พรพรหมอลเวง ตอนที่ 2
ตันหยงขับรถไปร้องไห้ไป จังหวะนั้นเธอตัดสินใจจอดรถข้างทางแล้วฟุบหน้าร้องไห้กับพวงมาลัย เสียงเยาะเย้ยของพัดชาดังขึ้นในความคิด
“ว่าผู้หญิงอย่างคุณตันหยงน่ะหัวโบราณ หวงเนื้อหวงตัวกับคู่หมั้น ผู้ชายที่ไหนจะทนอยู่ได้ตั้งเป็นสองปี บอกไปสิคะที่ผ่านมาเราลึกซึ้งกันแค่ไหน”
ตันหยงปิดหน้าแล้วพยายามสลัดให้ภาพนั้นหลุดออกจากสมองแล้วเธอก็ร้องไห้
“คนทรยศ คนเลือดเย็น คนไม่มีหัวใจ คุณทำแบบนี้กับหยงได้ยังไง…”
ตันหยงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทรหาสุดนภา
ด้านสุดนภาที่กำลังนั่งเตรียมอุปกรณ์การสอนนักเรียนอยู่ รับโทรศัพท์ตันหยง
“ไงล่ะ ดินเนอร์เสร็จแล้วหรือ เลยโทร.มาให้เพื่อนอิจฉาเล่นใช่มั้ย”
“ชั้นเลิกกับพิรามแล้ว” ตันหยงบอก
สุดนภางง “แกว่าอะไรนะ...จะบ้าหรือ มีเรื่องอะไร บอกชั้นมาเดี๋ยวนี้”
ตันหยงสะอึกสะอื้น “ชั้นถอนหมั้นเค้าไปแล้ว”
“ตายจริงหยง จู่ๆจะถอนหมั้นกันง่ายๆ ได้ยังไง คิดถึงตอนที่แกรักกันบ้างสิ ทำอะไรเป็นเด็กๆ ไปได้”
“ถ้ากลับไปเป็นเด็กได้ก็ดีน่ะสิ จะไม่ต้องคิด ไม่ต้องเหนื่อยกับเรื่องแบบนี้”
พูดจบตันหยงก็ปิดโทรศัพท์ทันที
“เดี๋ยวก่อนสิหยง บ้าจริง”
สุดนภากดโทรศัพท์โทร.หาตันหยง แต่ตันหยงไม่รับ
“ไอ้หยงเอ๊ย...อะไรของมันนี่...”
สุดนภาเริ่มวิตก
ที่งานเลี้ยงรุ่นซึ่งจัดขึ้นที่โรงแรมแห่งนั้น ปฐวีนั่งมองเพื่อนๆ ดื่มเหล้าท่าทีเซ็งๆ นาวินกำลังคุยกับเพื่อนอย่างสนุกสนาน พนักงานเสิร์ฟเดินผ่านมา
“รับเครื่องดื่มอะไรดีครับ”
ปฐวีมองเครื่องดื่มในถาด
“มีอะไรบ้าง ผมไม่ดื่มแอลกอฮอล์”
“ไอ้บ้า...งานเลี้ยงก็ต้องมีบ้างสิวะ” นาวินพูดกับพนักงาน “เอาเหล้าให้หน่อย บางๆ ก็ได้”
“ไม่ต้อง ขอเป็นสปาร์คกิ้งแล้วกัน ชั้นแพ้แอลกอฮอล์”
พนักงานหยิบเครื่องดื่มให้ปฐวีแล้วเดินไป
“นี่เหลืออดข้าวเย็นนี่แกก็ถือศิลแปดครบแล้วนะเนี่ย เหล้าไม่กิน บุหรี่ไม่สูบ หญิงไม่สน หรือว่าแกถือพรหมจรรย์วะ ไอ้วี”
“นี่ชั้นกลับได้หรือยังเนี่ย หลานชั้นไม่สบาย”
“ไอ้บ้า...มายังไม่ทัน ห้านาทีจะกลับแล้ว ไม่ได้โว๊ย...อยู่ก่อน”
ปฐวีมองรอบๆ ตัว อย่างเซ็งๆ ส่วนนาวินยังร่าเริง ปฐวีแอบมองนาวินแล้วค่อยๆ ย่องออกจากห้องจัดงานเงียบๆ
“เฮ้ยไอ้วี เอ็งจำผู้หญิงคนนั้นได้มั้ยวะ ใช่ยายแพ็ตหรือเปล่าน่ะ นายช่วยดูหน่อยซิ”
นาวินพูดแล้วหันกลับมา แต่ปฐวีหายตัวไปแล้ว
“หนอย ไอ้เพื่อนนิสัยเสีย หนีกลับได้ไง”
นาวินหงุดหงิด รีบเดินออกตามหาปฐวีทันที
ปฐวีเดินออกมาจากโรงแรม นาวินรีบวิ่งตามออกมา
“ไอ้วี...หนีกลับอย่างนี้ไม่ได้นะโว๊ย”
ปฐวีเบื่อ “ไม่เห็นมีไรนี่หว่า เป็นอย่างนี้ทุกปี เดี๋ยวก็เมาเละ”
“ก็ใช่น่ะสิ รู้หน้าที่แล้วไม่ใช่หรือ”
“หน้าที่อะไร”
“อ้าว เดี๋ยวชั้นก็ต้องเมา แกจะได้ขับรถพาชั้นไปส่งบ้านไง ไอ้ด๊อก”
“นี่ไอ้วิน เรียกยาวกว่านี้หน่อยไม่ได้หรือไง”
“เอาน่า กลับเข้าไปด้วยกันก่อนนะ ...ขอร้อง”
ปฐวีทำท่าทางลังเล นาวินจึงลากแขนเขาไป
ตันหยงขับรถเข้ามาอีกทางหนึ่งอย่างเร็ว นาวินกับปฐวีกระโดดหลบ ตันหยงลงจากรถ ปฐวีมองตันหยงวิ่งน้ำตานองหน้าผ่านไปอย่างตกตะลึง
นาวินตะโกนไล่หลัง “นี่คุณ....ขอโทษน่ะ พูดเป็นมั้ย..ผู้หญิงอะไร”
นาวินจะตามไปเอาเรื่อง แต่ปฐวีรีบดึงเอาไว้
“ช่างเหอะ...เหมือนชั้นเคยรู้จักผู้หญิงคนนี้” ปฐวีจะเดินตาม แต่นาวินดึงไว้
“หนอยแน่ะ ลูกไม้ตื้นๆ อ้างว่ารู้จัก จะตามไปแล้วจะชิ่งกลับบ้านใช่มั้ย...ไอ้หมอสมองใส เสียใจห้ามนายต้องกลับพร้อมชั้น ไม่งั้นชั้นจะประกาศให้โลกรู้ ว่านายชอบผู้ชาย”
ปฐวีส่ายหน้า “ไอ้เพื่อนโรคจิตเอ๊ย..”
นาวินไม่ฟังเสียง เขาลากปฐวีเข้าไปในงานทันที
ตันหยงนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่หน้าบาร์ เบื้องหน้ามีแก้วว้อดก้าวางเรียงเป็นแถว ตันหยงดื่มแก้วต่อแก้ว
“ดื่ม...ให้กับผู้ชายใจร้าย..คนหลอกลวง”
ตันหยงดื่มจนหมดแก้วแล้วยกมือเช็ดน้ำตา
สุดนภาเดินวนไปวนมาพร้อมกับกดโทรศัพท์หาตันหยงตลอด แต่โทรศัพท์ตันหยงวางอยู่บนเบาะข้างคนขับในรถของเธอที่จอดอยู่
“หยง ทำไมแกไม่รับโทรศัพท์นะ มัวทำอะไรอยู่”
สุดนภาเดินไปเดินมาแล้วก็นึกได้
“จริงสิ พิราม”
สุดนภาพต่อโทรศัพท์หาพิราม เธอได้ยินเสียงตอบรับ “เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้”
“โอ๊ยย...นี่มันอะไรกันนักกันหนา ปิดโทรศัพท์ทำไม”
สุดนภาเดินไปเดินมาแล้วถอนหายใจ
สุดนภายกมือไหว้ “เจ้าประคุณ ขออย่าให้มีเรื่องไม่ดีกับหยงเล๊ย....”
สุดนภาเครียด
ปฐวีเดินย่องออกจากห้องจัดเลี้ยงไปตามทางเดิน
“เฮ้อ..กว่าจะหลุดมาได้...”
ปฐวีเดินไปแล้วก็ชะงักเพราะเห็นตันหยงกำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่หน้าบาร์ เขายืนมองซักครู่
“ผู้หญิงอะไร ดื่มเหล้ายังกะน้ำ ไม่ไหวเลย”
ปฐวีเดินไปอีกนิดแล้วหยุด เขาหันกลับไปมองตันหยงอีกครั้ง
“เฮ้อ...แล้วจะอะไรกับเค้าเนี่ย ท่าจะบ้าแล้วเรา”
ปฐวีตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งในผับแล้วแอบมองตันหยงเงียบๆ ชายสองคนนั่งมองตันหยงแล้วยิ้ม พวกเขาเห็นตันหยงเมาจึงเข้ามาประกบ
“ผมเลี้ยงเหล้าคุณดีมั้ย...”
“ไม่ต้อง ชั้นมีเงินจ่าย” ตันหยงปัด
“งั้นผมดื่มเป็นเพื่อนก็ได้”
“ไม่ต้อง ชั้นไม่อยากมีเพื่อน ชั้นเกลียดผู้ชาย”
ตันหยงหยิบเงินวางบนโต๊ะแล้วเดินโซเซออกไป ชายทั้งสองยิ้มให้กันแล้วลุกขึ้นเดินตามตันหยงไป ปฐวีมองตามแล้วถอนหายใจ
“หาเรื่องแล้วมั้ยล่ะ”
ปฐวีลุกขึ้นตามไปอีกคน
เมธียืนอยู่ริมสระว่ายน้ำ ประภัสสรเดินลงมาพอเห็นเมธีเธอก็ชะงักแล้วทำท่าจะเดินหนี
“ลูกเป็นยังไงบ้าง”
“หลับแล้วค่ะ” ประภัสสรตอบ
“นี่คุณเป็นอะไร ถามคำตอบคำ โกรธอะไรผมหรือเปล่า”
“เปล่าค่ะ”
“ผมขอโทษ ที่ไม่ได้กลับมาทานข้าวกับคุณกับลูกตามสัญญา งานผมยุ่งจริงๆ”
“ยุ่งมากขนาดรับโทรศัพท์ไม่ได้เชียวหรือคะ นี่ถ้ายายเมย์เป็นอะไรไปมากกว่านี้ คุณจะกลับมาทันหรือคะ”
“โธ่..ภัส ไม่เอาน่า ยายเมย์ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่ตัวร้อน” เมธีตำหนิ “ว่ายน้ำมากเกินไปเท่านั้นเอง”
“นี่คุณจะโทษภัสว่าดูแลลูกไม่ดีใช่มั้ยคะ ถ้าคุณคิดว่าทำดีกว่า ทำไมไม่กลับมาเลี้ยงลูกบ้าง”
“นี่คุณ ทำไมถึงพาลแบบนี้นะ” เมธีว่า
เมรินเริ่มร้องครวญคราง
“หนาวจังเลย น้องเมย์หนาวจังเลยค่ะ คุณแม่”
เมรินลุกขึ้นจากเตียงแต่ก็ไม่เห็นใคร
“คุณแม่ขา..คุณแม่”
เมรินลุกขึ้นแล้วปีนลงจากเตียงอย่างยากเย็นมาพร้อมตุ๊กตาหมีในอ้อมกอด เมรินเดินออกไปจากห้อง
ตันหยงเมามาก เธอเดินโซเซมาที่รถแล้วพยายามจะค้นหากุญแจจากกระเป๋า ทันใดนั้นก็มือหนึ่งมาจับแขนตันหยงไว้
“มาผมช่วย” ปฐวีบอก
ชายสองคนเห็นปฐวีอยู่กับตันหยงก็ชะงักแล้วเลี่ยงไป
“เฮ้ย...มากับเพื่อนนี่หว่า”
“รอดูไปก่อน”
ชายทั้งคู่แอบซุ่มดูตันหยง
ปฐวีพูดกับตันหยง
“เป็นผู้หญิง กินเหล้าเมาขนาดนี้ มันดูได้มั้ยเนี่ย”
“มันเรื่องอะไรของคุณล่ะ ถ้าเป็นผู้ชายทำไม่ผิดใช่มั้ย”
“เฟมินิสซะด้วยนะ...อย่าขับรถเลย อันตราย”
ตันหยงผลักปฐวีออกไป
“ไม่ต้องมายุ่ง ผู้ชายเชื่อไม่ได้ทุกคน”
ตันหยงกลับเข้าไปนั่งในรถแล้วล๊อคประตูก่อนจะขับออกไปทันที
ปฐวีตะโกน “นี่คุณกลับมาก่อน เมาแบบนั้นจะขับรถได้ยังไง”
ชายทั้งสองขับรถตามตันหยงไปอย่างรวดเร็ว ปฐวียืนมองอย่างละล้าละลังแล้วรีบวิ่งไปที่รถของตัวเอง
เมรินเดินลงบันไดมาอย่างทุลักทุเล
“แม่ขา แม่อยู่ไหนคะ เมย์หนาว”
ประภัสสรกับเมธีกำลังเถียงกันอยู่ในห้องรับแขก
“คุณไม่ต้องมาแก้ตัวเลย คุณจงใจว่ากระทบภัส ว่าเลี้ยงลูกไม่ดีใช่มั้ยใช่สิ ชั้นมันไม่ดีทำอะไรก็ผิด”
“ไม่ใช่อย่างนั้น คุณฟังผมก่อนได้มั้ย”
“ภัสไม่ฟัง ไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้น ถ้าคุณคิดว่าที่อื่นมันดีกว่า คุณก็ไปให้พ้นหน้าภัส อย่ามาให้เห็นหน้าอีก”
“คุณภัส”
เมรินพยายามจะก้าวลงบันไดมาหาพ่อกับแม่
“คุณพ่อ..คุณแม่”
ประภัสสรกับเมธีหันไปเห็นเมรินยืนอยู่บนบันได
“น้องเมย์”
เมรินก้าวลงบันไดแล้วพลาดตก ตุ๊กตาหมีลอยตกลงมาตามพื้น ประภัสสรร้องกรี๊ด
รถที่ตันหยงขับจอดติดไฟแดงอยู่ ตันหยงฟุบหน้าลงกับพวงมาลัย พอเงยขึ้นมาก็เห็นชายสองคนจอดรถประกบพร้อมกับจ้องมอง ผู้ชายทั้งสองยิ้มให้ หยงจำได้จึงรีบขับรถออกไป ชายทั้งสองขับรถตามตันหยงไปทันที
ปฐวีขับรถไปมองหารถตันหยงไป
“เฮ้อ...จะตามกันเจอมั้ยนะ”
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ปฐวีกดรับ
เสียงสายแก้วดังจากปลายสาย “คุณวีขา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“อะไร มีเรื่องอะไรกัน” ปฐวีถาม
“คุณเมย์ค่ะคุณเมย์ตกบันได ตอนนี้ไปโรงพยาบาลแล้ว”
“ชั้นจะรีบไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ปฐวีกดปิดโทรศัพท์ แล้วกลับรถทันที
ตันหยงขับรถมาบนถนนด้วยความเร็วสูง เธอมองกระจกหลังอย่างตื่นกลัว
“คุณแม่ ช่วยหยงด้วย...”
