xs
xsm
sm
md
lg

สาวน้อย ตอนที่ ๒๕ - ๒๖

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สาวน้อย ตอนที่ ๒๕

เช้าสายของวันใหม่ ก่อนที่สรรค์จะเดินทางไปที่ร้านสรรค์ศิลป์ได้เดินแวะดูสวนที่บริเวณหน้าบ้าน บุรุษไปรษณีย์ขี่จักรยานมาจอดหน้าบ้าน ให้จดหมายกับรามซิงค์ ผินวิ่งตัวปลิวมาจากในบ้าน เข้าไปเอาจดหมาย ๓-๔ ซองมาดู สรรค์เดินเข้ามาใกล้แล้วถาม

"มีของฉันไหม แม่ผิน"
ผินตาเหลือกสะดุ้งสุดตัว
"ว้าย แหมคุณหนูมาจากไหนคะ แม่ผินไม่เห็น"
"ฉันก็อยู่แถวนี้แหละ"
"จดหมายคุณหนูไม่มีหรอกค่ะ มีแต่ของคุณพระ แม่ผินไปก่อนนะคะ"
แม่ผินมีพิรุธเล็กน้อยแล้ววิ่งตัวปลิวไป สรรค์มองตามรู้สึกแปลกใจนิดๆ ในอาการลุกรี้ลุกรนของผิน

พระชาญชลาศัยแต่งตัวเตรียมไปทำงาน มารศรีจัดไทให้ พระชาญยังมีมีท่าหมางเมินเล็กน้อย แม่ผินเข้ามาพลาง ขยิบหูขยิบตา
"คุณพระเจ้าขามีจดหมายเจ้าค่ะ ภาษาอังกิดเจ้าค่ะ"
พระชาญก้าวไปหา แม่ผินส่งจดหมายให้ พระชาญรับมาพลิกดู จดหมายซองนั้นหนาหนัก หลังซองเขียนชื่อ ผู้ส่ง T. McKinneyพระชาญแยกจดหมายออกใส่ในอกสวมเสื้อนอกทับ มารศรีเหลือบมอง
“ใช่ไหมเจ้าคะ” ผินถาม
“ใช่ ดีมาก ขอบใจ”
ผินเดินออกไป เสียงสรรค์ดังเข้ามา
"วันนี้จดหมายคุณพ่อเยอะจัง"
พระชาญชลาศัยสะดุ้งแล้วหลบหน้าหลบตาสรรค์ หันไปคว้ากระเป๋าเอกสาร
"อือ ฉันต้องรีบไปแล้ว"
บัวตามไปส่งพระชาญชลาศัย มารศรีมองตามแล้วยิ้มหยันก่อนเดินไปนั่งที่โต๊ะกินข้าว
“เชิญรับประทานอาหารเช้าก่อนค่ะ คุณสรรค์”
สรรค์นั่งลง ผินนำอาหารเช้าแบบฝรั่งเข้ามา มีแฮม ไข่ดาว
"มาแล้วค่า"
ผินยิ้มแย้มเอาใจ มารศรีมองสรรค์จนสรรค์แปลกใจอดถามไม่ได้
"มีอะไรหรือ"
"เปล่าหรอกค่ะ แค่สงสัย แม่ผินทำไมเอาของคุณสรรค์ ไปให้คุณพระ"

แม่ผินตาเหลือกโพลง มือไม้สั่นจนของในถาดกระฉอก
"ว้าย ไม่มี ของอะไรไม่มีทั้งนั้น หล่อนพูดถึงอะไร"
มารศรียิ้มยั่ว
"ก็อาหารเช้าจานที่มีเบคอนน่ะ ของคุณสรรค์ไม่ใช่หรือ ทำไมเอาไปให้คุณพระ"
"อุ้ย ก็มีผิดบ้างซี คุณหนูจะรับเบคอนไหมคะ อิฉันจะได้ให้กุ๊กเฮงทอดเพิ่ม"
"ไม่เป็นไรหรอกแม่ผิน แค่นี้ก็เยอะแล้ว"
ผินรู้ว่ามารศรีแกล้งจึงค้อนให้ ๑ ขวับ มารศรีอยากช่วยสรรค์แต่ต้องตัดใจ

เช้าวันเดียวกัน โทรศัพท์เพิ่งถูกนำมาติดตั้งในบ้านเช่าของนิดโดยวางเด่นอยู่บนไซด์บอร์ด ซึ่งมีเก้าอี้นอนวางอยู่ใกล้ๆ แก้วเอื้อมมือไปหยิบโทรศัพท์มาแนบหู
"ห้าโหล นี่บ้านวนิดาค่ะ...ต้องการพูดกับใครคะ....อ๋อ ดิฉันเป็นใครน่ะหรือคะ ดิฉันแก้วกิริยาค่ะ คนสนิทและเซเคล็ดตาหรี่ค่ะ”
แก้วจงใจพูด ห้าโหล (Hello) และ เซเคล็ดตาหรี่ (Secretary - เลขาฯ) แบบตลกๆ
นิดก้าวมามองแก้วอย่างแปลกใจ
“แก้ว พูดกับใครน่ะ”
แก้วสะดุ้งสุดตัวก่อนหันมาค้อนแล้ววางโทรศัพท์ลง
“ฉันก็ซ้อมพูดไว้น่ะซี ไม่งั้นพอใครต่อสายมา เดี๋ยวจะเงอะงะเปิ่นเทิ่นมันเทศซะเปล่าๆ"
“นิดว่าแล้วเชียว นัมเบอร์ก็ยังไม่ได้บอกใครซักคน จะมีใครโทรมาได้ยังไง”
"เจ้าคุณธรรมนูญนี่ออกจากราชการมาเป็นสิบปีแล้ว ยังมีบารมีอยู่เลยเนอะ แค่พูดคำเดียวเราก็มีโทรศัพท์แล้ว"
"เพราะท่านใช้พระคุณมากกว่าพระเดชไงแก้ว บรรดาผู้ใหญ่ของบ้านเมืองตอนนี้ก็ลูกศิษย์ลูกหาท่านทั้งนั้น"
“ท่านเจ้าคุณใจดีจะตาย ยกเมียให้ชู้แถมสมบัติอีกตั้งพะเรอ ไม่เห็นเคยใช้พระเดชเลย"
“ใครว่าไม่ใช้ ตอนนี้หลวงจินดาถูกย้ายไปอยู่หัวเมืองไกลปืนเที่ยงเลยล่ะ” นิดพูดพลางอมยิ้มขำ

เสียงไก่ระคนเสียงแคนดังขึ้นยามเช้าในชนบทแห่งหนึ่ง ณ บ้านพักราชการรถไฟซึ่งเป็นบ้านหลังคาปั้นหยาใต้ถุนสูงมีเพียงห้องโถงกลาง ส่วนห้องนอนและครัวอยู่ทางด้านหลัง
พื้นที่ในห้องโถงมีเครื่องเรือนไม้ฝีมือต่ำๆที่ดูหยาบใหญ่เทอะทะเพียงไม่กี่ชิ้น ของหรูหราที่มีอยู่ตามจุดต่างๆ เช่น เครื่องเล่นจานเสียง วิทยุเครื่องใหญ่ เครื่องถ้วยชามงามๆ แต่บ้านดูรกเหมือนไม่มีคนทำงานบ้าน
หลวงจินดานั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว มีจานเปล่าอยู่ตรงหน้า ช่อผกาหน้าหงิกหมุนหาคลื่นวิทยุอยู่
“ตายแล้ว วันนี้ไม่มีคลื่นเลย” ช่อผกาว่า
"ก็ฟังจานเสียงซีครับ คุณช่อ”
“ช่อขี้เกียจหมุนจานมันค่ะ คุณหลวง”
หลวงจินดาทำตาหวานใส่
"โธ่ แล้วคุณช่อก็ไม่บอก เดี๋ยวผมจะทำให้"
“เรื่องบางเรื่องไม่เห็นต้องรอให้ช่อออกปากนี่คะ”
ช่อผกาพูดบอกนัย หลวงจินดากลืนน้ำลาย มะลิถือกระทะแบนด้ามยาวมีไข่ดาว 4 ฟองเดินมา หน้าเป็นมันยั่บ นุ่งซิ่นไหมเสื้อลูกไม้แขนถกเปื้อนน้ำมัน แขนเสื้อยกทรงหลุดจากไหล่ ผมฟู ดูไพร่
"ไข่ดาว ได้แล้วค่ะคุณหลวง"
มะลิเอาตะหลิวตักไข่จ่ายแจก กระทะร่อนอยู่เหนือหัวจินดา มะลิหันไปเรียกช่อผกา กระทะแทบโดนหัว จินดาต้องย่อหัวลงร้องอุทาน
“ยายช่อ มาลูก”
ช่อผกามานั่งลงแล้วร้องบอก
“ว้าย ไข่ไม่สุก ช่อรับประทานไม่ลงหรอกนะคะ มันคาว”
“งั้นก็เปลี่ยนกับคุณหลวงซี คุณหลวงน่ะชอบนักล่ะคาวๆ น่ะ”
"แหม คุณหญิง"
มะลิค้อนผัวก่อนนั่งลงเอากระทะวางแปะลงบนหนังสือพิมพ์ ช่อผกาผลักจานไข่ของตนไปแลกกับของหลวงจินดา
"แล้วซอสเซสละคะ"
“หมดย่ะ จะซื้อใหม่น่ะ เดือนหน้าถึงจะได้ อย่าเรื่องมากนักเลย แม่น่ะเหนื่อย เหงื่อตกถึงกลีบแล้ว”
หลวงจินดาสะดุ้ง
“กีบครับคุณหญิง พูดให้ชัดๆเหงื่อตกถึงกีบ”
“ฮึ มาอยู่บ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้ที่เที่ยวก็ไม่มี หนังละครอะไรก็ไม่มีดู ช่อจะอกแตกตายอยู่แล้ว" ช่อผกาว่า
“ก็แม่ชวนไป ญาติมิตรกับแม่ก็ไม่ยอมไป”
“ช่อไม่รับประทานหรอกค่ะ คุณแม่ไปนั่งเล่นไพ่กับพวกชาวบ้าน ต่ำ พิลึก”

มะลิสะดุ้งเฮือกเหมือนถูกด่า ช่อผกากินอาหารท่าทางอินโนเซนต์ไม่รู้เรื่อง หลวงจินดาถอนหายใจ

ภายในบ่อน มะลิอยู่ในวงไพ่ตองที่คนเล่นเป็นหญิงชายชาวลาวอีสานที่แต่งตัวด้วยชุดพื้นเมืองกว่าครึ่ง มะลิมือขึ้น ลูกวงยกยอปอปั้น

หลวงจินดาแต่งชุดข้าราชการรถไฟแต่แบะอกเสื้อเห็นกล้าม เดินกลับมาที่บ้านหลังพักรถไฟหลังเลิกงานในเวลาเย็น ช่อผกากำลังพยายามหมุนแผ่นจานเสียง ก็ชะงัก

มะลิได้ไพ่ตาเบิกโพลงวางไพ่โชว์แล้วร้องขาน

ภายในบ้านพัก หลวงจินดาเดินไปโอบช่อผกาแล้วช่วยหมุนแผ่นเสียง ช่อผกาหันมองกล้ามแกร่งของหลวงจินดาแล้วเอนซบลงแนบอก หลวงจินดารับไว้

ภายในบ่อน มะลิทิ้งไพ่

ที่พื้นห้องนอนของหลวงจินดา เสื้อชุดข้าราชการกับชุดบางพลิ้วของช่อผกาถูกโยนลงมากอง

ภายในบ่อน คนอื่นมือขึ้นบ้าง ร้องเสียงแจ๋ววางไพ่โชว์ มะลิขัดใจ ตบเข่า

ภายในห้องนอน หลวงจินดาและช่อผกาคลุมโปงมิด แล้วเล่นผีผ้าห่ม ผ้าโป่งตรงนั้น ยุบตรงนี้ตลอดเวลา

ภายในบ่อน มะลิหน้าเสียคว้ากระเป๋าสตางค์มาแง้มดู แล้วตัดสินใจถอดสร้อยข้อมือวางลง

ในความมืดของค่ำคืน รามซิงค์ถือไม้พลองเดินอยู่ที่หน้าบ้านโพธิธาราสักพักหนึ่งแล้วมานั่งบนเก้าอี้ผ้าใบแล้วฮัมเพลง "ยังรักยังรอ" ด้วยสำเนียงแขกพลางยักคอยกมือไปด้วย ชั่วประเดี๋ยวก็เริ่มหาว เอนตัวลง หลับตา พริบตาเดียวก็กรนครอกทันที
ร่างสูงใหญ่ใส่ชุดดำกลืนไปกับความมืดก้าวเท้าออกจากใต้ต้นไม้ใหญ่ ตรงไปยังรั้วบ้านโพธิธาราแล้วปีนขึ้นไปอย่างรวดเร็วก่อนกระโดดลงในเขตบ้าน แล้ววิ่งลัดเลาะไปตามใต้เงาของต้นไม้หายไป

ที่ห้องโถงเรือนเล็ก มารศรีอยู่ในชุดนอน แปรงผมอยู่หน้ากระจก จงกลนั่งพับผ้าลงตะกร้าหวายแบนแล้วส่งเสียงหาวไปไกลสุดหล้า มารศรียิ้ม
"จงกล ตายจริง แม่คุณ ไปนอนไป"
จงกลยิ้มอาย ๆ ก่อนเอาตะกร้าผ้าไปวางแล้วเดินไปเข้าห้องนอนเล็ก
มารศรีลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่างมองออกไปแล้วหันมาเจอร่างในชุดดำอยู่ในระยะประชิด มารศรีตาเบิกกว้างจะร้อง ร่างนั้นรีบเอามือปิดปากมารศรีไว้
"พี่เอง มารศรี"
มารศรีหยุดดิ้น เมื่อรู้ว่าเป็นสิน สินลดมือลงมารศรีถอนหายใจเฮือก
"พี่สิน"

