A Simple Life หนังที่เล่าเรื่องด้วยเทคนิคง่าย ๆ ไม่มีอะไรซับซ้อน กลายเป็นงานที่ดังที่สุดของฮ่องกงเมื่อปี 2011 กับการฉายภาพความสัมพันธ์ต่างสายเลือด ได้อย่างน่าเชื่อถือ, มีชีวิตชีวา และน่าประทับใจ
คำว่า "คนรับใช้" หรือเรียกกันสั้นว่า ๆ "คนใช้" เป็นอาชีพที่ต้องยอมรับว่าแฝงนัยแห่งความต้อยต่ำ และไม่เท่าเทียมเอาไว้อยู่ด้วย อาจจะด้วยธรรมชาติของงาน หรือเป็นมรดกทางความคิดที่ตกทอดมากันตั้งแต่ยุคก่อนก็ได้ จนบางครั้งในยุคนี้คำว่า "คนใช้" กลายเป็นคำที่เข้าข่าย "ต้องห้าม" เบา ๆ ไปแล้ว มีการเลี่ยงไปใช้คำว่า "พี่เลี้ยง", "แม่บ้าน", "ลูกจ้าง" ตามแต่โอกาส อย่างไรก็ตามสุดท้ายรายละเอียดของคำเหล่านั้นก็ยังมีส่วนแตกต่างกับ "คนใช้" อยู่นั่นเอง โดยเฉพาะคนรับใช้ในสมัยก่อน เป็นงานที่มีความหมายมากกว่าคำว่าอาชีพ ในบางกรณีอาจพูดได้ว่านี่เป็นงานที่ทำกันตลอด 24 ชม.
สถานะของคนรับใช้บางทีก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่เหมือนกัน ในส่วนหนึ่งคนรับใช้เรียกได้ว่ามีความสำคัญ และฐานะเข้าข่าย "สมาชิกในครอบครัว" ได้รับอนุญาตให้สั่งสอนลูกของบ้าน ได้รับเกียรติให้เป็น "พี่" อีกคนของครอบครัว แต่สุดท้าย "คนรับใช้" ก็อาจจะเป็นเพียง "คนนอก" ที่ได้รับอนุญาตให้ร่วมอาศัยอยู่ในบ้านด้วยเท่านั้น
A Simple Life ก็คืองานที่ว่าด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ระหว่างคนใช้หรือบ่าวกับนาย กับภาพของความใกล้ชิด, สนิทสนม และผูกพัน แต่ก็ยังคงมีช่องว่าง และระยะห่าง เป็นส่วนสำคัญของความสัมพันธ์ด้วย
อาเต๋า (เยี่ยเต๋อเสียน) เป็นคนรับใช้ในแบบดั้งเดิมอย่างแท้จริง ที่อาศัยกับครอบครัวของผู้เป็นนายมาตั้งแต่ยังเด็ก มีชีวิตเติบโตขึ้นมาในครอบครัวของผู้อื่น เธอมีอายุเท่ากับคุณผู้หญิงของบ้าน เติบโตเป็นสาวขึ้นมาด้วยกัน จนได้เลี้ยงดูนายน้อยทุกคนจนเติบใหญ่ เป็นเหมือนแม่คนที่สอง โดยเฉพาะกับ โรเจอร์ (หลิวเต๋อหัว) ลูกชายของบ้านที่เธอสนิทสนมด้วยเป็นพิเศษ
แอน ฮุย เปิดฉาก A Simple Life ด้วยความเรียบง่ายสมกับชื่อเรื่อง ที่บ่าวอย่างอาเต๋ากำลังทำอาหารให้คุณหนูที่ตอนนี้กลายเป็นหนุ่มใหญ่ได้รับประทาน แม้จะเป็นอาหารมื้อทั่ว ๆ ไปแต่เธอก็ยังดูจะตั้งอกตั้งใจทำอย่างเต็มที่ ก่อนจะยกไปเสิร์ฟที่โต๊ะอาหารให้คุณหนูได้กิน ทั้งสองพูดจากันไม่กี่คำ ไม่มีสีหน้าซาบซึ้งอะไรมากจนเกินเหตุ เห็นได้ชัดว่าเป็นกิจวัตรประจำวันทั่ว ๆ ไปของคนทั้งคู่ ในอพาร์ตเมนต์ธรรมดา ๆ ที่ไม่หรูหราอะไร หลังจากสมาชิกในครอบครัวคนอื่นได้อพยพไปอาศัยอยู่ต่างประเทศกันหมดแล้ว