ทันใดนั้นก็มีรถสวนมาในขณะที่ตันหยงขับรถกินเลนอยู่ ตันหยงตกใจหักหลบอย่างกะทันหัน เสียงเบรกดังสนั่น รถตันหยงเสียหลักพุ่งลงข้างทาง ชายทั้งสองชะลอรถแล้วมองดูรถของตันหยง
“ซวยแล้วมึง”
ชายทั้งสองขับทิ้งห่างรถของตันหยงไปทันที ตันหยงนอนสลบเลือดอาบตัวอยู่ในรถ
สักครู่ต่อมา ตันหยงรู้สึกตัวจึงเปิดประตูลงมาจากรถ เธอเห็นรถหน่วยกู้ภัยจอดแล้วมีคนวิ่งมาจึงเดินเข้าไปหาเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่หน่วยกู้ภัยเหล่านั้นกลับวิ่งผ่านตันหยงไปที่รถ
ตันหยงตกใจมองตัวเองแล้วหันไปมองตามหน่วยกู้ภัย หน่วยกู้ภัยประคองผู้หญิงออกมานอนในเปลพยาบาล
ตันหยงงง “อะไรกัน”
หน่วยกู้ภัยช่วยกันปฐมพยาบาลเบื้องต้นให้ร่างของตันหยงที่เปรอะเลือดจนเลอะเทอะเต็มไปหมด ตันหยงที่ตอนนี้เป็นวิญญาณวิ่งไปดูเหตุการณ์ เธอเห็นร่างของตัวเองมีเลือดเปรอะเต็มไปหมดก็ตกใจ
“ไม่จริง ไม่จริง”
วิญญาณตันหยงตกใจจนทรุดลง
หน่วยกู้ภัยหยิบกระเป๋าถือของตันหยงออกมาก่อนจะหยิบบัตรประชาชนออกมาดูพร้อมกับของขวัญ
“ผู้บาดเจ็บชื่อ ตันหยง นาครงค์”
หน่วยกู้ภัยเดินทะลุวิญญาณตันหยงไปหาตำรวจที่เข้ามาดูที่เกิดเหตุแล้วส่งกระเป๋าให้
“นี่ครับ ประเป๋าถือกับโทรศัพท์ของผู้บาดเจ็บ ผมขอนำผู้บาดเจ็บส่งโรงพยาบาลก่อนนะครับ”
“เชิญเลยครับ” ตำรวจบอก
หน่วยกู้ภัยยกร่างตันหยงขึ้นไปที่หลังรถพยาบาล วิญญาณตันหยงมึนงงและสับสน
วิญญาณตันหยงมายืนมองบุหงากับพินิจที่กำลังนอนหลับอยู่บนเตียง วิญญาณตันหยงเขย่าตัวเรียกบุหงา
“แม่ขา แม่ช่วยหนูด้วย”
บุหงาที่นอนหลับอยู่สะดุ้งตื่นขึ้นทันที
“หยงลูกแม่...”
บุหงามองรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นใคร พินิจที่นอนอยู่ข้างๆ รีบลุกขึ้นเปิดไฟแล้วสวมแว่นก่อนจะหันมาดูบุหงา
“ตันหยง” พินิจเอ่ยขึ้น
“คุณคะ ชั้นฝันร้าย” บุหงาพูดกับพินิจ “ชั้นเห็นลูกค่ะ ลูกเลือดออกเต็มตัวเลยแกร้องเรียกให้ชั้นช่วย”
“ฝันคล้ายๆผมเลย”
พินิจพูดไม่ทันขาดคำ เสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น บุหงาสะดุ้ง สองสามีภรรยามองหน้ากัน
เอียดเคาะประตูห้องพินิจด้วยสีหน้าร้อนรน
“คุณผู้หญิงขา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
พินิจเปิดประตูออกมาพร้อมกับบุหงา
“อะไรกัน แม่เอียดดึกดื่นป่านนี้ โวยวายทำไม” พินิจถาม
“ตำรวจโทรมาบอกว่าคุณตันหยงเกิดอุบัติเหตุรถคว่ำค่ะ” เอียดบอก
บุหงาตกใจ “หยงลูกแม่”
บุหงาตะลึงก่อนจะเป็นลมล้มพับในอ้อมกอดของพินิจ
รถกู้ภัยวิ่งเข้ามาจอดที่หน้าโรงพยาบาล หน่วยกู้ภัยลำเลียงร่างของตันหยงออกจากรถแล้ววิ่งเข้าประตูห้องฉุกเฉิน พยาบาลเข็นร่างของตันหยงไปตามทาง วิญญาณตันหยงแว๊บผ่าน ตามร่างของตัวเองไปเป็นระยะ
พยาบาลเข็นรถเข็นที่มีร่างของเมรินเข้ามาจากอีกทาง รถเข็นเตียงทั้งสองสวนกัน วิญญาณตันหยงหันไปเป็นร่างของเมรินแว๊บนึงแล้วทั้งสองเตียงก็แยกย้ายกันไปคนละทางพยาบาลเข็นร่างตันหยงเข้าไปในห้อง หนึ่งฤทัยยืนอยู่ในห้อง
“อุบัติเหตุรถยนต์ค่ะหมอ คนไข้หัวใจเต้นอ่อนมาก ความดัน60/40 คนไข้กำลังช๊อค กำลังจะหยุดหายใจ” พยาบาลบอก
“CPR ให้โดพามีน.....” หนึ่งฤทัยสั่ง
วิญญาณตันหยงชะงักยืนอยู่หน้าห้อง เพราะไม่กล้าเข้าไป ประตูค่อยๆ ปิดลง วิญญาณตันหยงถอยหลังออกมายืนที่หน้าห้อง
ปฐวีทำ CPR ให้เมรินอยู่อีกห้อง เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจค่อยๆ ช้าลง ปฐวีกังวลอย่างเห็นได้ชัด วิญญาณของเมรินเกาะแขนปฐวีแล้วพูดกับเขา
“น้าวีขา น้าวีพูดกับเมย์สิคะ น้าวีขา”
“น้องเมย์ กลับมาหาน้าก่อน” ปฐวีร้อนใจ
ปฐวีพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยชีวิตเมริน วิญญาณเมรินยืนมองสีหน้าปฐวีอย่างหวาดกลัว
“น้าวี น้าวีโกรธน้องเมย์เหรอคะ”
เมรินเสียใจจึงค่อยๆ เดินถอยหลังแล้วหมุนตัวออกไปจากห้อง
ขณะเดียวกันประภัสสรยืนร้องไห้อยู่หน้าห้อง ส่วนเมธียืนหน้าเครียดอยู่ข้างๆ
“น้องเมย์ลูกแม่ หนูต้องไม่เป็นอะไรนะ ไม่มีหนู แม่จะอยู่ได้ยังไง”
ประภัสสรร้องไห้กระซิก วิญญาณเมรินวิ่งเข้าไปกอดแม่แต่ก็กอดไม่ได้
“แม่ขา เมย์อยู่นี่”
วิญญาณเมรินหันไปกอดขาเมธี เมธีเดินสวนวิญญาณเมรินมานั่งข้างๆ ประภัสสร
“ทำใจดีๆไว้ น้องเมย์ต้องไม่เป็นอะไร”
ประภัสสรร้องไห้โฮแล้วกอดเมธีเอาไว้ เมธีกอดปลอบใจประภัสสรทั้งที่ตัวเองก็ใจไม่ดี วิญญาณเมรินยืนมองพ่อกับแม่กอดกัน
“น้องเมย์กลัวค่ะ ทำไมไม่มีใครพูดกับน้องเมย์เลย”
วิญญาณเมรินเดินคอตกไปตามทางเดิน
วิญญาณตันหยงนั่งกอดเข่าอยู่หน้าห้องฉุกเฉินที่ร่างของเธอนอนอยู่
“นี่ชั้นตายหรือยังนี่ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้”
วิญญาณเมรินเดินมายืนตรงหน้าวิญญาณตันหยงแล้วร้องไห้
“หนูเห็นน้าหรือคะ หนูน้าใช่มั้ย”
วิญญาณตันหยงจับมือวิญญาณเมรินไว้ วิญญาณตันหยงโผกอดวิญญาณเมรินไว้เหมือนเป็นที่พึ่ง
“ไม่มีใครเห็นหนูเลย”
“ไม่มีใครเห็นน้าเหมือนกันค่ะ”
“หนูกลัว คุณน้าอยู่เป็นเพื่อนน้องเมย์นะคะ”
“ไม่ต้องกลัว หนูจะไม่เป็นอะไรนะคะ” วิญญาณตันหยงนึกได้ “แล้วหนูมาจากที่ไหนคะ”
วิญญาณเมรินชี้มือไปที่หน้าห้องที่ปฐวีกำลังช่วยชีวิตตัวเอง
“งั้นน้าจะไปส่งนะคะ”
ทันใดนั้นก็มีแสงสว่างวาบขึ้นตรงหน้า ทั้งสองตกใจแล้วกอดกัน ทุกอย่างรอบตัวเป็นสีขาวไปหมดและมีลำแสงสีเงินระยับพุ่งลงมาตรงกลางพร้อมลมที่พัดปริวดูดวิญญาณเมรินขึ้นไป วิญญาณตันหยงพยายามดึงมือเธอไว้
“คุณน้าขา คุณน้า”
“จับมือไว้แน่นๆค่ะ”
ทั้งสองมีสีหน้าตื่นเต้น แล้วมือของทั้งคู่ก็ค่อยๆ หลุดออกจากกัน
เสียงปฐวีดังลั่น “น้องเมย์...น้องเมย์”
วิญญาณตันหยงหันไปมองตามเสียง แล้วมือทั้งสองก็หลุดออกจากกัน ทันใดนั้นก็เกิดแสงสีขาวสว่างวาบกระจายไปทั่วบริเวณ
ปฐวีพยายามปั๊มหัวใจเมริน
“น้องเมย์ น้ากำลังช่วยหนู หนูต้องไม่เป็นอะไรนะ”
เหตุการณ์ในอดีตย้อนกลับมา ปฐวีในวัยเด็กยืนมองหมอช่วยชีวิตแม่ของเขาที่ประสบอุบัติเหตุ
“คนไข้ไม่มีชีพจร ปั๊มหัวใจเร็วเข้า” หมอบอกพยาบาล
ปฐวีกับประภัสสรตอนเด็กยืนตะลึง โดยมีคุณหญิงย่าคอยกอดเอาไว้
ที่เหตุการณ์ปัจจุบัน ปฐวีมองไปที่เครื่องวัดอัตราการเต้นของหัวใจ กราฟหัวใจของเมรินเป็นเส้นตรง ปฐวีตกใจ เขาหันไปมองเมรินแล้วก็ถอยหลังออกไปอย่างอึ้งๆ
ปฐวีนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต หมอพูดจนจบแล้วก็เดินออก เด็กทั้งสองร้องไห้ คุณหญิงย่าร้องไห้ อย่างน่าสงสาร
ปัฐวีพยายามสลัดความคิดนั้นออกไป แล้วพยายามควบคุมสติก่อนจะเข้าไปหาเมริน
“น้องเมย์ อย่าไปนะ กลับมาหาน้าก่อน...”
ปัฐวีตัดสินใจใช้เครื่องช็อตหัวใจปั๊มหัวใจเมรินจนตัวโยน สลับกับการใช้มือปั๊ม เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ ปัฐวีก็ยังคงปั๊มหัวใจอยู่
“คุณหมอคะ ชีพจรมาแล้วค่ะ” พยาบาลบอก
ปฐวีหันไปมองที่เครื่องวัดการเต้นของหัวใจซึ่งเส้นกราฟกระตุกขึ้น แล้วเส้นกราฟก็ค่อยๆแสดงการเต้นเป็นปกติ ปฐวียิ้มเหงื่อแตกแล้วหยุดมอง เขาหลับตาลงแล้วน้ำตาก็ไหลซึมด้วยความดีใจ
“ขอบคุณสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอบคุณที่คืนน้องเมย์กลับมาให้ผม”
ปฐวีถอนหายใจด้วยความโล่งอก เจ้าหน้าที่ทุกคนในห้องโล่งใจ
กราฟการเต้นของหัวใจเมรินค่อยๆกลับมาเต้นอย่างเป็นปกติ
กราฟการเต้นของหัวใจของตันหยงเป็นเส้นตรง แล้วก็กระตุกกลับมา หนึ่งฤทัยกำลังทำCPR เพื่อช่วยชีวิตตันหยงอยู่
“ชีพจรมาแล้วค่ะ ความดันปกติ กลับมาแล้วค่ะหมอ”
หนึ่งฤทัยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทุกคนในห้องถอนหายใจเพราะโล่งอก
“ขอบคุณสวรรค์”
ตันหยงนอนหลับอยู่บนเตียง
ประภัสสรกับเมธีนั่งรออย่างวิตก ปฐวีเดินออกมาหน้าห้อง ประภัสสรรีบวิ่งเข้าไปหา
“น้องเมย์เป็นยังไงบ้างวี เมย์เป็นยังไงบ้าง”
“น้องเมย์ปลอดภัยดีแล้วครับพี่”
ประภัสสรร้องไห้โฮ เมธีถอนหายใจด้วยความโล่งอกแล้วตบบ่าปฐวีอย่างซาบซึ้ง
“ขอบใจมากวี ขอบใจมาก”
บุหงากับพินิจเดินผ่านกลุ่มปฐวีไป ปฐวีมองตามเห็นพยาบาลประจำห้องของตันหยงเดินออกมาพูดอะไรบางอย่างกับบุหงาและพินิจ
บุหงาถาม “ลูกชั้นเป็นยังไงบ้างค่ะ”
“หมอกำลังช่วยชีวิตอยู่นะคะ ใจเย็นๆก่อน” พยาบาลบอก
“ใจเย็นๆเถอะ คุณ ลูกถึงมือหมอแล้ว” พินิจบอก
“โธ่ หยงลูกแม่...”
บุหงาเป็นลมล้มพับไปอีกครั้ง พินิจรีบเข้าไปประคอง ปฐวีมองบุหงาด้วยความเห็นใจ
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 2 (ต่อ)
เมรินนอนหลับสนิทอยู่ในห้องพักฟื้น พยาบาลกำลังปรับน้ำเกลือแล้วบันทึกอาการ ประภัสสรยืนเกาะกระจกห้องมองลูกสาวทั้งน้ำตา
ปฐวียืนอยู่ด้านข้างคอยปลอบใจประภัสสร ปรงทองและแม้นวาดนั่งมองอย่างเป็นห่วง
“น้องเมย์ลูกแม่...ทำไมน้องเมย์ยังไม่ฟื้นล่ะวี” ประภัสสรถาม
“ไม่ต้องห่วงนะครับพี่ภัส ตอนนี้ทุกอย่างดูเป็นปกติแล้ว แต่ผมอยากให้ดูอาการอย่างใกล้ชิดก่อน ถ้าไม่มีปัญหาแทรกซ้อนอะไร พรุ่งนี้จะย้ายไปห้องพักปกติครับ”
“จริงนะวี วีไม่ได้พูดให้พี่สบายใจหรอกนะ”
“แน่นอนครับพี่ภัส ผมรับรอง”
แม้นวาดกับปรงทองเดินเข้ามาหา
“คุณย่าขา” ประภัสสรเรียก
ปรงทองกอดประภัสสรเพื่อปลอบใจพร้อมกับมองเมธีที่ยืนก้มหน้าอยู่
“ทำใจดีๆไว้แม่ภัส คนเป็นพ่อเป็นแม่น่ะต้องเป็นเสาหลักให้ครอบครัว หนักแน่นไว้สิลูก” ปรงทองปลอบ
ประภัสสรปาดน้ำตาแล้วแอบปรายตามองเมธี
“ภัสพยายามแล้วค่ะคุณย่า แต่น้องเมย์...”