บริเวณเรือนข้างๆของมารศรี ผินเดินถือกระติกน้ำร้อนมาจากเรือนครัวจะกลับไปยังตัวตึกใหญ่ บ่นบ้าตามประสาหญิงไม่มีผัว
"นังบัวนะนังบัว ตั้งแต่ไปเป็นคุณนายดูแลร้าน งานการก็ขาดตกบกพร่อง ว้าย...”
ผินมองไปที่เรือนมารศรี ที่ม่านบังตาเห็นเงาของมารศรีและสินทาบมา ทั้งคู่เหมือนยืนกอดกัน
"ว้าย...นั่นผู้ชายที่ไหน คุณพระก็อยู่บนตึกใหญ่ ว้าย"
เงาที่บังตาเห็นเงามารศรี เหลียวซ้ายแลขวา ก่อนจะดึงเงาผู้ชายหายไปในห้องนอน ผินตาเบิกโพลงในทันที

ภายในห้องนอน มารศรีรีบปิดกลอนประตู หันมาหาสินที่ยืนกลางห้อง
"นี่พี่ไปอยู่ที่ไหนมา"
"พี่ไปกบดานที่บ้านนอกร่วมปี กลับมาหางานทำได้งานที่เหลา คิดว่าเรื่องเงียบแล้ว ที่ไหนได้ตำรวจมันยังตามจับพี่อยู่"
มารศรีหน้าบึ้ง
"ก็น่าอยู่หรอก ตีเขาปางตายจนความจำเสื่อมขนาดนั้น"
"ที่พี่ทำไปก็เพราะเธอนะมารศรี ไอ้หนุ่มนั่นมันดูถูกเธอ มันต้องเจ็บตัวบ้าง"
“ไม่น่าเลย นี่พี่จะทำยังไงต่อไป"
"ก็คงต้องหนีใหม่"
"นี่พี่มีเงินมีทองใช้บ้างหรือเปล่า"
สินนิ่ง มารศรีหยิบกระเป๋าถือมาเปิดหยิบธนบัตรทั้งหมดมาคลี่ดู เป็นเงินประมาณ ๑๐๐ บาท
"ฉันมีอยู่แค่นี้พี่เอาไปใช้ก่อน"
สินลังเลแต่ก็รับเงินมา ทันใดก็มีเสียงทุบประตู
"มารศรี มารศรี"
มารศรีสะดุ้งสุดตัวชี้นิ้วที่หน้าต่าง สินพยักหน้าวิ่งไปที่หน้าต่างบานหนึ่งแล้วกระโดดลง มีเสียงคนใช้ชายร้องเอะอะด้านนอก มารศรีพลันหวีดร้องวิ่งถลาไปถอดกลอน พระชาญถลันเข้ามา มารศรีหน้าซีดตัวสั่นกอดพระชาญชลาศัย
"คุณพระขา ขโมยขึ้นห้องดิฉันค่ะ"
แม่ผินค้อนคอเคล็ด บัว จงกลยืนหน้าตื่น เสียงคนใช้ชายยังเกรียวกราวอยู่ห่างออกไป

สินวิ่งลดเลี้ยวเข้าไปในสวนมุ่งไปที่รั้วหลังบ้าน คนใช้ชายไล่ตามเข้ามา สรรค์อยู่ในบ้าน พลางชะเง้อมองออกมาบ้าง เห็นเงาคนวิ่งว่อบแว่บผ่านใกล้หน้าต่างที่ตนยืน สรรค์ตะโกน
"ขโมยอยู่ตรงนี้"
สินตกใจหันหน้ามามองตามเสียง สรรค์เห็นหน้าสินเต็มๆ ก็ชะงัก สินวิ่งหลบไปอีกทาง "นั่นมัน"
สรรค์จำหน้าได้ชัดเจน สินเป็นคนเดียวกับปลอมเป็นตำรวจก่อนที่เขาจะโดนตีหัวจนสลบไป

พระชาญชลาศัยยืนอยู่กลางห้องด้วยท่าทางโกรธและหวาดระแวง มารศรีนั่งเป็นทองไม่รู้ร้อนอยู่บนโซฟา คนใช้หญิงนั่งเรียงรายที่พื้น ผินชะเง้อชะแง้มองไปทางเทอเรชหน้า สรรค์เดินตามเข้ามายืนสมทบเงียบ ๆ ที่เคาน์เตอร์ สมพงษ์ ไม้ รามซิงค์ กุ๊กเฮง เข้ามาคุกเข่าลง
"ยังไง" พระชาญชลาศัยถาม
"มันปีนรั้วบ้านคุณพระเจนหายไปขอรับ" ไม้บอก
"ท่าทางคงเป็นหัวขโมยจริง ๆ ขอรับ" สมพงษ์ว่า
"แล้วมันเข้ามาได้ยังไงฮะ เจ้ารามซิงค์ แกหลับยามหรือ"
ทุกคนมองดูรามซิงค์ที่หน้าจ๋อยอยู่
"อีนี่เปล่าหนา คุณพระ ฉันไม่ได้หลับหนา แต่ว่า...” รามซิงค์ว่า
"แกไม่หลับยาม แล้วมันเข้ามาได้ยังไงถึงในบ้าน”
ผินกระแอมขึ้นแล้วพูดแดกดันใส่มารศรี
“ก็อาจจะมีคนนัดแนะ ช่วยไขกลอนเปิดประตูให้มันเข้ามาถึงในห้องในหับ ในซอกในหลืบก็ได้นี่เจ้าคะ"
มารศรีเลิกคิ้ว คุณพระมองมารศรีอย่างระแวง
“คราวนี้คงไม่ใช่พูดถึงบัว แต่พูดถึงฉันซีนะ"
“ก็ฉันเห็นหล่อนยืนกอดพร่ำพลอดอยู่กับมัน แล้วก็จูงมือมันเข้าห้องไปขึ้นเตียงน่ะซี"
"อุ๊ย ไม่จริงค่ะ" จงกลบอก
ผินถลึงตาใส่
“นังข้าสองเจ้า"
"เธอว่ายังไงมารศรี"
"ขอดิฉันถามแม่ผินหน่อยนะคะว่าที่แท้แล้วแม่ผินยืนอยู่ที่ไหน ถึงได้เห็นไปถึงบนเตียงของดิฉัน”
"ฉันไปเอาน้ำร้อนกลับมาจากเรือนครัว เห็นเงาหล่อนกับชู้ เล่นหนังตะลุงทาบเงาบนม่านบังตานะซียะ"
พระชาญชลาศัยเพิ่งรู้ว่าผินใส่ไข่จึงเสียงอ่อนลง สรรค์ถอนใจ มารศรีได้ทีจึงแต่งเรื่องโกหก
"อ้อ งั้นแม่ผินก็รู้ตัวไว้ว่าแก่จนหูตาฝ้าฟางไปหมดแล้ว... พออิฉันให้จงกลเข้าห้อง ไอ้โจรก็เข้ามาในห้องแล้ว มันจับตัวอิฉัน ให้เข้าไปหยิบเงินกับของมีค่าในห้อง พอดิฉันส่งเงินให้มัน นอกห้องก็เกิดเอะอะกันขึ้น มันก็หนีไปก็เท่านั้นเอง"
สรรค์มองดูมารศรีด้วยรู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พระชาญชลาศัยเริ่มคลายใจลง
"จริงเจ้าค่ะ ดิฉันเข้าห้องไปแค่ไม่กี่อึดใจ คุณนายไม่ได้พาผู้ชายเข้าเรือนแน่เจ้าค่ะ"
ผินค้อนขวับ
"แล้วมันหน้าตาเป็นยังไง เธอเห็นหน้าค่าตามันไหม" สรรค์ถาม
"มันปิดหน้า ดิฉันไม่เห็นหรอกค่ะ"

พระชาญชลาศัยมองมารศรีอย่างหยั่งท่าทีไม่วางใจเต็มร้อย มารศรีทำตาแป๋วบริสุทธิ์ แต่สรรค์จับได้ว่ามารศรีโกหก

ภายในห้องโถงบ้านชูวงศ์ของวันใหม่ในเวลากลางวัน บุญมานั่งอยู่หน้าเครื่องพิมพ์ดีด บนกระดาษพิมพ์ว่า “แก่นแก้ว ตอน ๒๕” มีเนื้อความเป็นนิยายอยู่ ๓-๔ บรรทัด
 
บนกระดาษชานอ้อยข้างฝา มีรูปแก้วหลาย ๑๐ รูปในอิริยบทต่างๆกันแปะอยู่เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ บุญมากัดริมฝีปากครุ่นคิด สรรค์เดินปึงปังเข้ามากระแทกตัวนั่งโครมตรงหน้า บุญมามองอย่างงงๆ
"เป็นอะไรวะ สรรค์ ไปกินรังแตนที่ไหนมา"

บุญมาพูดอย่างกระตือรือร้น
"ฉันรู้มานานแล้วว่า มารศรีสนิทสนมกับไอ้เจ้าสินนี่"
“แล้วแกคิดว่ามารศรี เป็นคนบงการให้ไอ้สินปล้นฉันหรือเปล่า” สรรค์ถาม
บุญมาเดินวนไปมาอย่างใช้ความคิดแล้วบอก
“พูดยากว่ะ แต่ว่าที่ไอ้สินกับลูกน้องที่ปล้นแก ตำรวจเค้าว่า น่าจะเป็นการวางแผนไว้ก่อน มันน่าจะสะกดรอยตามแกมาจากหยาดสวรรค์ แล้วค่อยเลยลงมือ”
สรรค์หน้าบึ้ง
“ฉันไม่รู้จักมัน ทำขนาดนี้มันต้องมีคนสั่ง”
"คนที่หยาดสวรรค์เคยบอกฉันว่า ไอ้เจ้าสินมันท่าทางหลงรักมารศรีอยู่ มารศรีอาจจะหลอกใช้มัน”
สรรค์คิดปะติดปะต่อเรื่องราว
“พอมันลำบาก มันเลยต้องกลับมาหามารศรี คนที่ทำให้มันต้องหนีตำรวจหัวซุกหัวซุนอยู่แบบนี้"
บุญมาคิดตามพลางพยักหน้าหงึกๆ ว่าเป็นไปได้มาก

เวลาย่ำเย็นมากแล้ว มะลิหน้าดำคร่ำเคร่งเดินเซเข้าบ้าน ร่องรอยของเครื่องสำอางบนใบหน้าลบเลือน ผมที่เกล้าไว้เริ่มรุ่ยร่าย ภายในบ้านพักยังปิดไฟมืด
มะลิก้าวเข้ามาในห้องโถงที่ยังไม่เปิดไฟก็อดแปลกใจพลางจะขยับเรียก แต่ชะงักเมื่อเห็นแสงไฟลอดมาจากใต้ประตูห้องนอนของตนเอง มะลิผวานึกรู้ขึ้นมาทันที
มะลิถีบประตูด้วยแรงหึงพลันประตูเปิดผางออก มะลิถลันเข้าห้องมา หลวงจินดาลุกพรวดดึงผ้าห่มจะมานุ่ง ช่อผการ้องวี๊ดคว้าอีกชายไว้ปิดตัวแล้วลุกยืน หลวงจินดาและช่อผกาถือผ้าไว้คนละมุมคล้ายจอหนัง
“ว้าย อีลูกชั่วไอ้ผัวเลว แกทำอะไรกัน”
"โธ่ ยังต้องถามอีก"
“ก็ช่อบอกแล้วว่า ช่อไม่มีอะไรทำ”
"อีลูกทรพี"
มะลิร้องวี๊ดโถมเข้าไปตบช่อผกาผัวะ ช่อผการ้องกรี๊ดแล้วโผเข้าหาหลวงจินดา มะลิเข้าตบหลวงจินดาผัวะๆ
"โธ่ คุณหญิง หยุดนะ"
“ฉันไม่หยุดจะทำไมฉัน”
ทันใดนั้นก็มีตีนถีบออกมาจากผ้า ไม่ประจักษ์ว่าเป็นเท้าลูกหรือผัว หรือทั้งคู่ มะลิหงายหลังผลั่กลง จินดาคว้ากางเกงมานุ่ง ช่อผกาตวัดผ้ามากระโจมอกคล้ายเทพธิดากรีก มะลิร้องไห้ลุกขึ้น
“ฮือ ไพ่ดีๆ คนอื่นก็แย่งไปหมด ผัวดีๆ อีลูกชั่วก็มาแย่ง”
“ฮึ ใครแย่งกันคะ ก็คุณแม่เคยบอกหนูก่อนย้ายมาไม่ใช่หรือคะว่าให้มาร่วมทุกข์ร่วมสุข"
“แต่ฉันไม่ได้บอกให้แกมาร่วมผัว”
“โธ่ คุณหญิงอย่าใจแคบเลย ทำใจให้เป็นบุญเป็นกุศลเถอะ” หลวงจินดาว่า
“กุศลพ่อคุณหลวงนะซี เอื้อเฟื้อผัวนี่มันตกนรก”
“อย่าห่วงเลยค่ะ คุณแม่ถ้าจะตกก็ตกตั้งแต่คุณแม่ท้องหนูแต่ไปหลอกเจ้าคุณพ่อให้แต่งด้วยแล้ว"
มะลิเซไปนั่งลงแล้วรู้ว่าเวรกรรมมีจริงในตอนนี้
“แล้วจะยังไง แล้วจะยังไงกัน”
"ไม่เห็นต้องยังไงก็อยู่กันสามคน หรือว่าคุณหญิงอยากเสียทั้งไพ่ทั้งผัว"
หลวงจินดาโอบไหล่ช่อผกาเข้ามา มะลิอ้าปากค้างอยู่กับพื้น พอได้สติ ก็โผนไปตบผัวะโดนหลวงจินดาเข้าเต็มหน้าจนเลือดไหลจากมุมปาก
"คุณหญิงบ้าไปแล้วเหรอ"
"เออ ฉันบ้าไปแล้ว ฉันบ้าไปแล้ว"
มะลิเข้าไปตบหลวงจินดาดังผัวะอีก จินดาอึ้งแล้วยืดตัวตรงตบสวน มะลิผวาเป็นนกปีกหักเข้าปะทะกับฝาแล้วรูดกองลง มองดูผัวกับลูกแล้วร่ำไห้ หลวงจินดาประคองช่อผกาเดินหลบออกไป