แต่เรื่องราวที่ดูเหมือนดำเนินไปอย่างราบเรียบเกิดความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างฉับพลันเมื่อ อาเต๋า ล้มป่วยลงด้วยอาการของโรคเส้นเลือดอุดตัน
ท่ามกลางทางเลือกของการแก้ปัญหาหนักอกที่เกิดขึ้น หญิงชรากลับตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวด้วยการขออาสาย้ายไปอาศัยที่บ้านพักคนชรา เพื่อจะได้ไม่ต้องสร้างปัญหาให้กับใคร หรือกลายเป็นตัวถ่วงของบ้าน แต่ถึงที่สุดแล้ว อาเต๋า ก็ยังไม่อยากจะเป็นภาระอะไรให้กับผู้เป็นนายอีก กังวลแม้กระทั่งว่าเธอจะมีเงินจ่ายให้กับบ้านพักคนชราหรือไม่ ทั้ง ๆ ที่รู้อยู่แล้วว่า โรเจอร์ คงไม่ปล่อยให้เธอต้องอับจนหนทางแน่ ๆ
หลังจากนั้นชีวิตของหญิงชราจึงเข้าสู่บทใหม่ อาเต๋า ต้องใช้เวลาซักระยะก็เริ่มปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในบ้านพักคนชราได้ ด้วยสุขภาพที่ยังค่อนข้างแข็งแรง ทำงานหยิบจับอะไรได้คล่องแคล่ว ชีวิตในบ้านพักจึงยังไม่ถึงขั้นยากเย็นอะไรนัก ขณะที่ โรเจอร์ ก็ยังคงแวะเวียนมาเยี่ยมอย่างไม่มีขาด ทุกอย่างยังคงดำเนินไปอย่างเรียบง่าย แต่ในเวลาเดียวกันสุขภาพของ อาเต๋า กลับทรุดโทรมลงอย่างรวดเร็ว ๆ จากเดินเหินไม่คล่อง กลายเป็นต้องใช้ไม้ค้ำยัน และถึงขั้นที่ต้องนั่งรถเข็น สุดท้ายแทบช่วยเหลืออะไรตัวเองไม่ได้
A Simple Life กล่าวถึงเรื่องของครอบครัว กับสมาชิกที่ไม่ได้เกี่ยวดองทางสายเลือด บางครั้งจึงมีฐานะไม่แตกต่างอะไรจากส่วนเกิน อย่างน้อยก็ในความรู้สึกของเจ้าตัวเอง ไม่ได้แตกต่างอะไรกับสภาพของคนชราโดยทั่วไป ที่มีแนวโน้มจะน้อยต่ำใจมองตัวเองเป็นส่วนเกิน ซ้ำร้ายในบางกรณี ผู้อาวุโสหลาย ๆ คน ก็ต้องกลายเป็นส่วนเกินขึ้นมาในสายตาของผู้อื่นจริง ๆ เป็นหนังที่ใช้ภาพบ้านพักคนชราเล็ก ๆ กับตัวละครจำกัด เพื่อสะท้อนไปถึงภาพใหญ่ของสังคม
แม้บ้านพักคนชราที่เห็นกันในหนัง จะไม่ได้นำเสนอออกมาเป็นสถานที่ซึ่งมีแต่ความสลดหดหู่ ไร้ความหวังกันอย่างเกินเหตุ แต่ก็ไม่ได้โลกสวยสดใสจนขาดความสมจริง ผู้สูงวัยในหนังมีทั้งคนประเภทที่เริ่มหมดอาลัยตายอยากกับชีวิต, ทำตัวไร้เหตุผล, มีภาพของแม่ที่ต้องมาเยี่ยมลูกสาวในบ้านพักคนชรา เพราะฝ่ายลูกมีสุขภาพที่ทรุดโทรมโรคร้ายรุมเร้ายิ่งกว่า หรือชายแก่ที่ดิ้นรนใช้เงินทองซื้อหาความรักความสัมพันธ์กับหญิงสาวรุ่นลูก เหมือนเป็นการโหยหาในความรักที่ไม่เคยมี เป็นปัญหาของสังคมยุคใหม่ ที่มีแต่จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ กับบุคคลที่ทั้งภาครัฐ และสังคมเริ่มจะไม่เหลียวแล จึงมีคนจำนวนมากต้องใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างโดดเดี่ยว
