สาวน้อย ตอนที่ ๓๑
ภายในโรงพยาบาลหรู เวลาดึกมาก หมอกำลังดูแลนิดอยู่ในห้องฉุกเฉิน แก้ว ชด พลับ ประภา จิตรา ทม เปลี่ยนชุดจากตัวละครต่างๆ แล้ว ต่างมาดูอาการของนิดอยู่ที่เก้าอี้รอ
สรรค์นั่งหลังงองุ้มอยู่กับบุญมา บุญมาไม่พูดอะไร แก้วเดินฉับๆ มา สรรค์กับบุญมาลุกขึ้น
“มาทำไม ยิ่งมาก็ทำให้นิดเจ็บ ยิ่งมาก็ทำให้สะเทือนใจ” แก้วว่า
แก้วทุบหน้าอกสรรค์ สรรค์ยืนนิ่งตัวไหวไปตามแรงทุบของแก้ว
“กลับไปนะ กลับไป”
มารศรีก้าวมาห้าม
“แก้ว”
แก้วได้สติ บุญมาดึงไป แก้วกอดบุญมาสะอื้นไห้ บุญมาดึงไปนั่ง สรรค์มองมารศรีอย่างแปลกใจ
“มารศรี เธอมาเกี่ยวข้องอะไรด้วย”
“ฉันลงทุนทำละครจำไม่ได้หรือคะ”
สรรค์เพิ่งรู้ว่าหุ้นส่วนเงียบคือ มารศรี สรรค์กำลังจะพูดต่อไป เสียงสุวลีก็ดังขึ้น
“สรรค์”
สรรค์และทุกคนหันไปเห็นสุวลีในชุดแดงยืนเด่น
“กลับกันเถอะค่ะ”
สรรค์ลังเล
“กลับไปก่อนเถอะค่ะ” มารศรีบอก
แก้วตาวาว พลับค้อนขวับ ประภา จิตราเชิดใส่
“ถ้ามีอะไรคืบหน้าฉันจะส่งข่าวเอง” มารศรีบอก
สุวลีมองบุญมาและทุกคน ปากยิ้มนิด ๆ อย่างไม่แยแส ดวงตาประกาศชัดว่า ทุกคนคือศัตรู แล้วสอดแขนคล้องแขนสรรค์ สรรค์มองไปทางห้องฉุกเฉินอีกครั้ง สุวลีดึงสรรค์เดินไปตามทางเดินยาวของโรงพยาบาล
ภายในห้องนอนสรรค์ เวลากลางคืน รูปสาวน้อยติดเด่นที่ข้างฝา สรรค์ก้าวมามองดูแล้วคุกเข่าลงหน้ารูป ราวกับจะภาวนาขอให้นิดฟื้นคืน
วันใหม่ที่ห้องพักคนไข้ นิดมีสีหน้าดีขึ้นบ้าง กำลังนอนพิงพนักเตียงคนไข้ บรรยากาศในห้องนั้นขาวโพลน เยียบเย็น มารศรี แก้ว อยู่ดูแลห่าง ๆ พระยาธรรมนูญยืนอยู่ข้างเตียง
“แม่ลูกสาวคนเก่งของฉัน ทำไมล้มเสียแล้ว” พระยาธรรมนูญภักดีพูดหยอก
“นิดกราบขอโทษเจ้าค่ะที่ทำให้ท่านต้องเป็นห่วงไปด้วย”
“อดข้าวดอกนะเจ้าชีวาวาย”
นิดยิ้มเศร้าแล้วต่อกลอนที่ท่านพระยาว่าไว้
“ไม่ตายเพราะอดเสน่หา”
มารศรี แก้ว ครึ่งหนึ่งก็ดีใจที่นิดพูดเล่นได้ แต่กลัวว่า ร่างกายนิดจะปฏิเสธอาหารเหมือนอย่างเคย พระยาธรรมนูญภักดีบอก
“รู้ก็ทั้งรู้นะ”
หมอกับพยาบาลเข้ามา ชด มารศรี แก้ว ธรรมนูญ เลี่ยงมาพูดกันเบา ๆ กับหมอ
“ยังไงคะ คุณหมอ” มารศรีถาม
“การให้อาหารทางเส้นเลือดเป็นเรื่องใหญ่จะช่วยทำให้เธอค่อยๆ ดีขึ้น แต่ไม่ว่า ยังไงก็ต้องหาทางทำให้เธอกลับมากินอาหารเองให้ได้”
“ค่ะ วนิดายังพอกินอาหารอ่อน ๆ ได้อยู่”
“แต่ที่ผมยังห่วงก็คือ อาการของคนไข้เหมือนเธอไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้ว”
ทุกคนตกตะลึงกับคำพูดของหมอ
“อนิจจา” พระยาธรรมนูญอุทาน
“ถ้าจิตใจของเธอยังไม่ดีขึ้น อาการก็จะทรุดลงจนไม่มีอะไรช่วยไว้ได้อีกแล้ว” หมอบอก
แก้วได้ฟังก็ตกใจ ร้องออกมา
“หา นิดจะตายเหรอ”
นิดมองมามีอาการเหมือนรู้ตัว ทุกคนหันมารุมล้อมนิด
“ไม่นะนิด เธอจะต้องหาย” ชดบอก
“หมอบอกว่า ทุกอย่างอยู่ที่ตัวเธอ” มารศรีย้ำ
พระยาธรรมนูญภักดีบอก
“โลกนี้อะไรก็ไม่น่าเศร้าเท่า คนหัวหงอกต้องมาทำศพให้คนหนุ่มคนสาวอีกแล้ว”
“แกต้องไม่ตายนะ นิด” แก้วบอก
“นิดไม่เป็นไรหรอกจ๊ะ”
ทุกคนไม่รู้ว่าหมายความที่นิดพูดว่าอะไร ระหว่างไม่เป็นไรเดี๋ยวก็หาย กับไม่เป็นไรที่จะตาย
“แต่นิดอยากกลับสีชัง กลับไปบ้าน กลับไปหาพี่เนื่อง พี่เชิด กลับไปหาแม่นิ่ม ก่อนที่จะไม่ได้กลับไปอีก” นิดบอก
แก้วน้ำตาไหลพราก พระยาธรรมนูญสลดใจจนต้องทรุดลงนั่ง ชดเข้ามาประคอง มารศรีกอดลูบผมนิดเบาๆด้วยความเป็นห่วง
บริเวณโถงบ้านเช่า รูปยามเศร้ายังคงติดเด่น แก้วหน้าเผือดอยู่ที่โต๊ะรับแขก บนโต๊ะมีกระเป๋าเดินทางขนาดย่อมเปิดอ้าอยู่ ข้างในมีเสื้อผ้า แก้วเอาต้นฉบับบุญมาวางแล้วปิดกระเป๋า บุญมาก้าวมา แก้วหันมาดู
“ฉันจะไปส่งเธอที่ท่าเรือ”
“ไม่ต้อง ฉันเรียกรถมาแล้ว” แก้วบอก
บุญมาเข้ามาใกล้
“อย่าดื้อกับฉันน่ะ”
“อย่ามายุ่งกับฉันดีกว่า”
แก้วพูดด้วยน้ำเสียงตัดรอน ไม่ได้แง่งอนหรือประชดจนบุญมารู้สึกใจหาย
“แก้ว”
“มันก็เหมือนนิยายของคุณไง เด็กบ้านนอกกับหนุ่มผู้ดี ยังไงก็อยู่กันคนละโลก เด็กบ้านนอกต้องเซซังกลับไปเกาะ”
“ไปหาพี่ชายที่แสนดีซีนะ”
“ใช่ แล้วอยู่ด้วยกันจนตายบนเกาะนั้น” แก้วบอก
แก้วคว้ากระเป๋าเดินทางก้าวฉับ ๆ ไป บุญมาได้แต่ยืนอึ้ง
เวลาเย็น บริเวณทางเดินในโรงพยาบาลที่ทอดยาวดูเวิ้งว้าง สรรค์ยืนคุยกับหมอ พอหมอเดินไป สรรค์ก็คอตกทันที
ในเวลาต่อมา สรรค์ยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวอยู่หน้าบ้านเช่าของนิดที่ประตู หน้าต่างปิดเงียบ
ภายในโรงละครจันทร์กระจ่างอยู่ในความมืด ภายนอกไม่มีแสงสีประดับประดา บนเวทียังหลงเหลือฉากละคร ที่ด้านหนึ่งคือห้องบรรทมมีเตียงมหึมา อีกด้านเป็นเทอเรชระเบียง และต่ำลงไปคือทะเลที่ยังไม่ได้รื้อ สรรค์นั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของฉาก เหมือนที่เจ้าชายที่นั่งกลางดวงใจอันเจ็บปวดรวดร้าว ดวงตาพร่าพราย
มีเสียงเคลื่อนไหว สรรค์มองไป มารศรีเดินมาใกล้
“ป่านนี้วนิดาคงถึงบ้านแล้ว” มารศรีบอก
“เธอคือผู้มีพระคุณที่ช่วยคุณน้อยไว้จากฆ่าตัวตายซีนะ”
มารศรีรู้สึกแปลกใจ
“คุณรู้”
“เขาเล่าให้ผมฟัง”
“คราวก่อนฉันช่วยเธอไว้ได้ แต่คราวนี้...ดูเหมือนใครก็ช่วยไม่ได้แล้ว”
สรรค์อึ้ง มารศรีเกือบพูดว่าเว้นแต่คุณ! แต่เมื่อเห็นสรรค์ยิ่งขมขื่นอยู่ก็เปลี่ยนเรื่อง
“แต่ไม่แน่ ได้กลับบ้าน ได้เจอแม่ เจอพี่ เจอโลกที่บริสุทธิ์สะอาด อาจเยียวยาเธอได้”
สรรค์มองดูมารศรี
“ฉันยังเป็นหนี้คำขอโทษเธอ ฉันขอโทษที่กล่าวหาเธอผิด ขอโทษที่มีอคติต่อเธอมาตลอด”
มารศรีคิดไม่ถึงว่าจะได้ยินประโยคนี้จากปากสรรค์ มารศรีมองสรรค์แล้วยิ้มตื้นตัน
“ขอโทษที่ฉันทำ และพูดอะไรร้ายๆ กับเธอไว้มาก ฉันผิดเอง ฉันขอโทษเธอด้วยใจจริง”
สรรค์ค้อมศีรษะให้ก่อนจะเดินไป มารศรีมองตามแล้วยิ้มตื้นตัน ตัดสินใจอย่างเด็ดเดี่ยวว่าจะช่วยสรรค์
เช้าวันรุ่งขึ้น บริเวณชานเรือนบ้านใหม่ นิดดูซีดเผือด ดวงตากึ่งสุขกึ่งเศร้ากำลังยืนเกาะระเบียงมองดูทะเลกว้างที่เห็นเกาะวิมานน้อยอยู่ลิบๆ นางนิ่มและแก้วเดินออกมาจากครัว แก้วถือถาดมีขา ซึ่งมีอาหารอ่อนวางอยู่
