ์ทำร้ายจนสลบหลังจากนั้นอำนาจมาจัดการศพ) ภาพแทนสายตาคนดูเห็นเป็นอำนาจในสภาพมีผ้าคาดปากและใส่ถุงมือถือมีดหั่นเนื้อแบบคมกริบ ที่มีดมีเลือดไหลลงมาน่ากลัว ข้างตัวคือถุงดำมัดมิดชิด
อำนาจยืนนิ่ง เหมือนถอดตัวเองออกมาแล้วจากอดีต อำนาจยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง พึมพำเบาๆ
“ฉันขอโทษ...ที่ฉันต้องทำอย่างนี้ ไม่ใช่เพื่อท่านสุบรรณคนเดียว แต่ฉันจำต้องปกปิดความผิดของฉันด้วย”
อำนาจเดินตรงไปที่ถุงดำถุงใหญ่สองถุงที่วางอยู่มุมห้อง ซึ่งภายในบรรจุกระดูกคนตาย อำนาจลากออกไป
นาถสุดาเดินลับๆ ล่อๆ เข้ามาในบริเวณด้านในคฤหาสน์แล้ว พลางกวาดตามองหา
“ห้องลับของพี่สุบรรณอย่างที่คุณศิษฐ์บอก อยู่ไหนกัน”
นาถสุดาเดินมา แต่ต้องชะงัก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ เหมือนลากอะไรซักอย่างมา นาถสุดารีบ
หาที่ซ่อนตัวแอบมอง เห็นอำนาจลากถุงดำขนาดใหญ่มาแลดูหนัก
นาถสุดาคิดในใจ “ถุงอะไร”
นาถสุดายืนตัวแข็งทื่อ ซ่อนตัวแอบมองอำนาจอย่างสนใจ ก่อนที่อำนาจจะเดินลับหายออกไปจากมุมหนึ่ง
นาถสุดาถอนหายใจโล่งอก รีบย่องเข้าไปด้านในรวดเร็ว
มณีสวาท ตอนที่ 12 (ต่อ)
อำนาจลากถุงดำออกมาจากด้านในคฤหาสน์ รปภ.เห็นจะมาช่วย แต่อำนาจยกมือห้าม
“ไม่ต้อง”
อำนาจแบกถุงดำตรงไปยังรถกระบะ ก่อนล้วงกระเป๋าจะเอากุญแจรถ
“อ้าว! กุญแจ”
อำนาจทำเสียงจิ๊จ๊ะขัดใจ ก่อนเดินกลับเข้าไปด้านใน ขณะที่นาถสุดาเดินย่องลึกเข้าไปอีก
“ไม่เห็นจะมีห้องลับอย่างที่คุณศิษฐ์ว่าเลย”
นาถสุดาเดินลึกเข้าไปในคฤหาสน์ ก้าว ค่อยๆ ช้าๆ ท่าทีระแวดระวัง แต่ก็ยังไม่เห็นอะไร นาถสุดาจรดเท้าเข้าไปอย่างแผ่วเบา แต่ต้องชะงักเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าย่ำตามมาด้านหลัง นาถสุดาหันขวับกลับไปมองแล้วก็ต้องเบิกตากว้างตกใจ เมื่อเห็นอำนาจยืนหน้าตาถมึงทึงอยู่ ก่อนจะบอกเสียงห้วน
“ท่านสุบรรณไม่อยู่”
“ฉันรู้แล้ว”
“แล้วคุณนาถเข้ามาที่นี่ทำไม?” มองจ้องนาถสุดา อย่างน่ากลัว
นาถสุดากลัวที่เป็นวัวสันหลังหวะอยู่แล้ว ถอยหลังกรูดด้วยความกลัว ปฏิเสธด้วยความกลัว
“ก็...” นาถสุดาไปไม่เป็น
อำนาจเสียงแข็ง “คุณนาถไม่ควรเข้ามาที่นี่” พลางย่างสามขุมเข้าหา
นาถสุดาถอยไปพูดไป เสียงสั่นๆ แต่พยายามแข็งใจสู้ “ก็แล้วทำไมฉันจะเข้ามาไม่ได้”
“เพราะที่นี่ท่านสุบรรณไม่เคยให้ใครเข้ามา รวมทั้งคุณนาถด้วย”
นาถสุดามองจ้อง ยิ่งสงสัย “ก็แล้วมันมีอะไร ถึงจะเข้าไม่ได้” พลางกวาดมองไปรอบๆ ด้วยความอยากรู้ “บอกฉันมาเดี๋ยวนี้อำนาจที่นี่มันมีอะไร”
อำนาจเงียบ ไม่รู้จะตอบยังไง และ จริงๆ ก็ไม่ยอมตอบอยู่แล้ว
“คุณนาถไม่น่าหาเรื่องใส่ตัว”
นาถสุดาชะงัก “หมายความว่ายังไง”
“คนที่เข้ามาถึงที่นี่ ออกไปไม่ได้ซักคน” อำนาจสืบเท้าย่างเท้าเข้าไปหา
นาถสุดายิ่งกลัวถอยหลังกรูด “นายจะทำอะไร”
อำนาจย่างเท้าเข้าไปใกล้อีก “ทำเหมือนกับทุกๆ คน” ท่าทอำนาจดูหลอนๆ “ที่เคยมาอยู่ตรงนี้”
จบคำอำนาถกระชากข้อมือนาถสุดา เข้ามาหาตัวอย่างแรง นาถสุดาแทบช็อก
“อยากรู้ใช่มั้ย ว่าที่นี่มีอะไร มา”
นาถสุดาร้องดิ้นรนขัดขืนแต่สู้ไม่ไหว ถูกอำนาจลากไป
ครู่ต่อมาอำนาจผลักนาถสุดาเข้าไปในห้องลับอย่างแรง จนนาถสุดาล้มลงกองกับพื้น สีหน้านาถสุดาตกใจ อำนาจตะคอก