สำหรับ อาเต๋า อาจเป็นตัวแทนของบุคคลตกสำรวจอีกคน ที่ไม่เคยมีครอบครัวจริง ๆ เป็นของตัวเอง เรียกว่าในชีวิตนี้ไม่เคยมีสิ่งที่เรียกว่าบ้าน ซึ่งอาจเป็นสิ่งที่เจ้าตัวเลือกเอง หรือไม่ก็ถูกบังคับให้เลือก อย่างที่ โรเจอร์ แซวว่าสมัยสาว อาเต๋า เองก็มีหนุ่มมาติดพันไม่น้อย แต่ก็ไม่เคยเลือกใครเลย
มีฉากน่าเศร้าเล็ก ๆ เมื่อคืนวันเทศกาลประจำปีที่คนชราหลาย ๆ คนได้พบกับญาติสนิทหรือลูกหลานที่มาเยี่ยม มีเพียง อาเต๋า กับเจ้าหน้าที่หญิงประจำบ้านพักคนชราซึ่งมีเวรประจำในวันนั้น ที่ต้องอยู่กันแบบเหงา เธอถามอีกฝ่ายแบบไม่ได้คิดอะไรมากว่ามาทำงานในช่วงวันหยุดแบบนี้ยังไม่มีครอบครัวหรืออย่างไร ซึ่งดูเหมือนจะเป็นคำถามที่ไม่มีใครอยากตอบ สุดท้ายหญิงต่างวัยจึงได้แต่นิ่งเงียบกับไปชั่วครู่ แสดงออกให้เห็นว่าต่างฝ่ายต่างก็คงมีปัญหาแตกต่างกันไป อาจจะไม่มีครอบครัวให้กลับเหมือน ๆ กัน
ด้วยวัย 60 เศษ แอน ฮุย สร้าง A Simple Life อย่างเข้าใจโลก ไม่ได้มองความผิดหวัง, เสียใจ หรือวิบากกรรมในชีวิต เป็นโศกนาฏกรรม แต่ตรงกันข้ามผลงานของเธอ กล่าวถึงฉากสุดท้ายของชีวิตได้อย่างเข้าอกเข้าใจ ทำใจได้กับช่วงเวลาสุดท้าย เมื่อในช่วงชีวิตที่กำลังจะดับมอดลง อาเต๋า สามารถยืนยันว่าเธอเองก็มีครอบครัวอยู่เหมือนกัน เป็นครอบครัวที่ไม่ได้ผูกพันกันด้วยสายเลือด, มีช่องว่างระยะห่างบางประการกั้นขวางอยู่ แต่ก็ชัดเจนว่านายน้อยคนนี้คือครอบครัวของเธอ
ไม่บ่อยนักที่จะมีหนังของ "แอน ฮุย" ผู้กำกับหญิงที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในวงการภาพยนตร์ฮ่องกง มาให้ชมกันทางโรงหนังบ้านเรา ในหนังที่ว่าด้วยชีวิตอันธรรมดาสามัญของคนทั่ว ๆ เป็นหนังที่พอจะเรียกได้ว่า ห่างไกลจากคำว่าตลาด และรสนิยมโดยทั่วไปของคนไทยเรา
แอน ฮุย หรือ สวีอันหัว วัย 65 ปี เริ่มต้นอาชีพตั้งแต่เมื่อ 33 ปีก่อน อาจจะพูดได้ว่าเป็นคนทำหนังผู้หญิงที่มีเส้นทางในวงการยาวนานกว่าใคร ๆ ในฮ่องกง เธอมีผลงานหลายหลายแนว แม้แต่หนังกำลังภายในที่ดัดแปลงจากงานของกิมย้ง ผู้หญิงคนนี้ก็ทำมาแล้ว อย่างไรก็ตามแนวทางหลัก ที่เป็นลายเซ็นประจำตัวของ แอน ฮุย ก็คือหนังแนวสะท้อนสังคม
หนังของ ฮุย เป็นงานประเภทที่ซื่อสัตย์ต่อการสะท้อนความเป็นไปของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการเล่าเรื่องที่เชื่อมโยงกับตัวตนของตัวเอง ชีวิตของผู้หญิงในสังคมร่วมสมัยในบทบาทอันหลากหลาย และช่วงอายุต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แม่, ลูกสาว, สะใภ้ หรือหญิงชาวจีนในสังคมปัจจุบัน เป็นชีวิตที่ไม่ได้หวือหว่าฉูดฉาด อย่างที่ปรากฏกันในภาพยนตร์โดยทั่วไป แต่สมจริงสมจัง และลุ่มลึก ให้ความหมายที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น
