xs
xsm
sm
md
lg

สาวน้อย ตอนที่ ๑๑ - ๑๒

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สาวน้อย ตอนที่ ๑๑
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ และ ๒ ชายเดินมาใกล้ นิดและเสียมปล่อยมือจากกันพร้อมๆกับก้าวออกมาต้อนรับ เสียมห็นพระชาญชลาศัยมองตนเองจนตาไม่กระพริบ สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นเต้นระคนแปลกใจ ส่วนชายอีกคนก็มองดูเสียมอย่างพิจารณา
นิดมองดูพระชาญชลาศัยและรู้ทันทีว่าคือใคร หน้าก็เผือดลง จิตใจเริ่มหวั่นไหวต้องฝืนแข็งใจ
“คุณอาหลวงมีอะไรหรือจ๊ะ”
“มีคนอยากพบเธอและเสียม”
พระชาญชลาศัยน้ำตาคลอก้าวออกมายืนมอง เหมือนจะเข้าจับตัวหรือโอบกอดเสียมแต่ก็ยั้งมือไว้
“คุณลุงมีธุระอะไรกับผมหรือครับ”
พระชาญชลาศัยสะอึก
“ฉันเป็นพ่อของแก พ่อที่ทะเลาะกับแกจนแกหนีออกจากบ้านจนมาอยู่ที่นี่ไง”
เสียมมองแล้วพยักหน้า หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์แนะนำ
“เสียม นี่แหละพระชาญชลาศัย พ่อของเธอ”
“ครับ คุณอาหลวงว่าใช่ก็ใช่”
เสียมมีอาการไม่ยินดียินร้าย ส่วนพระชาญชลาศัยทั้งดีใจ เป็นทุกข์ เป็นห่วง และกังวลปนความไม่พอใจระคนกันไปหมด เสียมหันมาหานิด
“นิดนี่พ่อพี่ นี่นิดเมียผม เราเพิ่งแต่งงานกันเมื่อวานนี้เอง”
พระชาญชลาศัยถอนหายใจเล็กน้อย นิดยกมือไหว้พระชาญชลาศัยและชายอีกคนอย่างเรียบร้อย พระชาญชลาศัยฝืนยิ้มกับนิด
“อ้อ หนูชื่อนิดซีนะ”
“ค่ะ”
“สรรค์ตลอด 6 เดือน แกอยู่ที่นี่เองหรือ”
พระชาญชลาศัยมองดูสำรวจลูกชาย สรรค์ดูผิวคล้ำเกรียม ผมยาวขึ้นนุ่งกางเกงขาก๊วย มองแล้วก็ให้รู้สึกสมเพช เสียมยิ้มรับและพยักหน้า
“อ้อ ผมชื่อสรรค์ซีนะ แต่ผมชอบชื่อเสียมมากกว่า ดีเหมือนกันที่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มีหัวนอนปลายเท้า แต่มันก็คงไม่เปลี่ยนอะไร ผมแต่งงานแล้วกับเมียผม แต่เราก็จะอยู่ด้วยกันที่สีชังนี่ตลอดไป”
เสียมโอบเอวนิดดึงมาเคียงคู่ พระชาญชลาศัยสะอึกมองหน้าหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์นิ่ง
“สรรค์ แกมองดูพ่อแล้วพยายามนึกหน่อยได้ไหมลูก ลองนึกให้ออก พ่ออยากให้แกจำทุกอย่างได้”
พระชาญชลาศัยทั้งสีหน้าและน้ำเสียงเต็มไปด้วยความอ้อนวอน เสียมขมวดคิ้วพยายามนึก ทันใดก็เข่าอ่อนทรุดลง

“โอ้ย”
“พี่เสียม” นิดเรียก
“สรรค์ ลูก”
พระชาญชลาศัยและนิดดึงเสียมให้นั่งลงบนแท่นหิน เสียมกุมหัวดวงตาพร่าพราง
“พี่เสียม”
“พี่ปวดหัวแล้วก็ปวดตาเหลือเกิน”
“ขอผมดูอาการคุณสรรค์หน่อยครับ คุณพระกับ...หนูถอยออกมาก่อน”
พระชาญชลาศัยกับนิดถอยออกมา หมอลิขิตนั่งลงตรวจดูอาการเสียม

พระชาญชลาศัยเดินนำนิดห่างออกมา นิดยังคงเหลียวหน้าเหลียวหลังด้วยความเป็นห่วงเสียม พระชาญชลาศัยถอนใจแล้วคุยกับนิด
“สรรค์หายไปจากกรุงเทพเกือบครึ่งปีแล้ว”
“ฉันก็พบพี่เสียมเมื่อเกือบครึ่งปีแล้วเหมือนกัน เขากำลังจะจมน้ำตาย ฉันช่วยเขาขึ้นมาได้ พี่เสียมไม่มีที่ไปก็เลยอยู่กับเราที่นี่”
“เธอเชื่อใช่ไหมว่าฉันเป็นพ่อของสรรค์จริง ๆ”
“พี่เสียมกับท่านมีเค้าหน้าคล้ายกันจ้ะ”
พระชาญชลาศัยพูดน้ำตาคลอ
“เป็นบุญคุณของเธอเหลือเกินที่ช่วยลูกฉันไว้ นี่เขาไม่เคยพูดถึงบ้าน ถึงฉันบ้างเลยหรือ”
“พี่เสียมบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลยจ้ะ ทุกครั้งที่เขาพยายามนึกก็จะปวดหัวรุนแรงแบบนี้”
นิดกับพระชาญชลาศัยหันไปมองดูก็เห็นเสียมลุกขึ้นนั่งพูดกับหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ ส่วนหมอลิขิตลุกขึ้นเดินมาหา
“เป็นยังไงบ้างครับคุณหมอ”
“ตอนที่ถูกปล้น คุณสรรค์คงถูกตีศีรษะอย่างแรงจนสมองกระทบกระเทือน ทำให้สูญเสียความทรงจำ”
“แต่ยังมีโอกาสหายใช่ไหมครับ”
“นั่นยังไม่ใช่สิ่งที่เราต้องเป็นห่วง”
พระชาญชลาศัยหน้าเผือดลง นิดใจหายวาบ
“อะไรหรือคะ”
“ผมคิดว่าคุณสรรค์มีเลือดออกในสมองและมีลิ่มเลือดอุดตันอยู่ ที่ทำให้เขาปวดหัวรุนแรงแบบนี้”
“แต่ก่อนพี่เสียมนาน ๆ ถึงจะมีอาการทีนึงจ้ะ แต่มาช่วงหลังนี่พี่เสียมเป็นบ่อยขึ้นแทบจะทุกวัน”
“แปลว่าอาการเขาแย่ลง ถ้าไม่รีบแก้ไขอาการก็จะทรุดหนักขึ้น จนถึงกับตาบอดหรือวิกลจริตไปได้”

พระชาญชลาศัยได้ยินถึงกับผงะ ส่วนนิดกุมอกตัวเองอย่างตกใจ
“คุณพระช่วย”
“หมอ...แต่ยังมีทางช่วยใช่ไหม”
“เขาต้องรับการผ่าตัดให้เร็วที่สุด ที่โรงพยาบาลของผมมีเครื่องมือพร้อม แต่เมื่อกี๊ผมบอกเขา คุณสรรค์บอกไม่ยอมไปท่าเดียว”
นิดนิ่งอั้นมองดูเสียม พระชาญชลาศัยมีสีหน้าราวจะร้องไห้พูดกับนิด
“หนู...เราจะทำยังไงดี”
นิดพยักหน้าช้า ๆ

เสียมนั่งบนแท่นหินสีหน้าไม่ยินดียินร้าย หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองอย่างอ่อนใจ นิดก้าวเข้ามาตรงหน้า เสียมแหงนดูนิด หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ถอยออกไป นิดจับมือเสียมแล้วคุกเข่าลงกับพื้นทราย มองเสียมอย่างอ้อนวอน
“พี่เสียมจ๋า”
เสียมมองอย่างสุดรักรับคำเบา ๆ
“นิดอยากเห็นกรุงเทพ พี่เสียมพานิดไปกรุงเทพด้วยกันนะจ๊ะ”
ทางด้านหลัง พระชาญชลาศัย หมอลิขิต และหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์มองลุ้นอยู่แล้วพากันโล่งใจไปตามกัน

ยามสาย ที่บริเวณชานเรือนบ้านนิด พระชาญชลาศัย หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์และหมอลิขิต นั่งอยู่บนเก้าอี้ชุดรับแขก นางนิ่ม เนื่อง และเสียมนั่งบนยกพื้นเรือน พระชาญมองดูรอบ ๆ อย่างแปลกใจเล็กน้อยที่สภาพบ้านที่เสียมทำไว้ดูดีกว่าที่คิดไว้
“โธ๋เอ๋ยเสียม ทำไมโชคร้ายอย่างนี้ เพิ่งแต่งงานแต่งการแทนที่จะได้เข้าหอ แต่กลับต้องเข้าโรงมดโรงหมอแทน” นางนิ่มว่า
เนื่องเอียงหน้ากระซิบกับแม่
“สงสัยหลวงพ่อจะมาตาทิพย์นะแม่ ถึงให้ฤกษ์ส่งตัวต่างหาก”
นางนิ่มลืมตาโพลง
“อุ๊ย ท่าจะจริง”
“อะไรหรือแม่นิ่ม” พิจารณ์สันติราษฎร์ถาม
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“จะว่าโชคร้ายไม่ได้หรอกนะเรียกว่าโชคดีต่างหาก พ่อลูกได้เจอหน้ากัน แถมเสียม เอ๊ย สรรค์ยังจะได้รักษาโรคความจำเสื่อมนี้ด้วย”
“แต่ถึงผมจำอะไรไม่ได้ก็ไม่เห็นเป็นไร อยู่อย่างนี้ก็สบายดีทุกอย่าง” เสียมบอก
พระชาญชลาศัยมีความไม่พอใจวูบขึ้นมา แต่ต้องทำใจเย็นปลอบ
“แต่ลูกจะจำเพื่อนฝูง ญาติพี่น้องที่กรุงเทพได้ แล้วยังวิชาความรู้ที่อุตส่าห์ไปร่ำเรียนมา ตำแหน่งหน้าที่ในกระทรวงก็ยังรอลูกอยู่”
“ผมไม่อยากเป็นข้าราชการ ผมอยากเขียนรูปมากกว่า”
พระชาญนิ่งอั้น มองหน้าหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์นิ่ง
“เอาล่ะ เอาล่ะ แล้วเอาไว้ว่ากันอีกที”
นางนิ่มหันมาหาพระชาญชลาศัย
“พอพ่อเสียมหายดีแล้ว ยายนิดกับพ่อเสียมต้องอยู่กรุงเทพฯตลอดไปเลยหรือเจ้าคะ”
“ก็ต้องอย่างนั้นซี แม่นิ่มอย่าห่วงลูกสาวเลย ฉันจะดูแลอย่างดี”
“แต่ผมไม่อยากอยู่บางกอก พอผมหายดีผมจะรีบพานิดกลับมาหาแม่”
พระชาญชลาศัยยิ่งไม่พอใจแต่ข่มใจไว้
“ผมต้องพักฟื้นนานไหมครับ”
เสียมถามหมอลิขิต
“น่าจะต้องอยู่ที่โรงพยาบาลราว ๆ สิบวัน”
“ไปแค่สิบวันเท่านั้นเอง ผมก็กลับมาแล้ว”
เสียมพูดกับแม่นิ่ม แม่นิ่มมองพระชาญชลาศัยอย่างขลาด ๆ
“แต่คุณพระก็คงอยากให้เสียมอยู่ด้วยกันที่โน่นมากกว่า”
“แต่ผม...”
“เอาเถอะ เรื่องปลีกย่อยพวกนี้ค่อยเอาไว้พูดกันทีหลัง ตอนนี้เอาเรื่องรักษาตัวเป็นหลักก่อน”
พระชาญชลาศัยพยายามข่มความไม่พอใจอย่างสุดความสามารถ

ภายในห้องนอนเวลาต่อมา นิดเอากระเป๋าเดินทางใบย่อมวางบนพื้น มีเสื้อและผ้าซิ่นพับแล้ววางเป็นตั้งบนที่นอน แก้วหน้าตาไม่เสบยนั่งอยู่ข้าง ๆ นิดทยอยหยิบเสื้อผ้าใส่กระเป๋า
“ตัวนี้ล่ะ” นิดถาม
“อุ๊ย เก่าจนสีซีดเเล้ว”
นิดเอาเสื้อวางไว้อีกกองหนึ่ง แล้วหยิบตัวต่อไปมาให้แก้วดู
“แล้วตัวนี้ล่ะ”
“พอใช้ได้”
นิดยิ้มเล็กน้อยแล้วหยิบเสื้อที่ผ่านการพิจารณาลงใส่ในกระเป๋า แก้วชักหน้าเสีย
“นี่แกจะไปจริงเหรอ”
“เห็นพี่เสียมว่าจะไปแค่อาทิตย์สองอาทิตย์เท่านั้น”
“แล้วแกไม่อยากไปอยู่เป็นคุณนายที่กรุงเทพฯหรือ”
“อยากไปเปิดหูเปิดตาเฉย ๆ แต่ไม่อยากไปเป็นคุณนาย แล้วก็ไม่อยากอยู่ที่กรุงเทพฯด้วย”
นิดเริ่มกังวลขึ้นมาอีก แก้วยิ้มยั่ว
“ทำไมเหรอ หรือว่าแกกลัวนายเสียมหายแล้วจะไปหลงรักสาวชาวกรุง ให้แกอกหักดังเป๊าะ”
“แก้ว!”
นิดหน้าเผือดลง ไม่ยอมต่อปากต่อคำอย่างนึกสนุกด้วย แก้วเปลี่ยนท่าทีขยับมา
“ตายแล้วฉันพูดเล่น ทำไมถึงหน้าซีดหน้าเซียว โธ่ นายเสียมน่ะรักเดียวใจเดียวจะตายไป”
“แกว่าอย่างนั้นหรือ” นิดถาม
“จริง ๆ เออนี่ ถ้าแกไปอยู่กรุงเทพฯ ไปเป็นคุณนายอยู่ตึกจริง แกก็เอาฉันไปเป็นนางเล็ก ๆ ซักคน”
“นางเล็ก ๆ ที่แปลว่าเมียน้อยนะเหรอ”
แก้วตาเหลือกตีนิด เพียะ! นิดยิ้ม
“นางเล็ก ๆ ที่แปลว่านางต้นห้องที่พวกผู้ดีเขามีกันตะหากย่ะ”
“แต่ฉันไม่ใช่ผู้ดีซักหน่อย .. ผู้ดี มันต้องแบบนี้ต่างหาก”
นิดหยิบนิตยสารหน้าปกสุวลีมาดู หน้าเริ่มหมองลงแล้วเอานิตยสารเล่มนั้นใส่ลงไปในกระเป๋าด้วย

ภายในเรือนหอบนเกาะวิมานน้อย เสียมหยิบเสื้อผ้าเพียง 2 ชุดลงกระเป๋าเดินทาง นิดหยิบดอกไม้ออกจากแจกันแล้วเทน้ำทิ้งลงนอกหน้าต่าง
“พี่เสียมเอาเสื้อผ้าไปแค่นั้นเองหรือจ๊ะ”
“เอาไปทำไมเยอะแยะ”
“นิดลืมไปว่า พี่เสียมคงมีเสื้อผ้าดี ๆ ตั้งเยอะอยู่ที่บ้านที่กรุงเทพฯ”
“พี่หมายความว่า เอาไปทำไมเยอะแยะ อีกไม่กี่วันก็กลับมาแล้ว”
นิดยิ้มออก คลี่ผ้าออกคลุมเตียง เสียมเข้าสวมกอดจากด้านหลัง
“ฤกษ์ส่งตัววันมะรืนแล้ว พี่จะทำยังไงดีนี่”
“วันมะรืนพี่เสียมคงนอนเจ็บแผลอยู่มากกว่า”
เสียมก้มลงจูบแก้มนิด
“นี่แน่ะ...มาแช่งพี่”
นิดดิ้นหลุดออกมาแล้วหน้าเสียไปนิดหนึ่งเมื่อนึกได้ว่าการผ่าตัดมีอันตรายจึงรีบพูดระล่ำระลัก
“นิดขอโทษจ๊ะ นิดลืมไป หมอคนนี้ท่าทางเก่ง พี่เสียมคงไม่เจ็บหรอกจ๊ะ”
เสียมยิ้มเอ็นดู
“ใช่พี่จะรีบหายแล้วจะได้รีบกลับมาวัดเชิงหาด”
“มาทำไมกันจ๊ะ”
“มารอฤกษ์ส่งตัวใหม่จากหลวงพ่อไง”

