สาวน้อย ตอนที่ ๕
ในเวลาต่อมา นางนิ่มฝนไพลอยู่บนยกพื้น พลางค้อนขวับไปที่นอกชาน เนื่อง เชิด เสียมนั่งเรียงรายมีรอยฟกช้ำ ปากแตก แผลที่ข้อศอก หัวคิ้วบ้างคนละนิดละหน่อย ทั้งสามคนทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“เบื่อเหลือเกิน เอะอะอะไรก็ต่อยกันตีกัน วันหลังจะยุให้คุณหลวงจับไปใส่ตะรางเสียให้เข็ด” นางนิ่มว่า
นางนิ่มกระแทกชามไพลลงพื้นแล้วเดินบ่นเข้าเรือนไป นิดอมยิ้มหยิบเอาชามไพลมา มาที่ชายทั้งสามคน นิดทาไพลให้เนื่องก่อน เนื่องบิดตัวไปมาอย่างแสบ
“โอ๊ย แสบ”
“ทีนี้ละทำใจเสาะขึ้นมาเชียว ทีตอนนั้นห้ามเท่าไรก็ไม่หยุด”
“เรื่องของลูกผู้ชาย นิดไม่เข้าใจหรอก” เชิดว่า
“อะไรก็อ้างเรื่องลูกผู้ชาย พูดกันดีๆ ก่อนก็ได้”
“ก็ไอ้แม้นมันพูดดีด้วยได้ที่ไหน” เนื่องว่า
“พี่เสียมก็อีกคนนึง” นิดแขวะ
เสียมทำหน้าเจี๋ยมเจี้ยมแล้วบอก
“พี่ก็พยายามเลี่ยงแล้ว แต่มันลงมือก่อน ยังไงก็ต้องเจอกันสักตั้ง”
“ใช่ ยังไงก็ต้องเอาเลือดไอ้แม้นออกมาดูเล่นบ้าง” เนื่องว่า
“เข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยแบบนี้ ก็ทายากันไปเองเถอะ”
นิดวางชามไพลแล้วเดินลงเรือนไป เสียมกังวลใจ เนื่องคว้าชามไพลมาทา เชิดลุกขึ้นแล้วบอก
“ข้ากลับก่อนดีกว่า”
“ขอบใจที่เข้ามาช่วยฉัน” เสียมบอก
“เรื่องเล็กถือซะว่าหายกันกับที่ข้าเคยตะบันหน้าเอ็ง”
“ไม่ว่ายังไง ฉันก็ขอบใจ”
เชิดยักไหล่แล้วเดินลงเรือนไป เสียมหันมาหาเนื่อง
“ถ้าเนื่องกับเชิดไม่มาช่วย ไอ้สามคนคงเล่นฉันหนักแน่”
“ขอบอกขอบใจอะไรซ้ำซากวะ แค่เรื่องเล็กน้อย”
“แต่ที่เนื่องเสี่ยงชีวิตโดดน้ำลงไปช่วยฉันขึ้นมาจากทะเล ไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยสำหรับฉันแน่ๆ”
เนื่องทำตาปริบๆ
“ข้าน่ะเหรอที่โดดน้ำลงไปช่วยเอ็งขึ้นมาจากทะเล”
สรรค์งง
บ่ายวันเดียวกัน เสียมก้าวมาบนหาดทรายมองทอดสายตาไปเบื้องหน้าอย่างดื่มด่ำ ซาบซึ้ง นิดยืนกอดอกมองดูทะเลอยู่ ผมยาวปลิวไสวตามแรงลม เหมือนกระแสจิตของเสียมส่งไปถึง นิดหันมามอง เสียมเดินเข้าไปหา เสียมมองด้วยสายตาจงรักภักดีจนนิดผิดสังเกต
“ทำไมนิดต้องปดพี่ด้วย ว่าเนื่องเป็นคนโดดน้ำลงไปช่วยพี่ขึ้นมา ทั้งๆ ที่นิดเป็นคนทำ”
“ก็เพราะพี่เสียมเป็นคนแบบนี้น่ะซี ชอบยกยอบุญคุณให้มันใหญ่โตเกินเหตุ”
“พี่เหมือนคนตายไปแล้ว แล้วนิดก็มาชุบชีวิตพี่ให้ฟื้นคืน สำหรับนิดอาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สำหรับพี่นี่คือหนี้ชีวิตที่พี่ไม่มีวันตอบแทนได้หมดสิ้น”
เสียมซาบซึ้ง นิดรับรู้แต่แกล้งถอนใจ
“ตั้งแต่พี่มาอยู่ที่นี่ พี่พูดคำว่า ขอบใจ บุญคุณ หนี้ชีวิตนี่ กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้วรู้ไหม”
“ต่อจากนี้ไป นิดคือเจ้าชีวิตพี่ พี่จะขอเป็นทาสรับใช้นิดตลอดไป”
“งั้นฉันขอสั่งพี่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้พี่เลิกพูดเรื่องบุญคุณนี่ซะที”
“ใช่ ถึงเวลาแล้วที่พี่จะเลิกพูด ต่อไปนี้คือเวลาที่พี่จะทำทุกอย่างให้นิด ให้เนื่อง ให้แม่นิ่มได้อยู่อย่างสุขสบายตลอดไป”
เสียมให้คำมั่นสัญญา นิดซาบซึ้ง
ในเวลาเย็น รถของธนาแล่นเข้ามาจอดลงในบ้านเนาวรัตน์ ธนาก้าวลงมองดูตัวบ้านที่ตั้งตระหง่านอยู่ ในมือมีของขวัญหลายชิ้น
ภายในห้องรับแขกใหญ่ของบ้านเนาวรัตน์งดงามตระการไปทุกซอกทุกมุม สุวลีนั่งอยู่บนเก้าอี้เดี่ยวดูประหนึ่งราวกับนางพญา บนโซฟาใหญ่พระยากีรติและคุณหญิงบัวผันนั่งอยู่ ธนานั่งประสานมืออยู่อีกด้านหนึ่ง ของขวัญของธนาวางอยู่บนโต๊ะ พระยากีรติยิ้มนิดๆอย่างไว้ตัว คุณหญิงบัวผันมองธนาอย่างเพ่งพิศ
“ขอบใจนะ คุณธนา” พระยากีรติบอก
“ไม่เป็นไรมิได้ครับ ท่าน”
“ไม่ยักทราบว่าคุณถือขนบธรรมเนียมไทยด้วย”
พระยากีรติพูดอย่างผิดปกติ ธนาอึ้งไปนิดทว่าแววตาแข็งขึ้นนิดหน่อย แล้วยิ้มอย่างสุภาพบอก
“ครับท่าน”
คุณแม่บ้านเฟื่องเข้ามาจากด้านนอกบอก
“เจ้าคุณนเรศกับคุณหญิงอุไรมาคะ”
“อ้อ…..รับเชิญ” พระยากีรติบอก
เฟื่องเดินออกไป พระยากีรติมองธนา ธนารู้สึกว่าตนไม่ใช่แขกผู้มีเกียรติ คุณหญิงบัวผันยิ้มแล้วบอก
“เชิญพ่อธนาที่เทอเรซเลยจ้ะ”
“เชิญค่ะ สุให้เขาจัดไฮทีไว้” สุวลีบอก
ธนาลุกขึ้น
“ผมขอตัวก่อนนะครับ ท่าน คุณหญิง”
สุวลีเดินนำธนาออกไป คุณหญิงบัวผันพูดกับพระยากีรติ
“เจ้าคุณพี่พูดเรื่องธรรมเนียมไทยทำไมคะ เหมือนดูถูกว่าเขาเป็นเจ๊กเป็นจีน”
“ปู้โธ่ แล้วกัน ฉันแค่เห็นมันหัวนอกทำตัวฝรั่งจ๋าต่างหาก เรื่องเจ็กจีน…. ฉันเคยรังเกียจรังงอนอะไรที่ไหน”
บริเวณชุดโต๊ะสนามบนเทอเรซ รตีนั่งหน้าหงิกเสื้อและผมเปียกไปแถบหนึ่ง แต่อนงค์ผมเปียกลู่มีน้ำหยดหยาดไม่ขาดสาย จวนสาวใช้ยืนกลั้นหัวเราะอยู่
“ฉันเกลียดวันนี้ที่สุด ฮึ สาดมาได้ ผมฉันเป็นยังไงบ้างนี่!” อนงค์ว่า