Song of the Exile (1992) งานที่เรียกว่าเป็นบทบันทึกส่วนตัวของ แอน ฮุย อย่างแท้จริง หนังมีเนื้อหาอ้างอิงบางส่วนจากเรื่องราวของตัวเธอเองกับความสัมพันธ์อันไม่ลงรอยกับมารดา หญิงเชื้อสายญี่ปุ่นที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากในประเทศไต้หวัน
Summer Snow (1996) ก็เป็นงานของ แอน ฮุย ที่ยอดเยี่ยมอีกชิ้น ในการเล่าเรื่องราวของหญิงที่ต้องแบกรับหน้าที่อันหนักหน่วง กับการดูแลบิดาของสามีผู้ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ โดยไม่ได้มีใครในบ้านเหลียวแลหรือช่วยเหลืออะไรเลย
และสำหรับหนังเมื่อไม่กี่ปีก่อน The Way We Are (2008) ที่เล่าเรื่องของหญิงวัยใกล้เกษียณ ที่ใช้เวลาหมดไปกับการดูแลลูกชายวัยรุ่นผู้ไร้ความกระตือรือร้น นอกจากนั้นก็ยังได้ผูกมิตรกับหญิงแก่ข้างบ้านผู้มีชีวิตอย่างโดดเดี่ยว และพยายามดิ้นรนหาทางติดต่อ เก็บเงินทุกบาททุกสตางค์ เพื่อให้ใกล้ชิดหลานคนเดียว จากครอบครัวของลูกเขย ที่ดูเหมือนจะไม่ยินดีต้อนรับคุณยายเท่าไหร่นัก
งานของ แอน ฮุย เป็นหนังประเภทไม่ตลาด ไม่ได้มีความหวือหวา หรือสนุกตื่นเต้นอะไร ส่วนใหญ่พูดถึงชีวิตของคนเดินดินอันธรรมดาสามัญ แต่ก็ไม่ถึงกับจะ "ดูไม่รู้เรื่อง"
น่าสนใจว่าแม้จะทำหนังที่เต็มไปด้วยความสมจริง แต่ แอน ฮุย ก็ยังเลือกใช้นักแสดงประเภท "ดารา" แท้ ๆ มารับบทสำคัญ ๆ รวมถึงตัวละครเล็ก ๆ น้อย ๆ อยู่เสมอ ส่วนใหญ่มักจะสามารถฉายภาพอันแตกต่างของนักแสดงเหล่านั้นให้คนดูได้เห็น อย่างใน A Simple Life ก็เช่นเดียวกัน
ด้วยสไตล์การเล่าเรื่อง หนังอาจมีลีลาซึ่งอาจจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มหนังประเภทอาร์ทเฮ้าส์ ที่ไม่พินอบพิเทาขอความรักจากคุณผู้ชม แต่ก็ไม่ใช่หนังประเภทที่จงใจยากแบบดัดจริต แอน ฮุย ฉายภาพการใช้ชีวิตของคนเดินดินได้อย่างน่าเชื่อถือ แต่ก็เรียกว่าเป็นภาพชีวิตในแง่บวก แม้จะมีช่วงเวลาแห่งความผิดหวังเศร้าหมองเข้ามาบ้าง แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นเป็นชีวิตที่หาทางออกไม่ได้ เช่นเดียวกับความสุขสมหวัง ก็ไม่ได้เกิดขึ้นราวกับฟ้าประทาน แต่เป็นความสุขประเภทที่มีอยู่ในชีวิตจริง
Facebook: เอเชียรามา
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |