xs
xsm
sm
md
lg

อุบัติเหตุ ตอนที่ 4

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อุบัติเหตุ ตอนที่ 4

วิศนีขึ้นนั่งบนรถ ครุ่นคิด สมองยังคงนึกถึงภาพที่เห็นเมื่อครู่ หญิงสาวหลับตาลง สลัดหัวไล่ความคิดนั้น ก่อนจะถอนใจหนักๆ เพื่อตั้งสติ ขับรถกลับบ้าน วิศนีขับรถหน้าเศร้าๆ เหงาๆ เพราะความผูกพันทางใจต่ออารุมได้เกิดขึ้นแล้วโดยไม่รู้ตัว

นนทลีหยิบกาแฟที่นีรนุชชงให้ขึ้นมาจิบ
“อะไรนะ คุณวิศนีน่ะเหรอมากินข้าวบ้านเดชชาติ”
“ใช่ค่ะ นุชไปเจอเขามา อ้อ เขาถามหาพี่นนด้วยนะคะ”
นนทลีสบตากับอารุม เข้าใจว่าวิศนีถามหาเพราะอะไร อารุมกลบเกลื่อน
“สงสัยจะเป็นเรื่องงานมั้ง”
นีรนุชเม้าท์ต่อ หมั่นไส้
“โอ๊ย พี่ชาตินะ หน้าบานเป็นกระด้ง เจริญอาหารกว่าใครเพื่อนเลย นี่ถ้าคุณวิศนีอะไรนี่มาบ่อยๆ มีหวังพี่ชาติได้อ้วนตาย”
นีรนุชทำท่าค้อนลมแล้งปะหลับปะเหลือก นนทลีขำ
“แล้วเราไปยุ่งอะไรกับเขาล่ะ”
“ก็มันหมั่นไส้นี่นา ทำเป็นออกตัวแรง อย่างกับผู้หญิงเขาจะเอาจริงๆ งั้นแหละ คนอย่างนั้นเขาไม่สนระดับพี่ชาติหรอก เขาก็ต้องเลือกหนุ่มๆ ไฮโซระดับเดียวกันอยู่แล้ว”
นนทลียิ้ม แล้วสบตากับอารุมอย่างรู้กันอีก อารุมแซว
“นุชแน่ใจนะว่าไม่ได้หึงไอ้ชาติ”
นีรนุชรู้สึกตัว ทำท่าโต ร้อนตัวมาก
“ฮ้า...นุชเนี่ยนะหึง ตายแล้วๆๆ ไม่มีทางเลยพี่อารุม นุชมีแต่จะถวายพานให้คนมาเอาพี่ชาติไปเป็นสามีซักที จะได้ร่วมอนุโมทนาสาธุด้วย แต่ที่พูดเนี่ย เพราะกลัวจะถูกหลอกให้อกหักเล่นเฉยๆ...ไม่ได้หึงเลยจริงๆ”
นีรนุชจ้องหน้าอารุมกับนนทลีสีหน้าจริงจัง ซีเรียส แต่ทั้งสองยิ้มมีเลศนัยจนนีรนุชร้อนตัว
“โอ๊ย นุชไปนอนดีกว่า ง่วงละ ฝันดีนะคะ”
นีรนุชรีบออกไป เพราะกลัวจะถูกจับผิดมากกว่าเดิม อารุมกับนนทลีมองหน้ากัน อมยิ้ม

วันใหม่...อารุมเซ็นรับรองจดหมายที่วิศนีร่างให้ แล้วส่งคืนเธอ
“แปลได้รู้เรื่องขึ้นนะ”
วิศนีตอบเรียบๆ ไม่เย้าแหย่เหมือนเคย เพราะเริ่มคิดได้ว่าตัวเองไม่ควรใกล้ชิดอารุมมาก เดี๋ยวจะหวั่นไหวไปกว่านี้
“ฉันทำงานมาหลายวันแล้ว ก็ต้องพัฒนาบ้างสิคะ”
วิศนีพูดจบก็หยิบแฟ้มกลับไปนั่งทำงานต่อที่โต๊ะ อารุมมองอย่างแปลกใจที่ไม่เห็นวิศนีตอแยเขาเหมือนเคย กลายเป็นฝ่ายชวนเธอคุยเสียเอง
“เดี๋ยวเย็นนี้ผมจะไปโรงงาน คุณจะไปด้วยกันไหม”
“ไม่ดีกว่าค่ะ ฉันมีธุระตอนเย็น” วิศนีหยิบโทรศัพท์ออกมากด “คุณชาติ เย็นนี้อย่าเพิ่งกลับนะคะ ฉันมีเรื่องให้ช่วยหน่อย”
วิศนีพูดจบก็วางสาย แล้วก้มหน้าทำงานต่อเงียบๆ ไม่สนใจ อารุมมองอย่างแปลกใจหน่อยๆ ที่ดูเธอทำตัวเหินห่างไป แถมยังนัดแนะกับเดชชาติ

เด็กๆ ใส่ชุดนักเรียนถือกระเป๋า วิ่งเฮโลกันไปที่ตลาด ร้องเรียกพิมเสียงดังนั่น
“โอ๊ย อะไรกัน อย่าแย่งกันพูดแม่ฟังไม่ทันโว้ย!”
องอาจคุยโอ่
“ฉันมีเสื้อผ้าชุดใหม่แล้ว”
จิตใสโชว์กระเป๋า
“หนูก็มี กระเป๋านักเรียนด้วยแม่”
เด็กๆ แย่งกันพูดอีก พิมมองดูข้าวของตรงหน้าอย่างตกใจ
“พวกแกเอาจากไหนเนี่ย ไปขโมยใครเขามา”
พิชิตยิ้มแย้มบอก
“ไม่ได้ขโมยจ้ะแม่ พี่คนสวยเขาให้”
พิมมองไปทางด้านหลังเด็กๆ เห็นวิศนีกับเดชชาติเดินเข้ามา พิมเข่าอ่อน
“โถ หนูวิศนี ไม่เอาค่ะ ป้ารับไม่ได้” พิมหันไปบอกลูกๆ “เอาคืนพี่เขาไป”
พิมคะยั้นคะยอลูกๆ วิศนีรีบแย้ง
“ไม่ได้นะคะ หนูซื้อมาแล้ว เขาไม่รับคืนหรอกค่ะ ให้น้องๆ เอาไว้ใช้ดีกว่า”
พิมหันไปพาลใส่เดชชาติ
“ไอ้ชาติ แกไปรบกวนคุณเขาทำไม ไอ้นี่ แม่สอนแล้วไม่จำ”
พิมคว้าไม้ไล่หวด เดชชาติวิ่งนี้ ปัดป้อง
“โอ๊ย เปล่าแม่ ฉันเปล่า”
วิศนีรีบเข้าไปห้าม
“คุณชาติไม่เกี่ยวค่ะคุณป้า หนูเป็นคนชวนคุณชาติไปซื้อเฉยๆ”
“แต่ป้า...”
“คุณป้าคะ หนูเป็นลูกคนเดียว ไม่มีพี่น้อง เห็นน้องๆ แล้วก็อยากมีเป็นน้องตัวเองบ้าง ขอให้หนูทำอะไรเพื่อพวกแกบ้างเถอะนะคะ”
พิมมีลำบากใจ ก่อนจะยอมในที่สุด
“อ้ะ มาขอบคุณพี่เข้าซะ เร็วๆ”
“ขอบคุณคร้าบ/ค่า”
เด็กๆ กรูกันเข้ามายกมือไหว้ วิศนีกอดเด็กๆ จับหัวทุกคนอย่างเอ็นดู
“มาช่วยกันขายขนมดีกว่านะจ๊ะ จะได้หมดเร็วๆ มา”

วิศนีต้อนเด็กๆ ไปประจำหน้าแผง เด็กกรูกันไปช่วย ร้องตะโกนเรียกลูกค้าที่ผ่านไปมา เดชชาติมองดูวิศนีที่เข้ากับน้องๆ ได้ดีด้วยความปลาบปลื้ม

รถเบนซ์หลายคันแล่นตลุยเข้ามาในถนนแถวชุมชน แล้วจอดลงที่ปากซอย กลุ่มคุณหญิงคุณนายหลายคนแต่งตัวเต็มที่ ทยอยลงจากรถ รถคันหลังสุดตามมาจอด ประตูค่อยๆ เปิดออก กรแก้วก้าวลงมาบอกทุกคนยิ้มแย้ม

“นี่แหละค่ะ ชุมชนที่สมาคมเราจะจัดงานระดมทุนช่วยเหลือ มีหลายบ้านที่ยังขาดสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เดี๋ยวลองไปคุยกับพวกชาวบ้านดูนะคะว่าขาดเหลืออะไรกันบ้าง เชิญค่ะ”
กรแก้วเดินนำกลุ่มคุณหญิงคุณนายและผู้ติดตามไป ทั้งกลุ่มเดินกันอย่างระมัดระวัง และสอดส่ายมองรอบตัวอย่างเกร็งๆ ระคนรังเกียจ
วิศนีกับน้องๆ ของเดชชาติช่วยกันร้องเรียกคนที่เดินผ่านไปมาให้ซื้อขนม แต่ของยังก็ยังเหลือเต็ม จิตใสบ่นอุบ
“ของเหลือตั้งเยอะ ไม่มีคนมาซื้อเลย”
พิมถอนใจ
“สงสัยเขาจะเบื่อขนมแม่แล้วมั้ง ซื้อกินทุกวัน เก็บเถอะ จะได้กลับบ้าน”
วิศนีแย้ง
“เดี๋ยวก่อนสิคะ เสียดายของ”
เดชชาติเข้ามาบอก
“แต่ตลาดจะวายแล้วนะครับ คงไม่มีลูกค้าแล้วล่ะ”
“งั้นเราก็ต้องเรียกลูกค้าสิคะ”
เดชชาติงงว่าวิศนีจะเรียกลูกค้ายังไง วิศนีมองไปที่แผงขายของใกล้ๆ เห็นแม่ค้ากำลังนั่งเอาหูแนบวิทยุ ฟังเพลง โยกตัวไปมาเพลินอยู่คนเดียว เธอยิ้ม ได้ไอเดีย

กรแก้วพาคณะเดินเยี่ยมชาวบ้าน คุยกันพอเป็นพิธี แล้วสำรวจชุมชนไปเรื่อยๆ สักพักก็ได้ยินเสียงเสียงอินโทรเพลงดังลั่นขึ้นมาจากไกลๆ คุณหญิงแปลกใจ
“เอ๊ะ แถวนี้เขามีงานอะไรกันเหรอคะคุณน้อง”
“ไม่ทราบเหมือนกันค่ะ ลองไปดูไหมคะ”
พวกคุณหญิงคุณนายพยักหน้ากันอย่างสนใจ แล้วชวนเดินตามเสียงเพลงดังลั่นไป...รถของวิศนีเปิดเพลงนางแบบโคกกระโดนดังลั่น วิศนีเต้นอยู่บนรถ กับจิตใสและใจภักดิ์ น้องๆ ผู้ชายเต้นเป็นแดนเซอร์อยู่ด้านล่าง คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเริ่มหยุดดูอย่างสนใจ วิศนียิ่งเต้นอย่างเมามันตามสเต็ปมีจิตใสกับใจภักดิ์ลูกคู่ ร้องลิปซิงค์ตามเพลง น้องคนอื่นๆ เป็นแดนเซอร์ประกอบ คณะของกรแก้วเดินเข้ามา มองดูการเต้นโชว์ที่คนมุงดูอย่างแปลกใจ
“ต๊ายตาย นั่นเขาโชว์อะไรกันน่ะ อย่าบอกนะคะว่าพวกโคโยตี้”
“ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ยิ่งเสื่อมนะคะ มาโชว์อะไรกันกลางตลาด อายแทนพ่อแทนแม่จริงๆ”
กรแก้วไม่พูดอะไร แต่มองดูรถที่เปิดที่มาของเพลงดังลั่นด้วยความรู้สึกคุ้นๆ คุณหญิงเพ่งมองไป
“เอ๊ะ แต่นั่นมันลูกสาวคุณนี่คะคุณกรแก้ว”
กรแก้วสะดุ้ง เขม้นมองไปที่วิศนีที่เต้นอยู่บนรถทุกคนมองตามเป็นตาเดียว
“ใช่จริงๆ ด้วย”
กรแก้วไม่อยากเชื่อสายตา รีบเดินนำทุกคนตรงเข้าไปดูใกล้ๆ วิศนีกับน้องๆ ของเดชชาติยังเต้นต่อไปอย่างสนุก คนที่เดินดูเริ่มตบมือโยกตัวตามจังหวะ จนกระทั่งเพลงจบ ก็พากันตบมือชอบใจ
“ขอบคุณค่ะ ขอบคุณที่ชอบการแสดงของพวกเรานะคะ แต่จะเป็นพระคุณมากๆ ถ้าจะช่วยอุดหนุนขนมหวานของร้านแม่พิมซักคนละชิ้นสองชิ้น เราจะได้มีแรงโชว์ต่อไงคะ เชิญเลยนะคะ เชิญค่ะ”
พวกคนที่มุงดูการแสดง เริ่มแห่กันเข้าไปที่แผงของพิมอย่างสนใจ วิศนีจะตามไปช่วยขายแต่หันมาเห็นกรแก้วที่ยืนอึ้งอยู่ กรแก้วไม่อยากเชื่อ
“หนูวิศนี”
วิศนีชะงักอึ้งไป พวกคุณหญิงคุณนายกรูกันตามเข้ามา คุณหญิงรีบถาม สอดรู้สอดเห็น
“ใช่จริงๆ ด้วย ดิฉันจำหน้าหนูคนนี้ได้” คุณหยิงหันไปพูดกับเพื่อน “ลูกคุณอำนวยไงล่ะเธอ ที่มาเซอร์ไพรส์งานแต่งงานไง จำได้ไหม”
พวกคุณหญิงคุณนายซุบซิบกัน แล้วมองวิศนีด้วยสายตายิ้มๆ
“หนูมาทำอะไรที่นี่จ๊ะ”
วิศนียังไม่ทันตอบ เดชชาติก็โผล่หน้าออกจากวงมาดู
“คุณวิศนี” เดชชาติหันมองกรแก้วแล้วตกใจ รีบไหว้ “อุ้ย สวัสดีครับ”
วิศนีตอบตรงๆ

“ฉันมาช่วยแม่คุณชาติขายขนมค่ะ”

บรรดาคุณหญิงด้านหลังกรแก้วฮือฮาซุบซิบกันอีก กรแก้วหน้าชาด้วยความอาย จำต้องหันไปแนะนำ ตามมารยาท

“นี่พวกเพื่อนๆ ฉันที่สมาคมจ้ะ เรากำลังจะจัดงานการกุศลช่วยเหลือพวกชาวบ้าน”
“งั้นก็ช่วยตอนนี้เลยดีไหมคะ”
กรแก้วกับพวกคุณหญิงงง วิศนีวิ่งไปกลางตลาด ปีนขึ้นไปบนแผงขายของว่างๆ วิศนีป้องปากตะโกน
“คุณลุงคุณป้าขา เห็นกลุ่มคุณนายที่แต่งตัวสวยอยู่ตรงนั้นไหมคะ ท่านมาจากสมาคม...” วิศนีแกล้งทำนึก “ผู้ดีไฮโซแห่งประเทศไทย อยากจะมาช่วยอุดหนุนสินค้าของคุณลุงคุณป้าน่ะค่ะ”
พวกพ่อค้าแม่ค้าตื่นเต้นตาลุกวาว วิศนีตะโกนต่อ
“ใครอยากเสนอขายอะไรเชิญได้เต็มที่ รับรองว่ามีเงินซื้อไม่อั้นค่า”
พ่อค้าแม่ค้าทุกคนตาลุกวาว รีบลุกออกจากแผงกรูมาหาพวกกรแก้วกับคุณหญิง พยายามยื้อแย่งตัวให้ไปช่วยซื้อสินค้าของตน กรแก้วกับคณะตื่นตกใจเมื่อตกอยู่ในวงล้อมแม่ค้า หนีไปไหนไม่ได้ ถูกฉุดกระชากไปมา โดยมีวิศนียืนมองอย่างขำๆ ปนสะใจ

เดชชาติกับน้องๆ ช่วยกันเข็นรถเข็นของพิมมาถึงบ้าน โดยมีวิศนีเดินตามมากับพิม
“วันนี้ขายหมดจนได้ ต้องขอบคุณหนูจริงๆ เลยนะคะ เหนื่อยแย่เลย”
“ไม่หรอกค่ะ สนุกดี”
“เข้าไปทานน้ำก่อนดีไหมครับคุณวิศนี”
“กลับเลยดีกว่าค่ะ ดึกแล้ว คุณป้ากับเด็กๆ จะได้พักผ่อน ลานะคะ แล้วถ้าหนูว่างจะมาช่วยอีก”
วิศนียกมือไหว้แล้วเดินออกมา โดยมีเดชชาติตามมาส่ง

เดชชาติเดินมาส่งวิศนีที่หน้าบ้าน เห็นอารุมกำลังสตาร์ทรถวุ่นวายอยู่ที่หน้าบ้านของนนทลีพอดี
“เฮ้ย อารุม ! รถเสียอีกแล้วเหรอ เป็นไรวะ”
อารุมเงยหน้ามอง เห็นวิศนีกับเดชชาติก็ชะงักไป แล้วพยักหน้า
“อาการเดิมๆ นั่นแหละ อยู่ๆ ก็สตาร์ทไม่ติด”
อารุมก้มลงไปลองสตาร์ทรถ พยายามไม่สนใจทั้งคู่
“ไปไหนกันมาเหรอคะ”
“แวะมาเล่นกับเด็กๆ น่ะค่ะ แล้วก็ไปช่วยป้าพิมขายของ...สนุกมากค่ะ คิดว่าจะมาอีก ถ้าคุณชาติไม่ว่าอะไร”
วิศนีหันไปทำตาหวานฉ่ำใส่เดชชาติอยากให้นนทลีสบายใจ เลิกระแวงเรื่องอารุม เดชชาติยิ้มแย้มดีใจ
“แหม ใครจะกล้า บ้านผมต้อนรับคุณวิศนีเสมอแหละครับ”
นนทลีจับตามองท่าทีสนิทสนมของทั้งสองคน แล้วยิ้มออกมา เริ่มคลายระแวงลงไปเรื่อยๆ อารุมยังคงมุ่งมั่นกับการสตาร์ทรถของตัวเอง แต่ลองหลายครั้งก็ไม่ติด จนเริ่มถอดใจ
“ป่านนี้อู่คงจะปิดแล้ว ผมคงต้องกลับแท็กซี่แล้วทิ้งรถไว้ที่นี่ก่อน”
“ไปกับฉันก็ได้นะคะ ฉันกำลังจะกลับพอดี”
อารุมชะงักไป หันไปมองนนทลีอย่างเกรงใจ นนทลีอึ้งไปเหมือนกัน แต่ในที่สุดก็ตัดสินใจได้
“ไปสิคะอารุม จะได้ไม่ต้องรอ”
อารุมลังเล
“แต่...”
“เฮ้ย ไปเถอะน่า แถวนี้ซอยลึกแท็กซี่มันไม่ค่อยเข้ามาหรอก”
อารุมนิ่งไป เพราะไม่อยากทำให้นนทลีสบายใจ นนทลีเห็นอารุมลังเลก็หันไปพูดกับวิศนียิ้มๆ
“ฝากด้วยนะคะคุณวิศนี”