อนงค์คว้าถาดของว่างมาส่องแทนกระจก
“ว้าย!!! ผมฉันเพิ่งทำมาใหม่ๆ ฮือ ไอ้พวกบ้า โซ บาร์แบเรียน (๑) โธ่ เสียแรง แต่งมาแต่เช้า หมดงามกันแล้ว”
“อุ๊ย ไม่ถึงขนาดนั้นหรอกย่ะ” รตีบอก
อนงค์ยิ้มออกแล้วถาม
“แปลว่าฉันยังงามอยู่หรือ”
“แปลว่าไม่ว่าจะเปียกหรือจะแห้ง หล่อนก็ไม่เคยงามย่ะ” รตีบอก
อนงค์ร้องกรี๊ด!! แล้วหันถาดส่องไปที่รตีบ้าง
“แต่หล่อนน่ะงามมากสินะ” อนงค์ว่า
รตีเชิดมองดูเงาสะท้อน แล้วร้องบ้าง
“ว้าย ตายแล้ว”
“ยังดีนะที่แถวนี้มีแต่ผู้หญิง” อนงค์ว่า
“ถ้ามีผู้ชายเห็นเข้า ฉันกับหล่อนขายไม่ออกแน่” รตีบอก
สุวลีกับธนาเดินเข้ามาพอดี คนรับใช้ชาย ๒ คนถือกล่องของขวัญตามมา
“อ้าว คุณอนงค์ คุณรตี มาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ” ธนาถามขึ้น
อนงค์และรตีร้องวี๊ดเบาๆลุกพรวดขึ้น รตีกระชากถาดมาบังหน้า อนงค์ถลาไปแอบหลังเสา ธนากับคนรับใช้ยืนมองงงๆ
“วุ้ย คุณธนาอย่ามองค่ะ” อนงค์บอก
“แกสองคนด้วย” รตีบอก
สุวลีอ่อนใจแล้วบอก
“จวน พาสองคนนี้ไปห้องฉันทีไป”
อนงค์และรตีรีบถลาตามจวนไปทันที สุวลีโบกมือให้คนรับใช้ช่วยเอาของขวัญตามไปแล้วนั่งลงกับธนา สุวลีรินน้ำชาให้
“ขอบคุณนะคะสำหรับของฝาก” สุวลีบอก
“คุณสุ….คุณสรรค์ติดต่อมาบ้างไหมครับ”
สุวลีมองธนาในใจขุ่นมัวแต่ยังฝืนยิ้มพูดเรื่อยๆ
“งานที่เชียงใหม่คงยุ่งมากนะคะ สรรค์ก็เลยยังไม่ส่งข่าวมา”
ธนาถอนหายใจ
“คุณสุ แต่เพื่อนที่กระทรวงเกษตรฯ ส่งข่าวมาว่าคุณสรรค์ไมได้ขึ้นไปเชียงใหม่”
“อะไรนะคะ”
“เขาว่ากันว่า คุณพระชาญพาเมียนักร้องเข้าบ้าน คุณสรรค์ทะเลาะกับคุณพระชาญใหญ่โต ขนของออกจากบ้านแล้วก็หายไปเลย”
สุวลีตกตะลึง
ห้องโถงบ้านโพธิธาราในเวลาต่อมา พระชาญชลาศัยเดินครุ่นคิดไปมา แม่ผินนั่งอยู่ที่โซฟา
“คุณพระจะคิดอ่านทำยังไงต่อไปคะ” ผินถาม
“ฉันจะให้คนสืบเรื่องนี้เงียบๆก่อน แม่ผินเองก็เหมือนกันเรื่องนี้อย่าเพิ่งพูดไป เด็กๆในบ้านก็ไม่ต้องให้รู้”
แม่ผินอึ้งไปนิด ก่อนจะรับคำอย่างไม่เห็นด้วย
“ค่ะ แต่ดิฉันว่าคุณหนูคงทำตามที่ยื่นคำขาดไว้มากกว่า”
“คำขาดอะไร” พระชาญชลาศัยถาม
“ก็คำขาดที่ว่า ถ้าแม่คุณนายหยาดสวรรค์ยังอยู่บ้านนี้ คุณหนูก็จะไม่กลับมาเหยียบบ้านนี้อีกไงคะ”
พระชาญชลาศัยนิ่งอั้นไป มารศรีเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“หากคุณพระอัปเปหิแม่นั่นออกไป คุณหนูอาจจะกลับมาก็ได้นะคะ”
มารศรีก้าวมาด้วยสีหน้ายิ้มนิดๆ แม่ผินสะบัดหน้าพรืด
“คุณพระคิดว่ายังไงคะ” มารศรีถาม
“เจ้าสรรค์มันไม่ใช่เด็กอมมือ มันไม่หนีงานหนีราชการเพื่อมาเอาชนะคะคานฉันหรอก”
พระชาญชลาศัยถึงพูดเช่นนั้น แต่ใจกึ่งหนึ่งก็คิดว่าอาจเป็นไปได้ และเริ่มเหมือนมีกำแพงบางๆกั้นตัวเองจากมารศรี มารศรีก้าวมาดึงพระชาญชลาศัยนั่งลงแล้วดึงมือออกขยับห่างออกไป แม่ผินลุกขึ้นทำเชิด
“ถ้าเช่นนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่คะ” มารศรีถาม
“ฮึ…..ทำเป็นห่วง” ผินว่า
“ฉันไม่รู้ แต่คืนนั้นมันเมามาก…..มันอาจขับรถไปแล้วเกิดอุบัติเหตุ”
“ว้าย! ตายแล้ว โธ่ คุณหนู”
“งั้นคุณพระก็ควรสืบดูตามโรงพยาบาลก่อน” มารศรีบอก
พระชาญชลาศัยพยักหน้ามีเสียงรถแล่นเข้ามา
“ใครมากัน”
ธนาจอดรถที่หน้าเทอเรซบ้านโพธิธารา ภายในรถสุวลีนั่งคู่อยู่กับธนา
“ผมจะรออยู่ในรถก็แล้วกัน”
“ทำอย่างงั้นได้ยังไงคะ”
“นี่มันเรื่องส่วนตัวของคุณสุ…..ผมเป็นคนนอก คงไม่เหมาะหรอกครับ คิดซะว่าผมเป็นแค่คนขับรถก็แล้วกัน”
“ใครจะคิดอย่างนั้นได้คะ”
แม่ผินออกมาจากด้านในตัวบ้าน บัวและสมพงษ์เดินตามประกบหลังแม่ผิน สุวลีก้าวลงจากรถ ด้วยอาภรณ์และเครื่องประดับดูหรูเรียบไปทั้งตัว แม่ผินรีบยกมือไหว้ บัวและสมพงษ์ยืนจ้องตาค้าง
“คุณสุวลี เชิญค่ะ เชิญ”
แม่ผินเดินพินอบพิเทาพาสุวลีเข้ามายังห้องโถง บัวและสมพงษ์เดินตามหลังเข้ามาด้วย
“คุณหนูสุวลีมาค่ะ”
พระชาญชลาศัยลุกพรวดขึ้นอย่างตกใจแล้วก้าวออกมา มารศรีลุกตามช้าๆ สุวลีกวาดสายตามองดูพระชาญชลาศัยแล้วเลยสายตาไปที่มารศรี มารศรียืนนิ่ง
สุวลียกมือไหว้พระชาญชลาศัย
“อ้อ หนูสุมาเยี่ยมอาหรือ”
“ค่ะ”
พระชาญชลาศัยลังเลนิดหนึ่งแล้วหันไปแนะนำมารศรี
“อ้อ นี่มารศรี เอ้อ ภรรยาอา มารศรีนี่ไง หนูสุวลี”
แม่ผินเบ้ปาก บัวและสมพงษ์ดูอยู่
มารศรีก้าวออกมายิ้มละไม สุวลียืนนิ่งปากแย้มยิ้มนิดๆ
“คุณสุวลี งามสมคำเล่าลือ” มารศรีบอก
สุวลีปากยิ้มแต่ดวงตาดูแคลน
“คุณมารศรีเองก็มีคำเล่าลือมากมายเหมือนกัน”
“หวังว่าเป็นเรื่องดีนะคะ”
“คำคน เราไปกะเกณฑ์ให้มีแต่เรื่องดี…..คงไม่ได้กระมังคะ”
สุวลีเน้นเสียงมีแววดูหมิ่นชัดเจน มารศรีสีหน้าเปลี่ยนไปแต่ค้อมศีรษะรับตามมารยาท แม่ผินสะใจ สุวลีหันมาทางพระชาญชลาศัยที่หน้าเจื่อนไปเมื่อเห็นแววตำหนิในท่าทีของสุวลี