ตอนกลางวันของวันใหม่ บริเวณห้องรับแขกของบ้านบันเทิงไทย ชดได้จัดประชุมเกี่ยวกับละครเรื่องใหม่ของคณะ ซึ่งเคยผ่านการประชุมมา ๒-๓ ครั้งแล้ว
“ละครเรื่องใหม่ของเรา นิดอยากให้ทำเรื่องเงือกน้อย แต่ฉันยังไม่แน่ใจ เลยอยากถามความเห็นทุกคนอีกหน" ชดว่า
"พี่ชดกังวลเรื่องอะไรหรือจ๊ะ" นิดถาม
"ตอนแรกพี่ก็ชอบเรื่องนี้ที่มันแปลกใหม่ ทั้งฉาก ทั้งเสื้อผ้า ทั้งเนื้อเรื่อง แต่พี่ลืมนึกไปว่าเรื่องมันเศร้ามาก"
"คุณชดกลัวเรื่องที่จบเศร้าหรือคะ" มารศรีถาม
"ฉันน่ะไม่กลัวหรอก แต่คนดูน่ะซี ฉันไม่แน่ใจว่าคนดูจะว่ายังไง ยิ่งอีคุณหลวงจันทรมาคร่ำครวญทุกวันว่าให้ทำเรื่องอื่น กลัวละครเจ๊ง” ชดบอก
“แล้วคนดูในห้องนี้ละคะว่ายังไง ทม ประภา คุณพลับ” มารศรีเอ่ยถาม
ทม ประภามองนิดอย่างเกรงใจ พลับเชิ่ดใส่นิด
"ถ้าให้ตอบตรงๆ ก็คือฉันชอบเรื่องที่จบดี" ทมบอก
"ประภาก็ชอบเรื่องที่จบแบบมีความสุข พระเอกนางเอกได้กัน"
"ฉันก็ชอบเรื่องจบดี ฉันเกลียดจะตายเรื่องพระเอกตายหรือนางเอกตายน่ะ" พลับว่า
"ฉันก็ไม่ชอบ" แก้วว่า
นิดผิดหวังหน้าจ๋อยไปนิดหนึ่ง
"แต่นิดคิดว่าเรื่องนี้ถึงจะจบเศร้า เงือกน้อยต้องตายไป แต่คือการตายเพื่อให้คนที่รักอยู่ เป็นการเสียสละ คือความรักที่แท้จริงไม่ใช่แค่การตายจากกันแบบเรื่องอื่นๆ"

นิดพูดพลางยิ้มเศร้าๆ ดวงตาวาววับด้วยน้ำตา ทม ประภาเริ่มคล้อยตาม
“พี่น่ะเข้าใจ แล้วก็ชอบมากด้วย แหมแต่กลัวใจคนดูจริงๆ” ชดบอก
แก้วเริ่มชักใบให้เรือเสีย
“พี่ชดก็เปลี่ยนตอนจบให้จบดีสิ ให้อีนางแม่มดทะเลนั่นแหละปลอมเป็นนังเจ้าหญิงมาแย่งเจ้าชายกับเงือกน้อย พอท้ายเรื่องเจ้าชายรู้ความจริงก็ฆ่านังแม่มดตาย คำสาปก็เสื่อม เงือกน้อยก็ได้กับเจ้าชาย”
แก้วด้นสดคล้ายเงือกน้อยของดิสนีย์ในอีก ๕๐ ปีต่อมา ชดร้องลั่น
"จะบ้าเหรอนังแก้ว เรื่องเดิมเขาดีๆ ไปเปลี่ยนเขาหมด"
"แหม เรื่องของน้องแก้วสนุกออก" พลับบอก
“ใช่ ถ้าพี่ไม่ทำนะ อีกหน่อยต้องมีคนอื่นทำออกมาโกยเงินแน่ๆ” แก้วว่า
ชด ทม ประภา มารศรีอ่อนใจกับแก้ว มารศรีพยายามช่วยนิด
“ว่ากันตามจริง ถึงเรื่องจะจบโศก ถ้ามันโศกแบบเป็นเหตุเป็นผล น่าประทับใจ ฉันก็ว่าเราน่าจะลองดูนะ”
คนอื่นๆ พยักหน้ารับฟังเหตุผลของมารศรี นิดเริ่มยิ้มออก
“จริงจ้ะ คนดูอาจจะชอบเรื่องจบสุข แต่นิดว่าเรื่องจบโศกจะกินใจประทับใจมากกว่านะจ๊ะ”
ทุกคนพยักเพยิดคล้อยตามมีแต่พลับที่ทำหน้าเบ้
"ชีวิตมันก็ทุกข์พอแล้ว ยังจะให้ดูเรื่องเป็นเรื่องตายอีก ไม่เห็นอยากดูเลย เชอะ"

นิดอมยิ้มรู้ว่าทุกคนยอมรับเรื่องเงือกน้อยแล้ว

สาวน้อย ตอนที่ ๒๕ (ต่อ)

มารศรียืนคุยเล่นกับนิดและแก้วที่มุมหนึ่งของบ้านเช่า

“จริงๆ นะนิด ฉันรู้สึกผิดมาตลอดว่า เพราะฉัน คุณสรรค์ถึงได้ไปพบกับเธอ แล้วถึงได้เกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้นเพราะฉัน เธอถึงได้ทุกข์ยากขนาดนี้"
นิดยิ้มดวงตาระลึกถึงความหลัง
“นิดยอมทุกข์ยากกว่านี้ร้อยเท่าเพื่อแลกกับการได้เจอ ได้รัก ได้แต่งงานกับพี่เสียม ดีกว่าอยู่อย่างสุขสงบบนสีชัง แต่ไม่มีพี่เสียมในชีวิต”
มารศรียิ้มอย่างเอ็นดูและรู้สึกดีขึ้น แก้วติดตลกขึ้นมาบ้าง
“แต่ฉันสิ ถ้าไม่เกิดเรื่อง ฉันอาจได้แต่งงานกับพี่เนื่องไปแล้วก็ได้”
ความรู้สึกต่อเนื่องของแก้วจางลงไปแล้วถึงได้กล้สพูดอย่างเต็มปากเต็มคำ
"ถ้าไม่เกิดเรื่อง แก้วก็ไม่ได้เจอกับคุณบุญมาน่ะซี"
แก้วชะงักและเริ่มเขินอาย
“ ถ้าไม่เจอชีวิตฉันคงสุขสงบมากกว่านี้ ผู้ชายอะไร”

แก้วค้อนลมค้อนอากาศ มารศรีอารมณ์ดีขึ้นถามนิด
“แล้วจากนี้ไป เธอมีแผนการณ์อะไรอีก แม่เงือกน้อยจอมวางแผน”
“แหม คุณก็ นิดไม่ใช่จอมวางแผนซักหน่อย”
นิดพูดยิ้มๆ แต่ก็รู้อยู่แล้วว่าจะทำอะไร

สรรค์และนิดเดินเคียงคู่กันมาตามชายหาดแห่งหนึ่งในตอนกลางวัน
“คุณนี่ศิลปินแท้ๆ เลย บทละครยังไม่เสร็จ คุณก็ออกมาหาแรงบันดาลใจแล้ว” สรรค์บอก
“ฉันพาคุณมาหาแรงบันดาลใจในการออกแบบฉากต่างหากล่ะคะ”
“ ถ้าจะให้เกิดแรงบันดาลใจจริง ผมคงต้องดำน้ำลงไปดูใต้ทะเลมากกว่า" สรรค์พูดขำๆ
“คุณเองก็เคยลงไปใต้ทะเลแล้วนี่ค่ะ”
นิดแกล้งหยอก สรรค์ทำหน้างง
“เมื่อไหร่กัน... ไม่เคยซักหน่อย ผมไม่เคยไปดำน้ำกับเขาซักที แต่คุณน้อยเคยอยู่ริมทะเล น่าจะเคย”
“ค่ะ ฉันเคยเห็นโลกใต้น้ำ มันงามเหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งจริงๆ”
นิดพูดเสียงฝันๆ สรรค์มองตานิดอย่างลึกซึ้ง
“คุณน้อยเล่าให้ผมฟังได้ไหมครับ”
“ก่อนอื่น คุณต้องถอดร้องเท้าคุณออกก่อนค่ะ”
นิดถอดร้องเท้าส้นเตี้ยของตนเอง สรรค์งงๆ แต่ถอดรองเท้าขึ้นมาหิ้ว นิดคว้ามือสรรค์ให้ก้าวลงทะเลเพื่อให้โดนคลื่นซัดเท้า เท้าสัมผัสทราย น้ำพัดทรายเข้ามาตามซอกนิ้วเท้า
"คุณเริ่มรู้สึกบ้างหรือยังคะ"
สรรค์ยิ้ม ลมแรงพัดมารอบกาย

ใต้ร่มไม้ใหญ่ชายทะเลมีดอกผักบุ้งทะเลออกดอกพราว นิดปูผ้าปูโต๊ะผืนใหญ่กับพื้นทราย มีอาหารปิกนิก ๓-๔ อย่าง สรรค์กินอาหาร นิดเอาเถาและดอกผักบุ้งมาพันทำมงกุฏดอกไม้ สรรค์มองดูแล้วหมองลง
"คุณเหมือนมีอะไรในใจนะคะ"
สรรค์มองดูนิดไม่อาจบอกได้ว่า เรื่องในใจคือยิ่งรู้สึกผูกพันกับน้อยก็ยิ่งรู้สึกผิดต่อสุวลี
"เรื่องที่บ้านน่ะครับ คุณน้อยคงเคยรู้มาบ้างแล้วว่าเมื่อต้นปีก่อนผมเคยถูกปล้นถูกตีศีรษะจนความจำเสื่อมไป ๖ เดือน”
“๖ เดือน คุณจำช่วงเวลานั้นไม่ได้เลยหรือคะ" นิดถามเสียงแผ่ว
"ครับ ผมมารู้ทีหลังว่า ช่วงนั้นสุวลีพาผมไปพยาบาลที่บ้านสวนของเธอ"
นิดเพิ่งรู้เรื่องเท็จนี้ ตาเบิกกว้างแล้วยิ้มเยาะเล็กน้อย
“งั้นเชียวหรือคะ”
"คุณสุดูแลผมเป็นอย่างดีจนกระทั่งผมได้ผ่าตัด"
"ไม่น่าเชื่อนะคะว่า คุณสุวลีจะทุ่มเททำเช่นนั้นได้"
“คุณสุบอกว่า เธอขมขื่นมากที่ต้องอยู่เคียงข้างคนรักที่จำเธอไม่ได้เลย”
“ดิฉันพอจะนึกออกค่ะ”
“แล้วเมื่อไม่กี่วันก่อน ผมเพิ่งได้รู้ว่าแม่เลี้ยงของผม อาจจะเป็นคนจ้างวานให้ไอ้โจรนั่นมาทำร้ายผม”
นิดมองและเอื้อมมือมาแตะมือสรรค์ แหวนพลอยวูบวับ
“คนที่เราคิดว่าร้ายกาจอาจจะเป็นคนดี ส่วนคนที่เราคิดว่าดีอาจคือคนโกหกหลอกลวงที่ชั่วร้ายที่สุดก็ได้"
"นั่นซีครับ ผมถึงวางใจแม่เลี้ยงของผมไม่ลง"
“ดิฉันไม่ได้หมายถึงคุณมารศรี แต่หมายถึง ... คนอื่นๆ ต่างหากล่ะคะ”
สรรค์ไม่เข้าใจมองนิดอย่างตั้งคำถาม นิดยิ้มนิ่งๆ ไม่พูดอะไรต่อ

ภายในห้องนอนเวลากลางวัน สุวลีสวมชุดอยู่บ้านนอนพักอยู่บนเตียงเดย์เบดริมหน้าต่าง แล้วมองออกไป ที่ด้านล่าง มีคนใช้ชายหญิง ๕-๖ คนถือกระเป๋าเดินแถวกันออกไป สุวลีทั้งขมขื่น หวาดกลัว และโกรธแค้น สุวลีหันมามองดูจวนที่คุกเข่าอยู่ใกล้ประตูแล้วถาม
"แล้วแกล่ะ เมื่อไรจะไป"
"อะไรนะเจ้าคะ คุณสุวลี"
"ฉันถามแกว่าเมื่อไรแกจะไป" สุวลีพูดด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น
จวนส่ายหน้าแล้วบอก
"จวนเกิดที่บ้านเนาวรัตน์ก็จะตายที่บ้านนี้เจ้าค่ะ"
"แต่บ้านนี้อาจจะไม่อยู่รอจนแกตายหรอก"
จวนกลัวน้ำตาไหลพราก
"อย่ามาทำเจ้าน้ำตาเป็นนางละคร ไปนะ ออกไปให้พ้นหน้าฉัน"
จวนลนลานจะออกไปก็สวนกับคุณหญิงบัวผันที่เดินเข้ามาพลางดูถาดอาหารที่ตั้งอยู่
“ยายสุ ทำไมไม่รับประทานอะไรบ้าง”
“สุไม่หิวค่ะ คุณแม่”
คุณหญิงบัวผันเข้ามานั่งใกล้สุวลีที่กำลังตัดพ้อ

“บ้านเราตกต่ำขนาดนี้ คุณแม่จะให้สุทานลงได้ยังไงคะ”
“มันก็ไม่ได้อับจนข้นแค้นถึงขนาดนั้นหรอกน่ะ ที่เจ้าคุณพ่อท่านพูดไปก็เป็นเพราะท่านอยากให้...”
คุณหญิงบัวผันพูดยังไม่ทันจบ สุวลีก็สวนขึ้น
“ขายเครื่องลายครามหมดห้อง ขายรถยนต์ไปจนแทบไม่เหลือ คนใช้พากันเดินแถวออกไป นี่น่ะหรือคะไม่อับจน"
“พ่อเสวกก็ได้งานบริษัทฝรั่ง เงินเดือนงาม รายจ่ายในบ้านก็ลดลงไปตั้งมาก ถ้าสงครามสงบเรือสินค้าของเรากลับมาได้ ทุกอย่างก็จะดีเหมือนเดิม ลูกอย่ากลัวไปเลยน่ะ”
คุณหญิงบัวผันพูดเองเออเอง โดยที่ไม่รู้ว่าสงครามใหญ่ที่สุดกำลังจะระเบิดขึ้น ไม่ใช่สงบ สุวลีได้ฟังคำประโลมของแม่ก็รู้สึกดียืดกายผยองขึ้นมาอีกครั้ง
"สุแค่ตกใจ ไม่ได้กลัวหรอกค่ะ สุวลี กีรติขจร จะไม่มีวันตกต่ำเป็นอันขาด”
สุวลีกรายตัวไปหน้ากระจก คุณหญิงถาม
"แล้วนั่นจะไปไหน ไม่รับประทานข้าวหรือ"
“สุจะไปรับประทานข้างนอกค่ะ”
“ไปหาพ่อสรรค์หรือจ๊ะ”
"สุเบื่อจะฟังเรื่องโรงละคร ฉากละคร รูปวาด งานศิลป์ หรือแรงบันดาลใจแล้วค่ะ สุไปหาที่หมายอื่นดีกว่า”