“อ้าว ลุกมายืนดูทะเลอีกแล้ว มานี่ลูกมานั่งนี่” นางนิ่มว่า
“นิดแค่ป่วยไม่ได้พิการซะหน่อย”
แม่นิ่มพานิดมานั่งบนเก้าอี้นอน แก้วฝืนทำยิ้มแย้มเอาถาดมีขาวางบนเก้าอี้ให้นิด
“แกดูซี แม่นิ่มทำโจ๊กสาคูแบบผู้ดีด้วย” แก้วว่า
“ตอนสาวๆ น้าก็เคยอยู่วังมาก่อนนะ”
นางนิ่มป้อนโจ๊กให้นิด ความรักของแม่ท่วมท้นผ่านช้อน นิดกินช้าๆ นิ่มกับแก้วเห็นแล้วก็ดีใจ
“แกกินได้แล้ว”
“ทำไมกินอะไรไม่ค่อยได้ คลื่นไส้คลื่นพุงหา หรือว่าจะมีหลานให้แม่อุ้ม”
นิดสะอึก แก้วอารมณ์เสีย
“ไม่ใช่นางสวาหะนะ จะได้ท้องกับลม”
นิดหยิกแก้ว นางนิ่มพูดต่อ
“แก้วพูดอะไร ก็ต้องท้องกับพ่อเสียมซีอยู่กินกันมาจะสองปี เอ๊ะ หรือว่ามัวไปเล่นละเม็งละครอยู่ถึงไม่มีหลานให้แม่เสียที พ่อเสียมมาเมื่อไรแม่ต้องดุซักหน่อยแล้ว”
เชิดกับเนื่องเก็บไข่ไก่เข้ามาได้ยินที่นางนิ่มพูดพอดีก็มองสบตากัน
“ว่ายังไง พ่อเสียมจะตามมาเมื่อไร” นางนิ่มถาม
นิดตื้นตันผลักช้อนออก
“พี่เสียมคงมาไม่ได้หรอกจ้ะ”
เนื่องรู้แต่ว่าเสียมตายไปแล้ว ก็รีบตะโกนโหวกเหวก เบี่ยงเบนความสนใจแม่ทันที
“แม่ ไก่ไข่น้อยลงไปเยอะแล้ว จับเชือดซะดีไหม จะได้มาตุ๋นซุปไก่ให้นิดมัน”
นางนิ่มลืมตัวบอก
“เออดี หมอฝรั่งเขาบอกว่ามีประโยชน์ดี”
นิดตกใจรีบบอก
“ไม่เอานะจ๊ะแม่”
“แม่ ! ฉันแกล้งพูดเย้านิดมัน แม่จะจับอีกุ๊กเชือดจริงๆ เหรอ”
นางนิ่มหน้าเหรอแล้วรีบแก้ตัว
“แม่ก็ล้อเล่น วุ๊ย ใครจะไปทำลง”
“ไม่จริง แม่น่ะแหละพูดจริงทำจริง วันก่อนอีสร้อยแสงแดง จู่ๆ ก็ตายน่ะ ฝีมือแม่ใช่ไหม”
นางนิ่มค้อนขวับ นิดยิ้มออกมา
“อย่ามาหาความแม่ เอ๊ะ เมื่อกี้พูดอะไรอยู่ อ๋อ พ่อเสียมทำอะไรอยู่ เมียเจ็บไข้ทำไมไม่มาดูแล”
เนื่องเซ็งที่นางนิ่มไม่ยอมลืม นิดตอบเสียงอ่อย
“พี่เสียมมีงานสำคัญต้องรับผิดชอบเยอะน่ะจ๊ะแม่”
นิดฝืนยิ้มแต่ตาหมองลง แก้วถอนหายใจเฮือกเดินลุกหนีไปด้วยความอึดอัดใจ เชิดมองแก้วแล้วมองนิด รู้สึกสงสัยเป็นอย่างมากกับเรื่องเสียม
บริเวณร้านกาแฟหน้าด่านในเวลาต่อมา แก้วหนีมานั่งอย่างอึดอัดใจอยู่คนเดียว ขณะนั้นทับทิมซึ่งมีหนังสือพิมพ์เล่มหนึ่งในมือก็โฉบเข้ามาหาตามประสาคนสอดรู้สอดเห็น
“นี่ นังแก้ว ฉันถามอะไรหน่อยซี”
แก้วอารมณ์ไม่ดีเงยหน้ามองตาขวาง ทับทิมเดินมานั่งลง แก้วลุกขึ้นทันทีบอก
“โก เก็บเงินกับนังทับทิมนะ”
แก้วเดินออกจากร้านกาแฟ ทับทิมโวยวาย
“อ้าว นังแก้ว อีแก้ว”
ทับทิมจะเดินตาม แต่โกร้านกาแฟมาแบมือขวางไว้
ที่ตรอกเล็กๆ แก้วเดินหน้ามุ่ยไปตามทาง เชิดเดินออกมาขวางด้วยหน้าตาเอาเรื่อง แก้วตกใจ
“พี่เชิด”
“ไอ้เสียมยังไม่ตายใช่ไหม” เชิดถาม
แก้วตกใจ หน้าซีดปากสั่น
“เอ็งอย่ามาปดข้า ถ้าไอ้เสียมตายจริง นิดจะปิดแม่ทำไม”
แก้วอยากพูดแต่พูดไม่ออก ได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“พี่เชิด ฉัน … ฉัน”
เชิดมองแก้วอย่างเสียใจ
“นังแก้วที่นอนเจ็บปางตายอยู่น่ะ เพื่อนเอ็งนะ เอ็งจะปิดความจริงกับข้า แล้วปล่อยให้มันทำร้ายนิดอย่างงั้นเหรอ บอกข้ามา ไอ้เสียมมันยังไม่ตาย แล้วมันไปไหน ทำไมมันไม่มาดูดำดูดีนิด”
แก้วน้ำตาคลอเจ็บใจแทนนิด อยากจะบอกเต็มแก่
ทันใดนั้น ทับทิมก็วิ่งทะเล่อทะล่าเข้ามา
“นังแก้ว นังตัวดีอยู่นี่เอง”
ทับทิมชะงัก เมื่อเห็นท่าทางเอาเรื่องของเชิดอยู่
“อุ๊ย พี่เชิด มีอะไรกันเหรอ”
“เอ็งล่ะ มีอะไร” เชิดพูดเสียงดุเข้ม
ทับทิมมีอาการกลัวๆ แต่ความสาระแนมีมากกว่าก็เลยพูดถามขึ้น
“เปล่า ฉันก็แค่อยากจะถามนังแก้วมันว่า พี่เสียมน่ะ ชื่อจริงๆ ชื่ออะไร”
“ทำไม”
ทับทิมกางหนังสือพิมพ์ฉบับวันจันทร์ออกมา
“นี่ หนังสือพิมพ์ตั้งแต่วันจันทร์เพิ่งมาถึงนี่วันปะหัส(๑) เขาลงข่าวสรรค์ โพธิ์ธาราจะแต่งงานกับสุวลี กีรติขจร วันศุกร์นี้”
เชิดรับหนังสือพิมพ์มาดูอย่างงงๆ ภาพสรรค์และสุวลีไม่ชัดนัก แต่ชัดเจนพอในความแน่ใจบางอย่างสำหรับเชิด เชิดหันมองหน้าแก้ว
“แก้ว”
แก้วพยักหน้า น้ำตาทะลัก ทับทิมยังไม่รู้เรื่องยื่นหน้ายื่นตาเข้ามาถามอีก
“หน้าคล้ายพี่เสียมเลยนะพี่นะ เอ๊ะ หรือว่าใช่ หรือพี่เสียมเค้าแต่งงานใหม่ นังนิดถึงได้หนีกลับมานอนซมแบบนี้”
เชิดขยุ้มพับหนังสือ ดวงตาเจิดจ้า แก้วน้ำตาไหล ทับทิบผงะแล้วอึ้งไป เรื่องใหญ่กำลังเกิดขึ้นแล้ว
บุญมากำลังจะกลับก็เดินออกมาที่หน้าบ้านโพธิธารา สรรค์เดินมาส่ง ท่าทางบุญมายังคงเคืองและหมางเมินกับสรรค์เล็กน้อย
“ขอบใจนะที่เป็นธุระเรื่องโรงพิมพ์ให้”
“ไม่เป็นไร” บุญมาบอก
“คืนนี้แกมาค้างกับฉันไหม”
“ไม่ล่ะ เจอกันที่งานเลย”
บริเวณหน้าบ้าน อาล็อกหาบเสียโปเดินเข้ามาพลางชะเง้อชะแง้ สมพงษ์กับบัวกำลังเล็มต้นไม้อยู่ก็ร้องไล่
“อ้าว เฮ้ย เข้ามาขายอะไรในนี้” สมพงษ์ว่า
“ออกไป เอ๊ะ นี่อาเจ็กเสียโปนี่” บัวบอก
สรรค์กับบุญมาเดินออกมาพอดี อาล็อกเห็นก็รีบทิ้งหาบเดินเข้ามาหาสรรค์ อาล็อกเรียก
“อาเสียม อาเสียม”
สรรค์งงเล็กน้อยแล้วถาม
“อะไรกัน”
“ลื้อคืออาเสียม ใช่ลื้อ ใช่ลื้อแน่ๆ”
“ฉันไม่ได้ชื่อเสียม” สรรค์ยืนยัน
“จำคนผิดหรือเปล่า” บุญมาถาม
“ไม่ ไม่ผิด ไม่มีใครที่เหมือนกันได้ถึงขนาดนี้” อาล็อกยืนยัน
อาล็อกเข้ามาเลิกผมที่ท้ายทอยของสรรค์แล้วบอก
“นี่ไง แผลเป็นที่หลังหัวลื้อ ลื้อถูกตีหัวจำอาไลม่ายล่าย หลงมาเจออั้วที่เรือโป๊ะ ลื้อเป็นกุลีขนข้าวกับอั้วแล้วลื้อก็กระโจนน้ำว่ายไปเกาะสีชัง”
สรรค์ตกตะลึงพรึงเพริดกับสิ่งที่อาล็อกเล่า
“อะไรนะ”
“ใช่ว่ะ เค้าพูดความจริง”
บุญมาพยักหน้ายืนยัน
“หะ แกรู้ได้ยังไง” สรรค์ถาม
“ฉันรู้ เสวกก็รู้ แต่คุณอากับสุวลีให้ฉันสัญญาว่าจะปิดความ”
“ฉันความจำเสื่อมแล้วไปอยู่สีชัง แล้วที่ฉันไปอยู่กับสุวลีที่บ้านสวนล่ะ”
บุญมายิ้มเยาะบอก
“สุวลีเป็นคนแต่งเรื่องขึ้นทั้งหมด ว่าที่เจ้าสาวของแกแต่งนิยายได้เก่งกว่าฉันหลายเท่า”
สรรค์ตาสว่างวาบเมื่อรู้ว่าตนเองไม่ได้ล่วงเกินสุวลี แต่ไม่ทันได้คิดเรื่องน้อย เสียมและเกาะสีชัง สรรค์ตบไหล่อาล็อกบอก
“เสียโป ฉันขอบใจมาก ขอบใจจริงๆ”
สรรค์เดินแกมวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน
“อาเสียม ลื้อจะไปไหน”
บุญมามีสีหน้าสะใจแล้วบอกอาล็อก
“ทะเลาะกันบ้านแตกแน่ ไปก่อนเถอะเรา วันหลังค่อยมาใหม่”
บุญมาดันอาล็อกออกไป อาล็อกยังไม่ทันพูดเรื่องสำคัญอีกเรื่อง นั่นคือ แมกกินนีกับรูปสาวน้อยรูปแรก
สาวน้อย ตอนที่ ๓๑ (ต่อ)
สรรค์เดินหน้าตาเอาเรื่องเข้าไปหาพระชาญชลาศัยที่นั่งอยู่ในบ้าน
“คุณพ่อ”
เสียงเรียกของสรรค์ทำให้พระชาญชลาศัยตกใจ ผิน สมพงษ์ บัวเห็นท่าไม่ดีก็พากันหัวหดหลบไปแอบอยู่ที่มุมห้อง
“คุณพ่อทำกับผมแบบนี้ได้ยังไง ผมความจำเสื่อมเซซังไปถึงสีชัง แต่คุณพ่อกับสุวลีกลับแต่งเรื่องที่บ้านสวนขึ้นมาหลอกผม”
ผินที่แอบอยู่ที่มุมห้องเอามือทาบอก
“ว้าย คุณพระช่วย”
สมพงษ์กับบัวเลิ่กลั่ก สรรค์มองดูแม่ผิน
“นี่แม่ผินก็สมรู้ร่วมคิดด้วยซีนะ แล้วแกล่ะบัว สมพงษ์”
บัวกับสมพงษ์สั่นหน้า พระชาญชลาศัยตวาด
“ออกไปให้หมด”
ผินลนลานพาบัวกับสมพงษ์ที่ตกใจออกไป คุณพระตาล่อกแล่กนึกถึงแผนสองของสุวลี
“เจ้าสรรค์นั่งลงฟังพ่อก่อน มันมีเหตุผล ว่าทำไมพ่อกับสุวลีต้องปิดบังความจริงกับแก”
สรรค์นั่งลง
“ตอนที่แกพลัดหลงไปถึงเกาะสีชัง แกเกือบจมน้ำตาย”
สรรค์นั่งฟังนิ่ง ภาพของเสียมที่ตะเกียกตะกายจมวูบลง
“มีคนมาช่วยแกไว้ มันเป็นพวกโจรบนเกาะนั่น มันรับแกเป็นพวก แล้วพาแกไปร่วมจี้ปล้น ก่อคดีตลอดเวลาหกเดือนที่แกหายไป”
สรรค์เบิกตากว้าง เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง
“ฉันไม่รู้ว่า แกไปตีชิงวิ่งราว ปล้นสะดมรมยา หรือว่าปล้นฆ่าเจ้าทรัพย์ที่ไหนบ้าง”
“ถ้าอย่างงั้นทำไม ไม่ให้ผมรับโทษทัณฑ์ตามกฎหมายบ้านเมืองไป”
“ก็แกทำลงไปโดยสติไม่สมบูรณ์ แล้วที่สำคัญ แกคิดว่าฉัน หรือพระยากีรติจะแบกหน้าอยู่ได้หรือ ถ้าแกต้องติดคุกเพราะเป็นโจร”
สรรค์อึ้ง คิดว่าอาจจะเป็นจริง
“แต่สุวลีไม่เคยพาผมไปที่บ้านสวน ไม่เคยช่วยชีวิตผม”
พระชาญชลาศัยพยักหน้ายอมรับ
“ถ้าเช่นนั้นผมก็ไม่เคยล่วงเกินสุวลีแต่อย่างไรทั้งสิ้น”
พระชาญชลาศัยอึ้งไปแล้วบอก
“คุณหญิงบัวผันเป็นคนวางแผนนี้ขึ้นมาเพื่อให้แกยอมแต่งงานเสียที”
“โดยคุณพ่อก็ร่วมมือด้วย นี่มันอะไรกันทำไมสุถึงทำอย่างนี้ แล้วผมต้องเข้าพิธีเพราะเรื่องหลอกลวงแบบนี้หรือ” สรรค์พูด
พระชาญชลาศัยหน้าเสียในทันที
“แกต้องคิดอีกแง่ ที่สุวลีทำลงไปก็เพราะเขารักแก เขารักกับแกมานานแค่ไหน แกหมั้นกับเขามา ๒ ปี ตอนแกหายไปเขาก็ทุกข์ทนแทบจะเป็นบ้า ส่วนแกพอมีคนใหม่ก็คิดจะทอดทิ้งเขา นึกถึงหัวอกสุวลีบ้าง แกเคยรักเขาแทบเป็นแทบตายไม่แพ้วนิดาหรอก ฉันขอถามว่าความรักนั้นไม่เหลืออยู่ในใจของแกบ้างหรือ”
สรรค์นิ่งอึ้งกับเหตุผล พระชาญชลาศัยเห็นท่าทีของสรรค์ก็ใจชื้นขึ้น แอบระบายลมหายใจยาวอย่างโล่งอก
บริเวณชานเรือนบ้านใหม่ของนิดที่เกาะสีชัง นิดกินอาหารด้วยท่าทางปกติที่โต๊ะเตี้ย นางนิ่มกับเนื่องนั่งกับพื้น
“กินได้เยอะเชียว ลูก” นางนิ่มบอก
“จวนหายแล้วซีนี่” เนื่องบอก
“ได้กินข้าวฝีมือแม่อีก นิดก็ดีใจมากแล้วจ้ะ”
นิดจิบน้ำ
“เดี๋ยวหนูไปล้างมือก่อนนะจ้ะ”
นิดลุกขึ้น เดินเข้ามาในห้องน้ำ ท่วงท่าแข็งแรงรื่นเริงก็หายไป นิดทรุดลง อาเจียนกับพื้นจนหมดท้อง นิดน้ำตาคลอมองดูกระจดเงาเห็นใบหน้าซีด ขอบตามีรอยคล้ำแล้วก็ถอนใจ
ทันใด นิดก็ขย้อนอีก เอามือกุมปากไว้แล้วแบมือดู คราวนี้ในมือมีแต่เลือดสดๆ
นิดนอนอยู่บนเตียง นางนิ่มนั่งเฝ้าอยู่อย่างร้อนใจ เชิดโผล่เข้ามา ดวงตาเจ็บแค้นสีหน้าขรึม
“เชิด หรือ เฮ้อ เวรกรรม เมื่อหัววันยังดีอยู่แท้ๆ พอตกเย็นก็ทรุดขึ้นมาอีก”
เชิดนั่งอยู่ที่ขอบประตูไม่เข้าห้อง นางนิ่มลุกขึ้น
“แม่ไปล้างเนื้อล้างตัวก่อนนะ”
“จ้ะ ฉันจะดูนิดให้เอง”
นางนิ่มออกไป เชิดมองดูนิดที่ขยับตัวเพ้อ
“โอ้ย”
เชิดลังเลแล้วตัดสินใจเข้าไปนั่งลงข้างเตียง
“นิด พี่เอง”
นิดลืมตาไม่ขึ้นได้แต่เพ้อ
“พี่เสียม พี่เสียมอย่าห่วงนิดเลย แต่งกับเขาเถอะ แต่งกับสุวลี”
เชิดกุมมือนิด น้ำตาคลอ ขมขื่นอย่างถึงที่สุด
“นิดจะขอตายอยู่ที่สีชังนี่”
นิดหลับตาลง เชิดจับมือนิดวางข้างตัว ดวงตาเหี้ยมเกรียมขึ้นและตัดสินใจ
เนื่องนั่งทรุดลงด้วยความงง แก้วยืนอยู่อีกมุมเล่าความจริง
“ไอ้เสียมไม่ได้ตาย แต่ดันจำเรื่องที่สีชังไม่ได้ นี่มันบ้าอะไรนี่”
“ก็ไอ้หมอบ้านั่นแหละ ไม่รู้มันผ่าหัวนายเสียมยังไง”
“แต่นิดก็ทำให้มันกลับมารักใหม่ได้” เนื่องบอก
เชิดก้าวออกมาจากบ้านก็ได้ยินแก้วกับเนื่องคุยกันก็หยุดฟัง
“ใช่ มันทำท่าจะไปถอนหมั้นอีนังตัวดีนั่น แต่จู่ๆ ก็กลับมาบอกเลิกนิด แล้วไปแต่งงานกับอีนังผู้ดีตีนแดงนั่นขึ้นมา”
“เวร นิดเลยเป็นไข้ใจเจียนตายอยู่นี่”
“ฮึ นายเสียมนั่นต่างหากที่สมควรตาย ฉันอยากฆ่านายเสียมให้ตายกับมือฉันจริงๆ นะ พี่เนื่อง”
เชิดดวงตาวาวโรจน์ขึ้นทันที
ภายในโถงบ้านโพธิธารา สรรค์นั่งเครียดขรึม ดูผอมซูบ หน้าผากหมอง คิดอยู่แต่เรื่องงานแต่งในวันรุ่งขึ้น สรรค์ไม่ได้เชื่อคำพูดพ่ออย่างหมดใจ สมองประมวลข้อมูลต่างๆ ถึงเรื่องเสียม สีชัง และคนรักเก่าของวนิดาที่ชื่อเสียม แม่ผินเช็ดตู้เคาน์เตอร์มองมาอย่างเป็นห่วง มีอาการสำนึกผิด สรรค์ยิ่งคิดก็ยิ่งหมองหม่น พระชาญชลาศัยเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินมาเห็นอาการสรรค์ก็สะอึก
“สี่ทุ่มกว่าแล้ว แกไปนอนเถอะ พรุ่งนี้คงต้องตื่นตั้งแต่ตีสี่”
สรรค์รับคำเดินไปราวคนไร้ชีวิตจิตใจ คุณพระมองตามอย่างทุกข์ใจ แม่ผินก้าวมา
“คุณพระเจ้าขา อิฉันกรองๆ ดู เรื่องคุณสุอ้างว่า ง่า ได้เสียเปรียบกับคุณหนู มันน่าสงสัยนะเจ้าคะ”
พระชาญนิ่งคิดแล้วยิ่งทุกข์ มองดูรูปคุณหญิงพิไลเลขาที่มองมาราวกับตำหนิ
“คุณหญิงนี่ฉันทำผิดใช่ไหม”
ภายในห้องนอน สรรค์มองดูรูปสาวน้อยที่ติดเด่นอยู่ มองดูชุดสูทที่แขวนไว้สำหรับวันรุ่งขึ้น แล้วเดินไปที่หน้าต่างมองดูดาวพราวฟ้า...