“คุณอาคะ สุมีเรื่องขอคุยกับคุณอาตามลำพัง”
สุวลีไม่ชายตามองมารศรี มารศรีคอแข็ง
บรรยากาศภายในห้องรับแขกบ้านโพธิธารา ดูงดงามเรียบหรู บนผนังมีรูปคุณหญิงวิไลเลขาเป็นจุดเด่นของห้อง พระชาญชลาศัยนั่งอยู่บนโซฟาข้างใต้รูปคุณหญิง สุวลีนั่งอยู่ตรงข้าม พระชาญชลาศัยถึงกับผงะไป
“หนูไปรู้มาจากไหน”
“สุเป็นลูกเจ้าคุณพ่อนะคะ”
“หา นี่ท่านเจ้าคุณรู้เรื่องนี้แล้วหรือ”
“ยังค่ะ สุยังไม่เรียนให้ท่านทราบ สุอยากมาถามคุณอาให้แน่ชัดก่อน ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
พระชาญชลาศัยถอนหายใจแล้วบอก
“หนูสุเองก็อย่าเพิ่งตกอกตกใจไป เรายังไม่รู้แน่ว่าเกิดอะไรขึ้น”
“แต่สรรค์หายไปหลังจากมีปากเสียงกับคุณอาเรื่อง…..คุณมารศรีไม่ใช่หรือคะ”
“โธ่ หนูสุ ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอก อาว่าน่าจะเป็นเรื่องอุบัติเหตุรถไปชนอะไรมากกว่า อาว่าจะไปสืบดูตามโรงพยาบาล”
สุวลียกมือทาบอก
“คุณพระช่วย! แต่นี่มันผ่านมาสองอาทิตย์แล้วนะคะ ถ้ามีอุบัติเหตุจริง ก็น่าจะมีข่าวคราวบ้างนะคะ”
“เจ้าสรรค์ต้องไม่เป็นอะไร”
“เราแจ้งตำรวจเถอะค่ะ”
“อาไม่อยากให้เป็นข่าว มันจะไม่ดีทั้งกับหนูทั้งท่านเจ้าคุณด้วย”
“ถ้าเช่นนั้นก็เรียนให้เจ้าคุณพ่อทราบก็พอ ท่านมีเส้นสายมากมายน่าจะดีกว่าคุณอาสืบเองนะคะ”
“ท่านมีภาระมากพอแล้ว อาไม่อยากให้ท่านมาร้อนใจเรื่องนี้อีก”
พระชาญชลาศัยยืนยันคำเดิม สุวลีมองแล้วพูดเรียบๆ
“คุณอาไม่อยากให้เจ้าคุณพ่อร้อนใจ หรือไม่อยากให้ท่านรู้เรื่องภรรยาใหม่ของคุณอากันแน่คะ”
สุวลีจี้ใจดำเล่นเอาพระชาญชลาศัยผงะไป
“หนูสุ”
“ความจริงนี่เป็นเรื่องส่วนตัวของคุณอา แต่เราตอนนี้ก็เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกันไปแล้ว สุเองเห็นใจคุณอา…..แต่เจ้าคุณพ่อท่านออกจะหัวเก่า ท่านคงยอมรับภรรยาใหม่ของคุณอาไม่ได้หรอกค่ะ”
สุวลีมองนิ่งจนพระชาญชลาศัยเริ่มคล้อยตาม
เวลากลางคืน ภายในห้องนอนสุวลีสวมชุดนอนยาวกรุยกรายกำลังเขียนบันทึกประจำวันลงในสมุดไดอารี่ สีหน้าเศร้าสร้อยเป็นทุกข์ แล้ววางปากกาลง มองดูรูปดอกไม้ที่ฝาผนัง แล้วถอนหายใจ ลุกไปที่หน้าต่างมือเกาะม่าน เห็นแหวนของสรรค์ที่นิ้วนาง สุวลีน้ำตาเอ่อแล้วกรีดทิ้ง
“สรรค์……..คุณอยู่ที่ไหนกันแน่คะ”
ดวงจันทร์เต็มดวงทอแสงบนฟ้า
จากพระจันทร์เต็มดวงเป็นดวงอาทิตย์ทอแสงเจิดจ้าบนฟ้าสีสด ที่ดินตรงชิงเขาหลังบ้านนิด แปลงผักเรียงเป็นระเบียบงดงาม สีเขียวขจีนั้นทอดไปจนสุดเชิงเขา
เกาะสีชัง มิถุนายน ๒๔๘๑
ร่างสูงใหญ่ไหล่กว้างก้าวมามองดูแปลงผักอย่างภูมิใจ เสียมขณะนี้ผิวคล้ำกร้านแดดลงดูบึกบึนแข็งแกร่งเหมือนหนุ่มชาวประมงบนเกาะ แต่ก็ยังมีสง่าราศีบางอย่าง รวมทั้งดวงตาช่างฝันที่แรงกล้ากว่าเดิม
บรรยากาศตลาดหน้าด่านยามเช้าคึกคัก ร้านค้าในห้องแถวเปิดหลายร้าน ร้านกาแฟมีคนนั่งอยู่เต็ม ร้านข้าว ร้านของชำเปิดแล้ว คงมีพวกร้านเสื้อผ้าอาภรณ์เท่านั้นยังไม่เปิด บริเวณทางเท้ามีบรรดาพ่อค้า แม่ค้าขาจรมาปูเสื่อวางของขายสองฝั่งจนแน่นเต็มถนน มีทั้งพวกกุ้ง หอย ปู ปลาสดๆ ผัก ไข่เป็ด ไข่ไก่ บรรดาคนซื้อมีทั้งชาวบ้าน พวกคนกรุงที่มาพักตากอากาศ ข้าราชการที่ด่านภาษี และพวกฝรั่งคนจีนที่มากับเรือสินค้า
นางแสนั่งท่ามกลางกองผัก ไข่ไก่ อ่างกะปิ ฯลฯอยู่ในร้าน ส่วนแผงของทับทิมมีผ้าคลุมไว้
“ผักจ้า ผักแม่เอ๊ยย่ะ สดๆ ใหม่ๆ ขาวๆ อวบๆ”
ยายแสแหกปากร้องเรียกคนเสียงแหบ แม่บ้านชาวกรุงถือตะกร้าเข้ามาดูผัก
“เชิญค่าเชิญ เชิญ ผักสดๆ ขาวๆอวบๆ ค่า”
“สดอะไรกัน สลดหดเหี่ยวออกอย่างนี้ เหี่ยวเหมือนคนขายละไม่ว่า”
“อ้าวอีคุณนาย อยากโดนด่ารับอรุณไหม”
“ว้าย ปากปลาร้าด้วย”
นางแสเท้าสะเอว แม่บ้านรีบลนลานออกจากร้านไป ลูกค้า ๒ คนที่จะเข้ามาดูเลยเดินหลีกไปด้วย
หญิงแม่บ้านเดินต่อ เห็นแผงผักมีผักนานาชนิดดูเขียวสดสลับสีสัน นางนิ่มกับนิดนั่งขายผัก เสียมเอากระจาดเอาหาบซ้อนเก็บอยู่ข้างหลัง
“ต๊าย ผักงามจัง” แม่บ้านบอก
“ดูก่อนเลยค่ะ” นิดเชื้อเชิญ
แม่บ้านเลือกผัก
“ต๊าย มีใบหยี่หร่าด้วย ถามมาทุกร้านไม่มีใครมีเลย”
“ที่นี่มีค่ะ หาผักอะไรที่อื่นไม่ได้ มาดูที่นี่เลยนะคะ” นิดบอก
“ดีหนู จะได้เป็นขาประจำกัน”
“แถมให้คุณนายอีกหน่อยเลยลูก” นางนิ่มบอก
แม่บ้านขอบอกขอบใจ ลูกค้าอีก ๒ คนเดินเข้ามาซื้อ นางนิ่มยิ้มแก้มปริ นิดหันมายิ้มสดใสกับเสียม เสียมยิ้มตอบ นางนิ่มอิ่มอกอิ่มใจ ลูกค้าเดินเข้ามารุมที่ร้าน ลูกค้าอีกคนก้าวมา นางนิ่มทักทาย
“เชิญค่ะ เชิญ แผงนี้มีผักทุกอย่าง”
แก้วทำเสียงเจ้ายศเป็นอย่าง
“แม่ค้า มีใบชะมวงไหม”
นางนิ่มไม่ได้เงยหน้าดูก็บอก
“เอ้อ ไม่มีค่ะ”
“ตะลิงปลิงละมีไหม”
“เอ้อ ไม่มีค่ะ คุณ….”