“เอาเถอะ ๆ เรื่องมันแล้วไปแล้ว ตอนนี้เจ้าเมย์ก็ปลอดภัยแล้วไม่ใช่หรือ” ปรงทองบอก
เมธีแอบถอนหายใจ ปรงทองกับปฐวีแอบสบตากัน
“ครับคุณยา อาการตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ผมว่า ทุกคนกลับไปพักผ่อนดีกว่าครับ ทางนี้มีพยาบาลดูแลใกล้ชิด” ปฐวีบอก
เมธีกับประภัสสรพูดพร้อมกัน “พี่อยาก....”
ประภัสสรชะงักแล้วพูดต่อ “พี่อยากอยู่ดูน้องเมย์ ถึงกลับไปพี่ก็คงนอนไม่หลับหรอกวี”
“ผมจะอยู่เป็นเพื่อนคุณเอง” เมธีบอก
ปรงทองหันไปยิ้มกับปฐวี
“งั้นวีช่วยพาย่ากลับบ้านทีนะ” ปรงทองพูดกับประภัสสรและเมธี “ค่อยๆพูดค่อยๆจากัน ใจเย็นๆ นะลูก”
แม้นมาศเข้ามาประคองปรงทองแล้วเดินไป ปฐวียิ้มให้กำลังใจเมธีแล้วพูดลา
“ผมขอตัวก่อนนะครับ”
ปฐวีเดินจากไป
“คุณภัส ผมอยากคุย...” เมธีเกริ่น
“ชั้นยังไม่มีกะจิตกะใจจะคุยอะไรทั้งนั้นแหละค่ะ ....”
ประภัสสรไม่สนใจเมธี เธอจ้องมองเมรินผ่านกระจกด้วยความเศร้า เมธีถอนหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย
บุหงากับพินิจนั่งกุมมือกันสีหน้าวิตก สักพักสุดนภาก็วิ่งเข้ามาอย่างเกาะแขนบุหงาอย่างร้อนรน
“คุณแม่ขา คุณพ่อ หยงเป็นยังไงบ้างคะ”
“หยงยังไม่ฟื้นเลยบี๋ แม่ร้อนใจไปหมด ไม่รู้จะทำยังไงดี” บุหงาบอก
“หมอเค้าบอกว่า ยังไม่ได้สติ แต่ภาพรวมแล้วก็ไม่มีอะไรแตกหักเสียหาย” พินิจพูด
“โธ่ ยายหยงนะยายหยง บอกให้กลับบ้านก่อน ไม่น่าเล๊ย”
พินิจถามทันที “อ้าวหนูรู้หรือว่า หยงไปกับพิราม”
สุดนภาอึกอัก “ค่ะคุณพ่อ เห็นว่าทะเลาะกัน ตอนโทรมาหยงเค้าร้องไห้ใหญ่โตเลย”
พินิจกับบุหงามองหน้ากัน
“อะไรกัน เค้านัดจะไปทานข้าวด้วยกัน หรือจะมีปากเสียงกัน” บุหงาสงสัย
“นั่นสิคะ ปกติหยงไม่ใช่คนไม่มี บี๋พยายามติดต่อพิรามก็ติดต่อไม่ได้” สุดนภาบอก
“อะไรกันนี่ แม่ไม่อยากจะเชื่อเลย”
บุหงามองหน้าพินิจอย่างไม่เข้าใจ สุดนภาถอนหายใจด้วยความหนักใจ
เช้าวันใหม่ สภาพการจราจรในกรุงเทพฯ เต็มไปด้วยรถรา
ประภัสสรนั่งพิงไหล่เมธีหลับอย่างอ่อนเพลียอยู่หน้าห้องไอซียู เมธีลืมตาตื่นขึ้นเห็นประภัสสรพิงไหล่อยู่ก็มองนิ่งไม่กล้าขยับตัวเพราะกลัวประภัสสรตื่น ปฐวีเดินเข้ามาหา
“พี่เมธี พี่ภัส นี่ไม่ได้นอนเลยหรือครับ”
ประภัสสรรู้สึกตัวตื่นแล้วลุกขึ้นหันไปมองเมธีอย่างงงๆ
“อ้าววี มาแต่เช้าเลยหรือ”
“ครับพี่ภัส ผมสั่งให้ย้ายน้องเมย์ขึ้นไปห้องพักแล้ว พี่ภัสไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ ผมว่าพี่เมธีพาพี่ภัสกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”
“แต่พี่...”
“เชื่อผมสิครับพี่ภัส ตอนนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว บ่ายๆค่อยมาดีกว่าครับ”
“ก็ดีเหมือนกันนะ” เมธีเห็นด้วย “คุณไม่ได้ไม่ได้นอนทั้งคืน เพิ่งงีบหลับไปก่อนวีมาแป๊บเดียว ไปเถอะคุณภัส”
ประภัสสรลังเล
“ก็ได้ มีอะไรวีต้องรีบบอกพี่นะ”
“ครับ พี่กับพี่วีกลับเถอะครับ” ปฐวีบอก
ประภัสสรกับเมธีเดินไป ปฐวีมองตามด้วยความโล่งอก
รสิกาวิ่งเข้ามารายงาน
“คุณหมอวีคะ น้องเมย์ฟื้นแล้วค่ะ”
“ฟื้นแล้วหรือ”
ปฐวีรีบวิ่งไปทันที
เมรินมองไปรอบๆ ตัวอย่างงงๆ
“นี่มันที่ไหนเนี่ย”
“ที่โรงพยาบาลไงคะ น้องเมย์” พยาบาลบอก
เมรินทำหน้างง
ปฐวีกับรสิกาวิ่งเข้ามาในห้อง ปฐวีก้มลงมามองใกล้ๆ เมรินรีบผลักปฐวีออก
“คุณเป็นใคร....” เมรินถาม
ปฐวีชะงักมองเมรินด้วยความงง
“นี่น้าเองนะ น้องเมย์จำน้าไม่ได้หรือ”
ปฐวียื่นหน้ามาใกล้ๆเมริน เมรินจะผลักเขาออกไปอีกแต่ก็ไม่ไหวเพราะปวดหัวมาก
“โอ๊ย..ปวดหัวจังเลย ทำไมปวดแบบนี้ล่ะ หรือเพราะดื่มเหล้าเมื่อคืน”
ปฐวีกับทุกคนหันมามองหน้ากันด้วยความงง
“ดื่มเหล้าอะไรกัน น้องเมย์เป็นเด็กจะดื่มเหล้าได้ยังไง เมื่อคืนน้องเมย์ตกบันได จำได้ไม๊ครับ” ปฐวีบอก
เมรินมองงงๆ “ผู้ชายคนนี้หน้าคุ้นๆ แล้วทำไมถึงเรียกเราว่าน้องเมย์นะ” เมรินหันมองทุกคน “เมื่อคืน อุบัติเหตุ นี่เราคงจะอยู่โรงพยาบาลสินะ”
เมรินเอามือปิดปากด้วยความตกใจแล้วมองมือตัวเอง เธอสะดุ้งเพราะเห็นนิ้วสั้นๆ ป้อมๆ
“อะไรกันนี่ ทำไมนิ้วชั้นสั้นขนาดนี้”
เมรินชะงักก่อนจะดึงคอเสื้อมองหน้าอกตัวเอง เธอลุกพรวดพราดขึ้นมานั่งบนเตียง ปฐวียืนมองงงๆ
“อะไรคะน้องเมย์”
“น้องเมย์ไหน พูดเรื่องอะไรกัน แล้วนี่พวกคุณเป็นใคร”
“น้าวีไงคะน้องเมย์ จำไม่ได้หรือ ปวดหัวใช่มั้ยคะ”
ปฐวีเข้ามาชิดจับหัวเมรินเพื่อจะตรวจ เมรินผลักเขาออกไป
“ออกไป ..อย่ามาโดนตัวชั้นนะ”
“น้องเมย์ ทำไมทำแบบนี้”
“อะไรกัน ชั้นไม่ใช่น้องเมย์นะ ทำไมทั้งร่างทั้งเสียงชั้น”
เมรินไม่ฟังเสียง เธอพยายามจะตะกายลงจากเตียง
“อะไรกันนี่...ทำไมเตียงมันถึงสูงแบบนี้”
เมรินหล่นตุบลงไปกับพื้นแล้วตะเกียกตะกายไปที่ห้องน้ำ รสิกากับยมนายืนงง ปฐวีรีบตามไปขวางไว้
“น้องเมย์ น้องเมย์จะทำอะไรคะ”
เมรินเอื้อมไปเปิดประตูห้องน้ำ แต่ก็ไม่ถึง
เมรินมองหน้าปฐวี “เปิดประตูห้องน้ำให้ชั้นหน่อย”
ปฐวีสังเกตและเปิดประตูห้องน้ำให้ เมรินวิ่งพรวดเข้าไป
เมรินพรวดพราดมายืนในห้องน้ำแต่ส่องกระจกไม่ถึง
เมรินตะโกน “เอาเก้าอี้มาให้ชั้นที”
รริกาเอาเก้าอี้ส่งให้ปัฐวี ปัฐวีวางเก้าอี้หน้ากระจกแล้วอุ้มเมรินขึ้นไปยืนส่องกระจก เมรินมองด้วยสายตาขอบคุณแล้วค่อยๆหันมองไปที่กระจก เมรินตกใจที่เห็นหน้าตัวเอง
“อะไรกันนี่”
เมรินค่อยๆหันมองตัวเองอีกครั้ง แต่ภาพสะท้อนในกระจกยังคงเป็นหน้าเมรินเหมือนเดิม เธอตกตะลึง
เธอนึกถึงตอนที่ตันหยงเกิดอุบัติเหตุ
นึกถึงเหตุการณ์ที่หน้าห้องช่วยชีวิต ตันหยงกับเมรินกอดกัน เมรินถูกดึงตัวลอยไปคนละทางกับตันหยง
ตันหยงในร่างของเมรินตะลึง
“เด็กคนนั้น...เป็นไปไม่ได้ เราฝันไป” ตันหยงในร่างเมรินหันไปมองกระจก
ปฐวีเดินมายืนซ้อนหลังแล้วมองในกระจก ตันหยงเห็นเป็นภาพเมรินกับปฐวีในกระจก
แล้วตันหยงก็ล้มพับไปในอ้อมแขนของปฐวี
“น้องเมย์...”
พิรามเดินไปเดินมาด้วยความหงุดหงิดอยู่ภายในห้องทำงาน เขาหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาโทร.หาตันหยงแต่ก็ไม่ติด
“ปิดถือถือทำไมก็ไม่รู้”
พิรามกดต่อโทรศัพท์ไปที่บ้านตันหยง
“ขอสายคุณตันหยงหน่อย ...” พอได้ฟังพิรามก็ตะลึง “อะไรนะ ...”
พิรามกดวางสายโทรศัพท์แล้วนั่งกุมหัวเครียด
“โธ่ หยง ไม่น่าเลย เพราะผมแท้ๆ”
พิรามลุกขึ้นปิดแฟ้มแล้วจะเดินออกไป แต่พัดชาถือแฟ้มเข้ามาเห็นท่าทางรีบร้อนของพิรามก็ถามขึ้น
“คุณจะไปไหน”
“ผมจะไปหาตันหยง ตอนนี้เค้าอยู่โรงพยาบาล”
พัดชาอึ้ง “อะไรกัน คุณตันหยงเป็นอะไรไป ถึงต้องไปโรงพยาบาล”
“รถคว่ำ บอกไว้ก่อน ถ้าตันหยงเป็นอะไรไป ผมจะไม่มีวันอภัยคุณ”
“เดี๋ยวก่อน ชั้นไปด้วย”
พิรามตวาด “ไม่ต้อง เลิกยุ่งกับชีวิตผมซะที”
พิรามออกไปทันที พัดชาตะลึง
ตันหยงในร่างเมรินนั่งอยู่บนเตียง โดยมีปฐวีนั่งจ้องหน้าเธออยู่
“เป็นยังไงบ้างน้องเมย์ หายปวดหัวหรือยัง”
ตันหยงที่นั่งอยู่บนเตียงอ้าปากจะพูด ทันใดนั้นประตูห้องก็เปิดพรวด แล้วประภัสสรวิ่งเข้ามากอดตันหยงในร่างเมรินไว้
“น้องเมย์ลูกแม่”
ตันหยงอ้าปากค้าง เมธีเดินเข้ามากอดตันหยงอีกคน ตันหยงขยับตัวด้วยความอึดอัด
“ชั้น เอ๊ย เมย์ปวดหัวจังเลยค่ะ” ตันหยงสวมรอบเป็นเมริน
“ปวดหัวหรือลูก นอนพักก่อน”
ตันหยงยิ้มแหย “ไม่ต้องนอนหรอกค่ะ ขอนั่งดีกว่า”
ประภัสสรรีบขยับปรับให้ลูกสาวนั่งสบายๆ ตันหยงนั่งมองคนในห้องไล่ไปทีละคน
ตันหยงคิดในใจ “ใครกันบ้างล่ะเนี่ย.....ไม่รู้จัก ไม่เคยเห็น”
พอมองไล่มาถึงหน้าปฐวี ตันหยงก็ชะงัก
“คนนี้หน้าคุ้นๆ แต่จำไม่ได้ว่าเคยเห็นที่ไหนน๊า” ตันหยงคิดในใจ
พอไล่ไปถึงหน้าคุณหญิงปรงทอง ตันหยงก็เปรยออกมา
“คนนี้รู้จักนี่..”
ทุกคนทำท่าโล่งอก ตันหยงเคยเห็นคุณหญิงปรงค์ทองจากในหนังสือ
ปรงทองหน้าเสีย “เจ้าเมย์เอ๊ย....ทำไมพูดจากประหลาดแบบนั้นล่ะลูก นี่ย่าทวดไง”
“ผมคงต้องตรวจอีกรอบ อาจจะกระทบกระเทือนตอนตกบันได” ปฐวีบอก
ตันหยงรีบปฏิเสธ “ไม่เอานะ ....”