นิดนอนปรือตาขึ้นมองดูดาวพราวฟ้าที่นอกหน้าต่าง มือลูบไล้แหวนพลอยที่นิ้วพลางว่า
“แหวนจ๋า พี่เสียมเห็นแหวนท้าวทุษยันต์แล้ว แต่ทำไมถึงยังลืมนิด”
นิดน้ำตาไหลเอ่อลงเปียกหมอนเริ่มมึนงงพร่าเลือนอีก เชิดเข้ามาคุกเข่าลงแล้วมองดูอย่างเวทนาและสงสารนึกแค้นแทน นิดยกมือขึ้นอย่างอ่อนแรงลูบคลำแหวน
“ถ้าพี่เสียมเห็นแหวนอีกครั้ง คราวนี้จะจำนิดได้ไหม”
นิดหลับไปอีก มือพาดที่ขอบเตียง การกินอาหารไม่ได้ร่วม ๓ สัปดาห์ทำให้นิ้วซูบลงจนแหวนหลวมหลุดจากนิ้ว
แหวนวงนั้นหล่นกลิ้งไปตามพื้นแล้วมาหยุดที่เข่าเชิด เชิดหยิบแหวนมายิ้มเหี้ยมเกรียม
นางนิ่มไปห้องน้ำจะเดินกลับไปที่ห้องนิด เห็นเชิดนั่งอยู่กลางชานเรือน ในมือถือปืนดำมะเมื่อมก็ชะงัก
“พ่อเชิด เอาปืนผาหน้าไม้ออกมาทำไม”
เชิดตอบเสียงเรียบ ใบหน้านิ่ง
“เอามาล้างให้สะอาดน่ะจ้ะ”
นางนิ่มบ่นเรื่อยเปื่อยตามประสาคนแก่
“ไม่ไหว ดึกๆ เข้าห้องน้ำไม่รู้กี่หน”
“เมื่อกี้นิดตื่นขึ้นมาเดี๋ยวนึง แล้วก็หลับไปอีก” เชิดบอก
นางนิ่ม เข้ามาลูบหลังลูบไหล่เชิดอย่างอาทร
“เดี๋ยวน้าไปดูเอง ดึกแล้ว พ่อเชิดเองก็นอนเสียเถอะ ไปนอนกับเจ้าเนื่องในห้องไป ตอนรุ่งน้ำค้างมันจัดนัก เดี๋ยวจะไม่สบายไป”
เชิดน้ำตาคลอยิ้มเต็มตื้นกับความอาทร
“แม่นิ่มดีกับฉันเหลือเกิน”
“มาน้ำหูน้ำตาอะไรกัน หรือจะนอนข้างนอกก็ตามใจ เดี๋ยวจะให้แก้วมันปูเสื่อปูสาดให้”
“ไม่ต้องหรอกจ๊ะ ฉันจะจัดการเอง ฉันจะจัดการเองให้เรียบร้อย” ประโยคหลังเหมือนเชิดตั้งใจพูดกับตัวเองเบาๆด้วยน้ำเสียงเหี้ยม
เชิดพูดแล้วก็ก้มลงมองปืนในมือ นางนิ่มเดินไปที่ตู้ มองๆ หาเสื่อ ปากก็บ่นไป
“เอ เสื่อผืนใหม่ไปไหน อ้อ ยายแสยืมไปวันงานผูกข้อมือนังทับทิม ต้าย พอไม่ทวงล่ะก็เงียบเชียว”
เชิดเงยหน้าจากที่มองปืน ตามองไกลไปในความมืด พูดด้วยเสียงเย็นเฉียบ เหี้ยมเกรียม
“เอาไว้เป็นหน้าที่ฉันเอง ใครติดค้างอะไรแม่นิ่ม ใครติดค้างอะไรนิด ...ฉันจะไปทวงคืนให้เอง”
นางนิ่มฟังแล้วก็รู้สึกแปลกๆ ได้แต่พยักหน้าเดินเข้าห้องนิดไป
เชิดยิ้มขมขื่น เหน็บปืนกับผ้าขาวม้าคาดเอว
บ้านเนาวรัตน์ สีลม ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๘๒
ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือบ้านเนาวรัตน์ ในงานเช้ามีพิธีการตักบาตรเช้า สรรค์ใส่สูทลำลองผูกไท สุวลีสวมชุดไทยหรูตักบาตรพระสงฆ์
สุวลีจับทัพพีเหนือมือสรรค์ สุวลีช้อนตามองสรรค์ที่หน้าเรียบเฉย ใบหน้าสุวลีมีรอยยิ้มนิดๆ แต่ดวงตาระแวงแคลงใจ
เวลากลางวัน ภายในห้องรับรองแขกใช้เป็นห้องพักเจ้าบ่าวกับเพื่อน สำหรับพักผ่อนและเปลี่ยนเสื้อผ้า สรรค์ยังใส่เสื้อเชิ้ตของชุดตักบาตร บุญมาปลดกระดุมเชิ้ต พับแขนรูดขึ้นตามประสา
“ทำไมนายเสวกถึงไม่มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวให้แกวะ” บุญมาถาม
“มันเพิ่งกลับจากสิงคโปร์เมื่อตีสองนี่เอง ยังสลบอยู่”
“แล้วคืนนี้แกจะเป็นไก่ให้คลุมถุงชนหรือ”
“งานแต่งวันนี้จะไม่มีการส่งตัวเข้าหอจนกว่าฉันจะรู้เรื่องทั้งหมด”
สรรค์เดินมานั่งข้างบุญมา
“ฉันนอนคิดทั้งคืน คุณน้อยบอกว่า คนรักของเธอประสบอุบัติเหตุ ลืมเธอจนหมด เธอเคยฆ่าตัวตาย แต่มารศรีช่วยเธอไว้”
บุญมาเพิ่งรู้ถึงกับตาโตด้วยความแปลกใจ
“งั้นต้องใช่แน่ ไม่งั้นมารศรีจะมาเกี่ยวข้องด้วยทำไม”
“จากนั้นคุณน้อยไปเป็นคนใช้ ถูกคุณหญิงใจร้ายใส่ความจนติดคุก” สรรค์บอก
“คุณหญิงมะลิ น้าของสุวลี ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้” บุญมาว่า
สรรค์มีสีหน้าเครียด และเริ่มระแวง
“แกคิดว่าทั้งหมด เป็นแผนการของสุวลีหรือเปล่า”
บุญมามีสีหน้ายิ้มเยาะ
“ถ้าจริง เรื่องที่แกเข้ากับพวกโจรที่สีชังก็อาจเป็นเรื่องโกหกอีกหนึ่งเรื่อง ฉันมันนักข่าวเก่า ฉันลองประมวลเรื่องดูแล้ว ฉันว่าแกคือนายเสียม คนรักเก่าของวนิดา”
สรรค์นิ่งเหมือนจะได้ข้อสรุปแบบเดียวกัน สรรค์ขมขื่น
ภายในห้องนอน สุวลีเปลี่ยนชุดไทยเป็นชุดเสื้อคลุม รอแต่งตัวใหม่ เธอกำลังเขียนไดอารี่อยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ตัวหนังสืองดงามนั้นว่า “ฉันชนะอีกแล้ว” สุวลีขีดเส้นใต้แล้วเงยหน้ามองด้วยรอยยิ้มละไม
ในเวลาเดียว ภายในห้องรับรอง สรรค์มีสีหน้าขมขื่นอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าคุณน้อยคือคนรักของฉันที่สีชัง ทำไมเธอต้องปิดบังความจริงด้วย ทำไมเธอไม่พูดออกมา” สรรค์ตั้งข้อสังเกต
“แกไม่น่าถามโง่ๆ แกจำเขา จำความรัก ความหลังไม่ได้แม้แต่นิดเดียว แถมข้างกายยังมีสาวผู้ดีเจนสังสังคมเป็นคู่หมั้นอยู่ทั้งคน เขาจะกล้าบอกแกหรือ”
สรรค์ผงะ พลันจำได้ ตาเบิกกว้าง
“ผู้หญิง ผู้หญิงคนนั้นที่โรงพยาบาล”
ภาพของนิดที่ระล่ำระลักบอกสรรค์ว่าตนคือใครที่โรงพยาบาล !แวบผ่านเข้ามา
“อะไรของแก” บุญมาถาม
“ผู้หญิงบ้านนอกที่โรงพยาบาล วันที่ฉันฟื้นจากผ่าตัด ที่ฉันไม่รู้จักและจำหน้าไม่ได้คือคุณน้อยนั่นเอง โธ่”
สรรค์เอามือปิดหน้า
“ความจริงอีกอย่างนึงทีแกควรจะรู้ สาวบ้านนอกคนนั้นไม่ได้ชื่อน้อย แต่ชื่อนิดต่างหาก”
“ฉันได้ยินคนเรียกเธอว่านิดอยู่บ่อยๆ แต่ฉันคิดว่าชื่อ นิดมาจากวนิดา แต่ที่จริงแล้วชื่อวนิดามาจากชื่อนิดต่างหาก”
สรรค์ผินหน้ามองออกไปนอกหน้าต่าง
บนท้องฟ้ายามนั้น กลุ่มเมฆดำจำนวนมหึมาลอยป่วนปั่น เคลื่อนมาบดบังท้องฟ้า
เวลาเดียวกัน แก้ว และนางนิ่มออกมาที่ชานเรือนแล้วตกใจที่ลมพัดแรงกล้าจนม่าน กระดิ่งลมกระพือพัด
“ว้าย พายุอะไรกันนี่” นางนิ่มว่า
บริเวณชานเรือนมืดมิดลง เนื่องโผล่ขึ้นบันไดมาบอกว่า
“แปลกจริงๆ ที่หน้าด่าน นังทับทิมกับยายแสเห็นไอ้เชิดลงเรือไปบางกอกตั้งแต่เช้ามืด”
“ว้าย ตายแล้ว” แก้วอุทานขึ้น
“ใครตาย” นางนิ่มถาม
แก้วไม่ได้สนใจที่นางนิ่มถาม แต่หันไปบอกเนื่อง
“พี่เนื่อง เมื่อคืนนี้พี่เชิดต้องได้ยินที่เราพูดกันแน่เลย”
“ฉิบหายแล้ว”
นางนิ่มทนไม่ไหว ถามอย่างคาดคั้น
“อะไรกัน ใครตาย ใครฉิบหาย”
“ไอ้เชิดน่ะสิ แม่ ไอ้เชิดมัน”
นางนิ่มตกใจ
“พ่อเชิดทำไม มีเรื่องอะไรรึเปล่า เมื่อคืนแม่เห็นพ่อเชิดเอาปืนออกมาด้วย”
ทันใดนั้น ฟ้าผ่าคำรามมาใกล้ๆ เนื่องกับแก้วมองหน้ากัน
“ใช่แน่ พี่เชิดไปฆ่าพี่เสียมแน่” แก้วโพล่งออกมา
นางนิ่มวี๊ด
“อะไรกัน”
เสียงนิดดังออกมา
“พี่เนื่อง แก้ว”
ทั้งสามคนหันไปเห็นนิดเกาะอยู่ที่กรอบประตู ลมแรงพัดผมปลิว ผ้าพันคอไหว
“โธ่ นิดลุกมาทำไมลูก”
“พี่เนื่อง แก้วไปห้ามพี่เชิด อย่าให้พี่เชิดฆ่าพี่เสียม”
นิดทรุดฮวบลง นิ่ม เนื่อง แก้ววิ่งเข้าไปประคอง นิดน้ำตาไหลพรากคร่ำครวญอย่างอ่อนแรง
“อย่าให้พี่เสียมเป็นอะไร อย่าให้พี่เชิดทำผิด”
นิดแน่นิ่งไป เนื่องสั่งทันที
“นังแก้ว เอ็งไปบอกหลวงพิจารณ์ให้เอาเรือเร็วไปบางกอก”
ภายในห้องรับรอง สรรค์ขมขื่นแทบอยากจะทิ้งงานไปสีชังในทันที สรรค์เดินไปมาอย่างพลุ่งพล่าน บุญมานั่งมอง
“ฉันว่าคุณอากับสุวลี คงมีข้อตกลงห้ามวนิดาเปิดปากพูดเรื่องนี้”
“แม้กระทั่งมารศรีก็เหมือนกัน ดูเธอมีอะไรอยากพูดแต่พูดไม่ได้ แต่ที่จริง คุณน้อย นิด เธอบอกฉันอยู่ตลอดเวลาแหละ แต่ฉันโง่เกินกว่าจะรู้”