นางนิ่มเงยหน้ามองดูเห็นแก้วยืนมีตะกร้าผักคล้องแขนชูคาง นางนิ่มทั้งโกรธทั้งขำ นิดหันมาดู
“ดู๊ นังแก้ว”
แก้วยังเล่นบทคุณนายไม่เลิก
“อ้าว แล้วอวดว่ามีทุกอย่าง สันตะวาล่ะมีไหม”
นิดชูอีโต้ให้ดู
“มีแต่สันมีดนี่เอาไหม”
แก้วทำสะดุ้งแล้วหัวเราะคิก ก้าวเข้ามาวงใน นางนิ่มค้อนแล้วนั่งนับเงิน แก้วมองดู
“ต๊าย นับเงินมือเป็นระวิงเชียว ฉันช่วยขาย”
“อย่าเลยเดี๋ยวลูกค้าหนีหมด” นิดบอก
แก้วร้องขาย
“เฮอะ มือชั้นนี้แล้ว...ผักแม่เอ๊ยจ้ะ ผัก ทั้งสดทั้งขาวเหมือนคนขายจ้า”
บรรดาหนุ่มๆ พอได้ยินก็หันขวับเข้ามารุมล้อม แก้วชักกลัวๆ แต่นิดต้อนรับขับสู้ เสียมเดินเข้ามาคุมเชิง
ยามสาย ตลาดหน้าด่าน แดดแรงขึ้น ผักร้านนางแสยังกองท่วมหัว สภาพผักยิ่งเหี่ยวกว่าเดิม นางแสนั่งหน้าหงิกบอกบุญไม่รับอยู่
“ฮึ ยังขายไม่ได้ซักเฟื้องซักสลึง”
“ผักจ้า ทั้งอวบ ทั้งสดเหมือนคนขายจ้า”
เสียงแก้วเจื้อยแจ้วมาเข้าหู นางแสชะโงกดู
“เชอะ!”
“ไม่เหมือนบางร้าน ทั้งผักทั้งคนเหี่ยวพอๆกัน” แก้วร้องแขวะ
นางแสสะดุ้งเฮือก ตาเขียวชะโงกดู เสียงแก้วยังลอยมาอีก
“หนอย อีแก้ว”
“ต๊าย ผักตั้งเยอะตั้งแยะขายแผล็บเดียวจะหมดแล้วเหรอ”
นางแสเรียกแก้วเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบ จึงชะเง้อไปทางแผงนางนิ่มอีก
“เชอะ นังนิ่มมันเอานังนิด นังแก้วมาล่อลูกค้าน่ะซี”
นางแสหันไปในร้านร้องเรียกลูกสาว
“ทับทิมๆ มาช่วยแม่ขายของ ทับทิม…..นังทับทิม…..อีทับทิม”
ยายแสเรียกเท่าไหร่ก็ไม่มีเสียงตอบ นางแสชะเง้อไปทางแผงนางนิ่มอีก
“ดู๊ จะตื่นมาช่วยแม่ก็ไม่มี ไม่งั้นละก็ร้านเราขายดีกว่ามันแน่” นางแสบอก
นางแสสำรวจดูแผงนางนิ่มอย่างละเอียด ก็เห็นนางนิ่ม นิด แก้ว เสียมช่วยขายกันอยู่
“เชอะ มีนังนิด นังแก้วมาช่วยขาย แถมยังมีไอ้หนุ่มกรุงอีก แล้วนั่นใครอีกคนล่ะ”
ที่ข้างเสียมยังมีแม่ค้าอีกคนมานั่งอยู่ใกล้ๆ นางแสเขม้นมอง แล้วเอาแว่นมาใส่ จนเห็นแม่ค้าข้างๆเสียมมีร่างอวบ ผมฟูสวมเสื้อคอลึกขายผักอยู่ ยายแสตาเบิกโผลงแล้วร้อง
“อีทับทิม!”
ทับทิมขายผักไประรี้ระริกทั้งกับลูกค้าและเสียมไป นิดกับแก้วหันไปมองค้อน ยายแสตบอกผาง
“อี……อีลูกทรยศ”
ที่ร้านนางนิ่ม ผักขายหมดไปแล้วหลายอย่าง นางนิ่มนั่งนับเงิน นิดเอาเชือกกล้วยผูกรวบผักส่งให้ลูกค้า
“พี่จ๊ะ”
ทับทิมเอาผักมาถือ มองเสียมตาหวานแล้วถาม
“พี่เสียม ผักนี่พี่ปลูกเองหรือ”
“ใช่ ได้เมล็ดพันธ์มาจากนายด่าน”
ทับทิมเด็ดยอดผักกวางตุ้งมาดอมดม
“พี่ทำยังไง ถึงได้ง้าม….งาม”
“อ๋อ งามเพราะขี้น่ะ นายเสียมเอาขี้จากส้วมมารด…..ของฉันก็มี” แก้วบอก
ทับทิมชะงัก อุปทานคล้ายได้กลิ่นเหม็นแล้วโยนดอกผักกวางตุ้งทิ้ง
“ว้าย นังบ้า อ้วก”
แก้วหัวเราะระริก นิดขบขัน
“พี่เสียมเขาใช้ปุ๋ยหมัก ไม่ใช่มาสดๆจากส้วมหรอก” นิดบอก
นางแสเดินฉับๆมาถึงยืนเท้าสะเอว
“นี่นังทับทิมกลับร้าน มาช่วยแม่ขายของ”
“ไม่เอาหรอก ของของแม่มันเหี่ยว เดี๋ยวฉันเหี่ยวตามพอดี”
“ต๊าย นังลูก”
“ทับทิม…..ขอบใจนะ อุตสาห์มาช่วยน้า” นางนิ่มบอก
นางแสค้อนขวับและแขวะใส่
“แหม แม่นิ่มหน้าบานแปดกลีบสิบสองกลีบเชียวนะ”
“ก็ของมันขายดี ทั้งหมดนี่ก็ฝีมือพ่อเสียมทั้งนั้นแหละ”
“เฮอะ คบคนจร”
“นอนนับเงิน” นิ่มสวนปิดประโยคอย่างสวยๆ
ยายแสแทบอยากจะเต้นเร่าๆ
อ่านต่อหน้าที่ ๒
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑ โซ บาร์แบเรียน - so barbarian หมายถึง คนป่าเถื่อน คนหยาบคาย
สาวน้อย ตอนที่ ๕ (ต่อ)
ชายทะเลใกล้กับด่านมีโขดหินสีดำเป็นระยะ เสียมเอาหาบกับกระจาดกระบุงเปล่ามายืนรอ ทับทิมจึงถือโอกาสงามเข้ามาสีทันที
“พี่เสียม ดำไปเยอะเลยนะ”
“เป็นคนสีชัง เป็นลูกทะเล ก็ต้องดำซี”
“แล้วไม่คิดจะกลับกรุงเทพบ้างหรือจ๊ะ”
เสียมเหม่อมองทะเลแล้วส่ายหน้า
“ไม่ล่ะ”
“แปลกแท้ๆ เป็นคนกรุงแท้ๆ แต่อยากมาเป็นคนบ้านนอก อุ้ย”
นิดกับแก้วเดินตามมาใกล้
“อุ๊ย รู้แล้ว”
“รู้อะไร” เสียมถาม
“พี่เสียมต้องอกหักรักคุดมาใช่ไหม ถึงได้ไม่ยอมกลับเมืองกรุง”
เสียมทำตาปริบๆ นิดมองเสียมอย่างเพ่งพิศ
“ต๊าย คนรักพี่เสียมคงต้องสวยมากเลยนะ”
เสียมนิ่งคิดแล้วส่ายหน้า นิดกับแก้วเข้าไปถาม
“คุยอะไรกันอยู่” นิดถาม
“ยุ่งอะไร ไม่ใช่เรื่องของเด็กของเล็ก ผู้ใหญ่เขาจะคุยกัน”