นนทลียืนเหม่อออกไปที่หน้าต่าง มองดูรถวิศนีที่วิ่งออกไป นีรนุชเดินเข้ามา
“ทำไมพี่นนปล่อยพี่อารุมกลับไปกับเขาล่ะ”
“ก็รถเสียนี่นา”
“แต่พี่สุบอกว่าคุณวิศนีเขาไม่น่าไว้ใจ พี่นนควรจะระวังนะคะ”
“คุณวิศนีเขาจะเป็นยังไงพี่ไม่สนหรอก พี่ไว้ใจอารุมคนเดียวก็พอ”
นนทลีพูดเหม่อๆ ทอดสายตาออกไป พยายามบอกตัวเองให้คิดเช่นนั้น เพื่อความรักจะได้ราบรื่น

วิศนีกับอารุมนั่งรถกันมาเงียบๆ ต่างคนต่างไม่คุยกัน จนวิศนีทำลายความเงียบขึ้น
“เป็นไงบ้างคะ รถฉัน นั่งสบายไหม”
“ก็ดี”
“คุณน่าจะเปลี่ยนรถได้แล้ว จะได้ไม่ต้องคอยซ่อมบ่อยๆ”
“ก็ถ้ามันไม่ถูกคุณหนูนักเรียนนอกคนนึงขับชนเมื่ออาทิตย์ก่อน ก็อาจจะไม่รวนขนาดนี้ก็ได้”
วิศนีเหลือบมองเขาอารุมค้อนๆ อารุมเปลี่ยนเรื่อง มองดูรอบๆ รถ
“แล้วนี่คุณไปเจิมรถมาหรือยัง”
“เจิม...เจิมทำไมคะ”
“เพื่อเป็นสิริมงคลไง ส่วนใหญ่คนออกรถใหม่ๆ เขาจะเอารถไปให้พระท่านเจิม จะได้ใช้งานได้ราบรื่นไม่เจออุบัติเหตุ”
วิศนีเริ่มสนใจ ถามซื่อๆ
“แล้วฉันต้องไปวัดไหนล่ะคะ ต้องเอาอะไรไปบ้าง เสียเงินหรือเปล่า”
อารุมมองหน้าวิศนีอย่างเอือมๆ ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย

วิศนีขับรถมาจอดหน้าคอนโด อารุมหยิบนามบัตรของตัวเองออกมาขีดเขียนด้านหลัง แล้วส่งให้
“คุณไปที่วัดนี่ก็ได้ ถ้าวันไหนว่างๆ”
วิศนีรับนามบัตรมาพลิกดู
“ทำไมคะ พระท่านเจิมเก่งเหรอ”
อารุมทำหน้าเพลีย
“ไม่มีที่ไหนเก่งกว่ากันหรอก เจิมที่ไหนก็เหมือนกัน แต่วัดนี้ผมเคยอยู่ ผมรู้ว่าหลวงตาท่านทำให้ได้”
“อ๋อ ขอบคุณค่ะ”
“รีบไปทำซะ ก่อนที่คุณจะทะเล่อทะล่าไปชนใครเข้า คุณอาจจะไม่โชคดีเหมือนคราวที่แล้วนะ”
อารุมเตือนแล้วเดินเข้าคอนโดไป วิศนีมองตามหมั่นไส้
“หาเรื่องหลอกด่าเราอีกละ ตาบ้า”
วิศนีค้อนปะหลับปะเหลือกไล่หลังอารุม แล้วขับรถออกไป

วิศนีขับรถเข้ามาจอด แล้วเดินเข้าบ้านมา แต่สายตาเหลือบไปเห็นประยุทธหิ้วของพะรุงพะรังกำลังจะเข้าบ้านมาเช่นกัน
“อะไรน่ะประยุทธ”
“เอ่อ พวกผลไม้กับขนมครับคุณหนู”
วิศนีมองดูของในถุงอย่างแปลกใจ แล้วเข้ามาหยิบไปดูใกล้ๆ
“เอามาจากไหน”
“คุณผู้หญิงท่านซื้อมาจากตลาดน่ะครับ ท่านให้พวกผมเอาไปแบ่งกันกิน”
“หมดนี่เลยเหรอ”
“ยังมีอีกนะครับคุณหนู เต็มหลังรถเลย ไม่รู้จะกินกันไหวหรือเปล่า”
ประยุทธบอกยิ้มๆ แล้วเข้าบ้านไป วิศนีหงุดหงิดขึ้นมาทันที

กรแก้วกินอาหารค่ำอยู่คนเดียวบนโต๊ะ กำลังจะอิ่มพอดี วิศนีก็ถือถาดผลไม้กับขนมหวานเดินเข้ามา แล้วกระแทกวางบนโต๊ะ
“อิ่มแล้วเหรอคะคุณกรแก้ว น่าจะทานของว่างซักนิดนะคะ”
กรแก้วปรายตามองของในถาด แล้วพูดเรียบๆ
“เชิญหนูเถอะจ้ะ ฉันไม่ทานหรอก”
วิศนีมองกรแก้วอย่างหาเรื่อง แล้วนั่งลงจ้องหน้า จิ้มขนมหวานใส่ปาก

“ทำไมคะ ของที่ซื้อจากตลาดสด มันน่ารังเกียจจนกินไม่ลงเลยเหรอ”

กรแก้วเริ่มรู้ว่าวิศนีจะมาหาเรื่องอะไร

“ฉันไม่ค่อยชอบทานของพวกนี้ ที่ซื้อก็เพราะอยากช่วยพวกเขา”
“เขาคงเสียใจมาก ถ้ารู้ว่าบรรดาคุณหญิงคุณนายทั้งหลาย ที่แท้ก็จ่ายเงินซื้อความสบายใจให้ตัวเอง เพียงแค่ให้ได้รู้สึกว่าทำบุญช่วยเหลือคนด้วยเงินแล้วก็พอ”
กรแก้วเริ่มไม่พอใจ เสียงเริ่มเข้มขึ้นบ้าง
“พวกฉันก็ไม่ได้ตั้งใจจะไปเดินตลาด แค่จะไปดูว่าชาวบ้านต้องการความช่วยเหลืออะไร จะได้นำเงินไปช่วยทีหลัง แต่หนูเองไม่ใช่เหรอที่บีบให้พวกฉันต้องซื้อข้าวของที่ไม่ต้องการ เพื่อให้พวกเขาได้เงิน” กรแก้วยิ้มเย็นชา “แล้วหนูจะมาโกรธอะไรฉัน”
“นั่นสินะ ฉันผิดเองที่เจ้ากี้เจ้าการ แล้วก็ไม่เข้าใจระบบของพวกสมาคมไฮโซว่าพวกเขาถนัดการทำบุญเอาหน้ามากกว่าจะทำด้วยใจเมตตาจริงๆ”
กรแก้วมองหน้าวิศนี พยายามสงบสติอารมณ์ เปลี่ยนเรื่อง
“หนูไม่ต้องเข้าใจฉันก็ได้ ขอให้เข้าใจว่าตัวเองกำลังทำอะไรอยู่ก็พอ”
วิศนีเสียงแข็ง
“ฉันทำอะไร”
“หนูสนิทสนมกับนายเดชชาติอะไรนั่นมากแค่ไหน”
“อ๋อ” วิศนียิ้มแบบรู้แกว “ก็มากเท่าที่ผู้ชายกับผู้หญิงจะสนิทกันนั่นแหละค่ะ”
“เขาเป็นพนักงานบริษัท เป็นลูกน้องเรา อย่าไปเล่นหัวกับเขามาก ไม่งั้นอีกหน่อยพอหนูขึ้นมาคุมบริษัทคุณพ่อ หนูจะเอาเขาไม่อยู่”
วิศนีเยาะ
“ท่าทางคุณจะรู้จักเขาดีกว่าฉันนะคะ”
“ฉันเตือนด้วยความหวังดี”
วิศนีลุกพรวด ผลักเก้าอี้ออกไปอย่างแรง เสียงดังลั่น
“ขอบคุณที่เตือน แต่ถ้าจะกรุณา ช่วยเอาใส่สมองไว้ด้วยว่าอะไรที่คุณห้าม ฉันจะทำตรงกันข้ามทุกอย่าง”
วิศนีหันหลังเดินปึงปังออกไป กรแก้วหน้าตึง หงุดหงิดที่เอาลูกเลี้ยงไม่อยู่เสียเอง

อำนวยแต่งตัวออกมาจากห้องน้ำ เห็นกรแก้วยังนอนลืมตาโพลงครุ่นคิด
“เป็นอะไรหรือเปล่าคุณ ทำไมถึงทำหน้าอย่างนั้น”
กรแก้วถอนใจ เหลือบมองทางอำนวย
“หนูวิศนีแกอายุเท่าไรนะคะ”
“24 ย่าง 25 ทำไมเหรอ”
กรแก้วนิ่งคิด แล้วตัดสินใจพูด
“คุณคิดว่าถึงวัยที่แกควรจะมีครอบครัวได้หรือยัง”
อำนวยทำหน้างง หัวเราะออกมา
“คุณถามทำไม กลัวยายหนูจะขึ้นคานเหรอ”
กรแก้วค้อน
“เรื่องนั้นฉันไม่กลัวหรอกค่ะ ลูกสาวน่ะคุณสวย แต่คุณแน่ใจได้เหรอว่าแกจะเลือกคู่ครองได้ถูกต้อง”
อำนวยทำหน้าแปลกใจ สังหรณ์ขึ้นมา
“คุณจะพูดอะไร”
“ฉันเห็นหนูวิศนีกับพนักงานของคุณที่ชื่อเดชชาติน่ะค่ะ ดูจะสนิทสนมกันมากเกินไปซักหน่อย”
อำนวยเริ่มเครียด
“มากแค่ไหน”
“ก็มากขนาดหนูวิศนีไปถึงบ้านของเดชชาติมาแล้วน่ะสิคะ”
อำนวยอึ้งไป เพราะไม่คิดว่าเดชชาติจะเหมาะสมกับลูกสาวตัวเอง

วันใหม่...อำนวยเดินวนใช้ความคิดอยู่ตามลำพังที่ริมสระ นึกถึงคำพูดของกรแก้วหลังจากคุยกันเมื่อคืน
“คุณค่อยๆ พูดนะคะ เดี๋ยวแกจะเข้าใจว่าฉันมาฟ้อง แต่ในฐานะที่ฉันเป็นแม่เลี้ยง ฉันก็ไม่อยากให้เรื่องแบบนี้ผ่านหูผ่านตาไปโดยที่ไม่ได้บอกคุณ ส่วนคุณจะมีความคิดเห็นยังไงก็สุดแท้แต่”
อำนวยถอนใจเครียดๆ กลัววิศนีจะคว้าเดชชาติมาเป็นแฟนจริงๆ วิศนีโผล่หน้าออกมาพอดี
“เสร็จแล้วค่ะพ่อ เราจะไปไหนกัน”
“พ่อมีนัดกินกลางวันกับสมาคมของคุณกรแก้ว อยากให้หนูขับรถให้หน่อย”
วิศนีหน้าม่อย ไม่อยากไป
“แล้วคุณกรแก้วเขาไปไหนล่ะคะ”
“เขาล่วงหน้าไปประชุมตั้งแต่เช้าแล้ว ไปเถอะ เดี๋ยวจะสาย”
อำนวยพูดจบก็เดินนำไป วิศนีเดินตามแบบเบื่อๆ ไม่เต็มใจ

กรแก้วนั่งอยู่ที่โต๊ะกับพวกคุณหญิงคุณนาย มีอวลอบกับโยธินนั่งอยู่ด้วย อำนวยกับวิศนีเดินเข้ามา โยธินหันไปเห็นก็รีบลุกไปหายกมือไหว้อำนวย
“สวัสดีครับคุณอา คุณวิศนี”
วิศนียกมือไหว้ทุกคน แต่หน้าไม่สดชื่น อวลอบยิ้มแย้มเอาใจ
“หนูวิศนี ไม่ได้เจอกันตั้งนานนะจ๊ะ ป้าล่ะคิดถึ๊งคิดถึง มานั่งข้างๆ ตาโยสิลูก”
วิศนีทำท่าอิดออด แต่เหลือที่นั่งที่เดียว หันไปมองอำนวย ก็เห็นอำนวยพยักหน้าเป็นเชิงสั่ง เลยต้องยอมมานั่งข้างๆโยธินอย่างไม่เต็มใจ โยธินยิ้มกริ่มสบตากับอวลอบและกรแก้ว ทั้งโต๊ะรู้เรื่องที่จะได้เล่นละครการกุศลกับวิศนีแล้ว ยกเว้นวิศนีคนเดียว กรแก้วเริ่มต้นสนธนา
“เดี๋ยวทานไปคุยไปก็แล้วกันนะคะ ตกลงว่างานเราจะจัดเดือนหน้าที่โรงแรมคุณพี่อวลอบ”
“ยินดีรับใช้ค่ะ งานบุญงานกุศลแบบนี้พี่ชอบ” อวลอบยิ้มหวานหยด “แล้วจะต้องเริ่มซ้อมละครกันเมื่อไรคะ จะได้ให้ตาโยเคลียร์คิว”
“งั้นก็ต้องถามหนูวิศนีว่าพร้อมเมื่อไรล่ะจ๊ะ”
ทุกคนบนโต๊ะหันไปมองวิศนีเป็นตาเดียว วิศนีทำหน้างง
“พร้อมอะไรเหรอคะ”
คุณหญิงแปลกใจ
“อ้าว ก็เรื่องแสดงละครไงคะ พวกเราจะให้หนูเล่นเป็นนางเอกคู่กับคุณโยธิน คุณพ่อหนูยังไม่ได้บอกเหรอ”
วิศนีหันขวับไปมองพ่อทันที อำนวยทำหน้าอึกอัก เพราะจงใจที่จะยังไม่บอก วิศนีพูดห้วนๆ
“ยังค่ะ”
กรแก้วแก้ตัว
“คือเมื่อเช้าเรายังตกลงเรื่องที่จะใช้แสดงไม่ได้ไงคะ ดิฉันก็เลยยังไม่ได้บอกหนูวิศนี”
วิศนีมองกรแก้วเขม็ง เริ่มรู้สึกว่ามีอะไรทะแม่งๆ มากขึ้นทุกที โยธินยิ้มกรุ้มกริ่ม
“ผมตื่นเต้นมากเลยนะครับที่จะได้เล่นละครกับคุณวิศนี อยากจะเอาบทไปลองอ่านวันนี้เลย”
อวลอบหัวเราะชอบใจ
“แหม ดูลูกชายเดี๊ยนสิคะ บ้าเห่อ”
พวกคุณหญิงคุณนายหัวเราะเอ็นดูกัน หน้าแช่มชื่นมีความสุข วิศนียิ่งปรี๊ดแล้วโพล่งออกมา
“ไม่ต้องตื่นเต้นหรอกค่ะ เพราะฉันจะไม่เล่น”
วิศนีพูดจบก็ลุกพรวดเดินออกไป ทุกคนตกใจกันทั้งโต๊ะ อำนวยอึ้ง
“ยายหนู!”
“หนูวิศนี !”
วิศนีเดินก้าวพรวดๆ ออกไปอย่างหัวเสีย ไม่ฟังเสียงเรียกของใครทั้งนั้น...อำนวยกับกรแก้วรีบวิ่งตามวิศนีออกมา
“ยายหนู แกจะไปไหน”
วิศนีหันกลับมาโวย
“ทำไมพ่อทำกับหนูอย่างนี้ เห็นหนูเป็นเด็กห้าขวบเหรอคะ ถึงจะจับให้แสดงบ้าบออะไรโดยไม่ถามหนูซักคำ”
“มันเป็นงานการกุศลที่คุณกรแก้วเป็นแม่งาน แล้วบริษัทเราก็เป็นสปอนเซอร์ใหญ่ทุกปี เราต้องมีส่วนร่วมในงานนี้”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับหนูล่ะ”
“ก็แกเป็นลูกพ่อ เป็นหน้าเป็นตาของพ่อไง จะให้พ่อเอาใครที่ไหนก็ไม่รู้มาเป็นตัวแทนบริษัทได้ยังไง”
วิศนีกระสับกระส่ายหงุดหงิด อำนวยใช้น้ำเย็นเข้าลูบ
“ยายหนู ฟังพ่อนะ งานนี้เป็นงานสำคัญ เพราะพ่ออยากเปิดตัวลูกสาวให้คนในสังคมได้รู้จักอย่างเป็นทางการ มันจะได้ประโยชน์เมื่อหนูขึ้นมารับช่วงบริษัทต่อจากพ่อ เข้าใจไหม”
วิศนีเข้าใจมากขึ้น แต่ไม่อยากทำ
“แต่หนูไม่อยากแสดง ให้หนูไปทำอย่างอื่นไม่ได้เหรอคะ”
กรแก้วรีบขัด
“ไม่ได้หรอกจ้ะ ที่ประชุมสรุปออกมาแล้วว่าจะให้โยธินเป็นพระเอก แล้วหนูก็คือคนที่เหมาะสมที่จะคู่กับเขาที่สุด”
วิศนีไม่พอใจ
“นี่มันละครหรือเรื่องอะไรกันแน่”
กรแก้วกับอำนวยหลบสายตา วิศนียิ่งเอะใจ
“พ่อหวังมากกว่านั้นใช่ไหมคะ หวังมากกว่าจะให้หนูเล่นละครคู่กับเขาเฉยๆ ใช่ไหม”
อำนวยทนไม่ไหว
“ยังไงเขาก็ดีกว่าเซลส์ขายรถในบริษัทก็แล้วกัน”
วิศนีอึ้ง แล้วหันขวับไปมองกรแก้วทันที
“เรื่องนี้นี่เอง” วิศนีตวาดลั่น “คุณเอาความคิดอะไรไปใส่หัวพ่อฉัน”
“ฉันหวังดีกับหนูนะจ๊ะวิศนี”
วิศนีโกรธมาก
“คุณมีสิทธิ์มายุ่งกับเรื่องส่วนตัวของฉันตั้งแต่เมื่อไร ถ้าเผื่อคุณลืมไป ฉันจะเตือนสติให้อีกทีนะ คุณเป็นแค่เมียพ่อฉันเท่านั้น ไม่ใช่แม่ฉัน แล้วก็จะไม่มีวันมีความสำคัญมากกว่านั้นด้วย”
วิศนีพูดจบก็วิ่งขึ้นรถ แล้วขับออกไปอย่างรวดเร็ว อำนวยร้องเรียกไล่หลังอย่างโมโห

“วิศนี!”

อุบัติเหตุ ตอนที่ 4 (ต่อ)

แววแต่งหน้า ทาลิปสติกกระจกอยู่ในบ้าน ได้ยินเสียงรถขับมาหน้าบ้าน แล้วชนโครมกับถังขยะ แววสะดุ้งตกใจ จนลิปสติกไถลเปื้อนหน้า

“ว้าย ตาเถร ! ใครมันทำอะไรวะ ฮึ้ย !”
แววรีบหาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดรอยลิปสติก แล้วโผล่หน้าออกไป...แววเดินฉับๆ ออกมาจากในบ้าน ตรงมาเปิดรั้ว เตรียมจะด่า แต่พอเห็นว่าเป็นวิศนีกำลังก้มๆ เงยๆ ดูรอยหน้ารถก็ตกใจ
“เอ้า ยายหนู เกิดอะไรขึ้น แม่ตกใจหมด”
วิศนียิ้มแหย
“หนูขับชนถังขยะค่ะ”
วิศนีชี้ไปที่ถังขยะที่บุบๆ กลิ้งอยู่หน้าบ้าน
“ตายแล้ว รถใหม่ๆ บุบหมด แล้วหนูเป็นอะไรหรือเปล่า”
แววเข้ามาจับเนื้อจับตัววิศนีดูอย่างเป็นห่วง วิศนีรู้สึกตื้นตันขึ้นมาเล็กๆ รีบกอดเอาใจ
“แม่คะ ไปทานข้าวกันไหม ตั้งแต่กลับมาหนูยังไม่ค่อยได้คุยกับแม่เท่าไรเลย”
“แหม วันนี้แม่ไม่ว่างน่ะสิ กำลังจะออกไปข้างนอกอยู่เนี่ย”
วิศนีทำหน้าผิดหวัง แต่แววไม่ได้สังเกต มัวแต่คิดเรื่องตัวเอง
“เออ หนูมาก็ดีแล้ว ขับรถไปส่งแม่หน่อยสิ แม่อยากจะไปอวดเพื่อนๆ ว่าเราก็มีรถสวยๆ กะเขาเหมือนกัน”
วิศนีมีความหวัง
“แม่จะไปไหนล่ะคะ หนูไปด้วยได้ไหม”
“วุ้ย หนูจะชอบเหรอ...แม่จะไปเล่นไพ่นกกระจอก”
แววบอกอย่างกะปรี้กะเปร่าแล้วเปิดประตูขึ้นรถทันที วิศนีเซ็ง ที่แท้แววก็ไม่พ้นไปเล่นไพ่นี่เอง

ลิ้นจี่ยืนรับแขกอยู่หน้าบ้าน เห็นวิศนีขับรถเข้ามาก็มองงงๆ แต่พอเห็นแววเปิดกระจก ชูคอทำเชิดก็อึ้งๆ รีบปรี่เข้าไปหา
“ต๊ายตาย ไอ้เราก็มองตั้งนานว่าใคร ที่แท้ก็คุณแววนี่เอง ไปเอารถใครมาใช้ล่ะคะเนี่ย”
แววเริดๆ เชิดๆ
“ก็ต้องรถตัวเองสิคะ นี่ลูกสาว เพิ่งกลับมาจากฝรั่งเศส...ไหว้คุณป้าสิลูก”
วิศนียกมือไหว้ลิ้นจี่แบบฝืดๆ ลิ้นจี่ทำเป็นตื่นเต้นเอาใจ
“ไม่ยักทราบว่าคุณแววส่งลูกสาวไปเรียนเมืองนอก หน้าตาสะสวยเหมือนแม่เลยนะคะ”
“วุ้ย อย่าเพิ่งอวยกันเลยค่ะ จะเริ่มเล่นกันหรือยัง คันมือเต็มทีแล้ว”
“เดี๋ยวค่ะเดี๋ยว รอสมาชิกสำคัญก่อนค่า”
“ใครคะ”
ลิ้นจี่ยังไม่ทันตอบ ก็ได้ยินเสียงขบวนแห่สิงโตดังลั่น ทั้งหมดหันไปมองคณะเชิดสิงโตแห่กันเข้ามาที่หน้าบ่อน ส่งเสียงอึกทึก จนพวกเซียนในบ่อนโผล่หน้ากันออกมาดู ลิ้นจี่รีบนำวิศนีกับแววเข้ามา อาซ้อยืนโบกพัดดูการแสดงอยู่ ลิ้นจี่เข้าไปหา
“นี่ไงล่ะคะ สมาชิกสำคัญ สวัสดีค่าอาซ้อ”
“ซาหวักลีฮ่าคุงนาย ซาหวักลีฮ่าคุงแวว”
“สวัสดีค่า แหม วันนี้อาซ้อเปิดตัวอลังการมากนะคะ เกิดอะไรขึ้นคะเนี่ย”
“ไม่มีอาไรมากหรอกฮ่า วังนี้วังลี เค้าว่าเทพเจ้าแห่งโชคลาภจะมาเยี่ยม อาฮั้นก้อเลยเอาสิงโตมาเชิดเพื่อเชิญอีมาประทับ”
“อ๋อออ”
ลิ้นจี่กับแววพยักหน้าหงึกหงัก อาซ้อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วไปสะดุดตากับวิศนีที่ยืนอยู่ด้านหลังแวว
“แล้วอาคุณหนูนี่อีเป็นใครล่ะคะ”
แววนึกได้
“อุ๊ย ลืม ลูกสาวค่ะ ชื่อหนูวิศนี” แววหันไปหาวิศนี “นี่คุณนายกิมเตียงจ้ะลูก เจ้าของโรงงานซีอิ๊วกับน้ำมันหอยที่ดังๆ ไงจ๊ะ หนูรู้จักไหม”
วิศนีทำหน้างง ไม่รู้จัก แต่ก็ยกมือไหว้ อาซ้อรับไหว้ แล้วมองวิศนีอย่างเพ่งพิศเอ็นดู เสียงกลองดังเป็นจังหวะเหมือนเป็นสัญญาณจะแสดงโชว์
“อุ๊ย สิงโตจะโชว์แล้วฮ่า ดูก่องๆ”
ทุกคนหันไปมองที่ลานหน้าบ่อน เห็นคณะเชิดสิงโตค่อยๆ ต่อตัวกันขึ้นไป ทุกคนมองดูกันอย่างตื่นตาเมื่อเห็นสิงโตเริ่มต่อกันขึ้นไปเป็นชั้นๆ วิเศษเชิดหัวสิงโตตัวใหญ่ที่สุดอยู่บนสุด อาซ้อตะโกนลั่น
“อาตี๋ อาตี๋ของหม่าม้า”
วิเศษเชิดสิงโตอย่างตั้งอกตั้งใจ จนกระทั่งสายตาเหลือบมาเห็นวิศนี ก็นิ่งตะลึงงันไป จนลืมคิวแสดง พอคนที่อยู่ข้างล่างเริ่มเคลื่อนไหว วิเศษที่ใจลอยก็ทรงตัวไม่อยู่เริ่มโงนเงน
“เฮ้ยๆๆ”
อาซ้อตกใจ
“ไอ้หยา อาตี๋”
วิเศษเอียงไปเอียงมาและขืนตัวไม่ไหว หล่นโครมลงมาตรงหน้าแทบเท้าวิศนีทันที ทุกคนกรีดร้องกันอย่างตกใจ อาซ้อกับคนในคณะเชิดสิงโตรีบวิ่งเข้าไปดูกันอย่างเป็นห่วง แล้วค่อยๆ พยุงให้ลุกขึ้น
“อาตี๋ ลื้อเป็นอะไรหรือเปล่า”
วิเศษหัวบวมปูดโน ค่อยๆ ลืมตาแล้วเงยหน้าขึ้นมองหน้าตื่นอยู่
“อั๊วตายหรือยังหม่าม้า”
“ยัง ลื้อยังไม่ตาย ฮือๆๆ”
“แล้วทำไมอั๊วเห็นนางฟ้ายืนอยู่ตรงนี้ได้” วิเศษตาลอยมองวิศนี “นางฟ้า คร่อก”
วิเศษเอื้อมมือมาหาวิศนี แล้วเป็นลมหมดสติไป วิศนีรีบถอยหนีอย่างตกใจ อาซ้อตกใจมาก
“อาตี๋!”

วิศนีนั่งจ่อยาดมให้วิเศษที่นอนหมดสติอยู่ สักพักวิเศษก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
“คุณฟื้นแล้ว !”
วิเศษพูดกับตัวเอง
“อั๊วรอดตายอีกแล้ว” วิเศษมองหน้าวิศนี “นางฟ้า...นางฟ้าช่วยอั๊วไว้”
วิศนีอ่อนใจ
“ฉันไม่ใช่นางฟ้า ฉันเป็นคนค่ะ เฮ้อ”
วิเศษกะพริบตาปริบๆ มองวิศนีอีกทีให้แน่ใจ แล้วลุกขึ้นจ้องใกล้ๆ
“คุณเป็นคนจริงๆ ด้วย” วิเศษยิ้มเขิน “ขอลองแตะดูให้แน่ใจได้ไหมครับ”
“ถ้าคุณแตะ ฉันชก”
วิศนีเงื้อมือขู่ วิเศษหน้าเจื่อน
“แหะๆ งั้นไม่แตะก็ได้ครับ” วิเศษมองหา “แล้วหม่าม๊าผม ไปไหนล่ะครับ”
วิศนีชี้ไปอีกห้อง
“นั่งเล่นไพ่กันอยู่ห้องโน้นค่ะ ท่านต้องรีบไปดักรอเทพเจ้าโชคลาภอะไรนั่นแหละ เลยฝากฉันคอยดูคุณ แต่คุณไม่เป็นไรแล้วนี่ งั้นฉันไปล่ะ”
“อ้าว เดี๋ยวสิครับ คุณ...คุณชื่ออะไรเหรอ”
“จะเรียกอะไรก็เรียกเถอะค่ะ เราคงไม่ได้เจอกันแล้วล่ะ”
วิศนีพูดเพลียๆ แล้วคว้ากระเป๋าลุกเดินออกไป วิเศษมองตามแล้วยิ้มเพ้อ ประทับใจออกมา

วิศนีเดินกลับมาขึ้นรถอย่างเซ็งๆ เตรียมจะขับรถออกไป แต่พอบิดกุญแจก็เห็นนามบัตรของอารุมที่ให้ไว้หล่นลงมาจากคอนโซลรถ เลยหยิบมาดูอย่างนึกได้

“คุณไปที่วัดนี่ก็ได้ ถ้าวันไหนว่างๆ”
วิศนีรับนามบัตรมาพลิกดู
“ทำไมคะ พระท่านเจิมเก่งเหรอ”
อารุมทำหน้าเพลีย
“ไม่มีที่ไหนเก่งกว่ากันหรอก เจิมที่ไหนก็เหมือนกัน แต่วัดนี้ผมเคยอยู่ ผมรู้ว่าหลวงตาท่านทำให้ได้”
วิศนีมองชื่อและที่อยู่ของวัดในนามบัตรอย่างใช้ความคิด แล้วหยิบโทรศัพท์มาดูแผนที่

วิศนีขับรถเข้าถึงหน้าวัด มองดูป้ายเชื่อสลับกับนามบัตรเพื่อความแน่ใจ แล้วรีบเลี้ยวเข้ามา รถวิ่งเข้ามาในอาณาเขตร่มรื่นของวัด เธอรีบหาที่ร่มจอด แล้วลงจากรถแล้วเดินลัดเลาะไปตามแนวไม้มองดูนามบัตร
“ถามหาหลวงตาเหรอ หลวงตาอะไรก็ไม่รู้ เฮ้อ !”
วิศนีเดินมาเรื่อยๆ จนเห็นพระรูปหนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่ตามลำพัง เลยรีบตรงไปหา หลวงตากวาดลานวัดอยู่เงียบๆ แล้วเงยหน้ามองแดดจ้าพลางปาดเหงื่อ ก่อนจะลงมือกวาดต่อ แต่แล้วก็เกิดหน้ามืดโงนเงน จะล้ม วิศนีเห็นเข้าพอดี
“ว้าย ระวังค่ะ !”
วิศนีพุ่งเข้ามาหา หลวงตาหันไปมองเห็นหญิงสาวปรี่เข้ามาจะถึงตัวก็ตกใจ
“เดี๋ยวโยม! หยุดตรงนั้น โยมจะทำอะไร”
วิศนีชะงัก
“ก็หลวงพ่อจะล้มนี่คะ”
หลวงตาหน้าตื่นเมื่อวิศนียังทำท่าจะเข้ามาประคองอีก รีบยกมือห้าม
“ไม่เป็นไร อาตมายืนได้”
“แน่ใจนะคะ ให้หนูช่วยดีกว่า”
หลวงตาตกใจ
“โยมจะมาแตะตัวอาตมาได้ยังไง อาตมาเป็นพระ”
วิศนีอึ้งไป เพิ่งนึกออกว่าไม่ควร ยิ้มแหยๆ
“จริงด้วย หนูลืมไป ขอโทษค่ะ” หญิงสาวยกมือไหว้ “งั้นหนูจะไปตามคนอื่นนะคะ”
วิศนีกำลังจะวิ่งออกไป แต่มีเสียงดังมาจากด้านหลัง
“หลวงตา! มีอะไรหรือเปล่าครับ”
วิศนีหันกลับไปมอง ก็เห็นอารุมวิ่งเข้ามาพอดี ทั้งคู่มองหน้ากันแล้วชะงักไป

อารุมประคองหลวงตาไปจำวัดพักผ่อนในกุฏิ ก่อนจะหันมาบอกวิศนี
“วันนี้หลวงตาไม่ค่อยสบาย คุณค่อยมาใหม่วันหลังก็แล้วกัน”
“ไม่เป็นไรค่ะ แต่คุณน่าจะพาท่านไปหาหมอนะ”
หลวงตารีบขัด
“โอ๊ย ไม่ไปๆ โรคคนแก่ นอนพักเดี๋ยวก็หายแล้ว”
อารุมรินน้ำให้หลวงตา แล้วดูแลบีบนวด
“หลวงตาน่าจะเลิกทำงานได้แล้วนะครับ ปล่อยให้พวกเด็กวัดทำดีกว่า”
“ก็เห็นอะไรเกะกะแล้วมันอดไม่ได้ จะหวังพึ่งไอ้พวกทะโมนนั่นก็ไม่ไหว ไม่มีใครเหมือนเอ็งซักคนอารุม ขี้เกียจสันหลังยาวกันทั้งนั้น”
อารุมยิ้มเขิน บีบนวดต่อ หลวงตาทอดสายตามองวิศนี แล้วเล่าให้หญิงสาวฟัง
“เมื่อก่อนอารุมอยู่ที่นี่ แม่เขาเอามาฝากให้ช่วยดูแล วิ่งขึ้นลงกุฏิตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยก ตอนนี้สูงใหญ่แทบจะคับกุฏิอยู่แล้ว แต่เขาก็ยังแวะมาหาอยู่เรื่อยๆ”
“คุณอารุมว่าง่ายไหมคะ”
อารุมสะดุ้งมองวิศนี งงว่าถามทำไม
“เขาเป็นเด็กดี เลี้ยงใครก็ไม่เท่าเลี้ยงเขาหรอก ชื่อนี่อาตมาก็ตั้งให้เอง”
“แปลว่าอะไรเหรอคะ หนูสงสัยมาตั้งนานแล้ว”
“ชมพู่น้ำดอกไม้ เพราะแม่เขาชอบกินตอนท้อง รู้จักหรือเปล่า”
วิศนีส่ายหน้าตอบซื่อๆ
“ไม่รู้จักค่ะ แต่ฟังดูน่ารักจัง หลวงตามีรูปไหมคะ หนูอยากเห็น”
หลวงตาหัวเราะขำส่ายหน้า อารุมรู้สึกกระดากที่วิศนีซ่อกแซ่กเรื่องของตัวเองเลยตัดบท
“หลวงตาคงจะเหนื่อยแล้ว พักผ่อนดีกว่านะครับ”
อารุมพระคองหลวงตาให้นอนพัก แล้วมองวิศนีดุๆ ให้ลุกตามมา

อารุมพาวิศนีเดินออกมา อบรมมาตลอดทาง
“อยู่ต่อหน้าพระ-เจ้า คุณควรจะสำรวมมากว่านี้นะ ท่านไม่ใช่เพื่อนเล่น”
“ไม่เห็นท่านจะว่าอะไรเลย ท่าทางท่านยังอยากเล่าเรื่องคุณให้ฉันฟังอีก”
“คุณจะรู้ไปทำไม”
“ก็คนเราเป็น...” วิศนีจะบอกว่าเพื่อนแต่ไม่กล้า “ทำงานด้วยกัน ควรจะรู้จักกันไว้ไม่ใช่เหรอคะ”
“คุณอยากรู้อะไรก็ถามผมมา”
วิศนีมองอารุมอย่างชั่งใจ สงสัยบางอย่าง ตัดสินใจถาม
“คุณแม่คุณไปไหนเหรอคะ ทำไมถึงให้คุณมาอยู่วัด”
อารุมนิ่งไป ความรู้สึกสะเทือนเล็กๆ วูบเข้ามาแล้วผ่านไป