สายแก้วเอาตุ๊กตาตัวโปรดของเมรินมาให้
“น้องเมย์คะ น้องหมีมาเยี่ยมค่ะ น้องหมีคิดถึงน้องเมย์ม๊าก...มาก”
ตันหยงจามออกมาถึงสองครั้งติด “ชั้นไม่ชอบขนตุ๊กตา”
ทุกคนมองหน้าเมรินอย่างไม่สบายใจ ตันหยงในร่างเมริน ยกมือขึ้นมาเท้าคางมองทุกคนนิ่งอย่างใช้ความคิด
[ต่อจากตอนที่แล้ว]
ปฐวียืนดูภาพเอ็กซเรย์กะโหลกศีรษะของเมริน
“สมองบอบช้ำนิดหน่อย แต่โดยรวม ถือว่าอยู่ในขึ้นเล็กน้อยครับ” ปฐวีบอก
“แต่ท่าทางของน้องเมย์ดูแปลกๆ ไปนะวี พี่เป็นห่วง” ประภัสสรกังวล
“อาจเป็นอาการของสมองกระทบกระเทือน หรือเกิดการกระแทกรุนแรงนะครับพี่ภัส ความจำอาจลบเลือน หรือสับสนไปบ้าง แล้วอาการก็จะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ”
“วีแน่ใจนะ ว่าน้องเมย์ไม่เป็นอะไร” เมธีถามย้ำ
“ครับ แต่เพื่อความสบายใจของทุกคน ผมจะตรวจน้องเมย์ละเอียดอีกครั้ง แต่คงต้องรอให้ร่างกายน้องเมย์แข็งแรงดีก่อน”
ประภัสสรหน้าเสีย ปรงทองปลอบใจ
“ไม่เอาน่าแม่ภัส อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิ ตาวีก็บอกแล้ว ยายเมย์แข็งแรงดี”
“แต่ยายเมย์ดูประหลาดๆ นะคะคุณย่า พูดจาแปลกไป” ประภัสสรบอก
“มองในแง่ดีสิครับพี่สร น้องเมย์พูดจาชัดเจนขึ้นตั้งเยอะ” ปฐวีพูด
“จริงของวีนะ คุณอย่าเพิ่งวิตกเลยนะ”
ประภัสสรมองเมธี “คุณก็พูดได้สิ คุณไม่ได้อยู่บ้านเลี้ยงลูกทุกวัน จะไปรู้สึกอะไรกับความผิดปกติของลูก...”
เมธีถอนหายใจด้วยความเซ็ง ปฐวีกับปรงทองมองหน้ากัน
“แล้วนี่ เจ้าเมย์จะกลับบ้านได้เมื่อไหร่ล่ะ ตาวี” ปรงทองถาม
“ขอผมตรวจร่างกายน้องเมย์อีกครั้ง ถ้าไม่มีอะไร อีกไม่กี่วันก็คงกลับบ้านได้ครับคุณย่า”
ทุกคนทำท่าโล่งอก เมธีแอบมองหน้าประภัสสรแต่ประภัสสรเมินหน้าหนี
ตันหยงที่มาอยู่ในห้องเมรินวิตกกังวล
“นี่ชั้นจะทำไงดี ทำยังไงดีนะ”
เสียงสายแก้วดังขึ้น “ไม่เห็นต้องทำอะไรเลยนี่คะ”
“น้องเมย์ก็เหมือนเดิมทุกอย่าง” สายแก้วบอก
“เหมือนเดิมยังไงล่ะ ชั้นกลายเป็นเด็กแล้วไม่เห็นหรือ” ตันหยงบอก
สายแก้วผวา “คุณเมย์ ไม่เอานะ พูดเหมือนไม่ใช่คุณเมย์ พี่สายแก้วกลัวนะ”
“ก็ไม่ใช่น่ะสิ”
ตันหยงชะงักมองในกระจกก็เห็นเงาสะท้อนเมรินมองตอบกลับมา ตันหยงถอนหายใจแล้วนิ่งคิด
“ทำไงดี ทำไงดี”
ตันหยงนิ่งคิดหาวิธีแล้วก็คิดออก
“น้องเมย์ชักหิวแล้วนะ เอ่อ..สายแก้วใช่มั้ย” ตันหยงถาม
“อะไรกัน น้องเมย์จำพี่สายแก้วไม่ได้หรือคะ ชักน้อยใจแล้วนะ”
“เมย์ล้อเล่นค่ะ พี่สายแก้วจ๋า เมย์หิวจังเลย หาอะไรให้เมย์ทานหน่อยได้มั้ยคะ”
“ได้เลยค่ะ อย่างนี้ค่อยชื่นใจหน่อย แล้วคุณเมย์อยากทานอะไรดี โจ๊กดีมั้ยคะ”
ตันหยงส่ายหัวดิก “ไม่เอา เมย์ไม่ชอบกินโจ๊ก ขอเป็นแซนวิช หรืออะไรก็ได้”
“ไม่ชอบโจ๊กหรือ แล้วก็ไม่บอก เห็นทานอยู่ทุกวันไม่บ่น”
ตันหยงหน้าเหรอหรา “กินทุกวันมันเบื่อแล้ว อยากเปลี่ยนมั่ง”
สายแก้วมองเมรินอย่างเป็นห่วง
“คุณเมย์อยู่คนเดียวได้หรือคะ ไม่เป็นไรแน่นะ”
“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกน่า ไปเหอะ หิวไส้จะขาดแล้ว”
สายแก้วเดินไป ตันหยงมองสายแก้วจนลับตาแล้วรีบเดินไปจะหยิบโทรศัพท์ แต่โทรศัพท์อยู่สูงเกินไป
“โธ่เอ๊ย..กรรมของชั้น”
ตันหยงมองซ้ายมองขวาก่อนจะเดินไปลากเก้าอี้มาปีนขึ้นหยิบแล้วกดโทรศัพท์
“ยายบี๋ ทำไมไม่รับนะ ...อ๊ะ..บี๋ นี่เราเองนะตันหยง”
ตันหยงนอนคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียง สุดนภารับโทรศัพท์
“นี่หนูจะบ้าหรือ เป็นเด็กเป็นเล็กเล่นโทรศัพท์แบบนี้ เดี๋ยวฟ้องแม่หรอก”
สุดนภาพวางหูโทรศัพท์อย่างอารมณ์เสีย บุหงามองสุดนภาด้วยความแปลกใจ
“ใครโทรมาหรือบี๋” บุหงาถาม
“อ๋อ โทร.ผิดน่ะค่ะคุณแม่ พวกโรคจิต”
บุหงาหันไปลูบหน้าตันหยงด้วยความเป็นห่วง
“เมื่อไหร่หยงจะฟื้นกลับมาเหมือนเดิมล่ะลูก”
สุดนภามองบุหงาอย่างสงสาร เสียงโทรศัพท์ของสุดนภาดังขึ้นอีก สุดนภากดรับแล้วด่าซ้ำ
“ว่างนักหรือ...คนกำลังทุกข์กำลังเศร้า เด็กบ้าเอ๊ย”
ตันหยงฟังโทรศัพท์หน้าจ๋อย ค่อยๆ วางโทรศัพท์ลงแล้วนั่งหมดแรง
“ขนาดยายบี๋เป็นเพื่อนสนิท ยังไม่ฟังเลย แล้วใครจะเชื่อชั้นล่ะนี่ ป่านนี้คุณแม่กับคุณพ่อจะเป็นยังไงบ้างนะ”
ตันหยงทำท่าจะโทรออกแต่แล้วก็ถอนหายใจแล้ววางสายลง
สายแก้วถือถาดขนมเดินเข้ามาเห็นเมรินกำลังปีนบนโต๊ะอยู่ สายแก้วรีบเข้ามาอุ้ม
“ตายจริง ทีหลังห้ามปีนแบบนี้อีกนะคะ เดี๋ยวก็ตกลงมาอีกหรอกค่ะคุณน้องเมย์”
สายแก้วประคองเมรินไปนั่งที่เตียงแล้วทำท่าจะป้อนแซนวิชให้ แต่ตันหยงปฏิเสธ
“ไม่ต้องหรอก ชั้นกินเองได้”
“ไม่ได้หรอกค่ะ คุณเมย์ยังเด็กทานลำบาก พี่สายแก้วป้อนให้ดีกว่านะ”
ตันหยงเสียงแข็ง “ไม่ต้อง ชั้นไม่ใช่เด็กแล้ว”
สายแก้วชะงักก่อนจะส่งจานขนมให้เมริน ตันหยงรับมากินอย่างเซ็งๆ
หนึ่งฤทัยตรวจดูอาการของร่างตันหยงในห้องไอซียู บุหงา พินิจและสุดนภายืนฟังอยู่
“หมอตรวจดูฟีลม์เอ็กเรย์อย่างละเอียดแล้ว สมองไม่มีความเสียหายนะคะ มีแค่บาดแผลภายนอกเท่านั้น”
“แล้วทำไมลูกดิชั้นยังไม่ยอมฟื้นล่ะคะคุณหมอ” บุหงาถาม
“อันนี้หมอก็จนใจค่ะ ไม่ทราบสาเหตุจริงๆ ครับ คนไข้อาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นอีกระยะหนึ่ง”
“หมายความว่า ยายหยงอาจจะเป็นเจ้าหญิงนิทราใช่มั้ยค่ะ” สุดนภาถาม
หนึ่งฤทัยนิ่งไม่ตอบ
“โธ่หยงลูกแม่ เวรกรรมอะไรก็ไม่รู้”
“แต่หมอจะพยายามดูแลเต็มที่นะคะ อาจต้องใช้เวลาบ้างคุณแม่ใจเย็นก่อนนะคะ”
หนึ่งฤทัยกับพยาบาลยมนาเดินออกไป
“คุณแม่คะ อย่าเพิ่งวิตกไปนะคะ หมอสมัยนี้เก่งๆ ทั้งนั้น” สุดนภาปลอบใจ
“ถ้าหยงไม่ฟื้นล่ะ เราจะทำยังไงกันดีล่ะบี๋ จะทำยังไง”
พิรามเปิดประตูพรวดพราดเข้ามาแล้วตรงไปที่ตันหยง
“หยง โธ่ หยงเป็นยังไงบ้าง”
“ยังมีหน้ามาที่นี่อีกหรือ อย่าจับตัวเพื่อนชั้นนะ พิราม” สุดนภาว่า
พิรามชะงัก บุหงางงกับท่าทางของสุดนภา
“อะไรกันลูก บี๋ พิราม”
สุดนภาอึกอัก “ตอนนี้หยงยังไม่รู้สึกตัวหรอก คุณทำไมเพิ่งทราบเอาป่านนี้”
พิรามอึกอักและไม่กล้าสบตาสุดนภา
“พอดีผมติดธุระ เลยมาช้าไปหน่อย” พิรามบอก
“งั้นหรือ ธุระอะไร”
เสียงโทรศัพท์ของพิรามดังขึ้น พิรามหยิบขึ้นมาดูเห็นเป็นชื่อพัดชาก็ถอนหายใจเบื่อหน่ายแล้วกดปิด สุดนภามองแล้วยิ้มเยาะ
“ชั้นว่า วันนี้คุณกลับไปก่อนดีกว่า ถ้าพร้อมจะดูแลตันหยงเมื่อไหร่คุณค่อยกลับมา”
พิรามอึ้ง เขามองหน้าสุดนภากับบุหงาอย่างสำนึกผิด
“แม่คะ เดี๋ยวบี๋ไปส่งคุณพิรามก่อนนะคะ”
สุดนภามองหน้าพิรามเป็นเชิงบังคับให้พิรามตามไป พิรามยกมือไหว้บุหงาแล้วเดินคอตกออกไป บุหงารับไหว้พิรามอย่างงงๆ
“มันอะไรกันนี่”
สุดนภาเดินออกมาจากห้อง พิรามเดินตามมา สุดนภาหันไปเล่นงานทันที
“คุณไม่รู้จริงๆหรือว่า ที่หยงเป็นแบบนี้เพราะอะไร”
พิรามอ้ำอึ้ง “...ผม...”
“เมื่อคืนนี้หยงโทรหาชั้น”
สุดนภานึกถึงตอนที่ตันหยงโทรหาเธอแล้วร้องไห้
“...ชั้นเลิกกับพิรามแล้ว...” เสียงตันหยงดังก้อง
สุดนภาโมโห
“เค้าไปหาคุณที่คอนโด จากนั้นก็เกิดเรื่องนี้ คุณพอจะบอกชั้นได้หรือยังว่าเกิดอะไรขึ้น”
พิรามอ้ำอึ้ง “ผม..”
“บอกมาสิ..ว่าเกิดอะไรขึ้น”
ประตูลิฟต์เปิดออก พัดชาวิ่งออกมาจากลิฟต์พอเห็นพิราม พัดชารีบวิ่งมาเกาะแขน
“คุณพิราม”
“คุณมาทำไม ผมบอกแล้วไงว่าอย่ายุ่ง” พิรามว่า
“พัดจะไม่ยุ่งได้ยังไง ก็พัดเป็นเมียคุณนี่นา”
พัดชาชะงักเมื่อเห็นสุดนภายืนมองอยู่
“ไม่อยากเชื่อเลย ว่าคุณจะเลือกแม่นี่ เลวจริงๆ” สุดนภาว่า
“คุณบี๋ มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิด”
“พอเถอะ ชั้นไม่สนใจหรอก แต่ถ้าคุณยังมีความเป็นคนหลงเหลืออยู่ละก็ อย่ามาให้ครอบครัวหยงเห็นหน้าอีก” สุดนภาพูดกับพัดชา “ผู้หญิงไร้ศักดิศรี ไม่มียางอาย เป็นได้ก็แค่ทางผ่าน”
สุดนภาเดินไป พัดชาอึ้งแล้วจะตามไปเอาเรื่องสุดนภา
“นี่แกว่าใคร”
พิรามตวาด “เห็นมั้ย...เรื่องมันบานปลายไปใหญ่แล้ว”
พิรามเดินเข้าลิฟต์ พัดชารีบตามไป
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ปฐวีกับนาวินเดินเข้ามาในห้องของเมริน นาวินถือหุ่นยนต์ตัวใหญ่มาเป็นของเยี่ยมไข้
“เป็นไงบ้างเด็กน้อย ดีขึ้นหรือยัง” นาวินถาม
ตันหยงมองหุ่นยนต์อย่างงงๆ ปฐวีมองหุ่นยนต์แล้วส่ายหน้า
“ทีหลังไม่ต้องเอาของมาเยี่ยมก็ได้ จะได้ไม่ลำบาก” ปฐวีบอก
“ไม่เป็นไรค่ะ เมย์ชอบ ยังไงก็ดีกว่าตุ๊กตาขนฟู” ตันหยงบอก
“เห็นมั้ย...หลานชอบ บอกแล้วไง ชั้นเป็นผู้บริหารโรงเรียนอนุบาล ต้องเข้าใจเด็กอยู่แล้ว”
ตันหยงแอบทำหน้าเบื่อหน่าย
“ชั้นต้องขอโทษนายด้วยนะเว้ยวี..ที่ดึงตัวนายไว้เมื่อคืน” นาวินบอก
“ช่างเหอะ ไม่เกี่ยวกันหรอก เออ นายจำผู้หญิงเมื่อคืนที่เราเจอที่โรงแรมได้มั้ย” ปฐซีถาม
นาวินนึก “อ๋อจำได้สิ สวยๆ แต่มารยาทไม่ดีใช่มั้ย ทำไมจะจำไม่ได้”
“ใช่ ชั้นเจอเธอไปดื่มเหล้าที่คลับด้วยนะ เล่นว้อดก้าไปตั้งหลายช๊อต”
ตันหยงสะดุ้ง เงี่ยหูฟัง
“เฮ้ย อย่าบอกนะ ว่านายแอบตามหล่อนไป”
“ไอ้บ้า มีคนพยายามจะลวนลามเธอต่างหาก ชั้นพยายามจะช่วยแต่หล่อนก็ขับรถหายไปก่อน เป็นไงบ้างก็ไม่รู้เมาเละเทะขนาดนั้น”
“แล้วทำไมนายไม่ขับรถตามไปล่ะ” นาวินถาม
“พอดีเกิดเรื่องน้องเมย์ซะก่อนน่ะสิ”
ตันหยงนึกถึงตอนที่เธอขับรถเกือบชนปฐวีและนาวิน
นึกถึงตอนที่เธอเมา แล้วปฐวีเข้าไปช่วยประคองที่หน้ารถ
ตันหยงตื่นเต้น “คุณสองคนนั้นเอง” ตันหยงชี้ตัวเอง “ชั้นคือผู้หญิงคนนั้นไงล่ะ”
นาวินกับปฐวีมองหน้ากัน แล้วหันไปมองหน้าเมริน
“น้องเมย์ เหลวไหลใหญ่แล้ว เรื่องของผู้ใหญ่ เด็กๆไม่ควรแอบฟัง” ปฐวีว่า
“ไม่ใช่นะ ชั้นคือผู้หญิงคนนั้นจริงๆ”
ตันหยงชี้หน้าตัวเอง ปฐวีส่ายหน้า
“ไม่น่ารักเลยรู้มั้ย”
ปฐวีทำท่าดุใส่ตันหยง ตันหยงทำหน้าเซ็ง
นาวินกระซิบปฐวี “อย่าไปดุแกเลย แกคงอยากเรียกร้องความสนใจน่ะ” นาวินพูดกับเมริน “น้องเมย์ น้าขอตัวน้าวีแป๊บนึงนะคะ..”