“นี่เธอแก่กว่าฉันไม่ถึงปีนะ”
“เออ วิ่งแก้ผ้าอยู่ด้วยกันแท้ๆ นังนี่” แก้วว่า
ทับทิมเชิดยืดตัวตรง ทรวงอกผงาดดันเสื้อเกือบปริ
“ยังไง ฉันก็โตกว่า”
นิดมองอกทับทิมแล้วถอนหายใจ
“ข้อนั้นฉันไม่เถียง” นิดบอก
“โตกว่า ก็ยานกว่า” แก้วบอก
เสียมเมินหน้าไปอีกทางแล้วยิ้ม ทับทิมร้องอุทานแล้วเอามือปิดนม นิดหน้าแดง เสียงนางแสตะโกนเรียกมา
“อีทับทิม…….มาขายของ”
ทับทิมมองค้อนไปทางนางแส
“ฉันไปก่อนนะพี่เสียม”
ทับทิมเดินบิดสะโพกไป นิดกับแก้วมองตาม นิดแกล้งพ้อ
“ทำไมพี่เสียมชอบคุยกับทับทิมจัง”
“เปล่า ทับทิมต่างหากที่ชอบมาคุยกับพี่ .. ไม่ใช่แค่พี่นะ กับเนื่องกับเชิดด้วย”
“แล้วพี่ไม่ชอบคุยกับเค้าเหรอ”
“ไม่ พี่ชอบคุยกับนิดคนเดียว” เสียมบอก
เสียมมองนิดอย่างชื่นชม นิดหัวเราะสดใส แก้วมองแล้วอมยิ้ม
บนชานบ้านนิดเมื่อเวลาเย็น นางนิ่มนั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกนับเงินใส่กล่องขนมปัง เสียมกับนิดช่วยกันเด็ดผัก เนื่องนั่งเล่นอยู่แถวนั้น
นางนิ่มเรียก
“เอ้าพ่อเสียม”
เสียมรับคำแล้วขยับไปหา นางนิ่มส่งธนบัตร ๒๐ บาทให้
“นี่ค่าจ้าง”
“ทำไมเยอะนักล่ะจ๊ะ”
“ทั้งเดือนนี่เราขายผักได้หลายตังค์ พ่อเสียมก็ต้องได้เยอะด้วยซี” นางนิ่มบอก
“แต่ว่า...”
“เอาไปเถอะ เผื่อจะอยากซื้อหาอะไร”
นางนิ่มยัดเงินส่งให้ นิดกับเนื่องพยักเพยิด เสียมรับเงินมาแล้วคิดอะไรได้เลยยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
หลายวันต่อมา บริเวณหลังบ้านนิดมีกรงไก่ต่อใหม่ รูปทรงเป็นบ้านแถวทาสีขาว กรุลวดลายตาข่ายเรียงเป็นแถวยาวเหมือนบ้านไร่ของฝรั่ง ตรงหน้ากรงยังทำสานโล่งมีลวดกั้นให้ไก่ออกมาเดิน คุ้ยเขี่ยได้บรรดาแม่ไก่ชูคอร้องกุ๊กๆกันอยู่เป็นแถว เสียมเดินดูอยู่กับนิด
นางนิ่ม แก้ว เนื่องเพิ่งกลับมาจากตลาด เนื่องวางกระจาดเก็บสาแหรกไม้คาน
“เฮ้อ เจ้าเสียมนะ เจ้าเสียม ให้เงินมันไว้ใช้มันกลับเอาเงินไปซื้อไม้ซื้อลวดมาทำกรงไก่ให้เราอีก” นางนิ่มพูดขึ้น
เนื่องมองค้อนแล้วบอก
“มันทำคนเดียวซะที่ไหน มันเกณฑ์ฉัน เกณฑ์ไอ้เชิดมาช่วยมันทำอยู่ตั้งสามวัน”
“แถมซุ่มซ่ามโดนค้อนตอกหัวแม่โป้งอีก” แก้วบอก
เนื่องมีผ้าพันแผลที่นิ้วโป้งหันไปทำตาเขียวใส่ แก้วทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้
“ข้าเป็นคนหาปลาโว้ย ไม่ใช่ช่างไม้ ไอ้เจ้าเสียมนี่ก่อนความจำเสื่อมมันเคยทำอะไรมาก่อนนะ ทำไมมันถึงทำนู่นนี่ได้สารพัด”
“เออเนอะ ไม่เหมือนเอ็งเจ้าเนื่องทำอะไรไม่เห็นเป็นสักอย่าง” นางนิ่มบอก
“อุ้ยตาย น้าพูดเหมือนใจฉัน” แก้วบอก
เนื่องค้อนแก้ว นิดเดินไปที่กรงไก่
นิดถือกระบุงข้าวเปลือกมาที่ลานหน้ากรงไก่ ไก่นับสิบกำลังคุ้ยเขี่ยอยู่ที่ลานดิน อีกนับสิบเกาะบนหลังคากรงส่งเสียงกันไม่ขาดสาย ฝูงไก่ที่พื้นกรูกันมา นิดร้องกุ๊กๆเรียก
แสงแดดส่องผ่านไม้ใหญ่ลงมาเป็นลำที่ลานหน้ากรงไก่ เสียมมองดูเห็นนิดดูงดงามอย่างประหลาด นิดเริ่มโปรยปรายข้าว ทันใดฝูงไก่ที่เกาะบนบ้านไก่ก็บินร่อนมารอบตัวนิด นิดเอียงหน้าหลบร้องอุทาน เมื่อไก่ร่อนบินลงแตะพื้น นิดก็ยิ้มหัวเราะไปด้วย เสียมมองดูภาพนั้นอย่างประทับใจ
นางนิ่ม เนื่อง และแก้วซึ่งอยู่หน้าบ้านมองดูนิดกับฝูงไก่ยังร่อนลงมา บางตัวมาเกาะไหล่นิด นางนิ่มมองดูแล้วหัวเราะ
“แม่คู้ณ ยังกะนางนกเลี้ยง”
เสียมเดินมารับหาบเปล่า นิดโปรยข้าวกำสุดท้าย ไก่ลงมากินข้าวรอบๆตัว นิดหันมามองดูแม่
“อะไรหรือจ๊ะ นางนกเลี้ยง” นิดถาม
“ก็นางศกุนตลาไง ศกุนตลา แปลว่า นกเลี้ยง” (๒)
นิดเดินมารวมกลุ่ม เสียมยิ้มให้นิด
“นิทานแขกหรือน้า...” แก้วถาม
แก้วถาม นางนิ่มพยักหน้า แก้วพูดต่อ
“เล่าให้ฉันฟังหน่อยซีน้า วันก่อนน้าเล่าเรื่องเจงฮองเฮา….สนุกจะตาย”
“นะจ๊ะ แม่ เล่าหน่อยนะจ๊ะ”
เสียมมองนิดอย่างเอ็นดู เนื่องค่อนขอด
“โตจนป่านนี้แล้ว ยังจะฟังนิทานหลอกเด็กอีก”
แก้วเชิดใส่ นิดเห็นเสียมอมยิ้มก็พาลเสียมด้วย
“งั้นพี่เนื่องก็ไม่ต้องฟัง พี่เสียมด้วย”
“พี่ไม่เกี่ยวซักหน่อย พี่ฟังด้วย พี่อยากฟังนิทาน”
นิดยิ้มออกแล้วหันไปเชิดใส่เนื่อง แก้วแลบลิ้นหลอกจนเนื่องเหนื่อยใจ