อารุมพาวิศนีมาที่เก็บอัฐิแม่ของเขา ทั้งสองยืนไหว้เงียบๆ
“แม่ผมป่วยกระเสากระแสะมาตั้งแต่ผมจำความได้ ท่านรู้ว่าเราคงไม่ได้อยู่ด้วยกันนานนัก ก็เลยฝากผมมารับใช้หลวงตา ผมมาอยู่ที่นี่ได้ไม่ถึงปี...ท่านก็ไป”
อารุมพูดเรียบๆ แต่แฝงความอ้างว้างเดียวดาย
“แล้วพ่อคุณล่ะคะ”
อารุมนิ่ง เหมือนหาคำตอบที่เหมาะสม ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว
“ผมไม่มีญาติที่ไหนอีก”
วิศนีเหลือบมองอารุม เจื่อนไปเมื่อรู้ว่าอารุมมีชีวิตแสนเศร้ากว่าที่คิด
“ฉันขอโทษที่ถามนะคะ”
“ไม่เป็นไร ผมก็ไม่ได้คิดจะปิดบังอะไร”
“ฉันเพิ่งรู้ว่าวันก่อนที่คุณบอกว่าคุณเคยเหงา เป็นเพราะอย่างนี้เอง”
“แต่ผมไม่ถือว่ามันเป็นปมด้อยหรอก หลวงตาสอนไม่ให้ผมเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ท่านสอนให้ผมภูมิใจในตัวเอง”
“จริงค่ะ ชีวิตคุณตอนนี้น่าภูมิใจมาก”
วิศนีพูดอย่างชื่นชม พลางยิ้มระยิบระยับให้อารุม อารุมทำหน้าเหมือนจะยิ้มตอบ แต่ก็เหมือนเขินๆ เลยเบือนหน้าหนีแล้วเดินนำไป...วิศนีเดินตามอารุมมาเรื่อยๆ เที่ยวชมบรรยากาศรอบวัด
“รถคุณยังซ่อมไม่เสร็จ จะกลับกับฉันได้นะคะ”
“ก็ดีเหมือนกัน”
อารุมทำท่าจะตามวิศนีไปขึ้นรถ ทันใดนั้นมีลูกฟุตบอลกระเด็นเข้ามาพอดี อารุมเอาเท้าแตะพักไว้ แล้วเงยหน้ามอง เห็นพวกเด็กวัดกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา อารุมเตะคืนกลับไป เด็กวัดคนหนึ่งแซว
“แน่ะ พี่อารุม พาแฟนมาเยี่ยมหลวงตาเหรอพี่”
วิศนีหน้าเหวอ มองอารุมตกใจ อารุมรีบปฏิเสธ
“ไม่ใช่เว้ย เพื่อน...นี่จะไปเล่นกันที่ไหน”
“สนามเล็กหลังวัด ไปเตะด้วยกันไหมพี่ จะได้จัดแมทช์ล้างตาซักหน่อย”
อารุมหัวเราะ
“ไม่ได้เตะตั้งหลายปีแล้ว คงไม่ไหวว่ะ”
“โห่ พี่ไปเหอะ ขำๆ”
พวกเด็กคนอื่นรีบช่วยคะยั้นคะยอ อารุมลังเล มองไปทางวิศนี

“ต้องการกองเชียร์สวยๆ ซักคนไหมคะ”

อารุมใส่เสื้อยืดกางเกงขาสั้น เอาบอลวางลงที่มุมสนาม เตะเข้าไปกลาง แล้ววิ่งเข้าไปเล่นกับพวกเด็กๆ วิศนีนั่งอยู่ที่ขอบสนาม มีเสื้อผ้าของอารุมกับข้าวของส่วนตัวจำพวกนาฬิกา โทรศัพท์ วางอยู่ วิศนีตบมือ ร้องตะโกนเชียร์อยู่คนเดียวอย่างเมามัน

อารุมเล่นบอลสนุก หัวเราะกับพวกเด็กๆ บางครั้งก็หันมายิ้มกับวิศนี แล้วเตะบอลต่อ ชายหนุ่มดูผ่อนคลาย มีความสุข ยิ้มหัวเราะเบิกบาน วิศนีป้องปาก
“สู้เขาสิคู้น วิ่งหน่อย เร้ว!”
วิศนีกระโดดโลดเต้นเชียร์ออกหน้าออกตา โทรศัพท์อารุมที่วางทับอยู่บนเสื้อดังขึ้นพอดี เธอเอื้อมมือหยิบ เห็นชื่อว่าเป็นนนทลี หญิงสาวไม่ทันคิด ลืมตัวกดรับ
“ฮัลโหล หวัดดีค่ะ”
นนทลียืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน ได้ยินเสียงวิศนีแต่จำไม่ได้ ดูเบอร์ที่กดให้แน่ใจอีก
“ฮัลโหล นั่นโทรศัพท์อารุมหรือเปล่าคะ”
วิศนีสะดุ้งตกใจ รีบเอามือปิดปาก กลัวเป็นเรื่องอีก เสียงนนทลียังเรียกย้ำ
“ฮัลโหล”
วิศนีตั้งสติ ไม่รู้จะเอาไงดี มองไปที่สนามก็ยังเห็นอารุมเตะบอลอยู่ เลยตัดสินใจคุยแทน วิศนีกดเสียงต่ำเหมือนผู้ชาย
“เอ่อ ฮ...ฮัลโหลครับ”
“อารุมเหรอคะ”
“ม...ไม่ใช่ครับ ผมเป็นเพื่อนอารุม ตอนนี้อารุมเขาเตะบอลอยู่ครับผม มีอะไรจะฝากไว้ไหมครับ”
“เอ๊ะ แล้วเมื่อกี้ใครรับสายเหรอคะ เสียงผู้หญิง”
วิศนีอึ้งๆ แก้ตัว
“เอ่อ ผมเองครับ พอดีผมกำลังหัดทำเสียงผู้หญิงอยู่”
นนทลีได้ยินก็ยิ่งงง วิศนีกลัวอีกฝ่ายไม่เชื่อก็แกล้งดัดเสียงเป็นผู้หญิงแบ๊วๆ
“แบบว่าจะไปสมัครเป็นนักพากย์การ์ตูนอ่ะค่ะ” หญิงสาวกลับมาดัดเสียงผู้ชายใหม่ “เหมือนไหมครับ แหะๆๆ”
นนทลีนึกในใจว่าเพื่อนอารุมคนนี้พิลึก
“เอ่อ ค่ะ ยังไงฝากบอกว่านนทลีโทรมาแล้วกันนะคะ ขอบคุณค่ะ”
วิศนีเห็นนนทลีวางสายไปแล้วก็ถอนใจออกมาอย่างโล่งอก รอดไปอย่างหวุดหวิด

ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว อารุมเปลี่ยนชุด เอาเสื้อผ้ามาคืนพวกเด็กวัด
“ขอบใจมาก แล้วเจอกันนะ”
“โชคดีพี่”
อารุมกับเด็กๆ ตบไหล่ลากัน เสียงพลุดังขึ้น วิศนีหันไปมองก็เห็นพลุประกายสวยงามอยู่บนฟ้า
“เอ๊ะ แถวนี้มีงานอะไรเหรอคะ”
เด็กคนหนึ่งหันมาบอก
“อ๋อ งานสวนสนุกที่วัดใกล้ๆ นี่แหละครับ วันสุดท้ายแล้ว”
วิศนีมองพลุบนฟ้า แล้วมองหน้าอารุมเป็นนัยๆ อารุมจึงถาม
“คุณจะไปเหรอ”
“คุณสนุกไปแล้ว ฉันอยากสนุกบ้าง ไปกันนะ”
วิศนีทำหน้าอ้อน อารุมมองแบบชั่งใจ แต่สุดท้ายก็ใจอ่อน

วิศนีเดินเที่ยวงานกับอารุมอย่างเพลิดเพลิน กินขนมที่ซื้อในงาน วิศนีมองรอบๆ อย่างตื่นตา
“คุณรู้ไหม ฉันมางานแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไร”
อารุมนิ่งคิด
“คุณไปเมืองนอกมาสิบปี ก็ต้องประมาณ 10 ปีขึ้นไป”
“ผิด! สองปีที่แล้ว”
“เป็นไปได้ไง”
“ตอนฉันอยู่เยอรมัน เขาจัดงานไทยวีคกัน มีคนเอางานแบบนี้ไปจัดที่โน่น ฉันไปช่วยเขาขายของด้วยนะ สนุก แต่ก็ไม่เท่ากับบรรยากาศดั้งเดิมแบบนี้ ที่สำคัญที่โน่นไม่มีขนมเบื้อง ไม่มีกล้วยปิ้ง ไม่มีขนมโตเกียวอร่อยๆ ขาย”
วิศนีหยิบของกินมากินอย่างเอร็ดอร่อย อารุมมองอย่างเอ็นดู
“ชิมไหมคะ”
“ผมกินจนเบื่อแล้ว คุณกินเถอะ”
วิศนียิ้มอายๆ แต่ก็กินต่อ สายตาเหลือบไปเห็นซุ้มปาเป้า ก็ตื่นเต้น
“อุ๊ย เกมโปรดฉัน เจอแล้ว!”
วิศนีวิ่งแจ้นไปที่ซุ้มทันที อารุมมองตาม แล้วเดินตามไป

วิศนีปรี่มาประจำซุ้ม ถามราคาคนขาย แล้วแลกเงินซื้อลูกปืน อารุมตามเข้ามาดู เห็นวิศนีพยายามจะยิงเอาตุ๊กตาตัวใหญ่ แต่ก็พลาด
“คุณช่วยกันหน่อย”
“ช่วยอะไร”
“ฉันอยากได้ตุ๊กตาตัวนั้น เอาให้ทีนะ นะๆๆๆ”
วิศนีออดอ้อน ยื่นปืนยาวให้ อารุมรับมายิง เฉียดไปเฉียดมา วิศนีคอยลุ้นตาม ทำท่าทางน่ารัก ทั้งบีบนวดเชียร์ ทั้งทำท่าเซ็งจัด อารุมยิงได้ตุ๊กตาตัวเล็กตัวน้อยเอามายื่นให้ วิศนีส่ายหน้าดิกไม่เอา ชี้ไปที่ตัวใหญ่
อารุมเซ็งๆ หันไปยิงต่อ ต้องเอาให้ได้ วิศนีลุ้นจนหยุดสุดท้าย จนอารุมได้มา วิศนีดีใจมาก จะโผเข้ากอด แต่อารุมรีบยัดตุ๊กตาตัวใหญ่ใส่อ้อมกอด แล้วหัวเราะขำท่าทางวิศนีที่กอดตุ๊กตาเต้นไปเต้นมาเหมือนเด็กๆ

วิศนีกับอารุมนั่งกินผัดไทยใส่กล่องโฟมอยู่ริมน้ำมีตุ๊กตาตัวใหญ่อยู่ที่ตักวิศนี อารุมมองเอ็นดู
“อร่อยไหม”
“มาก ฟินที่สุด”
วิศนีกินจนเกลี้ยงถาด ก็กินน้ำ แล้วเอนตัวลงนอนพิงตุ๊กตาตัวโต ลูบพุงตัวเอง อารุมมองแล้วยิ้มขำ
“คุณนี่เหมือนเด็กจริงๆ เลย”
วิศนีหันมองอารุม สายตาขี้เล่น
“งั้นคุณก็คงเป็นคุณพ่อยังหนุ่มที่พาลูกสาวตัวน้อยๆ มาเที่ยวงานสวนสนุกใช่มะ”
อารุมหัวเราะ กินผัดไทยของตัวเองต่อ วิศนียังคงทอดสายตามอง

“ฉันชอบคุณตอนนี้จัง”

อารุมเกือบจะสำลักอาหารที่กินอยู่ มองวิศนีอย่างตกใจ

“ฉันชอบคุณเวลายิ้มแย้มแจ่มใสเหมือนตอนเตะฟุตบอลกับเด็กๆ แล้วก็ตอนเล่นยิงปืนเมื่อกี้ ชอบมากกว่าคุณตอนเคร่งเครียดทำงานเยอะเลย”
อารุมหน้าแดงก่ำ เขินจนกินต่อไม่ลง ต้องคว้าน้ำมาดื่ม วิศนีพูดอย่างจริงใจสุดๆ
“คุณน่าจะยิ้มบ่อยๆ นะ เพราะคุณดูหล่อขึ้นเยอะ”
“คุณจะให้ผมยิ้มกับลมกับฟ้าเหรอ คนจะได้หาว่าบ้า”
“ก็ยิ้มกับฉันก็ได้ คุณไม่เห็นเคยยิ้มให้ฉันเลยเวลาอยู่ที่ทำงาน”
“ชีวิตผมมันไม่ค่อยมีอะไรให้ยิ้มมาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว ผมก็เลยยิ้มไม่เก่ง”
“อย่าคิดอย่างนั้นสิคะ ชีวิตฉันเองก็ไม่มีเรื่องให้ยิ้มซักเท่าไร แต่ฉันก็ยังพยายามจะยิ้มเพื่อให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น”
“ชีวิตอย่างคุณเนี่ยนะ” อารุมหัวเราะแบบไม่เชื่อ “จะทุกข์อะไรนักหนา”
รอยยิ้มบนหน้าของวิศนีค่อยๆ จางลง กลายเป็นยิ้มเศร้าไป เธอพูดช้าๆ เหงาๆ
“ก็เอาเป็นว่า...ฉันเป็นเด็กบ้านแตก พ่อติดแม่เลี้ยง แม่ก็ติดไพ่ ไม่มีใครต้องการฉันจริงๆ ซักคน เพื่อนฝูงก็ไม่ค่อยมี เพราะพวกผู้หญิงหมั่นไส้ฉัน คิดว่าฉันแรง ส่วนผู้ชายก็เข้าหาฉันเพราะผลประโยชน์” วิศนีหันไปถามอย่างขมขื่น “แค่นี้ทุกข์พอไหมคะ”
อารุมฟังเรื่องวิศนีค่อยๆขรึมลงอย่างเห็นใจ เพราะนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ เกี่ยวกับวิศนีที่เคยได้รับรู้ในช่วงที่ผ่านมา
“ผมว่าการที่คุณรู้ต้นเหตุความทุกข์ของตนเอง แล้วพยายามยิ้มสู้มัน ก็แสดงว่ามันไม่แย่เกินไปนักหรอก”
“ฉันต้องพยายามค่ะ เพราะถ้าไม่สู้ ฉันก็คงเป็นบ้าไปนานแล้ว”
วิศนีฝืนยิ้มให้อารุมอีกครั้ง แล้วหันไปมองริมแม่น้ำ เอากิ่งไม้หรือก้อนหินปาเล่นอย่างใจลอย อารุมเหลือบมองวิศนีในมุมเหงา เศร้า ความสงสารเห็นใจค่อยๆ ก่อตัวขึ้นเงียบๆ

อารุมลงจากรถ แล้วเดินอ้อนมาหาวิศนี
“ขอบคุณนะครับที่มาส่ง”
“ฉันต้องขอบคุณคุณต่างหากที่พาฉันไปเที่ยว ทำให้วันเซ็งๆ ของฉันจบแบบแฮปปี้เอนดิ้ง”
“มันเป็นเพราะตัวคุณเอง ไม่ใช่เพราะผมหรอก”
วิศนีแกล้งค้อน หมั่นไส้
“อุตส่าห์ให้เครดิตก็รับไปเถอะค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
วิศนีหยิบตุ๊กตามาโบกมือให้อารุมแล้วปิดกระจก ขับออกไป อารุมมองตามวิศนียิ้มๆ แล้วเดินขึ้นตึกด้วยความเบิกบาน

อารุมไขกุญแจเข้ามาในห้อง เดินไปหยิบแฟ้มที่โต๊ะทำงานมาเช็คเรื่องงาน โทรศัพท์ดังขึ้นพอดี อารุมเห็นชื่อนนทลีก็กดรับสาย
“ครับนน”
นนทลีคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้าน
“เตะฟุตบอลเสร็จแล้วเหรอคะอารุม”
อารุมงง
“นนรู้ได้ยังไง”
“ก็เพื่อนคุณบอก”
อารุมงงอีก ยังไม่ทันคิดว่าเป็นวิศนี
“เพื่อน”
“คนที่รับสายเมื่อตอนเย็นน่ะค่ะ เขาดูแปลกๆ ยังไงไม่รู้ ตอนแรกรับสายเป็นเสียงผู้หญิง นนก็นึกว่าเขาเป็นผู้หญิง”
อารุมขมวดคิ้ว เริ่มเอะใจวิศนีหรือเปล่า นนทลีเล่าต่อ
“ที่ไหนได้ เขาบอกว่ากำลังซ้อมดัดเสียงเพราะจะไปสมัครเป็นนักพากย์ เลยมาดัดเสียงหลอกนน พิลึกคน”
อารุมฟัง แล้วรู้ว่าเป็นวิศนีก็เกือบหัวเราะออกมา แต่ต้องกลั้นไว้
“นนเคยเจอเขาไหมคะ”
อารุมกลั้นยิ้ม
“คงยัง แล้วผมจะแนะนำให้รู้จักนะครับ”
อารุมฟังนนทลีพูดสองสามคำแล้ววางสาย ก่อนจะขำกับตัวเองต่อ กระดาษแผ่นหนึ่งบนโต๊ะทำงานถูกลมพัดปลิวมาตรงหน้าพอดี อารุมหยิบขึ้นมาดู เห็นว่าเป็นรูปวาดที่วิศนีเคยวาดไว้ที่เขายังเก็บไว้อยู่

อารุมยืนมองภาพนั้นด้วยสายตาอ่อนโยน เผลอนึกถึงคนวาดขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้มละไม

อุบัติเหตุ ตอนที่ 4 (ต่อ)

วันใหม่...ขณะที่นนทลีกำลังจะเดินเข้าบริษัท มีเสียงบีบแตรรถเรียก เธอหันไปมองจึงเห็นว่าเป็นโยธินซึ่งขับตามมาและเปิดกระจกทัก