เสียมหิ้วกระเป๋าหนังเทียมใบเล็กเดินลงบันไดหิน เสียมและนิดยืนอยู่ตรงลานแล้วหันไปมองดูเรือนหอที่ตอนนี้ปิดหน้าต่างทุกบาน ดอกไม้รอบ ๆ ยังเบ่งบานสะพรั่ง ลมแรงพัดมา ทั้งคู่เกิดความรู้สึกอาลัยอาวรณ์ประหลาดแต่ข่มไว้
“พี่เสียมเราไปกันเถอะจ๊ะ เรือรออยู่”
เสียมพยักหน้า ทั้งคู่เดินจากเรือนหอมา ลมแรงพัดมาอีก ดอกไม้โรยปลิดปลิวไปตามลง
บริเวณท่าเรือหน้าเกาะสีชัง เรือเร็วสีขาวสะอาดที่พระชาญชลาศัยเช่ามาดูหรูหราทันสมัย จอดเทียบท่าอยู่กับเรือเก่าคร่ำคร่าอีกลำหนึ่ง
ทับทิมกางร่มหรูยืนอยู่กับนางแส และบรรดาชาวบ้านทั้งสาวทั้งแก่จำนวนหนึ่ง เนื่องกับเเก้วถือกระเป๋า และชะลอมใส่ผลไม้พวกน้อยหน่า ทับทิม มะละกอ รวมทั้งตะกร้าไข่ไก่เดินมายืน เชิดอยู่
ต่อจากนั้นแล้วยังมีลูกน้องแม้น 2 คนถือเปลทำเองหามร่างแม้นเดินมากับพ่อของแม้น ในยามนั้น แม้นรู้ตัวสะลึมสะลือใบหน้าฟกช้ำ ตามแขนขาก็มีผ้าพัน แก้วตาเบิกกว้างแล้วพูดขึ้น
“ต๊าย ไอ้แม้นเป็นอะไรไปนี่ ผู้ใหญ่”
“ข้าเบื่อพูดแล้ว”
ทับทิมก้าวเข้ามาทำตัวเป็นผู้รู้ทันที
“อุ๊ย นี่แกไม่รู้หรอกเหรอไปอยู่หลังเขาที่ไหน พี่แม้นไม่รู้เมาอีท่าไหน ตกเขาไปโดนหินสลบไสล นี่ก็เลยจะไปส่งโรงหมอที่เมืองชล”
“โดนหินเหรอ” แก้วถาม
“สารรูปเหมือนโดนตีนมากกว่า” เนื่องบอก
แม้นลืมตาครางอ๋อย จำไม่ได้ว่าตัวเองเป็นอะไร เรือเร็วเปิดหวูด ทุกคนหันมามอง
“เรือนี่โก้จังเลย สงสัยมีพวกผู้ดีจากกรุงเทพฯมาเที่ยวอีกเเล้ว” ทับทิมบอก
“อุ๊ยไม่ใช่ นี่เรือพระชาน...ชาน เอ้ย ชานชาลารถไฟ ปลัดกระทรวง...อ้าท้องพระคลังมหาสมบัติ”
แก้วแต่งยศตำแหน่งเองใส่ไข่เต็มที่ เนื่องรำพึงเบา ๆ
“มีด้วยหรือวะ”
“อุ๊ยนี่แกไม่รู้หรอกเหรอไปขายกะปิอยู่ที่ไหน” แก้วย้อน
ทับทิมกับนางแสตาเขียว แก้วพูดต่อ
“นี่พ่อนายเสียมเขามารับเสียมกะนิดไปกรุงเทพฯ เรือนหอน่ะเป็นตึกสูงเจ็ดชั้น แถมยังซื้อรถยนต์ให้ รับขวัญสะใภ้เอกอีก”
“เอาเข้าไป นังแก้วเอ๊ย”
ทับทิมเชื่อแก้วทุกคำ แต่ร่ำร้องเสียงเครือ
“ไม่จริง”
“จริงหรือไม่จริงก็มาโน่นแล้ว”

ทุกคนมองไปเห็นหลวงพิจารณ์ หมอลิขิต นางนิ่ม เดินมา พระชาญชลาศัยเดินเคียงข้างเสียมและนิดตรงมาจะขึ้นเรือ ทับทิมเอามือกุมอกเซแซ่ด ๆ ไปจนนางแสต้องประคองลูกสาวไว้
“ฮือ พี่เสียมไม่ใช่จับกัง แต่เป็นลูกผู้ดีนักเรียนยุโรปปลอมตัวมา”
บรรดาชาวบ้านวิจารณ์กันเซ็งแซ่ ชื่นชมในตัวเสียม แก้วยิ้มสะใจ

เรือเร็วลำขาวสะอาดเปิดหวูดอีก แก้ว เนื่องเอาชะลอมผลไม้ของฝากอื่น ๆ ลงเรือ นิดกับเสียมร่ำลานางนิ่ม พระชาญชลาศัยยืนกับหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์อยู่ห่างออกมา เนื่องกับแก้วมารวมกลุ่ม
“แม่อย่าร้องไห้ซีจ๊ะ”
“แม่ร้องเพราะปลื้มใจน่ะ พอถึงแล้วอย่าลืมทิ้งหนังสือมาถึงแม่นะลูก”
“เขาเรียกจดหมาย” เนื่องบอก
นางนิ่มค้อนลูกชายแล้วหันไปหาพระชาญชลาศัย
“ฉันฝากนิดด้วยนะจ๊ะ คุณพระ นึกซะว่าเป็นลูกหลานอบรมสั่งสอนให้เต็มที่”
พระชาญชลาศัยมีแววอึ้งวูบหนึ่งแล้วบอก
“ฉันจะดูแลให้ดี แม่นิ่มอย่าห่วงเลย”
“ฉันรับรองได้ คุณพระชาญจะดูแลนิดอย่างดีที่สุด”
นิดสั่งเสียเนื่องและแก้ว
“พี่เนื่องเอาน้ำไปรดต้นไม้บ้างนะจ๊ะ แล้วก็อย่าทำอะไรไก่ชั้น ฝากดูแม่ดี ๆ ด้วย”
“เออน่ะ”
“แล้วฉันจะซื้อ เสื้อเชิร์ตสวย ๆ มาฝาก กับหมวกด้วย”
“แก้วดูแลตัวเองดี ๆ นะ ฉันฝากพี่เนื่องด้วย”
“หา! ฝากทำไม”
“ใช่ พี่เนื่องต่างหากที่ควรจะดูแลฉัน”
เสียมยังคงปลอบนางนิ่ม
“ฉันจะรีบกลับมาให้เร็วที่สุด ฉันไม่อยู่กรุงเทพฯหรอกแม่”
พระชาญชลาศัยหน้าตึงพลางขยับถอยออกมา หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ตามมาด้วย
“คงจะร่ำลากันอีกนาน”
“คุณพระ ยายนิดเป็นเด็กดี ท่านต้องเมตตาให้มาก ๆ แกทั้งสะสวยทั้งฉลาด ถ้าได้อบรมแต่งตัวดี ๆ ก็จะเป็นลูกสะใภ้ที่ท่านจะไม่น้อยหน้าใครแน่ ๆ”
พระชาญชลาศัยยิ้มน้อยๆ แล้วเหลือบดูนิด
“คุณหลวงว่าอย่างงั้นหรือ”

หลวงพิจารณ์มองพระชาญชลาศัยมีแววบางอย่างเกิดขึ้นในใจ
“ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นก็ช่วยส่งแกกลับมาที่นี่ให้ได้ ให้แกกลับมาสีชังนี่ เพราะผมรับรองคุณพระเอาไว้มาก กรุณาอย่าให้ผมเสียคนด้วย”
“คุณหลวงพูดอะไรอย่างนั้น”
เรือเปิดหวูดอีกครั้ง นิดใจหาย แก้วกับเนื่องมองนิดนิ่งด้วยสีหน้าที่ขรึมลงแล้วพูดกับเสียม
“ดูแลนิดให้ดี...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น ฉันกะไอ้เชิดจะไม่ยกโทษให้แก”
นิดตาเบิกกว้าง เสียมยิ้มจับมือเนื่อง เนื่องยิ้มตอบ บรรยากาศกลับเป็นดังเดิม
“ฉันรับรอง”
เสียมพูดอย่างมั่นใจ พระชาญชลาศัยมองดูเสียมอย่างครุ่นคิด

บนเรือนิดกับเสียมนั่งอยู่ท้ายเรืออิงแอบเบียดชิด พูดคุยกัน ๒ คนโดยไม่สนใจอะไรในโลก
พระชาญชลาศัยนั่งสนทนากับหมอลิขิตเรื่องเตรียมการผ่าตัดซึ่งคาดว่าจะทำได้ในเย็นวันนี้เลย หมอขอตัวแยกไป พระชาญชลาศัยหันมามองเสียมและนิดอีกครั้ง สีหน้าพระชาญชลาศัยเปลี่ยนไปกลายเป็นรำคาญ เย็นชา รังเกียจแทรกขึ้นมาแทนที่

โรงพยาบาล เนิร์สซิ่ง โฮม ในเวลากลางคืน เปิดไฟสว่างไสว รถยนต์แล่นมาจอดลง พระชาญชลาศัย หมอลิขิต นิดและเสียมก้าวลงมาจากรถ

โรงพยาบาล เนิร์สซิ่ง โฮม ถนนคอนแวนต์ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๘๑

ห้องคนไข้ดูขาวสว่างโพลน เสียมนั่งเอนอยู่บนเตียง หมอลิขิตอยู่ข้างเตียง นางพยาบาลส่งชาร์ตให้หมอ พระชาญชลาศัยอยู่ข้างเตียงเช่นกัน นิดอยู่คนเดียวที่โดดเดี่ยวอยู่ตรงมุมห้องราวเป็นส่วนเกิน หมอเงยหน้าจากชาร์ตขึ้นมา
“ร่างกายแข็งแรงดีมาก อย่างนี้รับการผ่าตัดได้แน่”
“หมอจะผ่าตัดผมเมื่อไร”
“เท่าที่ผมดูอาการ เราควรจะผ่าตัดให้เร็วที่สุด”
เสียมมองดูนิดเเล้วยิ้มให้
“นิด มานี่เถอะ”
นิดเดินมาที่เตียง นางพยาบาลแอบมองนิดอย่างเหยียดๆ
“คุณหมอการผ่าตัดอันตรายมากไหมจ๊ะ”
หมอลิขิตยิ้มแล้วตอบ
“ขึ้นชื่อว่าการผ่าตัดก็มีอันตรายได้ทั้งนั้นและนี่ยิ่งเป็นการผ่าตัดสมองยิ่งอันตรายมากขึ้นไปอีก”

นิดหน้าซีดกุมมือเสียมที่ฝืนยิ้มให้
“แต่ว่าทีมหมอของเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรง เคยผ่าตัดแบบนี้มาแล้วหลายครั้ง”
“แล้วคนไข้ปลอดภัยทุกครั้งไหมจ๊ะ”
“ปลอดภัยซี”
นิดก็ยังลังเลอยู่ เสียมตัดสินใจเด็ดขาด
“ผมอยากผ่าตัดให้เร็วที่สุด”
“ถ้าเร็วที่สุดอีกแปดชั่วโมงก็พร้อมครับ” หมอลิขิตบอก
“งั้นผ่าตัดผมเสียคืนนี้เลย ผมไม่อยากรอต่อไปอีกเเล้ว”
“แน่ใจหรือลูก” พระชาญชลาศัยถาม
“ครับ”
“งั้นระหว่างนี้คุณควรนอนพักและทำจิตใจให้สบายที่สุด”
“ดิฉันขออยู่กับพี่เสียมได้ไหมจ๊ะ”
“ได้ซี หมอขอตัวก่อน”
หมอลิขิตและนางพยาบาลเดินออกจากห้องคนไข้ไป
“งั้นหนูอยู่กับสรรค์ที่นี่ พ่อจะกลับไปบ้านก่อนอีกซักชั่วโมงนึงจะกลับมาใหม่”
เสียมกับนิดรับคำ พระชาญชลาศัยเดินออกไป นิดนั่งหมิ่น ๆ อยู่บนเตียงคนไข้ เสียมโอบไว้
“พี่เสียมหิวไหมจ๊ะ”
“หิวซี หมอให้พี่อดข้าวอดน้ำตั้งแต่บ่าย”
“งั้นจะทำยังไงดีจ๊ะ”
“มีนิดอยู่ใกล้ ๆ พี่กินนิดแทนดีกว่า”
นิดมองค้อน

ในเวลาต่อมา รถของพระชาญชลาศัยเเล่นมาจอดหน้าเทอเรชบ้านโพธิธารา บัวเดินตามหลังพระชาญชลาศัยโดยถือกระเป๋าเสื้อผ้าของสรรค์และนิดมาด้วย สมพงษ์ถือชะลอมผลไม้ และตะกร้าไข่ตามมา มารศรีลุกขึ้นจากโซฟา แม่ผินก้าวมาจากแพนทรี
“คุณพระมาแล้วหรือคะ” แม่ผินทัก
“นี่ขนอะไรกันมาเยอะแยะคะนี่” มารศรีถาม
พระชาญชลาศัยเหลือบมอง แม่ผินเข้าไปรับกระเป๋าเสื้อผ้ามาจากบัว
“นี่แกสองคนเอาของลงไปครัวก่อน” ผินสั่งอย่างรู้งาน
บัวเเละสมพงษ์สบตากันนึกสงสัยในท่าทีมีลับลมคมใน แต่ก็ขนชะลอมตะกร้าออกไป
“คุณสรรค์ละคะ” ผินถาม
“อยู่โรงพยาบาลเตรียมตัวรอผ่าตัดอยู่”
“โธ่คุณหนู ทำไมรวดเร็วอย่างนี้ละคะ”
“หมอกลัวว่าถ้ายิ่งรอไปจะยิ่งเป็นอันตราย”
พระชาญชลาศัยนั่งลงด้วยสีหน้าเครียด มารศรียิ้มนิด ๆ นั่งลงด้วย
“แล้วลูกสะใภ้ชาวเกาะของคุณพระละคะ”
พระชาญชลาศัยชะงักสีหน้าไม่พอใจ แม่ผินร้องเชอะสะบัดหน้าพรืด
“ก็มาด้วย แต่ห่วงผัวเฝ้าเจ้าสรรค์ไม่ยอมไปไหน”
“โถ คงกลัวใครจะมาพรากผัวพรากเมียให้จากกันมั้งคะ”
มารศรีพูดยิ้ม ๆ เหมือนพูดเย้า
“ใครจะไปทำยังงั้น”
พระชาญชลาศัยมองดูกระเป๋าเสื้อผ้าที่แม่ผินถือไว้แล้วบอก
“นั่นเสื้อผ้าเมียเจ้าสรรค์”
แม่ผินทำท่าขยะแขยงแทบจะโยนทิ้ง
“เดี๋ยวเตรียมห้องเตรียมหับให้ด้วย เอาห้องพักแขกห้องเล็กก็แล้วกัน”
“อ้าว ไม่ให้นอนห้องคุณสรรค์หรือคะ” มารศรีถาม
“อย่าดีกว่าแล้วก็เงียบ ๆ ไว้ อย่าเพิ่งกระโตกกระตากไป”
“ค่ะ อิฉันไม่อยากจะพูดหรอก ระวังแต่คนอื่นเถอะ” ผินพูดแขวะ
มารศรียิ้ม
“ถ้าแม่หนูชาวเกาะต้องมาเป็นสะใภ้บ้านนี้จริง แล้วจะปิดข่าวปิดความไปได้ถึงเมื่อไรกันคะ”
แม่ผินสะบัดหน้าพรืดอีก พระชาญชลาศัยหนักใจ

ภายในห้องคนไข้ เสียมนั่งอยู่บนเตียง นิดเดินไปที่หน้าต่างที่ปิดม่านไว้มองพระจันทร์เต็มดวงบนฟ้าที่ไม่สว่างนัก นิดมองดูแล้วพูดขึ้น
“ทำไมพระจันทร์ที่เมืองกรุงเทพฯดวงเล็กกว่าที่สีชังละจ๊ะ”
“พระจันทร์คงเห็นคนกรุงเทพฯมีไฟฟ้าใช้สว่างพอแล้วมั้งจ๊ะ”
นิดกลับมานั่งข้างเสียม ทั้งคู่ทอดสายตามองดูพระจันทร์ที่นอกหน้าต่าง นิดอิงแอบ เสียมเอาคางกดลงบนเส้นผมยาวสลวย
“นิด”
“จ๊ะ พี่เสียม”
“ถ้าพี่ไม่ตื่นขึ้นมาอีกล่ะ”
นิดผละออกมองดู เสียมมีแววหวาดหวั่น นิดยิ้มปลอบ
“อย่าพูดอย่างงั้นซีจ๊ะ พี่เสียมจะตื่นขึ้นมาแล้วหายดีต่างหาก”
“แต่พี่กลัว ไม่ได้กลัวตาย แต่กลัวจะไม่ได้เจอนิดอีก”