สุวลีพูดประโยคท้ายที่ดูกำกวม คุณหญิงบัวผันพอจะรู้ทัน อยากจะปราม แต่เอาใจกันมาจนไม่อยากขัด

โต๊ะมุมหนึ่งของภัตตาคารหรูหรา ธนาค่อยๆเลื่อนกล่องแบนกล่องหนึ่งให้ สุวลียิ้มแล้วเลิกคิ้วมอง

“อะไรอีกคะ"
"ของขวัญ...ไม่ใช่ซี ของรับขวัญ เนื่องในโอกาสที่คุณสุกลับสู่วงสังคม"
สุวลีมองธนาอย่างหยั่งเชิง ไม่รู้ว่าธนารู้เรื่องฐานะของตนหรือเปล่า แต่คิดว่าไม่รู้เลยโกหกไป
"สุแค่ไม่อยากเอาไข้หวัดไปแพร่เท่านั้นเอง แล้วอีกอย่างคนเป็นหวัดน่าเกลียดจะตาย"
สุวลีทำหน้าย่น ธนามองคล้ายเอ็นดูคล้ายประเมินค่า
"ไม่มีอะไรมาทำลายความงามของคุณสุได้หรอกครับ"
นพเดินเข้ามาทักพลางนั่งลงด้วย
"แน่ะ คุณสุ ไม่ได้เจอกันเป็นเดือนเชียว ตั้งแต่วันงานที่วนิดาร้องเพลง"

สุวลียิ้มเย็นชาขึ้นมาทันที
“ได้ข่าวมาว่า กำลังจะมีละครเพลงเรื่องใหม่ เอ ไม่รู้ว่าตั๋วรอบปฐมทัศน์จะเต็มอีกหรือเปล่า คุณสุหาให้ได้ไหม” นพถาม
"สุไปเกี่ยวอะไรด้วยคะ"
"อ้าว ก็คุณสรรค์เป็นคนทำฉากเรื่องนี้ไม่ใช่หรือ คุณสุก็น่าจะมีสายสนกลในหน่อยซี"
สุวลีโกรธหน้าตึงแล้วเชิดหน้าพูดอย่างเย็นชา
"สรรค์ชอบลดตัวไปทำงานแบบนั้นก็ไม่ได้หมายความว่า สุจะต้องตามไปอยู่ในแวดวงนั้นด้วยหรอกนะคะ"

ดวงอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ เมฆขาวบนฟ้าเริ่มกลายเป็นสีสันต่างๆ อย่างน่าอัศจรรย์ สรรค์เดินมองหานิด แต่ไม่เห็นก็เดินต่อไปจนถึงแนวโขดหิน สรรค์มองหาแล้วนิ่งไป ตรงหน้าบนโขดหิน นิดนั่งเหม่อมองทะเลขาพับเพียบไขว้ไว้ข้างตัว ผมไหวตามแรงลม ดวงหน้าเศร้าแต่กลับเปี่ยมด้วยความหวังเหมือนสิ่งที่รอคอยใกล้กลับคืนมา แหวนพลอยในมือทอแสงล้อกับแดดเข้าตาสรรค์
ภาพอดีตแวบเข้ามา - นิดนั่งเป็นแบบให้เสียมวาดภาพบนเกาะวิมานน้อย
สรรค์นิ่งอึ้งไป นิดเหลือบมามองแล้วยิ้มให้ สรรค์เดินเข้าไปหา
"คุณน้อยเหม่อดูอะไรอยู่"
"ดูเมฆก้อนนั้นค่ะ"
สรรค์มองตาม เมฆนั้นลอยผ่านไปช้าๆ แปรรูปพยับโพยม
“แต่ก่อนดิฉันเคยดูเมฆบนฟ้ากับเขาคนนั้น ฉันเคยคิดว่าเมฆพาเขามาพบดิฉัน และเมฆก็จะพัดพาเขาไปซักวันหนึ่ง แล้วมันก็เกิดขึ้นจริงๆ”
สรรค์รู้สึกเข้าใจและเห็นใจ ความผูกพันยิ่งมากมายขึ้น
"แต่ชะตากรรมอาจจะพัดพาเขาคนนั้นของคุณน้อยกลับคืนมาซักวัน"
"ดิฉันก็เฝ้าภาวนาอยู่"
ในใจของสรรค์กลับริษยาชายคนที่นิดรักไม่เสื่อมคลายจนเผลอพูดหลุดปากไป
"หรือไม่ซักวัน คุณน้อยก็อาจจะได้พบใครอื่นที่รักคุณน้อยเหมือนที่คุณน้อยรักเขาคนนั้น"
นิดตาโตรู้ว่า สรรค์กำลังลดเลี้ยว อกใจระทึก แต่กลับพูดปัดไปอย่างอื่น
"แต่ดิฉันอาจจะทุ่มเทใจให้เขาคนแรกไปหมดแล้วก็ได้"
สรรค์ยิ้มเศร้า
"งั้นอีกคนนึงก็คงเป็นผู้ชายโชคร้ายที่สุดในโลก"
สรรค์เปลี่ยนเป็นยิ้มปรกติแล้วก้าวไปใกล้
"คุณน้อยครับ ผมมีเรื่องอยากจะขอคุณน้อย"

นิดกระพริบตามองดูแหวนในมือ ใจระทึกขึ้นมาอีกคิดว่าสรรค์จะขอความรัก
"เรื่องอะไรคะ"
"เดือนหน้ามีงานรัฐธรรมนูญ"
นิดงง
"แล้วทำไมหรือคะ"
“ในงานนี้มีการประกวดภาพ ผมอยากส่งภาพเข้าประกวด โดยมีคุณน้อยเป็นแบบของผม”
"เท่านั้นเองหรือคะ คิดว่า...”
"คิดว่าอะไรหรือครับ"
"คิดว่าเป็นเรื่องอะไรใหญ่โตนะซีคะ"
"แล้วคุณน้อยคิดว่ายังไงครับ"
“ดิฉันยินดีค่ะ...ยินดีเสมอ”
สรรค์และนิดยิ้มให้กัน ทั้งคู่มองไปบนท้องฟ้ากว้างที่ก้อนเมฆแปรรูปไปจนหลากสีสันงดงามกว่าภาพวาดใดๆ จนยากที่จะพรรณา

ในเวลากลางคืน ภายในห้องนอนที่เรือนหลังเล็กในบ้านโพธิธารา มารศรีนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้งกำลังแปรงผม สินปีนหน้าต่างเข้ามา มารศรีตกใจลุกพรวดขึ้นพูดเสียงเบาด้วยความไม่พอใจ
“พี่สิน ฉันบอกแล้วว่าอย่ามาที่นี่อีก”
“พี่จำเป็นต้องมา พี่เป็นห่วงเธอ เมื่อวันก่อน ลูกเลี้ยงของเธอมันเห็นหน้าพี่"
มารศรีตกใจ
“คุณสรรค์เห็นหน้าพี่แล้ว มิน่าเล่า...”
มารศรีทรุดลงด้วยสีหน้ากลุ้มใจ
"มันพูดอะไรไหม มันสงสัยอะไรเธอหรือเปล่า"
สินถามอย่างเป็นห่วง มารศรีตั้งสติได้รีบลุกขึ้นบอก
“ไม่ต้องห่วงฉัน ห่วงตัวเองเถอะ .. พี่ไม่ได้ไปทำงานแล้วใช่ไหม”
สินได้แต่ส่ายหน้า
“แล้วตอนนี้พี่มีเงินใช้บ้างหรือเปล่า”
“ไม่มี แต่พี่เอาตัวรอดได้”
“จะไปเป็นโจรเหรอ พอเสียทีเถอะพี่สิน คนเรามันต้องก้าวต่อไปข้างหน้าทำชีวิตให้มันดีขึ้น” มารศรีบอกด้วยอาการโกรธเล็กน้อย
"คนอย่างพี่ไม่มีวันได้ดีหรอก"
"ดีชั่วอยู่ที่ตัวเรา ฉันพูดได้แค่นี้แหละ"

มารศรีเดินไปที่ตู้ลิ้นชักเครื่องแป้งหยิบซองสีน้ำตาลหนาหนักมาส่งให้สิน สินรับมาแง้มดู เห็นเงินที่อัดแน่นซองราว ๕๐๐ บาท
"ทำไมมากมายขนาดนี้"
"พี่เคยช่วยฉันมามาก...ให้ฉันได้ช่วยพี่บ้าง"
สินมองมารศรีอย่างขอบใจที่มารศรีไม่ทอดทิ้ง แต่ก็ยังขมขื่นที่มารศรีไม่เคยรัก
"พี่...พี่ขอบใจ"
ทันใดมีเสียงเคาะประตูก็ดังสนั่นหวั่นไหว ที่นอกหน้าต่าง แสงสว่างจากไฟสนาม ไฟจากตัวตึกรวมทั้งไฟฉายวูบวาบไปหมด
"เปิดประตูเดี๋ยวนี้ มารศรี"
มารศรีหันขวับมาอย่างตกใจ สินผงะถอย พลันประตูถูกกระแทกจนเปิดออก พระชาญชลาศัยถือปืนก้าวเข้ามาพร้อมกับสรรค์ก้าวเข้ามา ซองเงินหลุดจากมือสิน
“แกนี่เอง ไอ้แมวขโมย”
"ใช่แกจริงๆ"
พระชาญชลาศัยตาลุกเป็นไฟ สรรค์โกรธ สินหน้าซีดเผือดเมื่อคุณพระเล็งปืนมา มารศรีผวามาปัดปืน ปืนลั่นเปรี้ยง มารศรียึดแขนพระชาญชลาศัยไว้แน่น
“อย่าค่ะ คุณพระ”
"ปล่อย"

ในจังหวะนั้นสินก็พรวดไปถึงหน้าต่างกระโจนลงไป พระชาญชลาศัยสะบัดมารศรีถลาล้มลงไปกับพื้น ตรงไปที่หน้าต่างกับสรรค์แล้วไล่ยิงปืนลงไป มารศรีพยายามระงับจิตใจ

สินวิ่งหนีไปในสนาม สมพงษ์ , ไม้ , กุ๊กเฮง ถือไฟฉาย มีด ไม้ วิ่งตามมา รามซิงค์ถือไม้พลองก้าวมาขวางสิน เดาะไม้พลองกับมือ

"อีนี้จะไปต้องข้ามศพฉันไปก่อน"
สินพลันเตะผ่าหมากเข้าเต็มเท้า รามซิงค์ตาเหลือกร้องไม่มีเสียง ปากจู๋กุมกล่องดวงใจไว้ สินกระโดดข้ามรามซิงค์ โผนขึ้นโหนกิ่งไม้ พาตัวข้ามรั้วไป
รามซิงค์ล้มลงกับพื้น มือยังกุมของรักแนบแน่น จนสมพงษ์ ไม้ กุ๊กเฮงยังรู้สึกเจ็บแทน

ภายในห้องโถงของบ้าน เวลาต่อมา พระชาญเคาะซองใส่เงินกับมือ สรรค์ยืนอยู่กับผินที่ยิ้มร่า มารศรีนั่งหน้าเชิ่ดอยู่บนเก้าอี้เดี่ยว บริเวณแพนทรี่ บัว จงกล ราตรี นั่งชะเง้อ ส่วนที่นอกเทอเรซ สมพงษ์ ไม้ กุ๊กเฮง คอยืดคอยาวอยู่

“ฉันไม่นึกว่าเธอจะมาทำเรื่องระยำตำบอนในบ้านของฉัน”
“เรื่องระยำตำบอนแบบไหนหรือคะ”
“เธอยังมีหน้ามาย้อนถามฉันอีกหรือ”
“ก็ดิฉันไม่ทราบจริงๆ นี่คะ ว่าดิฉันทำอะไร”
มารศรีแม้จะรู้สึกขมขื่นแต่กลับประชดกลับ ผินเต้นเร่าๆ
“ก็เรื่องหล่อนคบชู้สู่ชาย พาชู้มาเริงรักกันในเรือน ขี้รดหัวคุณพระอยู่ไง”
พระชาญชลาศัยขณะที่โกรธมารศรีอยู่ก็สะดุ้งเมื่อได้ยินคำแม่ผิน มารศรียิ้มไม่แยแส
“พี่สินน่ะหรือคะเล่นชู้กับดิฉัน”
“จับได้คาหนังคาเขาแบบนี้ยังมาทำปากแข็ง”
"แม่ผินเคยมีผัวมีชู้มาก่อนหรือถึงได้มั่นใจนัก"
ผินอ้าปากค้าง บรรดาคนใช้หญิงกลั้นหัวเราะ
“ว้าย อี...”
“แม่ผินหยุดพูด ฉันจะเป็นคนถามเอง”
ผินค้อนสะบัดพรืดไปยืนข้างหลังสรรค์ที่มองมารศรีอย่างเย็นชา
“คราวก่อนนั้นก็ไอ้สินนี่ซีนะที่มาหาเธอแล้วเธอโกหกว่าเป็นโจร”
"ค่ะ"
มารศรีตอบหน้าตานิ่งเฉย พระชาญยิ่งโกรธ
“อ้อ แล้วเธอก็เอาเงินฉันไปปรนเปรอมันอย่างงั้นหรือ”
“เงินของดิฉันต่างหากค่ะ”
ผินชี้หน้า
"เงินของหล่อนได้ยังไง เงินของคุณพระต่างหากย่ะ"
“ถ้าอย่างงั้น เงินเดือนของแม่ผินก็ไม่ใช่ของแม่ผินซีนะ”
ผินชะงักไปอีกค้อนมารศรีขวับใหญ่
“ถ้าไม่มีอะไรกัน ทำไมเธอต้องให้เงินมัน”
“พี่สินกำลังลำบาก ดิฉันเหมือนญาติที่เหลือคนเดียวของพี่สิน ดิฉันเต็มใจช่วยเขา เพราะเขามีบุญคุณกับดิฉัน”
สรรค์นิ่งฟังอยู่ก็อดไม่ได้
"บุญคุณอะไรกันหรือ หรือว่าบุญคุณที่มันทำให้ฉันความจำเสื่อมอยู่ตั้งครึ่งค่อนปี"
บรรดาคนใช้ร้องฮือ มารศรีนิ่งอั้น พระชาญยิ้มเยาะ ผินตาเบิกโพลง
"ว้าย นี่แกเป็นคนใช้ให้ไอ้โจรปล้นคุณหนูใช่ไหม หรือว่าแกสั่งให้มันฆ่าคุณหนู ว้าย เอาไว้ไม่ได้แล้วค่ะ ต้องเอาไปติดตะรางให้เข็ด"
พระชาญชลาศัยยิ่งคิดถึงความเป็นไปได้ มารศรีหน้าเผือดลง กัดริมฝีปาก