ท้องฟ้ายามกลางคืน มีเมฆใหญ่มหึมาเคลื่อนพยับโพยม แปรเปลี่ยนรูปร่างไปตลอดเวลา ที่ชานเรือนบ้านนิด หลังมื้อเย็น อาหารถูกเก็บไปหมดแล้ว เหลือเพียงผลไม้ที่วางอยู่เท่านั้น นางนิ่มพิงหมอนขวานนั่งเหยียดขา แก้วบีบนวดให้ นิดปอกมะละกอลงวางไว้ในจาน เสียมและเนื่องนั่งล้อมวงอยู่ด้วย นิดเอาผ้าผืนบางมาพันคอกันน้ำค้าง
รอบระเบียงไม้กระถางออกดอกสะพรั่ง ตามจุดต่างๆ วางตะเกียงน้ำมันไว้รอบๆ มากกว่าปรกติ แสงสว่างวูบวาบ นางนิ่มเริ่มเล่าเรื่องศกุนตลาให้ฟัง
“มีฤๅษีองค์นึงชื่อวิศวามิตรบำเพ็ญตบะ เกิดร้อนไปถึงสวรรค์ พระอินทร์เลยส่งนางฟ้าชื่อเมนกาไปทำลายตบะ”
“ต๊าย พระอินทร์นี่นิสัยไม่ดีเลย” แก้วว่า
“นี่เอ็งจะฟังไหม” นางนิ่มถาม
“แล้วนางฟ้าเมนกาสึกพระ….เอ๊ย สึกฤๅษีได้สำเร็จไหมจ๊ะ” นิดถาม
“สำเร็จซี จากนั้นไม่นาน นางฟ้าก็คลอดลูกออกมาเป็นเด็กผู้หญิงน่ารักน่าชัง แล้วนางฟ้าก็กลับไปสวรรค์ ส่วนฤๅษีก็เร้นกายไปบำเพ็ญตบะใหม่”
เนื่องกับเสียมนั่งฟัง
“อ้าว แล้วเด็กล่ะทำยังไง” เนื่องถาม
“นี่ นิทานหลอกเด็กมาฟังทำไม” แก้วประชด
เนื่องทำหน้ายักษ์ใส่
“จุ๊ๆ เด็กหญิงก็เติบโตในป่ามีนกฝูงใหญ่มาคอยดูแลหาอาหารมาให้ ต่อมามีฤๅษีชื่อกัณวะมาเจอเข้าจึงนำไปเลี้ยงเป็นลูก ตั้งชื่อนางว่าศกุนตลา”
นิดฟังอย่างตั้งใจ เสียมมองดูนิดและเริ่มเห็นว่า นิดดูราวกลายเป็นสาวในชั่วข้ามคืน
“น้า เมื่อไร พระเอกจะออก”
นางนิ่มมองแก้วตาเขียว แก้วยิ้มแห้งๆขยำขาต่อ นางนิ่มเล่าต่อ
“มีเมืองชื่อหัสดินาปุระมีราชารูปงามชื่อท้าวทุษยันต์ วันหนึ่งท้าวทุษยันต์ออกล่าสัตว์ ตามกวางทองมาถึงอาศรมได้เจอนางศกุนตลาก็เกิดผูกพันรักใคร่กัน จึงได้ทำพิธีแต่งงานกันเอง เรียกว่าคนธรรพวิวาห์ (๓)”
“คนโบราณนี่ก็ไวไฟเหมือนกันนะ” เนื่องบอก
นิดฟังอย่างสนใจ
“จุ๊ๆ พี่เนื่อง”
นิดหันมาดุเนื่อง เสียมมองนิดอยู่ นิดมองกลับเป็นเชิงถามว่ามองอะไร
“อะไรหรือจ๊ะ”
“เปล่า เปล่าพี่”
นางนิ่ม จิบน้ำ
“ต่อมาไม่นานท้าวทุษยยันต์ก็ถอดแหวนให้นางไว้แทนตัว แล้วเดินทางกลับเมืองก่อน ให้ฤๅษีส่งนางตามไป วันหนึ่งฤๅษีทุรวาส เป็นฤๅษีขี้โมโหเดินทางมายังอาศรม นางศกุนตลาไม่ได้ออกไปต้อนรับ ฤๅษีโกรธจัดจึงสาปว่า เจ้ามัวแต่คิดถึงผู้ได ขอให้มันผู้นั้น จงลืมเลือนเจ้าจนหมดสิ้น”
“อ้าว…..ทำไมฤๅษีนี้โหดจังวะ….”
เนื่องพูดแย้งจนนางนิ่มชะงักมองหน้า
“แหะ เล่าต่อซีแม่” เนื่องว่า
“นางพี่เลี้ยงได้ยินเข้าก็ตกใจมาขอโทษจนฤๅษีหายโกรธจึงให้พรว่าถึงแม้จะลืม แต่เมื่อได้เห็นแหวนก็จะจำได้”
นิดและเสียมนิ่งฟัง
“ต่อมาศกุนตลา กับนางพี่เลี้ยงก็ออกเดินทางไปยังเมืองท้าวทุษยันต์ ถึงท่าน้ำ นางศกุนตลาก็ได้วักน้ำรดผม แหวนขวัญของท้าวทุษยันต์ก็หลุดจากนิ้วนางโดยไม่รู้ตัว”
“อุ๊ยตายแล้ว” แก้วอุทาน
“เมื่อถึงเมืองนางก็เข้าเฝ้า แต่ท้าวทุษยันต์กลับไม่รู้จักนาง นางจะเอาแหวนพยานรักมาให้ดู ก็พบว่าหายไปท้าวทุษยันต์จึงให้ขับไล่นางออกไป นางไม่รู้เรื่องคำสาปจึงเสียใจถึงสุดและหนีสาบสูญไป”
แก้วอินน้ำตาคลอบอก
“โธ่เอ๋ย”
นิดรีบเอามือเช็ดน้ำตา เสียมมองดูอยู่ นิดอับอาย เนื่องสูดน้ำมูกดังพรืด นางนิ่มมอง เนื่องรีบกลบเกลื่อน
“แล้วยังไงอีกแม่”
“วันหนึ่งมีชาวประมงจับปลาได้ เมื่อผ่าท้องก็เจอแหวนจึงนำแหวนไปขาย แหวนนั้นมีค่ามาก ทหารจึงจับตัวไปเฝ้าท้าวทุษยันต์ ทันทีที่เห็นแหวนความทรงจำก็กลับมา ท้าวทุษยันต์ตกใจมาก ออกตามหานางเท่าไหร่ก็ไม่พบ ท้าวทุษยันต์เสียใจจนแทบจะขาดใจตาย” นางนิ่มหยุดกินน้ำ
“โถ พ่อคุณ” แก้วว่า
“อ้าว จบแล้วหรือแม่” เนื่องถาม
“ถ้าพวกเอ็งไม่หยุดขัดคอ….ก็จบตรงนี้แหละ” นางนิ่มบอก
“โธ่ แม่ เล่าต่อเถอะจ๊ะ” นิดรบเร้า
“แม่เหนื่อยแล้ว”
แก้วรีบขยำถี่ยิบ
“เล่าต่อนะน้า”
“ว้าย นังนี่นวดถลากถลำ เส้นเอ็นพลิกหมด”
นางนิ่มทำท่าจะเลิกเล่าจริงๆ นิดนึกออกหันมาหาเสียม
“พี่เสียม….ขอแม่ซีจ๊ะ”
“พี่เหรอ”
เสียมหันไปบอกนางนิ่ม
“แม่นิ่มอย่าไปฟังแก้วกับเนื่องเลย เล่าต่อเถอะ”
“เออ….เห็นแก่พ่อเสียมหรอกนะ”
เนื่องทำหน้าเหม็นเบื่อใส่เสียม แก้วทำหน้าแหยะ เสียมกลั้นยิ้ม
“เวลาผ่านไปหลายปี มียักษ์ตนหนึ่งออกมาอาละวาด พระอินทร์สงสารท้าวทุษยันต์ จึงให้พรท้าวทุษยันต์ ท้าวทุษยันต์ฆ่ายักษ์ตายแล้วเที่ยวไปในป่าหิมพานต์ เจอกุมารน้อยคนหนึ่ง”
“ต๊าย….ลูกชายแน่ๆเลย กะแล้วนางเอกต้องท้อง” แก้วว่า
“นังแก้ว!” เนื่องเสียงดัง
แก้วรีบยกมือปิดปาก นางนิ่มเชิด
“กุมารนั้นออกมาขับไล่ท้าวทุษยันต์เกิดการต่อสู้กัน แต่กุมารนั้นแผลงศรไปกลับกลายเป็นข้าวตอกดอกไม้ ท้าวทุษยันต์แผลงศรไปกลับกลายเป็นขนมนมเนยจึงสงสัย กุมารนั้นจึงไปฟ้องแม่ ท้าวทุษยันต์พบว่านางคือนางศกุนตลานั่นเอง…. นางแค้นท้าวทุษยันต์จึงไม่ยอมคืนดี ท้าวทุษยันต์เล่าเรื่องคำสาป นางจึงเข้าใจ สามคนพ่อแม่ลูกจึงได้อยู่ร่วมกันสืบมา”
นางนิ่มเล่าจบ นิด เสียม เนื่อง แก้วยิ้มหน้าตาสดใส
“เรื่องนี้ดีจังเลยแม่” นิดบอกแล้วหันไปถาม
“สนุกไหม พี่เสียม”
“จ๊ะ แต่พี่เหมือนเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน”
“ก็ใช่ซีจ๊ะ เรื่องเก่าแก่ เป็นบทละครก็มี”
“พี่เสียมคงเคยอ่านสมัยอยู่กรุงเทพมังจ๊ะ ก่อนที่พี่เสียมจะ….ความจำเสื่อม”
“ก็คงอย่างงั้น”
สรรค์พยายามคิดแล้วยกมือข้างหนึ่งบีบขมับ แก้วพูดเสียงเจื้อยแจ้ว
“ต๊ายนิดเหมือนนางศกุนตลา…..แต่นายเสียมนี่ความจำเสื่อมเหมือนท้าวทุษยันต์ไม่มีผิด”
นางนิ่มกับเนื่องสบตากัน แต่นิดกับเสียมยังไม่ได้คิดอะไร
“พี่เสียมโดนใครสาปมาหรือเปล่าจ๊ะ” นิดถาม
“ต่อให้จริงพี่ก็ดีใจ…..ที่มันทำให้พี่ได้มาอยู่ที่นี่ ได้มาเจอนิดเจอเนื่อง เจอแม่นิ่ม….เจอแก้วด้วย”
“คิดว่าจะไม่มีฉันซะแล้ว” แก้วบอก
นางนิ่มพยักหน้ามองเสียมอย่างปรานี
“มันคือโชคชะตานั่นแหละ เสียมเอ๊ย”
ลมแรงพัดมากรูเกรียว นิดมองไปที่เสียมรู้สึกหวั่นใจอย่างประหลาด
เช้าวันใหม่ นิดกับเสียมให้อาหารไก่ นิดมองเสียมแล้วรำพึงขึ้นมา
“พี่เสียมจำอะไรไม่ได้อย่างนี้ คนที่พี่เสียมจากมา เค้าจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“พี่อาจจะไม่มีใครเลยก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้หรอกจ้ะ นิดว่าต้องมีคนทางโน้นที่ตามหาพี่อยู่ แน่ๆ อย่างพ่อแม่ของพี่ หรือไม่ก็คนรักของพี่”
เสียมอึ้งไป
“พี่เสียมมีความสุขที่อยู่ที่นี่ แต่คนทางโน้น คงจะเป็นทุกข์ที่พี่เสียมไม่กลับไป”
เสียมไม่ตอบ นิดแววตาหม่นลงเล็กน้อย
สุวลีเดินลงบันไดมาอย่างช้าๆ ยังคงงดงามระหงมีแต่ดวงตาที่หม่น จวนเดินตามมาห่างๆ สุวลีมาหยุดลงที่รูปวาดของตนเองที่สรรค์วาด ตอนนี้รูปนั้นถูกนำมาติดไว้เป็นจุดเด่นในห้องโถง สุวลียกมือขึ้นแตะรูปน้ำตาเอ่อขึ้น
“สรรค์คะ คุณไปอยู่ที่ไหนกันแน่”
สุวลีน้ำตาหยาดหยด พระกีรติ คุณหญิงบัวผันและคุณแม่บ้านเฟื่องเข้ามา
“อ้าว ยายหนู”
สุวลีตัวแข็งรีบเช็ดน้ำตาแล้วหันกลับมายิ้มอย่างสดใสก้าวไปจับมือพระยากีรติ
“คะ เจ้าคุณพ่อ มีอะไรหรือคะ”
“มะรืนนี้ พ่อจะเลี้ยงต้อนรับพระยาพิทักษ์ เชิญสรรค์ด้วยนะลูก”
สุวลีนิ่งไปนิดหนึ่งแล้วยิ้มตอบอย่างไม่มีพิรุธ
“สรรค์ไปราชการหัวเมืองค่ะ”
“อ้าว ไปอีกแล้วหรือ”
“นี่มันยังไงกันจ๊ะ เดี๋ยวไปนั่น เดี๋ยวไปนี่ แม่ไม่เจอหน้าสรรค์มานานแล้วนะจ๊ะ .. จะสองเดือนเข้าแล้วกระมัง” บัวผันว่า
“อ้าว แม่บัวผัน นี่มันงานราชการ หลวงให้ไปจะไม่ไปได้ยังไงคนหนุ่มกำลังจะแต่งงาน ยิ่งรีบทำผลงานไว้เยอะๆก็ยิ่งดี”
สุวลีฝืนยิ้มแทบไม่มีอะไรผิดปรกติ คุณหญิงบัวผันยังไม่ยอม
“วุ้ย จะเอาแต่งานได้ยังไงคะ แล้วงานแต่งงานล่ะจะตบจะแต่งกันปลายปีนี้แล้ว ยังไม่เห็นมาพูดมาจาว่าจะเอายังไง”
สุวลีลำบากใจ พอดีเห็นเดือนเข้ามาจึงรีบเปลี่ยนเรื่องและหันมาถาม
“ดวง มีอะไรจ๊ะ”
ดวงยอบตัวลงแล้วบอก
“คุณสุวลีเจ้าคะ คุณธนามาค่ะ”
“เจ้าคุณพ่อ คุณแม่ สุขอตัวก่อนนะคะ”
สุวลีรีบออกไป จวนรีบเดินตามไป พระยากีรติมองตามแล้วพูดขึ้น
“ไอ้เจ้านี่มาอีกแล้ว ยายสุก็หมั้นหมายไปแล้ว มันจะเอายังไงของมัน”
ธนาและสุวลีนั่งลงบนชุดเก้าอี้สนามตรงเทอเรซข้างบ้านเนาวรัตน์ สุวลีรีบถามอย่างร้อนใจ
“คุณธนาได้ข่าวสรรค์บ้างหรือยังคะ”
“ไม่มีเลยครับ”
“ทางคุณพระก็ยังไม่ได้ข่าวอะไรเลย สุร้อนใจเหลือเกินค่ะ สุเกรงว่าสรรค์”
สุวลีน้ำตาเอ่อ เสียงสั่น แต่พยายามระงับไว้ ธนามองดูอย่างห่วงใยแล้วกุมมือสุวลีไว้
“คุณสุอย่าร้อนใจไปเลยครับ ผมว่าคุณสรรค์ต้องไม่เป็นอะไร”
“แต่ทำไมถึงได้ไม่มีข่าวคราวอะไรเลย”
“ถ้าเราสืบหาต่อไปต้องเจอร่องรอยอะไรบ้างแน่ครับ”
“ขอบพระคุณค่ะ ธนา”
สุวลีมองธนาอย่างซาบซึ้ง ธนามองอย่างสุดรัก สุวลีชะงักไปนิดหนึ่ง บุญมาก้าวเข้ามาในมือหอบแมกกาซีนมาตั้งหนึ่ง
“คุณสุ”
บุญมาชะงักแล้วขมวดคิ้ว สุวลีดึงมือออกจากธนา