นิดน้ำตาคลอไม่อาจพูดได้ว่าตนนั้นกลัวยิ่งกว่า
“ฮือพี่เสียมคิดมากไปแล้ว นิดอยู่ตรงนี้...ไม่มีวันจากพี่เสียมไปไหน”
เสียมมองนิดอย่างรักหมดหัวใจ
“เรามาคิดว่าตอนพี่เสียมหายดีแล้วจะทำอะไรดีกว่า”
“นั่นซี...ทำอะไรดีนะ”
นิดอิงแอบเสียมมองดูพระจันทร์บนฟ้ากันใหม่
“พี่เสียมขับรถพานิดชมกรุงเทพฯดีไหมจ๊ะ”
“ได้ซี ตอบแทนที่นิดเคยพายเรือพาพี่ไปเที่ยวทั่วสีชัง”
“หรือไม่ก็พานิดไปเที่ยวงานฉลองรัฐธรรมนูญ” นิดว่า
“เหมือนที่นิดเคี่ยวเข็นให้พี่ไปงานวัดเชิงหาด”
“หรือไม่ก็พานิดไปดูละครปราโมทัย”
“นิดจะไปดูทำไมกัน”
“ทำไมหรือจ๊ะ”
“ไม่มีนางละครคนไหนร้องเพลงเพราะเท่านิดอีกแล้ว” เสียมว่า
นิดค้อนเสียมแนบหน้าลง ปากจูบแก้ม
ประตูเปิดออก นางพยาบาลเข้ามามองดูคู่รักพลางทำตาโตเท่าไข่ห่าน
“ว้าย”

หมอลิขิตกับพระชาญชลาศัยก้าวเท้าตามเข้ามา หมอมีแววอมยิ้ม แต่พระชาญมีอาการอายแทน เสียมกับนิดขยับถอยจากกัน นางพยาบาลเชิดหน้าราวกับเห็นเรื่องผิดจารีตขนาดใหญ่
“ได้เวลาผ่าตัดแล้วลูก”
“ดูท่าคนไข้จะได้กำลังใจเต็มที่นะครับ” หมอลิขิตบอก
เสียมยิ้ม นิดเขินหน้าแดง

สาวน้อย ตอนที่ ๑๑ (ต่อ)
บริเวณหน้าห้องผ่าตัดดูสว่างโพลน หมอลิขิตและหมอผู้ช่วยอีก ๒ คนและนางพยาบาลอีก ๒ คน แต่งชุดขาวมีมาสร์กปิดปากจมูกครบครันรออยู่ บุรุษพยาบาลเข็นเสียมที่นอนอยู่บนเตียงมาตามทาง พระชาญและนิดเดินขนาบเตียงมาด้วย เสียมมองหน้านิดเช่นเดียวกับนิดที่มองแต่เสียม ความกลัวและลังเลพลุ่งขึ้นอีกครั้ง เตียงถูกเข็นมาหยุดลงที่หน้าห้อง
“สรรค์ แกจะต้องหายดี ลูก”
“ครับ”

เสียมมองดูนิดอย่างสุดรัก
“นิด”
“พี่เสียมอย่ากังวลอะไรนะจ๊ะ นิดจะรอพี่เสียมอยู่ตรงนี้ พอพี่เสียมตื่น สิ่งเเรกที่พี่เสียมจะได้เห็น คือ หน้าของนิด”
“หน้าของนิด”
เสียมพยักหน้า นิดยิ้มอย่างอ่อนหวาน แล้วด้วยอะไรบางอย่าง นิดพลันก้มลงจูบเบา ๆ ที่ปากเสียม เสียมจูบตอบ พระชาญชลาศัยนิ่งอึ้ง นางพยาบาลจริตตกร้องอุทานชี้ชวนกัน แม้แต่หมอก็มองหน้ากัน แต่หมอลิขิตโบกมือเป็นทำนองว่า ไม่เป็นไร
นิดยืดตัวขึ้น เสียมมองแต่หน้านิดนิ่ง หมอลิขิตให้สัญญาณ ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก บุรุษพยาบาลเข็นเตียงเข้าไป พร้อมกลุ่มหมอและพยาบาล พระชาญชลาศัยเดินตามไปถึงประตู แต่นิดยืนนิ่งยิ้มละไมส่งเสียมที่ยิ้มตอบชะเง้อดู ภาพนิดห่างออกไปทุกที นิดมองดูเสียมที่ชะเง้อมอง ภาพของเสียมไกลออกไปทุกทีจนประตูห้องผ่าตัดปิดลง
หน้ายิ้มละไมของนิดเปลี่ยนไปเป็นหวั่นกลัว สับสน จิตใจวูบวับราวจะขาด นิดยืนนิ่งดูโดดเดี่ยว ท่ามกลางทางเดินอันว่างเปล่าอันสว่างโพลนนั้น

ในเวลากลางคืน นิดนั่งอยู่คนเดียวด้วยใบหน้าขาวซีดยิ่งกว่าผนังด้านหลัง ดวงตามองดูประตูห้องผ่าตัด พระชาญชลาศัยเดินมานั่งข้าง ๆ มองดูนิดด้วยแววตาสงสารปนรังเกียจระคนกัน นิดคล้ายตื่นจากภวังค์ หันมายิ้มขลาด ๆ ให้
“เธอคิดว่า เธอจะอยู่กรุงเทพได้หรือ”
“พี่เสียมอยู่ที่ไหน นิดก็อยู่ที่นั้นจ๊ะ”
“ฉันแค่รู้สึกว่ากรุงเทพอาจไม่เหมาะกับเธอ ที่นี่มีแต่ผู้คน มีแต่ความวุ่นวาย ชีวิตก็มีระเบียแบบแผนพิธีรีตองที่เธออาจไม่ชอบ”
“ถึงนิดจะไม่ชอบแต่ต่อไปก็คงชินไปเอง ส่วนเรื่องระเบียบ ท่านกับพี่เสียมคงสอนนิดได้ใช่ไหมจ๊ะ”
พระชาญชลาศัยอึ้งไป ไม่ตอบ
“นิดจะพยายามเรียนรู้...ไม่ให้ท่านและพี่เสียมต้องขายหน้า”
“ฉันได้เจอเธอไม่ถึงวัน แต่ฉันก็รู้แล้วว่าเธอรักสรรค์จริง ๆ รักโดยไม่เห็นแก่ตัวและหวังดีกับลูกชายฉันจริง ๆ”
“ไม่หรอก คุณพระไม่มีทางทราบหรอกค่ะว่า นิดรักพี่เสียมมากมายขนาดไหน เพื่อพี่เสียมแล้วนิดสามารถสละให้เขาได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความสุขหรือแม้แต่ชีวิตของนิดเอง”
นิดพูดช้า ๆ ดวงตามองดูแต่ประตูห้องผ่าตัด พระชาญชลาศัยตื้อขึ้นมาจนต้องถอนใจ แล้วพยักหน้า
“ฉันจะคอยดูว่าเธอรักลูกชายฉันมากมายขนาดนั้นจริงหรือเปล่า”

พระชาญชลาศัยเมินมองไป นิดมองดูแต่ประตูห้องผ่าตัด

พระจันทร์ลอยสูงขึ้นกลางฟ้า เมฆฝนกลุ่มหนึ่งเคลื่อนมาบัง นาฬิกาบอกเวลาสี่ทุ่ม แต่ประตูห้องผ่าตัดยังคงปิดสนิท ที่โซฟานิดใบหน้าซีดขาวยิ่งหวาดหวั่น แม้แต่พระชาญชลาศัยก็ลุกขึ้นเดินกลับไปกลับมาอย่างกังวล
“ทำไมนานอย่างนี้ มีอะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะต้องไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
นิดพูดกับตัวเองมากกว่าจะตอบพระชาญชลาศัย นิดยกมือขึ้นพนม
“คุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองพี่เสียมด้วย”
พระชาญชลาศัยมองดูนิด
“เจ้าพ่อเขาใหญ่ช่วยพี่เสียมด้วยนะจ๊ะ”

ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก หมอลิขิตหน้าซีดเดินเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อที่หน้าผาก เดินมากับนางพยาบาลท่าทางเชิ่ดๆ นิดลุกขึ้นช้า ๆ มองสีหน้าอย่างหวั่นใจ
“คุณหมอ เป็นยังไงครับ”
“หมอคะ”
หมอลิขิตยิ้ม
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ คุณสรรค์ปลอดภัยเเล้ว ตอนนี้ยังไม่รู้สึกตัวกว่าจะฟื้นจริง ๆ ก็คงตอนเช้า”
พระชาญชลาศัยจับมือหมอลิขิตเขย่า
“ขอบใจมากคุณหมอ ขอบใจมาก”
ประตูห้องผ่าตัดเปิดออก บุรุษพยาบาลเข็นเตียงเสียมออกมา บนหัวของเสียมมีผ้าพันแผล พันศีรษะ นิดโผผราไปเกาะเตียงเดินตาม
เสียมนอนนิ่งบนเตียงในห้องปลอดเชื้อ สีหน้าซีดเผือดดูผิดไปคนละคน ที่ประตูกระจก นิดชะเง้อมองดูอยู่อย่างใจจดใจจ่อ

ในเวลากลางคืนต่อมา รถแล่นมาจอดที่หน้าเทอเรช พระชาญชลาศัยก้าวลงมาจากด้านหลัง นิดก้าวลงจากด้านหน้า นิดมองดูบ้านใหญ่โต งดงามอย่างชื่นชม
ภายในห้องโถงเปิดไฟสว่างไสว แม่ผินยืนคอแข็งสีหน้าเรียบเฉยอยู่กลางห้อง พระชาญชลาศัยเดินนำนิดเข้ามา
“ตามสบายนะ อ้อ นี่แม่ผิน แม่บ้านที่นี่ แม่ผินเป็นคนเลี้ยงเจ้าสรรค์มาตั้งแต่เล็ก”
นิดยกมือไหว้ แต่แม่ผินไม่รับไหว้ทำไม่เห็นจนนิดแปลกใจ แม่ผินเดินมาหาพระชาญชลาศัย
“จะรับประทานอะไรไหมคะ”
“เดี๋ยวฉันต้องออกไปทำธุระข้างนอก ไม่เป็นไร”
“อ้อ ค่ะ แล้วแม่...”
“นิดน่ะหรือก็พาไปห้อง หาข้าวหาปลาให้กินด้วย”
นิดมองดูรอบ ๆ ห้อง พระชาญชลาศัยหันมาหา
“นิด ฉันจะไปข้างนอก เธอก็ทำอะไรให้เสร็จแล้วรีบเข้านอน พรุ่งนี้จะได้ไปเยี่ยมสรรค์กันแต่เช้า”
“ค่ะ”
“ฉันไปล่ะ”
พระชาญชลาศัยเดินออกไป นิดก้าวไปดูรูปสรรค์ในชุดข้าราชการกับรูปในสูทสวมหมวกแบบนักเรียนนอก แม่ผินเข้ามายืนเชิด
“พี่เสียมแต่งตัวโก้จัง”
“เสียม เสิมอะไร คุณสรรค์ เรียกคุณสรรค์” ผินบอกเสียงแข็ง
“จ๊ะ ป้า”
“ป้าอะไร ฉันไม่ใช่ป้าเธอ”
“จ๊ะ แม่ผิน”
“อย่ามาเรียกชื่อฉัน เรียกคุณแม่บ้าน”
นิดเลิกคิ้วนึกขันแม่ผินเกินกว่าจะโกรธ นิดยังมองดูรูปอย่างชื่นชม
“จ๊ะ”
“นี่รูปคุณหนูตอนไปเรียนที่ฟีปิน”
“ฟิลิปปินส์ไม่ใช่หรือจ๊ะ”
แม่ผินตาเขียวใส่แล้วบอก
“ก็เหมือนกันเเหละ นี่ใส่ชุดข้าราชการ คุณหนูเป็นข้าราชการกระทรวงเกษตราธิการ”
นิดเดินเรื่อยไป ดูรูปพระชาญกับคุณหญิง
“นี่รูปแม่พี่เสียม เฮ้ย พี่สรรค์หรือจ๊ะ”
“ต้องเรียกคุณหญิงแม่ คุณหญิงน่ะเป็นราชนิกูล เป็นหม่อมราชวงศ์ นั่นรูปคุณปู่คุณหนู พระยาโพธิธารามหิศักดิ์”
นิดฟังอย่างเหนื่อยใจเล็กน้อย แม่ผินยิ้มเหยียด
“บ้านนี้น่ะมีชาติมีตระกูลสืบเชื้อสายขุนนางรางน้ำมาตั้งแต่ต้นกรุง เลือดทุกหยดเป็นเลือดผู้ดีแท้ ๆ”
ใจหนึ่งของนิดก็รู้สึกสะเทือนใจเพราะรู้ว่าแม่ผินจงใจพูดเพื่อจุดประสงค์อะไร แต่อีกใจหนึ่งก็อยากตอกกลับ
“น่าภูมิใจแทนพี่...สรรค์จัง แล้วคุณแม่บ้านล่ะคะ มีเชื้อมีสายกับเขาบ้างหรือเปล่า”
นิดถามหน้าซื่อ แม่ผินอ้าปากค้างแล้วตวาดแว้ด

“อย่ามามัวซักไซ้สืบสาแหรกกันอยู่เลย ดึกดื่นค่อนคืนแล้ว ไป...ฉันจะพาไปห้อง”
นิดช่อนยิ้มไว้บนใบหน้า

แม่ผินเดินเชิดเข้ามาในห้องรับแขก นิดเดินตามมา ห้องนี้เป็นห้องขนาดกลาง ตกแต่งเรียบ ๆ มีเครื่องเรือนไม่กี่ชิ้นแต่ก็งดงามดูมีราคา ทางด้านหนึ่งมีห้องน้ำในตัว
“สวยจัง”
“ใช่ จะใช้จะสอยจะจับจะต้องอะไรก็ให้เบา ๆ มือ อย่าให้แตกหักเสียหาย ของมีราคาทั้งนั้น”
นิดเริ่มชินเเล้ว
“ฉันมือไม่หนักหรอกจ๊ะ”
แม่ผินเดินมาเปิดประตูห้องน้ำ
“นี่ห้องน้ำห้องท่าใช้เป็นหรือเปล่า … สม คงไม่เป็นละซี” แม่ผินพูดพลางยิ้มเยาะ
นิดก้าวมาดูเห็นโถนั่งมีถังชักโครกแขวนอยู่สูงกับส่วนอาบน้ำมีฝักบัว
“ชักโครกกับฝักบัวน่ะหรือ ไม่เห็นแปลกอะไรนี่จ๊ะ ที่สีชังก็มี”
แม่ผินเกือบร้องกรี๊ด
“ก็ดี อาบน้ำ อาบท่าซะ เดี๋ยวฉันจะยกของกินมาให้”
แม่ผินสะบัดพรืดออกไป นิดมองแล้วยิ้มขบขันแต่เริ่มหดหู่ใจกับการต้อนรับ

นิดนุ่งกระโจมอกก้าวเข้ามาในห้องน้ำ จดจ้องที่โถแล้วมองดูถังที่แขวนอยู่สูง แล้วลองดึงโซ่ชักโครกดู น้ำไหลโครกลงมา นิดยิ้มกับตัวเอง นิดก้าวเข้าไปที่ฝักบัวแล้วลองหมุนก็อกดู น้ำฝักบัวพุ่งออกมาเป็นฟองฝอย นิดก้าวไปอาบน้ำทั้งกระโจมอก


แม่ผินหน้าบูดบึ้งถือถาดวางจานข้าว ถ้วยแกงเผ็ด จานผัดและของทอดเดินมาจากครัว แล้วสะดุ้งเฮือกเมื่อเห็นนิดแต่งตัวใหม่อย่างเรียบร้อยยืนดูเครื่องโทรศัพท์อยู่
“ว้าย ลงมาทำไม”
“นี่โทรศัพท์หรือจ๊ะ”
“อย่าจับนะ นี่ลงมาทำไมกันยะ ฉันบอกให้รอในห้อง”
“ไม่ได้บอกนี่จ๊ะ เอาวางลงซีจ๊ะฉันจะกินที่นี่”
แม่ผินเหลียวซ้ายแลขวา
“ไม่เอา ขึ้นไปกินในห้อง”
“แต่ฉันจะกินที่นี่”