“คุณนนทลีจริงๆ ด้วย จำผมได้ไหมครับ ผมโยธิน”
นนทลีงงๆ แล้วนึกออก
“ค่ะ”
“คุณจะไปไหนครับ ให้ผมไปส่งไหม”
“อ๋อ บริษัทอยู่ตรงนี้เองค่ะ”
นนทลีชี้ไป โยธินมองป้าย ยิ้มดีใจ
“งั้นก็ที่เดียวกับที่ผมจะไปพอดี เชิญขึ้นรถเลยครับ”
นนทลีนิ่งไม่กล้า แต่เห็นรถโยธินใหม่เอี่ยมราคาแพงก็แอบลังเล โยธินเอื้อมมือเปิดประตูให้
“เชิญครับ !”
นนทลีคิดซักครู่ก็ตัดสินใจเปิดประตูขึ้นไปนั่ง พอรถออกวิ่ง นนทลีก็แอบกวาดตามองเก็บรายละเอียดในรถแบบเนียนๆ เห็นรถใหม่เอี่ยม ตกแต่งดี แอร์เย็น กลิ่นหอม ให้ความรู้สึกสบายกว่ารถอารุมเป็นร้อยเท่า
“ร้อนหรือเปล่าครับ”
โยธินเอื้อมมือไปปรับแอร์ให้นนทลีอย่างเอาใจ นนทลีค่อยๆ คลายความเกร็งลง

รถโยธินวิ่งมาตามถนน นนทลีเห็นพนักงานเดินผ่านไปมา ก็ขยับตัวนั่งเชิดหลังตรง อยากให้คนข้างนอกได้เห็นชัดๆ ว่านั่งรถหรูมาทำงาน ยุพเยาว์กับวิเวียนกำลังจะเดินเข้าบริษัท ทั้งสองเห็นนนทลีในรถโยธินก็ชี้ชวนให้ดู นนทลีเห็นเข้าก็ยิ่งทำเชิด ยิ้มเย่อหยิ่งแบบอยากอวดทั้งสองคนเต็มที่ จนรถของโยธินค่อยๆ แล่นไปตามถนนในซอย แล้วเลี้ยวมาที่หน้าบริษัท ยุพเยาว์กับวิเวียนจูงกันวิ่งกระหืดกระหอบตามมาดูให้ชัดๆ โยธินกับนนทลีลงจากรถพอดี หญิงสาวเห็นคนมองก็ยิ่งพอใจ อยากโชว์ให้ใครๆ เห็นว่ารู้จักคนรวยๆ เหมือนกัน เลยยืนอ้อยอิ่งคุยกับโยธิน
“บังเอิญจังเลยนะครับที่คุณทำงานที่นี่พอดี”
“แล้วตกลงคุณมาทำอะไรที่นี่คะ”
“ผมมาพบคุณวิศนีครับ”
นนทลีอึ้งไป หน้าเสียไปหน่อยๆ ที่แท้โยธินก็คืออีกเป้าหมายหนึ่งของวิศนีนี่เอง

วิศนีกำลังทำงานอยู่มุมหนึ่งของออฟฟิศ ลูกเกดวิ่งกระหืดกระหอบมา
“คุณวิศนีขา”
ชมพู่ที่วิ่งคู่กันมารีบบอก
“มีแขกมาหาค่า”
วิศนีชะงัก
“ใครคะ”
“ไม่ทราบค่ะ เป็นผู้ชาย หล่อมากรออยู่ข้างนอกค่ะ”
วิศนียิ่งงง นึกไม่ออกว่าใครจะมาหา เพราะไม่รู้จักใครอีก
“ชมพู่แอบถ่ายรูปมาด้วยนะคะ เขาหล่อจนอดใจไม่ไหวจริงๆ ค่ะคุณวิศนี”
ชมพู่หัวเราะคิก แล้วหยิบโทรศัพท์ออกมาโชว์ วิศนีชะโงกดูรูปแอบถ่ายในมือถือ พอเห็นว่าเป็นโยธินก็ตกใจ รู้ว่าโยธินมาทำอะไร วิศนีรีบบอก
“บอกเขาว่าฉันประชุมอยู่นะคะ”
ลูกเกดงงๆ
“ทำไมล่ะคะ”
“ฉันไม่มีเวลาอธิบาย แต่ถ้าคุณไล่เขากลับไปได้ คุณอยากได้อะไรฉันจะให้”
วิศนีพูดจบก็รีบร้อนออกไป ลูกเกดกับชมพู่มองหน้ากัน งงว่าวิศนีจะหนีทำไมลูกเกดนึกได้
“ฉันไปก่อนนะ ฉันอยากได้แอร์เมสใบนั้น”
“ไม่ได้ ของฉันย่ะ”
ลูกเกดกับชมพู่วิ่งเบียดกันไป ไม่มีใครยอมใคร

วิศนีวิ่งเข้ามาในห้องทำงานแล้วรีบปิดประตู ยืนพิง ทำท่าทางมีพิรุธ อารุมเงยหน้ามอง
“เป็นอะไรของคุณ ทำหน้าเหมือนไปฆ่าใครมา”
“มีคนมาหาฉัน แต่ฉันไม่อยากพบเขา” วิศนีนึกได้ ตรงไปอ้อนอารุม “คุณเคยบอกว่าในเวลางาน ห้ามลาไปทำธุระส่วนตัวใช่ไหมคะ ถ้าคุณไปบอกเขาหน่อยสิว่าฉันไม่ว่าง คุณไม่อนุญาตให้ฉันไปไหนทั้งนั้น”
อารุมมองงงๆ วิศนีเข้าไปแทบจะคุกเข่าอ้อนวอน
“นะคะ คุณเป็นเจ้านายจอมโหดอยู่แล้ว ออกไปเล่นบทโอเวอร์แอ็คติ้งซักนิดหน่อย เขาจะได้ไป”
อารุมเริ่มนึกออก
“คุณโยธิน พระเอกละครของคุณใช่ไหม”
“คุณรู้”
“ท่านประธานสั่งผมไว้ว่าเดี๋ยวจะมีคนมารับคุณไปซ้อมละคร”
“แต่ฉันไม่อยากเล่นนี่”
“มันเป็นงานของบริษัท คุณต้องมีส่วนร่วม ไปเถอะ ผมอนุญาต”
วิศนีเซ็งหนัก อิดออดไม่ยอมลุกขึ้น อารุมทั้งขำทั้งงง

กุสุมา ยุพเยาว์ วิเวียนรุมสอบสวนนนทลีด้วยความสอดรู้สอดเห็น วิเวียนมองหน้านนทลี
“ฉันเห็นนะว่าเธอนั่งรถมากับใคร”
นนทลียิ้มนิดๆ อย่างภูมิใจ นึกอยากอวด
“เพื่อนฉันน่ะ”
ยุพเยาว์ชะงัก
“เพื่อน...เธอมีเพื่อนหล่อพ่อรวยแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไรยะ”
นนทลีแปลกใจ
“พวกเธอรู้จักเขาด้วยเหรอ”
“ก็ใครจะไม่รู้จักล่ะ นี่ไง” ยุพเยาว์หยิบนิตยสารมาอวด เปิดหน้าสัมภาษณ์โยธิน “คุณโยธิน ลูกชายคุณหญิงอวลอบ เจ้าของโรงแรมหกดาวกลางเมืองไงจ๊ะ”
นนทลีเห็นก็อึ้งไป เพราะไม่รู้ว่าโยธินรวยขนาดนั้น แอบสบตากับกุสุมา
“คนนี้เหรอโยธิน” กุสุมาบอกนนทลี “งั้นก็เป็นคนที่เพื่อนฉันบอกว่าเห็นเข้าโรงแรมกับคุณวิศนีน่ะสิ”
ยุพเยาว์กับวิเวียนตะลึงพรึงเพริดกว่าเดิม ตาวาวอยากรู้อยากเห็น พยายามเซ้าซี้ให้กุสุมาเล่า กุสุมาเล่าทันที ยุพเยาว์กับวิเวียนตื่นเต้นมาก

วิศนียังคงอ้อยอิ่งไม่ยอมออกไป จนอารุมแปลกใจ
“คุณเองก็สนิทกับคุณโยธินไม่ใช่เหรอ แล้วจะหลบหน้าเขาทำไม”
วิศนีรีบบอก
“ไม่สนิทเลย พ่อกับแม่เลี้ยงฉันต่างหากที่พยายามจะทำให้ฉันกับเขาสนิทกัน”
“แต่วันนั้นที่โรงแรม...”
วิศนีทำหน้าจ๋อย ก่อนสารภาพ
“ฉันก็เจอเขาพร้อมกับคุณนั่นแหละ แต่ฉันก็อยากให้คุณเลิกตื๊อกลับไปทำงาน ก็เลยทำเหมือนนัดกันไว้”
อารุมได้ยินก็แค่นหัวเราะออกมาอย่างเอือมๆ วิศนีเข้าไปอ้อนอีก
“คุณอารุม ช่วยฉันหน่อยนะ ฉันไม่อยากไปเต้นแร้งเต้นกาเล่นละครอะไรนั่น...ฉันอยากทำงาน ฉันสัญญานะว่าต่อไปนี้ฉันจะขยันทำทุกอย่างที่คุณสั่ง ไม่บ่ายเบี่ยง ไม่อิดออด ไม่มัวเล่นสนุก ฉันทำโอทีให้ฟรีๆ เลยเอ้า”
อารุมมองท่าทางของวิศนีอย่างขำๆ โทรศัพท์บนโต๊ะดังขึ้น เขาเลยกดรับ
“ครับท่าน...คุณวิศนีกำลังจะออกไปครับ”
อารุมพูดพลางมองหน้าวิศนียิ้มๆ เป็นเชิงว่าวิศนีไม่มีทางปฏิเสธ
“คุณอารุม!”
“ผมทำตามคำสั่งท่าน ถ้าคุณไม่ออกไป ผมคงต้องเชิญคุณโยธินมารับที่ห้อง”

วิศนีเซ็ง ขัดใจที่อารุมไม่ยอมช่วย

วิศนีเดินหน้างอออกมา มีโยธินนำหน้าไปที่รถแล้วขับออกไป ลูกเกดกับชมพู่แอบมายืนมอง ลูกเกดนินทาทันที

“แบบนี้เราก็อดแอร์เมสน่ะสิ”
“ต้องกลับไปหิ้วของก๊อปเหมือนเดิมแล้วล่ะ เฮ้อ”
ลูกเกดกับชมพู่มองหน้าพูดพร้อมกัน
“เซ็ง !”

อารุมกับนนทลีนั่งกินข้าวกลางวันกันที่ร้านอาหารใกล้บริษัท นนทลีชวนคุยเรื่องวิศนี
“อารุมจำได้ไหมที่กุสุมาเคยเล่าให้ฟังว่าคุณวิศนีกิ๊กกับหนุ่มไฮโซอยู่คนนึง ผู้ชายคนที่มารับนี่แหละค่ะ”
นนทลีพูดจบก็สังเกตท่าทีอารุม เพราะจงใจเกริ่นเรื่องนี้เพื่อให้อารุมรู้ว่าวิศนีมีแฟนแล้ว จะได้ไม่กล้าคิดอะไรกับวิศนี แต่อารุมก้มหน้ากินอาหารเงียบๆ ไม่มีความเห็น นนทลีเม้าท์ต่อ
“สงสารชาตินะ ไม่รู้ว่าคุณวิศนีไปหยอดไว้แค่ไหน ถ้าเทียบกันยังไงเพื่อนเราก็แพ้”
“นนคิดมากไปแล้วล่ะ อาจจะไม่มีอะไรเลยก็ได้”
“ไม่มีได้ยังไง อารุมก็เห็นว่าวันก่อนเขาเทียวไปเทียวมาบ้านเดชชาติ แต่วันนี้ออกไปกับอีกคน”
“เขาอาจจะเป็นเพื่อนๆ กันหมด” อารุมรู้ทัน “ผมว่านนอย่าฟังขี้ปากคนในออฟฟิศนักเลย”
อารุมเตือนแล้วกินข้าวต่อ นนทลีมองค้อนๆ ขัดใจที่อารุมไม่คล้อยตาม
“ท่าทางอารุมจะรู้จักเขาดีขึ้นมากเลยนะคะ”
อารุมชักสีหน้านิดๆ พอให้รู้ว่าไม่พอใจที่โดนเหน็บ
“ผมแค่ไม่อยากให้นนยุ่งเรื่องคนอื่น มันเสียมารยาท”
นนทลีหน้างอ ไม่พอใจที่ถูกว่า

อวลอบคุมการลองเสื้อผ้าของพวกนางแบบอยู่ในห้องจัดงาน พอเห็นโยธินพาวิศนีเข้ามาก็รีบปรี่ไปหา
“มาแล้วเหรอคะหนูวิศนี มาทางนี้เลยจ้ะ เดี๋ยวป้าจะให้ช่างมาวัดตัวสำหรับชุดที่ต้องใส่แสดง”
วิศนีมองไป เห็นพวกนางแบบวัดตัวอยู่
“แต่นักแสดงก็เยอะแล้วนี่คะ ถ้างั้นหนูขอตัวนะคะ”
วิศนีจะไป อวลอบดึงไว้
“อ๊ะๆๆ ไม่ได้” อวลอบหัวเราะร่วน “แหม หนูวิศนีนี่ขี้เล่นนะคะ พวกนี้เขาไม่ได้จะมาเล่นละคร เขาเป็นนางแบบ”
โยธินรีบบอก
“ในงานจะมีหลายโชว์ครับ มีเดินแบบ ร้องเพลง แต่เราสองคนจะอยู่ส่วนของละครปิดท้ายไงครับ”
วิศนีแอบทำหน้าเบื่อ ในที่สุดก็หนีไม่พ้น อวลอบรีบดึงไป
“ไปวัดตัวดีกว่าค่ะ” อวลอบเรียกช่าง “น้องแพ็ตตี้ นางเอกของพี่มาแล้วค่ะ”
อวลอบจูงวิศนีไปหาแพ็ตตี้ที่มองวิศนีอย่างไม่เป็นมิตร

วิศนียืนเป็นหุ่นให้ช่างวัดตัว แพ็ตตี้จับตัววิศนีหมุนไปหมุนมาแรงๆ แบบกระแทกกระทั้น วิศนีได้แต่งงว่าแพ็ตตี้เป็นอะไร
“ยืนนิ่งๆ สิคะ จับชายผ้าไว้ด้วย”
วิศนีทำตามอย่างงงๆ แพ็ตตี้ เอาผ้าพันตรงนั้นตรงนี้ แล้วใช้เข็มกลัดติด แต่แกล้งจิ้มเข็มแรงๆ ใส่เอววิศนี
“อุ๊ย เจ็บค่ะ”
“เจ็บก็ต้องทนค่ะ จะได้เสร็จเร็วๆ”
วิศนีมองแพ็ตตี้อย่างโมโหว่าทำไมต้องเหวี่ยง แต่ก็พยายามทน พวกนางแบบที่ลองชุดอยู่ เดินผ่านมา พามองวิศนีด้วยสายตาแปลกๆ แล้วซุบซิบกันก่อนจะเดินจากไป วิศนียิ่งงงว่าพวกนี้เป็นอะไร แพ็ตตี้หันมาสั่ง
“อ้ะ ไหนลองเดินดูซิ”
วิศนีขยับตัวจะเดิน แต่แพ็ตตี้แกล้งเหยียบชายผ้า วิศนีเลยทรงตัวไม่อยู่ เซไปด้านหน้า พนักงานเสิร์ฟน้ำที่เดินผ่านมาพอดี วิศนีหน้าคะมำชนล้มไปทั้งคู่
“ว้าย !”
แพ็ตตี้กับพวกนางแบบมองกันยิ้มๆ โยธินกับอวลอบออกมาจากอีกห้องเห็นเข้าก็รีบตรงเข้ามา
“คุณวิศนี !”
“ว้ายหนูวิศนี เกิดอะไรขึ้นคะ”
โยธินรีบเข้าประคองวิศนี พวกนางแบบมองอย่างหมั่นไส้ แพ็ตตี้รีบตีโพยตีพาย
“โอ๊ยตาย ทำไมเดินไม่ระวังเลยคะ ผ้าเปื้อนหมด ซุ่มซ่ามจริ๊ง”
แพ็ตตี้ทำเป็นเข้ามาช่วยจับชุดให้วิศนีใหม่อย่างรำคาญ แต่ก็หัวเราะเยาะ วิศนีหน้าเสียมองทุกคนที่หัวเราะเยาะอย่างเซ็งๆ

แพ็ตตี้เม้าท์อยู่กับพวกนางแบบอย่างสนุกปาก หัวเราะครึกครื้นอยู่ในห้องน้ำของห้องแต่งตัว
“สะใจเป็นบ้าเลยตอนที่เจ๊เหยียบผ้าให้มันหกล้ม เสียดายนะดันมีคนมาขวาง ไม่งั้นอาจจะหน้ากระแทกฟันหักไปเลยก็ได้”
“หรือไม่ก็มันก็น่าจะโดนเศษแก้วบาดให้เสียโฉมไปเลย”
“ใช่ คุณโยจะได้เลิกอี๋อ๋อมัน”
วิศนีเดินมาเข้าห้องน้ำพอดี ได้ยินเสียงคุยข้างในห้องน้ำเลยหยุดฟังอยู่หน้าประตู
“นังนี่แหละที่ยายคุณหญิงแม่จะจับมาเป็นสะใภ้ จนคุณโยต้องเลิกกับฉัน”
“เลิกกับฉันต่างหาก”
“ไม่จริง เลิกกับฉันก่อน”
พวกนางแบบเถียงกัน พยายามจะบอกว่าตัวเองเป็นแฟนโยธินจริงๆ เป็นกันทั้งกลุ่ม แพ็ตตี้โวยขึ้นอย่างทนไม่ไหว
“โอ๊ย หยุด! ก็เลิกกับทุกคนนั่นแหละ”
พวกนางแบบเงียบกริบ แพ็ตตี้พูดต่อ
“แต่ไม่ต้องห่วงนะ เจ๊จะจัดการให้พวกหนูเอง เจ๊ละเกลียดนักพวกแย่งผ.ชาวบ้าน โดยเฉพาะคนที่มันมาแย่งผ.ของเด็กๆ เจ๊ เดี๋ยวเจ๊จะสั่งสอนมัน”
ทันใดนั้นเสียงวิศนีดังขึ้น
“ไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ”
แพ็ตตี้กับพวกนางแบบสะดุ้ง หันไปมอง วิศนีเดินอาดๆ เข้ามา หน้าบึ้ง
“ฉันไม่ได้คิดจะมาแย่งของๆ ใคร แต่ที่มาเล่นละครก็เพราะมันเป็นหน้าที่”
แพ็ตตี้กับพวกนางแบบอึ้งๆ หงอๆ เพราะเอาเข้าจริงก็ไม่กล้า วิศนีมองกราด
“ถ้าไม่อยากให้ฉันยุ่งกับผู้ชายของพวกคุณจริงๆ ก็ช่วยไปบอกคุณหญิงแม่ของเขาด้วยว่าให้เปลี่ยนเอาคนอื่นมาเล่นแทนฉัน เพราะฉันก็ไม่อยากเล่นเหมือนกัน กล้าไหมล่ะ มีปัญญาไหม”
แพ็ตตี้กับพวกนางแบบก้มหน้างุด เมื่อถูกวิศนีเหวี่ยงใส่
“ถ้าไม่มีก็ทำหน้าที่ของตัวเองไป งานมันจะได้จบ แล้วก็ไม่ต้องมาเกี่ยวข้องกันอีก” วิศนีตะคอกใส่แพ็ตตี้ “เข้าใจหรือเปล่า!”
แพ็ตตี้พยักหน้าตัวสั่น กลัวๆ
“ข...เข้าใจแล้วจ้ะ”
วิศนีกวาดตามองพวกนางแบบคนอื่นที่ไม่กล้าสู้หน้า
“ได้ยินชัดแล้วนะว่าฉันไม่เอาผู้ชายของพวกคุณ อย่าหาเรื่องฉันอีก ไม่งั้นพวกคุณจะเสียใจ”