ปฐวีกับนาวินเดินออกไปจากห้อง
ตันหยงบ่น “โธ่เอ๊ย...ชั้นอยากจะบ้าตาย ทำไมไม่มีใครเชื่อชั้นบ้างเลย”
ตันหยงทุบเตียงแล้วหงายตัวลงนอนอย่างขัดใจ
นาวินกับปฐวีเดินออกมาจากห้อง
“น้องเมย์นี่ประหลาดจัง ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาพูดจาแปลกๆ ชั้นชักวิตกแล้วสิ” ปฐวีบอก
“ชั้นก็ไม่เห็นหลานแกเป็นอะไรนี่หว่า ดูปกติดี พูดจาแก่แดดแก่ลมไปหน่อย แต่เด็กสมัยนี้ก็แบบนี้ทั้งนั้นแหละ”
ปฐวียังคงวิตก เสียงโทรศัพท์ดัง ปฐวีกดรับ
“ครับ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ปฐวีพูดกับนาวิน “โทษที มีเคสด่วน”
“เออ ไปเหอะ...ไว้เจอกัน”
ปฐวีเดินไป นาวินเดินไปอีกทาง
สุดนภาเดินเข้ามา พอเห็นนาวิน สุดนภาก็สะดุ้งเฮือกรีบเลี้ยวขวับลงนั่งแล้วคว้าหนังสือขึ้นมาปิดหน้า นาวินเห็นพอดีจึงทำท่าเจ้าเล่ห์แล้วเดินมามองสุดนภา สุดนภากำลังอ่านหนังสือกลับหัว นาวินดึงหนังสือลง สุดนภายิ้มเซ็งๆ
“โลกแคบ” สุดนภาว่า
“นี่คุณ มาเพ่นพ่านแถวนี้น่ะ ส่งใบลาหรือยัง” นาวินถาม
“ชั้นโทรไปลาแล้วนะคะ”
“ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้ล่ะ”
“รีบกลับไปไปรับเรื่องสิคะ”
“บอกไว้ก่อนนะ ถึงครอบครัวคุณจะมีหุ้นในโรงเรียนก็เหอะ คุณควรทำตัวให้เป็นตัวอย่างกับเพื่อนร่วมงานบ้าง”
“เชอะ แล้วคุณล่ะคะ ท่านผู้อำนวยการ เดินกรายไปกรายมา ถึงเวลากลับก่อน อย่างนี้เป็นตัวอย่างหรือเปล่าเนี่ย”
“แต่ผมเป็นผู้บริหาร จะเข้าออกตอนไหนก็ย่อมได้”
สุดนภาถอนหายใจ “โอเคชั้นยอมแพ้ ขอตัวก่อน ชั้นจะไปดูเพื่อน เพื่อนชั้นรถคว่ำเมื่อคืนนี้”
“คิดว่ามุกขอตัวแบบนี้ผมจะหลงเชื่อหรือ”
“ไม่เชื่อก็ตามใจ อยากจะตามมาดูก็เชิญ” สุดนภาแอบบ่น “ประสาท จะวุ่นวายไปไหนเนี่ย”
สุดนภาเดินไป นาวินมองตามแล้วยิ้มแบบคิดว่าตัวเองหล่อ
“คิดว่าไม่กล้าหรือ ผู้หญิงท้า แสดงว่าผู้หญิงมีใจ”
นาวินเดินตามเข้าไป
สุดนภาเปิดประตูเข้ามาในห้องตันหยง โดยมีนาวินเดินตามเข้ามาติดๆ สุดนภาทำหน้าเหม็นเบื่อ
“ไม่อยากจะเชื่อ คนแบบนี้ก็มีด้วย”
“บ่นอะไร คุณเชิญผมมาเองไม่ใช่หรือ” นาวินว่า
นาวินเดินเข้าไปก็เห็นตันหยงนอนอยู่บนเตียง นาวินชะงักแล้วนึกย้อนไป
ภาพเหตุการณ์ตอนที่ตันหยงขับรถเข้ามาเกือบชน นาวินกับปฐวี แล้ววิ่งน้ำตานองหน้าผ่านไปย้อนกลับมา
“นี่มัน...”
“นี่เพื่อนชั้นเอง ทีนี้คุณเชื่อหรือยัง” สุดนภาถาม
“เมื่อวานนี้เพื่อนคุณเกือบจะขับรถชนผมที่โรงแรม” นาวินบอก
สุดนภามองหน้านาวินอย่างตกตะลึง
“อะไรนะ นี่คุณเจอหยงหรือ อ้าว แล้วทำไมไม่จับตัวไว้ก่อน”
“อ้าว...ผมจะไปรู้มั้ยล่ะ ขืนไปจับตัวเค้า มิข่วนผมหรอกหรือ”
“บ้า คุณว่าเพื่อนชั้นเป็นแมวหรือ”
“เพื่อนคุณก็คงเหมือนคุณนั่นแหละ เจอกันทีไรคุณข่วนผมตลอดเลย”
“คนใจดำ ใจร้าย เพราะคุณ เพราะคุณ ถ้าคุณดึงตัวหยงไว้ คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้หรอก” สุดนภาเบะจะร้องไห้
“โอโห .คุณนี่มันสุดยอดเลย หาเรื่องคนอื่นได้ตลอด....”
นาวินกับสุดนภามองหน้ากันแล้วเชิดใส่กัน
นาวินวิ่งผ่านหน้าโต๊ะจริณทิพย์จะบุกเข้าไปในห้องปฐวี จริณทิพย์รีบมาขวางไว้
“คุณวีไม่อยู่ค่ะ มีผ่าตัด”
“อะไรกัน ไม่อยู่หรือ มีเรื่องสำคัญซะด้วย”
“ฝากดิชั้นไว้ก็ได้ค่ะ เรื่องอะไรคะ”
จริณทิพย์คว้าสมุดขึ้นมาทำท่าจด
“ไม่ได้ เรื่องสำคัญมาก เป็นความลับด้วย”
จริณทิพย์จดแล้วนึกได้
“มีเรื่องอะไรสำคัญขนาดเลขาคนสนิทอย่างจริณทิพย์ไม่สามารถรับทราบได้ค่ะเนี่ย”
“เรื่องแบบส่วนตั๊ว...ส่วนตัวมากเลยครับ ผมไปก่อนดีกว่า แล้วผมจะโทรหาเจ้าวีเอง”
นาวินเดินไป จริณทิพย์มองตามแล้วสะอื้น
“ใช่สิ จะเรื่องอะไร้ ส่วนตั๊ว ส่วนตัวแบบนี้ ถ้าไม่ใช่เรื่องอย่างงั้น เฮ้อ..ทำไมผู้ชายแท้ๆมันหายากหาเย็นแบบนี้”
ตันหยงกำลังนั่งกินโจ๊กที่ประภัสสรเตรียมมาให้ ตันหยงกินไปสองคำก็วางช้อน
“ไม่อร่อยหรือลูก โจ๊กของโปรดของหนูนี่นา”
“ไม่ชอบทานโจ๊กค่ะ มันเละๆแหยะๆยังไงก็ไม่รู้”
ประภัสสรกับสายแก้วมองหน้ากันอย่างแปลกใจ เมธีขยับเข้าไปหาลูก
“น้องเมย์คะ พ่อต้องไปดูงานที่ต่างจังหวัด สองสามวันนะลูก หนูอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ค่ะ อยากได้ลิปมัน แล้วก็โฟมล้างหน้า แปรง....”
เมธีมองหน้าเมรินแบบงงๆ
“จะเอาไปทำไมคะ ลิปสติก โฟมล้างหน้า” ประภัสสรถาม
ตันหยงชะงัก “อ๋อ..เมย์พูดเล่นน่ะคะ”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างโล่งใจ เมรินแอบถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย ประภัสสรลุกขึ้นแล้วเซ เมธีเข้ามาประคองไว้
“ภัส เป็นอะไรหรือเปล่าหน้าซีดเชียว”
ประภัสสรเบี่ยงตัวหลบ “ภัสไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ คุณรีบไปทำงานเถอะ ไม่ต้องห่วงยายเมย์หรอก ภัสดูแลได้”
“เดี๋ยวสายแก้วดูเองค่ะ คุณผู้หญิงไปพักผ่อนที่บ้านดีกว่า” สายแก้วบอก
“ไม่ต้องเลย” ตันหยงชี้สายแก้ว “คุณแม่กลับไปพักเถอะนะคะ เมย์อยู่คนเดียวได้”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างงงๆ ปฐวีที่ยืนอยู่รับอาสา
“นั่นน่ะสิ กลับบ้านกันเถอะครับ วันนี้ผมขออาสาเฝ้าน้องเมย์เอง”
“ให้พี่อยู่ดีกว่า” ประภัสสรบอก
“ไม่ต้องหรอกครับพี่สร ผมอยู่เอง พรุ่งนี้มีผ่าตัดเช้าด้วย”
ประภัสสรละล้าละลัง
“เมย์อยู่กับน้าวีก็ได้ คุณพ่อไปส่งคุณแม่นะคะ บ๊ายบาย”
ตันหยงโบกมือบ๊ายบายทันที ทุกคนมองเมรินด้วยความแปลกใจ
ประภัสสร เมธี ปฐวี และสายแก้วเดินออกมาจากห้อง ประภัสสรยังห่วงเมริน
“วี พี่รู้สึกว่าน้องเมย์ดูแปลกๆ ไปนะ แปลกยังไงพี่ก็บอกไม่ถูก ดูกล้าขึ้น พูดจาฉาดฉานขึ้น”
“พี่สรอย่าวิตกไปเลยครับ ผมเพิ่งคุยกับเพื่อน เค้าบอกว่าเป็นธรรมดาของเด็กสมัยนี้”
“ใช่ แต่ผมก็ชอบนะ ลูกดูมั่นใจมากขึ้น” เมธีบอก
“แต่พี่ยังอดห่วงไม่ได้อยู่ดี”
“วางใจเถอะครับพี่สร ไม่มีอะไรแน่นอน”
“ฝากหลานด้วยนะวี”
“ครับ พี่เมธีอย่าลืมส่งพี่ภัสด้วยนะครับ”
ปฐวีทำท่ากระเซ้า เมธียิ้มเก้อแล้วพูด
“รับรอง พี่ส่งถึงบ้านแน่”
ทุกคนเดินไป ปฐวีมองตามแล้วถอนหายใจ
“หวังว่าอะไรๆ จะดีขึ้นนะ”
ปฐวีเปิดประตูเข้ามา ตันหยงเห็นก็รีบคลุมโปง ปฐวีมาถึงไม่ฟังเสียง ช้อนอุ้มตันหยงขึ้นมาทั้งผ้าห่ม ตันหยงร้องกรี๊ด
“จะบ้าหรือ ปล่อยชั้นเดี๋ยวนี้นะ”
ปฐวีชะงักมองตันหยง
“จะบ้าหรือ อุ้มเค้าได้ไง ปล่อยนะ”
“อ๋อ...ว่าน้าวีหรือ อย่างนี้ต้องโดน”
ปฐวีวางตันหยงลงแล้วจี้เอว ตันหยงดิ้นจนขำออกมา
“คนบ้า คนโรคจิต”
“ยังไม่หยุดอีกเหรอ ต้องโดนอีก”
ปฐวีกอดตันหยงไว้แน่นแล้วพยายามจะเอาหนวดถูแก้มตันหยง ตันหยงพยายามดิ้น หนึ่งฤทัยเข้ามาในห้องแล้วเห็นปฐวีกอดเมรินอยู่
“ไงคะ...น้องเมย์ เล่นอะไรกันอยู่”
ตันหยงดิ้นจนหลุดจากอ้อมกอดของปฐวีแบบโกรธๆ
“เปล่าค่ะ...เอ่อ...”
