สาวน้อย ตอนที่ ๒๙
วันใหม่ ณ ตลาดหน้าด่าน ทับทิมแต่งหน้าเฉียงเฉี่ยวนั่งอยู่ที่แผงขายหนังสือ ครั้นนางนิ่มเดินผ่านมาก็ร้องทักเสียงหวาน เพราะนอกจากเป็นแม่ของเนื่อง ชายในฝันคนใหม่แล้วยังร่ำรวยที่สุดในตอนนี้
“แม่นิ่มจ๋า”
นางนิ่มหันมาเห็นทับทิมเต็มตาก็สะดุ้งร้องถาม
“ทับทิมนั่นตาเอ็งเป็นอะไรไปลูก”
ทับทิมเอียงหน้าอวดดวงตาที่บรรจงเขียนทาในแนวใหม่ แถมเขียนเกล็ดปลาใต้ตาเฉียงไปถึงขมับ
“อุ้ย ก็ฉันแต่งตาเป็นวนิดาในละครเรื่องใหม่ไง”
นางนิ่มยิ้มขำร้อง “อ๋อ”
“ถ้าฉันไปบางกอก ฉันจะไปดูซักสิบรอบแล้ว ไปขอรูปแล้วก็ลายเซ็นวนิดามาบูชาบนหิ้งด้วย”
นางนิ่มยิ่งขำแล้วชะโงกหน้าดูหนังสือบนแผง
“ขนาดนั้นเชียวเหรอ ไหนตอนนี้มีข่าวอะไรของวนิดาบ้าง”
“มีแต่ข่าวเก่า หนังสือพิมพ์มันลงว่า วนิดาเคยเป็นคนใช้บ้านเจ้าคุณแก่ตกกระเป็นคางคก ก็เลยโดนท่านเจ้าคุณปลุกปล้ำทำเมีย”
นางแม่นิ่มอ้าปากค้างแล้วดึงหนังสือพิมพ์มากางอ่านด้วยความอยากรู้ อ่านแล้วก็ทรุดนั่งลงไปข้างแผงอย่างหมดแรงเรี่ยว เนื่องเดินมา แต่ไม่เห็นแม่เพราะแผงบังไว้ ทับทิมยิ้มรับชายในฝันคนใหม่ทันที
“ทับทิม ไหนหนังสือพิมพ์มีข่าววนิดาอีกหรือเปล่า ข่าวดีหรือไม่ดี”
“ข่าวไม่ดีจ๊ะ”
“ถ้าข่าวไม่ดีก็เอามา พี่เหมาหมดแผง”
แม่นิ่มที่นั่งแอบอยู่ก็ชะงักที่ได้ยินเนื่องพูดเช่นนั้น ทับทิมค้อนเนื่องแล้วบอก
“ฮึ เดี๋ยวเหมา เดี๋ยวเหมา ฉันรู้หรอกน่ะว่าพี่เนื่องคิดอะไรกับฉัน”
“คิดอะไร เฮ้ย แม่”
นางนิ่มโผล่ขึ้นมามองเนื่องอย่างโกรธๆ เนื่องตกใจจนตาเหลือกลนลาน
บริเวณชานเรือนบ้านนิด มีชุดรับแขกชุดใหม่ที่โก้หรูกว่าเดิม แต่นางนิ่มและเนื่องนั่งอยู่กับพื้นแบบชาวบ้านตามความเคยชิน นางนิ่มซักไซ้ไล่เลียงเรื่องราว เนื่องแก้ตัวให้นิดอย่างสุดความสามารถ
“ข่าวในหนังสือพิมพ์น่ะมันหมายความว่ายังไง” นางนิ่มถาม
“โธ่ แม่มันเป็นข่าวกุ แต่งเรื่องขึ้นมาโจมตี คือยังงี้ ละครคณะนิดมันโด่งดัง ไอ้คณะคู่แข่งมันก็คบกับหนังสือพิมพ์ฉบับนี้แกล้งปล่อยข่าวเสียๆ หายๆ ออกมา”
นางนิ่มไม่เชื่อ สีหน้า แววตามีความกังวลจัด
“แม่ไม่เข้าใจว่า ทำไมพ่อเสียมถึงยอมให้นิดไปเล่นละเม็งละคร”
“ก็นิดมันชอบร้องเพลง ไอ้เสียมก็เลยสนับสนุน”
“อยู่ดีไม่ว่าดี ไปทำให้มันเปลืองเนื้อเปลืองตัวให้คนเขามาครหานินทาเอาได้”
เชิดส่งเสียงนำมาก่อนตัว เดินเข้ามาในเขตบ้าน
“เฮ้ย ไอ้เนื่อง ทำไมวันนี้เลิกแผงเร็วจริง”
เนื่องสะดุ้งสุดตัวหอบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาแล้วรีบลุกพรวดขึ้นแล้วรีบกำชับนางนิ่ม
“แม่ ข่าวนี่อย่าให้ไอ้เชิดรู้นะ ไม่งั้นมันแล่นไปบางกอกไปฆ่าไอ้พวกนักข่าวแน่”
เนื่องหอบหนังสือพิมพ์วิ่งปรู๊ดเข้าห้อง เชิดเดินขึ้นเรือนมาพอดี สังเกตเห็นว่า นางนิ่มมีสีหน้า แววตาเศร้าจัด
“อ้าว แม่นิ่มเป็นอะไร ทำไมสีหน้าไม่ดีเลยล่ะจ๊ะ”
นางนิ่มพูดไม่ออก ครั้นอยากจะบอกเชิดก็ไม่กล้า เชิดดึงนางนิ่มขึ้นไปนั่งเก้าอี้อย่างอ่อนโยน เชิดนั่งลงบนพื้นแล้วถามไถ่ต่อ
“ไม่สบายหรือเปล่าจ้ะ แม่นิ่ม”
“เป็นห่วงนิดมันน่ะ พ่อเชิด”
“โธ่ เป็นห่วงทำไมจ๊ะ ตอนนี้นิดเค้าสบายแล้ว นิดเป็นวนิดาเป็นดาวที่จรัสแสงที่สุดของฟ้าเมืองไทย เป็นที่รักของทุกๆ คน”
เชิดพูดด้วยดวงตาซึ่งเปี่ยมไปด้วยความรัก ความภูมิใจ แต่แฝงความเศร้าในแววนั้นอย่างลึกซึ้ง เพราะความหวังที่หมายมั่นไว้นั้นคล้ายจะเหลือแค่นิดเดียว
นางนิ่มได้แต่ถอนใจ เพราะเรื่องมันไม่ได้เป็นอย่างที่เชิดว่า นางนิ่มแอบซ่อนน้ำตา เอนลงกับพนักเก้าอี้ท่าทางเหมือนคนหมดเรี่ยวแรง
วันใหม่ สรรค์ลงจากรถแล้วเดินมาที่ระเบียงบ้านบ้านเช่านิด แต่บ้านปิดเงียบ ไม่มีใคร สรรค์จะเดินเข้าบ้าน แต่คนขับรถของชดเรียกไว้
“มาหาคุณวนิดาหรือครับ คุณ”
สรรค์พยักหน้าถาม
“คุณวนิดาไม่อยู่หรือ”
“คุณวนิดากับคุณแก้วมีธุระด่วนครับ ไปต่างจังหวัด”
สรรค์ใจหายวาบ
“ต่างจังหวัด ไปไหนกัน”
“ผมก็ไม่ทราบแน่เหมือนกัน อ้อ คุณวนิดาฝากจดหมายถึงคุณด้วยครับ”
สรรค์คลี่จดหมายในมือออกอ่าน
“คุณสรรค์ที่รัก ดิฉันและแก้วมีธุระด่วนต้องกลับบ้านที่สีชัง คาดว่าจะไปราว ๒ สัปดาห์ เมื่อกลับมาดิฉันจะรีบติดต่อคุณทันที รักและระลึกถึง วนิดา
ป.ล ดิฉันโทรศัพท์ไปหาคุณที่บ้าน แต่แม่ผินไม่ยอมให้ดิฉันพูดกับคุณ”
สรรค์พับจดหมาย ใจหายวับอย่างบอกไม่ถูก
เวลาต่อมา รถรับจ้างแล่นมาจอดหน้าเทอเรซ มารศรีเดินถือซองสีน้ำตาลหนาเดินลงมา รามซิงค์ นายไม้ ยืนชะเง้อไหว้ มารศรียิ้มรับ จงกลกับราตรีโผล่มาจากเทอเรซวิ่งเข้ามาไหว้ทักทายแล้วมีน้ำหูน้ำตานิดหน่อย
ภายในห้องโถงบ้านโพธิธารา พระชาญชลาศัยนั่งอยู่ที่โซฟา แม่ผินชะเง้อไปทางหน้าบ้าน พลางส่งเสียงไปทางเทอเรซ
“อู้ย อีนังพวกนี้ ใช้ให้ไปดูว่าใครมาดันหายหัวไปหมด ยังกะใช้แมวไปขอไฟ”
“ตกลงใครมาแม่ผิน” พระชาญชลาศัยถาม
“ว้าย นังคุณนายหยาดสวรรค์เจ้าค่ะ”
มารศรีเดินยิ้มเข้ามา แม่ผินค้อนควัก พระชาญชลาศัยลุกขึ้นดีใจแวบหนึ่ง มารศรีมองแล้วยกมือไหว้
คุณพระรีบทำหมางเมิน แล้ววางฟอร์มในทันที “อ้อ นั่งซี”
มารศรีขอบคุณแล้วนั่งลงตรงข้ามพระชาญชลาศัย โดยมารศรีวางซองไว้ที่ข้างตัวพลางเอ่ยทักทาย
“คุณพระสบายดีหรือคะ”
“ก็สบายดี ไม่ต้องทุกข์ร้อนคอยระแวงแคลงใจอยู่”
พระชาญชลาศัยพูดประชด ผินสะใจ มารศรียิ้ม
“ส่วนแม่ผิน ที่ได้ยินเสียงแปร๋แปร๋นเมื่อครู่ก็น่าจะสบายดี”
ผินค้อนขวับ “เชอะ”
“นี่เธอแค่แวะเวียนมาลับฝีปาก หรือว่ามีธุระปะปังอะไร”
“ดิฉันมีธุระกับคุณพระนิดหน่อยค่ะ”
“วู้ยจะธุระอะไรกันคะ ถ้าไม่ใช่เรื่องเงิน”
มารศรีทำตาโต
“ต๊าย แม่ผินทายถูกยังกะตาเห็น”
ผินค้อนขวับ พระชาญชลาศัยมีท่าทีอ่อนลงแล้วบอก
“ตอนเธอไป เราไม่ได้พูดกันเรื่องเงินทองเลย นี่ถ้าเธอลำบากฉันจะให้เธอไปใช้ก่อนซักก้อนหนึ่ง ส่วนอนาคตจะยังไงก็ไว้ค่อยพูดจากัน”
มารศรีเห็นเยื่อใยของพระชาญชลาศัยก็ยิ้มออกมา แต่ก็ยังแกล้งพูดหน้าตาเฉย
“ตายจริง คุณพระนี่ใจกว้างเป็นแม่น้ำ ขนาดดิฉับคบชู้สู่ชายก็ยังจะมีทุนรอนให้ดิฉันไปตั้งตัวอีก”
แม่ผินตบอกผาง คุณพระยิ่งเห็นมารศรีประชดก็ยิ่งรู้ขึ้นมาเองว่า มารศรีไม่ได้นอกใจ
มารศรีพูดเข้าเรื่องทันที
“ที่ดิฉันยืมเงินคุณพระไปลงทุนทำคณะละครน่ะค่ะ ฉันเอามาคืน”
มารศรีส่งซองให้ พระชาญชลาศัยรับมาเห็นเงินเป็นปึกราวหกหมื่นก็เทลงบนโต๊ะ แม่ผินมองตาค้าง
“ฉันให้เธอยืมแค่หมื่นเดียว แต่นี่มันตั้งหลายหมื่น”
“ทางคณะแบ่งผลกำไรมาให้ดิฉันแสนนึง ดิฉันหารครึ่งกับคุณพระก็คนละห้าหมื่นไงคะ”
แม่ผินดมยาแล้วพึมพำ
“กำไรแสนนึง”
“เธอไปทำละครคณะอะไร ไม่เห็นเคยบอกกัน”
“คณะบันเทิงไทยที่มีวนิดาเป็นนางเอกไงคะ”
พระชาญชลาศัยคิดปราดไปแล้วเข้าใจ แม่ผินฟังแล้วนึกตามแล้วร้องว้าย คุณพระลุกพรวดขึ้น
“เธอ นี่เธอรู้มาตลอดใช่ไหมว่านิดคือ วนิดา”
“ค่ะ ฉันคือหนึ่งคนที่สร้างนิดให้เป็นวนิดา”
คุณพระรู้ความจริงก็ทั้งอึ้ง ทั้งโกรธ ทั้งเสียหน้า ทั้งรู้สึกทึ่งแกมมาด้วย มารศรีลุกขึ้นพูดอย่างมุ่งมั่น
“ดิฉันอยากให้คุณพระรู้ว่า ในโลกสมัยใหม่ การเลื่อนสถานะของคนต่ำๆ คนเต้นกินรำกิน จนกลายเป็นศิลปินระดับชาติเป็นสิ่งเป็นไปได้”
พระชาญชลาศัยได้ฟังก็อึ้งไป มารศรีพูดต่อ
“คุณพระเองก็น่าจะภูมิใจนะคะว่ามีส่วนสร้างให้นิดเป็นวนิดาด้วยเหมือนกัน”
มารศรียกมือไหว้แล้วเดินฉับๆ ออกไป พระชาญชลาศัยนั่งลงมองดูกองเงินหกหมื่นบาท ซึ่งเป็นเงินที่มหาศาลมาก แม่ผินเดินมาเอานิ้วมาแตะๆ เงินดู เข้าทำนอง สิบตาเห็นไม่เท่าสัมผัส
เวลาเย็น … ที่เกาะสีชัง นิดสวมแว่นกันแดดสีดำ สวมหมวกและผ้าคลุมผมในสีสันสดใส ถือกระเป๋าใบเล็กๆ เดินเข้ามาถึงเขตบ้านพร้อมๆ กับแก้วที่ยังแต่งตัวแบบผู้ชายนิดๆ ทั้งสองชะงักเท้า หยุดยืนมองบ้านที่จากไปนานอย่างตื้นตัน
“ถึงบ้านแล้ว นิด” แก้วบอก
นิดพยักหน้ายิ้มทั้งน้ำตา
เชิดกับเนื่องถือแหอวนเดินมาจากชายหาด เห็นนิดกับแก้วพอดีก็ดีใจ
“เฮ้ย นั่นมัน” เนื่องว่า
“นิด” เชิดเรียกด้วยน้ำเสียงดีใจสุดๆ
เชิดทิ้งแหในมือวิ่งเข้ามาหา เนื่องรีบวิ่งตามมา
“นิด นิดกลับมาแล้ว”
“พี่เชิด พี่เชิด”
เชิดตาเป็นประกาย นิดเห็นเนื่องวิ่งตามมา
“นิดจะมาทำไมไม่บอก พี่จะได้ไปรับที่ท่าเรือ”
“นิดมาเองได้จ้ะ”
นิดถามเนื่องด้วยความห่วงใย
“แม่เป็นยังไงบ้างจ๊ะ พี่เนื่อง”
เนื่องกับเชิดหน้าหม่นลงเล็กน้อย