นิดเข้าไปนั่งโต๊ะ แม่ผินลังเล สายตาไม่ยอมคนปรากฏขึ้นที่ใบหน้านิด แม่ผินเม้มปาก
ทันใดนั้น เสียงมารศรีดังขึ้น
“คุณเขาบอกว่าจะกินที่นี่ ไม่ได้ยินหรือไงจ๊ะ แม่ผิน”
มารศรีเดินเข้ามาในชุดนอนกรุยกราย แม่ผินวางถาดลงแล้วยืนเชิด นิดมองแม่ผินซ้ำ แม่ผินเลื่อนจานถ้วยออกจากถาดให้
“ขอบใจจ๊ะ”
แม่ผินมองค้อนแล้วเดินออกไป
นิดลุกขึ้นเเล้วยกมือไหว้ มารศรีรับไหว้
“ไหว้พระเถอะจ๊ะ หนูชื่ออะไรนะ”
“หนูชื่อนิดค่ะ คุณ...”
“ฉันชื่อมารศรีเป็นเมียคุณพระชาญ แม่เลี้ยงของสรรค์ไงจ๊ะ”
นิดนึกทบทวน มารศรีกรายมาพิศดูใกล้ ๆ
“ค่ะ”
“แต่คุณสรรค์เขาไม่ได้ญาติดีกับฉันเท่าไรหรอก”
“คุณพระเคยเล่าว่า คุณพระทะเลาะกับคุณสรรค์เรื่องคุณ จนคุณสรรค์หนีออจากบ้านแล้วก็โดนปล้น”
นิดลังเลที่จะพูด แต่มารศรียิ้มมากขึ้น
“จนความจำเสื่อม แล้วเปะปะไปจนเจอหนูเข้า งั้นก็เท่ากับว่าที่เธอได้เจอสรรค์ก็เพราะฉันเป็นตัวการซีนะ”
มารศรีหัวเราะ นิดยิ้ม
“โชคชะตาเล่นตลกกับคนเราอยู่เสมอนะคะ”
“หนูนี่พูดจาฉลาดเฉลียวแล้วก็สวยเอามาก ๆ เสียด้วย”
“คุณก็สวยมากค่ะ”
“ฉันน่ะสวยเพราะแต่งต่างหาก ไม่ได้สวยธรรมชาติแบบหนู เอาล่ะ อย่ามามัวชมกันเองอยู่เลย ทานข้าวให้เสร็จซี แล้วฉันจะพาไปดูห้องสรรค์”
นิดพยักหน้าและรู้สึกดีขึ้น

ในเวลาต่อมา มารศรีเดินนำนิดเข้ามาในห้องนอนของสรรค์ นิดก้าวมาอย่างช้า ๆ พลางส่งสายตามองไปรอบ ๆ อย่างสนใจ ผูกพันรักใคร่ มารศรีมองแล้วสะเทือนใจบางอย่าง
นิดก้าวไปที่ชั้นหนังสือหยิบหนังสือกสิกรรมออกมา มีรูปไก่ที่หน้าปกเขียนว่าคู่มือเลี้ยงไก่ นิดอมยิ้ม
นิดหยิบอีกเล่มมาดู หน้าปกเป็นไร่ผักแบบฝรั่ง นิดอมยิ้มมากขึ้น แล้ววางลง มองดูมารศรี เชิงว่าละลาบละล้วงหรือเปล่า
“ตามสบายเถอะจ๊ะ ห้องสรรค์ก็ต้องเหมือนห้องเธอซี”
นิดยิ้มขอบคุณเดินมายังตู้ไซด์บอร์ดที่วางรูปไว้เป็นทิวแถว นิดหยิบรูปสรรค์กับบุญมามาดู
“นั่นเพื่อนสนิทของสรรค์”
นิดหยิบรูปสรรค์กับแมกกานี
“นั่นครูสอนเขียนรูปของสรรค์”
“ค่ะ”
นิดหยิบรูปสรรค์กับเสวกมาดู
“นั่นเพื่อนเรียนฟิลิปปินส์ของสรรค์”
นิดมองดูรูปต่อไปแล้วชะงัก สีหน้าเคร่งขึ้นแล้วหยิบรูปสุวลีขึ้นมา มารศรีมองดูอย่างเพิ่งนึกได้ว่ามีรูปสุวลีอยู่
“นี่รูปใครหรือคะ”
“รูปน้องสาวของเสวกน่ะ ชื่อคุณสุวลี”
นิดมองดูรูปนั้น สุวลีในรูปดูประหนึ่งจะมองตอบออกมา

ในเวลาเดียวกัน รถของธนาเเล่นตรงไปยังบ้านเนาวรัตน์ที่เปิดไฟสว่างอยู่หลายห้อง แสดงว่ายังมีคนไม่นอนแม้ว่าจะดึกแล้วก็ตาม
รถธนาจอดลงหน้าเทอเรช ธนาลงรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูให้ สุวลีก้าวลงมาในสวมชุดราตรีปักเลื่อมวูบวาบที่ข้อมือมีสร้อยของธนา
“คุณสุ”
“คะ”
“ผมทราบว่าดึกมากแล้ว แต่ผมขอกาแฟซักถ้วยได้ไหมครับ ไม่งั้นคงขับรถไม่ถึงบ้านเป็นแน่”
สุวลีรู้ว่าเป็นแค่ข้ออ้างแต่ยิ้มแย้ม

ภายในห้องนอนใหญ่ดูหรูหราไปทุกกระเบียดนิ้ว พระยากีรติสวมชุดนอนมีเสื้อคลุมยาวหรูคลุมทับ ยืนแหวกม่านหน้าต่างมองลงมา
“เจ้าเจ็กผู้ดีอังกฤษนี่มันยังไงกันแน่ มารับยายสุไปข้างนอกทุกวันอย่างนี้”
คุณหญิงบัวผันนั่งอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง คุณแม่บ้านเฟื่องเปิดกล่องเครื่องเพชร 2-3 ชุด วางเรียงให้เลือก
“นั่นน่ะซีคะ คุณพี่ ไม่ว่าจะยังไง ยายสุก็ยังถือว่าหมั้นหมายอยู่”
“คุณหญิงน่าจะเตือนลูกบ้าง”
“แม่สุน่ะเหมือนว่าง่าย แต่เอาจริงเข้าฟังดิฉันซะที่ไหน ต้องแม่เฟื่องละค่ะ เขาเลี้ยงกันมา”
คุณเฟื่องยิ้มแก้ตัวให้สุวลีเป็นไฟ
“ท่านเจ้าคุณ คุณบัวไม่มีกระไรหรอกค่ะ นายธนาก็แค่กลัวคุณน้องเธอจะเหงา นายธนาก็ช่วยตามคุณสรรค์อยู่”
พระยากีรติมองออกไปเห็นรถอีกคันแล่นเข้ามา
“อ้าวนั่นใครมาอีก นี่มันเลยตีหนึ่งแล้วไม่ใช่หรือ”

เทอเรชข้างบ้านเนาวรัตน์ ธนาจิบกาแฟแล้ววางลงบนโต๊ะ แม้จะดึกดื่นค่อนคืน แต่ทุกอย่างก็พร้อมพรั่ง ทั้งชุดกาแฟ คุ๊กกี้ บิสกิต และผลไม้คว้านสลักเสลา สุวลีอยู่ตรงข้ามจิบน้ำผลไม้เป็นเพื่อน สร้อยข้อมือเพชรวูบวับ
“สร้อยเส้นนี้ เข้ากับอิฟนิ่งกาวน์ของคุณสุเหลือเกิน”
“คนซื้อสร้อยเส้นนี้รสนิยมดีมากต่างหากคะ”
“แต่คุณไม่ได้สวมแหวนวงนั้นแล้วหรือครับ”
สุวลีอึ้งลูบคลำนิ้วนางซ้ายที่ว่างเปล่า
“ทุกครั้งที่สวมมันทำให้สุเศร้าใจค่ะ”
ธนากุมมือสุวลี
“ทำยังไงดี ผมถึงจะช่วยให้คุณสุสบายใจได้มากกว่านี้”
“คุณก็ทำอยู่แล้วนี่คะ”
“ผมหมายถึงว่า ช่วยให้คุณสุมีความสุขจริง ๆ เสียที”
สุวลีหลบตา จวนเข้ามาคุกเข่าลง ธนาชะงัก สุวลีดึงมือกลับและมองดูจวนอย่างเอาเรื่อง
“มีอะไร พรวดพราดเข้ามาทำไม”
“คุณพระชาญมาขอพบคุณสุวลีเจ้าค่ะ”
จวนกลัวจนตัวลีบ สุวลีเลิกคิ้ว

ภายในห้องรับแขกใหญ่ พระชาญชลาศัยนั่งรอบนเก้าอี้หลุยส์ สุวลีก้าวเข้ามา ชุดที่สวมราวทำให้ห้องสว่างวูบวาบขึ้น สุวลียกมือไหว้
“โชคดีจริงที่หนูสุยังไม่นอน”
สุวลีนั่งลงแล้วถาม
“คุณอามีธุระร้อนอะไรหรือคะ”
“สุวลี ฉันพบสรรค์แล้ว”

สุวลีผงะเบิกตาโพลง
“คุณพระช่วย”
“เจ้าสรรค์ความจำเสื่อมอย่างที่เราคาดไว้ มันหลงไปถึงเกาะสีชัง ใช้ชีวิตเป็นชาวเกาะอยู่ที่นั่น มิสเตอร์แมกกินนีไปพบโดยบังเอิญ นี่ฉันเพิ่งไปรับตัวกลับมา”
“แล้วตอนนี้สรรค์อยู่ไหนคะ”
“อยู่โรงพยาบาล หมอแนะนำให้ผ่าตัดทันที”
“ผ่าตัดสมองหรือคะ ตายจริง”
“หนูสุอย่างเพิ่งตกใจ สรรค์ผ่าตัดเรียบร้อยแล้วปลอดภัยดีทุกอย่าง หมอบอกว่าความทรงจำเขาจะกลับมาหมด”
“ทำไมคุณอาไม่รีบโทรศัพท์มาบอกสุคะ สุจะได้ไปดูแลเขาที่โรงพยาบาล”
พระชาญชลาศัยกลืนน้ำลาย
“ฉันอยากรอให้เรื่องผ่าตัดเสร็จสิ้นไปก่อน หนูจะได้ไม่ต้องกังวลใจไปด้วย”
สุวลีลุกขึ้น
“สรรค์ฟื้นหรือยังคะ สุอยากไปดูเขาตอนนี้เลย”
“เอาไว้ตอนเช้าเถิดหนูสุ ไปตอนนี้ทางโรงพยาบาลคงวุ่นวายเปล่า ๆ แล้วยังมีอีกเรื่องที่ฉันต้องบอกหนู”
พระชาญมีท่าทีหนักใจอย่างยิ่ง สุวลีขมวดคิ้ว นั่งลงข้าง ๆ
“มีอะไรหรือคะ บอกสุมาเถอะค่ะ”
“ตอนที่เจ้าสรรค์ข้ามไปสีชัง มันจมน้ำแต่มีเด็กผู้หญิงชาวเกาะคนหนึ่งช่วยชีวิตไว้ เกิดสนิทสนมกัน จนเจ้าสรรค์แต่งงานกับเด็กคนนั้น”
“อะไรนะคะ สรรค์แต่งงาน!”
สุวลีใจหาบวูบ ดวงตาเบิกกว้างแทบผงะไป

พระชาญชลาศัยอธิบายเสียงอ่อน
“หนูอย่าเพิ่งเกลียดโกรธสรรค์ อย่าลืมว่าเขาทำลงไปเพราะจำอะไรไม่ได้ การแต่งงานครั้งนี้ถือว่าไม่มีผล เพราะเจ้าสรรค์สติไม่สมบูรณ์ ยกโทษให้มันเถอะ”
“สุไม่โทษใครหรอกค่ะ นอกจากโชคชะตา นี่สุไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรแล้ว”
จวนเข้ามาคุกเข่าลงเอาแก้วน้ำเปล่า น้ำส้มวางเเล้วถอยห่างไปนั่งนอกกรอบประตู
“หนูอย่าลืม เมื่อสรรค์ฟื้นขึ้นมันจะจำทุกอย่างได้ จำได้ว่าหนูสุคือคู่หมั้น คิดดูเถอะว่า สรรค์จะเลือกใครระหว่างเด็กชาวเกาะบ้านนอกที่เทียบไม่ได้แม้กระทั่งบ่าวของหนู”
พระชาญชลาศัยปรายตามองจวนที่เงยหน้าขึ้นมาดูอย่างงง ๆ สุวลีมองตาม จวนรีบก้มหน้างุดใหม่
“กับสุภาพสตรีผู้เพียบพร้อมอย่างสุวลี กีรติขจร”

สุวลียืดตัวตรงดวงตาวาววับ

ภายในห้องนอน สุวลีนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง กรายเเขนออกให้จวนเเกะสร้อยเพชรของธนาออก เมื่อจวนถอยไป สุวลีหยิบกล่องแหวนของสรรค์มาเปิดออก สวมลงบนนิ้วนางซ้าย แล้วกรายมือดูพลางยิ้ม

ภายในห้องนอนของบ้านโพธิธารา นิดนอนหลับสนิทบนเตียง บนโต๊ะหัวเตียงมีนิตยสารหน้าปกสุวลีวางอยู่ นิดพลิกตัวสองมือขึ้นมาประสานบนหน้าอก แหวนพลอยของสรรค์เป็นประกายวูบวาว

ดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า เสียงนกร้องดังประสานกัน

รถพระชาญชลาศัยจอดอยู่ที่หน้าเทอเรช นิดแต่งตัวสวยเดินออกมา นั่งตอนหน้าคู่คนขับ ฝ่ายพระชาญชลาศัยนั่งอยู่ตอนหลัง รถแล่นออกไป

ภายในห้องคนไข้ เสียมนอนบนเตียงคนไข้ สีหน้ามีเลือดฝาด บนหัวมีผ้าพันแผลรอบศีรษะ แสงยามเช้าส่องมาถึงเตียง เสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บดังเเว่วมา สรรค์ขยับตัวลืมตาขึ้นเห็นเป็นโครงหน้ามัว ๆ ของหญิงสาว แล้วชัดขึ้น นิดที่ก้มลงมองยิ้มอย่างปิติ
เสียมยิ้มยกแขนขึ้นโอบกอด นิดโอบเสียมไว้แนบแน่น
“นิด...นิดมาเเล้ว”
“ก็นิดสัญญากับพี่เสียมไงจ๊ะว่า นิดจะเป็นสิ่งเเรกที่พี่ได้เห็น”
นิดผละออก แล้วเอาหมอนสอดหนุนหลังให้สรรค์ พระชาญชลาศัยก้าวเข้ามาในห้อง
เสียมยิ้มรับ
“คุณพ่อ ผมจำความหลังได้หมดแล้ว”
เสียมดึงนิดมาโอบไว้
“นิดจ๋า พี่คงต้องกลับไปรับราชการ นิดจะมาเป็นคุณนายข้าราชการเล็ก ๆ คนหนึ่งได้ไหม”
“ข้าราชการที่กำลังก้าวหน้าที่สุดต่างหาก” พระชาญชลาศัยบอก
“แล้วสีชังล่ะจ๊ะ”
“เราก็ขึ้นเรือกลไฟสายจันทบุรีกลับไปทุกเสาร์อาทิตย์ไงจ๊ะ ไปอยู่กับแม่นิ่ม เนื่อง แล้วก็เกาะวิมานน้อย”
นิดยิ้มหน้ากระจ่างใสพยักหน้ารับอย่างเต็มที่

เสียงเคาะประตูดังสนั่น เสียงแม่ผินดังกราดเกรียวเข้ามา
“แม่คู้ณ แม่จะนอนกินบ้านกินเมืองไปถึงไหน ตะวันสูงโด่งฟ้าแล้ว”

นิดผวาตื่นจากฝันรีบลุกจากเตียงก็เห็นว่าฟ้าสว่างมากแล้ว เสียงยวดยานดังแต่ก็ยังเปี่ยมสุขกับความฝัน นิดรีบคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องน้ำไป