“จำหมอหนึ่งไม่ได้หรือ เจ้าของขนมที่น้องเมย์ทานวันก่อนไงล่ะ”
ตันหยงงง แล้วก็เดามั่ว “อ๋อแฟนน้าวีใช่ม๊า”
ปฐวีเขิน “เจ้าเด็กแก่แดด หมอหนึ่งเป็นเพื่อนของน้าวีต่างหาก”
หนึ่งฤทัยหน้าเสียไปนิดนึง
“หวัดดีค่ะ หมอหนึ่งก่อนสิ” ปฐวีบอก
ตันหยงทำปากยื่นยกมือไหว้หนึ่งฤทัยแล้วล้มตัวลงนอนคลุมโปง
“เด็กดื้อ...ชักจะแก่แดดแก่ลมแล้วนะเรา”
ตันหยงบ่นอยู่ใต้ผ้าห่ม “ชั้นไม่ใช่เด็กดื้อนะ”
ปฐวีมองหน้าหนึ่งฤทัยแล้วยิ้มเขิน
ลุงสาย ป้าแก้ว กับเด็กรับใช้ในบ้านกำลังทำความสะอาดครัว บุญศรีกำลังเตรียมนมก่อนนอนให้เจ้านาย สายแก้วเดินเข้ามาในครัว ลุงสายกับป้าแก้วรีบเข้าไปล้อม
“คุณหนูเป็นยังไงบ้าง” ลุงสายถาม
“ทานอะไรได้หรือยัง โธ่ถังเอ๊ย.. เจ็บขนาดนั้นสงสัยกลับมาคราวนี้คงผอมเหลือแต่กระดูก ขนาดไม่เจ็บไม่ป่วย ยังไม่ค่อยจะทานอะไรเล๊ย...” ป้าแก้วเป็นห่วง
“ไม่ต้องห่วงหรอกแม่ คุณเมย์น่ะแข็งแรงดี” สายแก้วบอก
ลุงสายกับป้าแก้วชะงักมองหน้ากันอย่างไม่เชื่อหู บุญศรีรีบเงี่ยหูฟัง
“เอ็งพูดอะไรของเอ็ง นางสายแก้ว”
“จริงนะแม่ คุณเมย์แข็งแรงดูไม่เหมือนคนเจ็บเลย แล้วก็ทานเก่งว่าเดิมสามเท่าได้มั๊ง”
ลุงสายยกมือไหว้ท่วมหัว “สาธุ หมดห่วงไปที คุณหนูไม่เป็นอะไร พรุ่งนี้ เอ็งก็ทำของโปรดคุณหนูส่งไปให้สิ อย่าลืมซะล่ะ”
สายแก้วค้อน “หือ ของโปรด คุณน้องเมย์ไม่ชอบทานโจ๊กแล้ว แม่ยังไม่รู้เลย เออแม่...ชั้นรู้สึกว่าคุณน้องเมย์เจ็บคราวนี้ ดูประหลาดนะ”
“ประหลาดยังไงของเอ็ง” ป้าแก้วถาม
“ดูคุณเมย์พูดจาชัดเจนฉาดฉานขึ้น ไม่ขี้อ้อน ขี้อายเหมือนเมื่อก่อน ดูเผินๆเหมือนเป็นผู้ใหญ่เลยแม่”
“จะบ้าหรือ เด็กยังไงก็เป็นเด็กวันยันค่ำนั่นแหละ มีแต่เอ็งเท่านั้นแหละ นังสายแก้ว เด็กในร่างคนโต”
“จริงนะ แม่ไม่เชื่อชั้นหรือ” สายแก้วย้อนถาม
“จะอะไรก็ช่าง เอ็งมาช่วยข้าเตรียมของไว้สำหรับคุณหนูวันพรุ่งนี้แล้วกัน”
บุญศรีกระแอม “แล้วนมก่อนนอนของคุณๆของชั้นล่ะป้าแก้ว กินวันนี้นะ”
“อ้าว คิดว่าเตรียมเสร็จแล้ว รอเดี๋ยวนะแม่บุญศรี”
ป้าแก้วรีบดึงมือสายแก้วไปช่วย บุญศรีมองตาม
บุญศรีกำลังรายงานเรื่องของเมรินให้ปรางค์ทิพย์ฟัง
“ศรีได้ยินมากะหูนะคะคุณปราง นังสายแก้วน่ะปลื้มซะไม่มี ว่าคุณเมย์น่ะฉลาดขึ้น พูดจาฉาดฉานขึ้น”
“ไม่มีทางหรอก ปัญญาอ่อนอย่างนังเมย์น่ะหรือ ขี้ขลาดก็เท่านั้น เป็นไปไม่ได้หรอก” ปรางค์ทิพย์
“ศรีก็ว่าอย่างนั้นแหละค่ะ ตอนดีๆยังสู้คุณแก้วคุณขวัญของศรีไม่ได้เลย แล้วตกบันไดสูงขนาดนั้น จะกลับมาฉลาดได้ยังไง”
“พอแล้ว ไร้สาระเสียเวลาฟัง จะไปไหนก็ไปไป๊”
บุญศรีหน้าจ๋อย “เออ...แล้วคุณปรางค์จะไปเยี่ยมคุณเมย์หรือเปล่าค่ะ”
“จะไปทำไม ก็แห่แหนกันไปหมดบ้านแล้วไม่ใช่หรือ ชั้นยังไม่มีอารมณ์หรอก ...หล่อนไปได้แล้ว”
“ค่ะ คุณผู้หญิง”
บุญศรีเดินไป
“ไปทำไมให้เสียเวลา ทำไมไม่คอหักตายให้รู้แล้วรู้รอดไปเลย”
ปรางค์ทิพย์ทำสีหน้าร้าย
ตันหยงนอนร้องไห้กระซิกกระซิก
“แม่จ๋า หยงคิดถึงแม่จังเลย”
ปฐวีที่นอนเฝ้าอยู่เงี่ยหูฟัง
“ต้องมากลายเป็นเด็กแบบนี้ เพราะคุณคนเดียว พิราม” ตันหยงบ่นต่อ
ตันหยงทุบหมอนด้วยความแค้นใจ ปฐวีเห็นเมรินร้องไห้ก็รีบลุกขึ้นมากอดเมรินไว้
“เป็นอะไรไป น้องเมย์ ฝันร้ายหรือ”
“ชั้นไม่เป็นไร”
ตันหยงรีบชักผ้าห่มคลุมโปง ปฐวีเปิดผ้าห่มออกแล้วดึงตัวเธอขึ้นมากอดไว้
“บอกน้าก็ได้นะ น้าไม่บอกใครหรอก คนดีของน้า”
ตันหยงดิ้นสุดตัว “ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ ปล่อย”
ปฐวีงงแต่ก็ยิ่งกอดแน่นเข้าไปใหญ่
“น้องเมย์เป็นอะไรไป นี่น้าวีนะ”
ตันหยงชะงักพอนึกได้เธอก็นิ่ง
“ปล่อยก่อนค่ะ น้องเมย์อึดอัด”
ปฐวีงงแต่ก็ยอมปล่อยแต่โดยดี ตันหยงรีบเขยิบตัวออกห่าง ปฐวียิ่งงงหนัก
“อะไรกัน เดี๋ยวนี้กอดก็ไม่ได้หรือ”
“ไม่ได้...ถ้าจะให้ดี ไม่ควรโดนตัวกันด้วยซ้ำ”
ปฐวีทำท่ารับทราบ แล้วขโมยหอมแก้มตันหยง 1 ครั้ง
“น้าวีบ้า”
ตันหยงรีบเอาหมอนมาบังไว้ ปฐวีหัวเราะขำ จู่ๆตันหยงก็ร้องกรี๊ด ปฐวีสะดุ้ง
“เป็นอะไรไป ตัวอะไรกัดหรือเปล่าคะน้องเมย์”
ตันหยงชี้หน้าปฐวี “เราเจอกันที่สนามบิน จำได้มั้ยคะ”
“ใช่สิ ก็น้องเมย์ไปรับน้าไงล่ะ เรายังหอมกันเลยไง จำได้มั้ยแบบนี้”
ปฐวีปรี่เข้ามาจะจับตันหยงหอมแก้ม
“หอมแก้มซ้าย หอมแก้มขวา หอมโหนก จมูกปุ๊กปิ๊ก เอาหนวดถูกัน”
ตันหยงรีบเอาหมอนมาขวางไว้
“พอแล้วค่ะ พอแล้ว จำได้แล้ว”
ปฐวีหัวเราะขำแล้วเดินไปนอน ตันหยงถอนหายใจเฮือก
“โอ๊ย..ตายจริง ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปมีหวังเราช้ำแน่เลย บ้าจริงๆ”
ตันหยงเอามือถูแก้มด้วยความอายแล้วรีบล้มตัวนอนคลุมโปง
วันใหม่ ประภัสสรกับสายแก้วกำลังจะหอบข้าวของไปเยี่ยมเมรินที่โรงพยาบาล
“ไปบอกลุงสายให้เตรียมรถให้ชั้นที” ประภัสสรสั่ง
“ค่ะคุณผู้หญิง”
สายแก้วเดินสวนกับเมธีที่เดินเข้ามาด้วยท่าทางเหนื่อยอ่อน
“จะไปโรงพยาบาลหรือ” เมธีถาม
ประภัสสรมองเมธีแล้วเมิน
“ค่ะ คุณเพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ ไปพักก่อนดีกว่า ชั้นให้ไปตามลุงแก้วแล้ว” ประภัสสรบอก
“ไม่ต้องหรอก ผมรีบกลับมาเพราะอยากไปเยี่ยมลูกพร้อมกับคุณ ไปด้วยกัน”
เมธีไม่ฟังเสียง เขาหันไปคว้าของฝากบนโต๊ะแล้วเดินออกไป ประภัสสรมองตามแล้วถอนหายใจยาว
ตันหยงนั่งกอดอกหน้าบึ้งอยู่บนเตียง โดยมียมนาพยาบาลสาวที่หลงรักปฐวีพยายามเอาอกเอาใจ
“น้องเมย์ นอนสบายหรือเปล่าค่ะ น้าปรับเตียงให้ดีกว่า จะได้สบายขึ้น”
ยมนารีบไปไขเตียงให้เอนลง
ตันหยงห้าม “ไม่ต้องหรอกค่ะ หยงเอ๊ย..เมย์กำลังสบายแล้ว”
รสิกาเดินเข้ามาพร้อมตุ๊กตาหมีในมือ
“เป็นยังไงคะ น้องเมย์ น้าเอาตุ๊กตาหมีมาให้ หมอวีบอกว่าน้องเมย์ชอบตุ๊กตาหมี”
ตันหยงถอนหายใจยาว “ขอบคุณค่ะ วางไว้ด้านโน้นเลย”
ตันหยงผายมือไปด้านข้างบนโต๊ะที่มีตุ๊กตาที่คนเอามาเยี่ยมไข้วางเรียงรายเต็มไปหมด รสิกาหน้าเจื่อน ยมนาหัวเราะ จริณทิพย์เดินเข้ามาในห้อง รสิกากับยมนารีบเข้าสู่โหมดเรียบร้อยทันที
“อ้าว แม่รักยม มาทำอะไรกันล่ะนี่ ไม่มีคนไข้ต้องดูแลหรือ”
“มีค่ะ น้องเมย์ไงคะ หมอวีบอกให้ดูแลเป็นพิเศษ” รสิกาบอก
“ยมเลยเข้ามาดูว่า รสิกาต้องให้ช่วยหรือเปล่า” ยมนาเสริม
“ถ้าเสร็จเรื่องของหล่อนแล้วก็ไปได้”
รสิกากับยมนามองหน้ากันแล้วเชิดออกไป
“ขอบคุณนะคะ คุณพี่ หมอวีไปไหนล่ะคะ” ตันหยงถาม
“แหม..น่ารักจริง..จริ๊ง เรียนทิพย์ว่าพี่ด้วย คือ คุณหมอวีคุยกับคุณพ่อคุณแม่ของน้องเมย์อยู่ค่ะ พี่ทิพย์มีของมาฝากด้วยนะคะ”
จริณทิพย์ ส่งตุ๊กตาหมีให้ตันหยงอีกตัว ตันหยงรับมาอย่างเซ็งๆ จริณทิพย์ภูมิใจมาก
ปฐวี ประภัสสรและเมธีนั่งคุยกัน ปฐวีอ่านชาร์ทของเมริน
“ผมตรวจอย่างละเอียดแล้วนะครับ น้องเมย์ปกติดีทุกอย่างยกเว้น บางเรื่อง น้องเมย์อาจจะยังจำได้ไม่ดีนัก”
“ดีจ๊ะ งั้นเราพาน้องเมย์กลับไปพักฟื้นที่บ้านดีกว่านะ” ประภัสสรบอก
“แต่พี่คิดว่า อยู่โรงพยาบาลก่อนก็ไม่เสียหายนะ คุณสร ใกล้หมอกว่า” เมธีแย้ง
“ทำไมคะ คุณพูดแบบนี้ หมายความว่า สรดูแลลูกไม่ดีจนทำให้ลูกเป็นแบบนี้ใช่มั้ยคะ”
“เปล่า ผมไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย”
ประภัสสรทำท่าจะทะเลาะกับเมธี ปฐวีรีบห้าม
“อย่าเพิ่งเถียงกันเลยครับ เอาอย่างนี้ดีกว่า ผมจะลองดูความพร้อมของน้องเมย์อีกครั้ง นะครับ”
ประภัสสรเมินเมธี “แล้วแต่วีก็แล้วกันจ๊ะ”
ปฐวีมองหน้าเมธี เมธีแอบถอนหายใจหนัก
ปฐวี ประภัสสร และเมธีมายืนห้อมล้อมเมริน
“ไม่ค่ะ น้องเมย์ยังไม่อยากกลับบ้าน” ตันหยงตอบ
ทุกคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจ
“ทำไมล่ะ น้องเมย์ปกติดีทุกอย่างแล้วนี่นา จะอยู่ต่อทำไม” ปฐวีถาม
“พ่อว่า เรากลับไปพักฟื้นที่บ้านดีกว่า ป่านนี้เจ้าหนุงหนิงคิดถึงน้องเมย์แย่แล้ว” เมธีบอก
“แต่เมยังไม่อยากกลับนี่ค่ะ ให้เจ้าแมวหนุงหนิงน่ะรอไปก่อนแล้วกัน”
“น้องเมย์ อย่าล้อเล่นน่า เจ้าหนุงหนิงเป็นหมา ไม่ใช่แมว” ปฐวีบอก
“ตายจริง ...หมาอะไรชื่อหนุงหนิง ใครตั้งให้เนี่ย” ตันหยงคิดในใจ
“แหมน้าวีก็ เมย์ล้อเล่นต่างหาก” ตันหยงรีบแก้ “สรุปว่า เมย์ยังไม่อยากกลับค่ะ เมย์อยากอยู่โรงพยาบาลต่อ นะคะ โตขึ้น เมย์จะได้เป็นหมอเหมือนน้าวี”
ทุกคนมองหน้ากันอย่างเหวอๆ
“เป็นหมอเนี่ยนะ ล้อน้าเล่นใช่มั้ย”
“วี พี่ทนไม่ไหวแล้ว พี่จะพาน้องเมย์กลับบ้าน พี่จะไม่ยอมให้ลูกห่างตัวพี่อีกแล้ว” ประภัสสรบอก
“ไม่นะ คุณแม่ เมย์ยังไม่อยากกลับบ้าน”
เมรินร้องโวยวาย ปฐวีมองเมรินอย่างหนักใจ
เมรินนั่งหน้าหงิกอยู่ในรถเข็นโดยอุ้มตุ๊กตามาด้วย เมธีเข็นรถมาที่หน้าโรงพยาบาล
“ชั้นไม่อยากกลับบ้าน” ตันหยงบอก
“ต้องกลับ เดี๋ยวเย็นนี้เจอกัน” ปฐวีสรุป
รถของเมธีวิ่งเข้ามาจอดด้านหน้า เมธีรีบเดินลงมารับเมริน
“มาค่ะน้องเมย์ พ่ออุ้มเอง”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ เมย์เดินเองได้”
เมธีชะงักมองเมรินอย่างแปลกใจ ประภัสสรรีบเข้ามาจับมือเมรินไว้
“ไปค่ะน้องเมย์”
“เดี๋ยวเย็นนี้เจอกันนะ น้าจะไปทานข้าวด้วย” ปฐวีบอก
ตันหยงสะบัดน้ำเสียง “ตามใจสิคะ”
ปฐวีชิงหอมแก้มเมรินฟอดหนึ่ง เมรินมองค้อนแล้วเช็ดแก้ม ปฐวีหัวเราะขำ ทันใดนั้นบุหงากับพินิจก็เดินเข้ามาในโรงพยาบาล ตันหยงเห็นก็ตะลึง
“คุณพ่อ คุณแม่”