ในเวลาต่อมา นางนิ่มหน้าตาซีดเซียวนอนเอนอยู่ที่เก้าอี้นอนทันสมัย นิดเอายาหอมมาป้อนให้ แก้วเอาพัดมากระพือเหมือนพัดเตาฟืน เชิดมองอย่างเป็นห่วง แต่ก็กลบความดีใจที่เห็นนิดไม่ได้
นางนิ่มจิบยาหอมแล้วตอบนิด
“คนแก่ก็แบบนี้ ทรงๆ ทรุดๆ ไปตามประสา”
เนื่องยืนเท้าสะเอวพูดกวนๆ ตามนิสัย
“เห็นหน้าลูกสาวสุดที่รักเดี๋ยวก็หาย ดีกว่ากินยา”
“เจ้าเนื่อง นี่ประชดแม่หรือ” นางนิ่มถาม
“โธ่ ใครว่า ฉันอยากให้แม่หายดี ฉันถึงได้ทิ้งจดหมายไปตามนิดมันกลับมา”
“จริงนะ แม่นิ่ม พอเห็นนิดเท่านั้นแหละ สีหน้าแม่นิ่มสดใสขึ้นตั้งเป็นกอง” เชิดบอก
นางนิ่มมองค้อนแล้วยิ้มๆ สีหน้าสดใสจริงอย่างที่เนื่องว่า แก้วอดแขวะตามประสาไม่ได้
“แต่ก็ยังน้อยกว่าพี่เชิดล่ะ ดูซี หน้าบานเป็นใบบัวสดทีเดียว”
เชิดหัวเราะอย่างเขินๆ ทุกคนยิ้มแย้ม บรรยากาศสดใส นางนิ่มถามขึ้น
“เออ แล้วพ่อเสียมล่ะ ทำไมพ่อเสียมไม่มาด้วยล่ะลูก”
ทุกคนนิ่งไปด้วยความรู้สึกต่างๆ กัน
“พี่เสียมมีธุระสำคัญที่พระนครจ๊ะ ต้องจัดการให้เสร็จก่อน”
เชิดมองหน้านิดอย่างหนักใจ
ที่มุมหนึ่งของบ้าน นิดเดินเอาแก้วยาหอมมาเก็บ เชิดเดินตามมาคุยด้วย
“นิด”
“จ๊ะ พี่เชิด”
เชิดมองซ้ายมองขวาอย่างระวัง ก่อนจะพูดน้ำเสียงจริงจัง
“เมื่อไหร่นิดจะบอกความจริงกับแม่นิ่มว่า ไอ้เสียมมันตายไปแล้ว”
นิดนิ่งไป ลังเลว่าจะตอบเชิดยังไง เชิดพูดต่อ
“ยังไงซักวันแม่นิ่มก็ต้องรู้ความจริง สู้ให้รู้ไปเสียเลยไม่ดีกว่าหรือ นิดจะหลอกแม่นิ่มไปทำไม”
นิดมองเชิดด้วยดวงตาสดใส รักและขอบคุณ
“พี่เชิดจ๋า ขอเวลานิดหน่อยนะจ๊ะ นิดจะบอกความจริงเรื่องพี่เสียมกับทุกคน นิดจะบอกให้หมดทุกอย่าง อีกไม่นานหรอกจ้ะ”
เชิดมองหน้าที่สดใสและแววตาวาดหวังของนิดอย่างแปลกใจ
สรรค์รออยู่ที่ห้องโถงบ้านเนาวรัตน์ เดือนกับวาดรอรับใช้อยู่ห่างๆ สรรค์ยืนมองรูปสุวลีที่ติดอยู่ เหมือนรูปมองตอบมา สรรค์รู้สึกสะท้อนสะท้านใจ
คุณหญิงบัวผันและเฟื่องเข้ามา สรรค์ยกมือไหว้ บัวผันรับไหว้
“ไหว้พระเถอะจ้ะ” บัวผันรับไหว้
“ผมหาคุณสุครับ”
“ยายสุไม่สบายจ้ะ”
“คุณน้องป่วยหนัก นอนซมอยู่ข้างบนแน่ะค่ะ”
“เป็นอะไรไปครับ”
“อุ๊ย ก็ไข้งอนเจ้าคุณพ่อน่ะแหละจ้ะ ไม่กระไรนักหรอก พ่อสรรค์จะขึ้นไปเยี่ยมน้องหน่อยไหม”
“ครับ ถ้าไม่เป็นการละลาบละล้วงเกินไป”
“ละลาบละล้วงอะไรกัน จะแต่งกันอยู่วันนี้พรุ่งนี้แล้ว”
สรรค์ฝืนยิ้มรับแล้วถอนใจ
จวนเปิดประตูให้สรรค์เดินเข้ามาแล้วคุกเข่าลง สรรค์เดินมาที่เตียงสุวลีอย่างช้าๆ สุวลีนอนนิ่ง ใบหน้าดูซีดแต่ก็ยังงดงามเนียนละมุนดังเคย ดวงตาปิดสนิท หายใจแผ่วเบา สรรค์มองดู เห็นมือที่ประสานอยู่แนบอกสุวลีสวมแหวนของตนอยู่ก็อึ้งไป
สรรค์หันไปเห็นรูปดอกไม้ของตนติดเด่น บนโต๊ะข้างเตียงมีรูปในกรอบเงินมากมาย ล้วนเป็นรูปสรรค์ในวาระต่างๆ มีทั้งรูปเดี่ยวและที่ถ่ายคู่กัน สรรค์ถอนใจ สุวลีขยับขยับตัว ปรือตา เพ้อด้วยพิษไข้ เสียงพูดแผ่วเบา
“สรรค์คะ...สุขอโทษ สุไม่ทราบว่าคุณน้าจะ...สุขอโทษ”
สุวลีเหมือนหมดแรงแล้วเงียบไป สรรค์ถอนใจจับมือสุวลีมากุมแล้วจูบเบาๆ ก่อนก้าวยาวออกจากห้องไป จวนปิดประตูลง
สรรค์หยุดยืนหน้าห้องถอนใจหนักก่อนรำพึงเบาๆ กับตัวเอง
“สุ สุน่าสงสารเหลือเกิน ผมจะบอกสุยังไงดี”
ภายในห้องนอน สุวลีลืมตายันกายขึ้นจากเตียงแล้วยิ้มนิดๆ พลางกรายมือแล้วถอดแหวนของสรรค์ออกจากนิ้ว
ภายในร้านสรรค์ศิลป์ สรรค์ยืนมองดูรูปสาวน้อยที่วินโดว์หน้าร้านแล้วคิดถึงวนิดา
ในบ้านนิดที่เกาะสีชัง นางนิ่มนั่งเหยียดเท้า นิดเอายาและน้ำมาป้อนให้ แก้วกับนิดนวดขาคนละขาให้นางนิ่มที่ยิ้มสุขใจ
ภายในห้องทำงานบุญมาที่บ้านชูวงศ์ บุญมาพิมพ์คำ “อวสาน” ลงในตอนสุดท้ายของนิยายเรื่อง “แก่นแก้ว” แล้วดึงออกมารวมกับปึกต้นฉบับนิยายอย่างภูมิใจแล้วมองดูรูปแก้ว
บริเวณหาดทรายชายทะเล แก้วเอาไม้กรีดเขียนชื่อ “บุญมา” บนผืนทราย เนื่องเดินผ่านมาเห็นเข้า แก้วสะดุ้งเฮือกรีบเอาไม้เขี่ยทรายลบชื่อ เนื่องหยุดดูแล้วส่ายหัวไม่เข้าใจ
บริเวณบ้านนิด นิดกำลังโปรยปรายข้าวให้ไก่กินด้วยแววตาชวนฝันมีความสุข เชิดยืนมอง อย่างประหลาดใจ
ภายในภัตตาคารหยาดสวรรค์ในเวลากลางคืน มารศรีนั่งอยู่ตรงข้ามกับพระชาญชลาศัย ที่ทำหน้าเคร่ง มารศรียิ้มยั่ว
“คุณพระนัดดิฉันมาเลี้ยงข้าวเป็นการตอบแทนหรือคะ”
“นี่เธอคงสะใจมากซีนะ”
“หรือว่านัดเลี้ยงฉลองที่คุณพระจะมีสะใภ้เป็นดาราโด่งดัง”
“เธอแน่ใจเหลือเกินนะว่า แม่นิดจะจับเจ้าสรรค์อยู่มือ”
“ค่ะ แกทำได้แน่”
“ถ้าเด็กนั่นทำได้ฉันก็จะยอมแพ้ แต่เธอต้องสัญญากับฉันอย่างนึง”
มารศรีเลิกคิ้วอย่างสงสัย คุณพระพูดต่อ
“เธอจะต้องไม่ปริปากเล่าเรื่องสีชังให้เจ้าสรรค์รู้เป็นอันขาด”
“ถ้าดิฉันจะพูดคงพูดไปเสียนานแล้ว ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ ดิฉันสัญญาจะไม่ปริปากพูดเรื่องนิด เรื่องสีชัง กับคุณสรรค์เป็นอันขาด แม่นิดจะต้องชนะใจคุณสรรค์ได้ด้วยตัวของเธอเอง”
มารศรีพูดอย่างมั่นใจ
บริเวณซอกตึกเปลี่ยวในเวลาต่อมาซึ่งเป็นทางที่ลัดไปยังถนนที่พระชาญชลาศัยจอดรถไว้ คุณพระเดินหน้าบึ้งมาขึ้นรถ มีเงาร่างหนึ่งเดินตามมา คุณพระก้าวเท้าอย่างไม่ได้สนใจ ทันใดร่างนั้นก้าวมาเงื้อไม้ฟาดโครมลงกลางหลังจนพระชาญชลาศัยร้อง “โอ้ย” และถลาล้มลง
พระชาญชลาศัยตะกายหันมาเห็นสินถือไม้ยืนค้ำอยู่
“นี่แกหรือ แกต้องการอะไร ไอ้ไพร่ ไอ้ชายชู้”
“ชู้หรือ กูหลงรักมารศรีมาเนิ่นนานแล้ว แต่แค่กอดก็ยังไม่เคย”
พระชาญชลาศัยได้ฟังก็มีสีหน้าอึ้งไป
“มารศรีรักมึงขนาดไหน ดีกับมึงขนาดไหนแต่มึงก็ไม่รู้ ไอ้ผู้ดีหน้าโง่ มึงกลับไล่เหมือนหมูเหมือนหมา กูขอเอาเลือดหัวผู้ดีมึงออกซักที”
สินเงื้อไม้จะฟาดลงอีก พระชาญชลาศัยเอาแขนรับจนรู้สึกเจ็บปวด แต่ก็ยังกัดฟันโถมเข้าหาสินจนหงายหลังไป
คุณพระต่อยเข้าที่ปากจนสินปากแตก ก่อนที่สินจะพลิกตัวขึ้นบนได้ เอามือบีบคอจนพระชาญชลาศัยดิ้นพราดจวนเจียนจะสิ้นลม
สาวน้อย ตอนที่ ๒๙ (ต่อ)
ทันใดนั้นมีไม้ฟาดผัวะเต็มเข้าที่กกหูสินจนมันล้มตะแคงไป นายไม้ยืนจังก้าแล้วทิ้งไม้เข้าไปประคองพระชาญชลาศัย
“คุณพระเป็นยังไงบ้างขอรับ”
“ก็เจ็บนะซีวะ”
ที่สถานีตำรวจในเวลาต่อมา นายร้อยตำรวจหนุ่มมองดูสินด้วยสายตาอย่างข่มขู่
“แกรับมาซะดีๆ ว่าคุณมารศรีจ้างวานแกหรือเปล่า”
สินนั่งอยู่ตรงข้ามกับตำรวจ ตรงหน้ามีโต๊ะสี่เหลี่ยมเล็กคั่นอยู่ ห้องสอบสวนนั้นเป็นห้องสีเหลี่ยมเล็กดูอึดอัด
“เปล่า มารศรีรักไอ้คุณพระนั่นจะตาย”
บริเวณห้องข้างๆ มีบานกระจกใสติดไว้ ในห้องนั้นไฟสลัวกว่าห้องสอบสวน เมื่อมองจากห้องสอบสวนออกไปแทบจะมองไม่เห็นสรรค์ พระชาญชลาศัยและนายตำรวจอีกนายยืนอยู่ คุณพระอึ้งไปกับคำสารภาพของสิน สรรค์มองดูพ่อ
สินมองมายังบานกระจกเห็นแต่เงาคน แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร
“ผมทำเพื่อปกป้องเกียรติมารศรี แก้แค้นที่มันดูหมิ่นน้ำใจเธอ”
สรรค์และพระชาญชลาศัยอึ้งไปทั้งคู่ นายตำรวจยังสอบสวนต่อไป
“คราวนี้แกแกลงมือเอง แต่คราวก่อนที่แกทำร้ายลูกชายคุณพระล่ะ แกทำเพื่อปกป้องเกียรติยศเกียรติศักดิ์คุณมารศรีอีกอย่างนั้นหรือ”
สินมองหน้านายร้อยหนุ่มแล้วมองมายังกระจกราวจะสบตาสรรค์และพระชาญชลาศัย สินยิ้มเยาะแล้วบอก
“ถ้าผมไม่พูด พวกผู้ดีนั่นคงจะกล่าวโทษมารศรีอยู่ร่ำไป ไอ้ลูกชายจอมกร่างของคุณพระ มันคงลืมไปแล้วกระมัง ว่าไปก่อเรื่องชกต่อยไว้ที่หยาดสวรรค์”
สรรค์นิ่งฟัง พระชาญชลาศัยหันมามองหน้าแล้วถาม
“จริงหรือลูก แกมีเรื่องกับใคร”
สรรค์นึกแล้วครางเบาๆ
“ผมมีเรื่องกับนายนพ”
ในห้องสอบสวน นายตำรวจถามและฟังสินต่อไป
“แล้วยังไงต่อไป”
บริเวณห้องน้ำหยาดสวรรค์ในคืนเกิดเหตุ สินยืนกุมเป้าเหมือนรอคำสั่ง ธนาในชุดสูทกำลังล้างหน้าอยู่ที่อ่างล้างหน้า
“ครับ แค่สั่งสอนมันให้หนักแต่ไม่ต้องถึงตาย”
สินย้ำคำสั่งที่ได้รับการว่าจ้างจากธนา
ธนาเงยหน้าขึ้นจากอ่างแล้วแตะแผลที่ปาก ภายใต้ใบหน้าที่ดูยิ้มๆนั้น แต่ดวงตากลับฉายแววเหี้ยมเกรียม สินส่งผ้าให้
“ใครทำอะไรไว้ก็ควรจะได้รับผลอย่างนั้น พวกผู้ดีเก่าจะได้รู้ว่า มันไม่ได้อยู่เหมือนใครๆ อีกต่อไป” ธนาบอก
ธนาซับหน้าช้าๆ และใช้ผ้าแตะแผลที่ปาก
สรรค์ยืนอึ้งตะลึงตะไลกับคำสารภาพของสิน
“นายธนาอย่างนั้นหรือ”
พระชาญชลาศัยส่ายหน้ามีแววสำนึกผิดในแววตา
“มารศรีไม่ได้เกี่ยวข้อง มารศรีพูดความจริงมาตลอด”
สรรค์มองพ่อแล้วก็พูดไม่ออก