"แม่ผินเงียบก่อน...” สรรค์บอกผินแล้วหันกลับมาถามมารศรี
"เธอจะว่ายังไง"
มารศรียิ้มนิดๆ ให้สรรค์
“ดิฉันขอพูดตามความสัตย์จริงเลยนะคะ ตอนที่คุณพระพาดิฉันมาบ้านครั้งแรก คุณผิดจากตอนนี้มาก คุณทำกับดิฉันเหมือนดิฉันไม่ใช่คนด้วยซ้ำ”
สรรค์อึ้งไป
“ฉันเล่าเรื่องที่คุณทำกับฉันให้เขาฟัง นั่นอาจเป็นสาเหตุให้พี่สินลงมือกับคุณก็ได้ .. แต่ฉันสาบาน ฉันไม่เคยสั่งให้เขาทำร้ายคุณ”
สรรค์จำได้ถึงอคติอันร้ายกาจของตัวเองในอดีต แต่ยังพูดประชด
“เธอจะบอกว่ามันไม่ใช่ความผิดของเธอน่ะซีนะ”
“บางที มันอาจเป็นโชคชะตาก็ได้นะคะที่ทำให้คุณต้องระเหระหนไป และไปได้ชีวิตใหม่ ... ที่ดีขึ้นกว่าตอนนี้”
"ชีวิตใหม่ อะไรของเธอ" สรรค์ถาม
สรรค์แปลกใจ พระชาญชลาศัยกับแม่ผินผงะจนต้องรีบพูดเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของมารศรี
“หุบปาก มารศรี! แกอย่าไปฟังนะสรรค์ เธอมีเรื่องลับมากมายขนาดนี้จะไปเชื่อถือได้ยังไง”
มารศรีสวนกลับทันที
“ทุกคนก็มีเรื่องลับทั้งนั้น คุณพระกับแม่ผินก็มีเรื่องลับที่ให้...”
มารศรีเว้นวรรคมองสรรค์ พระชาญชลาศัยกับผินตกใจไม่คาดคิดว่ามารศรีจะใช้ไม้นี้
“.... ให้ใครๆ รู้ไม่ได้เหมือนกัน ไม่ใช่หรือคะ”
มารศรีพูดจบก็เดินเชิดออกไป พระชาญชลาศัยนิ่งอึ้งไป สรรค์รู้สึกแปลกๆกับคำพูดของมารศรี
“ความลับอะไรกันหรือครับ คุณพ่อ...แม่ผิน”
"ว้าย ไม่มีอะไรค่ะ แม่นี่พอจวนตัวเข้าก็พูดเพ้อเจ้อ"
"เลิกพูดเรื่องนี้กันได้แล้ว พอเสียที ฉันไม่อยากฟัง"
พระชาญชลาศัยรีบตัดบทแล้วตวาดบรรดาคนใช้
“เอ้า ไป มาเบิ่งดูอะไรกันอยู่ ไปให้พ้นหน้าฉัน ไปให้หมด”
"ไปซียะ ไป ไป"
ผินเอาผ้าเช็ดหน้าไล่ตีทุกคนจนกระจายไปหมดแล้วหันมาหาพระชาญชลาศัย
“คุณพระเจ้าขา”
"แม่ผินก็ไปด้วย ไป"

ผินหน้าเสียออกไปคล้ายอกหัก สรรค์มองพระชาญชลาศัยอย่างสงสัย แคลงใจ

ภายในห้อง พระชาญชลาศัยนั่งลงอย่างโดดเดี่ยวเพียงคนเดียว เซ็ง เศร้าและสับสนรู้อยู่แก่ใจว่าทำอะไรผิดไป

จบตอนที่ ๒๕

สาวน้อย ตอนที่ ๒๖

เวลากลางวันของวันใหม่ ภายในห้องโถงบ้านเช่า ชด แก้ว บุญมา นิดนั่งคุยเรื่องงานกัน ตรงหน้ามีจดหมายกองหนึ่งมากกว่า ๑๐๐ ฉบับ มีตะกร้า ๒ ใบวางไว้

“หลังจากที่ผมลงแจ้งความในหนังสือพิมพ์ ว่าให้คนดูส่งความเห็นเข้ามาว่า อยากเห็นละครเรื่องใหม่เป็นยังไง ตอนนี้มีเข้ามากว่าร้อยฉบับแล้ว”
“คุณบุญมานี่สมเป็นนักโฆษณาจริงๆ จริงไหม แก้ว” นิดบอก
“ก็หยั่งงั้นๆ”
บุญมามองตาเขียว อารมณ์ประมาณฝากไว้ก่อน
“แล้วเขาส่งความเห็นอะไรมาบ้างล่ะ” ชดถาม
บุญมาหยิบจดหมาย ๒-๓ ฉบับขึ้นมาดูแล้วสรุปคร่าวๆ
“มีทั้งเข้าท่าและก็ไม่เข้าท่าครับ เช่น ให้เราใช้อ่างแก้วใส่น้ำจริงๆ ทำฉากโลกใต้น้ำบนเวที”
“หา ก็ตายกันหมดคณะซี” แก้วว่า
“แล้วก็มีบอกให้บรรดานางเงือก เอ้อ เปลือยอกกันทุกคน”
นิดอุทาน ชดหัวเราะแล้วบอก
“เออ ก็กลายเป็นระบำนายหรั่ง โดนตำรวจจับทั้งคณะ”
“จับอะไรจ๊ะ” แก้วถาม
“นังแก้ว ทะลึ่ง” ชดดุ
ชดส่ายหน้าแล้วเอาจดหมายมาใส่ตะกร้า“ใช้ไม่ได้” บุญมาคลี่จดหมายอีกฉบับ
“อ้อ แล้วนี่บอกว่าเป็นแฟนคุณแก้วกิริยา”
แก้วตาโต ดีใจราวได้ขึ้นสวรรค์ชั้นเจ็ด
“ตาย ฉันมีแฟนละครด้วย”
“เขาบอกว่าอยากให้คุณแก้วเล่นบทผู้หญิงบ้าง”
แก้วหุบยิ้ม ดึงจดหมายมาดูทันที
“จริงนะ ...ลงชื่อ บ.ช ใครวะ บ.ช. ไม่เอาฉันไม่เล่น...ลงตะกร้า”
แก้วจะเอาจดหมายทิ้งลงตะกร้า บุญมา ชูวงศ์ผิดหวัง แต่ชดกลับคว้าจดหมายนั้นมา
“ฉันว่าดีออก แกเล่นบทพระรองมาหลายเรื่องแล้ว ไปเล่นผู้หญิงบ้าง”
ชดเอาตะกร้าใส่ตะกร้า “ใช้ได้” บุญมาอมยิ้ม แก้วกระฟัดกระเฟียด
“อ้อ นี่อีกฉบับนึง เขาบอกว่าเขาชอบเพลงยังรักยังรอมาก ขอให้วนิดาร้องเพลงนี้อีก”
ชดตาโต นิดดึงมาดูแล้วทำจมูกย่น
“ร้องเพลงเดิมซ้ำหรือ ไม่เอาล่ะ เดี๋ยวคนว่าตาย”
นิดจะเอาลงตะกร้า “ใช้ไม่ได้ “ ชดคว้าไว้อีก สมองดีตลูกคิดรางแก้วทันที
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ดีออกไม่ต้องแต่งใหม่ไปเพลงนึง ประหยัดไปตั้งหลายร้อย”

ชดเอาใส่ในตะกร้า “ใช้ได้” แก้วค่อน
“แหม ไม่งกเลยนะพี่”
ชดรีบแก้ตัว
“งกอะไร ในเมื่อเรามีบทเพลงไพเราะที่ตราตรึงใจคนฟัง เราจะไปเปลี่ยนเสียทำไม สู้เอามาร้องซ้ำตอกย้ำลงไปอีกไม่ดีหรือ”
นิดฟังแล้วเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้
“พี่ชดจ๋า ไหนๆ ก็จะใช้เพลงเก่ากันแล้ว นิดขออีกเพลงได้ไหมจ๊ะ”
ชดหันมองนิดที่อมยิ้มอย่างมีแผน

ในวันใหม่ที่เป็นช่วงการเตรียมงาน ภายในบ้านบันเทิงไทย สรรค์วางโมเดลฉากโลกใต้น้ำลง นิด ชด แก้ว ทม จิตรา ประภา พลับ มามุงดูเห็นโขดหินใต้ทะเล ม่านของสาหร่าย เปลือกหอยขนาดยักษ์เหมือนแท่น ไกลไปเห็นปราสาทของราชาเงือกดูเป็นทองยอดระเกะระกะ
“สวยจังเลยค่ะ”
นิดมองสรรค์อย่างชื่นชม
พลับใส่เสื้อยืดแนบเนื้อสีเนื้อ ยืนเอามือจับหอยทาสีทองมาแนบอกตัวเองอยู่ นิด แก้ว จิตรา และเด็กสาวในคณะอีก 3 นางยืนรุมดูแล้วทำหน้าสยดสยอง
“ทำไมต้องเป็นหอยด้วยล่ะ” แก้วถาม
“ของหล่อนจะเปลี่ยนปลาดาวคนเดียวก็ได้ จะจัดให้”
ชดพูดอย่างหมั่นไส้ แก้วมองค้อน นิดกับจิตรากับ ๓ นางหัวเราะกันคิกคัก พลับก้าวมาหาแก้ว
“พี่ไม่อยากให้น้องแก้วเล่นบทผู้หญิงเลย”
แก้วแกล้งจ๊ะจ๋ากับพลับ ชดมองตาเขียวด้วยความหึงแต่พลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

วันใหม่ในเวลากลางวัน นิด จิตรา แก้ว และ ๓ สาวต่างสวมเสื้อยืดบางแนบเนื้อมีเปลือกหอยสีทองครอบอก ท่อนล่างเป็นชุดเกล็ดปลามีหางใหญ่ซ่อนเท้าไว้ ทั้ง ๖ คน ๖ สี ทุกคนสวมวิกผมยาว ยกเว้นแก้ว พลับเข้ามายืนดู
“ลองขยับ เขยื้อน ขยิบ ดูซิว่าคล่องตัวไหม”
ทุกคนลองหมุนตัวกรายแขน บ้างลงนั่งเก้าอี้โบกหางดู แก้วหมุนตัวไปรอบๆ รอบแล้วรอบเล่า
“พอเถอะแก้ว เดี๋ยวเวียนหัวตาย” นิดบอก
“จ้างให้ก็ไม่เป็นไร”
แก้วแลบลิ้นหลอก ทันใดก็มีวัตถุสีทองกระเด็นออกมา พลับรับไว้ได้แบมือดู
“ว้าย หอยหลุด”
ทุกคนหันไปตามเสียงพลับ แก้วหยุดหมุนทำหน้าเหรอ มองดูหอยในมือพลับแล้วถึงรู้ตัวว่า มีแค่เสื้อยืดบางแนบเนื้อ แก้วร้องวิ๊ดเอามือตะครุบอก นิดหัวเราะชอบใจ

กลางห้องโล่งมีแสงลงมาเพียงจุดเดียว นิดสวมเสื้อกระโปรงยาวลำลอง ใส่วิกผมยาวเหยียด ประคองทมที่สลบไสลคอพับคออ่อนอยู่ นิดน้ำตาคลอ
“ได้โปรดอย่าตาย อย่านะเจ้าชาย อย่าพรากจากข้า”
สรรค์มองดูอย่างซาบซึ้ง ชด แก้ว บุญมา ประภา จิตรายืนอยู่ข้างหลังสรรค์
นิดมองเลยจากกลางห้องโล่งมายังสรรค์ น้ำตาพลันหยดลง
“โอพระสมุทร แสนสุดเมตตา โปรดคืนชีวา พลิกฟื้นคืนชนม์”

ทมหลับตาครางฟื้นคืนสติ นิดดีใจยิ้มทั้งน้ำตา สรรค์มองอย่างซาบซึ้ง

อีกวันหนึ่ง เป็นวันลองเสื้อผ้า ชดแต่งชุดพระราชา ทมแต่งชุดเจ้าชาย ประภาแต่งชุดเจ้าหญิงตัวอิจฉา แก้ว นิด จิตราในชุดเงือก พลับคอยดูเสื้อผ้า ทรงผมแล้วก็ไม่ได้ดังใจกำลังบ่นบ้าวีนแตกอยู่