รถพระชาญชลาศัยเลี้ยวมาจอดขนาบข้างรถหรูที่จอดอยู่ก่อนที่ใกล้เชิงบันไดหน้าโรงพยาบาลเนิร์ซซิ่งโฮม นิดก้าวเท้าลง พระชาญชลาศัยก้าวตามมาด้วยดวงตาที่มีแววประหลาด

แสงสว่างทอดเป็นลำยาวมาที่เตียงคนไข้ สรรค์ขยับตัวลืมตาขึ้นช้า ๆ แล้วชัดขึ้นเห็นว่าเป็นใบหน้าเบลอของหญิงสาวคนหนึ่งก้มลงมา สรรค์ลืมตาเต็มที่มองดูแล้วยิ้มกว้าง

ทางเดินในโรงพยาบาลดูเวิ้งว้างแทบร้างผู้คน นิดเดินมากับพระชาญชลาศัย ส่วนหมอลิขิตเดินออกมากับพยาบาล ๒ คนจากห้องหนึ่ง
“อ้อ คนไข้ฟื้นแล้วนะครับ สมองสมบูรณ์ดี”
หมอลิขิตมองนิดด้วยเห็นแววประหลาดบางอย่างในดวงตา นางพยาบาล ๒ คนก็ซุบซิบกัน แต่นิดยิ้มดีใจจนไม่ทันสังเกต
“ดีจริง ขอบคุณมากหมอ”
“งั้นเข้าเยี่ยมได้เลยไหมจ๊ะ”
หมอลิขิตยิ้มพยักหน้า

ประตูห้องคนไข้ถูกเปิดออก พระชาญชลาศัยก้าวเข้ามา นิดเดินตามเข้ามาด้วยสีหน้ายิ้มละไม แล้วชะงักมองดูภาพตรงหน้า
บนเตียงคนไข้ สรรค์นั่งพิงผนังเตียงสีหน้าสดใส ยิ้มแย้ม บนเตียงสุวลีนั่งหมิ่น ๆ อยู่เคียงข้าง สุวลีแต่งตัวงดงามราวก้าวออกจากแมกกาซีน
นิดตะลึงงัน ลางสังหรณ์พลุ่งขึ้น
สุวลีเหลือบมาแล้วชะงักยิ้มนิด ๆ อย่างไว้ตัว สรรค์มองตามเห็นพระชาญชลาศัยก็ขมวดคิ้วมีท่าทีเย็นชา
“อ้อ คุณพ่อ”
“สรรค์ แกจำพ่อได้แล้วหรือ”
“คุณพ่อพูดอะไร แล้วนั่นใคร”
สรรค์มองดูนิดด้วยดวงตาอันว่างเปล่า นิดตัวสั่นครางแผ่วเบา
“พี่เสียม”
 
จบตอนที่ ๑๑

สาวน้อย ตอนที่ ๑๒
พระชาญชลาศัยพิศวงงงงวย สุวลีครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว แล้วก้มลงกระซิบข้างหูสรรค์ นิดมองเหตุการณ์อย่างสับสน
ใบหน้าของสรรค์เปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินคำบอกเล่าข้างหูของสุวลี สรรค์มีสีหน้าบึ้งตึง ดวงตามองพระชาญชลาศัยอย่างไม่พอใจ แล้วปรายตามองมาที่นิดอย่างรังเกียจเดียดฉันท์
สรรค์มองผู้เป็นพ่อด้วยสายตาเมินและพูดด้วยน้ำเสียงตำหนิ
“แค่เมียนักร้องพาร์ตเนอร์คนเดียวไม่พอ ยังมีเมียเด็กบ้านนอกอีกคนหรือ”
นิดผงะจนถอยไปชนเข้ากับประตูแล้วพิงไว้ พระชาญชลาศัยมองสรรค์นิ่ง
“สรรค์ นี่แกจำ...”
สุวลีรีบกระแอมเตือน พระชาญชลาศัยชะงัก
นิดพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่น
“พี่เสียมจ๋า พี่เสียมจำนิดไม่ได้เลยหรือจ๊ะ”
“เสียม .. เสียมอะไร .. นี่เธอพูดอะไร เพ้อเจ้อ” สรรค์บอก
สรรค์เมินหน้า สุวลีสมใจกับสังเวชใจระคนกัน นิดน้ำตาไหลร่วงพรู ก้อนสะอื้นพลุ่งขึ้นจนพูดไม่ออก
“พี่เสียม”
สรรค์บอกพ่อ
“อย่าเอาแม่นี่ มาบีบน้ำตาต่อหน้าผม … ออกไป ไปซี”
สรรค์ออกปากไล่นิด พระชาญชลาศัยบอกกับนิดเสียงอ่อนโยน
“เธอออกไปก่อนเถอะ”
สรรค์ยังไล่หลัง
“ออกไป!”
นิดเปิดประตูพรวดเดินออกไป สุวลีมองตามด้วยสีหน้าพึงใจ

ทางยาวในโรงพยาบาลดูเวิ้งว้างราวกับจะเอียงคว่ำ นิดวิ่งไปอย่างไม่รู้ทิศ น้ำตาหลั่งพรูพร่างพรายออกมา สุดทางมีบันไดไปยังชั้นถัดไป นิดเกาะหัวบันไดเอาไว้ แล้วทรุดลงกองกับพื้นส่ายหน้าบอกตัวเอง
“ไม่จริง ไม่จริง”
หมอลิขิตลงบันไดมาพอดี
“อ้าว หนู นี่เกิดอะไรขึ้น”

ภายในห้องคนไข้ สุวลีกับพระชาญชลาศัยยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างพูดกันอย่างแผ่วเบาให้ได้ยินเพียงสองคนเท่านั้น
“สุก็ไม่ทราบค่ะ พอสรรค์ฟื้น คำแรกที่พูดกับสุก็คือ เขาเล่าว่าเขาจะโดนจี้ชิงรถ โจรมันตีศีรษะเขาจนสลบเพิ่งจะรู้สึกตัวเดี๋ยวนี้”
พระชาญชลาศัยเริ่มเข้าใจ เหลือบมองสรรค์ที่นั่งอยู่บนเตียงด้วยสีหน้าเคร่ง เอามือกอดอก สายตามองไปทางอื่น นางพยาบาลยืนถือชาร์ตยืนอยู่ใกล้ๆ
“สรรค์คิดว่าเขาสลบไปคืนเดียว และแผลบนศรีษะคือแผลที่ถูกทำร้าย”
“หมายความว่าเจ้าสรรค์จำเรื่องสีชัง จำเรื่องไปเป็นชาวเกาะไม่ได้”
“ค่ะ รวมทั้งจำเรื่องการแต่งงานจอมปลอม และแม่เด็กชาวเกาะนั่นไม่ได้ด้วย”
พระชาญชลาศัยตาสว่างวาบ สบตากับสุวลีอย่างดีใจ สุวลียิ้มนิดๆ ข่มท่าทีไว้

หมอลิขิตและนิดนั่งลงบนโซฟาระหว่างทางเดินในโรงพยาบาล หมอส่งผ้าเช็ดหน้าให้ นิดรับไปถือไว้เฉยๆ น้ำตาไหลออกมาอีก
“หมอทำอะไรพี่เสียมคะ ทำไมเขาจำนิดไม่ได้”
หมอลิขิตเองก็เพิ่งรู้
“จริงหรือ หมอจะไปดูเขาเดี๋ยวนี้ ไปด้วยกัน”
“ไม่ได้จ้ะ เขาไม่อยากเห็นหน้านิด เขาไม่อยากให้นิดอยู่ใกล้ พี่เสียมเกลียดนิด แม้แต่หน้าก็ไม่อยากเห็น”

สรรค์นอนอยู่บนเตียง หมอลิขิตอยู่ข้างเตียง พยาบาลยืนห่างออกไป พระชาญชลาศัยและสุวลียืนคู่กัน
“คุณสรรค์ จำได้ไหมคะว่าเดือนนี้เดือนอะไร ศักราชอะไร”
สรรค์ยิ้มแล้วบอกอย่างมั่นใจ
“โธ่ หมอ สมองผมความจำปรกติดีทุกอย่าง”
หมอลิขิตสบตากับพระชาญชลาศัยและสุวลี
“ปีนี้ก็พุทธศักราชสองพันสี่ร้อยแปดสิบเอ็ด เดือนเมษายน ผมจะลืมได้ยังไง เพราะวันปีใหม่ที่ ๑ เมษา เป็นวันหมั้นของผมกับสุ”
สุวลีน้ำตาคลอทั้งปลาบปลื้มและเจ็บปวดไปกับโชคชะตา
“เอ แล้ววันนี้วันที่เท่าไหร่หรือครับ”
“วันที่ 5”
“นี่ผมสลบไปถึง 3 วันเชียวหรือครับ โธ่เอ๊ย มิน่า คุณสุถึงได้สะเทือนใจขนาดนั้น”
“ความจริงแล้ว...”
พระชาญชลาศัยก้าวพรวดออกมาตัดบท
“คุณหมอครับ อย่าเพิ่งรีบร้อนอะไรเลยครับ เอาไว้ค่อยพูดค่อยคุยอะไรกันทีหลังดีกว่า ให้สรรค์พักผ่อนก่อนดีกว่า”
“ก็ได้ครับ”
“คุณอา ออกไปคุยธุระกับคุณหมอเถอะค่ะ เดี๋ยวสุจะดูแลสรรค์เอง” สุวลีบอก
พระชาญชลาศัยบุ้ยใบ้กับหมอลิขิตให้ออกไปข้างนอก สุวลีก้าวมากุมมือสรรค์ไว้ สุวลีมองตามประตูที่ปิดลงอย่างอยากรู้ว่า ภายนอกนั่นจะพูดว่ากระไร

บนโซฟาไม่ไกลจากห้องคนไข้นัก นิดนั่งนิ่ง ดวงตาจ้องมองแต่ประตูห้อง หมอกับพระชาญชลาศัยเดินเข้ามานั่งลงใกล้ๆ
“หนูนิด หนู...”
นิดคล้ายตื่นจากภวังค์หันมามองพระชาญชลาศัยที่กึ่งเป็นห่วง กึ่งพึงใจที่เกิดผลเช่นนี้ หมอลิขิตเองยังครุ่นคิดกับผลการผ่าตัด
“แปลกจริงๆ ผมไม่เคยเจอเคสแบบนี้มาก่อน” หมอลิขิตบอก
“คุณผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกันคะ” นิดถาม
“เชาชื่อสุวลีเป็นคู่หมั้นคู่หมายของสรรค์”
นิดแม้จะคาดเอาไว้แล้ว แต่ก็อดสะท้านเยือกจับใจ นิดพึมพำเบาๆ
“คู่หมั้น”
“ใช่ สรรค์หมั้นกับสุวลีก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นแค่วันเดียว นี่ถ้าไม่เกิดเรื่องขึ้นป่านนี้ สองคนคงแต่งงานแต่งการกันเรียบร้อยไปแล้ว”
นิดสะเทือนใจ มึนงงกับโชคชะตา
“ทำไมท่านไม่บอกนิดก่อน”
“ฉันเองก็ไม่รู้จะบอกเธอยังไงเหมือนกัน”
“คุณหมอคะ แล้วพี่เสียมจะจำนิด จำสีชัง จำเรื่องราวที่นั่นได้อีกไหมคะ”
พระชาญชลาศัยมองอย่างรอคำตอบ หมอลิขิตถอนหายใจแล้วบอก
“หมอเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะจำได้อีกไหม เขาอาจจะจำไม่ได้เลย หรือไม่ก็อาจจะกลับมาจำได้ แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นเมื่อไหร่”
“แล้วนิดจะทำยังไงต่อไปดีคะ”
นิดพูดอย่างเลื่อนลอย ลุกขึ้นช้าๆ เดินไปที่ประตูห้องคนไข้

ภายในห้องคนไข้ สุวลีนั่งหมิ่นอยู่บนขอบเตียง ไหล่เบียดชิดกับสรรค์ที่มองสุวลีอย่างแสนรัก
“แปลกจริง ไม่เจอสุแค่ไม่กี่วัน สุดูเปลี่ยนไป”
สุวลีมีแววเจื่อนไปแว่บหนึ่งแล้วรีบกลบเกลื่อน
“สุ . .ไม่ได้เปลี่ยนไปซักหน่อย”
สรรค์กุมมือสุวลีขึ้นมาจูบแล้วเห็นแขนตัวเอง
“ทำไมแขนผมถึงดำขนาดนี้”
“โธ่เอ๊ย สรรค์”
สุวลีสะเทือนใจ
“ต่อไปสุจะดูแลคุณเองค่ะ สุรักคุณคนเดียวและมีแต่คุณเท่านั้นตลอดไป”
“ผมก็รักสุของผม รักสุคนเดียวเท่านั้น”
สรรค์ดึงสุวลีมาจูบที่ริมฝีปากเนิ่นนาน
ที่ประตูห้อง ส่วนบนที่เป็นกระจกใส นิดมองตาเบิกกว้างเข้ามาในห้องเห็นสรรค์จูบสุวลีอยู่ก็หน้าซีดเผือดลง

นิดยืนตัวแข็งเกร็งแล้วเบือนหน้าหนี พยายามทรงตัวให้ตรง น้ำตาเต็มตาเอ่อล้นแล้วรินไหล นิดเดินไปข้างหน้าได้เพียงสองสามก้าวแล้วก็ทรุดฮวบสิ้นสติ นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นอันเยียบเย็น
หมอลิขิต พระชาญชลาศัย และนางพยาบาลรีบเดินเข้ามาดู

ในเวลาต่อมา รถแล่นมาจอดที่หน้าเทอเรซ พระชาญชลาศัยลงมากับคนขับรถแล้วประคองนิดลงมาจากรถ นิดเดินหน้าซีดไปข้างหน้าอย่างไร้ชีวิตจิตใจ แม่ผินก้าวมากับบัว แม่ผินเห็นแต่ไม่เข้าไปช่วย บัวมีท่าทางละล้าละลัง

ภายในห้องโถง พระชาญชลาศัยนั่งบนโซฟา มารศรีนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมีแม่ผินยืนอยู่ใกล้ๆ
“นี่โชคชะตาเล่นตลกกับแม่หนูนิดถึงขนาดนั้นเชียวหรือคะ” มารศรีถาม
“ฉันก็ยังงงอยู่เลย”
“ไม่ต้องงงหรอกค่ะคุณพระ คุณพระคุณเจ้าเข้าข้างเราแล้ว” ผินว่า
แม่ผินยิ้มย่องผ่องใส มารศรียิ้มเหยียด เลิกคิ้วถาม
“ตาย คุณพระคุณเจ้าของแม่ผินนี่ช่างใจร้ายจัง”
“ใจร้ายอะไรกัน”
“อ้าว ก็คุณพระคุณเจ้าของแม่ผินไม่เวทนาเด็กบ้านนอกตัวคนเดียวที่ฝากชีวิตไว้กับผัว แต่ต้องกลายเป็นแม่ม่ายผัวทิ้ง เพราะโชคชะตาบ้าๆ นี่”
มารศรียังคงยิ้ม พระชาญชลาศัยรู้ว่ามารศรีจงใจว่าตนมากกว่าแม่ผิน
“ฉันไม่รู้ นังเด็กนี่อยากใฝ่สูงให้เกินศักดิ์เอง” แม่ผินว่า
ที่บันได นิดเดินลงมาก็ชะงัก เกาะฝาฟังสนทนาอยู่
“แต่คนที่มีศีลธรรม มีเกียรติศักดิ์สูงส่งก็น่าจะเมตตาเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่งบ้าง”
“นี่เธอว่ากระทบฉันหรือ มารศรี”
“โถ ดิฉันน่ะหรือคะจะไปกล้าว่าคุณพระ”
“ฉันไม่ใช่คนใจร้าย ฉันไม่ได้ไปกะเกณฑ์ให้ผลการผ่าตัดมันออกมาแบบนี้ซักหน่อย นี่จู่ๆ เจ้าสรรค์ก็ลืมเรื่องสีชัง ลืมเรื่องเด็กคนนั้นเอง”
นิดยืนตัวสั่นระริก
“แต่นั่นมันก็ยิ่งเข้าทางคุณพระไม่ใช่หรือคะ”
พระชาญชลาศัยเมินหลบสายตาแล้วถาม
“ฉันทำไม”
“ถึงผลการผ่าตัดจะไม่ออกมาแบบนี้ คุณพระก็ไม่คิดจะรับเด็กนี่เป็นสะใภ้อยู่แล้วนี่คะ”
นิดเบิกตากว้างอย่างตกใจ
“คุณพระแค่หลอกใช้แม่นิดให้พาลูกชายท่านกลับมากรุงเทพฯง่ายๆ เท่านั้นเอง”
นิดนิ่งอั้นแล้วยิ้มเยาะกับชะตากรรมของตนเอง

ห้องพักแขกบ้านโพธิธาราปิดไฟมืด มารศรีเดินมาเคาะประตูแล้วเปิดประตู มารศรีถือถาดอาหารก้าวเข้ามาในความมืดๆ
“หนูนิดนอนอยู่หรือ นี่ฉันเองมากินอะไรซักหน่อยนะจ๊ะ”
มารศรีวางถาดลงบนไซด์บอร์ด แล้วคลำหาสวิตช์ไฟ ไฟสว่างขึ้น
“นิด”
มารศรีก้าวไปกลางห้องมองดูอย่างแปลกใจที่ห้องไม่มีคนอยู่ ห้องน้ำว่างเปล่า มารศรีเหลียวซ้ายแลขวาก็เห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง มารศรีก้าวไปหยิบแปรงผมที่ทับไว้ออกแล้วหยิบขึ้นมาอ่านดู
“คุณพระคะ ในเมื่อเรื่องราวกลับกลายมาเป็นเช่นนี้...”