วันใหม่ ภายในห้องรับแขกบ้านเนาวรัตน์ สุวลีนั่งอยู่บนโซฟาดูงดงามเหมือนเคย สรรค์นั่งอยู่ตรงหน้า หน้าเคร่งตาขุ่นแต่กลับไม่โกรธเท่าที่ควร แม่เฟื่องยืนอยู่หลังสุวลี
“ผมจะเอาเรื่องมัน นี่ตำรวจกำลังจะเรียกตัวมันมาสอบสวนอยู่”
“ไม่ได้นะคะสรรค์”
“ทำไมสุ หรือว่าสุอยากปกป้องมันเป็นพิเศษ”
สุวลีหน้าเผือดดวงตามีพิรุธเพียงแวบเดียวก็พูดอย่างสุขุมเป็นปกติ
“สุไม่ได้ปกป้องอะไรธนาหรอกค่ะ แต่สุเห็นว่า ถ้าเป็นเรื่องราวขึ้นมา คงเป็นเรื่องอื้อฉาว สุไม่อยากเป็นเป้าของคำติฉินนินทา แล้วอีกอย่าง ธนามีธุรกิจกับเจ้าคุณพ่ออยู่ ถ้าคุณเอาเรื่องก็จะหยิกเล็บเจ็บเนื้อไปหมด นึกว่าเห็นแก่สุนะคะ”
สรรค์มองหน้าสุวลีแล้วอ่อนลง
“ต่อให้ผมไม่เอาเรื่อง แต่นี่เป็นคดีอาญาตำรวจก็คงดำเนินการเอง”
“นายธนาหัวหมอจะตาย แค่คำปรักปรำของพวกหัวไม้คนนึงคงทำอะไรไม่ได้หรอกค่ะ”
“แต่มันทำให้ผมความจำเสื่อมกลายเป็นคนบ้าใบ้อยู่ตั้งครึ่งปีนะสุ”
“แต่ก็ทำให้สุได้มีโอกาสดูแลคุณไงคะสรรค์”
สุวลีขยับมานั่งกับสรรค์ที่กำลังอึดอัด สุวลีกุมมือสรรค์พลางยิ้มแย้มมองลึกไปในดวงตา
“หกเดือนนั่นที่บ้านสวน ถึงสุลำบากแค่ไหน แต่สุก็มีความสุขที่ได้อยู่ข้างๆ สรรค์ตลอดเวลา”
สุวลีซบหน้ากับอกสรรค์ สรรค์นิ่งอั้น
ช่วงเวลาตอนกลางวัน ที่บริเวณตลาดหน้าด่าน เกาะสีชัง ทับทิมมีสีหน้าหมอง แผงหนังสือว่างวาย เลิกแขวนแมกกาซีนที่มีรูปวนิดา ยายแสนั่งเซ็งอยู่ข้างๆ
“คนเหมือนกันแต่ทำไมไม่เหมือนกัน ฮือ นังนิดมันก็วิ่งแก้ผ้าโตมากับฉัน แต่ทำไมมันได้ผัวผู้ดีชาวกรุงหล่อยังกะเทพบุตร ตอนนี้มันยังเป็นดาราโด่งดังคับเกาะอีก” ทับทิมระบดระบาย
“หมั่นไส้นังนิ่มจัดงานฉลองอ้างว่าหายป่วย หายไข้ ที่แท้ก็จะอวดรวยเลี้ยงคนทั้งเกาะ เชอะ ชังน้ำหน้า” นางแสว่า
“แปลว่าแม่จะไม่ไป”
“บ้า ของฟรี ไม่ไปก็โง่ซี”
“ฉันมาตรองดู ไหนๆ ก็แข่งบุญมันไม่ได้ก็อาศัยเกาะใบบุญนังนิดเลยดีกว่า”
“เอ็งพูดอะไร”
“ฉันจะจับพี่เนื่องเป็นผัว จริงๆ นะแม่”
นางแสอ้าปากค้างแล้วค่อยพยักหน้าหงึกๆ เห็นดีกับลูกสาวด้วย
ภายในบ้านนิดที่เกาะสีชัง เวลากลางคืน มีการประดับไฟพอสมควร ลานหน้าบ้านยกเวที มีวงดนตรี 4-5 ชิ้น ที่หน้าเวทีมีการยกพื้นปูเสื่อต่อๆกันไป มีการตั้งวงอาหารและเหล้ากันนับสิบวง ทางด้านหน้าเป็นแขกผู้ใหญ่กับเจ้าภาพ ถัดไปเป็นพวกชาวบ้านและแขกรุ่นเด็ก
นางนิ่ม นายด่าน แม่ปราง หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ บรรดาผู้ใหญ่นั่งฟังนิดคุย แก้วมีอาการเบื่อแล้วมองไปเห็นวงหนึ่ง ซึ่งมีเนื่องกับหนุ่มๆ สาวๆ กินเหล้ากัน ทับทิมเบียดกระแซะเนื่อง คอยรินเหล้าให้ไม่ขาดสาย นางแสและพวกแม่ค้าอยู่อีกวง ส่วนไอ้แม้นนั่งเอ๋ออยู่ คนเข้ามาแกล้งแม้นเล่นแต่เชิดคอยกันไว้เพราะสงสาร
แก้วลุกจากวงของตนมากระแซะเชิดพลางกระซิบถามอย่างอยากรู้
“นี่ พี่เชิด นังทับทิมมันมาคั่วพี่เนื่องตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ก็ตั้งแต่แม่นิ่มร่ำรวยขึ้นมานะซี ทำไมเอ็งหึงหรือ”
“ไม่ได้หึงแต่หวง ...เฮอะ ฉันไม่อยากได้นังทับทิมมาเป็นพี่สะใภ้หรอก”
ทับทิมเอาเหล้าป้อนถึงปากเนื่องก่อนเอามือดันแก้วเหล้าให้เนื่องดื่มจนหมด ทับทิมหันไปหลิ่วตากับนางแสที่นั่งพยักเพยิดตอบรับ แก้วเห็นท่าทีทั้งหมดก็อ้าปากค้าง
เวลาดึกมากมีเสียงนักร้องสมัครเล่นดังแว่วมา วงเหล้าก็ยังมีเสียงสรวลเสเฮฮาอยู่ นิด แก้วพานางนิ่มมานั่ง นิดเอาขวดยามาดูแล้วเปิดเทใส่มือ
“ดึกแล้ว แม่กินยาแล้วนอนเถอะนะจ๊ะ”
“เสียงเอะอะมะเทิ่งอย่างนี้ ใครจะหลับเข้าไปได้”
“แหม แม่กินยานี่ทีไรก็เห็นแม่หลับไปจนสายทุกที”
นิดส่งยาเม็ดเล็กให้นางนิ่มส่งแก้วน้ำตาม แก้วมองดูขวดยาแล้วตาวาว
วงเหล้าหลายวงเมาพับอยู่ตรงนั้น บางวงก็สลายตัวกลับบ้านไป บางวงก็เมาโวยวายกันโหวกเหวก บางวงยิ่งเมาก็ยิ่งครึกครื้น โดยเฉพาะวงของเนื่องกับทับทิม วงนางแสที่เมาพับอยู่ ไอ้แม้นนั่งเล่นไม่รู้เรื่อง แก้วเดินเข้ามานั่งแทรกกลางเนื่องกับทับทิมทันที
“ว้าย อะไรยะ...เอ้อ อะไรจ้ะแก้ว” ทับทิมว่า
“ฉันกินด้วยซี” แก้วบอก
“เฮ้ย ไม่ได้เอ็งเป็นเด็กเป็นเล็ก” เนื่องว่า
“ฉันคุณแก้วกิริยา ดาราเกือบดังไม่ใช่เด็กแล้ว เอางี้ฉันจะชงเหล้าให้”
แก้วกุลีกุจอชงเหล้าให้เนื่องพลางเอามือบังทำมุบมิบบางอย่าง ทับทิมรำพึง
“หมูจะหามเอาคานเข้ามาสอด”
“หา อะไร ใครขึ้นคาน เอ้า นี่ของพี่เนื่อง”
เนื่องหัวเราะก๊ากรับแก้วเหล้ามา แก้วหันมาส่งอีกแก้วให้ทับทิม
“ทับทิม นี่ของเธอ”
ทับทิมรับมาดื่มไปครึ่งแก้ว แก้วทำหน้านางร้าย
เช้าวันใหม่ ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากท้องทะเล บรรยากาศสดใส จนยามสายที่แสงแดดเริ่มจัดจ้าขึ้น ที่ยกพื้น เหลือขี้เมาหลับอยู่ ๓-๔ คน รวมทั้งนางแสที่ผวาลุกขึ้นมาทันที
“นังทับทิม วุ้ย เผลอหลับไป ป่านนี้ ข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกแล้ว”
นางแสยิ้มร่าลุกขึ้นไปเดินดูก็เห็นนิด เชิด และนางนิ่มเพิ่งกลับมาจากตักบาตรในตอนเช้าพอดี
“อ้าว แม่แส ตื่นแล้วหรือ” นางนิ่มทักทาย
นางแสรีบทำหน้าตื่น โวยวายตามแผนการทันที
“นี่ แม่นิ่ม แม่นิด เห็นนังทับทิมบ้างไหม”
“ไม่เห็นนี่จ้ะ” นิดบอก
“ต้าย ช่วยฉันหาหน่อยเถอะ เมื่อคืนเห็นมันใกล้ชิดสนิทแนบกับพ่อเนื่อง ต้าย นี่พากันไปถึงไหนก็ไม่รู้”
นางนิ่มชักรู้สึกไม่ชอบมาพากลพลางหันไปมองหน้านิดและเชิด
นิด นางนิ่ม เชิด และนางแสเดินตามหาทับทิม ที่บริเวณกระท่อมเพิงหมาแหงนริมหาดมีชาวบ้านรวมทั้งเด็กทะลึ่งแอบดูพลางซุบซิบกันคิกคัก
“ว้าย นั่นดูอะไรกัน” นางนิ่มว่า
“นังทับทิมซะก็ไม่รู้” นางแสบอก
นางแสวิ่งนำไป นิด นิ่ม เชิด มีอาการร้อนใจตามแหวกคนเข้าไปสมทบ แล้วชะงัก ในเพิง ทับทิมผ้าหลุดลุ่ยนอนกอดก่ายกับผู้ชาย มีผ้าผวยเก่าๆ คลุมไว้ เห็นแต่ขาโผล่ออกมา
“ฉิบหายแล้ว ไอ้เนื่อง” เชิดร้องลั่น
“เจ้าเนื่องทำไมทำอย่างนี้” นางนิ่มว่า
นางแสยิ้มร่าคิดว่าแผนจับเนื่องของลูกสาวเป็นผลสำเร็จ ก็เปลี่ยนน้ำเสียงเป็นกราดเกรี้ยวทันที
“โธ่เอ๋ย นังทับทิม เสียแรงเลี้ยงถนอมกล่อมเกลี้ยงมา มาเสียทีเค้าจนได้ ฮือๆ แม่นิ่ม แม่นิ่มต้องรับผิดชอบนะ”
“เจ้าเนื่องๆ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้นะ” นางนิ่มร้องบอก
“อะไรแม่ เรียกฉันทำไม” เสียงเนื่องดังขึ้น ...
ทุกคนสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงเนื่องดังมาจากด้านหลัง เนื่องเดินมากับแก้วที่ทำหน้าซื่อ เนื่องเดินไม่รู้เรื่องก็เดินเข้ามา ยายแสอ้าปากค้างพลางชี้นิ้วไปที่เนื่อง
“พี่เนื่อง” นิดเรียก
“อ้าว เนื่องอยู่นี่หรือลูก”
“ก็อยู่นี่ซี อ้าว เฮ้ย ใครมานอนกอดกัน”
ยายแสเอานิ้วชี้เนื่องค้าง แล้วชี้นิ้วระริกระรัวไปที่ทับทิมนอนอยู่
“แล้วไอ้นี่ใคร อีทับทิม อีทับทิมลุกขึ้นมานะ”
นางแสกระโจนไปจิกผมลูกสาว ทับทิมงัวเงียตื่นขึ้นแล้วผวากอดแม่พลางมองดูรอบตัว
“แม่จ๋า หมดแล้ว พี่เนื่องปล้ำฉัน”
“อ๋อ เหรอ”
“แม่นิ่มต้องให้พี่เนื่องรับผิดชอบฉันนะจ๊ะ”
นางนิ่ม นิด เนื่องมองกันทำตาปริบๆ แก้วหัวเราะพรืดออกมา
“พี่เนื่องจะรับไหมจ้ะ”
ทับทิมมองไปข้างหน้า เห็นเนื่องยืนอยู่ข้างแก้วก็ตาเหลือกลนลาน
“ว้าย พี่เนื่องไปอยู่ตรงนั้นได้ยังไง แล้วไอ้นี่มันใคร”
ไอ้แม้นงัวเงียตื่นออกมาจากผ้าห่มทำเอียงคอร้องทักทับทิม
“จ้ะเอ๋”
ทับทิม ยายแสร้องกรี้ดสุดเสียง
“ไอ้แม้น ไอ้ปัญญาอ่อนแกมานอนข้างฉันทำไม ฮือๆ พ่อแม่พี่น้องมันปัญญาอ่อนเหมือนเด็กๆ มันไม่ได้ทำอะไรฉันหรอก” ทับทิมว่า
“ใช่ๆๆ ไอ้แม้นมันเหมือนเด็กๆ ไม่มีอะไรหรอก ทับทิมกลับบ้านลูก”
นางแสเข้าข้างลูกสาวแล้วดึงทับทิมขึ้นทันที ทับทิมกระชักผ้ากระโจมอก ไอ้แม้นก็ลุกขึ้นขยับผูปมผ้า ทุกคนชี้ชวนกันดู ทับทิมก้มลงมองไปที่ตัวเองก็พบว่า เอาผ้าขาวม้าไอ้แม้นมากระโจมอก ส่วนไอ้แม้นก็นุ่งโสร่งหลากสีของทิบทิมอยู่ นางนิ่มพูดขึ้น
“ท่าทางมันจะไม่เด็กแล้วล่ะ แม่แส”
“ท่าทางจะได้เด็กมากกว่า” เนื่องบอก
ชาวบ้านหัวเราะกันเกรียว
บริเวณโถงห้องโพธิธาราในวันใหม่ สรรค์กำลังคุยโทรศัพท์กับนิด
“คุณน้อย กลับมาแล้วหรือครับ”
นิดนั่งอยู่บนโซฟาในบ้านเช่ากำลังโทรศัพท์ด้วยหน้าตาสดใส
“ค่ะ เพิ่งมาถึง”
“ผมคิดถึงคุณน้อยเหลือเกิน”
นิดตาวาวอย่างมีแผน
“คิดถึงก็มาทานข้าวด้วยกันสิคะ เอาอย่างนี้ ฉันจะรับคุณที่บ้านนะคะ จะได้ไปกราบคุณพ่อของคุณด้วย”
นิดวางสายแล้วพรายยิ้ม เธอพร้อมแล้วสำหรับก้าวต่อไป...