วิศนีเหวี่ยงเสร็จก็สะบัดหน้าออกจากห้องน้ำไป พวกแพ็ตตี้กับนางแบบมองอย่างกลัวๆ

อำนวยมองวิศนีอย่างเซ็งๆ เมื่อเธอบอกว่าจะไม่เล่นละคร

“ทำไมแกถึงจะเปลี่ยนใจไม่เล่นอีกล่ะ ก็ไหนว่าไปตัดชุดแล้วไม่ใช่เหรอ”
“หนูไม่ชอบคุณโยธิน”
อำนวยหัวเราะ
“พ่อก็ไม่ได้จะให้แกไปแต่งงานกับเขาวันนี้พรุ่งนี้ แค่เล่นละครด้วยกันเฉยๆ”
“แต่หนูรู้ว่าพ่อกับคุณกรแก้วมีเจตนาอย่างนั้น คุณหญิงแม่เขาก็เหมือนกัน”
อำนวยอึ้งไป ไม่กล้าสบตาลูกเพราะจี้ใจดำ
“หนูบอกเลยนะคะว่ามันไม่สำเร็จหรอก เพราะหนูไม่ชอบผู้ชายเจ้าชู้ พวกนางแบบที่มาเดินในงานก็กิ๊กเขาทั้งแก็งค์”
“เป็นคนเจ้าชู้ก็ไม่เห็นเสียหายอะไรเลยนี่ ธรรมชาติของผู้ชาย”
อำนวยเห็นวิศนีทำหน้างอก็ ตัดบท
“เอาเถอะ เรื่องนั้นพ่อไม่บังคับใจแกหรอก ขอแค่เรื่องละครการกุศลนี่ก่อนก็แล้วกัน อย่าให้พ่อต้องเสียหน้าได้ไหมลูก”
อำนวยน้ำเสียงอ้อนวอน วิศนีมองหน้าพ่อ ใจอ่อน
“งั้นหนูมีข้อแม้อีกอย่าง”
อำนวยเหวอ งงว่าข้อแม้อะไรอีก

ค่ำนั้น เดชชาติมาบอกนิรนุชเรื่องงานการกุศลของบริษัท นีรนุชตกใจ
“อะไรนะ จะให้นุชไปเป็นนางแบบในงานการกุศล”
“งานของแม่เลี้ยงคุณวิศนี เขาจัดเพื่อระดมทุนช่วยเหลือชุมชนเรานี่แหละ คุณวิศนีก็เลยเสนอให้เลือกคนที่นี่ไปมีส่วนร่วมด้วย อย่างไอ้ทะโมน 5 ตัวที่บ้านพี่ก็ได้ไปเล่นละครเวที แม่พี่ตื่นเต้นใหญ่เลย”
“แล้วทำไมต้องเป็นนุช”
“พี่ว่าคุณวิศนีคงรู้สึกผิดมั้ง ที่ทำให้นุชไม่ได้งานที่บริษัท”
นีรนุชมองหน้านนทลีอย่างลังเล
“เอาน่านุช นี่ไม่ใช่งานฟรีนะ มีค่าจ้างด้วย ดีกว่าอยู่เปล่าๆ นา”
“แต่นุชไม่ใช่นางแบบ”
“โอ๊ย ไม่เป็นไร หน้าปลวกยังไงเขาก็แต่งให้สวยได้”
“ไอ้พี่ชาติ ปากเหรอนั่น”
นีรนุชหยิบหมอนที่โซฟาขว้างใส่ เดชชาติรับไว้ทัน
“แหม ก็จะให้กำลังใจ”
นีรนุชหน้างอ งอนเดชชาติ แล้วหันไปหานนทลีอย่างขอความเห็น
“พี่ว่าก็ดีนะนุช ตอนนี้มีโอกาสให้ลองก็น่าจะลอง ไม่แน่นะ นุชต่อยอดไปเป็นนางแบบดังก็ได้ อาชีพนี้รายได้ดีนะ”
นีรนุชมองหน้านนทลี นิ่งคิด พอพูดเรื่องเงินก็อยากได้ เพราะอยากเลี้ยงดูนนทลีบ้าง

อวลอบกลับมาถึงบ้าน มองเห็นรองเท้าส้นสูงข้างนึงกระเด็นอยู่หน้าประตู อวลอบชะงักมอง รู้ทันทีว่าโยธินหิ้วผู้หญิงมานอนบ้านอีกแล้ว พอเดินเข้ามาเห็นรองเท้าอีกข้าง ตามด้วย กระเป๋าถือ กระโปรง เสื้อ กระจัดกระจายเป็นทางขึ้นไปถึงบันได อวลอบยิ่งมองก็ยิ่งเครียด พอได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักดังมาจากชั้นบน ก็ปรี๊ดแตก โผขึ้นไปเลย
โยธินกับสาวคนใหม่กำลังเล่นผีผ้าห่ม หัวเราะกันคิกคัก อวลอบเปิดประตูผ่างเข้ามา
“ตาโย !”
โยธินกับสาวโผล่หน้าขึ้นมามองอย่างตกใจ อวลอบชี้หน้าด่า
“นังผู้หญิงหน้าด้าน กล้ามาเสิร์ฟถึงเตียงลูกชายฉันเลยเหรอ ออกไป๊”
อวลอบปรี่เข้าไปตบตี สาวสวยร้องกรี๊ดกร๊าด โยธินพยายามห้าม
“คุณแม่ อย่าครับ”
อวลอบไม่ฟังเสียง ไล่ตบ สาวสวยหอบผ้าห่มคลุมตัววิ่งหนีออกไปจากห้องอย่างหวาดกลัว
“อย่าให้ฉันเห็นแกอีกนะ ไม่งั้นแกตาย!”
อวลอบวิ่งไล่ตามไปยืนด่าอยู่หน้าประตู แล้วหันมามองโยธินที่หัวยุ่งเหยิงอย่างโกรธๆ

โยธินแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เข้ามากอดอ้อนแม่ที่นั่งหน้าตึงอยู่ในห้องรับแขก
“คุณแม่ หายโกรธผมเถอะนะครับ เรามีกันแค่สองคน ถ้าโกรธกันแล้วจะคุยกับใคร”
อวลอบนิ่งคิด เออจริง เลยยอมหายงอน
“แม่บอกตั้งกี่ครั้งแล้วโยว่าอย่าเอาผู้หญิงคนอื่นมามั่วในบ้าน เดี๋ยวมันก็มาขโมยข้าวของไปขายหมด เรายิ่งกำลังถังแตกอยู่”
โยธินหน้าม่อย
“แหมก็เด็กมันยั่ว”
“พวกยั่วๆ นี่แหละปลิงทั้งนั้น! ตอนนี้เราสองคนจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว ขืนแกเอาเงินไปเลี้ยงผู้หญิง แล้วจะเอาอะไรกินกัน” อวลอบเห็นลูกชายไม่เถียงก็ยิ่งหมั่นไส้ “ทำไมแกไม่จับคนที่ควรจะจับนะ ถ้าเป็นหนูวิศนีแม่จะไม่ว่าซักคำ”
“โธ่ คุณแม่ รายนั้นผมไม่ปล่อยให้หลุดมือแน่ๆ แต่มันต้องใช้เวลา จะตกปลาใหญ่ก็ต้องใจเย็นๆ สิครับ”
โยธินยิ้มมั่นใจ แล้วกอดประจบแม่ อวลอบเริ่มสบายใจขึ้น

วันใหม่...นนทลีถือหนังสือพิมพ์เข้ามาให้อารุมที่อยู่ในห้องทำงาน
“อารุมอ่านข่าวนี้หรือยังคะ”
“ข่าวอะไรครับ”
นนทลีเปิดหนังสือพิมพ์ให้ดู แล้วอ่านออกเสียงดังๆ
“เปิดตัวอย่างเป็นทางการแล้ว กับความรักของวิศนี สุริยาทิตย์และโยธิน ไกรคณิศร ทายาทโรงแรมดัง ทั้งคู่เลยจูงมือกันขึ้นเวทีละครรักหวานในงานกาล่าดินเนอร์สุดสัปดาห์นี้ งานนี้ต้องปรบมือให้ กรแก้ว สุริยาทิตย์ ที่ผลักดันลูกเลี้ยงสาวได้สำเร็จ”
อารุมกอดอกมองอย่างไม่สบอารมณ์ เตรียมจะบ่นว่านนทลียุ่งเรื่องคนอื่นอีกแล้ว นนทลีรู้ทัน รีบออกตัว
“นนไม่ได้อยากยุ่งเรื่องชาวบ้านนะคะ ที่เอาข่าวนี้มาให้ดู ก็เพราะห่วงเดชชาติ อารุมเป็นเพื่อนเขา ยังไงก็เตือนกันไว้บ้างว่าอย่าหวังสูง อย่างคุณวิศนีเขาไม่มองคนระดับเราหรอก”
นนทลีทิ้งท้ายหนักๆ เพราะตั้งใจจะปรามอารุมไว้ด้วยเหมือนกัน แล้วเดินออกไป อารุมนิ่งอึ้ง มองข่าวในหนังสือพิมพ์ แล้วเหลือบดูโต๊ะทำงานวิศนีที่ว่างเปล่าอย่างใจหายนิดๆ

กรแก้ว กรองทอง แกมกาญจน์ นั่งจิบน้ำชายามบ่ายกันอยู่ด้วยกัน
“พี่เห็นข่าววันนี้แล้วนะ เรื่องจริงหรือเปล่า” แกมกาญจน์หันมาถามกรแก้ว
“ยังไม่จริงค่ะ แต่กรพยายามจะทำให้มันเป็นจริง”
กรองทองมองกรแก้ว
“แสดงว่าเธอเอาแน่ใช่ไหม เรื่องที่จะให้หนูวิศนีแต่งงานออกไปเพื่อจะได้ไม่ต้องกระทบกระทั่งกับเธออีก”
“กรไม่รู้จะใช้วิธีไหนแล้วจริงๆ ค่ะคุณพี่ กรเหนื่อยที่ต้องรับมือกับเธอ ถ้าคุณวิศนีแต่งงานไป เธออาจจะโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น” กรแก้วลังเล “คุณพี่ไม่เห็นด้วยเหรอคะ”
“เรื่องในครอบครัวของเธอ พี่คงตัดสินแทนไม่ได้ แต่พี่อยากจะเตือนว่าการทำแบบนี้มันมีผลที่ตามมาแน่ เธอเตรียมรับมือให้ดีก็แล้วกัน”
กรองทองมองหน้ากรแก้วซีเรียสจริงจัง กรแก้วนึกๆ แล้วกลุ้มเหมือนกัน

แววอ่านข่าวเดียวกันในหนังสือพิมพ์ แล้วปาทิ้งอย่างโมโห
“นังกรแก้วมันจะข้ามหน้าข้ามตาฉันเกินไปแล้ว พยายามจะหาคู่ให้วิศนี นี่มันคงคิดถ้ายายหนูแต่งงานไป ตัวเองได้จะฮุบสมบัติทั้งหมด”
ชีพหน้าตื่น
“ฮ้า แบบนั้นไม่ได้นะที่รัก แล้วเราจะเหลืออะไรล่ะ”
“ก็ใช่น่ะสิ ทุกวันนี้ยังพอจะตอดจากยายหนูได้บ้าง แต่ถ้าอีกหน่อยยายหนูไปเป็นสะใภ้บ้านอื่น เราจะได้สักเท่าไรก็ไม่รู้ แล้วไอ้ลูกชายคุณหญิงอะไรเนี่ย ก็ต้องเป็นพวกนังกรแก้วนั่นแหละ”
ชีพหงุดหงิดตาม
“มันดักเราทุกมุมเลยนี่หว่าแบบนี้ นังไฮโซแสบเอ๊ย”
ชีพยุ แววยิ่งคิดแค้นกรแก้ว ชีพนึกได้
“งั้นเราก็ต้องขัดขวางไม่ให้ลูกสาวของที่รักลงเอยกับไอ้ผู้ชายคนนี้ แล้วให้มาได้กับคนของเราแทน”
แววแปลกใจ
“คนของเรา...ใครล่ะชีพ”
ชีพยิ้มกริ่ม เตรียมเสนอตัว
“ก็...”
ชีพยังพูดไม่จบ โทรศัพท์แววก็ดังขึ้นเสียก่อน แววรีบรับสาย
“ฮัลโหล สวัสดีค่ะอาซ้อกิมเตียง” แววชะงัก “อ้าว คุณวิเศษเองหรอกเหรอคะ...อะไรนะ จะถามเรื่องข่าวยายหนู โอ๊ย ไม่จริง ข่าวลือไร้สาระ วิศนียังโสดค่าน้ายืนยันได้”
แววยิ้มกริ่มให้ชีพเป็นทำนองรู้แล้วว่าจะถือหางใคร แล้วรีบลุกออกไปคุยกับวิเศษ

ชีพหงุดหงิด เซ็งที่โดนวิเศษคาบไปกินเฉยเลย

เดชชาติกับนีรนุชพาน้องๆ เข้ามาในโรงแรม เห็นคนเตรียมงานฝ่ายต่างๆ เดินกันขวักไขว่ นีรนุชกลัวๆ

“พี่ชาติ นุชเปลี่ยนใจแล้ว กลับบ้านดีกว่า”
เดชชาติรีบคว้าแขนไว้
“เฮ้ย ทำไมล่ะ”
“มีแต่คนไฮโซทั้งนั้นเลย นุชทำงานกับพวกเขาไม่ได้หรอก”
นีรนุชจะไป แต่เดชชาติไม่ยอมให้ไป พยายามยื้อไว้ วิศนีเข้ามาพอดีแต่งชุดสโนว์ไวท์
“คุณชาติ มาตรงเวลาจังเลยค่ะ”
เดชชาติหันไปมองเห็นวิศนีแต่งตัวเต็มที่ก็ตะลึง ยิ้มหวาน องอาจเอ่ยชม
“สวย...สวยอะไรอย่างนี้”
เดชชาติรีบถององอาจให้หุบปาก รักชาติหันมาถามวิศนี
“พี่เล่นเป็นสโนว์ไวท์เหรอครับ”
วิศนียิ้มแย้มบอก
“ใช่ แล้วพวกหนูก็ต้องเล่นเป็นคนแคระไงจ๊ะ เดี๋ยวจะมีเพื่อนมาเล่นด้วยอีกสองคน”
“คนแคระ” องอาจลังเล “แล้วตัวโตอย่างผมจะเล่นได้เหรอครับ”
วิศนียิ้มเอ็นดู
“ละครการกุศล ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ แค่ได้เด็กๆ มาเล่นพี่ก็ดีใจแล้ว”
น้องๆ เดชชาติดูมีท่าทางตื่นเต้น เดชชาติมองอย่างเอ็นดู วิศนีหันไปหานีรนุช
“ส่วนคุณนุช เดี๋ยวไปกับทีมงานนะคะ พวกนางแบบจะซ้อมอีกห้องนึง”
ทีมงานเข้ามาพานีรนุชไป นีรนุชทำท่าอิดออด เดชชาติกระซิบ
“ไปเถอะน่า รับปากเขาแล้วอย่าให้เสียคำพูด”
เดชชาติผลักนีรนุชไปหาทีมงาน นีรนุชเลยต้องเดินออกไป
“ถ้าอย่างนั้นผมทิ้งพวกลิง เอ้ย คนแคระ 5 ตัวนี้ไว้กับคุณวิศนีก่อนนะครับ เดี๋ยวเสร็จงานแล้วจะรีบแวะมารับ”
“เดี๋ยวจะดูแลให้อย่างดีเลยค่ะ”
“ขอบคุณครับ”
เดชชาติยิ้มแฉ่ง แต่ยังอ้อยอิ่ง ไม่ยอมไป
“ไปแล้วนะครับ”
“ค่ะ”
เดชชาติยังคงมองวิศนีเคลิ้มๆ ไม่ยอมไป จิตใสหันไปมองอย่างรำคาญ
"ไปสักทีสิพี่ชาติ เดี๋ยวก็โดนไล่ออกจากงานหรอก”
เดชชาติสะดุ้ง นึกได้ รีบดูนาฬิกา
“เออ ไปก็ได้ รู้ดีนักนะแก” เดชชาติหันไปบอกวิศนี “ไปละครับ”
เดชชาติยิ้มเจื่อนๆ แล้วรีบร้อนเดินออกไป วิศนีมองตามขำๆ

พวกนางแบบซ้อมเดินแบบกันอยู่บนรันเวย์ ทีมงานเดินนำนีรนุชเข้ามาแล้วตบมือดังๆ เรียกความสนใจ
“นางแบบอีกคนมาแล้วค่ะ เดี๋ยวขึ้นไปซ้อมกับพวกพี่ๆ เขาได้เลยนะน้อง”
พวกนางแบบที่ซ้อมเดินอยู่มองนีรนุชเขม็ง สายตาไม่ค่อยเป็นมิตรจนนีรนุชประหม่า
“ไปสิจ๊ะ เดี๋ยวเลิกดึกนะ”
นีรนุชเขินๆ แต่ก็วางกระเป๋าไว้บนเก้าอี้ใกล้ๆ แล้วเดินขึ้นไปบนรันเวย์ ยังเกร็งกับสายตาพวกนางแบบเหล่านั้น