ภายในห้องโถงบ้านโพธิธารา พระชาญชลาศัยสีหน้าเครียดถือจดหมายของนิดเอาไว้ในมือแล้วอ่านต่อ มารศรียืนเม้มปากอยู่ แม่ผินก็ฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“เมื่อพี่เสียมจำดิฉันไม่ได้อีกต่อไป เมื่อผู้ใหญ่ที่น่านับถือกลายเป็นแค่คนหลอกลวง...”
พระชาญชลาศัยชะงัก แม่ผินตาโต มารศรียิ้มเยาะ
“...เมื่อกรุงเทพฯ เมืองสวรรค์ไม่ใช่ที่ที่เด็กบ้านนอกต่ำๆ ควรจะมาอยู่ ดิฉันก็ควรจะไปจากที่นี่เสียที”
“ต๊าย ไม่ต้องพูดต้องจาก็ยอมไปง่ายๆ นี่เซซังกลับสีชังไปแล้วกระมัง” ผินพูด
“แม่ผินหุบปากก่อนเถอะ” มารศรีบอก
“ว้าย”
“คุณพระลองอ่านตอนสุดท้ายดูซีคะ”
พระชาญชลาศัยใจหาย ก้มลงอ่าน...
“...เมื่อพี่เสียมเปรียบเสมือนตายจากดิฉันไปแล้ว ดิฉันเองก็ไม่ควรที่จะอยู่อีกต่อไป...คุณพระช่วย นี่เธอคิดว่า...”
“ค่ะ”
“อิฉันไม่เห็นจะรู้เรื่อง คิดว่าอะไร” แม่ผินบอก
“ฉันคิดว่าแม่นิดกำลังจะคิดสั้น”
“ต๊าย ตาย ตายแล้ว” ผินร้องขึ้นเสียงหลง
พระชาญชลาศัยผลุนผลันออกไปที่เทอเรซบ้านโพธิ์ธารา

แขกยามนั่งพนมมืออยู่ที่พื้น พระชาญอยู่บนเทอเรซ มารศรี แม่ผินอยู่ข้างหลัง บัวกับสมพงษ์เลิ่กลั่กอยู่หลังแขกยาม
“อ๋อ เด็กผู้หญิงผมยาวน่ะหรือนายจ๋าออกไปตั้งแต่ห้าทุ่มแล้ว” รามซิงค์พูดขึ้น
“ไปไหน”
“ออกไปนอกถนนจ้า”
“ออกไปนอกถนนน่ะ ทางไหน”
“ทางซ้าย หรือไม่ก็ทางขวาฉันเองก็ไม่รู้จ้า”
พระชาญชลาศัยละล้าละลัง
“ออกไปเป็นชั่วโมงแล้ว สมพงษ์ไปบอกให้เตรียมรถเดี๋ยวนี้”
สมพงษ์วิ่งไป พระชาญชลาศัยกลับเข้าไปเปลี่ยนกางเกง แม่ผินยืนหน้าซีด
“ตั้งชั่วโมงแล้ว ฮือ ตายไปแล้วก็ไม่รู้” ผินว่า
“ฆ่าตัวตาย วิญญานคงจะเฮี้ยนมากนะ แม่ผิน”
มารศรีตามพระชาญชลาศัยเข้าบ้านไป แม่ผินหน้าเสีย บัวจับแขน แม่ผินร้องวี๊ด

“ว้าย นังบัว แกนะแก มือเย็นยังกับมือผี”
“นี่มันเรื่องอะไรกันคะ ทำไมดูลับๆ ล่อๆ ชอบกล” บัวว่า
แม่ผินไม่ตอบสะบัดหน้าพรืด

ถนนที่ทอดยาวมีแสงไฟจากเสาไฟฟ้าเป็นระยะ ต้นไม้สองข้างทางเป็นระเบียบกลับดูมืดทะมึน นิดในยามนั้น ดวงตาว่างเปล่าและยังมีคราบน้ำตาอยู่บนแก้มค่อยๆก้าวเดินไปบนถนนที่ทอดยาวอันเวิ้งว้างนั้นอย่างเรื่อยเปื่อย เลื่อนลอยและไร้จุดหมาย
เมฆทะมึนเคลื่อนมาบนท้องฟ้า

บริเวณสะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก นิดเริ่มเดินช้าลง สองขาเมื่อยล้า เท้าปวดระบมจนเริ่มเซ นิดมาหยุดมองดูตรงหน้า เบื้องหน้าเป็นสะพานข้ามแม่น้ำดูตระหว่าน โครงเหล็กคานสะพานดูทึบทะมึน นิดมองดูสะพาน ดวงตาแสนรวดร้าวแล้วก้าวเดินไปบนสะพาน
สายน้ำเบื้องล่างดูดำมืดไหวเป็นระลอกอย่างเชื่องช้าราวจะกวักมือเรียก เมฆฝนมากมายเคลื่อนมาบนฟ้า แสงสายฟ้าแลบแปลบปลาบ ลมแรงพัดมา สายลมกระโชกพัดเข้าไปปะทะร่างนิดจนผงะ เสื้อไหวพลิ้วแนบร่างบอบบาง ผมยาวปลิวสะบัดไหว นิดดวงตาปวดร้าวถึงขีดสุด
นิดก้าวเหยียบราวสะพานเตรียมปีน ฟ้าแลบสว่างวาบ

ในเวลาเดียวกัน ในห้องคนไข้ ลมแรงกระชากจนหน้าต่างห้องเปิดผางออกดังสนั่น สรรค์นอนอยู่บนเตียงผวาตื่นลุกขึ้น ฟ้าแล่บสว่างมาถึงเตียง

นิดปีนไปยืนบนราวสะพานยืดตัวยืนตรง ลมแรงพัดอยู่รอบตัว ผมยาวปลิวระหน้าตา

บนเกาะสีชังในเวลาเดียวกัน ที่นอกชาน เนื่องเอาแหมาเย็บซ่อมรอยขาด แก้วนั่งกอดเข่าเจ่าจุกอยู่
“ไป ดึกแล้วข้าจะไปส่ง” เนื่องบอก
“ทำไมคืนนี้มันถึงได้อ้าวๆ อย่างนี้ อากาศแบบนี้ไม่สบายใจเลย” แก้วว่า
“ก็แค่ฝนจะตก”
“ฉันเป็นห่วงนิดมัน ป่านนี้เป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้ นายเสียมไม่รู้ผ่าหัวไปหรือยัง”
เนื่องทำท่าเฉยๆ แต่ซ่อนความห่วงใยไว้
“ไม่มีอะไรหรอกน่า”
นางนิ่มเปิดประตูออกหน้าซีดเผือด เดินมานั่งรวมกลุ่มด้วย
“อ้าว แม่ คิดว่าหลับไปแล้ว” เนื่องว่า
“แม่ฝัน ผันไม่ดีเลย” นางนิ่มบอก

เนื่องหน้าเสียตาม
“แม่ฝันเห็นนิดร้องไห้ ร้องเหมือนน้ำตาจะเป็นสายเลือด”

บนท้องถนน … ภายในรถ พระชาญชลาศัยนั่งข้างคนขับและมีสีหน้าร้อนใจ ทั้งคู่มองหาตามสองข้างทาง

นิดยืนบนราวสะพานลมแรงพัดมารอบตัว ฟ้าแลบแปลบปลาบ นิดมองเลื่อนลอยลงไปเบื้องหน้า
“พี่เสียม”
นิดก้มหน้าลงดูสายน้ำเบื้องล่างที่เคลื่อนไหลเป็นระลอกสีดำดูน่าสะพรึงกลัว

บริเวณชายทะเล นางนิ่มจุดธูปทั้งกำมือ เปลวไฟลุกโพลงอยู่เหนือยอดธูปก่อนที่นางจะโบกมือดับไฟเปลวนั้น แล้วคุกเข่าลงกับพื้นทราย เนื่องและแก้วคุกเข่าอยู่ด้านหลัง ตั้งจิตอ้อนวอนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก่อนจะปักธูปลงกับพื้น
“สิ่งศักดิ์สิทธิ์ .. ช่วยคุ้มครองนิดด้วย”

นิดขยับเท้าก้าวออกไปแต่ลมแรงพัดร่างโงนเงน เมฆฝนด้านบนเคลื่อนป่วนปั่น นิดดูราวอยู่ในภวังค์ เสียงลมวู่หวิวคล้ายมีเสียงเรียกแทรกมา
“นิด”
นิดตื่นจากภวังค์ เสียงเรียกดังมาอีก
“นิด อย่านะลูก”
นิดกระพริบตายืดไหล่ รำพึงเบาๆ
“แม่”
มีแสงสว่างส่องมา นิดค่อยๆ หันไปดู แล้วตาเบิกกว้างที่ทางเท้าของสะพาน แม่นิ่มยืนมองอย่างเป็นห่วงแล้วก้าวเข้ามาอย่างช้าๆพร้อมกางสองแขนออก
“อย่านะลูก”
นิดน้ำตาไหล ทันใดนั้นก็เสียหลักร่างโงนเงน ร่างของแม่นิ่มเข้ามาถึงเข้ากอดขานิดไว้ นิดทรงได้ แม่นิ่มรับนิดลงมา นิดลงมาในอ้อมแขนและพบว่าภาพแม่นิ่มในภวังค์นั้น ที่แท้คือมารศรี มารศรียังคงใจระทึก แต่พยายามปลอบใจ
“นิด กลับไปกับฉันก่อนเถอะ”
นิดพยักหน้า มารศรีถอนหายใจยาว

ภายในบ้านโพธิธาราตอนกลางคืน พระชาญชลาศัยนั่งเหนื่อยอ่อนอยู่บนโซฟา แม่ผินเดินยกเอากาแฟมาให้ มารศรีก้าวลงจากบันไดมา พระชาญชลาศัยนลุกขึ้นมองอย่างตั้งคำถาม
“สงบดีแล้วค่ะ คงไม่มีอะไรแล้ว”
พระชาญชลาศัยถอนหายใจยาวแล้วลงนั่งไปใหม่ แม่ผินมองค้อนขึ้นไปชั้นบน
“โชคดีจริงที่เธอเอารถออกตามหาอีกทาง” พระชาญชลาศัยบอก
“ฮึ แม่คนนี้ทำเอาตกอกตกใจกันหมด” ผินบอก
มารศรีลงนั่งบนโซฟา เสียงนางผินยังเจื้อยแจ้วเสียดสีนิดอยู่
“เด็กอะไรไม่รู้จักบาปจักบุญ ฆ่าตัวตายน่ะมันบาปหนา”
“อ้อ แล้วพรากผัวพรากเมียเขานี่คงไม่บาปเท่าไหร่ซีนะ” มารศรีว่า
แม่ผินค้อนขวับ
“ดีนะ ที่เธอไปทัน ไม่งั้นฉันคงไม่รู้จะตอบหลวงพิจารณ์ว่ายังไง หลวงพิจารณ์คาดคั้นฉันเอาไว้เสียหนักหนา”
“คุณพระคะ คนที่คุณพระควรจะห่วงที่สุดไม่ใช่หลวงพิจารณ์อะไรนั่นหรอกนะคะ แต่คือเด็กคนนี้ต่างหาก”
มารศรีอดรนทนไม่ไหวลุกเดินขึ้นชั้นบนไป

ภายในห้องพักแขกปิดไฟมืด แสงจันทร์สว่างเป็นลำทอดเข้ามาทางหน้าต่างทาบลงบนเตียง นิดนั่งเอนพิงพนักเตียง บนตักมีนิตยสารหน้าปกสุวลี นิดมองรูปนั้นอย่างเจ็บปวด

เช้าวันรุ่งขึ้น สุวลีสวมชุดอยู่บ้านยาวกรุยกรายราวเจ้าหญิงเดินตรงไปยังอีกด้านของตึก แล้วหยุดลงที่หน้าห้องนอนใหญ่ของบ้าน วาดและเดือนออกมายอบตัวและคุกเข่าลง
“คุณแม่ลงไปหรือยัง”
“คุณหญิงท่านกำลังคุยกับคุณเฟื่องเจ้าค่ะ”
“อ้อ เธอสองคนลงไปได้แล้ว ฉันจะคุยธุระกับคุณแม่ แล้วอย่าให้ใครมายุ่มย่ามแถวนี้”
สุวลีพูดเรียบๆ แต่ดวงตาดุจนวาดกับเดือนต้องหลบตาและรับคำ

ภายในห้องนอนของพระยากีรติ คุณหญิงบัวผันนั่งอยู่บนเก้าอี้ถึงกับอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเรื่องราวของสรรค์จากปากสุวลีซึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม เฟื่องยืนเยื้องไปหลังของสุวลี
“คุณพระช่วย แล้วเด็กนั่นจะเป็นยังไงนี่”
“คุณแม่น่าจะห่วงสุมากกว่านะคะ” สุวลีว่า
“โถ ลูก แม่ต้องห่วงหนูอยู่แล้ว แต่เด็กคนนั้นก็แต่งงานแต่งการกับตาสรรค์แล้ว”
สุวลีมีสีหน้าเย็นชาแล้วว่า
“งานแต่งงานนั่นต้องเป็นโมฆะ”
“แม่เด็กคนนั้นแต่งกับคุณสรรค์เพราะความใกล้ชิด คงไม่ได้รักใคร่ผูกพันกระไรหรอกค่ะ คนเดียวที่คุณสรรค์รักและเทิดทูนก็คือคุณน้องต่างหาก” เฟื่องว่า
สุวลีเชิดหน้ายิ้มนิดๆ บัวผันถอนใจ
“ตอนนี้สรรค์จำเด็กคนนั้นไม่ได้แล้ว ซ้ำยังชังน้ำหน้าอีกด้วย”
“แล้วพระชาญว่ายังไงบ้างลูก”
“เห็นว่าจะส่งเด็กคนนั้นกลับสีชังแล้วให้เงินซักก้อน ให้อยู่สบายไปตลอดชีวิต”
“คนพวกนี้ยากจนข้นแค้น พอเห็นเงินเข้าก็ตาโต ลืมทุกข์ลืมโศกแน่ค่ะ แล้วอีกหน่อยก็คงแต่งงานมีผัวใหม่ พวกบ้านนอกแบบนี้มันทนไม่ไหวหรอกค่ะ” เฟื่องบอก
“แหม แม่เฟื่อง พูดอะไรขนาดนั้น .. เอาเถอะลูก ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงไม่สู้กระไรนัก” บัวผันว่า
“ค่ะ แต่ว่าเรื่องนี้ ให้เรารู้กันแค่ 3 คนนะคะ แม้แต่เจ้าคุณพ่อกับคุณพี่ก็อย่าให้รู้”
“จ้ะๆ แม่ไม่พูดหรอก ตอนนี้เจ้าคุณพ่อก็มีเรื่องสุมอกพออยู่แล้ว ไหนจะเรื่องเรือสินค้าของเรา ไหนจะเรื่องคณะรัฐบาลอีก”
“มีอะไรหรือคะ”
“แม่ก็ไม่รู้แน่ รอให้เจ้าคุณพ่อเล่าเองเถอะลูก”
“ค่ะ”
“เออ แล้วนี่ลูกส่งข่าวถึงเสวกกับคุณบุญมาหรือยัง”
“สุจะให้พระชาญโทรเลยไปวันนี้ล่ะคะ”