พรพรหมอลเวง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ตันหยงรีบตะกายลงจากรถเข็นอย่างรวดเร็ว แต่รีบร้อนจนล้มลงหัวเข่ากระแทกพื้น ปฐวีรีบดึงตัวเธอไว้
“น้องเมย์เป็นอะไรไป”
ตันหยงร้องตะโกนลั่น “คุณพ่อ คุณแม่ รอด้วยค่ะ”
พินิจกับบุหงาหันมามองเมรินแล้วยิ้มให้อย่างเอ็นดู เมธีกับประภัสสรเดินเข้ามาทางด้านหลังพินิจกับบุหงา พอเห็นเมรินประภัสสรและเมธีก็รีบวิ่งไปหาทันที
“น้องเมย์เป็นอะไรคะลูก”
“เจ็บมากหรือเปล่าลูก” เมธีถาม
ตันหยงพยายามจะลุกขึ้นวิ่งไปหาบุหงากับพินิจแต่เจ็บขาเลยต้องนั่งลงอีก ปฐวีรีบอุ้มเมรินขึ้นทันที ตันหยงพยายามดิ้นก่อนจะหันไปมองทางพินิจและบุหงาที่เดินลับตัวไปแล้ว
“คุณแม่ขา...คุณแม่”
ประภัสสรรีบรับเมรินจากปฐวีมากอดไว้แนบอก
“ลูกจ๋าแม่อยู่นี่ อย่าร้องนะคะ โธ่ขวัญเอ๊ย..ขวัญมา เจ็บมากมั้ยลูก”
ตันหยงน้ำตาไหลอย่างเงียบๆ เธอมองตามพินิจและบุหงาจนลับตา ส่วนปฐวีมองเมรินอย่างเป็นห่วง
พิรามยืนตัดสินใจอยู่หน้าห้องพักของตันหยงพร้อมดอกไม้ในมือ เขาคิดหนักก่อนตัดสินใจเปิดประตูเข้าไป
“สวัสดีครับคุณพ่อคุณแม่ เอ่อ ตันหยงเป็นยังไงบ้างครับ” พิรามถาม
“ยังไม่รู้สึกตัวเลยลูก”
พิรามทั้งเครียดทั้งเสียใจและรู้สึกผิดอย่างมาก จนบุหงาต้องปลอบ
“แต่หมอก็บอกว่า อาการของตันหยงพ้นขีดอันตรายแล้ว แม่ก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะฟื้น”
“คุณพ่อ คุณแม่ครับ ผม.... ผมขอโทษ”
พินิจถาม “ขอโทษทำไมกัน”
“มันไม่ใช่ความผิดของพิรามหรอกลูก” บุหงาบอก
“... เพราะผมเองครับ หยงถึงได้เป็นแบบนี้”
พินิจกับบุหงามองหน้ากันอย่างงงๆ เพราะไม่เข้าใจในสิ่งที่พิรามพูด
ตันหยงปฐวี ประภัสสร และเมธี นั่งเงียบๆอยู่ในรถ ทั้งสามแอบมองเมรินเป็นระยะๆ แต่ตันหยงก็นั่งนิ่งเงียบไม่พูดไม่จา
ตันหยงคิด “ทำไมคุณพ่อคุณแม่ถึงมาที่ ร.พ. หรือเราอยู่ที่นั่น เราต้องหาทางกลับไปที่โ รงพยาบาล” คิดเสร็จตันหยงก็ถอนหายใจเพราะไม่รู้จะทำยังไง
ปฐวีนั่งมองเมรินอย่างสังเกต
“น้องเมย์จ๋า เรากำลังจะกลับบ้านของเราแล้วนะคะ” ประภัสสรบอก
ตันหยงเมินหน้าไม่พูดไม่จา
“ไม่ใช่บ้านของชั้นซะหน่อย” ตันหยงคิด
“น้องเมย์คะ ทำไมไม่พูดกับแม่เลย แม่ใจไม่ดีนะลูก”
ตันหยงถอนหายใจ “..เจ็บขาค่ะ”
“ตายจริง เดี๋ยวกลับบ้านไปแม่ทายาให้นะคะ”
ตันหยงไม่ตอบแต่หลับตานิ่ง ประภัสสรเริ่มวิตก
ประภัสสรกระซิบ “วี น้องเมย์เป็นอะไรมากหรือเปล่าเนี่ย”
“คงไม่มีอะไรหรอกครับพี่ภัส” ปฐวีบอก
“วีคิดแบบนั้นหรือพี่เป็นห่วงจังเลย”
“อย่าเพิ่งวิตกเลยคุณภัส ลูกคงแค่เหนื่อยเท่านั้นแหละ” เมธีบอก
“ครับพี่ภัส อย่าเพิ่งวิตกเลย รอดูอาการไปก่อนนะครับ”
ตันหยงหลับตานิ่ง
รถวิ่งเข้ามาจอดหน้าบ้านประภัสสร ทุกคนลงจากรถ ตันหยงก้าวลงมามองไปรอบๆบริเวณกว้างใหญ่แล้วคิด
“ตายล่ะ ชั้นต้องมีญาติเพิ่มอีกกี่คนกันเนี่ย”
“ไงคะน้องเมย์ ถึงบ้านแล้ว จำได้รึยัง” ปฐวีถาม
“จะจำได้ยังไง พึ่งจะเห็นเป็นครั้งแรก” ตันหยงคิด
ทุกคนรอฟัง
ตันหยงส่ายหน้าก่อนพูดว่า “.....จำไม่ได้ค่ะ”
ประภัสสรหน้าเสีย ปฐวีรีบจับมือประภัสสรเป็นเชิงปลอบ
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวเจอเพื่อนซี้ น้องเมย์ต้องจำได้แน่นอน”
ปฐวียิ้มอย่างหมายมาด
ป้าแก้วรีบมาจับไม้จับมือเมริน เมรินงงๆ แต่ยอมให้จับโดยดี
“โธ่ทูนหัวของป้าแก้ว แม่คุณเอ๊ย....ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่าคะ”
“ยายแก้วนี่ บ่นเป็นยายแก่ไปได้ คุณหนูต้องหายแล้วสิถึงกลับบ้านได้” ลุงสายว่า
“ค่ะ หายดีแล้ว” ตันหยงตอบ
ปฐวีมองตันหยงแล้วนึกได้
“สายแก้ว ไปพาเพื่อนซี้น้องเมย์มาทีซิ ดูซิว่าน้องเมย์จะจำได้มั้ย”
“ค่ะคุณวี”
ลุงสายรีบเดินไป
ตันหยงถาม “เพื่อนซี้ ใครกันคะ”
“เดี๋ยวก็รู้” ปฐวีบอก
ทันใดนั้นหนุงหนิง สุนัขตัวโปรดของเมรินก็วิ่งควบเข้ามาอย่างรวดเร็ว พอใกล้ตันหยง หนุงหนิงก็เบรคตัวโก่งแล้วยืนเห่าตันหยงอย่างเอาเป็นเอาตาย ตันหยงรีบหลบหลังปฐวี
“เนี่ยนะ เพื่อนซี้”
“ใช่สิ เจ้าหนุงหนิง จำได้ไม๊”
ทุกคนมองขำ ตันหยงกับหนุงหนิงดูเชิงกัน
“เพื่อนซี้อะไรกัน หมาตัวเท่ายักษ์มันจะขย้ำชั้นหรือเปล่าเนี่ย”
ตันหยงนิ่งคิด
ตันหยงกับเจ้าหนุงหนิงยืนเผชิญหน้ากัน ปฐวีดันตันหยงให้เดินไปข้างหน้า หนุงหนิงเลยเริ่มถอย ตันหยงรุกต่อ หนุงหนิงถอยกรูด ตันหยงขำ
“เจ้าหมาใจเสาะ ตัวโตซะเปล่า”
ตันหยงแยกเขี้ยวขู่ หนุงหนิงวิ่งหนีไป ตันหยงเลยแกล้งวิ่งไล่อย่างสนุกสนาน ประภัสสร เมธี และปฐวีมีสีหน้าผ่อนคลายขึ้น
“สงสัยน้องเมย์ไปอยู่โรงพยาบาลหลายวัน เจ้าหนุงหนิงเลยผิดกลิ่น”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ เดี๋ยวก็เหมือนเดิม”
เสียงโทรศัพท์ของ เมธีดังขึ้น เมธีกดรับแล้วมีสีหน้ากังวล
เมธีพูดกับประภัสสร “ภัส ผมต้องไปก่อนนะ ต้องรีบไปทำงานต่อ”
ประภัสสรงอน “เชิญเถอะค่ะ ภัสอยู่กับลูกได้”
เมธีมองประภัสสรอย่างห่วงๆ
“ทางนี้ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงหรอกครับ พี่เมธีไปทำงานเถอะ” ปฐวีบอก
“ขอบใจมากวี”
ประภัสสรทำเมิน เมธีเดินไปอย่างหนักใจ
หนุงหนิง กระโดดใส่ตันหยง จนตันหยงล้มก้นกระแทก
“โอ๊ยหมาบ้า ตัวโตยังกะม้า ทำตัวเป็นหมาเล็กไปได้ ไปพ้นเลย”
หนุงหนิงทำท่าสำนึกผิดแล้วค่อยๆเดินไปรอ พอตันหยงดุซ้ำ หนุงหนิงก็วิ่งหายไป สายแก้วรีบเข้ามาประคองตันหยง
“เป็นอะไรหรือเปล่าคะ เจ็บตรงไหนบ้าง”
ตันหยงยกมือห้ามแล้วลุกขึ้นยืนปัดตัวอย่างทะมัดทะแมง
“ไม่ต้องค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
“เราเข้าบ้านกันดีกว่า” ประภัสสรบอก
ตันหยงถอนหายใจแล้วเดินตรงไปจะเข้าบ้านปรางค์ทิพย์ สายแก้วหันไปมองหน้าทุกคนเหวอ ก่อนจะรีบวิ่งไปคว้าตัวเมรินไว้
“หยุดก่อนค่ะ คุณน้องเมย์ขา ไม่ใช่ทางนั้นค่ะ”
“ทำไมล่ะ”
“นั่นมันบ้านคุณปรางค์ทิพย์ค่ะ”
“อ้าว...แล้วก็ไม่บอก”
สายแก้วรีบจูงมือเมรินเดินไปทันที ประภัสสรกับปฐวีมองหน้ากัน ปฐวียิ้มปลอบใจ
ตันหยงเดินเข้ามาในบ้านพร้อมๆ สายแก้ว ตันหยงหยุดยืนมองสภาพในบ้าน
“นี่บ้านของน้องเมย์หรือคะ” ตันหยงถาม
ปฐวีและประภัสสรมองหน้ากัน ประภัสสรรีบเข้ามาจับมือเมริน
“ใช่จ๊ะ นี่หนูเริ่มจำได้แล้วใช่มั้ยคะ น้องเมย์ แค่นี้แม่ก็ดีใจแล้ว”
ประภัสสรดีใจ แต่ตันหยงชะงักมองหน้าประภัสสรแล้วถอนหายใจ
ปรงทองกับแม้นวาดเดินเข้ามาในบ้าน ทุกคนทำความเคารพ ตันหยงยืนมองนิ่งแล้วนึกได้จึงรีบยกมือไหว้ปรงทองและแม้นวาด
“ไหว้พระเถอะลูก มาให้ย่าทวดกอดให้ชื่นใจหน่อย มามะ” ปรงทองเรียก
ตันหยงมองหน้าประภัสสร ประภัสสรพยักหน้าให้ ตันหยงค่อยๆ ขยับเข้ากราบที่ตักปรงทอง ปรงทองกอดตันหยงไว้แนบอก
“หมดทุกข์หมดโศกแล้วนะลูก”
ปรงทองลูบเนื้อลูบตัวเมรินอย่างเป็นห่วงแล้วก็น้ำตาซึม
“ทำไมคนบ้านนี้ถึงประคบประหงมน้องเมย์กันนักนะ หรือว่าจะเป็นเด็กอ่อนแอ” ตันหยงคิด
ตันหยงหันไปหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตาให้ปรงทองอย่างอ่อนโยน
“เมย์หายดีแล้วค่ะ ขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณย่าเป็นห่วง” ตันหยงบอก
“โถ..เด็กเอ๊ย...ขอบใจมากนะลูก คนเก่ง”
ปรงทองกอดตันหยงอย่างรักใคร่ ทุกคนมองหน้ากันแล้วยิ้มโล่งใจ ปฐวีมองภาพตรงหน้าแล้วยิ้ม
“งั้นผมขอตัวไปทำงานก่อนนะครับคุณย่า น้องเมย์อยากพักไม๊ครับ เดี๋ยวน้าวีพาขึ้นไปบนห้อง”
“ดีแล้ว ไปพักให้เยอะๆ นะลูกนะ ส่วนแม่ภัส อยู่คุยกับย่าก่อนนะ ย่าจะสอบถามเรื่องงานมูลนิธิ”
ประภัสสรรับคำ “ค่ะคุณย่า”
ปฐวีพาตันหยงเดินออกไป โดยมีสายแก้วเดินตาม
“เออ.. แล้วพ่อเมธีไปไหนล่ะ เห็นเข้ามาพร้อมกันไม่ใช่หรือ” ปรงทองถาม
“คุณเมธีคงมีงานด่วนค่ะ ออกไปแล้ว” ประภัสสรตอบ
“อืม.. คนกำลังสร้างเนื้อสร้างตัวก็แบบนี้แหล่ะ”
ประภัสสรหน้าเศร้า จนปรงทองสังเกตได้
ปฐวี ตันหยง และสายแก้วเดินออกมา ตันหยงมองไปทั่วๆ บ้าน สักพักเสียงโทรศัพท์ปฐวีก็ดังขึ้น จริณทิพย์ที่อยู่ที่โรงพยาบาลดูสมุดนัดพร้อมโทรหาปฐวีไปด้วย
“คุณวีคะ วันนี้คุณวีมีผ่าตัดตอน บ่าย2 นะคะ”
ปฐวีมองนาฬิกา “ครับคุณทิพย์ ผมไม่ลืมหรอกครับ จะไปเดี๋ยวนี้แหละ”
ปฐวีกดวางสายแล้วหันไปมองเมรินที่ยืนมองรอบๆตัว
“ขึ้นไปพักข้างบนเลยนะครับ”
“เมย์อยากเดินเล่นแถวนี้ก่อน ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกค่ะ”
ปฐวีคลายใจ “เอางั้นหรือ ก็ได้ สายแก้ว ดูแลคุณเมย์ให้ดีนะ”
“ค่ะ สายแก้วจะดูแลคุณเมย์ไม่ให้คลาดสายตาเลย”
ปฐวีนั่งลงดึงเมรินมาหอมแก้ม ตันหยงตกใจจนตาโต เธอเอามือดันปฐวีไว้ และมองโกรธๆ
“ทีหลังอย่าทำแบบนี้นะ” ตันหยงบอก
“อ้าว... ทำไมล่ะ นี่หลานน้าวีเป็นอะไร”
“ไม่ได้เป็นอะไร แต่ไม่ชอบให้หอม”
ปฐวีงงๆ ขำๆ “งั้นน้าไปก่อนนะ”
ปฐวีเดินไป ตันหยงมองตามแล้วก็เช็ดแก้มอย่างโกรธๆ
“คุณเมย์แปลกไปนะคะ ไม่ชอบให้น้าวีหอมแล้วหรือ เมื่อก่อนเห็นรักน้าวีจะตายไป”
“ก็ชั้นไม่ใช่น้องเมย์น่ะสิ” ตันหยงโกรธ
ตันหยงเดินไป สายแก้วตาโตแล้วมองรอบๆ ตัว
ตันหยงเดินออกมาจากในบ้าน โดยมีสายแก้วเดินตามออกมา ตันหยงหันไปมองสายแก้ว
“จะตามมาทำไมเนี่ย”
“ก็สายแก้วเป็นพี่เลี้ยงคุณน้องเมย์นี่คะ”
ตันหยงถอนใจ
ตันหยงเดินไปที่สนามแล้วมองไปที่ประตูรั้วก่อนจะนั่งลงด้วยความเซ็ง หนุงหนิงวิ่งเข้ามาหาแล้วมาหยุดอยู่ใกล้ๆ ตันหยงเอามือชี้หน้าหนุงหนิง
“หยุด อย่ามายุ่งกันเด็ดขาด ชั้นไม่ชอบหมาตัวโต เข้าใจไม๊ !”
หนุงหนิงหางตกแล้วเดินหนีกลับไป
สายแก้วมองตันหยงงงๆ ว่าจะเอาไงดีหว่า มองเลิกลักอยู่ห่างๆ
ตันหยงถอนหายใจยาว
“ตันหยง คิดซิ คิดซิตันหยง จะทำยังไงดี” ตันหยงคิด “ต้องหาทางไปหาคุณพ่อคุณแม่ เล่าให้ท่านฟังใช่ไม๊”
ตันหยงมองตัวเองด้วยความกลุ้มใจ
“แล้วชั้นจะไปได้ยังไงล่ะเนี่ย เฮ่อ...”
สายแก้วเห็นเมรินนั่งพูดคนเดียวก็รู้สึกว่าไม่ไหวแล้วจึงเผ่นแนบออกไป
ลุงสายกับป้าแก้วช่วยกันเตรียมของว่างของโปรดของเมรินอยู่ สักพักสายแก้วก็เดินเข้ามาในครัว
“คุณน้องเมย์เป็นอะไรก็ไม่รู้ ทำไมแปลกประหลาดอย่างงี้”
“เอ็งพูดอะไรนังสายแก้ว คุณเมย์แปลกยังไงของเอ็ง”
“ก็คุณน้องเมย์บอกว่าไม่ใช่น้องเมย์คนเดิม แล้วยังนั่งพูดคนเดียว ขนาดเจ้าหนุงหนิงยังโดนไล่ตะเพิดเลย แล้วเจ้าหนุงหนิงก็เหมือน ไม่คุ้นกับคุณน้องเมย์ หมามันต้องรู้ดีกว่าคนไม่ใช่หรือแม่”
“เอ็งจะบอกว่าหมามันฉลาดกว่าเอ็งใช่มั้ย พูดเข้า เดี๋ยวเหอะ..รีบเอาของว่างไป ให้คุณหนูทาน ข้าจัดเสร็จแล้ว”
“หือ..จ๊ะ”
“แล้วนี่คุณเมย์ทำอะไรอยู่ล่ะ ไม่ไปดูแล เดี๋ยวก็เกิดเรื่อง” ลุงสายบอก
“นั่งเล่นอยู่ในสนามนั่นแหละ” สายแก้วตอบ
สายแก้วรีบรินน้ำส้มกับขนมแล้วเดินไป พอลับสายตาลุงสายกับป้าแก้วก็มองหน้ากัน
“จะว่าไป นังสายแก้วมันก็พูดมีเหตุผลนะตา หรือว่าคุณเมย์จะทำอะไรผิดเจ้าที่เจ้าทาง ท่านเลยมาทัก”
“บ้าแกก็เพ้อเจ้อ งมงาย” ลุงสายว่า
สายแก้วรีบเดินมาโดยไม่ทันสังเกตจึงเกือบชนกับประภัสสรที่เดินตามหาเมรินอยู่
“คุณภัสขา สายแก้วขอโทษ”
“น้องเมย์ล่ะสายแก้ว”
“คุณน้องเมย์อยู่ในสวนค่ะ สายแก้วมาเอาของว่างไปให้คุณน้องเมย์ค่ะ”
“งั้นก็ไปพร้อมกันเลย”
สายแก้วมองถาดน้ำและขนมในมือตัวเองแล้วก็คิด
“เออ..คุณภัสคะ คือ.....คุณน้องเมย์”
“มีอะไรเหรอจ๊ะ”
สายแก้วงงๆ ไม่รู้จะเล่าอย่างไร
“ไม่มีอะไรค่ะ คงหิวขนม”
ประภัสสรยิ้มแล้วเดินนำสายแก้วไป สายแก้วมองแล้วทำท่าสะอื้นก่อนจะเดินตาม
เมรินนั่งกอดเข่าอย่างใช้ความคิด ประภัสสรเดินเข้ามาจับตัวเมริน
“ทำอะไรอยู่คะ น้องเมย์”
เมรินไม่ตอบแต่เงยหน้ามองประภัสสร
“น้ำหวาน กับคุกกี้ค่ะ คุณน้องเมย์” สายแก้วนำมาเสิร์ฟ
“ขอบคุณค่ะ” ตันหยงพูดแต่ไม่สนใจนั่งเซ็งต่อ
“น้องเมย์ไม่ทานคุกกี้เหรอคะ” ประภัสสรถาม
ตันหยงมองหน้าประภัสสร
“เอ่อ.. เมย์ ไม่ชอบทานคุ๊กกี้ค่ะ น้ำหวานด้วย”
ประภัสสรงงเพราะปรกติลูกสาวชอบทานคุ๊กกี้
“งั้นพี่สายแก้วเอาไปเก็บนะคะ” สายแก้วบอก
สายแก้วเดินไป ประภัสสรมองเมรินอย่างรักใคร่
“ลูกแม่ แล้วเจ้าหนุงหนิงอยู่ไหนล่ะ”
“หนีไปไหนแล้วก็ไม่รู้ค่ะ”
เมรินตอบแล้วเมินหน้าหนี ประภัสสรมองอย่างแปลกใจ
สายแก้วเดินกลับเข้ามาในครัวพร้อมถาดขนม
“อะไรของเอ็งอีก วันนี้คุณหนูจะได้กินของว่างหรือเปล่า”
“คุณหนูไม่กินคุกกี้” สายแก้วบอก
ลุงสายกับป้าแก้วตกใจ “อะไรนะ”
“บอกว่าคุณหนูไม่กินคุกกี้”
ลุงสายกับป้าแก้วงง
“อะไรกัน ปกติชอบจะตาย”
“ก็บอกแล้วไง คุณหนูเปลี๋ยนไป๋ หรือว่าจะผิดเจ้าที่จริงๆ” สายแก้วพูด
“เดี๋ยวเหอะ นางสายแก้ว เดี๋ยวจะโดนตะหลิวยัดปากพูดไม่เป็นมงคล”
สายแก้วงอน “พูดก็ไม่มีใครเชื่อ โอ๊ย อึดอัดใจจริง”
สายแก้วเลยเดินออกไป
“หรือว่าจะจริงของมัน ตา” ป้าแก้วเริ่มสงสัย
“เฮ้ย ไม่มีหรอก แกก็รู้นังสายแก้วมันขี้ขึ้นสมอง กลัวทุกอย่างนั่นแหละ”
ป้าแก้วพยักหน้าแล้วทำงานเงียบๆ ลุงสายคิดแล้วสะกิด
“หรือเราควรจะหาของไหว้พระภูมิเจ้าที่บ้าง”
“ชั้นเห็นด้วย”
สองตายายมองหน้ากันแล้วพยักหน้าอย่างเห็นด้วยต่อกัน
ประภัสสรอุ้มเมรินเข้ามาในห้อง พอถึงห้อง ประภัสสรก็วางเมรินลง ตันหยงมองไปรอบๆห้องแล้วเหวอเพราะทุกอย่างในห้องเป็นสีชมพูไปหมดแถมยังมีตุ๊กตาขนฟูวางไว้เต็มไปหมด
ตันหยงคิดในใจอย่างเซ็งๆ “จะชมพูอะไรขนาดนี้ ตุ๊กตาก็เยอะไปไม๊เนี่ย”
“ถึงห้องของน้องเมย์แล้ว...คืนนี้คุณแม่มานอนเป็นเพื่อนน้องเมย์นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ นอนคนเดียวได้ค่ะ”
“จริงหรือคะ น้องเมย์แน่ใจนะคะไม่อยากให้คุณแม่มานอนเป็นเพื่อน”
“แน่ค่ะ ไม่เป็นไรค่ะ เมย์นอนคนเดียวได้ค่ะ”
สายแก้วเดินเข้ามาพร้อมถาดผลไม้ในมือ
สายแก้วดีใจ “งั้นพี่สายแก้วไม่ต้องนอนเป็นเพื่อนแล้วนะคะ”
สายแก้วจะเดินไป ประภัสสรจ้องสายแก้ว จนสายแก้วจ๋อย
“ให้พี่สายแก้วนอนเป็นเพื่อนนะคะ ไม่งั้นคุณแม่จะเป็นห่วงเดี๋ยวคุณแม่ขอไปเคลียร์งานมูลนิธีก่อน สายแก้วอยู่เป็นเพื่อนน้องเมย์นะ”
ประภัสสรเดินไป ตันหยงหันมามองสายแก้ว สายแก้วรู้สึกหวาดๆ
“คุณน้องเมย์อย่ามองแบบนี้สิคะ พี่สายแก้วกลัว”
ตันหยงแกล้ง “..จะบอกให้นะพี่สายแก้ว ตอนนี้ในร่างของน้องเมย์ มีวิญญาณของผู้หญิงสิงอยู่”
“คุณน้องเมย์ไม่เอานะคะ พี่สายแก้วกลัว ไปค่ะ ไปอาบน้ำดีกว่า พี่สายแก้วจะอาบน้ำให้”
ตันหยงชะงัก “...ไม่ต้องค่ะอาบเองได้” ตันหยงเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัว “ขอแค่ครีมล้างหน้า กับโทนเนอร์ก็พอ”
“คุณน้องเมย์จะเอาไปทำอะไรคะ”
ตันหยงชะงัก แล้วนึกได้ว่าตัวเองเป็นเด็ก “...ล้อเล่นน่ะคะ ไปอาบน้ำก่อนนะคะ”
ตันหยงเดินเข้าไปในห้องน้ำ สายแก้วถอนหายใจแล้วก็กลัวต่อ
สุดนภาขับรถเข้ามาในที่จอดรถของโรงพยาบาล สุดนภามองหาที่จอดรถ นาวินขับรถเข้ามามองหาที่จอดรถเช่นกัน ทั้งคู่เห็นที่จอดรถว่างที่เดียวกัน สุดนภากับนาวินมองหน้ากันเพราะต่างคนต่างอยากได้ที่จอดรถ สุดนภาเหยียบคันเร่ง
“ใครดีใครได้”
“ต้องวัดใจกันหน่อย” นาวินบอก
สุดนภาขับรถเข้าที่จอดรถได้ก่อนก็ยิ้มเย้ย
นาวินมองกระจกหลังอย่างอารมณ์เสีย
“ฝากไว้ก่อนเถอะ”
สุดนภาจะเดินเข้าประตู นาวินวิ่งตามมาจนทัน
“นี่คุณ ผมเจอที่จอดรถก่อนนะ”
“หรือคะ แต่ชั้นจอดก่อน ขอบคุณนะคะ”
“ที่ผมยอมน่ะเพราะผมรักษามารยาท ความจริงคุณก็ควรรู้ว่าใครมาก่อนได้ก่อน”
“ผิด ใครจอดก่อนก็ได้ที่จอดรถก่อน เข้าใจมั้ย มีอะไรไม่เคลียร์หรือ”
นาวินทำท่าจะเถียงแต่เถียงไม่ออก
“แค่นี้ใช่มั้ย มีธุระอะไรก็ไปคุยกันที่โรงเรียนแล้วกัน ตอนนี้นอกเวลางานแล้ว อ๊ะ..หรือว่าคุณจงใจสะกดรอยตามชั้นมา”
“ไม่ใช่ซะหน่อย ผมมาหาเพื่อนผมต่างหาก”
“ดีใจด้วยนะคะ คนอย่างคุณยังมีคนอยากคบด้วย”
“ใครว่า คุณต่างหากที่แอบตามผมมา แอบชอบผมใช่มั้ยล่ะ”
สุดนภาระงับอารมณ์ “กล้าพูดจริงนะ”
“แน่อยู่แล้ว ผมคนรุ่นใหม่ จริงใจมีวิสัยทัศน์ เชื่อใจได้”
“เชื่อได้ แต่ไว้ใจไม่ได้น่ะสิ” สุดนภาแอบบ่น “ไม่รู้ชั้นไปทำเวรกรรมอะไรไว้ จะได้ไปแก้กรรมถูก ไม่ต้องมีนายมาตามจองเวรแบบนี้”
สุดนภาเดินหนีนาวินไป
“ร้ายจริงๆ คิดว่าจะหนีพ้นหรือ”
นาวินรีบเดินตามไป
สุดนภาเดินเข้ามาในโรงพยาบาล นาวินเดินตามมา
“นี่คุณ ถ้าคุณตามรังควาญชั้นละก็ ชั้นจะแจ้งความ ข้อหาข่มขู่คุกคาม” สุดนภาว่า
“แหม...หัวหมอซะด้วยนะ ผมไม่ได้สนใจคุณซะหน่อย ผมมาหาเพื่อนต่างหาก”
สุดนภาชะงักเพราะเขิน นาวินชะงักมองสุดนภา
“เฮ้ย เป็นอะไรไปเนี่ย”
สุดนภามองเห็นปฐวีเดินตรงเข้ามา
“คุณปฐวี”
“อ้าว..รู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่” นาวินงง
“สวัสดีครับ ครูบี๋ มาตรวจสุขภาพหรือคะ” ปฐวีทัก
“อ๋อ..เปล่าหรอกค่ะ บี๋มาเยี่ยมเพื่อน พอดีเพื่อนบี๋เกิดอุบัติเหตุ”
นาวินพยายามเรียกร้องความสนใจจากสุดนภา แต่สุดนภาไม่สน
นาวินสะกิดปฐวี “นี่แกรู้จักคุณบี๋ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“หลานชั้นเรียนอยู่โรงเรียนของแก ครูบี๋ก็เป็นครูประจำชั้นไงล่ะ” ปฐวีพูดกับสุดนภา “ถ้าเพื่อนคุณบี๋มีปัญหาอะไร หรือต้องการให้ช่วยอะไรบอกได้เลยนะครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
“ผมขอตัวก่อนนะครับมีเคสผ่าตัด ไปก่อนนะเจ้าวิน”
“เออ..เดี๋ยวเจอกัน” นาวินบอก
ปฐวีเดินไป สุดนภามองตามอย่างปลื้มๆ นาวินแอบมองด้วยความหงุดหงิด
“นี่คุณ มันลับมุมตึกไปแล้ว ไม่ต้องปลื้มออกนอกหน้าขนาดนั้นหรอก”
“เรื่องของชั้น” สุดนภาว่า
สุดนภาเดินไป นาวินมองตามอย่างฉุนๆ
“แหม..ทำเป็นคะๆขาๆ ทีกะเราละก็ ข่วนเอาข่วนเอายังกะแมว..”
ติดตาม "พรพรหมอลเวง" ตอนที่ 3