นางแบบเดินสวนกันขวักไขว่ เป็นจังหวะแบบมืออาชีพ มีทีมงานกำกับคิวอยู่ด้านล่าง นีรนุชเอารองเท้าส้นสูงที่ต้องใส่เดินมาสวม แล้วเตรียมจะขึ้นเวที นางแบบอีกคนรออยู่มองนีรนุช
“หนูต้องเดินคู่กับเด็กเส้นเหรอคะ เดินเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้”
นีรนุชหน้าเสียไม่กล้าเดิน แต่ทีมงานผลักออกไป
“เอ้า ไปเลยค่ะ อย่าช้า”
นีรนุชจำต้องเดินคู่ไปกับนางแบบแต่ไม่ถนัดกับส้นสูงปรี๊ดเลยเดินกะเผลก ทีมงานมองนีรนุชไม่ชอบ
“อ้าว น้องเดินดีๆ สิคะ”
นีรนุชเจ็บเท้า แต่ก็กัดฟันเดิน นางแบบที่เดินคู่กันมามองอย่างรำคาญ นีรนุชพยายามทรงตัวเดินไป แต่ก็สะดุดชนกับนางแบบอีกคนที่สวนมาจนเซ เสียกระบวนทั้งเวที นางแบบคนนั้นโวยวาย
“โอ๊ย ระวังหน่อยสิ!”
นีรนุชหน้าเสีย
“ขอโทษค่ะ”
ทีมงานหงุดหงิด
“หยุดๆๆ เสียจังหวะหมด เริ่มใหม่ๆ”
นีรนุชหน้าจ๋อย กลับไปประจำที่ พวกนางแบบมองนีรนุชอย่างไม่สบอารมณ์ ผ่านเวลา นีรนุชเตรียมตัวอยู่ที่ข้างเวที พอถึงคิวก็ออกเดินใหม่ ทำได้ดีขึ้นนิดหน่อย ทีมงานตะโกน
“เดินเร็วๆ หน่อยค่ะน้อง เพื่อนนำไปแล้วเห็นไหม”
นีรนุชยิ่งกดดัน พยายามจะเดินตามคู่ของตัวเอง แต่ก้าวพลาดสะดุดล้มอีก
“โอ๊ย !”
นีรนุชล้มลงที่พื้น รองเท้ากระเด็น ทุกคนมองอย่างตกใจ ทีมงานวิ่งไปเก็บรองเท้า
“ว้าย ตายแล้ว ส้นหักเลย เดินยังไงเนี่ย”
นีรนุชหน้าเสีย

นีรนุชยังคงพยายามซ้อมกับพวกนางแบบบนรันเวย์อย่างตั้งใจ แต่ก็เก้ๆ กังๆ คอยเป็นตัวถ่วงคนอื่นด้วยการเดินชนกับพวกนางแบบประจำ กรแก้วกับอวลอบเดินเข้ามาดูการซ้อมพอดี ทีมงานรีบเดินเข้ามาหา อวลอบถามอย่างสงสัย
“นางแบบคนนั้นเป็นใครน่ะเธอ ทำไมถึงเงอะงะอย่างนั้น”
“ก็เด็กที่คุณวิศนีฝากไงมาคะ เดินแย่มากเลยค่ะ หกล้มหกลุก ทำรองเท้าพังไปสองคู่แล้ว”
กรแก้วอึ้ง มองนีรนุช ก็เห็นนีรนุชล้มพอดี
“ให้ไปทำอย่างอื่นที่เหมาะกับเขาดีกว่า เดี๋ยววันจริงพลาดแบบนี้จะขายหน้า”
กรแก้วสั่งเรียบๆ แล้วมองนีรนุชแบบไม่ชอบใจเท่าไร

ทีมงานยัดห่อเสื้อผ้าที่เป็นเครื่องแบบสำหรับใส่เสิร์ฟน้ำในงานเลี้ยงให้นีรนุชที่ได้แต่ยืนงง
“พอดีเราต้องตัดเวลาเดินแบบให้สั้นลง น้องคงไม่ได้เดินแล้วล่ะ ไปทำงานนี้แทนแล้วกันนะ เสื้อผ้าที่ต้องใส่วันงานอยู่ในนี้แล้ว”
นีรนุชแปลกใจ
“งานอะไรคะ”
“งานอย่างนั้นไง”
ทีมงานชี้ให้ดูพวกที่คอยเดินเสิร์ฟน้ำคนทำงาน
“เดี๋ยวเริ่มงานเลยก็ได้นะ แต่ไม่ต้องเปลี่ยนชุดหรอก แต่งตัวแบบนี้แหละ”
ทีมงานเดินออกไป ทิ้งให้นีรนุชยืนอึ้ง

อารุมยืนรอนนทลีซื้อของในร้านแบรนด์เนม ในห้างสรรพสินค้า นนทลีเดินถือกระเป๋าใบสวยเข้ามาหา
“อารุมคะ นนขอยืมรูดการ์ดหน่อยได้ไหม การ์ดของนนเต็มวงเงินแล้ว”
“เท่าไรเหรอครับ”
“สี่หมื่นค่ะ”
อารุมตกใจ
“อะไรนะ กระเป๋าใบนี้เหรอสี่หมื่น”
“ยี่ห้อนี้ก็ราคาประมาณนี้แหละค่ะ”
อารุมมองพนักงานขายที่ยืนรออยู่ แล้วพูดเสียงเบาลง
“มันแพงเกินไปนะนน ไหนว่าเราจะช่วยกันเก็บเงินไว้ซื้อบ้านไงล่ะ”
“ก็เรายังไม่ได้แต่งกันเร็วๆ นี้ซักหน่อย จะรีบเก็บเงินไปทำไมล่ะคะ”
“แล้วกระเป๋าเนี่ย นนต้องรีบใช้มากเลยเหรอ”
นนทลีชะงัก เริ่มหงุดหงิด
“นนมีผ้าพันคอร้านนี้แล้ว ก็อยากได้กระเป๋าหิ้วจะได้เข้าชุดกัน อารุมเข้าใจผู้หญิงหน่อยสิคะ”
“นี่นนซื้อของแพงๆ บ่อยไปหรือเปล่า”
นนทลีเซ็ง ไม่อยากอธิบายว่าได้มาฟรีๆ จากโยธิน ยิ่งเห็นพนักงานยืนรอก็ยิ่งกดดัน นนทลีเริ่มพาล
“นนไม่ได้ขอให้อารุมซื้อให้นะ นนขอยืม”

อารุมมองพนักงานอย่างเซ็งๆ แล้วจำใจหยิบบัตรเครดิตส่งให้

อุบัติเหตุ ตอนที่ 4 (ต่อ)

นนทลีเดินหิ้วถุงแบรนด์เนมหลายใบออกมาที่รถ อารุมมองข้าวของที่นนทลีแล้วตัดสินใจเตือน

“ผมว่านนใช้เงินเกินตัวไปแล้วนะ เรามาเริ่มวางแผนการเงินจริงๆ จังๆ ดีไหม”
“เกินตัวตรงไหน นนยังมีเงินเหลือเก็บเลี้ยงน้อง เลี้ยงตัวเองได้ ไม่ได้เป็นหนี้ใครนะคะ”
อารุมอดทน
“แต่อนาคตของเรายังต้องใช้เงินอีกเยอะ ถ้านนยังฟุ่มเฟือย ผมว่า...”
นนทลีขัดขึ้น
“นนเป็นผู้หญิงนะคะอารุม การแต่งตัวเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งทำงานออฟฟิศ นนต้องเจอผู้คน จะให้นนปล่อยตัวให้โทรมๆ ในขณะที่คนอื่นเขาดูดีกันทุกคนได้ยังไง ขนาดคุณวิศนีเขายังแบรนด์เนมทั้งตัวเลย”
“แล้วนนจะไปเปรียบเทียบกับเขาทำไม”
นนทลีหน้าตึง เพราะความหงุดหงิดทำให้ตีความไปอีกอย่าง เลยยิ่งพาล
“ทำไมคะ นนไม่มีสิทธิ์จะเทียบกับเขาเลยใช่ไหม”
“ไปกันใหญ่แล้วนน ไหนนนบอกว่าจะมีเหตุผลมากขึ้นไง”
“แล้วไอ้ความเข้าอกเข้าใจของอารุมมันหายไปไหนหมดล่ะ ทำไมหลังๆ เราถึงต้องทะเลาะกันด้วยเรื่องของนนอยู่เรื่อย”
อารุมอึ้งไป ตอบคำถามนนทลีไม่ได้เหมือนกัน นนทลีเซ็งพอกัน

วิศนีซ้อมละครอยู่กับโยธินและเด็กๆ บนเวที มีผู้กำกับคอยคุมคิว ผู้กำกับตบมือเรียก
“เอาล่ะ พักเบรกก่อนครับ มากินขนมเลยจ้าเด็กๆ”
เด็กๆ ร้องเฮ แล้ววิ่งเฮโลกันลงจากเวทีไปหาทีมงานที่เตรียมขนมไว้ โยธินเดินเข้ามาหาวิศนี ชวนคุย
“เด็กๆ พวกนี้เหรอครับที่คุณวิศนีเอามาจากสลัม”
วิศนีหันขวับ ตาเขียว
“ใครบอกคุณ”
โยธินยังไม่รู้ตัว
“คุณแม่บอกว่าคุณวิศนีขอให้เอาพวกเด็กสลัมมาเล่นละครด้วย ผมว่าก็ดีนะครับ ทำให้งานดูน่าสนใจ ไม่ได้มีแต่ไฮโซเดินไปเดินมา”
วิศนีเสียงแข็ง
“เด็กพวกนี้เป็นน้องๆ ของเพื่อนฉันค่ะ ไม่ใช่เด็กสลัม”
วิศนีพูดจบก็เดินคอแข็งลงจากเวที โยธินจ๋อย หน้าถอดสี

วิศนีเดินออกมาจากห้องซ้อมอย่างหงุดหงิด กำลังจะไปห้องน้ำ เจอกับนีรนุชถือถาดเดินออกมาจากมุมหนึ่งพอดี เกือบชน
“คุณนุช มาทำอะไรตรงนี้คะ” วิศนีมองถาดน้ำ “แล้วนี่อะไรกัน”
นีรนุชเซ็งๆ
“ฉันไม่ได้เดินแบบแล้วค่ะ เขาให้มาเสิร์ฟน้ำแทน”
วิศนีตกใจ
“เกิดอะไรขึ้นคะ”
“ฉันคงทำได้ไม่ดีพอมั้ง จะรับน้ำไหมคะ”
วิศนีมองนีรนุชอย่างสงสาร แล้วนึกโมโหขึ้นมาทันที จะเดินไป
“ฉันจะไปจัดการให้คุณเอง”
“อย่านะคะ ฉันไม่อยากมีปัญหากับใคร”
วิศนีโมโหแทน
“แต่ฉันขอให้คุณมาเป็นนางแบบ คุณต้องได้เดิน”
“ฉันไม่เหมาะกับงานแบบนั้นหรอก เป็นตัวถ่วงเขาเปล่าๆ งานนี้แหละเหมาะกับฉันที่สุดแล้ว”
นีรนุชจะถือถาดไป วิศนีคว้าแขนไว้
“คุณไม่จำเป็นต้องทำนะคะ”
“ไม่ค่ะ ฉันจะทำงานนี้ ในเมื่อรับปากแล้วก็จะทำให้เสร็จ”
วิศนีอึ้ง
“แต่...”
“แล้วขอร้องนะคะ ไม่ต้องไปเอาเรื่องใครแทนฉัน ฉันไม่อยากให้ใครมาด่าว่าฉันจนแล้วเรื่องมาก เลือกงาน !”
นีรนุชพูดจบก็ถือถาดเดินออกไป วิศนีมองตาม รู้สึกผิดที่ทำให้นีรนุชลำบากอีกแล้ว

นนทลีเอะอะทันที เมื่อกลับไปบ้านแล้วนีรนุชเล่าให้ฟังว่าทงานอะไร
“อะไรนะ นุชไม่ได้เดินแบบ แต่ไปเสิร์ฟน้ำในงาน”
นีรนุชพยักหน้าจ๋อยๆ
“ค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
นีรนุชเสียงอ่อย
“นุชทำได้ไม่ดี เป็นตัวถ่วงเขา ก็เลยถูกถอด”
“เขาน่ะใคร คุณวิศนีเหรอ”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ น่าจะเป็นพวกคุณหญิงคุณนายในงาน”
นนทลีโมโหแทน
“ทำไมเขาทำกับนุชแบบนั้น หรือว่าจริงๆ แล้วเขาแค่อยากได้นุชไปรับใช้ในงาน แต่เอาคำว่านางแบบมาล่อ”
นีรนุชจ๋อยหนัก
“งั้นก็ยิ่งแปลว่านุชโง่เอง”
“คุณวิศนีต้องรับผิดชอบ พี่จะโทรไปถามเขา”
นนทลีจะหยิบโทรศัพท์ แต่นีรนุชจับมือปราม
“พี่นน”
“นน ใจเย็นๆ ก่อน”
“อ๋อ ลืมไปว่าแตะไม่ได้ งั้นก็จัดการให้นนด้วย เพราะนนไม่ยอมให้น้องไปทำงานต่ำๆ แบบนั้นเด็ดขาด”
นนทลีลุกพรวดเดินขึ้นห้องไป นีรนุชหน้าเสีย หันมองอารุมก็เห็นอารุมหน้าเครียดๆ

เดชชาติเปิดประตูออกมาก็เห็นอารุมยืนหน้าหมองอยู่ เดชชาติทักขำๆ
“อ้าว ไอ้หล่อ ทำไมวันนี้มาหาฉันถึงบ้านได้วะ”
อารุมขรึมๆ
“แกทำอะไรอยู่ ว่างไหม”
“เป็นไรวะ ทำหน้าอย่างกับแมวตาย”
เดชชาติพยายามหัวเราะสนุก แต่แป้กเพราะอารุมไม่ขำด้วย เลยหน้าเจื่อนไป

“ฉันมีเรื่องจะปรึกษา”

นีรนุชตามนนทลีเข้ามาในห้อง พยายามไกล่เกลี่ย

“พี่นน อย่าให้มีปัญหาเลยนะคะ งานมันก็แค่คืนเดียว นุชทำได้ ให้มันจบๆ ไปเถอะ”
“อารุมให้นุชขึ้นมากล่อมพี่หรือไง”
“เปล่าค่ะ นุชพูดเอง นุชเต็มใจทำงานนี้”
นนทลีเมินหน้าหนีอย่างเบื่อๆ นีรนุชมองอย่างสังเกต
“มีเรื่องอะไรกันหรือเปล่าคะ ทำไมเครียดกันจัง”
“พี่ว่าอารุมเขากำลังเปลี่ยนไป”
นีรนุชตกใจ
“พี่นน”

เดชชาติตบไหล่อารุมที่นั่งกลุ้มอยู่ในสวนใกล้ๆบ้าน
“เฮ้ย ใจเย็นๆ เป็นแฟนกันก็ต้องมีกระทบกระทั่งกันบ้าง อย่างข้างบ้านฉันก็ทะเลาะกันทุกวัน ลูกดกยิ่งกว่าต้นกล้วยอีกแกเอ๊ย”
“เมื่อก่อนฉันกับนนคบกันราบรื่นกว่านี้ แต่ยิ่งอยู่ไปก็เหมือนยิ่งห่าง มีเรื่องไม่เข้าใจกันอยู่เรื่อย”
“คู่รักก็เป็นอย่างนี้แหละ ตอนคบกันใหม่ๆ เราก็ไม่ค่อยเห็นข้อเสียของอีกฝ่าย หรือเห็นแต่ก็แกล้งทำเป็นมองไม่เห็น เพราะความรักมันบังตา แต่พออยู่ๆ ไป โปรโมชั่นหมด ไอ้ที่ทำเป็นมองไม่เห็นมันก็ขวางหูขวางตาเราขึ้นมา”
อารุมมองหน้าเดชชาติกำลังจะแย้ง เดชชาติยกมือห้ามแล้วรีบพูดต่อ
“หยุด ! ฟังก่อน ! ฉันไม่ได้บอกว่าแกผิด มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ทุกคน นนทลีก็คงเป็นเหมือนกัน เมื่อก่อนเขาอาจจะรับนิสัยบางอย่างของแกได้ แต่พอคบกันไปนานๆ เขาก็อาจจะเริ่มรู้สึกว่าทำไมแกเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วก็ตั้งคำถามเหมือนแกตอนนี้”

นีรนุชยังคงปลอบนนทลีอยู่ในเวลาเดียวกัน
“พี่นนอย่าเพิ่งคิดเลยว่ามันเป็นเพราะอะไร แต่คิดว่าจะทำยังไงให้ทุกอย่างดีขึ้นดีกว่า”
“ต่อให้พี่ทำดีเท่าไร ถ้าเขาไม่เหมือนเดิม มันก็ไม่มีประโยชน์”
“นุชเชื่อในความรักของพี่สองคนนะคะ พี่คบกันมาตั้งนานแล้ว ถ้าไม่เหมาะสมกันจริงๆ ก็คงไม่อยู่มาถึงขนาดนี้”
นนทลีนิ่งคิด พยักหน้าซึมๆ
“อารุมคือคนที่พี่อยากฝากอนาคตไว้”
“นุชรู้ แล้วพี่นนก็เคยบอกว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พี่นนจะสู้ไปกับเขาไม่ใช่เหรอ”
นนทลีนิ่งไป

อารุมนั่งคิดอย่างเงียบขรึม จิตตก
“ใช่ ฉันยังอยากแต่งงานกับนน”
“งั้นแกกับนนก็ต้องผ่านไปให้ได้ อย่าให้เรื่องเล็กๆ แบบนี้ทำให้แกสองคนต้องไขว้เขว อนาคตยังมีเรื่องใหญ่รออยู่อีกเยอะนะเว้ย”
อารุมพยายามคิดตาม
“ก็จริงของแก ถ้าฉันผ่านเรื่องเล็กๆ แบบนี้ไม่ได้ ก็มองไม่เห็นอนาคตอยู่ดี”
เดชชาติเดินมานั่งข้างๆ อารุม โอบไหล่ให้กำลังใจ
“ตอนที่พ่อฉันยังอยู่ เวลาพ่อทำอะไรผิดแม่ฉันไม่เคยโกรธพ่อนานเลย เพราะแม่บอกว่านึกถึงเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาด้วยกันแล้วโกรธไม่ลง ถ้าแกกำลังหมดแรงประคับประคองความรักครั้งนี้ ก็ลองนึกถึงเรื่องดีๆ ที่แกกับนนเคยมีร่วมกันสิ ฉันเชื่อว่ามันมีค่าพอที่จะทำให้แกฮึดสู้นะ”
อารุมสบตากับเดชชาติ เหมือนได้สติมากขึ้น
“ขอบใจแกมากนะ”
เดชชาติพยักหน้า ให้กำลังใจเพื่อน