“อ้าว แม่จิตราไปคราดครูดอะไรเข้ายะ เกล็ดหล่อนหลุด แม่นิดคราวหน้าเขียนตาให้เฉียงกว่านี้”
พลับเดินไปดูราวเสื้อผ้า พลางเอาพัดตีลูกมือที่รีดผ้าไม่เรียบ ชดเดินบ่นเข้ามา
“เวรกรรม จู่ๆ พี่ยุวดี เกิดมาเล่นบทนางแม่มดทะเลไม่ได้”
“งั้นพี่ชดคงต้องเล่นเองแล้วล่ะจ๊ะ” นิดว่า
ชดยืนเท้าสะเอว
“แล้วบทพระราชาใครจะเล่น แล้วฉันน่ะนะเป็นแม่มด”
“พี่ชดไม่เหมาะจริงๆ แหละจ้ะ” ประภาบอก
“พี่ชด” แก้วเรียก
“อะไรอีก”
“ฉันรู้แล้วมีคนนึงเหมาะที่สุด” แก้วว่า
“ใคร!” ชดถาม
แก้วบุ้ยใบ้ไปทางหนึ่ง นิด ทม ประภา จิตรามองไปแล้วพยักหน้าเห็นด้วย ชดมองตามเห็นพลับกำลังวิ๊ดบึ้มชูสองมือเต้นเร่าๆด่าลูกมือ ชดตาโตเห็นควรด้วยเหมือนกัน
พลับรู้ตัวชะงักหันมามองทุกคน
“มองอะไรกันยะ มองฉันทำไม”

วันใหม่ ภายในร้านสรรค์ศิลป์ “โปสเตอร์เงือกน้อย” วนิดาในชุดเงือกบิดตัวดูโป๊เซ็กซี่ ผมยาวเหยียด หน้าแต่งสวยสดใสแกมเฉี่ยวนิดๆ คนมามุงดูกันเต็มหน้าวินโดว์ร้าน

ภายในบ้านเนาวรัตน์ในเวลาต่อมา สุวลีนั่งดื่มน้ำชากับธนา นพชูนิตยสารปก “วนิดา เงือกน้อย” ให้ดู
“เห็นรูปนี้กันหรือยังครับ ดูโป๊ขาดใจเลย”
สุวลีมองดูด้วยสายตาเหยียดพลางพูดยิ้มๆ
“เขาใส่ชุดผ้ายืดค่ะ ไม่มีใครโชว์เนื้อแท้ๆหรอก แต่เอ... ก็ไม่แน่ สำหรับวนิดาเธออาจทำได้ทุกอย่าง”
สุวลีมีแววรังเกียจผุดขึ้นที่ใบหน้า ธนายิ้มเล็กน้อยแล้วบอก
“ถ้าเธอทำได้ทุกอย่างจริงๆ ก็น่าชื่นชมมาก”
สุวลีชักเสียงขุ่นขึ้นทันที
“สุไม่ยักทราบว่า เดี๋ยวนี้คุณธนาก็กลายเป็นผู้นิยมวนิดากับเขาไปด้วยอีกคน”
“ผมชื่นชมทุกคนที่ทำได้ทุกอย่าง .. เพื่อชัยชนะ ดีกว่าคนที่งอมืองอเท้ายอมตกเป็นเบี้ยล่างของโชคชะตา”
สุวลีมองธนาอย่างมีความหมาย
“สุก็ชื่นชมคนประเภทนั้นเหมือนกันค่ะ”
“งั้น คุณสุก็คงไม่รังเกียจที่จะรับของสิ่งนี้ไว้นะครับ”
ธนาพูดจบก็ส่งกล่องของขวัญแบนๆ กล่องหนึ่งให้สุวลี นพหัวเราะขำ
“ของขวัญอีกแล้วนายธนา แกนี่แจกของขวัญเก่งยิ่งกว่าซานตาคลอสเสียอีก” สุวลีรับกล่องนั้นมามองอย่างลึกซึ้ง เหมือนจะเดาได้ว่าในนั้นมีอะไร

ภายในห้องนอนของสุวลีในเวลากลางคืน สุวลีในชุดอยู่บ้านกรุยกรายนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง กำลังฉีกกระดาษห่อของขวัญออก แล้วแปลกใจที่เห็นกล่องเครื่องประดับ สุวลีเปิดออกดูแล้วตะลึง ในกล่องเป็นเครื่องเพชรทั้งชุด คือ สร้อยคอ ต่างหู แหวนที่มาเข้าชุดกับสร้อยข้อมือตามที่ธนาเคยบอก สุวลีถอดแหวนของสรรค์วางไว้ที่โต๊ะแล้วสวมแหวนของธนาก่อนสิ่งอื่น สุวลีกรายมือดูอย่างพอใจ

ใบหน้าของสุวลีค่อยๆเลือนเป็นประภา เจ้าหญิงขี้อิจฉา …
ในเวลากลางวันที่โรงละครจันทร์กระจ่าง วันนี้...มีการซ้อมละคร “เงือกน้อย” บนเวทีจริง แต่ยังไม่มีฉากและคอสตูม ประภายืนเชิดเป็นนางร้าย ทมยืนโอบไว้ นิดอยู่ตรงหน้า

“เกิดพายุใหญ่ นาวาแตกไป ข้าเกือบทอดร่าง นางช่วยชีพไว้ มิให้วางวาย ข้าจึงรักนาง หมายหมั้นเสกสม” ทมว่า
นิดในบทเงือกน้อยผงะ เบิกตากว้าง สรรค์ยืนดูอยู่ข้างล่างกับชด แก้วและบุญมา

วันแสดงจริงถูกซ้อนเข้ามา … บนเวทีกลายเป็นโลกใต้น้ำ สีที่ใช้ส่วนใหญ่เป็นฟ้าอมน้ำเงิน มีสวนหินใต้น้ำ มีหอยใหญ่มหึมาอยู่กลางฉาก ฉากจะมีแนวปะการังด้านหน้าเพื่อบังเท้าของเหล่าตัวละครเงือก แก้ว จิตราและ ๓ สาวอยู่ในชุดเงือกสีต่างๆ กัน ทุกนางชันตัวขึ้นกรายแขนไปยังเปลือกหอยใหญ่ เปลือกหอยเปิดขึ้น นิดนอนตะแคงเก็บมือหางแล้วลืมตาดูสดใสบริสุทธิ์ คนดูทั้งโรงละครมองดูอย่างดื่มด่ำ
สรรค์ บุญมา อนงค์ รตีนั่งอยู่แถวหน้า สรรค์มองนิดนิ่ง
นิดบิดขี้เกียจกรายแขนแล้วลุกขึ้น จากนั้นก็ลอยเลื่อนออกมาคล้ายว่ายน้ำคนดูร้องฮือปรบมือกราว
นิดเหลือบมาสบตาสรรค์แล้วยิ้มหวานระคนยวนยั่ว

ฉากชายหาดขาวระยิบระยับ มีโขดหินเป็นระยะ ทะเลไหวเป็นคลื่น สุดสายตาเห็นเรือสำเภาล่มอยู่ในน้ำ บนเวิ้งฟ้ายังมีสายฟ้าแลบแปลบปลาบ นิดในชุดเงือกประคองทมไว้
น้ำตาเอ่อคลอ ทมหลับแน่นิ่ง
คนดูพากันเงียบราวกลืนเข้าสู่ภาพจิตนาการ สรรค์ บุญมา อนงค์ รตีพากันมองอย่างดื่มด่ำ
“ได้โปรดอย่าตาย อย่าตายนะเจ้าชาย อย่าพรากจากข้า”
นิดน้ำตาไหลพรากกรายมือหนึ่งมองเบื้องบน
“โอ้พระสมุทร สูงสุดเมตตา จงคืนชีวา พลิกฟื้นคืนชนม์”
คนดูจ้องตาเป๋ง อนงค์ร้องไห้ รตีเอาศอกกระทุ้งดังอั้ก!
ทมดวงตายังปิดแล้วบิดตัวคราง นิดดีใจยิ้มทั้งน้ำตาร้อง ‘เจ้าชาย เจ้าชายของข้า’
“โอนั่นเสียงใคร ไพเราะจับใจ กังวานเวหน”
“พระองค์ฟื้นแล้ว”
“เจ้าช่วยชีพข้า คืนมาจากชล แต่เนตรมืดมน มิรู้เป็นใคร”
ทมเอามือคลำใบหน้านิด นิดทั้งดีใจทั้งเอียงอาย นิดเบือนสายตามาที่คนดู
สรรค์รู้สึกเหมือนนิดมองมายิ่งดื่มด่ำ คนดูยิ้มออกคิกคัก รตีบิดผ้าเช็ดหน้าเป็นเกลียว อนงค์เอาศอกกระทุ้งกลับ

“เจ้าต้องงดงามยิ่งสาวน้อย เจ้าคือใครกันแน่”
“คือผู้จงรัก ภักดียิ่งนัก ดังมิตรสนิทใกล้”
“ชีวิตข้านี้ เป็นหนี้ทรามวัย สัญญาให้ไว้ จะแต่งกับนาง”
นิดทำตาโตดีใจ เจ้าชายทมหลับตาแตะใบหน้านิด
คนดูยิ้มไปกับนางเงือกน้อย แต่สรรค์กลับรู้สึกวูบวาบ
“พี่เป็นหนี้ชีวิตนิด”

สรรค์กระพริบตาแปลกใจกับภาพเสียมและนิดที่ผุดขึ้นมา

ฉากโลกใต้น้ำคล้ายฉากเปิดเรื่องแต่ไม่มีเปลือกหอยยักษ์ ที่พื้นคล้ายเป็นภูเขาไฟใต้ทะเล แสงสีแดงจากข้างใต้ แสงสีฟ้าอยู่เบื้องบน แสงสีเขียวส่องไปที่พลับที่ยืนตระหง่านบนแท่นสูง

ตรงหน้าคล้ายเป็นหม้อยักษ์ที่มีปะการังเกาะรอบระเกะระกะ หม้อใบนี้คือ หม้ออาคมของแม่มดทะเล
พลับสวมวิกทำชี้ไปเป็นแฉก ๆ แต่งหน้าแบบลืมตาย ทาตาเฉียงเลยขมับไปต่อกับแนวผม ชุดนั้นมีผ้าเป็นแฉก ๆ ยาวแผ่ไปทุกทิศทั้งฉาก ปลายผ้าชักให้กระเพื่อมไหว นิดนั่งวิงวอนอยู่ตรงหน้า บรรดาแก้ว จิตรา สาวเงือกอีก ๓ นางคอยหมอบหลบชายผ้าไปมา พลับทำตาถลนยิ้มชั่วร้ายเสียงแหลมกึกก้องทรงอำนาจ
“เจ้าอยากมีขา ย่างเหยียบสุธา ข้าให้เจ้าได้”
นิดดีใจพยักหน้า แก้ว และน้องเงือกดีใจพยักเพยิดให้กัน
คนดูทึ่งกับฉากตระการ
พลับพลันหันขวับกรายตัวชายผ้าหมุนตาม พลับชูมือหนึ่งขึ้นตรงหน้า
“แต่ต้องแลกมา สิ่งข้าถูกใจ เสียงของเจ้าไซร้ มอบให้ข้ามา”
นิดผงะ แก้วและน้องเงือกร้องห้าม
“แต่ทำเช่นใด เจ้าชายจำได้ ว่าคือตัวข้า”
“มิใช่งานเรา จงเจ้าบอกมา”
นิดอึ้งแล้วพยักหน้า แก้วร้องห้าม
“น้องข้า...อย่า”
“เพคะ เจ้าย่า...เอาเสียงข้าไป”
บรรดาคนดูร้องฮือฮา
พลับกรายตัวลงจากแท่นแล้วยื่นมือมา ชายผ้าไหวกระพือปั่นป่วน นางเงือกทั้ง ๕ นางหลบผงะหงาย
“จงร้องเพลง ร้อง ร้อง”
นิดฮัมเพลง เสียงไพเราะดังก้องไปทั้งโรงละคร
สรรค์นิ่งดูยิ่งจำได้อีก … ภาพเสียมว่ายอยู่ในน้ำตามเสียงฮัมเพลงของนิด...
นิดฮัมเพลงถึงพีค … แบล็กไลต์กระพริบทั้งเวที พลับกระชากเสียงนิดไป เพลงที่ร้องอยู่ขาดลงกลางคัน นิดทรุดฮวบลงเอามือกุมคอ บรรดานางเงือกเข้ารุมล้อมประคอง
คนดูดูกันแตกตื่น
พลับกลับไปยืนหน้าหม้ออาคมร่ายเวทย์ พลันเป็นแสงจ้าพุ่งขึ้นจากหม้อ พลับหัวเราะเสียงแหลมปรี๊ดทะลุทะลวงใส่คนดู
บรรดาเงือกผงะ พลับชูขวดยาสีเขียวเรืองแสงดูน่ากลัว
“คือน้ำอาถรรพ์ ดื่มเข้าไปพลัน หางเจ้าจักหาย เป็นขาสองข้าง เยื้องย่างน่าอาย”
“ข้ายอมทนได้ ข้าจักดื่มมัน”
นิดรับยามาจะดื่ม พลับตวาดแว้ดทันที
“เดี๋ยว!”
นิดชะงัก บรรดาเงือกเข้ารุมล้อมนิด
“อะไร อะไรอีก” เงือกจิตราถาม
พลับยิ้มเยาะราวกับเกลียดผู้หญิงทั้งโลก
“ยังมืเงื่อนไข หากไม่ได้ใจ ของเจ้าชายนั่น ในเจ็ดทิวา เจ้าจะอาสัญ ร่างสลายพลัน กลายเป็นฟองพราย”
นิดผงะมองดูขวดยา บรรดาเงือกร้องระงม
“ว้าย...แล้วเพิ่งมาบอก นังผี เอ๊ย แม่มดทะเล”

นิดขมขื่นมองดูยาในมือ บรรดาเงือกสาว ๆ เข้าขอร้องไม่ให้ดื่ม
คนดูพากันลุ้นระทึก
นิดดื่มยา บรรดาเงือกทั้ง ๕ ว่ายหมุนรอบ พลันเกิดแสงวูบวาบไปทั้งเวที ร่างนิดถูกชักรอกพุ่งไป ชุดเงือกหายวับ กลายเป็นขาเปลือย คนดูปรบมือสนั่นโรง
ท่อนขาเปลือยของนิดทำท่าแหวกว่ายสู่ผิวน้ำ