บุญมาถอนหายใจเฮือก
“นิดบอกฉันผ่านละครทั้งศกุนตลา ทั้งเงือกน้อย ท้าวทุษยันต์ที่ถูกสาป แหวนที่เตือนความจำ เงือกน้อยผู้ช่วยชีวิต เจ้าหญิงใจร้ายที่มารับสมอ้าง ..ไม่ใช่สุวลี แต่เป็นนิดต่างหากที่ช่วยชีวิตฉันไว้”
“ที่แกเห็นวูบวาบและคิดว่าเป็นภาพหลอนก็คือ เรื่องของแกที่สีชังนั่นเอง”
“แต่ยังไงฉันก็ยังจำไม่ได้ ทุกอย่างเราได้แต่คาดเดา ฉันอยากได้ความจำนั้นกลับมาว่า ฉันรักนิดและนิดก็รักฉันแค่ไหน”
“แกต้องแคร์อะไร เพราะที่แกรักวนิดาและวนิดารักแกก็ลึกซึ้งไม่ผิดกัน สรรค์ แล้วแกจะแต่งงานกับสุวลีได้ยังไง”
สรรค์นิ่งและความทุกข์ยังคงท่วมท้นหัวใจ
ในเวลาต่อมา ภายในรถยนต์ มีธนา สร้อยระย้าและนพนั่งมาด้วยแล่นผ่านมายังบริเวณถนนหน้าบ้านเนาวรัตน์
ที่ข้างประตูรั้ว เชิดในชุดเสื้อขาว กางเกงกากี สวมหมวกก้าวมามองดูบ้านเนาวรัตน์ด้วยสายตาวาววามด้วยความแค้น
จบตอน ๓๑
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑ วันปะหัส หมายถึงวันพฤหัสบดี ในละครจงใจที่จะพูดคำนี้
สาวน้อย ตอนที่ ๓๒ อวสาน
ภายในห้องนอน สุวลีเปลี่ยนเป็นชุดยาวสีม่วงปักเลื่อมงดงามดูเรียบหรู สวมเครื่องเพชรของธนาครบชุดเตรียมเข้าพิธีรดน้ำ บัวผันมองด้วยแววตาเศร้าๆ อยู่ด้านหลัง
ภายในห้องรับแขก ถูกจัดให้มีตั่งรดน้ำสำหรับคู่บ่าวสาว สรรค์ใส่สูทดำผูกไทสีม่วง สุวลีสวมชุดยาวม่วง บุญมาและเพื่อนอีกคนเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว ผูกไทม่วงอ่อน ถัดไปเป็นหญิงสาวผิวขาวหน้าจืด 2 คนสวมชุดม่วงจางยิ่งดูจืดยืนเป็นเพื่อนเจ้าสาว
พระยากีรติและคุณหญิงบัวผัน หม่อมเจ้าหญิงพิลาสลักษขณา พระชาญชลาศัย แม่ผิน และบรรดาแขกผู้ใหญ่ทะยอยเข้ารดน้ำ
อนงค์กับรตียืนอยู่ห่างๆ ออกไปในกลุ่มเพื่อน มองสุวลีและเพื่อนเจ้าสาวแล้วก็ซุบซิบนินทากัน อนงค์เปิดประเด็น
“ทำไมเจ้าสาวไม่ใส่สีขาว ดันใส่สีม่วงเหมือนแม่หม้าย”
“ปากเสีย ยายสุเค้าเกิดวันศุกร์ย่ะ” รตีบอก
อนงค์มองค้อนแล้ววิจารณ์ต่ออย่างสนุกปาก
“แล้วยายหน้าปลาจวดสองคนนั่นดีกว่าเราตรงไหน ทำไมยายสุเลือกมาเป็นเพื่อนเจ้าสาว ทำไมไม่เลือกพวกเรา”
รตีมองสุวลีแล้วยิ้มอย่างรู้ทัน
“คนนึงเป็นหม่อมหลวง อีกคนเป็นหม่อมราชวงศ์ แต่ทั้งสองคน ไม่สวย ไม่มีใครข่มเจ้าสาวได้ เข้าใจรึยัง”
พระชาญชลาศัยเข้าไปรดน้ำ มองสรรค์และยิ้มอย่างให้กำลังใจ สรรค์ฝืนแย้มยิ้มตอบพ่อนิดๆ ดวงตานิ่ง สุวลียิ้มพรายแล้วใส่จริตแต่พองามด้วยการขัดเขินเอียงอายเล็กน้อย น้ำพระพุทธมนต์ไหลพร่างพรูผ่านมือทั้งสองลงในขันรองที่จัดดอกไม้ไว้อลังการ
ที่เกาะสีชัง น้ำไหลพรูลงจากผ้าขนหนูผืนเล็กลงอ่าง นางนิ่มกลั้นน้ำตาเช็ดหน้าเช็ดตัวให้นิด นิดกระสับกระส่ายไข้ขึ้นสูง ทางด้านนอกฝนตกพรูมาราวฟ้ารั่ว
ฝนตกพร่างพรู เนื่องตัวเปียกปอนแต่กางร่มใหญ่ให้คุณหลวงหมอบนเกาะสีชัง ที่สวมเสื้อกันฝนผ้ายาง ถือล่วมยาหนังเข้ามา เนื่องร้อนรนใจจะขาด นางนิ่มออกมารับ
“แม่ นิดเป็นยังไงแล้ว” เนื่องถาม
“ไม่ดีขึ้นเลย เชิญค่ะ คุณหลวงหมอ” นางนิ่มกล่าวเชื้อเชิญ
พิธีรดน้ำคู่บ่าวสาวเสร็จสิ้น แขกผู้ใหญ่ทะยอยกลับ พระชาญชลาศัยกับพระยากีรติตามส่งแขกอาวุโสท่าทางภูมิฐาน
“ขอบพระเดชพระคุณนะขอรับ” พระชาญชลาศัยบอก
“ยินดีๆ แต่งานเลี้ยงฉลองตอนค่ำฉันเห็นจะมาไม่ไหวล่ะนะ แก่แล้วน่าเสียดาย เห็นเขาว่าจัดใหญ่โตแบบฝรั่งจ๋าเลยใช่ไหมเจ้าคุณ”
แขกท่าทางภูมิฐานพูดล้อพระยากีรติ
“ขอรับ”
เชิดถือชะลอมผลไม้ ๒ มือเดินผ่านยามเข้ามาในบ้านเนาวรัตน์
“เดี๋ยว จะไปไหน”
เชิดชูชะลอมผลไม้ในมือให้ดู
“เอาของมาช่วยงานหรือ ไปทางด้านหลังนู่น ทำไมมาเข้าทางนี้” ยามบอก
ในห้องโถงที่ไม่มีผู้คนคงเหลือแต่ดอกไม้ประดับประดาไปทั่ว สุวลียังอยู่ในชุดรดน้ำ กำลังจะเดินออกไป ธนาใส่สูทราตรีผูกโบไทยืนพิศดูรูปของสรรค์อยู่ ที่ข้างล่างนพและสร้อยระย้าเดินดูรอบๆ สุวลีมองธนาจงชัง ธนามองที่ชุดเครื่องเพชร
“เจ้าสาวสวยจริง โดยเฉพาะเครื่องประดับชุดนี้”
สุวลีจากเหนียมอายกลายเป็นโกรธ พูดเสียงขุ่น
“งานเริ่มทุ่มนึง คุณไม่รู้มารยาทของสังคมหรือ”
“ผมมันแค่ลูกเจ็กลูกจีนไม่ค่อยมีสมบัติผู้ดีอยู่แล้ว” ธนาว่า
“งั้นก็เชิญออกไปข้างนอกก่อน”
“ก็ได้ครับ”
สุวลีคอแข็งหน้าเชิด นพกับสร้อยระย้าเดินเข้ามาพอดี
“ว้าย คุณสุ สวยจังเลยค่ะ” สร้อยระย้าบอก
“ขอแสดงความยินดีด้วยครับ” นพว่า
นพดูมีแววเยาะในดวงตา สุวลีหมุนตัวกลับแล้วเดินออกไป นพยักไหล่ สร้อยระย้าทำหน้าเบ้ใส่ทันที
“โธ่เอ๋ย นางหงส์ขนร่วงหมดตัวแล้วยังไม่สำนึก” นพว่า
“นึกยังไงใส่สีม่วง ต้ายหรือจะประกาศว่าไม่ใช่สาวบริสุทธิ์” สร้อยระย้าบอก
ธนามองสร้อยระย้าอย่างตำหนิ นพยิ้มเยาะ
ห่างออกไป พระยากีรตินั่งฟังอยู่มุมหนึ่งก็เซทรุดไป คุณหญิงบัวผันประคองไว้แล้วน้ำตารื้น
บริเวณเทอเรซหน้าบ้านเนาวรัตน์ถูกตกแต่งด้วยดอกไม้อย่างสวยงามและเต็มที่ พระชาญชลาศัยหน้าผ่องก้าวมามองดูความเรียบร้อย สนามหญ้ามีการตั้งโต๊ะยาวปูผ้าขาวเป็นทิวแถว คนรับใช้และลูกจ้างเพิ่มเติมกำลังจัดโต๊ะกันอย่างรีบเร่ง
พระชาญชลาศัยมองไปอีกด้าน เห็นรถจอดเป็นทิวแถว พลันคุณพระก็สะดุ้งสุดตัวรีบก้าวพรวดๆ ออกไปทันที
มารศรีในชุดราตรีเพื่อให้กลมกลืนกับแขกที่เริ่มทะยอยมาถึงงานก่อนเวลา ถือกระเป๋าหนีบอยู่ข้างแขน พระชาญพรวดมาถึงตัว มารศรีชะงักแล้วยิ้มให้ทันที
“มารศรี เธอมาทำไมที่นี่”
“ก็มาอวยพรคุณสรรค์น่ะซีคะ”
พระชาญชลาศัยมองอย่างไม่ไว้ใจ
“ฉันรู้นะว่าเธอมาทำไม เธอสัญญากับฉันแล้วนะมารศรี ว่าจะไม่เปิดปากพูดเรื่องอะไรที่ไม่ควรพูด”
มารศรีทำหน้าตาเหมือนลูกแมวเชื่องๆ กอดแขนพระชาญชลาศัยที่พูดย้ำ
“โถ คุณพระขา สัญญาก็ต้องเป็นสัญญาซีคะ ดิฉันรับรองจะไม่เปิดปากพูดอะไรเป็นอันขาด ที่ดิฉันมา ก็แค่อยากมาชมบุญญาบารมีของคุณสุวลีเธอก็เท่านั้นเอง”
คุณพระยังมองหน้ามารศรีอย่างไม่ไว้ใจอยู่ดี มารศรีใส่จริตทำยิ้มแย้ม ตีหน้าซื่อ
ในห้องนอน สุวลีแต่งชุดขาวลูกไม้ปักคริสตัลอลังการ ลากยาวยืนอยู่กลางห้อง เป็นชุดสำหรับงานฉลองยามค่ำ ช่างผมและช่างแต่งหน้า ๒ นางยืนรอรับคำสั่ง
บริเวณโถงด้านหลังตึกเนาวรัตน์ในเวลาเย็น นพเดินอย่างเย่อหยิ่งมาหยุดดูที่รูปปั้นที่ประดับไว้แล้วตาโต
“ของแท้นี่หว่า ต้องบอกให้นายธนาเก็บไว้”
เชิดก้าวเข้ามา นพหันไปมองหัวจรดเท้า
“อ้าว แกเข้ามาทำไม ที่ของแกอยู่ทางโรงครัวด้านหลังโน่นไอ้ไพร่” นพว่า
เชิดขบกรามถลันเข้าประชิดตัวผลักนพเข้าห้องน้ำทันที
แขกในงานทะยอยมาเรื่อยๆ พระชาญชลาศัยยืนคุมเชิงมารศรีอยู่ที่มุมห้อง มารศรีมองจ้องคอยหาโอกาส พอเห็นบริกรถือถาดเหล็กและอาหารจิ๋วเดินเสิร์ฟผ่านมาก็ทำทีรีบคว้าไว้
“ดื่มอะไรกันหน่อยเถอะค่ะ คุณพระ ว้าย”
มารศรีแกล้งทำเครื่องดื่มกระฉอกใส่ตัวเอง พระชาญชลาศัยมองอย่างตำหนิ
“อะไรของเธอ ลุกลี้ลุกลนไม่เข้าเรื่อง”
“ขอประทานโทษค่ะ แต่ แหม ชุดเปื้อนเสียแล้ว ดิฉันขอตัวไปล้างก่อนนะคะ”