“อยากรู้ใช่มั้ยว่าที่นี่มีอะไร อยากรู้ก็ดู”
อำนาจตรงไปเปิดหีบเครื่องเพชรออก เห็นเพชรมากมายอยู่ในนั้น
“เพชร!” นาถสุดาหันกลับมาถามอำนาจอย่างลืมตัว “เพชรของเจ้าประกายคำ”
อำนาจเสียงเข้ม “เป็นอย่างที่คาด ไอ้ผู้กองไพศิษฐ์ ฮึ!” ถามนาถสุดาเสียงเข้ม “แต่ที่ผมคาดผิดและคิดไม่ถึงก็คือศัตรูของนายจะเป็นคนใกล้ตัว อย่างคุณ”
นาถสุดาสะดุ้งโหยงปฏิเสธเสียงสั่น “ไม่...ไม่ใช่ อย่างนั้น”
“ปฏิเสธตอนนี้ก็สายไปแล้วคุณนาถ” อำนาจกระชากนาถขึ้นมาอีก ถามท่าทีหลอนๆ ดูน่ากลัว “ผมจะให้คุณนาถรู้ทุกอย่าง”
อำนาจผลักนาถสุดาลงไปอีกครั้ง แล้วย่างเท้าเข้าไปใกล้ นาถสุดาถอยกรูด จนหลังไปขนกับถุงดำใบใหญ่ นาถสุดาสะดุ้ง อำนาจมองถุงดำแล้วหัวเราะอย่างมีปริศนา จนนาถสุดาต้องหันกลับไปมองถุงดำอีก อำนาจหัวเราะร่า คราวนี้นาถสุดามองถุงดำอย่างระแวง
อำนาจหัวเราะดังก้องไม่หยุด เสียงนั้นหลอนจนนาถสุดารู้สึกว่าในถุงดำต้องมีอะไร นาถสุดาลุกขึ้นและออกแรงกระชากถุงดำเทออกทั้งถุง เห็นเป็นเศษกระดูกของมนุษย์ ทั้งมือ แขน หัวกะโหลก อยู่ในนั้นนาถสุดากรี๊ดลั่น ผงะออกมา ยืนตัวสั่น อำนาจหัวเราะก้อง คลั่งเหมือนสติหลุดบ้าไปแล้ว ถามกลั้วหัวเราะ
“นี่ไง? สิ่งที่คุณตามหา อยากรู้ไม่ใช่เหรอ แล้วกลัวทำไม ห๊า! กลัวทำไมห๊า! นาถสุดา”
นาถสุดายืนเนื้อตัวสั่น สติเริ่มแตก มองอำนาจอย่างกลัวๆ
“อย่า! อย่าทำอะไรฉัน?”
อำนาจเดินเข้ามา นาถสุดาตั้งท่าจะวิ่งออกทางประตู แต่อำนาจกลับถลันมาขวางหน้า บอกเสียง
กร้าว ดวงตาดุดัน
“ผมบอกแล้วไง ใครมาอยู่ที่นี่ ไม่มีใครออกไปได้ซักคน”
นาถสุดากลัว แต่ขยับตัวจะวิ่งต่อ คราวนี้อำนาจกระชากข้อมือนาถสุดาอย่างแรง
นาถสุดาเสียงสั่น กลัวจับใจไม่กล้ากรี๊ด “อย่า! อำนาจ อย่า! อย่าทำอะไรฉัน ฉันกลัว!”
“ผมไม่เคยคิดจะทำอะไรคุณ...แต่ครั้งนี้” แววตาอ่อนลง เต็มไปด้วยความสะเทือนใจ “คุณไม่น่า
คิดทำร้ายท่านสุบรรณเลย”
“ฉันไม่เคยคิดทำร้ายพี่สุบรรณ”
“แต่สิ่งที่คุณกำลังอยู่ มันคือการทำร้าย ทั้งๆ ที่คุณ น่าจะเป็นคนสุดท้ายในโลกที่คิดทำร้ายท่าน”
อำนาจบอกเสียงกร้าว
นาถสุดากลัวจับใจ จนร้องไห้ออกมา พูดเสียงสั่นเครือ
“อำนาจ...ฉันไม่เคยคิดทำร้ายพี่สุบรรณจริงๆ นะ”
“สิ่งที่คุณทำอยู่” อำนาจพูดรัวเร็ว ชัด สุ้มเสียงกระด้าง “ความสงสัย ความหวาดระแวง ไม่เชื่อใจ...มันคือการทำร้าย ผมเสียใจแทนท่านสุบรรณจริงๆ คุณนาถ ขนาดคุณเป็นน้อง ยังคิดล้างพี่ชาย” อำนาจเน้นคำ “เพื่อผู้ชาย แต่หัวใจผมไม่เคยทรยศนาย ทั้งๆ ที่ผมเป็นแค่ขี้ข้าคนหนึ่ง”
นาถสุดาบอกเสียงเครือ “ฉันไม่ได้ทำร้ายพี่สุบรรณจริงๆนะอำนาจ ฉันอยากช่วยพี่เค้า”
“ช่วยโดยการรู้ความจริงแล้วไปแฉให้ไอ้ผู้กองไพศิษฐ์มาจับท่านน่ะหรือ” อำนาจมองสายตาเข้ม
นาถสุดาสั่นยิ่งกว่าเดิม “ไม่! ฉันแค่ต้องการเตือนพี่สุบรรณไม่ให้ทำผิดมากไปกว่านี้”
อำนาจตะคอก “ไม่ใช่ คุณต้องการรู้ความจริง เพื่อสนองความอยากรู้ของตัวเอง คนสอดรู้สอด
เห็นอย่างคุณ มีจุดจบเพียงอย่างเดียว”
ขาดคำอำนาจกระชากร่างของนาถสุดาเข้ามาใกล้ นาถสุดากลัวตัวสั่น น้ำหูน้ำตาร่วงพรูอำนาจบอกอย่างน่ากลัว “คุณจะได้อยู่ที่นี่ตลอดไป” พร้อมกับกระชากปืนขึ้นมา
“อย่า!”