ภาพเงือกน้อยเปลี่ยนร่างบนเวทีกลายเป็นภาพนิ่งในหน้าหนังสือพิมพ์รายวันผดุงไทย
บนเวที นางเงือกนิดร้องเพลง “ยังรักยังรอ” เพลงลากยาวไปเรื่อยๆ จนจบ
หน้าโรงละครจันทร์กระจ่าง คนดูต่อคิวซื้อตั๋วยาวออกมานอกถนน
ห้องขายตั๋ว หลวงจันทรกับชดนับเงินเป็นฟ่อนแล้วหัวเราะกันอย่างอารมณ์ดี
ภายในบ้านโพธิธารา หนังสือพิมพ์หน้าบันเทิงเขียนชมเงือกน้อยอย่างเลิศลอย พระชาญพับหนังสือปาทิ้งไปทันที แม่ผินสะดุ้งเฮือก
เทอเรชบ้านเนาวรัตน์ สุวลีกับรตีจิบน้ำชาอยู่ อนงค์ใส่วิกผมยาว กระโปรงเป็นเกล็ดปลา รตีร้องวี๊ด จวนปิดปากหัวเราะ สุวลีไม่พอใจ ตาวาววับ

บริเวณมุมหนึ่งของบ้านเช่านิดเป็นสวนหิน ซึ่งมีโขดหินใหญ่รวมทั้งแท่นหินเรียบบนพื้นทราย นิดเอากระถางไม้ดอกมาวางแทรกตรงนั้นตรงนี้เพื่อให้เหมือนมุมที่สรรค์วาดรูปสาวน้อยบนเกาะวิมานน้อย แก้วเดินมามองดูแล้วถาม
“นี่แกทำอะไรน่ะ นิด”
“เตรียมที่ให้พี่เสียมวาดรูปไง พี่เสียมจะส่งรูปเข้าประกวดในงานฉลองรัฐธรรมนูญ”
“อือ แต่ทำไมมันคุ้น ๆ อยู่นา”
นิดไม่ตอบแต่อมยิ้ม แก้วตาโต
“ฉันรู้แล้ว แกกำลังทำมุมนี้ให้เหมือนกับมุมที่นายเสียมเขียนรูปบนเกาะวิมานน้อย”
นิดยิ้ม แก้วทำท่าหมั่นไส้แล้วบอก

“แกนี่มันร้ายจริงๆ”

สาวน้อย ตอนที่ ๒๖ (ต่อ)

ในเวลาต่อมา รถของสรรค์เเล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้านเช่าของนิด บุญมาและสรรค์ก้าวลงจากรถ สรรค์เอาอุปกรณ์วาดรูปลง บุญมาถือวิสาสะเดินนำเข้าไปในบ้าน

บุญมาเยี่ยมหน้าเข้ามาในห้องโถงก่อนได้ยินเสียงแก้วเจื้อยแจ้ว
“ฮัลโหล บ้านวนิดาค่ะ...จากไหนนะคะ...ต้องการติดต่อให้วนิดาไปพูดชมสินค้า...อ๋อ...ฉันน่ะหรือ...แก้วกิริยา เซเครัททารีของวนิดาค่ะ ...ว้าย ตาเถร”
แก้วหันมาเจอบุญมาในระยะประชิด โทรศัพท์หลุดจากมือ บุญมารีบรับไว้
“ไม่ใช่ตาเถร ฉันเอง ไหน พูดกับใคร ... ฮัลโหล”
บุญมาเอาโทรศัพท์มาฟัง ได้ยินแต่เสียงสายว่าง
“กะอยู่แล้วว่าต้องซ้อมพูดโทรศัพท์ เฮอะ ตั้งเป็นเดือนแล้วยังไม่หายเห่อสักหลาดอีก”
แก้วอายแต่ค้อนขวับ
“ก็ต้องซ้อมไว้ซี ไม่งั้นพอกริ่งดังก็ตกใจทุกทีเหมือนพูดกะลมกะแล้ง”
“ที่เธอทำอยู่นี่แหละ พูดกะลมกะแล้งของจริงล่ะ ฝรั่งนี่มันเก่งนะอยู่ห่างกันเป็นไมล์ก็พูดกันได้”
“ไม่เห็นเก่งเลย เก่งจริงก็ต้องเห็นหน้ากันได้ด้วยซี อีกหน่อยใครทำขึ้นมานะรวยตาย”
“เธอนี่เพ้อเจ้อตลอดศก”
“ก็ดีกว่าพวกนักเขียนปั้นน้ำเป็นตัว”
สรรค์เดินตามเข้ามา หอบข้าวของพะรุงพะรัง ต่อว่าบุญมา
“นึกแล้วว่าต้องหาโอกาสมาคุยกับคุณแก้ว ไม่ช่วยฉันบ้างเลย”
บุญมารีบเข้าไปช่วยพลางแก้ตัว
“ฉันมาตามคุณน้อยให้แกต่างหาก ใครอยากคุยกับคุณแก้วกัน”
“ฉันก็ไม่อยากจะคุยกับใครหรอกย่ะ นิด เอ๊ย น้อยเค้าให้ฉันมาคอยต้อนรับพวกคุณต่างหาก”
“แล้วคุณน้อยอยู่ที่ไหนเล่าครับ” สรรค์ถาม
นิดไม่แต่งหน้า ปล่อยผมยาวเคลียไหล่ แต่งตัวเหมือนที่เคยใส่ให้เสียมวาดรูปสาวน้อยเดินลงมาจากบันไดชั้นบน
แก้วยิ้ม บุญมาทึ่งที่เห็นวนิดาในคราบสาวชาวบ้าน สรรค์ตะลึง รู้สึกแปลกๆ เหมือนคุ้นเคยกับภาพนี้มานานแสนนาน สรรค์ยิ้มแล้วเดินเข้าไปหา
“คุณน้อย”
นิดยิ้มให้สรรค์
“ผมจำได้แล้ว”
นิดเบิกตากว้าง
“อะไรนะคะ”
“นี่จำได้แล้วหรือ” แก้วถาม
“จำอะไรได้” บุญมาถามอีกคน
นิดตัวสั่นดีใจ สรรค์ก้าวไปใกล้นิด
“จำได้”
“ผมจำได้แล้วว่า เมื่อวันลอยกระทงปีก่อน ผมเคยเจอผู้หญิงคนหนึ่ง เธอบอกว่าคนรักของเธอเพิ่งตายจากไป ผู้หญิงชาวบ้านคนนั้นคือ คุณน้อยนี่เอง”
นิดผิดหวังนิดหน่อย แก้วถอนใจดังป๊าด บุญมาฟัง

ภายในห้องนั่งเล่น นิดรินน้ำชาให้สรรค์พลางตัดพ้อเล่นๆ
“คุณใช้เวลานานเหลือเกินนะคะ กว่าที่คุณจะจำได้” นิดบอก
“แปลว่าคุณจำผมได้มาตลอด” สรรค์ถาม
“ฉันไม่เคยลืมต่างหากค่ะ”
“มิน่า บางครั้งคุณน้อยถึงมีท่าทางแปลก ๆ ที่แท้คุณน้อยก็จำผมได้นั่นเอง”
“เวร” แก้วโพล่งออกมา
สรรค์กับบุญมามองแก้วที่ยักไหล่ นิดน้ำตาคลอ แล้วแหงนเงยให้มันไหลกลับเข้าไป หันมายิ้มสดใส
“ความจำคุณดีจังนะคะ หวังว่าต่อไปคุณคงจำอะไรได้มากกว่านี้”

บริเวณสวนหิน นิดอยู่บนแท่น สรรค์ยืนกำกับท่าอยู่
“เอียงหน้าไปทางขวานิดครับ ปล่อยไหล่ตามสบาย อย่าเกร็งครับ”

นิดทำตาม สรรค์ถอยมาหลังเฟรมผ้าใบบนขาตั้ง ห่างออกมาบุญมาถ่ายรูปนิดและสรรค์ แก้วอยู่ข้าง ๆ บุญมา สรรค์มองดูนิดอีกเห็นว่าดูงดงามได้จังหวะ ไม่ได้รู้ว่า เป็นพิมพ์เดียวกับภาพบนเกาะวิมานน้อยมีเพียงแหวนพลอยในมือเพิ่มขึ้นมาเท่านั้นเอง
“ดีแล้วครับ”
นิดยิ้มจำได้ว่าคือท่าเดียวกันกับที่สรรค์กำกับท่าทางให้นิดบนเกาะวิมานน้อย แก้วมองนิดอย่างดีใจแทน บุญมองท่าทีของสรรค์ที่มองวนิดา แล้วถอนใจหนัก

เวลาเย็น สรรค์ขับรถแล่นมาตามถนน บุญมานั่งอยู่ข้างๆ บนตักมีวางกล้องถ่ายรูปวางอยู่
“แกกับวนิดานี่จะยังไง”
สรรค์ได้ยินคำถามของบุญมาก็อึ้งไป ดวงตาสับสนเข้าแทนที่
“แกถามทำไม”
“ฉันจะไม่ถามแกเลย ถ้าแกไม่ได้หมั้นอยู่กับคุณสุ”
“ฉันชอบคุณน้อย” สรรค์ยอมรับ
“แค่ชอบแค่นั้นหรือ” บุญมาซัก
“ฉันชื่นชมยกย่องเขา เขาก็ชื่นชมฉัน เราชอบอะไรเหมือน ๆ กันทุกอย่าง เขาเป็นคนเดียวที่พูดคุยเรื่องศิลปะ ละคร หนังสือ กับฉันได้อย่างไม่รู้เบื่อ”
บุญมารู้ว่าสรรค์ปากแข็งแต่ไม่อยากขัด
“แกคิดว่าแกกับคุณน้อยคบกันแบบพลาโตนิก เฟรนด์ชิพจริง ๆ หรือ”
“คุณน้อยรู้ว่าฉันมีสุวลี เขาเองก็ยังคงรักคนรักเก่าไม่เสื่อมคลาย”
สรรค์หลุดปากออกมาแต่มีแววขัดใจอยู่ในตาคู่นั้น บุญมาอ่านใจออก
“ฉันว่านี่ต่างหากคือเหตุผลที่แกไม่กล้ารักเขา เพราะกลัวตัวเองจะผิดหวัง...ใช่ไหม ไม่ใช่เพราะคุณสุวลีหรอก”

สรรค์อึ้ง ไม่ตอบบุญมา ขับรถไปเงียบๆ ด้วยสีหน้าเจื่อน

วันใหม่ สุวลีแต่งกายงดงามก้าวเข้ามาในร้านสรรค์ศิลป์ ในส่วนแกลเลอรี่ซึ่งมีเพื่อนรุ่นน้องสรรค์ดูแลอยู่ ส่วนของช็อปก็มีลูกค้าพอประมาณ สมพงษ์วิ่งมาไหว้สุวลี

“คุณสรรค์ล่ะจ๊ะ”
“คุณสรรค์ไม่อยู่ครับ”
สุวลีเปลี่ยนเสียงหวานเป็นเข้มทันที
“ไปไหน”
“ไปวาดรูปวนิดาที่บ้านครับ” สมพงษ์รายงาน
“ยังไม่จบไม่สิ้นกันอีกหรือ นี่ไปมากี่วันแล้ว”

สุวลีตาแข็งซักไซ้สมพงษ์ที่กำลังรายงาน บัวก้าวมาดูกลัวว่า สมพงษ์จะใส่ไข่เกิน สุวลีรับฟัง ด้วยสีหน้าเย็นชา

ภายในบ้านเนาวรัตน์ เวลากลางคืน สุวลีบ่นระบายอารมณ์กับเสวกที่ตอนนี้มีบุคลิกเป็นคนทำงานอย่างเต็มตัว ไม่ใช่หนุ่มเจ้าสำราญเหมือนแต่ก่อน
“น้องรู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่า การวาดรูปมันเป็นแค่เรื่องบังหน้า เป็นแค่มารยาหญิงของแม่วนิดาที่หาเรื่องใกล้ชิดสรรค์ ...”
สุวลีกระแทกตัวลงนั่งด้วยความเจ็บใจ
“สรรค์ก็เหลือเกิน รู้ว่ามันเป็นกับดัก แต่กลับเดินลงไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าตาบอดหรือยังไง”
เสวกเงยหน้าจากงานเอกสารตั้งใหญ่ที่ทำอยู่ ย้อนเสียงเรียบเพราะเริ่มอ่อนใจกับนิสัยของสุวลี
“คุณน้องไม่ชอบเรื่องไทยๆ เลยอาจจะไม่เคยอ่านบทพระราชนิพนธ์ที่ว่า... ความรักเหมือนโรคา บันดาลตาให้มืดมน...” (๑)
สุวลีหันขวับทันทีแล้วถาม
“นี่คุณพี่คิดว่า สรรค์หลงรักแม่วนิดาจริงๆ หรือคะ”
เสวกไม่ตอบ แต่ใบหน้าขรึมเหมือนเสียใจ สุวลีจิกเล็บกำมือแน่นด้วยความโกรธ

เย็นวันใหม่ ภายในโถงบ้านเช่า สรรค์สวมกางเกงสีกากี ใส่เสื้อเชิร์ตขาว แต่บุญมาสวมเชิ้ต ผูกหูกระต่าย มีซัสเปนเซอร์โยงกางเกงห้อยกล้องตามเคย เตรียมเครื่องมือ กล้อง สรรค์รอวาดรูปที่วาดค้างไว้
เสียงแก้วกระแอมกระไอ บุญมาหันไปดูแล้วตาเหลือก
“เฮ้ย!”
สรรค์หันมองตาม เห็นแก้วเดินออกมาในชุดสวมเสื้อและซิ่น แก้วยิ้มเขินๆ
“นี่เธอแต่งแบบนี้เป็นด้วยเหรอ”
“อย่าพูดมาก .. เอานี่ไป”
แก้วส่งผ้าขาวม้าและเสื้อผ้าผู้ชาย 2 ชุดให้ บุญมารับมาอย่าง งงๆ
“นี่มันเรื่องอะไรกัน คุณแก้ว” สรรค์ถาม
“นิดอยากให้คุณสองคนใส่ชุดนี้ค่ะ” แก้วบอก
สรรค์ขำ
“ให้ผมใส่ชุดแบบนี้วาดรูปหรือครับ”