ตอนกลางวันในวันเดียวกัน นิดยืนเกาะหน้าต่างมองออกไปเบื้องล่าง เห็นแปลงผักสวนครัวเป็นทิวแถวอยู่หน้าเรือนคนใช้ สมพงษ์กับบัวกำลังช่วยกันรดน้ำพลางคุยกัน
นิดพลางนึกถึงภาพที่ยืนคุยกับเสียมในแปลงผักที่เกาะสีชังก็น้ำตาเอ่อไหลรินอีก
เสียงเคาะประตูดังขึ้น นิดรีบปาดน้ำตาหันมา มารศรีเดินถือถาดอาหารเข้ามาวางที่โต๊ะเขียนหนังสือ นิดก้าวมาหา
“หนูจ๋า กินอะไรหน่อย” มารศรีบอก
“หนูกินอะไรไม่ลงหรอกจ้ะ”
“หนูคงไม่รู้ว่า คนที่ไม่มีอะไรกินเป็นวันๆ เป็นยังไง แต่ฉันรู้ เพราะฉันเคยอดอยากมาแล้ว”
นิดมีสีหน้าแปลกใจ
“คนเรา พอท้องมันว่างเปล่า หัวมันก็จะตื้อไปหมด คิดอะไรก็ไม่ออก ตอนนี้หนูมีเรื่องต้องคิดให้มากๆ ฉะนั้นอย่าให้ท้องว่างจะดีกว่า”

สาวน้อย ตอนที่ ๑๒ (ต่อ)
นิดนิ่งคิดตามคำพูดของมารศรีแล้วพยักหน้า จึงนั่งลงกินข้าวอย่างช้าๆ มารศรีมองอย่างพอใจ มารศรีรินน้ำจากเหยือกลงแก้ว นิดรวบช้อน แล้วดื่มน้ำ

“คุณพระไปโรงพยาบาลแล้วหรือคะ” นิดถาม
“คงยังมั๊ง”
“คุณพระพูดอะไรกับคุณนายบ้างคะ”
“บอกว่าพรุ่งนี้จะพาหนูกลับสีชัง”
นิดนิ่งงันแล้วส่ายหน้า
“หนูกลับไปสีชังไม่ได้ค่ะ กลับไปไม่ได้”
“ทำไม ทำไมถึงกลับไปไม่ได้”
“ทุกคนคงสมน้ำหน้าหนู แม่กับพี่เนื่องคงต้องอับอายขายหน้าเขา หนูจะไม่ยอมให้แม่ต้องมาอับอายเพราะหนู .. แล้วที่ร้ายกว่านั้น”
“อะไรหรือจ๊ะ”
“พี่เสียม .. พี่เสียมอาจเป็นอันตราย”
“เพราะอะไร”
“เพราะมีคนบอกว่า ถ้าพี่เสียมทอดทิ้งนิด เขาจะฆ่าพี่เสียมให้ตายอย่างทรมานที่สุด”
“โธ่เอ๊ย หนู”
นิดพูดแบบหวาดหวั่นจริงๆ มารศรีได้แต่ถอนใจพูดอะไรไม่ออก

ภายในห้องคนไข้ สรรค์ลุกขึ้นเดินอย่างช้าๆเพื่อยืดเส้นยืดสาย สุวลีคอยประคับประคองพาเดินอยู่ข้างๆ พระชาญชลาสัยนั่งอยู่ที่เก้าอี้มองอย่างพอใจ
“นี่คุณพ่อทำเรื่องลาป่วยให้ผมแล้วใช่ไหมครับ”
“เอ่อ .. เรียบร้อยแล้ว”
“เฮ้อ ไอ้พวกโจรนั่น มันเอารถผมไปทำอะไรแล้วก็ไม่รู้”
“รถแกน่ะหรือ เราได้รถคืนมาแล้วล่ะลูก”
สรรค์ยิ้มตาโตเดินมาที่โซฟา
“จริงหรือครับ ตำรวจเก่งจริง แค่ไม่กี่วันเอง”
พระชาญชลาศัยสบตาสุวลี
“แล้วไอ้โจรสองคนนั่นล่ะครับ”
“ตำรวจได้ตัวแล้วคนนึง แต่อีกคนมันหนีไปได้”
“อ้อ .. นี่ผมเป็นห่วงงานที่กรมจัง ไม่รู้ว่าเขาส่งใครไปหัวเมืองเหนือแทนผม”
พระชาญชลาศัยทนไม่ไหวอยากจะบอกความจริง สุวลีก้าวออกมาตัดบท
“คุณอาคะ อย่าเพิ่งคุยอะไรมากเลยค่ะ ให้สรรค์นอนพักก่อนดีกว่า นะคะสรรค์”
“ว้า นอนอีกแล้ว ไม่นอนไม่ได้หรือ”
“อย่าดื้อซีคะ”
“ครับ คุณพยาบาล”
สุวลียิ้มเอาใจ แต่ดวงตาแข็งกระด้าง

บริเวณสวนหย่อมของโรงพยาบาล สุวลียืนหน้าเคร่งโดยพระชาญชลาศัยยืนอยู่ตรงหน้า
“อาว่า เราน่าจะบอกความจริงสรรค์เสียที”
“ความจริงเรื่องอะไรหรือคะ”
“ก็เรื่องที่มันความจำเสื่อม ว่าที่จริงเวลามันผ่านไปจะครึ่งปีแล้ว”
“แล้วเรื่องสีชังกับแม่สาวชาวเกาะนั่นละคะ”
“ไม่ เราจะให้สรรค์รู้ไม่ได้”
สุวลียิ้ม
“งั้นคุณอาก็ต้องไปวางแผนให้ดีล่ะค่ะว่า “ความจริง” ที่เราจะบอกสรรค์มันควรจะเป็นยังไงบ้าง”
“ใช่ ใช่ อาลืมไป”
สุวลีถอนใจแล้วก้าวเข้ามายืนใกล้
“แล้วเด็กนั่นล่ะคะ”
“พรุ่งนี้มีเรือกลับสีชัง อาจะพากลับไปส่งเอง”
“เด็กนั่นจะยอมหรือคะ”
“ก็ต้องยอมซี หนูสุไม่ต้องกังวลไปหรอก”
“สุไม่อยากใจไม้ไส้ระกำ คุณอาควรให้เงินเด็กนั่นก้อนใหญ่หน่อย ให้อยู่ได้อย่างสบาย ไม่ต้องลำบากอีก”
พระชาญชลาศัยยิ้มรับแล้วพยักหน้าอย่างชื่นชม
“อาก็คิดว่าอย่างนั้น หนูสุนี่ใจดีจริง”
“ค่ะ ถ้าเด็กนั่นมีเงินมีทองคงหาผู้ชายคนใหม่ได้ไม่ยาก จะได้ลืมสรรค์ได้เร็วๆ”
สุวลีพูดน้ำเสียงเรียบๆ ปากยิ้มแต่ดวงตายังขุ่นอยู่

ในเวลากลางคืน ภายในโถงบ้านโพธิธารา พระชาญชลาศัยยื่นส่งซองหนาซองหนึ่งให้นิด นิดรับมา แล้วเงยหน้ามองพระชาญ
“พันนึงหรือคะ” นิดถาม
พระชาญนั่งอยู่บนโซฟา นิดนั่งอยู่ที่พื้นตรงหน้า แม่ผินนั่งยิ้มเหยียดอยู่ข้างหนึ่ง มารศรียืนกอดอกอยู่หลังสามี
พระชาญชลาศัยพยักหน้ารับ นิดมีสีหน้าเย็นชาถาม
“ค่าอะไรหรือคะ”
“ก็สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด”
นิดมีดวงตาเป็นประกายขึ้นแล้วถาม
“คงไม่ใช่ ค่าชีวิตของพี่เสียมนะคะ”
มารศรียิ้ม พระชาญชลาศัยสะดุ้ง แม่ผินตบอกผางแล้วบอก
“ว้าย ดูพูดเข้า”
“โธ่ ไม่ใช่อย่างนั้นที่หนูช่วยเจ้าสรรค์ จะมาตีค่าเป็นเงินได้ยังไงกัน”
“หรือว่าคือ ค่าจ้างที่นิดช่วยเกลี้ยกล่อมพี่เสียมให้กลับมาผ่าตัดง่ายๆ”
นิดพูดแทงใจดำ มารศรีหัวเราะกิ๊กหนึ่ง พระชาญชลาศัยมองด้วยสายตาโกรธ แม่ผินค้อนขวับ
“โธ่ หนูอย่ามาพูดเหมือนฉันเป็นคนเจ้าเล่ห์เจ้ากลขนาดนั้นเลย”
“งั้นแปลว่าที่คุณพระบอกว่า ยินดีจะรับนิดเป็นสะใภ้ เป็นความจริงใช่ไหมคะ”
คำพูดของนิดทำให้พระชาญชลาศัยต้องกลืนน้ำลายและหลบสายตา
“เรื่องที่เกิดขึ้นฉันไม่ได้รู้ล่วงหน้าว่า ผ่าตัดแล้ว สรรค์จะจำเธอไม่ได้”
นิดยิ้มอย่างขมขื่น
“แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก็สมใจคุณพระแล้วไม่ใช่หรือคะ”
พระชาญจนด้วยถ้อยคำแต่โกรธจนลุกขึ้นถาม
“แล้วเธอจะให้ฉันทำยังไง จับเจ้าสรรค์ไปผ่าตัดซ้ำจนกว่ามันจะจำเธอได้อย่างงั้นหรือ”
นิดส่ายหน้า
“ใช่ ฉันอาจจะดูเหมือนใจจืดใจดำ แต่ก็เพราะฉันเห็นแก่เจ้าสรรค์ ฉันอยากให้มันมีความสุข มีชีวิตที่ดีที่สุดกับคู่ที่คู่ควรและส่งเสริมมันให้เจริญรุ่งเรือง”
นิดมีสีหน้าขมขื่น
“เจ้าสรรค์ตัวจริงไม่ใช่เจ้าเสียมอะไรของเธอมันเป็นข้าราชการที่กำลังก้าวหน้า เป็นคนโก้ในวงสังคมอยู่ในแวดวงผู้ดี พูดภาษาฝรั่งเป็นไฟ เต้นรำ ตีกอล์ฟ เล่นเทนนิส ชีวิตแบบนี้เธอรู้จักหรือ”
นิดยิ้มขื่นๆ มารศรีมองสามีแล้วเปรยขึ้นอย่างเยาะๆ
“แม่นิดคงเข้าใจแล้วล่ะค่ะ ไม่ต้องยกตัวอย่างหรูหราอะไรมาบอกอีกหรอก”
“ค่ะ ดิฉันเข้าใจสิ่งที่คุณพระพูด ว่าเมื่อเปรียบกับคนกรุงแล้ว คนบ้านนอกเหมือนไม่ใช่คนด้วยซ้ำ”
“พอเถอะ เลิกพูดเหน็บแนมเสียที นี่ แม่นิด เธอเคยพูดเองไม่ใช่หรือ ว่าเธอรักเจ้าสรรค์มากจนยอมสละได้ทุกสิ่ง”
นิดนิ่งงันเงยหน้าขึ้นสบตาพระชาญ ดวงตานั้นเศร้าแต่แรงกล้าขึ้นเรื่อยๆ ราวกับตัดสินใจแน่วแน่แล้ว
“ค่ะ ดิฉันจะยอมสละชีวิต ยอมสละความสุข ยอมสละทุกสิ่งทุกอย่าง เพื่อให้พี่เสียมมีชีวิตที่เพียบพร้อมที่สุด”
“ก็ถ้าอย่างนั้น...”

พระชาญชลาศัยตาเป็นประกายราวกับเห็นช่องทางสว่าง นิดพูด
“ค่ะ ดิฉันจะไปจากชีวิตพี่เสียมจะไม่มีใครรู้เรื่องสีชัง เรื่องเกาะวิมานน้อย”

นิดยกมือขึ้นดูแหวนพลางยิ้มเศร้า เสียงเลื่อนลอย
“เรื่องแหวนท้าวทุษยันต์ เรื่องนางเงือกน้อยในนิทาน เรื่องรูปวาดสาวน้อย”
แม่ผินสบตาพระชาญชลาศัยราวกลัวว่านิดจะวิกลจริตไป
“ฉันขอบใจจริงๆ ที่เธอทำเพื่อฉัน”
“เปล่าค่ะ ดิฉันไม่ได้ทำเพื่อคุณพระ ไม่ได้ทำเพื่อคุณสุวลี แต่ทำเพื่อพี่เสียมคนเดียวเท่านั้น”
นิดมองเลยไป

เช้าวันใหม่ นิดนั่งบนเตียงในห้องพักแขกมีกระเป๋าเดินทางใบเล็กอยู่ตรงหน้า นิดหยิบนิตยสารหน้าปกสุวลีวางลงไปในกระเป๋าแล้วปิดกระเป๋าลง
มีเสียงเคาะประตู มารศรีเปิดประตูห้องเข้ามานั่งบนเตียง
“ฉันไม่อยากให้หนูไปเลย”
“คุณดีกับหนูมาก ในขณะที่ทุกคนรังเกียจเดียดฉันท์หนู คุณเป็นคนเดียวในเมืองกรุงที่ดีกับหนูมาตลอด”
นิดซาบซึ้ง มารศรียิ้มขบขัน
“ฉันจะบอกอะไรให้นะหนู คนที่ดีกับเราไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนดี และคนที่ทำอะไรแย่ๆ กับเรา ไม่ได้แปลว่าเขาเป็นคนไม่ดี จะดูคน มันต้องดูกันนานๆ”
“แต่หนูแน่ใจว่าคุณเป็นคนดี”
“แต่ก่อนนี้ ชีวิตฉันลำบากมาก ฉันทำเรื่องอะไรแย่ๆ มามากมาย พอถึงตอนนี้ ชีวิตฉันดีขึ้น ฉันก็เลยอยากจะทำอะไรดีๆ บ้างมั้ง”
“แต่หนูคิดว่าต้องมีอะไรซักอย่างที่...ทำให้คุณอยากช่วยหนู”
“ฉลาดจริง ไม่ใช่อะไรหรอก คงเพราะเรื่องที่เกิดขึ้น ที่สรรค์ความจำเสื่อมจนระเห็จระเหินไปเจอหนู ฉันถือว่าฉันก็มีส่วนด้วย”
มารศรีพูดมีแววประหลาด นิดคิดว่าหมายถึงการที่สรรค์ทะเลากับมารศรี
“ค่ะ”
“อีกอย่างหนึ่งก็คงเพราะว่าพวกผู้ดีตีนแดง เขาก็รังเกียจเดียดฉันท์ฉัน พอๆกับหนูเหมือนกัน”
แม่ผินก้าวมายืนเชิด ชูคางสูง
“พูดถึงก็มาเชียว พวกผู้ดีตีนแดง”
“อ้าว ลงไปซะทีซียะ”
นิดยิ้มนิดๆ อย่างเริ่มชินกับกิริยาของแม่ผิน

ภายในห้องโถง พระชาญชลาศัยนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว แม่ผินเดินนำหน้ามารศรี และนิดที่ถือกระเป๋าลงบันไดมาด้วย
พระชาญชลาศัยยิ้มแล้วลุกขึ้น
“มาแล้วหรือ รีบไปเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันเรือ”
“เรืออะไรคะ”
“อ้าว ก็เรือกลไฟกลับสีชังไง”
“หนูไม่กลับสีชังค่ะ หนูจะอยู่ที่กรุงเทพฯ นี่”
พระชาญชลาศัยอ้าปากค้าง แม่ผินตบอกผาง มารศรียิ้มบนใบหน้า
“อยู่กรุงเทพฯ หนูจะอยู่ได้ยังไง”
“อยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกนะยะ” ผินบอก
“ข้อนั้นหนูทราบดีค่ะ หนูจะทำงานหาเลี้ยงตัวแล้วส่งเงินไปให้แม่ที่บ้าน”
“จะต้องหางานหาเงินอะไรกัน เงินที่ฉันให้หนูก็ไม่ใช่น้อย”
นิดยิ้มแล้วหยิบซองเงินส่งคืนให้ พระชาญชลาศัยไม่รับ
“เงินนี่ หนูรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
“ไม่เอาน่า หนู”
นิดวางซองเงินลงบนโต๊ะ
“หรือว่าเงินมันน้อยไปจะรีดให้มันหนักกว่านี้” ผินว่า
“แม่ผิน เงียบก่อน”
พระชาญชลาศัยเกือบตวาด แม่ผินหน้าเสีย มารศรียิ้มเยาะอย่างเปิดเผย พระชาญชลาศัยนั่งลงอย่างหมดเรี่ยวแรง
“ทำไมนะ ทำไมหนูต้องทำให้ฉันลำบากใจขนาดนี้”
“คุณพระน่าจะถามว่า ทำไมหนูนิดต้องทำตัวเองให้ลำบากมากกว่านะคะ” มารศรีบอก
พระชาญชลาศัยอึ้งไปแล้วมองหน้ามารศรี
“หนูไม่ลำบากหรอกค่ะ หนูต้องอยู่ได้”
“ในพระนครนี่ หนูจะทำงานอะไรได้ นอกจากงาน .. คนใช้”
“มันไม่ใช่งานต่ำสำหรับหนูหรอกค่ะ”
“จริงด้วยค่ะ เพราะบางบ้าน คุณแม่บ้านน่ะสูงส่งกว่านายเสียด้วยซ้ำ” มารศรีแดกดันแม่ผิน
“นี่!” ผินจะแว้ด
“แม่ผิน!”
พระชาญชลาศัยส่งเสียงปรามอย่างเหน็ดเหนื่อย แม่ผินสะบัดหน้าพรืด
“งั้นฉันจะพาหนูไปที่ ที่เขาจัดหางาน”
“ขอบพระคุณค่ะ แต่ก่อนไปหนูขอไปดูพี่เสียมอีกซักครั้งได้ไหมคะ”

ยามกลางวัน เมฆบนฟ้าทำให้บรรยากาศในสวนของโรงพยาบาลไม่สดใสนัก สรรค์มีสีหน้าแจ่มใส นั่งอยู่บนเก้าอี้รถเข็นโดยมีสุวลีเป็นคนเข็นอยู่ ทางด้านหลังเป็นคุณเฟื่องและพยาบาลนางหนึ่งยืนยิ้มดูอยู่
“สรรค์เหนื่อยหรือยังคะ”
“ผมต่างหากที่ต้องถามว่าสุเหนื่อยหรือยัง”
“สุไม่เหนื่อยหรอกค่ะ เพื่อสรรค์แล้วสุทำได้ทุกอย่างค่ะ”
สุวลียิ้มแย้มดวงตาเป็นประกายวาววับ
“ทำไมบุญมากับเสวกถึงไม่มาเยี่ยมผมบ้างเลย”
“ตอนนี้คุณบุญมากับพี่เสวกอยู่ปักษ์ใต้ค่ะ สุวิทยุโทรเลขลงไปตามแล้ว”
“ไปใต้!? ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ไปทำไมกัน เอ นี่ผมไม่รู้ตัวไปกี่วันกันแน่”
“คุณบุญมาก็ไปหาแรงดลใจเขียนนิยายน่ะซีคะ ส่วนพี่เสวกก็หาเรื่องตามไปเที่ยวด้วย”
สุวลีโกหกอย่างไม่มีพิรุธ แต่สรรค์กลับคิดไปเรื่องอื่น...
“แรงดลใจ .. เทวีแห่งแรงดลใจ จำได้ไหมสุ ผมเคยฝันเห็นเทวีแห่งแรงดลใจ”
สุวลีจำไม่ได้แล้ว แต่สรรค์ยิ้มละไมเมื่อคิดถึงภาพของเทวีแห่งแรงดลใจจุมพิตสรรค์
สรรค์ยิ้มมากขึ้นราวกับอยู่ในภวังค์ สุวลีมองเลยไปเห็นรถพระชาญแล่นมาจอดในลานจอดรถ สุวลีตาวาว นิดมองตรงมา ดวงตานั้นมีแววดีใจและเศร้าสร้อยระคนกัน
สวุลีขยับกายมาบังสายตานิดกับสรรค์ไว้ แล้วพูดกับสรรค์อย่างอ่อนโยน
“เราไปตรงน้ำพุตรงนั้นดีกว่านะคะ”
“ตามใจสุสิครับ”
สุวลีเข็นรถสรรค์ไป นิดมองตาม คุณเฟื่องและนางพยาบาลซุบซิบกัน คุณเฟื่องมองนิดด้วยสายตาจงชัง
ภายในห้องรับรอง นิดยืนแอบกรอบหน้าต่างมองดูสวนน้ำพุด้านนอกเห็นสรรค์พูดคุยกับสุวลีอย่างสุดรักและอ่อนโยน ภาพนั้นทำให้นิดน้ำตาคลอและยิ้มอย่างสุขใจ ทว่าความขมขื่นก็พลุ่งขึ้นมาจนได้
พระชาญชลาศัยยืนอยู่กับหมอลิขิตที่มองนิดอย่างเวทนา มีนางพยาบาลจอมเชิดยืนอยู่ด้วย
“สรรค์อาการดีขึ้นมากนะครับ”
“อย่างนี้ไม่กี่วันก็กลับไปพักฟื้นที่บ้านได้แล้ว” หมอลิขิตว่า
“จะอะไรล่ะคะก็เพราะมีกำลังใจดีน่ะซี คุณสุวลีเธอดูแลไม่ให้ห่างตาเลย” นางพยาบาลว่า
นิดสีหน้าสลดลง นางพยาบาลยังพูดเรื่อยเจื้อย
“คุณสุวลีน่ะสวยเหมือนนางฟ้า อยู่ที่ไหนก็หอมฟุ้งตรงนั้นเห็นว่าเป็นน้ำอบจากฝรั่งเศสเชียวนะคะ”
“นี่คุณ ไม่มีอะไรทำหรือ”
หมอลิขิตถามจนนางพยาบาลเดินหน้าเรี่ยออกไป นิดเดินมาหาพระชาญชลาศัย
“หนูคงวางใจเรื่องสรรค์แล้ว”
นิดยิ้มจางๆ แต่ไม่ตอบ

“เราจะไปกันได้หรือยัง”
“ก่อนไป หนูขออะไรคุณพระอีกซักอย่างค่ะ”
“อะไรอีกล่ะ”
“หนูขอคุยอะไรกับคุณสุวลีได้ไหมคะ”
พระชาญชลาศัยอ้าปากค้าง

บริเวณทางเดิน สุวลีเลิกคิ้ว ยิ้มเหยียดแล้วบอก
“คงไม่จำเป็นกระมังคะ สุกับเด็กคนนั้นไม่ควรมาพูดจากันหรอกค่ะ”
สุวลียืนตัวตรง คุณเฟื่องยืนอยู่ด้วย พระชาญชลาศัยทำหน้าเหนื่อยใจอยู่ตรงหน้า
“จะคุยกับคุณน้องหรือ นังเด็กนั่นมันคิดว่ามันเป็นใครกัน” คุณเฟื่องว่า
“เอาล่ะ ไม่พูดก็ไม่พูด อาจะได้ไปบอกเด็กนั่น”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณอาพาเด็กนั่นมาอีกทำไมคะ”
“เขาคงอยากมาเห็นสรรค์เป็นครั้งสุดท้ายมั๊ง หนูสุ”
“ค่ะ ก็ดี เด็กนั่นจะได้กลับสีชังไปเสียที”
พระชาญชลาศัยนิ่งแล้วตัดสินใจบอก
“เด็กนั่นไม่ยอมกลับสีชังหนูสุ เขาจะอยู่ที่พระนครนี่ต่อ”
“อะไรนะคะ แล้วคุณอายอมหรือคะ”
“อาก็ไม่รู้จะว่ายังไง เด็กนั่นให้อาหางานคนใช้ให้เขาทำ นี่อาก็กำลังจะพาไปสำนักจัดหางานที่เสาชิงช้า”
สุวลีหน้าเครียดแต่ยังยิ้มนิดๆ
“หรือคะ แปลกจริง”
“ไม่ใช่อะไรหรอกค่ะ นอกจากยังอาลัยคุณสรรค์อยู่” คุณเฟื่องว่า

ภายในห้องรับรอง นิดนั่งอยู่บนโซฟา พระชาญชลาศัยก้าวออกมาจากหลังฉากกั้นแล้วนั่งลง
“สุวลีกลับไปแล้ว”
“หรือจ๊ะ”
“เธอมีเรื่องอะไรจะพูดกับหนูสุกันแน่”
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่อยากจะมาขอร้องเธอเรื่องพี่เสียม”
สุวลีก้าวเข้าเข้ามาแอบฟังที่หลังเสา ลมพัดเบาๆ ผ่านร่างของสุวลีจนชุดไหวพลิ้ว นิดนั่งอยู่ ได้กลิ่นน้ำหอมโชยมาถึงตัวก็นึกรู้ว่า สุวลีอยู่แถวนี้ นิดมองดูที่หลังฉากนิ่ง สุวลีหน้าเย็นชา นิ่งฟัง
นิดยิ้มกับตัวเองนิดๆ ดวงตาเข้มขึ้น ความรู้สึกสับสนปะปนกัน

“เธอจะขอร้องเขาว่ายังไงหรือ”
“หนูอยากบอกคุณสุวลีว่า คุณสุวลีสวยเหมือนนางฟ้า จิตใจของคุณก็คงจะงามยิ่งกว่านั้นอีก”
สุวลียืดกายตรงเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ
“คุณคือคนที่คู่ควรกับพี่เสียมที่สุด เมื่ออยู่กับคุณ พี่เสียมจะมีทุกอย่างที่หนูไม่มีวันให้พี่เสียมได้”
สุวลียิ้มเหยียด
“เพราะหนูรักพี่เสียมยิ่งกว่าความสุข ยิ่งกว่าชีวิตของหนูเอง หนูจึงขอคืนพี่เสียมให้คุณ”
พระชาญชลาศัยได้ฟังก็ยิ้มโล่งอก สุวลียิ้มนิดๆ ดวงตาอ่อนแสงลง
“หนูสัญญาว่าต่อแต่นี้ หนูจะจากไป จะไม่มีใครรู้เรื่องที่สีชัง ไม่มีใครรู้เรื่องการแต่งงาน ไม่มีนิดกับพี่เสียมอีกต่อไป”
สุวลีขยับหมุนตัวจะจากไป นิดเงยหน้าขึ้นมองฉากหลังเขม็ง ดวงตาวาวขึ้น
“แต่หนูก็จะขอให้คุณสัญญาเหมือนกัน”
สุวลีชะงัก หมุนตัวกลับมา
“ว่าคุณจะดีกับพี่เสียม รักพี่เสียมให้มากเหมือนที่พี่เสียมรักคุณ คุณทำได้ใช่ไหมคะ”
สุวลียืดตัวตรง นิ่งฟัง
“แต่ถ้าวันใด คุณทำไม่ได้ .. หนูจะทวงสัญญาของหนูกลับคืน”
นิดพูดช้าๆ แต่แผ่วเบาดวงตาแข็งกร้าว สุวลียืนเชิดด้วยสีหน้าเย็นชา ดวงตาเต็มไปด้วยโทสะทันที!

รถคันหรูของสุวลีแล่นเข้าประตูรั้วไปตามถนนจนถึงตัวบ้านใหญ่ที่เป็นสถาปัตยกรรมอันได้อิทธิพลจากยุโรป บ้านหลังนี้ปลูกมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ไม่หรูหราอย่างบ้านเนาวรัตน์ แต่ใหญ่โตกว่าบ้านโพธิธารา

บ้านธรรมนูญภักดี ถนนสี่พระยา พระนคร ๑๓ ตุลาคม ๒๔๘๑

รถสุวลีแล่นมาจอดลง คนขับรถจะเข้ามาเปิดประตูให้ แต่สุวลีเปิดประตูออกมาก่อนและก้าวตรงไปในตัวบ้าน คนขับรถถอยกรูดไป คุณเฟื่องก้าวตาม
สาวใช้ท่าทางจัดจ้านชื่อลัดดา ก้าวมาจากในบ้านพร้อมกับยอบตัวลง สุวลีหยุดยืนถาม
“คุณน้ามะลิอยู่ไหม”
“คุณหญิงอยู่หลังเรือนเจ้าค่ะ คุณสุวลี” ลัดดาบอก



บริเวณเทอเรซหลังบ้าน คุณหญิงมะลินั่งอยู่บนตั่ง นิ่งฟังอย่างพิศวงแล้วทำตาโตเมื่อได้ฟังเรื่องราวจากสุวลีที่นั่งอยู่ข้างๆ คุณเฟื่องนั่งวางท่าอยู่ฝั่งตรงข้าม

“นังชาวเกาะนั่น ปากกล้าขนาดนี้เชียวหรือ” คุณหญิงมะลิถาม
“ค่ะ คุณน้า”
“มันหึงหวงคุณสรรค์ จนกล้าฟาดงวงฟาดงามาถึงคุณน้อง” คุณเฟื่องว่า
“นังคนนี้ท่าทางร้ายกาจจริง”
“คุณน้าคะ เรื่องนี้มีแต่คุณแม่ คุณเฟื่อง แล้วก็สุเท่านั้นที่รู้ คุณน้าช่วยเก็บเป็นความลับด้วยนะคะ”
“จ้ะ น้าจะเหยียบเอาไว้เลย”
“ถึงยายช่อผกาก็ให้รู้ไม่ได้นะคะ”
“จ้ะ น้ารู้ ยายช่อน่ะฆ้องปากแตก ให้รู้ไม่ได้หรอก”
“ขอบพระคุณค่ะ”
สุวลีหันไปมองคุณเฟื่องที่พยักเพยิด
“แล้วที่หนูมาหาน้า หนูอยากจะให้น้าช่วยอะไรหรือจ๊ะ”
“คุณน้าคะ คุณน้าอยากจะจ้างสาวใช้มาช่วยงานบ้านนี้อีกซักคนไหมคะ”

ห้องแถวไม้คูหาเดียวของสำนักจัดหางานย่านเสาชิงช้า ทางด้านหนึ่งเป็นโต๊ะขนาดใหญ่ มีหญิงสาวใหญ่ท่าทางคมและเค็มนั่งอยู่ ทางด้านหนึ่งมีม้ายาว มีคนนั่งอยู่สามคน คนหนึ่งเป็นหญิงวัยกลางคน อีกคนเป็นเด็กสาวตัวดำปี๋ และนิดนั่งอย่างไร้ชีวิตจิตใจ ดวงตาว่างเปล่าเป็นคนต่อมา
“นี่ ป้า ป้าเป็นแม่ครัวหรือ”เด็กสาวตัวดำถาม
“เออ ทำครัวกับซักรีดแล้วเอ็งล่ะ”
“อุ๊ย ฉันทำได้ทุกอย่างแหละ เว้นอยู่อย่างเดียวคือเลี้ยงเด็ก”
“ทำไม เอ็งเกลียดเด็กหรือ”
“เปล่า ป้า แต่เด็กมันเป็นอะไรไม่รู้ มันเกลียดฉัน พอฉันยิ้มให้มันมันก็ร้องไห้จ้าเลย หยั่งเงี้ยป้า”
เด็กสาวตัวดำยิ้มยิงฟันให้ป้าแม่ครัวดู แม่ครัวสะดุ้งแล้วบอก
“อย่าว่าแต่เด็ก ข้าก็กลัว”
เด็กสาวตัวดำมองค้อนแล้วหันมาทางนิด
“นี่ แล้วเธอล่ะทำอะไรเป็นบ้าง”
“ฉันก็พอทำได้ทุกอย่าง แต่คงไม่เก่งอะไรซักอย่างนึง”
“อุ๊ย หน้าตาก็พอใช้ได้ แต่ไม่เคยทำงานมาก่อนคงไม่มีใครจ้าง”
“แหม แล้วอย่างเอ็งน่าจ้างนักซีนะ อีดำปืน” ป้าบอก
บริเวณหน้าห้องแถว คุณหญิงมะลิก้าวเข้ามา สง่าราศรีและท่วงท่าทำให้ทุกคนมองดูอย่างตะลึงงัน คนจัดหางานรีบถลามาต้อนรับทันที
“เชิญเจ้าค่ะคุณหญิงขา เชิญนั่งก่อนเจ้าค่ะ”

คุณหญิงมะลิลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะ
“มีกระไรให้อิฉันรับใช้คะ”
“อยากได้คนไปทำงานซักคน งานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นแหละ”
“ได้เลยเจ้าค่ะ คุณหญิง”
“ที่นั่งรออยู่นั่นใช่ไหม ขอดูหน่อยซิ”
มะลิหมุนตัวลุกขึ้น คนจัดหางานกุลีกุจอพามาดู มะลิมองดูป้า เด็กดำ แล้วเบนสายตาไปที่นิด แล้วยิ้มละไมอย่างเอ็นดู
“เธอชื่ออะไรจ๊ะ”
“นิดเจ้าค่ะ”
คุณหญิงมะลิพยักหน้าอย่างพึงใจดวงตาวาวขึ้นวูบหนึ่ง นิดไม่เห็นสายตานั้น จึงยิ้มอ่อนๆ ตอบไป
จบตอนที่ ๑๒

กำลังโหลดความคิดเห็น