นาถสุดากรี๊ดสุดเสียง ขณะที่อำนาจเหวี่ยงกระบอกปืนลงมา นาถสุดากรีดร้องแล้วทุกอย่างในหัวก็ดำลง ยินเสียงของอำนาจแว่วๆ มา
“ผมจำเป็นต้องกำจัดศัตรูทุกคนของนาย”
คืนนั้นภุชคินทร์ยืนเหม่อมองท้องฟ้ากว้าง ท่าทางเหมือนคนอกหัก คิดในใจแผ่วๆ เหมือนคนหมดแรง
“นี่ผมกับเจ้าจะต้องจากกันจริงๆหรือ?”
ภุชคินทร์ทอดสายตามองดวงจันทร์เหงาๆ เจ้าอุรคายืนนิ่งอยู่กลางลำน้ำโขง เงยหน้ามองดวงจันทร์ดวงเดียวกับภุชคินทร์ แววตาของเจ้าอุรคาเศร้าแต่ดวงหน้ายิ้มบางๆ
“แค่ได้ระลึกถึงท่าน และรู้ว่าท่านระลึกถึง เราก็เป็นสุขใจแล้วภุชเคนทร์”
เจ้าอุรคาดำดิ่งลงลำน้ำโขงอย่างเป็นสุขใจ ก่อนที่จะโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำในสภาพของนางพญานาคี
แหวกว่ายน้ำเป็นสุข ขณะที่ภุชคินทร์หลับตาลง แต่ทว่าความรู้สึกในใจลุกโพลง คิดถึงเจ้าอุรคาเหลือเกิน
ท้องน้ำในลำน้ำโขงยามเช้า เห็นแสงสีทองอ่อนๆ ตัดกับขอบโค้งท้องฟ้าที่เป็นสีฟ้ากระจ่าง สวยเหมือนภาพวาดที่แบ่งกันชัดเจนระหว่างความร้อนรุ่มและความเย็นใจ ชาวบ้านที่กลับจากหาปลา พายเรือเข้ามายังฝั่ง แล้วก็ทำหน้าตกใจ
“อะไร”
“รอยพญานาค”
ชาวบ้านมองไปเห็นเป็นรอยพญานาคปรากฏอยู่บนพื้น รอยนั้นชัดเจน เด่นชัด ชาวบ้านดีอกดีใจ
“ท่านมาเยือน คงเพราะใกล้ถึงวันสัตตนาคาแล้ว”
ชาวบ้านอีกคนเสริม “วันบูชาพญานาค!”
หมู่ชาวบ้านมองดูรอยพญานาคด้วยความอิ่มเอมหัวใจ
ในจอทีวีกำลังรายงานข่าวรอยพญานาค ที่เห็นเป็นรอยปรากฏอยู่บนพื้น และเห็นชาวบ้าน
มามุงดู บางคนก็มากราบไหว้ ผู้สื่อข่าวรายงาน
“ยังคงสร้างความตื่นเต้น และยินดีปรีดาให้กับพญานาคทุกครั้งที่ปรากฏรอยพญานาคบนพื้นดินซึ่งวันสัตนาคา ซึ่งเป็นวันบูชาพญานาคในปีนี้ จะตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ค่ะ”
ภายในวังนาเคนทร์ หม่อมภาณี นารีวรรณ และพะนอฤดีนั่งดูข่าวอยู่ด้วยกัน แต่ละคนมีสีหน้าแตกต่างจากชาวบ้านในข่าว คือ กลัว ขยาด ผวา
ระหว่างนั้นภุชคินทร์ที่หน้าตาหมองเศร้า เดินเข้ามา เห็นท่าทางของแต่ละคนก็ถามสงสัย
“มีอะไรกันหรือครับ”
“รอยพญานาคปรากฏที่ลำน้ำโขงอีกแล้วค่ะ” นารีวรรณบอก
ภุชคินทร์หันขวับไปมองจอทีวี แต่ภาพข่าวเปลี่ยนไปแล้ว แต่ภุชคินทร์ยืนอึ้ง ดวงตาหมองหม่น
หม่อมภาณีทำหน้าไม่พอใจต่อว่านารีวรรณเบาๆ “ไปบอกพี่เราทำไมหนูนา”
พะนอฤดีผสมโรง “นั่นสิคะหนูนา เดี๋ยวพี่ชายก็เตลิดไปอีกหรอก!”
นารีวรรณยังไม่ทันพูดอะไร ภุชคินทร์ก็ทำท่าจะผลุนผลันออกไป หม่อมภาณีร้องลั่น ลุกมาขวาง
“จะไปไหนตาชาย”
“ผมจะไปหาเจ้าอุรคา” ภุชคินทร์ดึงดันจะไปอีก
หม่อมภาณีดึงแขนลูกชายเอาไว้ “ไม่! แม่ไม่ให้ชายไป”
“ผมจะไป!” ภุชคินทร์เสียงเข้ม จะไปให้ได้
หม่อมภาณียื้อไว้ “หยุดนะตาชาย! หยุด!” เรียกสองสาว “มาช่วยกันจับตาชายไว้เร็ว เร็ว!”
นารีวรรณกับพะนอฤดีกรูกันเข้ามาช่วยจับภุชคินทร์ แต่ภุชคินทร์ผลักทุกคนออก
“อย่ามายุ่ง” ภุชคินทร์บอกกับหม่อมภาณีเสียงแข็ง
“ไม่มีใครห้ามผมได้”
ภุชคินทร์ผลุนผลันออกไป หม่อมภาณีคว้ามือลูกชายเอาไว้ ใจจะขาดรอนๆ
“อย่านะตาชาย อย่าไป! แม่ไม่ให้ลูกไป”
“อย่าห้ามผม คุณแม่!!อย่าห้าม!”
ภุคชินทร์ผลักออกเบาๆ หม่อมภาณีล้มลงไป นารีวรรณกับพะนอฤดีตกใจ
“คุณแม่” / “หม่อม” สองสาวจะเข้ามาประคอง
หม่อมภาณีรีบห้าม “แม่ไม่เป็นไร ตามตาชายไปเร็ว”
นารีวรรณกับพะนอฤดีพะว้าพะวัง หม่อมรีบบอก
“แม่ไม่เป็นไร! รีบตามตาชายไปเร็ว อย่าให้ตาชายไปหาเจ้าอุรคา”
นารีวรรณรีบตามภุชคินทร์ออกไป ขณะที่พะนอฤดีค่อยๆ ประคองหม่อมภาณีตามออกไป
ครู่ต่อมาที่ด้านนอกวัง นารีวรรณตามมากระชากแขนอ้อนวอนภุชคินทร์
“พี่ชายอย่าทำอย่างนี้กับคุณแม่เลยนะคะ หนูนาขอร้อง”
“พี่ไม่ได้ทำอะไรผิดต่อคุณแม่นะหนูนา พี่ยังรักคุณแม่เหมือนเดิม แต่...ขอพี่ไปตามชีวิตของพี่คืน”
พะนอฤดีประคองหม่อมภาณีออกมาพอดี หม่อมภาณีได้ยินน้ำตาคลอ
“แล้วชีวิตของคุณแม่ล่ะคะ...พี่ชายเคยคิดถึงหรือเปล่า” นารีวรรณน้ำตาคลอ
ภุชคินทร์อึ้ง นิ่งงันไป หันมามองหม่อมภาณีที่น้ำตาไหลเสียใจ บอกเสียงเครือ “พี่รักคุณแม่ที่สุดในชีวิต”
หม่อมภาณีน้ำตาไหล พูดอ่อนโยน “แม่ก็รักชายมากที่สุด”
ภุชคินทร์อ้อนวอน “ให้ผมไปเถอะนะครับคุณแม่...”
หม่อมภาณียืนอึ้งน้ำตาไหล ภุชคินทร์มองแม่ด้วยสายตาอ้อนวอน นารีวรรณมองภาพตรงหน้าด้วย
ความลำบากใจ ขณะที่พะนอฤดีเดินอ้อมทุกคนออกไป หม่อมภาณี บอกภุชคินทร์ใจจะขาด
“แต่แม่กลัว..กลัวว่าชายจะไม่กลับมา”
“ผมสัญญาว่าผมจะกลับมาครับคุณแม่”
ภุชคินทร์ยกมือไหว้หม่อมภาณีแล้วเดินออกไปนารีวรรณร้องร่ำ
“พี่ชาย” และจะตามไป
หม่อมภาณีคว้ามือเอาไว้ บอกเสียงเครือ “ไม่ต้องหนูนา!”
นารีวรรณมองหม่อมแม่ด้วยความสงสัย หม่อมภาณีบอก
“ถึงแม่จะห้ามแค่ไหน แต่ถ้าใจของตาชายอยากไป ยังไงแม่ก็ห้ามตาชายไม่ได้อยู่ดี”
“หมายความว่า..แม่จะให้พี่ชายกับเจ้าอุรคา”
“แม่จะปล่อยให้ตาชายเดินไปตายไม่ได้ แม่จะทำทุกอย่างเพื่อดึงให้ตาชายกลับมา..แม้
จะต้อง…”
“อะไรคะคุณแม่” นารีวรรณสงสัย
หม่อมภาณีไม่ตอบ มีเพียงแววตาที่เปล่งประกายแห่งความดุดันและจริงจัง ดุจจงอางหวงไข่
ภุชคินทร์ตรงลิ่วไปที่รถ ตาสินทำหน้ามีพิรุธก่อนเปิดประตู พร้อมยื่นกุญแจให้
“กุญแจครับคุณชาย”
ภุชคินทร์รับกุญแจจากตาสินแล้วขึ้นรถขับออกไปรวดเร็ว ขณะที่ตาสินมองตามท่าทีกังวล
“ถ้าคุณชายรู้....คุณชายต้องโกรธเราแหงๆ”
ตาสินมองตามลุ้นๆ หนักใจ
ภุชคินทร์ขับรถมาตามทางมุ่งหน้าสู่ลำน้ำโขง ดวงหน้ามีทั้งความเครียดและร้อนรนกระวน
กระวายใจ
โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่า ตรงช่องว่างระหว่างเบาะหลังกับเบาะหน้ามีพะนอฤดีนั่งขดตัวซุกอยู่ในนั้นโดยมีเสื้อสูทของภุชคินทร์บังเอาไว้ พะนอฤดีทำท่าเมื่อยขณะชะเง้อคอขึ้นมามองสองข้างทาง เห็นเป็นทางที่มุ่งหน้าไปสู่ต่างจังหวัด
พะนอฤดีคิดในใจ “พี่ชายมุ่งหน้าไปลำน้ำโขงแน่ๆ”
พะนอฤดีแอบมอง ดวงตากระหายใคร่รู้ มีความตื่นเต้น อยากรู้อยากเห็นอยู่ในนั้น
ที่สถานีตำรวจคืนนั้น ไพศิษฐ์เดินงุ่นง่าน ท่าทางร้อนอกร้อนใจ
“ทำไมวันนี้ติดต่อนาถไม่ได้เลย มัวทำอะไรอยู่”
ไพศิษฐ์หยิบมือถือขึ้นมากดหานาถสุดาใหม่ เสียงโทรศัพท์ดังก้องภายในห้องลับบ้านสุบรรณและ
เห็นร่างของนาถสุดานอนหมดสติอยู่ ข้างๆมีอำนาจยืนถือมีดอยู่ มองไปยังกระเป๋าถือของนาถสุดา อำนาจเปิดกระเป๋าหยิบมือถือขึ้นมา มองดู แล้วก็ยิ้มแสยะ
“ไอ้ผู้กองไพศิษฐ์!” อำนาจพูดเบาๆ แต่สีหน้าเหี้ยมเกรียม “โทร.ให้ตายก็ไม่มีคนรับหรอกเว้ย”
อำนาจหัวเราะดังลั่นห้องลับ ขณะไพศิษฐ์ทำปากจิ๊จ๊ะ
“นาถนะนาถ ไม่รู้เลยรึไง ว่ามีคนห่วงอยู่”
ไพศิษฐ์ทำหน้ายุ่ง ขณะที่อำนาจ จรดปลายมีดไปที่คอของนาถสุดา ทันใดนั้นเสียงมือถือของนาถสุดาที่เงียบไปแล้วดังขึ้นมาอีก อำนาจโมโห!
“บ๊ะ ไอ้นี่”
อำนาจหยิบมือถือขึ้นมา ตั้งท่าจะเขวี้ยงทิ้ง แต่แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นเบอร์ที่โทร.เข้ามาเป็นชื่อสุบรรณ
อำนาจลังเล สายตากริ่งเกรงอย่างเห็นได้ชัด
ด้านสุบรรณที่เดินออกมาจากวัด มองโทรศัพท์อย่างงงๆ ปลายสายไม่มีคนรับ สุบรรณกดใหม่ เป็นเบอร์บ้านของพันเอกนรินทร์ เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้น ผู้พันนรินทร์เดินมารับด้วยท่าทางร้อนใจ
“นาถหรือลูก”
“ผมสุบรรณนะครับคุณอา...มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“เปล่า....แล้วสุบรรณล่ะ มีอะไรหรือเปล่า ทำไมโทร.มาซะค่ำมืด”
สุบรรณหัวเราะนิดๆ “ไม่มีอะไรครับ พอดีผมเพิ่งเสร็จจากมาทำบุญที่วัด เห็นเมื่อเช้าเห็นนาถบอกว่า คิดถึง ผมเลยจะแวะไปทานข้าวกับน้องหน่อย”
“นาถยังไม่กลับเลย ไม่รู้ไปไหน? อาโทร.ไปก็ไม่รับสาย”
สุบรรณฉงน “ปกตินาถติดต่อได้ตลอดนี่ครับ”
“นั่นน่ะสิ...”
“เอ..หรือว่านาถจะอยู่กับผู้กองไพศิษฐ์ งั้นรอดูอีกซักพักแล้วกันนะครับคุณอา”
“ฮื่อ!อาก็คิดอย่างนั้นล่ะ” ผู้พันวางสาย ท่าทางไม่สบายใจ “หวังว่าอย่ามีอะไรไม่ดี เกิดขึ้นกับ
ลูกเลยนะนาถ”
สีหน้าผู้พันนรินทร์มีแต่ที่กังวลเป็นห่วง ตามประสาพ่อห่วงลูก แต่ไม่ได้รู้สังหรณ์ใจอะไร
อำนาจยืนมองมือถือของนาถสุดานิ่ง ก่อนตัดสินใจปิดเครื่อง แล้วถอดแบตออก ก่อนจ้อง
มองนาถสุดานิ่งท่าทางเหมือนคิดอะไรอยู่
ท่ามกลางความมืดเห็นรถของอำนาจขับออกไปจากคฤหาสน์ ก่อนที่คฤหาสน์จะปิดลงด้วยรีโมท
ส่วนภายในวังนาเคนทร์หม่อมภาณีนั่งนิ่ง แต่กุมมือตัวเองแน่น ดูก็รู้ว่าเครียดแต่พยายามคุมตัวเองอยู่ นารีวรรณเดินมานั่งใกล้ๆ เอามือกุมมือของหม่อมภาณีเอาไว้
“อย่าคิดมากนะคะคุณแม่... มีคนไปด้วย เจ้าอุรคาคงไม่กล้าทำอะไรพี่ชายหรอก”
“หมายความว่ายังไงลูก? ใครไปด้วย?”
“ตาสินมาบอก ว่าพี่ฤดีแอบติดรถพี่ชายไปค่ะ”
“พะนอฤดีน่ะนะ...แอบติดรถตาชายไป เป็นไปได้ยังไง?”
หม่อมภาณีทำหน้าตกตะลึง คาดไม่ถึงแต่นารีวรรณอมยิ้ม
รถยนต์ของภุชคินทร์แล่นมาตามทางเลียบลำน้ำโขง พะนอฤดีที่ขดตัวอยู่ในรถ มีท่าทีเมื่อยมากจนพึมพำออกมาโดยไม่มีเสียง “โอ๊ย...เมื่อย...”
พะนอฤดีชะเง้อคอมอง เห็นรอบตัวมืดไปหมดแล้ว บรรยากาศด้านนอกดูเงียบเหงา รถของภุชคินทร์จอดลง และพะนอฤดีก็เห็นภุชคินทร์เปิดประตูรถลงไป พะนอฤดีกระถดตัวขึ้นมา มองออกไปยังด้านนอก เห็นภุชคินทร์เดินดุ่มไปยังลำน้ำโขง แล้วตะโกนก้อง
“เจ้าอุรคา...ผมมาหาเจ้าแล้ว...ผมมาหาเจ้าแล้ว...เจ้าอุรคา”
พะนอฤดีเบิกตากว้าง อารมณ์ประมาณอึ้ง คาดไม่ถึง
“พี่ชายหลงรักเจ้าอุรคาถึงขนาดนี้เชียวหรือ”
พะนอฤดีเกาะขอบหน้าต่างรถแอบมองด้วยใจระทึก
ใต้ลำน้ำโขงยามนั้น เจ้าอุรคาที่นั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้น ได้ยินเสียงภุชคินทร์ พึมพำเบาๆ
“ภุชเคนทร์...ท่านมาถึงนี่”
ชรายุที่นั่งสมาธิอยู่อีกมุมมองเจ้าอุรคา แววตาลุ้นๆ ว่าเจ้าจะตัดสินใจอย่างไร และเห็นเจ้าอุรคานิ่งอยู่อย่างนั้น
ภุชคินทร์ลุยลงไปในน้ำ พะนอฤดีมองภุชคินทร์แบบตกใจ คาดไม่ถึง
“เฮ้ย! พี่ชาย...เดี๋ยวก็จมน้ำตายหรอก”
พะนอฤดีรีบเปิดประตูรถลงไป จะวิ่งลงไปช่วย แต่ชะงัก เมื่อเห็นภุชคินทร์เดินลงน้ำนิ่งๆ
“พี่ชายไม่ได้ฆ่าตัวตายนี่นา”
พะนอฤดีฉุกคิดก่อนเปลี่ยนใจวิ่งไปแอบซ่อนตัวหลังโขดหินมองดูอย่างสนใจ ว่าภุชคินทร์จะทำ
อะไรต่อ
ทางฝ่ายภุชคินทร์ เพ่งมองลงไปในน้ำพูดจริงจัง
“ผมรู้ว่าเจ้าอยู่ที่นี่ อยู่ตรงนี้ และเจ้ากำลังฟังผม”
เจ้าอุรคาเงยหน้าขึ้นมามองภุชคินทร์ ด้วยสายตารักและอาลัยอาวรณ์ นิ่งฟัง ใจจะขาดรอนๆ
ภุชคินทร์ร้องร่ำด้วยความเจ็บปวดหัวใจ “เจ้ารักผมไม่ใช่หรือ และเจ้าก็รู้ ว่าผมรักเจ้าเรารักกันมาก แล้วทำไมเจ้าถึงทำแบบนี้? มันทำร้ายหัวใจของเราทั้งสอง ทำร้ายหัวใจของคนที่รักกัน”
เจ้าอุรคานิ่ง น้ำตาไหลริน รู้สึกเหมือนใจจะขาดรอนๆ
“ใช่! มันทำร้ายหัวใจของเราเหมือนกัน ตอนนี้เราก็กำลังเจ็บปวดแทบขาดใจ ที่จะต้องหัก
ห้ามใจตัวเอง”
“ไม่ว่าเจ้าจะมีเหตุผลใดก็ตาม มันก็ไม่ใช่อุปสรรคที่จะมาขวางกั้นหัวใจของคนที่รักกันได้ ไม่ว่าจะผ่านกาลเวลา นานชั่วกัปกัลป์ ผมจะตามหาเจ้า รอรักเจ้า...และผมจะอยู่ที่นี่ เพื่อรอพบเจ้า...ชั่วนิจนิรันดร์”
ภุชคินทร์พูดเสียงแผ่ว ขณะปล่อยตัวลงไปในน้ำอย่างช้าๆ ขณะที่เจ้าอุรคามองภุชคินทร์ตะลึง ชรายุก็มองหวั่นๆ ตกใจ ด้วยไม่รู้ว่าครั้งนี้ ภุชคินทร์จะฆ่าตัวเองจริงหรือเรียกร้องความสนใจ พะนอฤดีเบิกตากว้าง มองอย่างตกใจ
“พี่ชายจะฆ่าตัวตาย!”
มณีสวาท ตอนที่ 12 (ต่อ)
ร่างของภุชคินทร์ค่อยๆ จมลงไปภายใต้สายน้ำ และเห็นพรายน้ำผุดขึ้นมาจากจมูกของภุชคินทร์ แต่ภุชคินทร์กลับไม่ทุรนทุราย เหมือนว่าบัดนี้เขาพร้อมจะเผชิญกับความตาย ปล่อยตัวล่องลอยตามกระแสน้ำ
“จนกว่าเราจะได้พบกัน เจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์บอกตัวเอง ขณะที่ร่างของเขาแน่นิ่ง เหมือนคนใกล้จะหมดลมหายใจ
เจ้าอุรคาใจจะขาดรอนๆ ตาม “ท่านภุชเคนทร์”
“พี่ชาย”
พะนอฤดีเองก็ตกใจมาก จะวิ่งตามไปช่วยภุชคินทร์ แต่แล้วต้องชะงัก เมื่อท้องน้ำเปิดพุ่งขึ้นสู่ฟ้าอย่างแรง พร้อมปรากฏมวลน้ำมากมายมหาศาลโถมขึ้นตามมา พะนอฤดีตะลึงมองอย่างตื่นตกใจ และหญิงสาวแทบสิ้นสติ เมื่อปรากฏร่างของเจ้าอุรคาที่สวยงามมาก สวยผุดผาดมากกว่าปกติที่ใครต่อใครเคยพบเจอโผล่ขึ้นมาในมวลน้ำนั้น
“เจ้าอุรคา!”
พะนอฤดีตัวแข็งทื่อ ช็อกคาที่
ขณะที่เจ้าอุรคาแหวกว่ายไปดึงร่างของภุชคินทร์ขึ้นมาจากใต้สายน้ำ ชรายุถอนหายใจ ลุ้นระทึก ถึงไม่อยากให้เจ้าอุรคาไป แต่นาทีนี้ชรายุก็ไม่อยากให้ภุชคินทร์ฆ่าตัวตาย
ภุชคินทร์หอบหายใจเมื่อพ้นวิกฤตระหว่างความเป็นความตาย จ้องมองเจ้าอุรคาแววตาเจิดจ้าอย่างปลื้มปิติ
“เจ้าอุรคา”
ภุชคินทร์ดึงร่างของเจ้าอุรคาเข้ามากอดเต็มรัก เจ้าอุรคาก็กอดตอบ ภุชคินทร์ถาม
“ทำไมเจ้าไม่ปล่อยให้ผมตาย ผมจะได้พิสูจน์ว่าผมรักเจ้า และพร้อมจะอยู่กับเจ้าจนชั่วกัลปาวสาน”
“ถ้าเราทำเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าเราทำร้ายหัวใจของเราไปด้วย”
ภุชคินทร์มองเจ้าอุรคาซาบซึ้งใจ เจ้าอุรคาพูดต่อ
“ท่านรู้ไหมภุชเคนทร์ ว่าการฆ่าตัวตายคือการทำบาปอย่างมหันต์ และท่านจะต้องเวียนว่ายในการฆ่าตัวตายนับชาติไม่ถ้วน เราทนเห็นผู้ที่เรารักทุกข์ทรมานอย่างนั้นไม่ได้”
“แต่ผมพร้อม..พร้อมที่จะเผชิญทุกอย่าง ขอเพียงให้ผมได้อยู่กับเจ้า”
“การที่ได้ท่านมา แต่ต้องทนเห็นท่านฆ่าตัวตายทุกภพชาติ เราไม่ปรารถนา เพื่อความรักที่งดงามของเรา เรารอได้ ไม่ว่ามันจะนานซักแค่ไหน รับปากเรา...อย่าทำเช่นนี้อีกภุชเคนทร์”
ภุชคินทร์มองตอบด้วยดวงตาเว้าวอน “ผมอยากไปอยู่กับเจ้า เพื่อทดแทนความรัก ทดแทนเวลาที่เราต้องจากกัน”
“เวลาจะยาวนานแค่ไหน เราจะไม่ทรมานเลย ถ้ารู้ว่าหัวใจเรายังมั่นรักต่อกัน”
“ครับเจ้า...ตราบใดที่หัวใจเรายังรักมั่นต่อกัน ไม่ว่าจะภพชาติไหน เราจะกลับมาอยู่เคียงคู่กัน”
“และถ้าเรายังเป็นนาคเทวีอย่างนี้ล่ะ”
“ผมจะขอกลับไปเป็นพญานาคา เพื่อครองรักกับเจ้าชั่วนิรันดร์” ภุชคินทร์กล่าว
ทันใดนั้นเอง เกิดสายฟ้าฟาดเปรี้ยงลงมาทั่วผืนน้ำบริเวณนั้น เหมือนฟ้ารับรู้คำสัตย์สาบานที่ถูกถอนจากปากของภุชคินทร์ เจ้าอุรคาเต็มตื้นยิ้มทั้งน้ำตา
บัดนี้การรอคอยที่ยาวนานของนางพานาคีได้สิ้นสุดลงแล้ว เจ้าอุรคาร่ำไห้กอดภุชคินทร์เต็มรัก
“การรอคอยของเราสิ้นสุด ท่านถอนคำสาบานแล้ว”
“ถ้ากายหยาบนี้สิ้นสุด ผมขอกลับไปเป็นพญานาค เพื่อการรอคอยของเราจะได้สิ้นสุดอย่างแท้จริง”
“ข้าตื้นตันใจเหลือเกินภุชเคนทร์”
สองคนโผเข้ากอดกันแน่น ส่วนพะนอฤดีจ้องมองตาไม่กะพริบ ตกใจ และมั่นใจในสิ่งที่เห็น
“เจ้าอุรคาไม่ใช่คน! เจ้าอุรคาไม่ใช่คน”
พะนอฤดีถลันวิ่งตรงไปในน้ำตะโกน
“เค้าไม่ใช่คน อย่าไปยุ่งกับเค้านะคะพี่ชาย!”
ทันใดนั้นก็ปรากฏมวลน้ำขนาดใหญ่พุ่งขึ้นมาจากท้องน้ำ สูงท่วมกลบบังร่างของภุชคินทร์และเจ้า
อุรคา แต่เมื่อมวลน้ำลดลง พะนอฤดีก็แทบสิ้นสติเมื่อเห็นพญานาคสองตนแหวกว่ายเล่นเหนือผิวน้ำเบื้องหน้า
พะนอฤดีอ้าปากค้าง ตะลึงช็อก หมดสติลงตรงนั้น
ขณะที่พญานาคสองตนแหวกว่ายเริงน้ำเล่นอย่างสุขใจ
ตอนเช้า พระอาทิตย์ยังไม่ทันโผล่พ้นขอบฟ้า บริเวณโดยรอบสน.ยังมืดสนิท ไพศิษฐ์นั่งกอดอกเผลอหลับอยู่ที่โต๊ะทำงาน เสียงมือถือดังลั่น ไพศิษฐ์สะดุ้ง คว้าโทรศัพท์มารับโดยไม่มอง
“ว่าไงนาถ ทำไมเพิ่งโทร.กลับมา”
พันเอกนรินทร์ที่อยู่บ้าน หน้าเคร่งเหมือนไม่สบายใจ
“อ้าว! นาถไม่ได้อยู่กับผู้กองหรือ”
ไพศิษฐ์งง “หมายความว่ายังไงครับ”
พันเอกนรินทร์บอกเสียงดัง “เมื่อคืนนาถไม่ได้กลับบ้านและก็ติดต่อนาถไม่ได้เลย”
จ่าชิดหันขวับมามอง เห็นสีหน้าของไพศิษฐ์เครียดและตกใจมาก ขณะที่บอกกับผู้พันนรินทร์
“ผมจะรีบตามหานาถเดี๋ยวนี้ครับ”
“ช่วยหน่อยนะผู้กอง”
พันเอกนรินทร์วางสาย สีหน้าไม่สบายใจ ไพศิษฐ์หันมาสั่งจ่าชิดทันที
“จ่า...ประสานงานให้ผมด้วย นาถติดต่อกับใครเป็นครั้งสุดท้าย”
“ครับผู้กอง”
จ่าชิดเดินออกไปประสานงานทันที สีหน้าไพศิษฐ์เครียดจัด
“คุณอยู่ไหน อย่าเป็นอะไรไปนะนาถ”
ไพศิษฐ์ได้แต่เป็นห่วงนาถสุดา
เวลาเดียวกันนั้น ภายในบ้านร้างแห่งหนึ่ง สภาพทรุดโทรม บรรยากาศวังเวงดูน่ากลัว นาถสุดาหมดสตินอนหลับอยู่ในนั้น ก่อนที่จะค่อยๆ ปรือตาขึ้นมาเริ่มรู้สึกตัว นาถสุดากวาดสายตามองดูรอบตัวอย่างงุนงง
“ที่นี่ที่ไหนกัน?”
นาถสุดากวาดตามองไป แต่ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเห็นที่มุมหนึ่งในห้องอำนาจยืนมองเขม็งอยู่ ถามสั้นๆ
“ฟื้นแล้วหรือ”
นาถสุดากระถดตัวออกด้วยความกลัว ลุกขึ้นวิ่งหนีแต่ต้องร้องโอ๊ยขึ้นมาสุดเสียง เมื่อร่างกายถูก
กระชากด้วยอะไรบางอย่าง และก็หกล้มลงไป นาถสุดาก้มลงมอง เห็นที่ขาของตัวเองถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ตรวนเส้นใหญ่ ที่ยังไงก็ไม่มีทางหนีรอด นาถสุดาหน้าซีด อ้อนวอน
“ปล่อยฉันไปเถอะนะ ปล่อยฉัน”
“ถ้าคุณพูดแค่ประโยคเดียว แล้วผมยอมปล่อยคุณไป ผมคงบ้า”
“แล้วแกจับฉันมาทำไม? ถ้าพี่สุบรรณรู้...เค้าไม่มีทางปล่อยแกไปแน่”
อำนาจหัวเราะเบาๆ “นั่นเป็นการคาดการณ์ของคุณ ความจริง นายจะต้องขอบใจผม เพราะในที่สุด ผมก็หาวิธีล่อให้ผู้กองไพศิษฐ์มาที่นี่ได้”
“หมายความว่ายังไง?”