นิดปล่อยผมยาว ไม่แต่งหน้าเดินออกมาในชุดเสื้อและผ้าซิ่นที่เคยใส่ในงานวัดตอนอยู่เกาะสีชัง
“วันนี้ฉันของดวาดรูปหนึ่งวันค่ะ ฉันจะชวนคุณไปเที่ยว”
“ไปเที่ยวไหนครับ” สรรค์ถาม
“นี่คุณสรรค์ทำงานจนไม่รู้เดือนรู้ตะวันเลยหรือคะ”
สรรค์ทำตาปริบๆ นิดพูดต่อ
“วันนี้วันขึ้น 15 ค่ำเดือนสิบสองค่ะ”

พลุลูกเล็ก ๆ ระเบิดแตกเป็นพลุไฟสีต่าง ๆ อยู่กลางฟ้า
ภายในสวนสาธารณะ มีการออกร้านอย่างงานวัด มีผู้คนมาเดินเที่ยวกัน ส่วนใหญ่เป็นคนชั้นกลางและชั้นล่าง ทุกคนแต่งตัวสวย หน้าตาสดใสชื่นบาน บางคนมีกระทงในมือ
สรรค์ นิด บุญมา และแก้ววางกระทงไว้ในรถก่อนจะเดินเข้างานในชุดชาวบ้าน แก้วและนิดรื่นเริง สรรค์เองก็รู้สึกสนุกที่ได้แต่งตัวแบบนี้ มีเพียงบุญมาที่เดินไปก็ขยับผ้าขาวม้าคาดเอวไปเพราะกลัวหลุด แม้ทั้ง ๔ คนจะไม่กลืนกับชาวบ้านนักแต่ก็พอกล้อมแกล้มไปได้
“คุณน้อยแน่ใจหรือครับว่า แต่งตัวแบบนี้แล้วจะไม่มีใครจำคุณน้อยได้” สรรค์ถาม
นิดอมยิ้มแล้วพูดกำกวม
“เดี๋ยวก็รู้ค่ะว่าจะจำได้หรือไม่ได้”
ชาวบ้านเดินผ่านไปผ่านมาไม่มีใครจำวนิดาได้ จึงไม่มีใครแตกตื่น นิดชวนสรรค์คุย
“เป็นยังไงบ้างคะ”
“แปลก ทำไมผมรู้สึกคุ้นเคยกับบรรยากาศแบบนี้จัง”
“คุณไม่เคยเที่ยวงานแบบนี้เลยหรือคะ”
สรรค์ส่ายหน้าแล้วบอก
“ตอนเด็กๆ ผมเคยจะแอบไปเที่ยวงานวัดข้างบ้าน แต่แม่ผินมาลากผมกลับ”
“ตาย ผู้ดีตีนแดงขนานแท้” แก้วพูดเสียดสีแล้วถามบุญมา
“แล้วคุณล่ะไม่เคยเหมือนกันละซี”
“ใครว่าล่ะ นมพวงน่ะตัวดีเชียวลากฉันไปดูละครชาตรี งานวัดตั้งแต่ฉัน ๒-๓ ขวบเอง”
แก้วเชิดใส่ ชาวบ้านผ่านมาอีกกลุ่ม บุญมามองๆ แล้วสะกิดแก้ว
“นี่เธอบอกให้ฉันแต่งตัวให้กลมกลืนไม่ใช่หรือ”
“ก็ใช่น่ะซี”
“ฉันไม่เห็นใครคาดผ้าขะม้าสักคน มีแต่เจ้าสรรค์กับฉัน”
แก้วทำไม่รู้ไม่ชี้ กางเกงบุญมาจะหลุดจนต้องขยับรัดผ้าขาวม้าอีก นิดกับสรรค์หัวเราะชอบใจ

พระจันทร์เต็มดวงลอยอยู่กลางฟ้า มีพลุระเบิดจากเบื้องล่างสู่ฟากฟ้า

ในเวลาต่อมา สรรค์กับนิดคุกเข่าอยู่ริมน้ำ กระทงในมืองดงามด้วยดอกไม้พื้น ๆ และดอกพวงชมพู ธูปควันฟุ้ง แสงเทียนสว่างมลังเมลือง สรรค์มองดูนิด แสงเทียนยิ่งทำให้นิดดูงดงาบริสุทธิ์ แหวนพลอยในมือทอแสง จู่ ๆ สรรค์ก็ถาม
“คุณเคยลอยกระทงกับพี่เสียมของคุณไหมครับ”
นิดยิ้มแล้วส่ายหน้า
“เราได้เจอกันเพียงชั่วเวลาไม่กี่เดือนค่ะ ฉันไม่เคยลอยกระทงกับเขา แต่ดิฉันเคยแอบดูเขาลอยกระทงกับ...คู่หมั้นของเขา” สรรค์ฟังอย่างเห็นใจ
สรรค์ขมวดคิ้วมีแววโกรธแทน
“ผมโกรธพี่เสียมของคุณ แทนคุณจริง ๆ”
“แต่ดิฉันไม่ได้โกรธเขาเลย ทุกอย่างเป็นเพราะโชคชะตาต่างหาก”
นิดพูดยิ้ม ๆ กึ่งสุขกึ่งเศร้า สรรค์มีแววผิดหวัง
“คุณไม่โกรธเพราะคุณยังคงรักเขาอยู่นั่นเอง”
นิดยิ้มไม่ตอบมองสรรค์ แต่มองด้วยดวงตาผูกพัน
“ค่ะ ฉันรักเขาตลอดมา และจะรักตลอดไป”
สรรค์ได้ฟังแล้วหน้าก็หมองลง
“เราอธิษฐานกันเถอะค่ะ”

นิดบอก พลางยกกระทงขึ้น สรรค์ยกตาม ทั้งสองเอากระทงจรดหน้าผากอธิษฐาน

ห่างออกมานิดหน่อย บุญมาปักธูปปักเทียนลงกระทงให้แก้ว

“เอาอีกเยอะ ๆ ชีวิตฉันจะได้สว่างไสว ชื่อเสียงจะได้ฟุ้งไปไกลเหมือนเทียนกับธูป”
บุญมาประชดปักธูปเทียนที่เตรียมมาทั้งหมดลงไป จนแน่นเต็มกระทง
“พอใจหรือยัง”

สรรค์และนิดลดกระทงลงหลังอธิษฐาน สรรค์หันบอกนิด
“ผมอธิษฐานอะไรรู้ไหมครับ”
“คุณจะบอกดิฉันเหรอคะ”
“ผมอธิษฐาน ขอให้คุณทิ้งอดีตไว้เบื้องหลัง และให้คุณพบกับคนใหม่ที่รักคุณอย่างจริงใจ ... คุณจะได้มีความสุขจริง ๆ เสียที”
สรรค์พูดอ้อม ๆ นิดฟังแล้วก็รู้ว่า สรรค์ขอให้ลืมคนรักเก่า นิดทั้งตกใจทั้งขบขัน ตกใจเพราะเพิ่งรู้ว่าที่สรรค์ลังเลไม่รุกหน้าเพราะวนิดายังไม่ลืมคนรักเก่า และขบขันที่สรรค์ช่างไม่รู้อะไรเลย
“คุณสรรค์”
“ผมขอโทษด้วย ถ้าผมถือวิสาสะเกินไป”
“ไม่หรอกค่ะ เพราะฉันรู้ว่าคุณปรารถนาดี”
นิดอมยิ้มชวนสรรค์ลอยกระทง ทั้งคู่ปล่อยกระทงลงน้ำ กระทงลอยเคียงกันไป

เทียนธูปในกระทงบุญมาทอแสงเรืองรอง แต่กระทงของแก้วเทียนทั้งหมดเริงโรจน์โชตนา ควันธูปโขมงราวปล่องภูเขาไฟ ไฟจากเทียนลุกสูง แก้วปล่อยกระทงลงไปอย่างภูมิใจ บุญมาลอยกระทงด้วย กระทงลอยจ่อกันไป
“แน่ะ มาลอยกระทงคู่ฉันทำไม”
“ฉันไม่มากระทงอธิษฐานกับเธอหรอก อ้าว เฮ้ย”
เพียงพริบตาเดียวเทียนและธูปทั้งหลายก็ลุกพรึ่บ กระทงแก้วกลายเป็นไฟพะเนียง
“ว้าย ตายแล้ว”
อีกอึดใจหนึ่ง ไฟก็ลามไหม้กระทงบุญมา บุญมาร้องอุทาน
“เฮ้ย ไฟไหม้กระทงฉัน”
แก้วเปลี่ยนจากตกใจเป็นหัวเราะชอบใจ สรรค์กับนิดวิ่งมาดูแล้วหัวเราะกัน ผู้คนที่มาเที่ยวงานต่างชี้ชวนดูกันอย่างสนุกสนาน

เช้าสายของวันใหม่ สรรค์นั่งกินอาหารเช้าอยู่คนเดียวด้วยสีหน้าสดใส พระชาญชลาศัยเดินมา โดยมีมารศรีเดินตาม คุณพระทำท่าเย็นชาใส่ทั้งกับลูกและมารศรี แม่ผินสะใจ พระชาญชลาศัยลงนั่งแล้วกระแทกเสียงใส่สรรค์
“เมื่อคืนแกไปไหนมา กลับกี่โมงกี่ยาม ถึงได้ตื่นสายตะวันโด่งขนาดนี้”
สรรค์ยิ้มกินขนมปังยังไม่ทันตอบ มารศรีตอบแทนเสียงใส
“เมื่อคืนวันลอยกระทง คุณสรรค์ก็คงไปลอยกระทงน่ะซีคะ”
พระชาญชลาศัยปรายตามองทำนองว่า ฉันไม่ได้พูดกับเธอ
“แล้วแกไปลอยกระทงกับใคร อย่าบอกนะว่าหนูสุ เพราะเมื่อวานหนูสุแวะมาหาฉันบอกว่าติดต่อแกไม่ได้ ไม่รู้ไปซุกอยู่ที่ไหน”
สรรค์รู้สึกผิดขึ้นมาเล็กน้อยแล้วยืนยัน
“ผมไม่ได้นัดสุเอาไว้นี่ครับ แล้วบ้านเราก็มีโทรศัพท์ ที่ร้านก็มีโทรศัพท์ ถ้าสุอยากพบผม ทำไมไม่โทร.ไป”
“ฉันจะไปรู้หรือ .. เขาอาจจะไม่ได้โทร เพราะเห็นว่าแกมัวแต่วาดรูปแม่วนิดาอยู่กระมัง.. .เมื่อไหร่มันจะเสร็จเสียที จะวาดกันไป สบตากันไปให้ไฟรักมันกรุ่นจนลุกท่วมตัวหรือ”
สรรค์ชะงักเพราะมีอะไรแบบนั้นจริง แต่ทำหน้าขรึมใส่พ่อ
“วนิดาเขาไม่มารักมาใคร่อะไรผมหรอกครับ เขารักแต่คนรักเก่าของเขาเท่านั้น”
พระชาญชลาศัยแปลกใจ มารศรีอ้าปากค้าง ความสดใสของสรรค์จางลงเป็นความเศร้านิด ๆ

ภายในห้องโถงบ้านเช่า นิดกำลังคุยโทรศัพท์อยู่
“คุณสรรค์พูดอย่างนั้นจริงๆ หรือคะ”
มารศรีคุยโทรศัพท์อยู่คนเดียวที่ห้องโถงบ้านโพธิ์ธารา
“ก็จริงน่ะซี นี่แม่คุณรีบแก้ไขเสียนะจ๊ะ รูปก็จะเสร็จอยู่แล้วไม่ใช่หรือ”
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะคุณ”
“ฉันไม่สอนจระเข้ให้ว่ายน้ำหรอก เรียนผูกก็เรียนแก้เองแล้วกันแค่นี้นะจ๊ะ”
มารศรีวางหูไป แต่นิดยิ้มขำ

นิดกรายนิ้วดูแหวนพลอย ดวงตาสดใสนั่งอยู่บนโซฟา แก้วนั่งอยู่ด้วยตาเบิกโพลง
“หา นายสรรค์หึงนายเสียม เจ้าประคุณเอ๋ย จะมีอะไรบ้ากว่านี้อีกไหมนี่”
“นิดก็เพิ่งรู้ว่าที่พี่เสียมยังลังเลอยู่ เพราะคิดว่านิดรักแต่คนรักเก่า”
“เขาอาจจะลังเลเพราะยายคู่หมั้นผู้ดีแปดสาแหรกนั่นก็ได้ .. แกอย่าลืมนะ ยังไงๆ เขาก็หมั้นหมายกันไปแล้ว”
“ก็แค่หมั้น แต่ฉันแต่งงานกับพี่เสียมแล้วนะแก้ว แกก็รู้” นิดพูดด้วยความมุ่งมั่น
“แล้วทำไมแกไม่บอกเค้าไปตรงๆ เลยล่ะ ว่าแกคือนิด แกเป็นคนช่วยชีวิตเขาเอาไว้ที่สีชัง แล้วเขาก็เป็นคนรักของแก”
นิดนิ่งไป ครุ่นคิด
“มันถึงเวลาแล้วใช่ไหม แก้ว ที่พี่เสียมต้องรู้ความจริงเสียที”

แก้วพยักหน้า นิดครุ่นคิดอย่างชั่งใจ

..............................................................

หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง

๑. จากเรื่อง “มัทนะพาธา” (ตำนานแห่งดอกกุหลาบ) พระราชนิพนธ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เป็นบทละครพูดคำฉันท์ ๕ องก์ เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของมัทนาชี้ให้เห็นถึงทุกข์ของความรักหรือโทษของความรัก ความเต็มว่า
ความรักเหมือนโรคาบันดาลตาให้มืดมน
ไม่ยินและไม่ยล อุปสรรคใดใด
ความรักเหมือนโคถึก กำลังคึกผิขังไว้
ก็โลดออกจากคอกไป บ ยอมอยู่ ณ ที่ขัง
ถึงหากจะผูกไว้ ก็ดึงไปด้วยกำลัง
ยิ่งห้ามก็ยิ่งคลั่ง บ หวนคิดถึงเจ็บกาย

จบตอนที่ ๒๖

โปรดติดตามเอาใจช่วย "นิดและสรรค์" ตอนต่อไป
กำลังโหลดความคิดเห็น