ในสวนบ้านชูวงศ์ที่บรรยากาศแสนโรแมนติก แก้วกับบุญมานั่งอยู่ที่เก้าอี้ในสวน ข้างเก้าอี้มีกระเป๋าเอกสารของบุญมาวางอยู่ แก้วกำลังหวิวไหวเพราะบุญมาคว้ามือแก้วมากุมไว้ มองตาแก้วอย่างซาบซึ้ง
“แก้ว ฉันกับเธอก็รู้จักกันมานานแล้ว ถึงจะไม่สนิทสนมเท่าพี่เนื่องของเธอ แต่เราก็รู้ใจกันดี”
แก้วใจเต้นระทึก
“แก้ว ฉันมีอะไรอยากจะขอร้องเธอ”
“อะไรคะ” แก้วส่งหวาน
“ฉันอยากจะขอเธอ ขอให้เธอช่วยอ่านนิยายของฉันให้หน่อย”
แก้วชะงักตาเบิกกว้าง บุญมายังจับมือแก้วข้างหนึ่งไว้หนึ่ง อีกมือคว้าปึกต้นฉบับมาจากกระเป๋า แก้วเลิกเคลิ้มกระชากมือออก บุญมาวางปึกต้นฉบับให้แก้วรับไว้
แก้วหน้าหงิกถาม
“จะมาให้ฉันอ่านทำไม”
“มันเป็นเรื่องบ้านเกิดนางเอกที่เกาะ ฉันกลัวว่าข้อมูลผิด ฉันไม่อยากปล่อยไก่”
“อ้อ นี่เห็นฉันเป็นนางบ้านนอกใช่ไหม”
“อือ”
บุญมาพยักหน้า แก้วลุกพรวดแล้วเชิดหน้าเอาต้นฉบับมาถือแนบอก
“เดี๋ยวฉันต้องไปซ้อมเต้น ฉันไปล่ะ”
แก้วเดินงอนป่องๆ ไป บุญมาเกาหัวไม่รู้เรื่องว่าโกรธเรื่องอะไร
ในเวลาเย็น พระชาญชลาศัยกำลังนั่งอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ที่โซฟาในโถงบ้านโพธิธารา แม่ผินคอยดูแล สมพงษ์กับบัวกลับมาจากร้านก็มารับใช้ คุณพระวางหนังสือพิมพ์ลงบนโต๊ะข้างๆ แล้วเห็นรูปมารศรีในกรอบเงิน คุณพระชะงักหยิบขึ้นมาดู สมพงษ์กับบัวสะกิดกันให้ดูแล้วอมยิ้ม
แม่ผินถือน้ำส้มคั้นมาให้พระชาญชลาศัย พอเห็นเข้าก็ตาเบิกโพลงบอก
“ว้าย อิฉันเก็บ อิฉันงำลงหีบลั่นกุญแจไว้ในห้องเก็บของแล้ว ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้ ไอ้อีคนไหนเอามา”
บัวจัดดอกบัวลงแจกันง่วนอยู่ สมพงษ์ขัดร้องเท้าสรรค์จนหนังเกือบสึก มีเสียงรถแล่นเข้ามา
“ใครมา”
สมพงษ์พูดขึ้นและได้โอกาสจึงรีบวิ่งไปดู
“เอามาเจ้าค่ะ อิฉันจะเอาไปทิ้งให้” ผินบอก
“ไม่ต้อง เอาไว้ตรงนี้แหละ”
คุณพระวางรูปลงบนโต๊ะข้างๆ ผินมองค้อน
“นี่ตกลงคุณสรรค์ไม่เอาความไอ้เจ็กชั่วนั่นจริงๆ หรือคะ”
“เจ้าสรรค์ไม่เอาเรื่อง ตำรวจเองก็รีบงุบงิบสรุปสำนวนส่งฟ้องไอ้สินคนเดียว ใครๆ ก็เกรงบารมีนายธนาคารของมัน” พระชาญชลาศัยพูดอย่างขัดใจ
“ไอ้พวกเจ๊กพวกนี้มันคดในข้องอในกระดูก”
“อย่าพูดอย่างนั้นเลยแม่ผิน คนจะดีจะชั่วก็อยู่ที่ตัวคนนั้น ไม่ใช่ที่ชาติกำเนิดหรืออะไรทั้งนั้น”
พระชาญชลาศัยมองดูรูปมารศรีอีก มีเสียงใสๆ ดังขึ้นที่ด้านหลัง
“แปลกใจจริงที่ได้ยินคุณพระพูดแบบนั้น”
พระชาญชลาศัยสะดุ้งมองดู ผินมองตามแล้วอ้าปากค้าง บัวยิ้มรับอย่างดีใจ นิดก้าวเข้ามาชุดที่ใส่ดูวูบวับ ดวงหน้าตกแต่งเข้มนวลละมุน ทรงผมงดงามรับกัน สมพงษ์ยิ้มเผล่อยู่ข้างหลัง
“คุณวนิดามารับคุณสรรค์หรือครับ”
พระชาญชลาศัยลุกขึ้น นิดไหว้อย่างงดงาม คุณพระอึ้งรับไหว้อย่างงงๆ มองดูนิดอย่างทึ่ง นิดมองดูผิน
“แม่ผินคงสบายดีนะจ๊ะ”
“เจ้าค่ะ เอ๊ย จ้ะ เอ๊ย ย่ะ สบาย”
ผินเห็นราศีของนิดก็ลืมตัวไปเดี๋ยวหนึ่งรีบแก้คำพูด แต่ก็คิดว่าสุภาพไปต้องแก้อีก นิดอมยิ้ม
“แม่ผิน ออกไปก่อนไป”
ผินรับคำเอาผ้าในมือตีไล่บัว สมพงษ์ให้ออกไปทางด้านหลัง พระชาญมองดูนิดแล้วพูดขึ้น
“เธอคงสบายดีซีนะ แม่เด็กดื้อ”
“สบายดีค่ะ คุณพ่อ”
พระชาญชลาศัยผายมือให้นิดนั่งลง นิดนั่งลงฝั่งตรงข้าม ทั้งคู่ประจันหน้ากัน
“ชีวิตเธอก็แปลกดีนะ ติดคุกติดตะราง แล้วกลับจับผลัดจับผลู บังเอิญไปเจอคนอุปถัมภ์ กลายเป็นวนิดาไปได้”
“สิ่งที่เกิดกับดิฉัน มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกค่ะ ทุกอย่างว่าที่ลูกสะใภ้ของคุณพ่อเป็นคนวางแผน แม้กระทั่งเรื่องที่หนูต้องติดคุกติดตะรางด้วย”
พระชาญชลาศัยได้ยินก็อึ้งไป แต่ก็เชื่อมากกว่าไม่เชื่อ แต่ปากก็พูดแก้ให้
“สุวลีน่ะหรือ ไม่จริงมั้ง”
นิดยิ้มเยาะ
“โชคดีที่คุณมารศรีคอยช่วยหนูอยู่ตลอด ทั้งเจ้าคุณธรรมนูญ และพี่ชดด้วย แต่ที่ทำหนูกลายเป็นวนิดา ไม่ใช่เพราะท่านเหล่านี้หรอกค่ะ แต่เป็นเพราะคุณหญิงมะลิ หลวงจินดาและคุณพ่อต่างหาก”
พระชาญหน้าเคร่งที่ถูกจัดอยู่กับกลุ่มคนร้าย
“ฮึ”
“แต่คนที่เป็นผู้สร้างวนิดาขึ้นมา คนที่สำคัญที่สุดคือ คุณสุวลี”
คุณพระถึงบางอ้อ มองนิดอย่างทึ่ง หมั่นไส้ เกรง แต่กลับมีความเอ็นดูแฝงอยู่
“เธอทำทุกอย่างเพื่อแข่งกับสุวลีซีนะ เธอคิดหรือว่าเธอจะชนะสุวลีได้”
“ค่ะ หนูก็หวังไว้เช่นนั้น คุณสรรค์จะต้องรักวนิดาด้วยใจจริงเหมือนที่พี่เสียมรักนิดเด็กชาวเกาะต่ำๆ คนนั้น”
“ถ้าเพียงแต่เธอบอกความจริง ทุกอย่างก็คงง่ายกว่านี้”
“หนูสัญญากับคุณพ่อแล้วนี่คะ หนูยังรักษาสัญญาค่ะ”
“สัญญาอะไรกันครับ”
เสียงสรรค์ดังขึ้นมาพอดี
พระชาญชลาศัยและนิดหันไป สรรค์หน้าผ่องใส่สูทเรียบร้อยเดินลงบันไดมามีท่าทีดีใจที่เห็นพ่อคุยกับวนิดาอย่างดี
“สัญญาว่า คืนนี้จะไม่กลับมาดึกดื่นนะซีคะ”
“ดีจัง ที่คุณพ่อกับคุณน้อยได้คุยกัน”
“พ่อคุยกับวนิดาหลายเรื่อง”
“เรื่องอะไรบ้างครับ”
“เรื่องแผนการในอนาคตของดิฉันนะค่ะ”
“พ่อก็ได้แต่เตือนว่า อย่าหวังให้มากนักถ้าผิดหวังจะเสียใจ”
พระชาญชลาศัยพูดขึ้นเป็นนัย นิดยิ้มพราย สายตาตอบรับว่าไม่หวั่นเลยแม้สักน้อย
สาวน้อย ตอนที่ ๓๐
สรรค์และนิดกลับจากดูหนัง กินข้าวและเต้นรำ สรรค์จอดรถของนิดไว้ ทั้งสองยืนดูแม่น้ำกว้างตรงหน้า แผ่นน้ำสะท้อนแสงจันทร์และแสงไฟฟ้าระยิบระยับ ลมยามดึกพัดมาจนชุดของนิดปลิวไสว
“คืนนี้ปลอดโปร่งโปร่งจังนะคะ”
สรรค์มองดูนิดอย่างขอโทษ
“แต่สำหรับผมทุกอย่างยังไม่ปลอดโปร่งเลย เพราะผมยังไม่มีโอกาสพูดกับคุณสุเสียที”
นิดยิ้มอย่างไม่แปลกใจและไม่มีทีท่าเร่งเร้า
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ ดิฉันเข้าใจ”
“แต่ผมไม่อยากให้คุณน้อยต้องมาถูกครหาอีก”
“เรื่องเมื่อวานก็ผ่านไปแล้ว พรุ่งนี้ก็ยังมาไม่ถึง เราอยู่แค่ตอนนี้ ตรงนี้ดีกว่า”
นิดยิ้มสบตาสรรค์ ลมพัดพาเส้นผมของนิดปลิวระหน้า สรรค์ยิ้มเขี่ยผมออกให้
“จริงซีครับ เพียงแค่มีเราสองคน แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว”
สรรค์เอามือเคลียแก้มนิดเล่น นิดแตะมือทับมือสรรค์ แหวนพลอยทอรัศมีวูบวับ
โถงบ้านเช่านิดในเวลาต่อมา มารศรีนั่งอยู่บนโซฟาตรงข้ามคุยกับนิด ส่วนแก้วนั่งอยู่ห่างไปเอาเท้าสองข้างขึ้นนั่งขัดสมาธิบนโซฟา
“แล้วคุณพระพูดอะไรมาถึงฉันบ้างไหม” มารศรีถามอย่างกระตือรือร้น
“ก็มีพูดแขวะเรื่องคุณไปเอาเงินมาลงหุ้นส่วนละคร”
มารศรีรู้สึกดีขึ้นนิดหน่อยที่พระชาญชลาศัยยังสนใจเธอ
“ฮึ ยังคงอาฆาตฉันอยู่ล่ะซี”
“ไม่หรอกค่ะ เพราะหนูเห็นคุณพระยังเอารูปคุณมาวางไว้ใกล้ตัวอยู่เลย”
มารศรีตาวาว นิดอมยิ้มมอง มารศรีเห็นสายตานิดก็เขินเล็กน้อย
“นี่เธออย่ามายุฉันเลยจะเป็นแม่สื่อแม่ชักหรือ”
“ก็คุณเองยังเป็นแม่สื่อให้หนูกับพี่เสียมนี่คะ”
“ถ้าอยากเป็นแม่สื่อก็ไปช่วยทางนู้นไป”
มารศรีบุ้ยใบ้ไปทางแก้วที่หัวฟูกระเซิง อ่านต้นฉบับหน้านิ่วคิ้วขมวด แถมเอาดินสอมาวงข้อผิด
“แก้ว”
แก้วตอบแต่ไม่เงยหน้า
“อย่าเพิ่งพูดกับฉันฉันกำลังยุ่งไม่เห็นหรือ”
นิดกับมารศรีสบตากันกลั้นหัวเราะไว้เป็นสามารถ
ที่ภัตตาคารหรูในเวลากลางวัน สรรค์นั่งตรงข้ามกับสุวลี สุวลีจิบชาด้วยท่วงท่าสวยงาม สรรค์มีท่าทีหนักใจจนเห็นได้ชัด สุวลีวางถ้วยชาลง มองสรรค์แล้วถามยิ้มๆ
“คุณมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผม ผมว่ามีธุระจะคุยกับสุพอดี”
“ธุระอะไรกันคะ”
สรรค์อึดอัดใจ
“ก็เรื่องการหมั้นหมายของเราน่ะสุ”
“อย่าบอกนะคะว่าสรรค์กำลังชวนสุแต่งงาน”
สรรค์ยิ่งอึ้ง สุวลีเริ่มรู้ว่าไม่ใช่ ดวงตาก็วาววับขึ้นแต่ก็ต้องระงับท่าทีเพราะมีร่างสองร่างก้าวมา
“ว็อท อะ เพลสเซนท์ เซอร์ไพร์ส”
สรรค์กับสุวลีมองดูเห็นธนายืนอยู่กับสาวน้อยแต่งตัวหรูแต่ไร้สกุลรุนชาติ สวมเครื่องเพชรราวออกมางานกลางคืน สรรค์ขบกรามลุกขึ้น สุวลีตัวชาไป
“ดีใจจริงที่ได้พบ”
“ผมก็ดีใจเหมือนกัน”
สุวลีลุกขึ้นมอง ธนายิ้มแทบไม่เห็นแววเยาะเย้ย
“ผมขอแนะนำ นี่คุณสรรค์ โพธิธารากับคุณสุวลี กีรติขจร นี่คุณสร้อยระย้า สุขสง”
สุวลีมองดูสร้อยระย้าอย่างดูถูก สร้อยระย้ายิ้มยินดีมีท่าทีเชิดเล็กน้อย ต่างหูระย้าแกว่งไกว
“ยินดีครับ” สรรค์บอก
“ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ” สุวลีบอก
“ยินดีที่ได้รู้จักคุณสองคนค่ะ” สร้อยระย้าว่า
สุวลีมองดูเครื่อเพชรแบบเยาะๆแล้วก็แขวะ
“คุณสร้อยระย้า ชื่อสมตัวจังนะคะ”
สร้อยระย้ายิ้มเขิน เอามือที่สวมแหวนเพชรแตะสร้อยคอ ต่างหูแกว่งไกวแบบอวดๆ ไม่สนคำประชด ธนาพูดขึ้น
“ได้ข่าวว่าตำรวจได้ตัวคนที่ทำร้ายคุณแล้ว”
สรรค์ตาวาว ธนายิ้มมีท่าทางไม่ยี่หระ สุวลีคว้าแขนสรรค์
“ได้แค่มือตีนเท่านั้นแหละครับ แต่ยังไม่ได้หัวของไอ้คนบงการ”
“โอ นี่ยังมีตัวจอมบงการอีกหรือครับ มันคงมีอิทธิพลน่าดู”
“ครับ ตำรวจยังไม่อยากตอแยมัน จนผมต้องลงมือเอง”
สุวลีบีบแขนสรรค์ สรรค์สะบัดออกแล้วง้างหมัดสุดหล้าต่อยเข้าเต็มหน้าธนา ธนาไม่คาดคิดโดนเข้าเต็มรักจนหงายหลังไปชนโต๊ะหินอ่อนของลูกค้าโต๊ะข้างๆ โต๊ะนั้นลุกพรวดร้องเฮ้ย วิ้ดว้าย โต๊ะล้ม จาน ชาม ถ้วย กระเด็นตกแตกเปรื่องปร่าง ศีรษะด้านหลังของธนาแตกเลือดไหลปรี่ลงมาบนสูทสีอ่อน สร้อยระย้าร้องกรี้ด
“ว้าย ฉิบหายตายห่า”
สุวลียืนอึ้ง สรรค์สะใจ มีนักข่าวโผล่มาจากไหนไม่มีใครรู้ได้ถ่ายรูปไว้ บริกร ผู้จัดการร้านวิ่งวุ่นมาดู ไม่รู้จะเข้าข้างใคร ผู้จัดการประคองธนาขึ้น ธนากุมหัวมองสรรค์