มารศรีเดินกระชดกระช้อยออกไป พอลับตาพระชาญชลาศัย มารศรีก็เปลี่ยนเป็นคนละคน หูตาแวววาว รีบวิ่งหลบเข้าไปในบ้าน
บริเวณโถงบ้าน ธนาควงสร้อยระย้าเดินถือแก้วเหล้าค็อกเทลเดินมา อนงค์ รตี แต่งชุดราตรีหรู เชิดใส่คุณหญิงและคุณหม่อมหลวงที่รับแขกอยู่กับเพื่อนศิลปินของสรรค์
“เชอะ ก็แค่คุณหญิงกับหม่อมหลวง” อนงค์ว่า
“ลัทธิมาร์กซิสเข้ามาเมื่อไรนังพวกนี้ต้องโดนฆ่าก่อน” รตีบอก
“ใช่ อุ้ย ดูนั่น แขกฝ่ายไหนหล่อจังเลย ดาร์ก ทอล แฮนด์ซัม”
อนงค์เห็นเชิดเดินหน้านิ่งเข้ามา รตีตาลุกวาวราวกับเจอเหยื่อรายใหม่
“ต้าย คงแขกของเจ้าบ่าว นักเรียนฟิลิปส์ หรือไม่ก็ยุโรป”
เชิดใส่สูทของนพเดินแหวกคนเข้ามาและมองขึ้นไปบนบันได
มารศรีย่องหลบหลีกไปมาเพื่อหาทางจะขึ้นไปชั้นบน ขณะที่กำลังจะวิ่งขึ้นไป บุญมาก็เดินลงมาพอดี มารศรีชะงัก ตกใจเล็กน้อยแต่โล่งอก
“คุณมารศรี”
“คุณบุญมา คุณสรรค์อยู่ที่ไหนคะ”
“ข้างบน อีกประเดี๋ยวก็คงจะลงมา”
บุญมาเห็นมารศรีทำท่าร้อนใจก็ถาม
“มีอะไรหรือ”
“ดิฉันมีของมาให้คุณสรรค์ค่ะ สำคัญมาก”
“อะไร”
“ดิฉันพูดไม่ได้ เอาเป็นว่าของนี่ จะทำให้งานแต่งนี้ล่มได้เลยค่ะ”
บุญมาอึ้ง มองตาวาว มารศรีล้วงซองจดหมายออกจากทรวงอก
ผู้คนเรรวน ชนเค้กล้มทะลายลงบนหัวอนงค์ รตี สร้อยระย้า และมะลิ มีดกระเด็นไปพระชาญกับผู้ชาย ๒ - ๓ คนกรูไปช่วยจับเชิดไว้ เชิดสงบนิ่งยอมให้จับแต่โดยดี
“เอาตัวมันไป”
พวกผู้ชายหลายคนช่วยกันเอาเชิดออกไป
ที่โถงด้านล่าง พระยากีรติ คุณหญิงบัวผันเดินเข้ามาสุวลี แต่ธนามาถึงตัวก่อน ประคองสุวลีขึ้นในวงแขน บุญมาเข้าไปประคองสรรค์ เลือดซึมๆ มาจากชายโครง สรรค์นิ่ง มืออีกข้างกำแหวนพลอยแน่น
“เฮ้ย สรรค์” บุญมาเรียก
“สรรค์ เป็นยังไงบ้างลูก” พระชาญชลาศัยถาม
สรรค์กระพริบตาถี่ ภาพต่างๆ ในอดีตกลับเข้ามาสู่ความทรงจำทั้งหมดในวินาทีนั้น
สรรค์กับอาล็อกบนเรือโป๊ะ สรรค์ได้ยินเสียงเพลง สรรค์จมน้ำ นิดในสภาพเทพธิดามาช่วย สรรรค์มองนิดซาบซึ้ง วันสงกรานต์ สรรค์ต่อยกับแม้นเชิดมาช่วย วันงานวัด เชิดถูกฟัน สรรค์มาช่วย
สรรค์ยิ้มออกมา บอกบุญมา
“บุญมา ฉันจำได้แล้ว จำได้ทุกอย่างแล้ว”
ที่ห้องโถงด้านล่าง เสียงบัวผันร้องหวีด ทุกคนตกใจ พระยากีรติช็อกกับภาพตรงหน้า
“ยายสุ เลือด”
สุวลีตกใจ เพิ่งรู้ตัว ก้มมองดูตัวเองเห็นเลือดซึมแผ่ขยายเป็นวงบนชุดสีอ่อน ผินก้าวมาดูแล้วร้องโพทนาสุดเสียง
“คุณสุวลีตกเลือด คุณสุวลีแท้ง”
พระชาญชลาศัยอ้าปากค้าง มองดูสรรค์ที่นิ่งมองสุวลีอย่างสมเพช มะลิยิ้มร่า อนงค์ รตี สร้อยระย้ายิ้มเยาะ ช่างภาพตะกายแหวกคนเข้ามาถ่ายรูป
“เจ้าข้าเอ๊ย คุณสุวลี ย้อมแมวขาย” ผินโวยวายโหวกเหวกเสียงดัง
“ว้าย แล้วใครคะ ใครเป็นแมวขโมย” อนงค์ถามลอยๆ
ทุกคนมองดูสรรค์ เห็นท่าทีสรรค์ก็รู้ว่าไม่ใช่ สุวลีหูอื้อ ตาลายมองธนาที่ประคองเธออยู่ สายตา ธนามองอย่างสงสาร
“คุณสุ”
สุวลีมองธนาอย่างเคียดแค้น แค่นเสียงลอดไรฟันออกมาแผ่วเบา
“แกทำลายชีวิตฉัน”
พริบตานั้น สุวลีก็คว้ามีดตัดเค้กที่ตกอยู่ใกล้มือแทงเข้าที่ท้องธนา ธนาผงะ กุมท้องหงายไป แขกในงานร้องเอะอะกันอีก
“My goodness! ฉันรู้แล้วว่าแมวขโมยคือใคร” อนงค์บอก
“ข่าวใหญ่แน่เธอ เจ้าสาวแห่งปีจริงๆ”
รตีบอกพลางหันไปกับนักข่าว
“เอ้า ถ่ายซิจ๊ะ ถ่ายโน่นไม่ใช่ถ่ายชั้น”
บรรดานักข่าวถ่ายรูปอนงค์ รตีก่อน แล้วถ่ายสุวลี ธนากันอย่างโกลาหล
พระยากีรติคว้าข้อมือคุณหญิงบัวผันบีบจนร้องไห้
“เธอกับนังลูกชั่วทำอะไรลงไป”
นอกห้องโถง มารศรียืนแอบมองอยู่จากที่ไกลๆ สีหน้ามารศรีดูโล่งใจอย่างที่สุด
“ฉันกับคุณ ไม่ติดค้างอะไรกันแล้วนะคะ คุณสรรค์”
มารศรีเดินหันหลังเดินออกจากบ้านเนาวรัตน์ไปอย่างสงบ
ภายในห้องรับรอง เชิดถูกใส่กุญแจมือนั่งก้มหน้า พระชาญชลาศัยกับบุญมาพาสรรค์เข้ามา สรรค์นั่งลงตรงหน้าเชิด
“เชิด ไม่ต้องห่วง ฉันจะแต่งทนายมือดีที่สุดให้ช่วยนาย”
เชิดมองสรรค์อย่างแปลกใจ
“ข้าตั้งใจจะฆ่าเอ็งนะ ไอ้เสียม”
“เพราะกระสุนนัดนั้นของเชิด ฉันถึงได้ความทรงจำกลับมา ฉันจำเรื่องที่สีชังได้แล้ว”
“เอ็งจำได้แล้ว”
สรรค์พูดอย่างดีใจ
“ฉันจำได้ จำเชิด จำแม่นิ่ม จำเนื่อง ทับทิม ยายแส ไอ้แม้น จำหินทุกก้อนทรายทุกเม็ด จำเกาะวิมานน้อย”
สรรค์ยิ้มมองไปนอกหน้าต่าง เชิดสีหน้าตื้นตัน
“จำเรื่องราวของพี่เสียมกับนิดได้ทุกเรื่อง”
เชิดมองดูสรรค์ด้วยความดีใจ
“ไอ้เสียม ข้าขอโทษ”
“ไม่ แกไม่ผิด เชิดแกเคยช่วยชีวิตฉันมาแล้ว ครั้งนี้ก็ถือว่าแกช่วยชีวิตฉันเหมือนกัน"
“ใช่ ถ้าไม่ได้พ่อเชิด เรื่องย้อมแมวก็ไม่แดงโร่ออกมา” พระชาญชลาศัยว่า
ประตูเปิดออก แก้วหน้าซีดเผือด ท่าทางเหนื่อยเพราะรีบเดินทางมาจากสีชังพุ่งเข้ามา บุญมาดีใจร้องเรียก
“แก้ว”
สรรค์หันมองแก้ว
“แก้ว ฉันจำแก้วได้ด้วย แก้วมาที่นี่ได้ยังไง”
แก้วมองดูเชิดและสรรค์อย่างงๆ
“นิดให้ฉันมาห้ามพี่เชิดไม่ให้ฆ่านายเสียม”
สรรค์กับพระชาญชลาศัยตื้นตัน
“แล้วนิดล่ะ เป็นยังไงบ้าง”
แก้วน้ำตาเอ่อบอก
“ตอนฉันมา นิดรู้ว่าพี่เชิดจะมาฆ่าพี่เสียมก็ล้มลงอาการทรุดลงทุกที คุณมารศรีให้ฉันมาตามนายเสียมที่นี่”
“เอ็งรีบไปเถอะไอ้เสียม รีบไปดูใจนิดก่อนที่...”
พระชาญชลาศัยลุกขึ้น เสียงดังเด็ดเดี่ยว
“สรรค์ไปเดี๋ยวนี้เลยลูก ไป ทางนี้ไม่ต้องห่วง พ่อจะจัดการช่วยพ่อเชิดเอง”
สรรค์กอดพ่อแล้วรีบก้าวออกไป แก้วและบุญมารีบตามไป
เชิดมอง ยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความสุขใจ แล้วบอก
“นิด อย่าเพิ่งเป็นอะไรไปนะ รอก่อน ไอ้เสียมมันกลับไปหานิดแล้ว”
ภายในห้องนอน นิดนอนหลับ ดวงหน้านวลกระจ่างอยู่บนหมอน มีนางนิ่มกับเนื่องดูอยู่ใกล้ๆ
“ไข้ลดแล้ว”
“ถ้าผ่านคืนนี้ไปได้ ก็จะไม่เป็นอะไร” เนื่องบอก
นิ่มจับผมนิดไม่ให้ผมตกลงมาปรกหน้าผาก
“ลูกเอ๋ย ดูผิวซินวลละอองอ่อน มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น”
“ไม่ใช่ ดูหน้า หน้าก็นวล จวนจะตายนะแม่”
เนื่องปากไม่ดีตามเคย ครั้งนี้นางนิ่มโกรธจริง ตาเขียวตีเนื่องผัวะ เนื่องคอหดขอโทษขอโพย นางนิ่มน้ำตาเอ่อกุมมือนิด เนื่องหน้าซีดตบปากตัวเอง
ฟ้าแลบสว่าง หน้านิดกระจ่างนวล ฟ้าแลบสว่าง
เรือเร็วขนาดกลางแล่นฝ่าสายฝนมา ฟ้าแลบสว่างเป็นระยะ บนเรือ หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ขับเรือเอง เจ้าอ้นลูกน้องคุมท้าย บนเรือ สรรค์ยืนนิ่ง บุญมาหลับซบแก้ว แก้วมองดูสรรค์แล้วส่ายหน้ากับชะตาชีวิตอันแปลกประหลาด
สรรค์มองฝ่าสายฝนราวจะให้เกาะสีชังปรากฎ ฟ้าแลบสว่างทาบมา เสียงของเทวีแห่งแรงดลใจแว่วมาอีกครั้ง
เช้าตรู่ของวันใหม่ ที่ชานเรือนบ้านนิด เนื่องนั่งหลับพิงฝาบ้านอันเป็นท่าประจำ นิดนั่งลงมองเนื่องอย่างสุดรัก นิดจับมือเนื่องมาแนบแก้ม เนื่องปัดป่ายไม่รู้เรื่องตามประสาคนง่วงนอน
“อย่าเล่นน่า”
เนื่องเอนตัวลงหลับไหล นิดคลี่ผ้าห่มให้แล้วลุกขึ้นเดินไปทางหน้าเรือน
นิดใบหน้าหมองเศร้ามองไปในทะเลแล้วถอดร้องเท้าออกเดินไป คลื่นซัดมาเป็นฟองท่วมเท้า
ที่แนวเชิงเขาชาดหาด สรรค์วิ่งตัวปลิวนำมา บุญมาเดินเซซังอย่างไม่คุ้นเคยจนแก้วต้องประคอง
เนื่องยังคงหลับอยู่ สรรค์ แก้ว บุญมาพรวดเข้ามา
“พี่เนื่อง” เสียงแก้วเรียก
เนื่องผวาลุกมองดู สรรค์ แก้วและบุญมา บุญมาเมินเนื่องนิดๆ นางนิ่มถลามาจากห้องร้องถาม
“นิด นิดหายไปไหน พ่อเสียม แก้ว เนื่อง นิดหายไป”
สรรค์หน้าซีดเผือดในทันที
นิดลุยน้ำอยู่ในทะเล น้ำท่วมครึ่งอก นิดเดินตรงไปอย่างเลื่อนลอยราวคนที่ไร้จุดหมาย คลื่นทะเลรอบตัวปั่นป่วน นิดยังคงลุยไป คลื่นใหญ่จู่โจมโถมมาจนเกือบจะกลืนร่าง นิดจมวูบไป เหลือบเพียงผิวน้ำว่างเปล่า
ที่ชายทะเล สรรค์วิ่งนำมา แก้ว บุญมา เนื่อง และนางนิ่มวิ่งตาม สรรค์สะดุดเข้ากับร้องเท้านิดที่ถอดไว้ที่ชายหาด
“แม่ รองเท้านิด”
นางนิ่มเห็นดังนั้นก็เป็นลมหงายไป เนื่องสะอึกรีบเข้าประคองไว้ แก้วร้องวิ้ดน้ำตาไหลพราก
“นิด ฮือ”
บุญมากอดแก้วที่ร้องไห้เหมือนเด็กๆ ไว้ สรรค์หน้าเผือด น้ำตาคลอ ร้องระล่ำระลั่ก
“ไม่ ไม่ ไม่ ไม่ ไม่”
สรรค์วิ่งลงไปในทะเล
คลื่นยังคงปั่นป่วน เมฆฝนยังคงเคลื่อนพยับโพยม สรรค์ลุยอยู่ในน้ำ ปากร้องเรียกนิด กวาดตามองไปรอบทิศ
“นิด นิด นิด พี่กลับมาแล้ว”
สรรค์ตะกายควานหา มองดูท้องทะเลที่เวิ้งว้าง ว่างเปล่าไร้ร่องรอยของนิดก็น้ำตาไหลพราก
“นิด พี่เสียมอยู่นี่”
สรรค์มองไปแล้วเบิกตากว้าง เห็นอะไรบางอย่างอยู่ไกลๆ สรรค์แผดร้องสุดเสียงเหมือนคนบ้า แหวกว่ายไปสุดแรงจนถึงที่หมาย มันกลับกลายเป็นท่อนไม้หักลอย
สรรค์ตัวสั่นเกาะขอนไม้หักไว้ พยายามสงบใจ
“คุณพระคุณเจ้า สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าพ่อเขาใหญ่ พระสมุทรช่วยนิดด้วย”
ลมแรงพัดมาอึงอลราวทวยเทพรับรู้ เสียงเพลงของเทวีแห่งแรงดลใจคล้ายดังแว่วมา สรรค์น้ำตานองหน้ามองหา ลมแรงพัดมา สรรค์มองตรงไป
เมฆฝนเบื้องบนพยัพโพยม หมู่เมฆยกออกเป็นช่อง สรรค์มองดู เห็นแสงแดดส่องลงมาเป็นลำทอดลงอาบแสงลงบนชายหาด เกาะวิมานน้อย
สรรค์สะอึกตื้นตันแล้วผวาไปทันที
สาวน้อย ตอนที่ ๓๒ อวสาน (ต่อ)
เกาะวิมานน้อยระยิบระยับด้วยแสงจันทร์ ทรายขาวสะอาด หินระเกะระกะดูเหมือนจะรอรับ สรรค์ลุยน้ำขึ้นมา วิ่งตรงไปบนโขดหินที่มีดอกไม้ขึ้นสวยงามราวกับสวนสวรรค์
ร่างของนิดนอนนิ่งเหมือนหลับ สรรค์ก้าวไปช้าๆ ใจวูบวับ กลัวและเปี่ยมหวังสลับกัน
สรรค์คุกเข่าลงพิศดูใบหน้านิดงามซีดขาว ร่างนั้นดูราวปราศจากลมหายใจ สรรค์น้ำตาเอ่อ รินไหลลงมาตามแก้ม น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนแก้มนิด
แก้มนั้นพลันเรื่อขึ้น ปากขยับ คิ้วไหว ขนตากระพริบ สรรค์มองร่างนิดตรงหน้า นิดลืมตาขึ้น
“พี่เสียม”
“จ้ะ นิด”
“พี่เสียมจริงๆ นะจ๊ะ”
“พี่เสียมกลับมาหานิด สรรค์ก็กลับมาหาวนิดาแล้ว”
สรรค์หยิบแหวนพลอยบรรจงจูบสวมให้ที่นิ้วนางข้างซ้าย
“แหวนท้าวทุษยันต์ทำให้คำสาปชั่วร้ายนั่นเสื่อมแล้ว”
นิดโผเข้ากอดสรรค์ สรรค์กอดไว้ราวจะไม่มีวันปล่อยให้พรากจากกันอีก
เกาะสีชังหลังพายุใหญ่ บรรยากาศสดใส ท้องฟ้าเป็นสีคราม ปุยเมฆขาวกระจัดกระจายเต็มฟ้า ท้องทะเลดูราบเรียบ สะท้อนแดดเช้าดูเลื่อมพราย
เรือกลไฟเปิดหวูด บุญมายืนเก้กังอยู่ที่ท่าเรือ มองไปไม่เห็นมีใครมาส่ง ชาวบ้าน 2-3 คนเดินมาขึ้นเรือ บุญมาถอนใจ ก่อนจะขึ้นเรือเสียงเรียกก็ดังขึ้น
“เดี๋ยวก่อน”
บุญมายิ้มหันไปเห็นแก้วถือต้นฉบับวิ่งมา บุญมายิ้มร่า แก้ววิ่งมาใกล้ บุญมามองเลยไปเห็นเนื่องเดินตามมา บุญมาหุบยิ้มแก้วเดินมาถึงตัว
“ทำไมหนีกลับเงียบ ๆ” แก้วถาม
“ฉันไม่ได้หนีซักหน่อย เห็นใครต่อใครยุ่งๆ ฉันไม่อยากกวน”
เนื่องมายืนกอดอกดูทั้งคู่ตาปริบ ๆ บุญมามองเนื่อง
“อยากกลับก็กลับไปซี เอาไป”
แก้วยื่นต้นฉบับให้สองมือ
“อะไร”
“ก็ให้ฉันดูเรื่องฉากบ้านนอก เรื่องเกาะ เรื่องทะเลไม่ใช่หรือ ฉันวงที่นายปล่อยไก่เอาไว้ เเล้วเขียนโน้ตตึ (Note) แก้ให้แล้ว”
“ขอบใจ”
บุญมารับต้นฉบับไป เสียงหวูดดังอีก
“แค่นี้ใช่ไหม เรือจะออกแล้ว”
แก้วลังเลแล้วเชิดหน้าบอก
“ยังมีอีกอย่างที่ฉันบอกคราวก่อนว่า ให้เปลี่ยนตอนจบน่ะ ไม่ต้องแล้ว”
“ทำไม”
“พออ่านซ้ำ พระเอกนักข่าวชาวกรุงก็ ... ก็เข้าทีดีเหมือนกัน”
บุญมาตาสว่างวาบ แก้วทำไม่รู้ไม่ชี้ แต่หน้าแดงถึงใบหู บุญมามองเนื่อง
“แล้วพี่ชายที่แสนดีล่ะ” บุญมาถามแก้ว
“เขียนให้โดนพายุเรือแตก โดนฉลามหรือปลาหมึกยักษ์จับกินไปก็ได้”
บุญมาหัวเราะ เนื่องได้ยินแว่ว ๆ ก็เขม้นมอง แก้วเหลือบดูเนื่อง
“อะไรนังแก้ว เอ็งพูดอะไรถึงข้า”
“ฉันพูดเรื่องประโลมโลก ไม่เกี่ยวกับพี่ซักกะนิด”
เนื่องพูดกับบุญมา
“นี่คุณ รีบไปรีบกลับแล้วมารับมันไปให้พ้นๆ ที”
แก้วอายทุบเนื่องแก้เขิน บุญมายิ้มออกเป็นครั้งแรก รักเนื่องขึ้นมากระทันหัน
“ได้จ๊ะ พี่เนื่อง”
“พี่อะไร ตัวเองแก่กว่าเขาไม่ใช่เหรอ” แก้วว่า
เรือเปิดหวูดอีก บุญมาเหลียวหน้าเหลียวหลัง
“ฉันไปล่ะ”
บุญมารีบวิ่งขึ้นเรือ เนื่องโบกมือลาบุญมา แก้วทำฟอร์มยืนกอดอกมองบุญมาจนลับตา
“ไป กลับ”
“พี่เนื่องฉันถามจริง ๆ เถอะ”
“อะไร”
“พี่ชอบผู้ชายหรือเปล่า เอ๊ะ หรือว่าพี่ชอบพี่เชิด”
เนื่องตาเหลือกเอาผ้าขาวม้ามาฟาดแก้ว แก้ววิ่งหนี เนื่องวิ่งไล่ตี
“พี่เนื่อง”
“อะไร อย่าหนีนะ”
“วิ่งไล่ฉันทำไมต้องตูดบิดด้วย”
เนื่องเหลือบดูก้นตัวเอง แล้ววิ่งไล่ต่อ
เวลากลางวันของวันใหม่ ภายในโถงบ้านเช่าของนิด พระชาญชลาศัยนั่งอยู่บนโซฟา มารศรีเอาน้ำมาวางให้แล้วนั่งลง คุณพระมองตาปรอย
“นี่คุณพระจะมาต่อว่าดิฉันหรือคะ ที่ไม่รักษาสัญญา แต่ความจริง ดิฉันไม่ได้ผิดสัญญานะคะ ดิฉันไม่ได้ปริปากบอกอะไร คุณสรรค์แม้แต่คำเดียว" มารศรีบอก
พระชาญชลาศัยอ่อนใจ
“แต่ว่าเธอเอาจดหมายครูแมกกินนีไปให้ แต่เอาเถอะ ถ้าไม่ได้เธอ ฉันคงได้เลี้ยงลูกเจ็กเป็นหลาน ได้สะใภ้เป็นนางแพศยา”
“แล้วที่มานี่ คุณพระจะมารับลูกสะใภ้ที่เป็นแค่นางละครหรือคะ แม่นิดยังไม่กลับหรอกค่ะ พักฟื้นอยู่ที่สีชัง”
“ฉันไม่ได้มารับสะใภ้ แต่มารับภรรยา”
มารศรีตาเบิกกว้าง
“ฉันมารับเธอกลับบ้าน ที่ผ่านมาน่ะฉันผิดเอง ผิดทุกเรื่อง ผิดกับทุกคน หลงอยู่กับเปลือก ไม่ได้มองให้ซึ้งถึงเนื้อแท้ โดยเฉพาะกับเธอ ฉันขอโทษ เธอยกโทษให้ฉันได้ไหม"
มารศรีใจอ่อนยวบ แต่ทำเป็นปั้นปึ่งนิดหน่อย สุดท้ายก็อมยิ้มออกมา
ในเวลาต่อมา ภายในห้องนอน สุวลียังใส่ชุดยาวกรุยกราย เกาะกรอบหน้าต่างมองออกไปอย่างคับแค้น คุณหญิงบัวผันนั่งอยู่บนเตียง เฟื่องเก็บของลงหีบเหล็ก ตามตู้ต่างๆว่างเปล่า สุวลีหันหน้ามาพูดกับคุณหญิงแม่
“พระชาญยังมีหน้ามาทวงคืนของหมั้นคืนอีกหรือ”
“นี่ แม่สุวลี พระชาญไม่ได้มาขอของหมั้นคืน แต่ขอแค่เพียงแหวนที่สรรค์ให้แกเท่านั้น"
สุวลีผงะกรายมือดู แหวนของสรรค์ยังคงอยู่
“แต่สุไม่อยากคืนค่ะ”
เฟื่องมองและเริ่มอ่อนใจ คุณหญิงบัวผันหมดความอดทน
“ยังมีหน้าเก็บของเขาเอาไว้อีกหรือ ตัวเองก่อเรื่องจนอื้อฉาวคาวโฉ่ไปทั้งตระกูล ต่อให้ลงโลงคนก็คงยังลืออยู่”
“คุณแม่”
สุวลีโกรธ คุณหญิงบัวผันเลิกใช้ไม้อ่อนลุกขึ้น ก้าวเข้ามา
“เธอทำตัวเหมือนนางไพร่ นางอิจฉาชั้นต่ำ ไม่เหมือนลูกฉันเลยซักนิด”
“คุณแม่กล้าดียัง...”
สุวลีกรีดเสียงดังพูดยังไม่ทันจบประโยค คุณหญิงบัวผันก็เงื้อมือตบหน้าลูกสาวสุดแรง สุวลีล้มตะแคงไป กุมแก้มตาเบิกโพลง มองผู้เป็นแม่อย่างไม่เชื่อ คุณเฟื่องเข้าประคองสุวลี
“ฉันกล้าซี ฉันควรจะกล้ามานานแล้วด้วย ก่อนที่แกจะกลายเป็นนังแพศยาขนาดนี้"
สุวลีร้องเอามือปิดหู
“แกเลือกเอาว่า จะคืนแหวนให้เขาไปแล้วไปอยู่บ้านสวนกับฉันกับเจ้าคุณพ่อ หรือจะเก็บแหวนไว้ แล้วไปอยู่บ้านนอกไปขุดดินทำนากับแม่เฟื่องที่ส่งเสริมกันเลวดีนัก"
คุณหญิงบัวผันมองเฟื่องอย่างจงชัง สุวลีอึ้งแล้วผลักเฟื่องกระเด็นไป เฟื่องผงะล้ม ร้องไห้โฮ สุวลีแววตาเครียดแค้น มองแหวนหมั้นของสรรค์วงที่ยังติดนิ้วอยู่
ที่เกาะสีชัง เชิดยืนมองสรรค์ประคองนิดเดินเล่นอยู่ที่ชายหาดหน้าบ้าน เชิดใบหน้าผ่องใส แม้จะยังอาลัยนิดอยู่บ้าง แต่ก็ยินดีที่เห็นนิดมีความสุข
เชิดทำท่าเหมือนจะหันหลังกลับ นิดกับสรรค์หันมาเห็นเข้าก่อน นิดดีใจร้องเรียก
“พี่เชิด”
เชิดชะงัก หยุดยืนและยิ้มให้ ...ทั้งสามยืนคุยกัน
“พี่มาลานิดกับไอ้เสียม”
“พี่เชิดจะไปไหน”
“กลับเมืองจันท์”
เชิดบอกแล้วหันมาบอกสรรค์
“ข้าฝากนิดด้วย”
“ฉันจะดูแลนิดให้ดีที่สุด จะไม่ทำให้เชิดต้องผิดหวัง”
“พี่เชิดก็ดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ” นิดบอก
เชิดมองนิดอย่างรักและบริสุทธ์ใจ แล้วหยิบกล่องแหวนออกมาส่งให้สรรค์
“คุณพระชาญฝากให้ข้าเอามาให้เอ็ง”
สรรค์ออกมาที่หน้าบ้าน เปิดกล่องแหวนดู เป็นแหวนที่เขาเคยใช้หมั้นสุวลี นิดที่นั่งข้างๆ อดคิดไม่ได้
"สงสารคุณสุวลี ไม่รู้ตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง”
“คนอย่างสุ เค้าไม่มีวันอับจนหรอกนิด เค้าต้องหาทางพาตัวเองไปต่อจนได้” สรรค์บอกอย่างรู้จักสุวลีดี
หลายเดือนต่อมา ค่ำคืนหนึ่งภายในร้านอาหารสุดหรู สุวลีในชุดราตรีสีแดงฉาน คอเสื้อคว้านกว้าง ทั้งโกยทั้งดันหน้าอกหน้าใจจนทะลักล้น ยามนั้นสุวลีควงแขนชายวัย ๕๐ ในชุดสูทหรู ท่าทางบึกบึนแบบนายทหาร โดยมีนักข่าวรุมล้อม บ้างก็ตาลุก บ้างก็ดูแคลน บ้างก็ยิ้มเยาะ
“ท่านนายพลมีคุณหญิงอยู่แล้ว คุณสุวลีไม่เกรงถูกครหาว่าเป็นมือที่สามหรือครับ" นักข่าวคนหนึ่งถาม
สุวลีชิงตอบ
“ตายจริง ไม่หรอกค่ะ ดิฉันกับท่านคบหากันแบบพลาโตนิก เฟรนด์ชิพเท่านั้น"
วันต่อมา ในช่วงตอนกลางวัน ธนานั่งอยู่กับสาวใหญ่ หน้าเรียวซูบ ดวงตายาวรี แต่งตัวโก้ ดูงดงามสูงศักดิ์แต่เย็นชา สองคนอยู่ที่โต๊ะตรงมุมหนึ่งของภัตตาคาร ธนาพับหนังสือพิมพ์ลงแล้วหัวเราะ
“ฮ่ะ ฮ่ะ พลาโตนิก เฟรนด์ชิพ”
ท่านหญิงเหลือบมองธนาและยิ้มมุมปาก แต่เสียงตำหนิ
“ธนา งำกิริยาหน่อยสิคะ”
ธนาห่อตัวเก็บมือเก็บเท้ามีอาการเกรง
“กระหม่อม กระหม่อมจะระวังตัวไม่ให้ท่านหญิงขายพักตร์ กระหม่อม”
ท่านหญิงเชิดหน้าวางท่ากว่าสุวลี ๑๐ เท่า ธนาพินอบพิเทาเห็นได้ชัด
ที่ห้องโถงภายในบ้านของนิด รูปสาวน้อยถูกนำเอามาติดไว้เด่นหราตรงผนังกลางห้อง เนื่องนั่งอ่านหนังสือการทำฟาร์มไก่ของสรรค์อยู่ นางนิ่มนุ่งซิ่นไหม เสื้อลูกไม้ มีเพชรทองพอประมาณเดินขึ้นบ้านมา
“แล้วมีอะไรหรือแม่ ถึงต้องแล่นไปหาหลวงตาแต่เช้า” เนื่องถาม
“ก็ที่แม่ไปบางกอกกะนิดมันน่ะ ทางเจ้าคุณธรรมนูญบอกจะจัดงานแต่งให้นิดกับพ่อเสียม เอาให้ใหญ่โตกว่าคราว...”
นางนิ่มเกือบพูดว่า “กว่าคราวแต่งกะนังนั่น” แล้วได้สติว่า ตนเป็นคนดีจึงรีบแก้คำพูดเสียใหม่
“คราวไหนๆ แม่ก็เลยไปหาฤกษ์แต่ง ท่านบอกว่าวันอาทิตย์สุดท้ายเดือนหน้าน่ะดีที่สุด"
“ก็ดี นิดมันตัดสูทผ้าชาร์กสกินให้ฉัน ฉันจะได้ใส่ซะที”
“แล้วฤกษ์ส่งตัวน่ะ ท่านว่าให้รอไปอีก 2 วัน”
เนื่องตาเบิกโพลง
“ฤกษ์ส่งตัวอะไร โธ่มันอยู่กันมา 6 เดือนแล้ว มันส่งตัวกันเองไปถึงไหนๆ แล้ว ไอ้เสียมน่ะมันไม่รอแล้วแม่"
นางนิ่มเองก็รู้อยู่แก่ใจ แต่ทักท้วง อ้างคำพระท่านว่า
“แหม แม่ก็รู้หรอก แต่หลวงตาท่านให้มาทั้งที ก็ทำเป็นพิธีเอาฤกษ์เอาชัยใหม่"
“โธ่แม่ ไอ้คราวที่แล้วมันเกิดเรื่องใหญ่โตน่ะ ไม่ใช่เพราะรอฤกษ์หรือ”
“เออจริง แต่หลวงตาก็พูดเองว่า พระพุทธองค์สอนว่า เมื่อใดที่เราทำดีนั่นก็เป็นฤกษ์ดีแล้ว งั้นเอาฤกษ์สะดวกดีกว่า" นางนิ่มบอก
“แม่พูดอย่างงี้ค่อยดูเป็นสาวสมัยหน่อย”
“สาวสมัยเปิ๊ดสะก๊าดตอนนี้ ไม่มีใครเกินนังแก้วแล้ว”
นางนิ่มอ่อนใจ เนื่องทำหน้าสยดสยองเมื่อพูดถึงแก้ว
ภายในบ้านชูวงศ์ แก้วพาร่างระหงเดินเข้ามาด้วยรองเท้าส้นสูงราว ๖ นิ้ว กางเกงขาบานพลิ้วเสื้อลายคล้ายผ้าคล้องคอ แผ่นหลังเปลือยเปล่า เหนือหัวสวมหมวกปีกกว้างเอียงไปด้านหนึ่ง บนใบหน้าสวมแว่นกันแดดทรงเฉียง
ครั้นเมื่อแก้วถอดแว่นออก เห็นคิ้วโก่ง ดวงตาแต่งเข้ม ขนตาเป็นแผง ปัดโหนกแก้มสูง ปากสีนู้ดยิ้มหยิ่ง เมื่อถอดหมวกเห็นผมลอนลึกแนบหัว
แก้วเดินไปนั่งบนเท้าแขนโอบบุญมาที่กำลังนั่งตรวจต้นฉบับอยู่
“ตอนจบหรือคะ”
“ใช่ ชอบไหม”
“อุ้ย จบที่ทะเล พระเอกนางเอกมองดูพระอาทิตย์ตกดินอีกแล้ว”
“อ้าว ก็เรื่องมันเกิดที่ทะเล จะให้จบยังไง”
แก้วยื่นหน้าไปจนชิดบุญมาบอก
“ซ้ำซาก”
บุญมาดึงแก้วมาจนปากเกือบชนกัน
“แล้วจะเอายังไง”
บริเวณหน้าผาสวย ทะเลงามยามค่ำ สรรค์และนิดมาปิกนิก สรรค์นั่งลงตรงหน้าแล้วยิ้มไปทั้งหน้าตา
“พี่มีอะไรมาให้นิด”
สรรค์เปิดกล่องแหวนที่พระชาญชลาศัยฝากเชิดมาให้
“แหวนวงนี้ คุณปู่หมั้นคุณย่า คุณย่าก็ให้คุณพ่อไปขอคุณแม่ คุณแม่ถอดให้พี่ก่อนที่ท่านจะจากไป”
“แล้วพี่ก็เอาไปให้คุณสุวลี”
สรรค์ถอนใจเล็กน้อยแล้วบอก
“กว่าเธอจะยอมคืนให้ก็ต้องเจรจากันอยู่นานเชียวล่ะ พี่หวังว่านิดคงจะไม่ตะขิดตะขวงใจ"
นิดหยิบมาแกล้งทำพิศดูอย่างชั่งใจแล้วยิ้ม
“แต่นิดมีแหวนท้าวทุษยันต์อยู่แล้วนี่จ้ะ”
“พี่ถึงต้องสวมให้นิดที่มือขวาไง”
สรรค์ดึงแหวนมาแล้วสวมให้นิดที่นิ้วนางมือขวา นิดกรายทั้ง ๒ มือเทียบกัน
“แหวนวงนี้พี่เสียมให้นิด ส่วนวงนี้นายสรรค์ให้วนิดาก็แล้วกัน”
นิดอมยิ้มขำสรรค์ และพิศวงกับชะตาชีวิตของตนเองและสรรค์
"แล้วต่อไปนิดต้องยกให้ เอ้อ ลูกชายของเราไปขอสาวหรือจ๊ะ”
“ก็อย่างงั้นซี”
“ถ้าอย่างงั้นแหวนพลอยก็น้อยใจแย่ซีจ้ะ”
“ไม่หรอกเพราะว่านิดต้องมีลูกชายมากกว่า ๑ คนแน่ๆ”
นิดหน้าแดงตีสรรค์ทีหนึ่ง สรรค์คว้าทั้ง ๒ มือมาจูบแหวนพลอยและแหวนเพชรทั้ง ๒ มือพร้อมกัน สรรค์ดึงนิดขึ้นมาเดินไปดูทะเลกว้าง
เมฆสีขาวมหึมาเคลื่อนมา ลมแรงพัดที่เส้นผม และชายเสื้อของสรรค์จนพลิ้วไปตามแรงลม
นิดมองสรรค์ด้วยความรัก สรรค์มองตอบ บทเพลงแห่งเทวีแรงดลใจแว่วมา
“นิด นิดคือเทวีแห่งแรงดลใจของพี่”
“แต่พี่เสียมคือ ชีวิต คือจิตใจ คือดวงวิญญาณของนิด”
สรรค์มองตานิดหวานซึ้ง แล้วก้มลงจุมพิตที่ริมฝีปากงาม ร่างสองร่าง ใจสองใจ ชีวิตสองชีวิต รวมกันเป็นหนึ่งเดียว
จ บ บ ริ บู ร ณ์