วันต่อมา...อารุมเดินมาส่งลูกค้าที่หน้าโรงแรม เตรียมจะแยกย้าย ทีมงานละครแบกราวเสื้อผ้าผ่านมาพอดี
“ขอทางหน่อยค่ะ หนักค่า”
ทีมงานยกร้าวเสื้อผ้าผ่านหน้าไป แต่ทำของหล่นตรงหน้า อารุมหยิบขึ้นมาแต่เรียกไม่ทัน เลยเดินตามเอาของมาคืนทีมงาน แล้วได้ยินเสียงแจ๋วๆ ของวิศนีดังขึ้น
“สวัสดีจ้ะ ฉันชื่อสโนว์ไวท์”
อารุมหันไปมอง เห็นวิศนีซ้อมละครอยู่บนเวทีกับน้องๆ เดชชาติและเด็กอีกสองคน แต่งตัวเต็มยศ
“ฉันหนีแม่มดใจร้ายมา ขอให้ฉันซ่อนตัวที่นี่ได้ไหมจ๊ะ”
อารุมเห็นวิศนีสวมบทบาทเอาจริงเอาจังก็เผลอยิ้มออกมา แล้วเดินเข้ามาดูใกล้ๆ...วิศนีกับน้องๆ ของเดชชาติกับเด็กอีก 2 คนอยู่บนเวที กำลังซ้อมอย่างตั้งใจ
“นะจ๊ะทุกคน ให้ฉันอยู่ด้วย ฉันดูแลบ้านได้นะ ฉันกวาดบ้าน ล้างจาน เย็บผ้า ทำครัว...”
เด็กๆพูดพร้อมกัน
“ทำครัว !”
องอาจถาม
“เธอทำคุกกี้ได้หรือเปล่า”
วิศนีพยักหน้า
“ได้สิจ๊ะ แถมพุดดิ้งกับบลูเบอรี่พายด้วย”
เด็กๆพูดพร้อมกัน
“บลูเบอร์รี่พาย เย้ !”
เด็กๆ เข้ามาล้อมรอบวิศนี จับมือกันกระโดดโลดเต้น ผู้กำกับยิ้มพอใจ
“เยี่ยมมาก! พักได้ครับ”
เด็กๆ เฮกันลงจากเวทีไปกินขนม พวกน้องๆ เดชชาติเห็นอารุมพอดี จิตใสเรียก
“พี่อารุม!”
น้องๆ เดชชาติวิ่งเข้าไปหาอย่างดีใจ วิศนีได้ยินชื่ออารุมก็เงยหน้ามอง เห็นอารุมยิ้มเขินๆ

วิศนีนั่งกินกาแฟกับอารุม ยิ้มเขินๆ เพราะยังอยู่ในชุดสโนว์ไวท์
“สโนว์ไวท์หนีมาแบบนี้ พวกคนแคระไม่ตามหาแย่เหรอ”
“เด็กๆ พอได้เพื่อนใหม่อีก 2 คนก็สนุกกันใหญ่ ไม่สนใจสโนว์ไวท์แล้วล่ะ” วิศนียิ้มขำ “แล้วคุณมาทำอะไรคะ”
“ผมมากินข้าวกับลูกค้า”
วิศนียิ้มเขิน
“น่าอายจังที่คุณต้องมาเห็นฉันในสภาพแบบนี้”
“คุณก็ดูดีนี่ นานๆ จะเห็นคุณนุ่งกระโปรงยาวๆ แต่งตัวมิดชิดแบบนี้”
อารุมยิ้มขำ วิศนีค้อน
“ดี งั้นต่อไปฉันจะแต่งตัวเป็นเจ้าหญิงสโนว์ไวท์ไปทำงานทุกวันเลย แต่คุณต้องแต่งเป็นเจ้าชายด้วยนะ”

อารุมหัวเราะขำ อารมณ์แจ่มใสเบิกบานเมื่อได้เจอกับวิศนี

ขณะที่นีรนุชหอบเสื้อผ้าที่จะใส่ในงานคืนนี้ รีบร้อนเข้าโรงแรม เดินผ่านมาหน้าคอฟฟี่ช้อปพอดี สายตามองเลยเข้าไปเห็นอารุมกับวิศนีกำลังนั่งมองตากันหวานหยด วิศนีใช้มีดปาดเนยใส่ขนมปังวางที่จานอารุมเอาอกเอาใจ สนิทสนมกัน

นีรนุชอึ้งไปกับภาพที่เห็น โดยเฉพาะภาพอารุมที่ดูเบิกบาน ก่อนจะสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงโทรศัพท์
“ฮัลโหล นุชมาถึงแล้วค่ะ กำลังจะรีบเข้าไปเดี๋ยวนี้ค่ะ”
นีรนุชกดวางสายแล้วรีบเดินต่อไป แต่ยังหันมองอารุมอย่างค้างคาใจ

โยธินในชุดเจ้าชายวีนเหวี่ยงอยู่ในห้องซ้อม ทีมงานกระเจิดกระเจิง
“ทำไมไม่มีใครรู้ว่าคุณวิศนีไปไหน”
“เอ่อ ใจเย็นๆ นะคะ”
“เย็นได้ยังไง นี่ผมมาเพื่อจะซ้อมละคร แล้วนางเอกหายแบบนี้จะซ้อมกับใคร”
ผู้กำกับเข้ามาบอก
“ผมให้ทุกคนพักเอง เดี๋ยวเธอก็มา”
“ละครจะเล่นคืนนี้แล้ว คุณยังจะใจเย็นอีกเหรอ”
โยธินปาบทลงพื้นอย่างหัวเสีย แล้วจะเดินออกไป แต่เห็น น้องๆ เดชชาติที่จับกลุ่มกันอยู่มองมาก็ตวาดแว๊ด
“มองอะไร ไอ้เด็กสลัม”
โยธินพาลๆ แล้วเดินออกไปอย่างฉุนๆ ทุกคนถอนใจ

วิศนีกับอารุมยังคงนั่งกินกาแฟกันอยู่
“ท่าทางคุณก็มีความสุขดีนะตอนอยู่บนเวที คงจะชอบแล้วสิ”
“ใครว่า ฉันจะเบื่อจะตาย รู้ไหมคะตั้งแต่เช้า มีนักข่าวเข้ามาถ่ายรูป สัมภาษณ์อะไรอยู่นั่นแหละ แล้วก็ถามแต่เรื่องฉันกับนายโยธิน ฉันว่าต้องเป็นฝีมือพีอาร์ของแม่เลี้ยงฉันกับยายคุณหญิงนั่น”
วิศนีบ่นฉอดๆ จนอารุมยิ้มขำ
“งั้นคุณก็คงเป็นนักแสดงที่ดี ที่ทำให้ผมเชื่อได้ว่าคุณมีความสุข”
“ก็เพราะเมื่อกี้ไม่มีพระเอกเข้าฉากไงล่ะ นี่ถ้าเปลี่ยนพระเอกเป็นคุณนะ ฉันจะไม่ว่าเลย”
วิศนีเผลอพูดออกไปแล้วนิ่งอึ้ง ประหม่าเสียเอง อารุมก็เก้อไปเหมือนกัน หน้าร้อนจนต้องเสหยิบกาแฟขึ้นมาจิบ ต่างคนต่างเมินไม่กล้าสบตากัน วิศนีได้สติก่อน รีบยิ้มกลบเกลื่อน
“ฉันหมายถึงถ้าเป็นคุณ หรือคุณเดชชาติคงสนุกกว่านี้”
อารุมฝืนยิ้ม ยังเขินๆ อยู่เลยไม่กล้าพูดอะไรต่อ วิศนีรีบเปลี่ยนเรื่อง หยิบบัตรเชิญมาให้
“ฉันเก็บบัตรไว้ให้คุณสองใบ ชวนคุณนนทลีมาด้วยนะคะ”
อารุมนึกได้ว่าตึงๆ กันอยู่ หน้าขรึมลง
“ผมไม่รู้ว่านนจะมาหรือเปล่า”
“บอกว่าฉันเชิญสิคะ บัตรนี่คืนไม่ได้ เพราะมันเป็น sit-down dinner ฉันใส่ชื่อคุณกับคุณนนไว้แล้ว”
อารุมทำหน้าลำบากใจ ก่อนจะพยักหน้า แล้วหยิบบัตรใส่กระเป๋า พนักงานถือกาน้ำร้อนมาเสิร์ฟโต๊ะข้างๆ ชนกับแขนของอารุมพอดี เลยทำกาน้ำหกใส่พนักงานตกใจรีบขอโทษ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ!”
อารุมตกใจ รีบเอามือปัดน้ำที่หกรดแขนตนเอง วิศนีรีบลุกมาดูอย่างเป็นห่วง
“คุณอารุม เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
พนักงานหน้าเสีย
“ขอโทษค่ะ ขอโทษจริงๆ นะคะ”
“ไม่เป็นไร ผมใส่เสื้อแขนยาว”
“ขอฉันดูแขนหน่อย”
วิศนีดึงแขนอารุมมาแกระดุม เลิกขึ้นมาดู เห็นรอยแดงๆ เอาทิชชู่ซับให้
“เจ็บไหมคะ”
ผู้จัดการรีบวิ่งเข้ามา
“ต้องขอโทษแทนเด็กด้วยนะครับ เดี๋ยวผมจะพาคุณไปโรงพยาบาล”
“ไม่ต้องหรอกครับ นิดหน่อยเอง”
“คุณแน่ใจนะ”
วิศนียังพยายามใช้ทิชชู่ซับที่แขนอารุมอย่างเป็นห่วง อารุมพยักหน้า ทันใดนั้นเสียงโยธินดังเข้ามา
“คุณวิศนีครับ”
วิศนีกับอารุมหันไป เห็นโยธินหน้าบึ้ง เดินตรงเข้ามาหา
“ได้เวลาซ้อมละครแล้วครับ”
“เดี๋ยวฉันตามไปค่ะ”
โยธินชักสีหน้าจะไม่ยอม อารุมเห็นสีหน้าโยธินก็พอเดาออกว่ากำลังโมโหหึงเลยดึงแขนออก
“คุณไปเถอะ ผมไม่เป็นอะไรหรอก”
วิศนีอิดออดจะแย้ง อารุมต้องย้ำเสียงหนัก
“แล้วคืนนี้ผมจะมา”
อารุมติดกระดุมแขนเสื้อ แล้วลุกเดินออกไป วิศนีมองตามห่วงๆ

วิศนีเดินหน้าตึงลิ่วๆ ออกมา โยธินรีบตาม
“คุณวิศนีครับ ไอ้คนนั้นมันรบกวนอะไรคุณอีกหรือเปล่า ผมจำหน้ามันได้”
“เปล่าค่ะ”
“ถ้ามีอะไรบอกผมได้นะครับ ที่นี่โรงแรมผม ผมมีสิทธิ์ให้ตำรวจจับมันข้อหาบุกรุก”
วิศนีเริ่มรำคาญ
“ก็บอกว่าไม่มีไงคะ เขาเป็นเพื่อนฉัน”
โยธินงง
“อ้าว แต่คราวนั้นคุณบอกว่ามันเป็นแค่คนรู้จัก”
“ไหนว่าจะรีบไปซ้อมละครไงคะ จะมัวซักไซ้เรื่องส่วนตัวของฉันทำไม”

วิศนีทำตาเขียวใส่โยธินแล้วเดินหนีไป โยธินทำหน้าขัดใจ แล้วเดินตาม

โยธินเดินโกรธๆ เข้ามามุมหนึ่ง กดโทรศัพท์หาอวลอบ


“คุณแม่ครับ ช่วยหาชื่อแขกของคุณวิศนีในคืนนี้ให้ผมหน่อย...ผมอยากรู้ว่าไอ้ผู้ชายที่มันมาหาคุณวิศนีถึงโรงแรมมันเป็นใคร”

อารุมเดินเข้ามาในออฟฟิศนนทลี เห็นกุสุมาอยู่คนเดียว กุสุมาเงยหน้าทัก
“อ้าว อารุม”
“นนอยู่ไหมสุ”
“ออกไปทานกลางวันกับพวกสาวๆ” กุสุมาพยายามสอดแทรกเรื่องของตัวเอง “แต่สุกำลังไดเอ็ทก็เลยไม่ไป อารุมจะไปทานข้าวเหรอ สุไปเพื่อนได้นะ”
“เปล่า ผมจะเอาของมาให้นน” อารุมหยิบซองบัตรเชิญออกมา “คืนนื้ผมจะไปงานเลี้ยง ก็เลยจะมาชวนนนไปด้วยกัน ฝากสุให้นนด้วยนะ”
กุสุมารับซองมาอ่าน
“อ๋อ งานการกุศลที่คุณวิศนีไปเล่นละครนี่”
อารุมพยักหน้า
“คุณวิศนีฝากเชิญให้นนไปให้ได้”
“จ้ะ แล้วสุจะบอกนนให้นะ”
อารุมยิ้มขอบคุณกุสุมาแล้วเดินออกไป แต่พอพ้นสายตา กุสุมาก็หยิบบัตรออกมาดู แล้วทำหน้ามีแผนการบางอย่าง

นนทลีกับผองเพื่อนเดินคุยกันเข้ามาหน้าบริษัท เห็นกุสุมายืนดักรออยู่ สีหน้ากลัดกลุ้มกังวล
“จะไปไหนเหรอสุ”
“ก็มารอเธอนั่นแหละ”
“รอฉันทำไม”
กุสุมาเหลือบมองเพื่อนๆ คนอื่น แล้วดึงนนทลีออกมาอีกมุม
“เมื่อกี้อารุมมาหา เขาจะมาชวนเธอไปดูละคร”
“ละครอะไร”
กุสุมาหยิบบัตรส่งให้ แล้วเสี้ยมแบบเนียนๆ
“ละครการกุศลของคุณวิศนีไง บัตรหายากมากเลยนะ ต้องเป็นแขกที่ได้รับเชิญถึงจะได้ไป อารุมบอกว่าเขาอยากดูมากก็เลยไปดิ้นรนเอามาจนได้”
นนทลีมองดูบัตร ฟังสิ่งที่กุสุมาพูดแล้วก็หน้าตึง ไม่พอใจขึ้นมาทันที
“เขาไม่คิดจะถามฉันซักคำเลยเหรอว่าฉันอยากดูหรือเปล่า”
กุสุมาโกหกหน้าตาย
“เขาบอกว่าแล้วแต่นน แต่ยังไงเขาก็จะไป”
นนทลีอึ้งกับสิ่งที่ได้ยิน เพราะคิดว่าอารุมไม่แคร์เธอเลย

นนทลีเปิดประตูผ่างเข้ามาในห้องอารุม แล้วเดินเอาบัตรมาวางตรงหน้า
“นนไม่ไป!”
อารุมอึ้งไป งงว่าทำไมนนทลีต้องเหวี่ยง
“ถ้าอารุมอยากดูก็ไปคนเดียว นนไม่รู้จะไปดูอะไร ในเมื่อน้องสาวนนก็เป็นแค่เด็กเสิร์ฟน้ำในงานนั่น”
“นน แต่คุณวิศนีเชิญ...”
นนทลีคิดว่าเชิญอารุมคนเดียวยิ่งปรี๊ด
“ต่อให้เขาจ้างนนก็ไม่ไป นนไม่อยากดู ไม่อยากเห็น!”
อารุมงง พยายามใจเย็น
“นน ทำไมนนต้องอารมณ์เสียด้วย”
นนทลีแค่นหัวเราะ
“ขอโทษนะคะที่นนแสดงอารมณ์ว่าไม่อยาก แทนที่จะเป็นอยากจนตัวสั่นเหมือนคุณ”
อารุมชะงัก
“นน!”
“ดูให้สนุกก็แล้วกัน !”
นนทลีทิ้งท้ายแล้วเดินสะบัดออกจากห้อง อารุมงง แล้วเปลี่ยนเป็นถอนใจอย่างเครียดๆ

นนทลีเดินตัวปลิว ใจร้อนเหมือนไฟออกมาจากห้อง โดยไม่เห็นว่ากุสุมายืนหลบมุมแอบฟังทุกอย่าง พร้อมกับรอยยิ้มสะใจ กุสุมามองตามนนทลีเยาะๆ แล้วเปิดประตูห้องอารุมเข้าไป
กุสุมาเดินเข้าห้องอารุมมาด้วยสีหน้าสลด เป็นห่วง ผิดจากเมื่อกี้เป็นคนละคน
“อารุม...”
อารุมนั่งกุมหัวเครียดๆ แล้วเงยหน้ามองกุสุมา
“สุไปพูดอะไรกับนน”
กุสุมาตีหน้าซื่อ
“สุก็บอกนนเขาอย่างที่อารุมสั่ง แต่ไม่รู้ทำไมอยู่ๆ ก็ยัวะขึ้นมา สงสัยจะไปฟังพวกยุพเยาว์กับวิเวียนเป่าหูอะไรมาอีก”
“ผมไม่รู้ว่าเขาโกรธเรื่องอะไร จริงๆ ผมก็ไม่ได้อยากไป แต่เขาเชิญมาแล้ว” อารุมทำท่าจะลุกขึ้น “ผมต้องไปคุยกับเขา”
กุสุมารีบห้าม
“พูดตอนนี้นนคงไม่ยอมฟังหรอก ใจเย็นๆ ก่อนนะจ๊ะ”
อารุมชะงัก แล้วยอมนั่งลง ถอนใจแรงๆ พยายามใช้ความคิด
“ผมคงต้องโทรไปยกเลิก”
อารุมจะหยิบโทรศัพท์ กุสุมาเปรยแบบกังวลใจ
“แต่งานแบบนี้เขาจองโต๊ะไว้ตามรายชื่อแขก ถ้าไม่ไปโต๊ะก็จะว่างตรงที่เรานั่ง จะเสียมารยาทหรือเปล่า”

อารุมชะงักอีกครั้ง เห็นด้วยกับกุสุมา ยิ่งกลุ้มหนัก คิดอะไรไม่ออก

 
โปรดติดตาม "อุบัติเหตุ" ตอนที่ 5
กำลังโหลดความคิดเห็น