“คุณน่าจะให้ผมตั้งตัวก่อน”
“ทำยังงี้ได้ยังไงต้องแจ้งตำรวจ” สร้อยระย้าบอก
“ดีเหมือนกัน แจ้งตำรวจเถอะครับ”
“ไม่ต้องหรอกครับ ถือว่าหายกันก็แล้วกัน”
ธนายิ้มมองดูสุวลี
“ยังไงงานนี้ ก็ผมก็ยังได้กำไรอยู่ จริงไหมคุณสุ”
สุวลีหน้าซีดเผือดคว้าแขนสรรค์แล้วบอก
“กลับกันเดี๋ยวนี้เถอะค่ะ สรรค์”
สรรค์พยักหน้า สุวลีแทบลากสรรค์ไป ธนามองยิ้มสะใจ สร้อยระย้าคว้าผ้าเช็ดหน้าขลิบลูกไม้เช็ดเลือดให้ ธนาร้อง "โอ๊ย"
“ว้าย ตายห่า ขอโทษค่ะ” สร้อยระย้าตกใจนิดๆ
ตกตอนเวลากลางคืน ที่ริมระเบียง บริเวณมุมสบายๆในบ้านเช่า แก้วเอาแว่นจากที่ใดไม่มีใครรู้มาใส่ แล้วทำท่าเป็นการเป็นงานนั่งพลิกอ่านทวนต้นฉบับ บุญมานั่งดูด้วย แก้วอ่านบทท้ายแล้วเผลอยิ้ม
“นี่”
แก้วสะดุ้งถาม
“อะไร”
“เป็นยังไงบ้างอ่านจบแล้ว”
แก้วแกล้งพูด
“ก็งั้นๆ ซ้ำซาก อย่างนางเอกกะพระเอกทำไมเจอหน้าต้องเกลียดกันด้วย”
“อ้าว ก็มันเข้าใจผิดกัน”
“แล้วทำไมนางเอกถึงเลือกอีตานักข่าว ทำไมไม่เลือกพี่ชายที่แสนดี”
“ก็เขาไม่ได้รักพี่ชาย แต่รักนักข่าวนี่”
“เชอะ อีตานักข่าวไม่เห็นน่ารักตรงไหนเลย”
“นี่ ฉันให้เธอดูพวกรายละเอียดฉากบ้านนอก นี่ดันจะมาแก้เรื่องฉัน เอาไหมล่ะ ฉันจะได้แก้ให้นางเอกปฏิเสธนักข่าว กลับไปเกาะแล้วได้กับตัวพี่ชาย”
แก้วสะดุ้งแต่ยังลอยหน้าต่อ
“ดี ไม่ซ้ำซาก”
บุญมาลุกพรวดขึ้น กระชากบทจากมือแก้ว
“ฉันกลับล่ะ จะไปแก้บทให้สมใจเธอ”
“อ้าว แล้วไหนว่าจะเลี้ยงข้าวฉัน”
“ไม่เลี้ยงแล้ว”
บุญมาเดินป่องๆ ไป แก้วชะงักชะเง้อตาม ใจหายนิดนึง
ภายในโถงห้องเช่า นิดกำลังดูข่าวหน้าสังคมในหนังสือพิมพ์ ภาพข่าวขาวดำ สรรค์กับสุวลียืนเด่นอยู่ ธนาหงายอยู่ที่พื้น พาดหัวย่อยบอก “ศึกชิงนาง ศิลปินชื่อดังซัดนายแบงค์คู่แข่งหัวใจ”
นิดอยู่ในชุดนอนพับหนังสือพิมพ์ปิดลง ดวงตามีแววไม่พอใจและไม่สบายใจนิดหน่อย
สุวลีสวมชุดนอนงดงามนั่งพิงพนักเตียงมองหนังสือพิมพ์ฉบับเดียวกันด้วยสีหน้าไม่ค่อยชอบใจ คุณเฟื่องมานั่งหมิ่นๆ อยู่ที่เตียง
“ถ้าคุณน้องไม่อยากลงก็ไม่ต้องลงไปหรอกค่ะ เฟื่องให้นังจวนยกของเช้าขึ้นมาให้แล้ว”
ประตูห้องเปิดออก จวนยกถาดมีขาสำหรับกินอาหารบนเตียงเข้ามา บนถาดวางอาหารเช้าแบบเต็มอัตราเช่น ขนมปัง ครัวซองต์ ออมเลตแบบข้างเหลว ไส้กรอก เบคอน น้ำชา น้ำส้ม ฯลฯ
“เร็วซียะ คุณน้องรอแกนานแล้ว”
“จวนขอโทษเจ้าค่ะ”
จวนเอาถาดวางให้บนเตียง
“แกทำผิดจนเคยตัวเลยนะ”
จวนหน้าเสียถอยออกไป สุวลีจิบน้ำส้มแล้วเอามีดตัดไข่ แล้วเอาใช้ตักไข่แดงค่อนข้างเหลว ใส่ปาก
“ถูกปากไหมคะ” เฟื่องถาม
สุวลียิ้มแล้วพลันขยักขย้อน คุณเฟื่องร้องอุทาน จวนผงะ สุวลีกุมปากเอามือตวัดถาดไปให้พ้นตัว แล้วลุกพรวดวิ่งเข้าห้องน้ำ อาหาร จาน ชาม แก้ว กระจายเต็มพื้น จวนร้องอุทาน เฟื่องตามไปไปเกาะกรอบประตู สุวลีอาเจียน เฟื่องตาเบิกกว้างเกิดรู้สึกขึ้นมาบางอย่าง
สุวลีหน้าซีดเผือด นั่งตัวตรงบนโซฟาภายในห้องนอนของธนา ธนานั่งอยู่ตรงข้ามแล้วพูดขึ้น
“ไม่คิดเลยว่าจะได้เห็นคุณสุบนโซฟาตัวนี้อีก”
สุวลีหน้าแดงด้วยความอับอายและขยะแขยง แต่ยังฝืนทำสุภาพอ่อนหวาน
“สุไม่ได้อยากมา แต่สุไม่อยากไปหาคุณที่ธนาคารให้นายนพสงสัย”
“นายนพต้องมาสงสัยเรื่องอะไร”
“สุไม่ได้เข้าผ้ามาเดือนนึงแล้ว สุคิดว่าสุ...”
สุวลีพูดต่อไม่ได้ ธนาสีหน้าเปลี่ยนแล้วลุกขึ้น ดวงตามีแววลังเลและดีใจ ทั้งอยากจะคืนดี
“คุณกำลังจะมี...”
สุวลีสวนด้วยน้ำเสียงเย็นชา เหมือนพูดถึงสิ่งที่น่ารังเกียจ
“เลือดเนื้อของคุณกำลังเติบโตในตัวสุ”
ธนามองดูเห็นท่าทีขยะแขยงรังเกียจก็เปลี่ยนความตั้งใจ สีหน้ากลายเป็นเย็นชาในทันที
“คุณจะรับผิดชอบยังไงคะ”
“ผมเคยอาสาจะรับผิดชอบแล้ว แต่คุณเองกลับปฏิเสธผมเหมือนผมไม่ใช่คน ความรับผิดชอบของผมก็เลยจบสิ้นไปด้วย”
สุวลีไม่พอใจ ลุกขึ้นทันที
“คุณ”
“อีกอย่างพระยากีรติก็ชิงชังรังเกียรติเลือดจีนของผม จนไม่ยอมให้ผมร่วมวงศ์เทวัญอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
ธนาพูดสิ่งที่ขมขื่นและคับแค้นใจอยู่ออกมา สุวลีเลิกหวานกลายเป็นยิ้มเยาะ ทั้งสีหน้าดวงตาจงชังอย่างเต็มที่
“งั้นฉันจะบอกให้ก็ได้ ตลอดเวลาที่ผ่านมา เจ้าคุณพ่อไม่ได้รังเกียจอะไรคุณนักหรอกค่ะ เป็นฉันเองต่างหาก”
ธนาเพิ่งรู้ มองสุวลีอย่างไม่อยากเชื่อ
“ฉันเองที่ชิงชังรังเกียจเลือดไพร่ เลือดเจ๊ก และยิ่งเห็นบรรดาสังคญาติขากถุยของพวกคุณ ฉันก็รู้ว่าฉันคิดไม่ผิด”
สุวลีตาลุกโพลงดวงหน้าชิงชังดูราวปีศาจ ธนานิ่งไปแล้วเดินยิ้ม ก้าวเข้ามาใกล้แล้วประคองหน้าสุวลีมองลึกไปในดวงตา
“นี่ซีนะตัวจริง เนื้อแท้ ธาตุแท้ของคุณ”
สุวลีกัดฟันพูด
“เนื้อแท้ของแกก็ไม่ใช่คนดีอะไร แกบงการทำร้ายสรรค์ แกคือตัวการทำให้ชีวิตฉันพังพินาศ”
“ไม่ใช่แค่นั้นหรอก คุณเดาไม่ได้เลยหรือว่าทำไมเจ้าคุณพ่อคุณจู่ๆก็ไม่ได้เข้าร่วมรัฐบาล”
สุวลีผงะถอยไป
“ฝีมือแกหรือ”
“ผมก็แค่อยากดึงให้เจ้าคุณพ่อคุณต่ำลง จนมองเห็นผมบ้าง แต่กลับเป็นว่าผมล้างแค้นผิดคน”
“ฉันจะบอกเจ้าคุณพ่อว่าแกคือตัวการทุกอย่าง ว่าแกล่อลวงข่มขืนฉัน”
“แล้วคุณพ่อคุณจะโกรธ เลิกทำธุรกิจกับผมซีนะ”
ธนายิ้มเยาะ สุวลียิ่งไม่เข้าใจ
“คุณไม่ได้เฉลียวใจบ้างเลยหรือว่า ธุรกิจเดียวที่เจ้าคุณพ่อของคุณมีกับผม คือการทยอยขายทุกอย่างที่ท่านมี เอาเงินไปปรนเปรอรักษาหน้า รักษาเกียรติ รักษาภาพลวงตาของชีวิตคุณ”
สุวลีร้องวิ้ดเข้าตบหน้าธนาซ้ายขวา ธนาหน้าสะบัดแล้วผลักสุวลีเซแซ่ดๆ ล้มลงนั่งพับเพียบอยู่กับพื้น
ธนาชูใบเอกสารขึ้นร่อนไปปะทะสุวลีแล้วตกลง
“นี่ไง ใบจำนองบ้านเนาวรัตน์ ที่เจ้าคุณพ่อคุณขาดส่งดอกเบี้ยมาหลายเดือนแล้ว สงสัยเอาเงินไปให้คุณจัดงานฉีกหน้ากากใครต่อใครจนหมด”
สุวลีลุกขึ้นมาอีกแล้วเข้าตบหน้าธนาซ้ายขวาอีก ธนาฉีกยิ้มแล้วตบสวนอย่างสุดแรง สุวลีหมุนคว้างไปหลายรอบกองลงกับพื้น
ธนาเปิดประตูออก คนรับใช้ธนา ๒ คนเดินเข้ามายืนอึ้ง
“พวกแกช่วยพาคุณผู้หญิงสูงศักดิ์คนนี้ไปส่งที่บ้านเนาวรัตน์ของเธอที อ้อ ไม่ใช่ซีนะ บ้านเนาวรัตน์ของฉัน”
สุวลีตาเบิกกว้าง ช็อก ตัวสั่นระริก
“วันหลังให้เจียมตัวไว้บ้าง อย่าทำกิริยาอย่างนี้กับผมอีก”
ในเวลาเย็น สรรค์แต่งตัวหล่อเดินลงบันไดมาแล้วหยุดฟังอยู่เชิงบันได ที่ห้องโถงนิดแต่งตัววิบวับงดงามนั่งคุยอยู่กับพระชาญชลาศัยเพื่อรอสรรค์ ผิน บัว สมพงษ์อยู่ด้วย พระชาญชลาศัยมีท่าทีอ่อนลงระดับหนึ่ง
“เรื่องโรงพิมพ์สอดสีของเจ้าสรรค์ฉันจัดการเองได้” พระชาญชลาศัยบอก
“แต่ถ้าทำในรูปบริษัทก็จะมั่นคงกว่านะคะ”
“เธอนี่มีหัวทางธุรกิจเหมือนกันนะ”
“ตั้งแต่ดิฉันขัดสนถึงขีดสุดก็ตั้งใจว่าจะไม่ยอมอับจนอีกแล้วค่ะ”
พระชาญชลาศัยอึ้งแล้วพยักหน้า ผินค้อนนิดๆ บัว สมพงษ์พยักหน้า นิดพูดอะไรก็ดีไปหมด สรรค์ยิ้มเดินเข้ามา
“นี่คุณน้อยต้องมารอผมอีกแล้ว”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณพ่อกรุณาคุยกับดิฉันสนุกดี”
นิดลุกขึ้นก้าวไปยืนเคียงสรรค์ คุณพระพูดขึ้น
“ก็คุยสัพเพเหระ”
“คุณพ่อเล่าเรื่องว่าในวันที่คุณผ่าตัดเพิ่งฟื้นมีผู้หญิงสติไม่ดีวิ่งเข้าไปร้องไห้หาสามี”
นิดพูดหน้าตาเฉย พระชาญชลาศัยขบกราม สรรค์นึกแทบไม่ออก
“ผมจำแทบไม่ได้แล้ว ยังมึนจากยาสลบอยู่ แต่ผมกลับเข้าใจว่าเขาเป็นเมียใหม่คุณพ่อ เลยว่าไปเสียแรงพอ เฮ้อ นึกแล้วก็สงสารเขา”
“ค่ะ คุณพ่อก็บอกว่าสงสารเขาเหมือนกัน”
พระชาญชลาศัยหน้าบึ้งลุกขึ้น
“แต่บางทีถ้าแม่นั่นอวดดีและปากร้ายนัก ความสงสารฉันก็จืดจางได้เร็วเหมือนกัน”
นิดระบายยิ้มบนริมฝีปาก
ยามค่ำ คุณหญิงบัวผันและมะลิยืนอยู่ข้างเตียง สุวลีเปลี่ยนเสื้อผ้าสวมชุดใหม่ หน้าตางดงามเหมือนเคย กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงพนักเตียงอยู่ บัวผันถาม
“นี่มันอะไรกัน เดี๋ยวคลื่นไส้เดี๋ยวอาเจียน ให้คุณพระหมอมาดูเถอะลูก ว่าหนูเป็นอะไรกันแน่ถึงคลื่นไส้คลื่นพุงแบบนี้”
“วุ้ย ไม่ต้องคุณพระหมอหรอกค่ะ ดิฉันก็บอกได้ว่าหนูสุเป็นอะไร”
สุวลีตาวาว มะลิยิ้มทำไม่รู้ไม่ชี้ เพราะอาการแบบนี้ มะลิเคยเป็นมาแต่วัยสาวก่อนที่จะย้อมแมวแต่งงานกับพระยาธรรมนูญภักดี คุณหญิงบัวผันหน้าซีดเริ่มเดาได้
“อะไร...หรือว่า ไม่จริงใช่ไหมลูก
“สุก็อยากให้มันไม่จริงค่ะ”
บัวผันถอยกรูด มะลินั่งลงที่เก้าอี้โต๊ะเครื่องแป้ง คุณหญิงถาม
“ทำไม ใคร นายสรรค์หรือ ฮึ ทำไมใจเร็วด่วนได้อย่างนี้”
สุวลีนิ่งอั้น
“วุ้ย คุณพี่ ถ้าเป็นพ่อสรรค์ หนูสุจะวิ่งแร่ไปบ้านนายแบงค์เจ็กนั่นทำไม” มะลิว่า
“ว้าย นายธนาหรือ แล้วจะทำยังไง แม่รู้แล้ว หนูต้องถอนหมั้นสรรค์ให้นายธนามาจัดการแต่งงานให้เร็วที่สุด”
“ไม่ค่ะ ลูกของสุจะมีพ่อคือสรรค์เท่านั้น ไม่ใช่พวกคนชั้นต่ำ”
“แล้วพ่อสรรค์”
“ตอนนี้สรรค์มีทุกอย่างแล้วค่ะ สรรค์มีชื่อเสียงเป็นจิตรกรเอก มีร้านที่ทำเงิน ต่อไปก็มีโรงพิมพ์ของตัวเอง”
“แต่จะมีลูกฝีมือคนอื่น” มะลิสอดขึ้น
สุวลีมองมะลิแล้วเชิดใส่ คุณหญิงบัวผันได้ยินก็ทำท่าจะเป็นลม สุวลีมองคุณหญิง
“มีแต่คุณแม่เท่านั้นละค่ะ ที่จะเร่งให้การแต่งงานนี้เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด”
บัวผันน้ำตาไหล
“โธ่เอ๋ย บ้านเรามันเวรกรรมอะไรนะต้องย้อมแมวขายกันไม่มีสิ้นสุด คราวเธอก็ทีนึงแล้ว”
“คุณพี่ !”