อำนาจไม่ตอบ แต่หยิบมือถือของนาถสุดาขึ้นมา หัวเราะเยาะดังกึกก้อง เหมือนสะใจเต็มประดา
ที่สน.เช้านั้น ไพศิษฐ์เดินตรงไปหาจ่าชิด ถามรัวเร็ว
“ได้เรื่องมั้ยจ่า”
จ่าชิดเกาหัวยิก “ยังครับ...จากสัญญาณโทรศัพท์ ยังจับไม่ได้ว่าคุณนาถอยู่ที่ไหน? รู้แค่ว่าคนสุดท้ายที่คุณนาถติดต่อด้วยคือ...”
“ใคร”
จ่าชิดบอก “ท่านสุบรรณ”
ไพศิษฐ์อึ้ง “ท่านสุบรรณ”
ดวงตาของไพศิษฐ์เปล่งประกายว่าโล่งใจ คือเป็นญาติพี่น้องกัน แต่อีกแว้บก็เป็นห่วงกังวลขึ้นมา
แทน เพราะสุบรรณมีประวัติไม่ดี และก่อนหน้านั้นนาถสุดามีความคาใจ เรื่องสุบรรณทำผิดจริงหรือไม่?
ไพศิษฐ์ขับรถมาจอดที่คฤหาสน์ของสุบรรณ ในลักษณะแบบด้อมๆ มองๆ แต่แล้วต้อง
ชะงัก เมื่อมองเห็นกล้องวงจรปิดติดอยู่แทบทุกมุมของคฤหาสน์
“กล้องวงจรปิด”
“ทุกมุมเลยผู้กอง”
ไพศิษฐ์ไม่ว่าอะไรแต่เปลี่ยนใจ ขับรถเข้าไปจอดแบบทำใจดีสู้เสือ ขณะที่สุบรรณเดินออกมาจากคฤหาสน์ เห็นบอดี้การ์ดมากมายหลายคนเดินกันอยู่
สุบรรณงง “ใครให้พวกนายมา”
“คุณอำนาจสั่งให้พวกผมมาครับท่าน” บอดี้การ์ดบอก
สุบรรณไม่ได้ดุ แต่บอกเรียบๆ “ก็ฉันบอกไม่เอาแล้วไง จะมาทำไม”
“คุณอำนาจบอกว่าปลอดภัยไว้ก่อนครับ เกิดอะไรขึ้น จะได้ป้องกันได้ทัน” บอดี้การ์ดบอกอีก
สีหน้าสุบรรณนิ่ง ดวงตารู้ว่าต้องมีอะไรที่ไม่ดีเกี่ยวกับตัวเองแน่ อำนาจถึงได้ทำอย่างนั้น
สุบรรณพยักหน้าทำนอง โอเค บอดี้การ์ดเดินกันออกไปมุมหนึ่ง แต่พร้อมอารักขาสุบรรณเต็มที่
ระหว่างนั้นไพศิษฐ์ จ่าชิด เดินเข้าไปหาสุบรรณ ตะเบ๊ะพร้อมกัน
“สวัสดีครับท่าน”
“มีธุระอะไรแต่เช้า”
“คุณนาถหายตัวไป ไม่ทราบว่า ท่านทราบหรือยัง” ไพศิษฐ์บอก
สุบรรณตกใจ “คุณน้าแค่โทร.มาบอก ว่านาถไม่ได้ติดต่อกลับมา นี่หมายความว่านาถหายตัวไปทั้งคืนเลยเหรอ”
“ครับ...และหมายเลขสุดท้ายที่คุณนาถติดต่อคือท่าน”
“ใช่! นาถโทร.มาหาฉัน” สุบรรณเป็นห่วงรู้สึกสังหรณ์ “บอกว่าคิดถึง”
ไพศิษฐ์ซักไซ้ “แค่นั้นเหรอครับ”
สุบรรณเสียงเข้ม “ผู้กอง คงไม่ได้คิดว่าผมกักขังหน่วงเหนี่ยวน้องสาวของตัวเองใช่มั้ยครับ”
“ถ้าผมจะขออนุญาตค้นดู”
สุบรรณนิ่งห่วงเรื่องความลับในด้านมืดของตัวเอง ไพศิษฐ์มองจ้องหน้าสุบรรณหาพิรุธ สองคนมองตากัน
ทันใดนั้นเองเสียงมือถือของไพศิษฐ์ก็ดังขึ้น ไพศิษฐ์สะดุ้ง หยิบมาดูเห็นเป็นเบอร์นาถสุดา
“นาถ”
ที่แท้เป็นอำนาจซึ่งยิ้มเหี้ยม ในขณะที่นาถสุดานั่งจ้องร้องตะโกน
“ช่วยด้วยๆๆๆๆ”
ไพศิษฐ์ตกใจ “นาถ...นาถ”
“นาถเหรอ” สุบรรณกระชากมือถือจากไพศิษฐ์มาทันควัน “นาถ”
อำนาจหน้าซีด ที่เป็นเสียงสุบรรณ กดปิดมือถือทันที สุบรรณตกใจตะโกนบอก
“นาถๆ มันปิดมือถือไปแล้ว”
“จ่าชิดเช็คด่วน นาถอยู่ไหน”
“ครับ”
ทุกคนตระหนก
ส่วนทางนาถสุดายังร้องตะโกนไม่หยุด
“ช่วยด้วยๆๆๆ”
“หุบปาก! ยังไงแกก็ไม่รอด และไม่ใช่แค่แกคนเดียว ไอ้ผู้กองไพศิษฐ์ด้วย”
อำนาจหัวเราะร่า หน้าตาโหดเหี้ยม ขณะที่นาถสุดาหน้าเสีย ใจเต้นไม่เป็นส่ำ ไม่รู้ว่าำอำนาจจะทำอะไร
โปรดติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 13