มะลิร้องเสียงแหลมมองค้อนคุณหญิงบัวผันผู้เป็นพี่สาว สุวลีเชิดหน้า
ในเวลาต่อมา … รถบ้านสุวลีแล่นมาจอดลงที่หน้าเทอเรซบ้านโพธิธารา คุณหญิงบัวผันและแม่เฟื่องก้าวลงจากรถ แม่ผิน สมพงษ์ออกมารับอย่างงงๆ
พระชาญชลาศัยเชิญบัวผันและเฟื่องให้นั่งลงบนโซฟายาว
“เชิญขอรับคุณหญิง คุณเฟื่อง”
บัวผันนั่งลง สีหน้าหม่นหมองอึดอัด
“คุณหญิงมีธุระกระไรหรือครับ ถึงมาตอนค่ำมืดแบบนี้”
คุณหญิงบัวผันยิ้มเฝื่อนๆ ยังพูดอะไรไม่ออก
“ทำไมหนูสุไม่มาด้วยล่ะขอรับ”
“คุณน้องล้มป่วยอยู่น่ะซีคะ” เฟื่องว่า
“ตายจริงเป็นอะไรไปครับ”
เฟื่องเอาศอกกระทุ้งเตือนบัวผันเบาๆ บัวผันสะดุ้ง
“ยายสุก็คงจะคิดมาก ตรอมใจ เรื่องสรรค์กับแม่นางละครนั่น”
“โธ่ คุณหญิง เจ้าสรรค์มัน...”
คุณหญิงบัวผันสวนขึ้น
“ดิฉันก็เลยอยากเร่งให้มีการแต่งงานให้เร็วที่สุด”
“ผมน่ะเร่งมันจนไม่รู้จะเร่งยังไงแล้ว”
“ดิฉันมีวิธีค่ะ แต่ต้องปรึกษาคุณพระก่อน”
คุณพระแปลกใจ คุณหญิงบัวผันยิ้มแห้งแล้ง
เวลากลางคืน รถของนิดแล่นมาจอดที่หน้าบ้านเช่า สรรค์กับนิดเดินลงมา
“ทำไมบ้านเงียบจัง”
“แก้วไปเที่ยวบ้านบางกะปิของคุณบุญมาค่ะ ส่วน...คุณน้าดิฉันก็คงไปคุยอยู่บ้านโน้น”
“ผมไม่เคยเจอคุณน้าของคุณน้อยเสียที”
“สักวันก็คงได้เจอค่ะ”
“ผมกลับก่อนนะครับ”
สรรค์ยกมือนิดมาจูบลาแล้วกลับไป นิดมองส่งจนไฟท้ายรถลับตาไป คนรถวิ่งไปปิดประตู นิดหันมาแล้วชะงัก ใต้ซุ้มไม้ มีร่างหนึ่งยืนมองเป็นเงาดำ นิดมองดูแล้วจำได้แม้เห็นเพียงเค้าโครง
“สุวลี”
สุวลีในชุดสีม่วงโศกมีผ้าแพรสีเดียวกันคลุมผมทิ้งชายผ้าลง ใบหน้าสุวลีขาวซีด ดวงตากระด้างเดินก้าวเข้ามาหา
สาวน้อย ตอนที่ ๓๐ (ต่อ)
สุวลีเดินเข้ามาในบ้านเช่านิด สายตามองรอบบ้านอย่างริษยา
“เชิญนั่งค่ะ”
สุวลีเปลี่ยนสีหน้าจากริษยามาเป็นเศร้า ซีดเผือด ดวงตาอดสู จนนิดรู้สึกแปลกใจ
“ฉันมีเรื่องจะพูดกับคุณ แบบผู้หญิงกับผู้หญิง”
สุวลีนั่งลง นิดมานั่งลงตรงข้ามรับฟัง
“หลังจากคืนงานแฟนซีสวมหน้ากากนั่น หลังจากที่คุณกลับไปแล้ว สรรค์ไปหาฉัน ในสภาพเมามาย เขาโกรธฉันอย่างน่ากลัวที่สุด”
สุวลีแสดงอาการตัวสั่นอย่างแนบเนียนจนนิดดูไม่ออก นิดเริ่มใจหายวูบ
“แล้วเกิดอะไรขึ้นคะ”
นิดกลั้นใจถาม สุวลีน้ำตาเอ่อ แล้วค่อยๆ หยาดหยดความละอายและเจ็บปวด
“เขาต่อว่าฉันอย่างรุนแรงว่าฉันจงใจทำร้ายเธอ ยิ่งฉันปฏิเสธเขาก็ยิ่งโกรธ ฉันทุ่มตัววิงวอนขอร้องให้เขาเห็นแก่วันคืนเก่าๆ ว่าเราสองคนเคยรักกันขนาดไหน”
นิดเหมือนเดาได้เอนกายพิงพนักเหมือนผงะ
“ฉันไม่รู้เหมือนกันว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราสองคนถึงได้เลยเถิดไปขนาดนั้น”
นิดมองดูและเชื่อสุวลีเกือบทั้งหมด เพราะคนถือตัวอย่างสุวลีไม่น่าจะทำเรื่องแบบนี้
หลังส่งนิดแล้ว สรรค์กลับมาบ้าน เห็นคุณหญิงบัวผัน เฟื่อง และพระชาญชลาศัยคุยกันอยู่ ก็นั่งฟังเรื่องทั้งหมดพร้อมกัน สรรค์เบิกตากว้าง
“ตอนที่ผมความจำเสื่อม ผมได้ล่วงเกินคุณสุหรือครับ”
“ก็ที่บ้านสวนนั่น ยายสุดูแลเธออย่างใกล้ชิด จนกระทั่งเลยเถิด”
สรรค์นิ่งอั้น คุณหญิงบัวผันเริ่มคล่องขึ้น
“คนที่รู้เรื่องนี้มีแค่คุณน้อง คุณหญิง และก็ดิฉันเท่านั้น” เฟื่องบอก
“ใช่ พ่อเองก็เพิ่งรู้ก่อนแกไม่กี่อึดใจนี่เอง”
พระชาญชลาศัยเปรย คุณหญิงบัวผันหน้าเผือดไป ไม่แน่ใจว่า คุณพระพูดกัดหรือเปล่า
“ฉันคิดว่าไม่เป็นไรเพราะเป็นคู่หมั้นคู่หมาย ยังไงก็ต้องแต่งงานกัน แต่นี่มันก็ล่วงเลยมาเกินปีแล้วงานแต่งก็ไม่เกิดขึ้นเสียที”
“คุณสุเป็นคนบอกให้ผมรอจนกว่าผมจะพร้อม”
สรรค์พูดอย่างขมขื่นเลื่อนลอย
“ตอนนี้เธอก็พร้อมแล้วไม่ใช่หรือ นี่ฉันอับอายขายหน้าเหลือเกินที่ต้องมาพูดแบบนี้”
คุณหญิงบัวผันพูดไปน้ำตาก็เอ่อจนต้องควักผ้าเช็ดหน้ามาซับ เพราะขมขื่นๆ จริงๆ แต่สรรค์ยิ่งสะเทือนใจ สรรค์นั่งลดลงจากโซฟากราบเท้าบัวผัน
“ผมกราบขอโทษ ผมไม่ทราบ ผมจำไม่ได้จริงๆ”
“โธ่ พ่อสรรค์ ไม่ใช่ความผิดของเธอหรอก”
บัวผันดึงสรรค์มากอด น้ำตาไหลพรากเพราะอาย ขมขื่น อัดอั้นตันใจ โล่งอกปนกัน สรรค์ยิ่งเชื่อ เฟื่องยิ้มสมใจ พระชาญดูภาพตรงหน้าอย่างสมใจ แต่ก็มีความระแวงบางอย่างผุดขึ้น
นิดหน้าเผือด พูดด้วยน้ำเสียงขมขื่น
“เท่านี้หรือคะที่คุณอยากบอกฉัน”
“ฉันกำลังจะเป็นแม่คน”
นิดช็อก มองดูกลางลำตัวสุวลีที่มีท่าทีละอาย ขมขื่นและเสียใจ สุวลีเอามือแตะทีท้องแล้วบอก
“เขาคือเลือดเนื้อของสรรค์ ฉันไม่คิดจริงๆ ว่า คนอย่างฉันจะต้องลดตัวลงทำสิ่งนี้”
สุวลีคุกเข่าลงเกาะเข่านิดไว้แล้วมองอย่างวิงวอน
“ได้โปรดเถอะ ได้โปรดคืนสรรค์ให้กับฉัน ขอให้เด็กคนนี้ได้มีพ่อเถอะ”
นิดกุมมือสุวลีดึงให้ลุกขึ้นยืน สุวลีเซซัง นิดพูดอย่างเข้มแข็งแต่ความหวัง ความฝัน ภายในใจพังภินท์ไปหมดสิ้นแล้ว
“ฉันเข้าใจค่ะ ฉันเข้าใจ”
นิดปิดประตูบ้านอย่างช้าๆ หันมามองรูปยามเศร้าติดเด่นอยู่ที่ผนัง นิดก้าวมามองดูรูปนั้นแล้วน้ำตาเอ่อ เมื่อก้าวถึงกลางห้อง นิดก็ทรุดลงคุกเข่าแล้วนั่งราบลง น้ำตาเอ่อท้นไหลมาไม่ขาดสาย
ภายในห้องนอน สรรค์ยืนเกาะกรอบหน้าต่างมองออกไปไกลแสนไกล รูปสาวน้อยที่เป็นภาพถ่ายในกรอบขนาดนิตยสารวางอยู่ที่โต๊ะหัวเตียง เคียงใกล้กันเป็นรูปสุวลี พระชาญชลาศัยยืนมองลูกชายที่ยืนนิ่งอยู่ที่กรอบหน้าต่างแล้วถอนใจ ก่อนปิดประตูลงอย่างช้าๆ
เมฆฝนหลงฤดูมหึมาพัดมาเต็มฟ้า บรรยากาศดูหม่นหมอง สรรค์ก้าวมาที่ระเบียงบ้านเช่าของนิด ใบหน้าเผือดราวไร้วิญญาณ ลมแรงพัดใบไม้ที่ร่วงเกลื่อนปลิวกลิ้งไปตามพื้น
นิดมองเหม่อลอยนั่งอยู่บนแท่นหินที่เคยนั่งเป็นแบบวาดรูป สรรค์ก้าวไปจะเรียกแต่พูดไม่ออก นิดหันมาเห็นสรรค์เข้าพอดี ความสะเทือนใจพวยพลุ่งขึ้น ฝืนกายลุกขึ้นอย่างช้าๆ เดินมาหา สรรค์ก็ก้าวไปหาช้าๆเช่นกัน นิดมาหยุดตรงหน้าสรรค์มองดูกันนิ่ง สรรค์พลันกอดนิดไว้แน่น นิดตัวแข็งไม่กล้ากอดตอบ สรรค์ยิ่งสะเทือนใจปล่อยมือแล้วก้มหน้า
“ผมขอโทษ ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงเกิดเรื่องแบบนี้”
นิดตัวสั่นตอกย้ำความแน่ใจ
“คุณสุวลีมาหาดิฉันเมื่อคืน แล้วเล่าเรื่องทั้งหมด”
“ผมทำผิดกับสุ แต่ยิ่งไปกว่านั้น ผมทำผิดต่อคุณผิดอย่างมหันต์”
นิดสะท้านเยือกมองตาสรรค์แล้วฝืนทำเข้มแข็ง
“มันคือชะตากรรมต่างหากค่ะ ทุกอย่างเหมือนถูกกำหนดมาแล้ว ฉันผิดเองที่คิดว่าจะฝืนอำนาจชะตากรรมได้”
“ผมต่างหากที่เป็นคนผิด ผมไม่รู้ตัวว่าทำไมถึงทำอย่างนั้น”
“มันผิดพลาดมาตั้งแต่ต้นแล้วละค่ะ”
สรรค์น้ำตาคลอแล้วไหลลง นิดชะงักใจเจ็บปวดรวดร้าวหัวใจพลางขยับใกล้แตะมือสรรค์ สรรค์มองนิดอย่างใจจะขาด นิดชะงักไปเล็กน้อยแล้วรู้วิธีที่จะตัดรอน จึงตัดใจทำแข็งกระด้างขึ้น
“ผมทำผิด”
“งั้นก็ไปทำให้ถูกต้องเสียซีคะ คุณมีทางเลือกแล้ว”
“ไม่ว่าผมเลือกทางไหนผมก็ผิด”
“งั้นก็เลือกทางที่ผิดน้อยที่สุด ผิดกับฉันแค่คนเดียว ไม่ใช่ผิดกับคนอีกหลายคน”
สรรค์แทบผงะ นิดหมายถึงสุวลีและเด็กในท้อง แต่สรรค์คิดว่าหมายถึงพระชาญชลาศัยและคนอื่นๆ
ความจริงในรายละเอียดไม่ได้อยู่ในการสนทนา แต่ละคนต่างคิดว่าเข้าใจตรงในเรื่องเดียวกัน
“ผมเลือกไม่ได้”
นิดดวงตาอ่อนแสงวูบแทบทรุด แต่ฝืนทำแข็งกระด้างยิ้มเยาะ
“ถ้าอย่างนั้น ฉันเป็นคนเลือกให้คุณเอง ต่อไปนี้ ไม่ต้องมาเจอฉันอีก และขอเชิญคุณกลับไปได้แล้ว”
สรรค์สะอึก นิดเมินแล้วเดินจากไป
“คุณโกรธผมก็สมควรแล้ว...แต่สิ่งที่ผมรู้สึกต่อคุณจะไม่มีวันเปลี่ยน”
นิดน้ำตาเอ่อแต่ไม่หันมา
“จะคงอยู่เหมือนที่ผมเคยให้สัญญาไว้”
นิดพึมพำกับตัวเอง
“ฉันไม่เชื่อคำสัญญาอีกแล้ว พอกันที”
สรรค์มองนิดเดินจากไปตรงหน้าด้วยสายตานิ่งและขมขื่น ลมแรงพัดดอกไม้โปรยปรายกลีบพร่างพรายลงผืนดิน
นิดกลับเข้านอนนอนและนั่งอยู่หน้ากระจกเงาที่โต๊ะเครื่องแป้ง พลางถอดแหวนพลอยออก แหวนนั้นดูอับแสงมืดมัว...
“แหวนจ๋า ฉันแพ้แล้ว”
นิดวางแหวนที่โต๊ะเครื่องแป้งก่อน ครั้นลุกขึ้นก้าวมาได้เพียง ๒ ก้าวก็ทรุดฮวบลง แก้วที่เพิงกลับมาจากข้าวนอกเปิดประตูเข้ามาพอดี
“นิด ฉันซื้อโจ๊กมาฝาก...ว้าย”
แก้วรีบถลามาประคองนิดขึ้น นิดหน้าเผือดซีด ดวงตาปิดสนิท
ภายในร้านตัดเสื้อหรู เวลากลางวัน เจ้าของร้านและผู้ช่วยช่างยืนรับคำสั่ง ช่างทั้ง ๒ คนขอบตาคล้ำ ตาแดงเป็นนกกระปูด เนื่องจากไม่ได้หลับไม่ได้นอน
สุวลี อนงค์และรตีมองชุดแต่งงานลูกไม้หรูอยู่บนหุ่นแล้วบอก
“เพิ่งปักเลื่อมไปได้แค่นี้เอง ระวังนะคะ จะเสร็จไม่ทันวันงาน”
อนงค์กับรตีมีสีหน้าสงสัย
“ยังไงกันสุ จุ่ ๆ ก็รีบจัดงาน ต้ายมีเวลาแค่ 3 วีก นี่ก็เหลือวีกเดียวแล้ว ซัชอะเฮอรี่ (such a hurry)” อนงค์ถาม
สุวลีเผลอเอามือลูบท้อง โกหกอย่างเป็นธรรมชาติเช่นเคย
“ก็คุณอาพระชาญน่ะซี จู่ ๆ ก็มาเร่ง บอกฤกษ์ดีมีแค่วันนี้”
“งานสำคัญขนาดนี้ ที่จริงน่าจะเตรียมงานซัก ๓ เดือน ๖ เดือน” รตีว่า
ธนาเดินยิ้มเข้ามา
“ถ้ารอนานขนาดนั้นจริง สงสัยคุณสุคงจะใส่ชุดไม่ได้”
สุวลีตัวชา อนงค์ รตีหันมาทำตาโต ธนาควงสร้อยระย้าที่วันนี้แต่งชุดเขียว เครื่องมรกตระย้าอยู่ที่หู คอ ข้อมือเขียวไปทั้งตัว
“ทำไมคะ ทำไมใส่ไม่ได้ ...วาย วาย วาย” อนงค์ถาม
“ไม่มีอะไรหรอกครับก็แฟชั่นเปลี่ยนอยู่แทบทุกเดือน ถ้ารออีก ๖ เดือนชุดนี้คงจะล้าสมัยเป็นแน่”
“ยัยสุถึงได้ไม่รอไงคะ อีกแค่เจ็ดวัน ชุดนี้ก็จะเป็นชุดวิวาห์แห่งปีแน่ ๆ” รตีบอก
ธนายิ้มจริงใจให้ สุวลียืนคอแข็ง
“งั้นผมขอแสดงความยินดีสำหรับเจ็ดวันข้างหน้า”
สุวลีฝืนยิ้มแล้วบอก
“ขอบคุณค่ะ”
“และขอแสดงความยินดีล่วงหน้า สำหรับเจ็ดเดือนข้างหน้าด้วย”
สุวลีหุบยิ้มฉับพลัน
“คุณ”
“ว้าย เจ็ดเดือนอะไรกันคะ หรือว่าหมายถึงเจ้าตัวเล็ก” อนงค์บอก
“ต้องเก้าเดือนต่างหากคะ ไม่ใช่เจ็ดเดือน คุณธนานี่ขันจริง ...อ้าว ยายสุ” รตีบอก
สุวลีสะบัดหน้าเดินลิ่วออกจากร้านไป อนงค์ รตี รีบตามไป ธนามองตามก่อนยิ้มเหี้ยม
หน้าโรงละครจันทร์กระจ่าง คืนวันศุกร์ขึ้นตัวอักษร ๕ รอบสุดท้ายไว้ที่ป้ายมาร์คีหน้าโรงละคร ใต้ชื่อเงือกน้อยและวนิดา ผู้คนยังคงล้นหลาม รถรา วงแตรวง พ่อค้าแม่ขายหาบเร่คึกคักเหมือนเดิม
อาล็อกยังคงหั่นเป็ด หมูแดง กุนเชียงมือเป็นระวิง มีหนุ่มสาว ๒-๓ คนนั่งกินอยู่ตรงนั้น
“ทำไมจู่ ๆ ก็จะลาโรงเสียแล้ว” สาวหนึ่งพูดขึ้น
“ไม่ใช่จู่ ๆ นะ เล่นมาตั้งสี่เดือนแล้ว” หนุ่มบอก
“แหม แต่คนดูยังล้นหลามขนาดนี้”
“ฉันได้ข่าวมาว่า วนิดาล้มป่วยน่ะซี เขาว่าป่วยมากด้วย” สาวคนที่สองบอก
อาล็อกชะงัก มองดูรูปวนิดาพร้อมลายเซ็นที่ติดไว้ที่ตู้กระจกของหาบแล้วใจหาย
ภายในโรงละคร นิดในชุดสาวใบ้ร้องเพลง “ยังรักยังรอ” อยู่บนเวทีด้วยท่าทางเจ็บปวดขมขื่นยิ่งกว่าเคย เสียงนั้นไม่ได้สะดุดหรือบอกว่าป่วยแม้แต่น้อย คนดูสะเทือนใจอย่างยิ่งยวดกับเพลงและการแสดง ผู้ชายถึงกับงก็น้ำตาคลอ ส่วนผู้หญิงน้ำตาไหลกันพราก
บริเวณหลืบเวที ชดในชุดพระราชา พลับในชุดแม่มดทะเล แก้วในชุดเงือกกับหลวงจันทรและมารศรียืนดูนิดอย่างเป็นห่วง
“เมื่อเย็นได้กินอะไรบ้างหรือเปล่า” มารศรีถาม
“กินค่ะ แต่อ้วก เอ้ย อาเจียนออกมาหมด” แก้วบอก
“ยังดี ไม่อ้วกรดชุดฉัน เฮอะ” พลับบอก
“นี่ฉันเอาหมอมารออยู่หลังเวทีแล้วนะ” ชดบอก
“โธ่เอ๋ยหนูนิด ไม่รู้จะป่วยทำไม เสียหายหลายแสน เงินทั้งนั้น” หลวงจันทรว่า
ทุกคนมองหลวงจันทรตาขุ่นเล่นเอาเจ้าตัวคอหดไป
นิดร้องเพลงท่อนสุดท้าย โหยหวน หน้าทุกข์ทน ดวงตาชุ่มด้วยน้ำตา
“... ตอบฉันได้ไหม”
คนดูชายแอบเช็ดน้ำตา คนดูหญิงสะอื้นฮัก นิดชูมือวิงวอนแล้วทรุดฮวบลงกับพื้นแน่นิ่ง
คนดูปรบมือกราว ม่านเคลื่อนปิด ที่หลืบเวที ชด พลับ มารศรี หลวงจันทร แก้ว สะดุ้งสุดตัว ทุกวิ่งกรูกันไปหานิด แก้วร้องอย่างเสียขวัญ
“นิด”
“โธ่เอ๋ย แม่คุณของเจ๊” พลับบอก
นิดลืมตาลุกขึ้นอย่างอิดโรยนิดหน่อย
“อะไรกันคะ”
“โธ่ หนูเพิ่มบทเข้าไปหรือ ฉันตกใจแทบตาย” มารศรีบอก
นิดยิ้มขอโทษ ทุกคนบ่นแซ่ด
“ไป ไป เคลียร์เวที”
ชดบอกแล้วประคองนิดขึ้น นิดยิ้มแต่ดวงตาเศร้าสร้อย เจ้าหน้าที่เวทีมาเปลี่ยนฉาก
หลังละครเลิก บรรดานักแสดงกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดลำลองเตรียมกลับ นิดอยู่ในชุดสีฟ้าขาวในฉากจบนั่งเอนบนเก้าอี้นอน มารศรีและแก้วนั่งอยู่ข้าง ๆ จิตรา ประภา สาวเงือกทั้งสาม ยืนมองอย่างเป็นห่วง กระซิบกระซาบกันแล้วออกไป
ชดถอนใจ พลับเข้ามาจิกกัดแต่ดวงตาเป็นห่วง
“ก็กินเหมือนแมวดม แล้วจะเอาเรี่ยวเอาแรงที่ไหนมาเล่น”
“มันก็พยายามกินนะ แต่พอกินเยอะก็จะอ้วก เอ้ย อาเจียน” แก้วบอก
“แปลว่าร่างกายไม่ยอมรับอาหาร ต้องหาอาหารอ่อน ๆ ให้” มารศรีบอก
“ขอบคุณค่ะ”
มีเสียงดังขึ้นหน้าประตู
“ว้าย เจ็กเข้าไม่ได้นะ ห้องแต่งตัวผู้หญิง” ประภาบอก
“ไม่มีใครแก้ผ้าแล้วนี่ ให้เข้าไปเหอะ” จิตราบอก
นิดมองดูเห็นอาล็อกถือหม้อเคลือบใบจิ๋วมาพูดอย่างกลัว ๆ แต่ห่วงใย
“อาวนิดา ลื้อไม่เป็นอะไรนะ อั้วเอารังนกมาให้”
นิดสะเทือนใจน้ำตาเอ่อ ยื่นมือไปรับ
“ขอบใจจ๊ะ”
นิดตักรังนกในถ้วยเคลือบใส่ปาก อาล็อกยิ้มร่าดีใจ
“ถ้าอาวนิดากินได้ อั้วจะหาของบำรุงมาให้ทุกวันเลย”
แก้ว พลับ ชด มารศรียืนดูอย่างตื้นตันใจ นิดฝืนกินต่อไป
ภายในสวนบ้านเช่า บุญมาและแก้วยืนอยู่ ต่างฝ่ายต่างกลุ้มใจ
“นิดไม่ยอมพูดว่าเกิดอะไรขึ้น” แก้วบอก
“จู่ ๆ เจ้าสรรค์ก็จะแต่งกับสุวลี ฉันถามมัน ๆ ก็ไม่พูดเหมือนกัน”
“นายเสียมทำให้นิดเจ็บช้ำมาไม่รู้กี่หนแล้ว”
“นายเสียมอะไรของเธอ”
แก้วไม่สนใจจะอธิบายเพราะมัวแต่โมโห
“นายเสียมทำให้นิดเจ็บช้ำกับรักครั้งแรก มาถึงตอนนี้นายสรรค์ก็ทำให้นิดเจ็บอีก คราวนี้ยิ่งเจ็บไปกว่าเดิมหลายเท่าด้วย” แก้วพูดน้ำตาคลอ
“ฉันอยากเอาเลือดหัวมันออกมาเหมือนกัน”
แก้วมองบุญมาแล้วพลอยพาลไปด้วย
“อย่ามาพูดเลย พวกคุณก็เหมือนกันหมดน่ะแหละ”
“ทำไม พวกฉันเป็นยังไง”
“ก็พวกผู้ดีชาวกรุงใจร้ายที่รังเกียจพวกบ้านนอกต่ำ ๆ อย่างฉันไง”
แก้วเดินแก้มป่อง งอนเข้าบ้านไป บุญมาเกาหัวแกรกกราก
ภายในห้องนอนเมื่อวันใหม่มาเยือน สรรค์กำลังลองชุดสูทราตรี ผูกหูกระต่ายสำหรับงานเลี้ยงตอนกลางคืน หน้ากระจกเงาบานใหญ่ เงาสะท้อน สะท้อนภาพสรรค์ที่มีใบหน้าเฉยชา ดวงตาแห้งผาก หน้าผากดูคล้ำ เหมือนมีชีวิตชีวาอยู่น้อยเหลือเกิน
สรรค์หันมาเห็นบุญมาเข้ามานั่งหน้าบอกบุญไม่รับ
“นายโกรธฉันมากหรือ” สรรค์ถาม
“เออซีวะ นี่คุณแก้วก็เลิกพูดกับฉันแล้ว”
“ฉันขอโทษ”
“ฉันไม่ยกโทษให้ เพราะฉันเตือนแกแต่แรกแล้วถึงเรื่องรักสามเส้าของแกนี่ ว่าฉันไม่ได้ห่วงสุวลีแต่ฉันห่วงวนิดา ว่าลงท้ายคนอย่างแกก็เห็นแก่สังคญาติ เห็นแก่ชาติ เห็นแก่ตระกูลแกนั่นแหละ”
“ที่ฉันต้องแต่งกับสุ ไม่ใช่เพราะเรื่องนั้น”
“งั้นเรื่องอะไร”
“ฉันบอกแกไม่ได้”
บุญมายิ่งรู้สึกขัดใจ
“วนิดาล้มป่วยอยู่ขนาดนี้ ก็เพราะวนิดารักแก รักแกคนเดียวเท่านั้น”
“แล้วคุณสุเล่า คุณสุไม่ได้ผิดอะไร คุณสุก็ยึดมั่นแต่ฉันคนเดียวเท่านั้น”
“เออ ใช่ สุวลีเป็นคนรักเดียวใจเดียว คน ๆ เดียวที่สุวลีรักคือตัวของเธอเอง ส่วนแกหรือใคร ๆ ก็ตามที่เธอคบหาเป็นเพียงเครื่องประดับบารมีเท่านั้น”
บุญมาตาวาวด้วยความโกรธ สรรค์ได้ยินถึงกับอึ้งไป
สรรค์เปลี่ยนชุดเป็นชุดธรรมดาแล้ว เดินแกมวิ่งตามบุญมาที่เดินหนี หน้างอ บัวและสมพงษ์หลบกันเป็นทาง
“รอก่อน บุญมา ฉันบอกแล้วไง ว่าจะไปด้วย ฉันอยากไปดูวนิดาเล่นเงือกน้อยรอบสุดท้าย”
บุญมาหันมาต่อว่าสรรค์อีก
“วนิดาป่วยมาครึ่งค่อนเดือน แกไม่เคยใส่ใจ จะมาสนใจอะไรตอนนี้”
“ใครบอกว่าฉันไม่ใส่ใจ ฉันห่วงวนิดามากกว่าใครทั้งนั้น แต่ฉันไม่อยากแบกหน้าไปให้คุณน้อยทุกข์ไปกว่านี้อีก”
สรรค์ขมขื่นจนโกรธ แต่เหมือนโกรธตัวเองมากกว่าบุญมา บุญมายังพูดประชดไม่เลิก
“นั่นซี วนิดาห้ามแกไปเจอหน้าอีก แกก็น่าจะรักษาสัญญา เพราะแกชอบรักษาสัญญาโง่ ๆ บ้า ๆ อยู่ตลอด ไม่ใช่หรือ”
สรรค์นิ่งอั้น บุญมาเดินหนีออกจากบ้านไป
เวลากลางคืน โรงละครจันทร์กระจ่าง ผู้คนมากมายเป็นประวัติการณ์ สรรค์เดินเบียนเสียดผู้คนเข้าไป อาล็อกถือหม้อเล็กเดินสวนแหวกคนเข้ามา อาล็อกโดนเบียดกระเด็นมาชนสรรค์ พออาล็อกเห็นหน้าสรรค์ก็อ้าปากค้าบอก
“ไอ้ย่า”
“ขอโทษครับ”
สรรค์เดินแหวกคนไป อาล็อกตกใจ
“เค้าเป๋ อาเสียม อาเสียมอ้า”
อาล็อกจะตามสรรค์ไป แต่โดนผู้คนเบียดกระเด็นไป
ภายในห้องแต่งตัว นิดนั่งอยู่หน้ากระจก หน้าตาดูขาวซีดและซูบลง นิดสวมชุดนางเงือกพยายามแต่งหน้า ทาสีที่ดวงตาแต่สีไม่ติด เดือดร้อนพลับต้องมานั่งแต่งหน้าให้ พลับเวทนาด้วยความรักและสงสาร แต่ก็ยังปากร้ายตามประสา
“เวร เห็นไหม ป่วยไข้จนแต่งหน้าไม่ติดต้องเดือดร้อนฉัน”
นิดยิ้มอย่างขอบคุณ
“ดีจังที่พี่พลับแต่งหน้าให้ เพราะนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว”
พลับน้ำตาเอ่อบอก
“นังเด็กบ้าพูดอะไรอย่างนั้น”
ชด มารศรียืนอึ้ง ประภา จิตรา ทม สามเงือกสาวพูดไม่ออก มารศรีพูดเบา ๆ กับชด
“วันศุกร์รอบเดียวก็ไม่เท่าไร แต่เมื่อวานบ่ายกับค่ำ ๒ รอบ ก็ดูไม่มีแรงแล้ว เมื่อตอนบ่ายที่ผ่านมาก็ยิ่งแย่ใหญ่”
“อีกรอบเดียวคงไม่เป็นไรน่า” ชดว่า
หลวงจันทรยิ้มร่าเข้ามาบอก
“วันนี้ตั๋วเสริมมากเป็นประวัติการณ์ คุณชดต่ออีกสักวีก ๒ วีกไหม แค่อีก ๑๐ รอบเอง”
“คุณหลวงก็ใส่หางใส่วิกเล่นเองก็แล้วกัน” ชดบอก
ชดมองหลวงจันทรตาเขียว พลับค้อนขวับ บรรดาคนอื่น ๆ ต่างส่งสายตาชังน้ำหน้า หลวงจันทรสลดไปนิดหนึ่ง นิดยิ้มกับหลวงจันทรอย่างสมเพช แก้วใส่ชุดเงือกแต่ยังไม่ใส่หางถลันเข้ามากุมมือนิด
“นิด แกเป็นไงมั่งวันนี้”
นิดมองสีหน้าที่หวั่นหวาด แววตาห่วงใยเป็นพิเศษของแก้วแล้วเดาได้
“พี่เสียมมาหรือแก้ว”
แก้วอึ้งแล้วพยักหน้า ทุกคนซุบซิบไม่พอใจ มารศรีส่ายหน้า นิดยิ้มดวงตาเศร้าสดใสขึ้น
ภายในบ้านโพธิธารา เวลาเดียวกัน พระชาญชลาศัยยืนมองรูปคุณหญิงแล้วถอนใจ
“ฉันทำถูกหรือทำผิด คุณหญิง”
พระชาญชลาศัยเดินมาทิ้งตัวลงนั่ง ผินเองก็มีอาการลังเลกับสิ่งที่ตัวเองเชื่อ บัวนั่งซึมอยู่ มีเสียงรถแล่นมาจอด สมพงษ์เข้ามาบอก
“คุณสุวลี ขอรับ”
สุวลีเข้ามา ห้องเจิดจ้าขึ้น คุณพระลุกขึ้น ผินกรากมารับ สุวลีอยู่ในชุดแดงเครื่องเพชรวูบวับ
“คุณหนูเชิญค่ะ”
“อ้อ เชิญ ๆ สุวลี”
“สรรค์ล่ะคะ คุณอา”
พระชาญชลาศัยลังเล
“ไม่อยู่ไปข้างนอก มีนัดกับนายบุญมามั้ง”
“อ้อ แบชชะเลอร์ ปาร์ตี้หรือคะ”
“ไปโรงละครต่างหากครับ”
สมพงษ์โพล่งขึ้นมา สุวลีชะงักเลิกคิ้วและยิ้มเหยียด ผินกับพระชาญเพิ่งเห็นว่าดูน่าชัง
“สุมีธุระจะคุยกับสรรค์พอดี งั้นสุขอตัวก่อนนะคะ”
สุวลีหมุนตัวออกไปโดยไม่ไหว้ทั้งมาและกลับ ผินกับคุณพระถึงกับอึ้ง
“ไอ้สมพงษ์ ไปบอกทำไม” ผินถาม
ผิน บัวมองสมพงษ์อย่างตำหนิ
“ให้ไปเจอกันเถอะขอรับ คุณแม่บ้าน”
เสียงเพลง “ยังรักยังรอ” ดังแว่วขึ้นมา
นิดในชุดนางใบ้กำลังร้องเพลง “ยังรักยังรอ” มือที่ยื่นมาเหมือนร้องให้สรรค์คนเดียวที่ชั้นบ็อกซ์แถวหน้า สรรค์นั่งอยู่ใกล้ทางเดิน มองดูนิดอย่างรักหมดใจและขมขื่น
นิดร้องเพลงท่อนสุดท้าย แหวนพลอยส่องแสงจ้า
สรรค์น้ำตาเอ่อ บุญมาไม่ได้นั่งกับสรรค์ แต่อยู่อีกมุมหนึ่ง วันนี้คนดูแน่นขนัดกว่าทุกวัน
บนเวที ดนตรีฟังเร้าใจ นิดอยู่กับประภาในชุดแต่งงานของเจ้าหญิงที่กว้างแผ่ออกไปครึ่งเวที มี ๒ นางกำนัลชั่วร้ายคอยเป็นลูกคู่ ประภาเล่นเต็มที่มีอาการขู่ ปลอบ เกลี้ยกล่อม
“ดูฤานางใบ้ ทรามเชยทรามวัย ช่างไร้มายา”
ข้างสรรค์มีเจ้าหน้าที่เอาเก้าอี้มาเสริม สรรค์หันมาดู สุวลีมานั่งลงข้างๆ สรรค์อึ้ง บุญมาอ้าปากค้าง นิดยังคงอยู่ในบทกับประภา
“ข้ารู้แก่ใจ มิใช่ตัวข้า แต่คือวนิดา ที่ช่วยเจ้าชาย”
นิดเซไป ประภายิ้มเยาะ นิดมองมาที่สรรค์ สุวลีถือโอกาสกุมมือสรรค์ไว้ ยิ้มหน้าหวานละมุน ดวงตาเยาะเย้ย ประภาหมุนตัว กรายมือ
“จงมองดูข้า พริ้มพร้อมกายา อำนาจมากมาย”
สุวลีมองนิ่ง สรรค์เองก็นิ่งฟัง
“ร่วมหอลงโรง ย่อมส่งเจ้าชาย ให้ขึ้นเป็นได้ ที่จอมราชันย์”
นิดตัวสั่นเซไปเกาะซุ้มไม้ คนดูฮือกันอยากกรากขึ้นไปตบประภา ประภากรายตัวไปรอบ ๆ นิด ชะโงกหน้าพูดใกล้หู
“แต่ตัวเจ้าไซร้ เจ้ามีอันใด ให้เจ้าชายกัน”
สรรค์ตัวชาวาบ แม้ดูเป็นครั้งที่ ๔-๕ แต่เพิ่งกระจ่างแจ้งว่าหมายถึงอะไร สุวลีเหลือบมองสรรค์
“จงเสียสละ อย่าคิดกีดกัน หลีกลับฉับพลัน คืนสู่ถิ่นเนาว์”
นิดส่ายหน้าขมขื่นถอยกรูดไปล้มลงกับพื้น แล้วมองมา สรรค์มองตอบนิดอย่างขมขื่น พลันสุวลีเอื้อมมือมากุมมือสรรค์ นิดมองยิ้ม ๆ ดวงตาเยาะ นิดน้ำตาไหลพรากแต่ไม่ได้สะอึกสะอื้น
นิดอยู่ที่ระเบียงวัง ดำดิ่งลงไปเป็นท้องทะเล แก้ว จิตรา 3 เงือกสาว ทุกคนผมสั้นกุด ราวเด็กนักเรียนชาย โบกหางเงือกอยู่ในเกลียวคลื่น นิดสะเทือนใจ เมื่อรู้ว่าพวกพี่ ๆ ต้องเสียผมแลกกับมีดอาถรรพ์
“โธ่...พี่ข้า”
“เหมือนหลับแล้วตื่น เจ้านั้นจักคืน ร่างเงือกอีกครา”
แก้วชูมีดสั้นด้ามเป็นปะการัง คมมีดวูบวาบ แก้วเจ็บแค้นแทนมองมาที่สรรค์
“เพียงปักมีดลง ที่ตรงอุรา เจ้าชายชั่วช้า ให้ตกตายไป”
สรรค์ขมขื่น นิดผงะทรุดลงเกาะลูกกรงระเบียงวัง
“อะไรนะ”
“เชื่อเถิดน้องข้า ครบเจ็ดทิวา ไม่กี่อึดใจ ฆ่าคนโง่เง่า เจ้าจักไม่ตาย คงคืนกลับไป ใต้น้ำบ้านเรา”
แก้วปล่อยมือ มีดนั้นทอแสงวูบแล้วหายไปจากมือแก้ว นิดแบมือออกมีดนั้นวาววับอยู่ในมือนิด นิดตัวสั่น
ห้องวิวาห์ดูเวิ้งว้างกว้างใหญ่ หัวเตียงอลังการสีขาว พื้นที่เตียงกว้างขวาง ท่ามกลางห้องสีน้ำเงิน ทมนอนบนเตียงกับประภา นิดถือมีดจดจ้องอยู่ข้างเตียง แล้วจรดมีดลงที่อกทม นิดตัวสั่นระริก คนดูมองดูใจหวิวไหว สรรค์ขมขื่น สุวลียิ้มนิด ๆ
นิดดึงมีดคืนมา แล้วปล่อยมันตกลงกับพื้น มีดนั้นเรืองแสงจ้าแล้วหายไปในพื้น
นิดก้าวมา
“ช่วยชีพท่านมา จากทะเลบ้า วิญญาน์ผูกพัน หากต้องเข่นฆ่า ให้ต้องอาสัญ ข้าไม่มีวัน ทำได้ลงคอ”
นิดสบตาสรรค์
“ข้ารักท่านนัก เจ้าชายที่รัก จบแล้วที่รอ”
นิดหันไปบนเตียง แล้วขึ้นไปประคองดูหน้าทม
“เพียงเจ็ดทิวา แต่ข้าเพียงพอ ข้านั้นจักขอ เป็นคนตายแทน”
นิดก้มลงจูบทม นาฬิกาตีบอกเวลา ๖ นาฬิกา ครั้งที่ 1นิดผวาวิ่งไป นาฬิกาตีครั้งที่ ๒
คนดูใจหาย ทมผวาลุกเห็นนิดวิ่งก็วิ่งตามไป นาฬิกาตีครั้งที่ ๓ นิดวิ่งมาถึงระเบียงขึ้นไป ทมวิ่งตามมามองดู นิดยิ้มเศร้า นาฬิกาตีครั้งที่ ๔
“เจ้าชายของข้า”
“เจ้า ข้าจำเสียงเจ้าได้ สาวน้อย”
สรรค์มองดูอย่างตื้นตัน สุวลีรู้สึกกลัว นาฬิกาตีครั้งที่ ๕
“เจ้า เจ้าคือคนช่วยชีวิตข้า” ทมบอก
นิดยิ้ม ทมโผเข้ากอดนิด ทมจะบอกรัก
“ข้า”
นาฬิกาตีครั้งที่ ๖ เสียงดังสะท้านสะเทือน
“รัก เจ้า”
ร่างนิดสลายวูบไป ทมกอดไว้แต่เสื้อผ้า ทมตะลึงกอดชุดนั้นแนบอก แล้วทรุดลง
พระอาทิตย์ค่อย ๆ ขึ้นจากทะเล แสงสีแดงอาบไปทั่ว สรรค์ตัวชาแต่ยังไม่เข้าใจความนัย แต่กลับหวาดหวั่นว่า นิดจะลาตาย
ฉากสุดท้าย นิดอยู่ในชุดนางฟ้า ล่องลอยอยู่ท่ามกลางฟองสบู่ระยิบระยับ ที่มุมเวทีทมยืนนิ่ง ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก นิดร้องเพลงยังรักยังรอ ไม่มีดนตรี เสียงคล้ายดังแว่วมาจากเวหาหน แล้วชัดเจนไพเราะเสนาะใส
“ยังรักยังรอแค่เธอ เธอเคยรู้ไหม ฉันไม่เคยลบลืมเลือน หากแม้นเธอลืมฉันลง แต่รักฉันยังอยู่ และยังเฝ้าย้ำเตือน”
เสียงนิดหายไปเป็นเสียงดนตรี ดังกึกก้องทำช่วงฟีนาเล่ ทมมองหน้าคล้ายได้ยินเสียง ทมดูมีความหวังขึ้นแล้วยิ้มเศร้า ๆ นิดยิ้มเศร้า ร่างลอยขึ้นไป แสงค่อย ๆ วูบลง สรรค์มองไปก็เห็นนิดหงายพับไป สรรค์ลุกพรวดเหมือนเป็นคนเดียวที่เห็น คนดูอื่น ๆ ลุกขึ้นปรบมือ ม่านปิด สรรค์วิ่งออกมา สุวลีที่พยายามคว้าไว้แต่ไม่ทัน
ม่านกำลังเคลื่อนปิด ชด แก้ว มารศรี ประภา จิตรา พลับ 3 สาวเงือกกรูมาแหงนเงย เจ้าหน้าที่เวทีโรยรอกพาร่างนิดที่สลบคอพับคออ่อนลง ทุกคนชูมือจะช่วยจับ แต่สรรค์แทรกทุกผู้คนพรวดเข้าไป ร่างนิดลงมาในวงแขน ดวงตาปิดสนิท สีหน้าเผือดอย่างเห็นได้ชัด สรรค์น้ำตาเอ่อ น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกจากดวงตานิด สรรค์คุกเข่าลงและยังตระกองกอดไว้หลวม ๆ คนอื่นเข้าปลอดสายสลิงกัน ไม่มีใครพูดอะไร
บุญมาก้าวมามอง เห็นใบหน้าของนิดซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด สลดใจอย่างที่สุด
หมายเหตุ : ผู้ประพันธ์ อาษา ขอจิตต์เมตต์ กล่าวไว้ว่า “โรคประสาทไม่ปกติ” คือ อาการป่วยของนิด เชี่ยวสินธุ
โปรดติดตามสาวน้อย ตอนที่ ๓๑-๓๒ (อวสาน)พรุ่งนี้ เวลา ๙.๓๐ น.