“นี่ผมมาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”
สุวลีลุกขึ้นมาหาบุญมาอย่างดีใจ บุญมาคลายใจเรื่องสุวลี แต่มองธนาอย่างเย็นชา ธนาลุกขึ้นช้าๆยิ้มละไมดวงตามีแววท้าทาย
“คุณบุญมาดีใจจังค่ะที่คุณมา อะไรคะนี่”
บุญมาเอานิตยสารวางลงบนโต๊ะ สุวลี บุญมา ธนานั่งลง สุวลีหยิบนิตยสารขึ้นมาดู
“เสร็จแล้วหรือคะ”
“ครับ แต่คงมะรืนนี้ถึงจะวางขาย”
สุวลีมองดูรูปหน้าปก รูปสุวลีฝีมือสรรค์ดูงดงามสะคราญ สุวลีพลิกปกหนังสือ
ในเล่ม นางแบบ สุวลี กีรติขจร ภาพเขียนสีน้ำมันฝีมือ สรรค์ โพธิธารา
สุวลีปิดหนังสือลงน้ำตาคลออีก
“โธ่เอ๊ย สรรค์”
“คุณสุ…..อย่าห่วงเลยครับ ผมจะตามหามันอย่างสุดความสามารถ”
“ค่ะ ขอบคุณมากค่ะ บุญมา”
ทันใดนั้น เสียงหัวเราะระริกคิกคักคล้ายเสียงม้าร้องก้ดังขึ้น พร้อมๆกับการก้าวเข้ามาของอนงค์และรตี
“ฮัลโหล คุณธนา คุณบุญมา มาลันซ์ไทม์พอดีเลยนะคะ”
“คุณสองคนก็เหมือนกันนี่ครับ” บุญมาบอก
รตีมองอนงค์
“อุ๊ย บังเอิญมากกว่าค่ะ ดิฉันไม่ใช่คนเห็นแก่กิน เหมือน...บางคน”
ทั้งสองต่างค้อนควักใส่กัน สุวลีกรีดน้ำตาทำหน้าปกติ บุญมากับธนาแอบเอือม
บนโต๊ะอาหาร จวนเดินถือถาดอาหารเข้ามาตามด้วยวาดและเดือน อาหารนั้นมากมายวิจิตรบรรจงเช่นเคย รตีชะโงกดูแมกกาซีนที่วางตรงหน้าสุวลี
“แมกกาซีนออกแล้วหรือคะ” รตีถาม
อนงค์กับรตีตาโตรีบเข้าไปนั่งลงพลิกดูนิตยสาร
“ยายสุสวยจังเลย คุณบุญมาถ่ายภาพเก่งจัง” อนงค์บอก
“นี่มันรูปที่คุณสรรค์วาดต่างหากย่ะ” รตีว่า
“ฉันรู้ย่ะ อนงค์ขอสองเล่มนะคะ คุณบุญมา”
อนงค์จัดแจงคว้าไป ๒ เล่ม รตีคว้าบ้าง
“โธ่ คุณ ของซื้อของขาย ใจคอคุณจะไม่ซื้อประเดิมให้ผมซักเล่มสองเล่มหรือ”
“วุ้ย คุณบุญมา เงินทองของบาดใจค่ะ” อนงค์บอก
“เขาว่าเงินทองมีน้อย ใช้สอยประหยัดค่ะ” รตีว่า
เป็นครั้งแรกที่ ๒ นางเออออเป็นปี่เป็นขลุ่ย บุญมารำพึง
“เออ กินฟรี แล้วยังคาบกลับบ้านอีกวุ้ย”
“ขา อะไรนะคะ ใครคาบอะไร”
“ผมว่าของกินเยอะจนแทบจะต้องเอาปากคาบเลยครับ”
สุวลีผายมือไปที่โต๊ะ
“เชิญรับประทานเลยค่ะ”
ธนาเดินลงจากเทอเรซไปยังรถที่จอดอยู่ บุญมาเดินตามมา รถของบุญมาจอดต่อท้ายรถธนา
บุญมาเดินเข้าไปหาธนา
“ผมรู้นะคุณธนา ว่าคุณคิดจะทำอะไร”
“ผมไม่ทราบว่าคุณกำลังพูดอะไร”
“ผมกำลังพูดว่าคุณทำตัวเหมือนแมวขโมยน่ะซี”
“ก็แล้วแต่คุณจะคิด คุณบุญมา .. ผมก็แค่หวังดี”
ธนาตัดบทเดินไปขึ้นรถสตาร์ทเครื่องแล้วขับออกไป
บุญมาขึ้นรถ สตาร์ทเครื่องแล้วมองไปเห็นอนงค์ รตีเดินแกมวิ่งมาจากเทอเรซ บุญมาตาเหลือก
“เวรแล้วกู ติดซีวะ ไอ้ลูกพ่อ”
บุญมาสตาร์ทเครื่องไม่ติด ๒ นางวิ่งมาถึงที่รถพอดีกับที่บุญมาสตาร์ทรถสำเร็จ อนงค์ รตีเข้าเกาะหน้าต่างรถคนละด้าน บุญมาถอนใจเฮือก
“คุณบุญมาขา... เราสองคนขอติดรถไปด้วยนะคะ”
“ส่งเราแถว ๆ สำนักพิมพ์ก็ได้ค่ะ”
รถบุญมาแล่นมาตามถนน ภายในรถ บุญมาขับรถอย่างเซ็ง ๆ อนงค์และรตีซึ่งตกลงเรื่องที่นั่งไม่ได้ ต่างนั่งเบียดกันอยู่ตอนหน้ารถ รตีพูดไม่มีปี่มีขลุ่ย
“คุณบุญมาขับรถดีจัง... เมื่อไรจะเอาเราสองคนไปลงปกบ้างละคะ” รตีว่า
“ถึงเราจะไม่สวยเป็นนางฟ้าอย่างยายสุ แต่เราก็เก๋ไม่แพ้ใครนะคะ” อนงค์บอก
บุญมาพูดไม่ออก รตีทำหน้าเหยียดหยามใส่อนงค์ แล้วหันมายิ้มกับบุญมา
“อีกอย่างความงามที่แท้ก็คือความงามข้างในไม่ใช่หรือคะ” อนงค์ว่า
บุญมาเหลือบดูอนงค์ รตียิ้มหยาดเยิ้ม บุญมามือกระตุกรถตกหลุมกระแทกโครม รตีอุทาน
“แม่มึง!”
อนงค์โดนแรงกระแทก เรออาหารกลางวันเอิ๊กออกมาแล้วทำหน้าเรี่ย รตีอุดจมูก
“นังบ้า หล่อนเรอออกมาเหรอ ต๊าย งามในหรือเน่าในยะ”
“เปล่าย่ะ ฉันกินนิดเดียวจะเรอได้ยังไง” อนงค์บอก
“ฉันเห็นหล่อนยัดทะนานไม่รู้กี่ขนาน”
บุญมาสีหน้าเซ็ง
รถบุญมาแล่นมาติดไฟแดงที่แยกหนึ่ง มีรถอีกคันมาจอดข้าง ๆ บุญมา อนงค์ รตี มองดูรถคันที่มาจอดเทียบ
“รถสวยจัง” อนงค์บอก
“แต่คนขับหน้าเป็นไพร่เชียว” รตีว่า
บุญมาเซ็งมองไปบ้างๆแล้วขมวดคิ้ว จำได้ว่ามันคือรถของสรรค์
“เฮ้ย รถไอ้สรรค์”
บุญมามองไปคนขับเห็น คงสวมเสื้อเชิ้ตของสรรค์
ภาพบุญมาที่เจอกับคงในภัตตาคารหยาดสวรรค์แวบเข้ามา
บุญมาแน่ใจในวินาทีนั้น เป็นจังหวะเดียวกับที่คงหันมาเห็นพอดี บุญมามองเขม็ง คงจำบุญมาได้ถึงกับอ้าปากค้าง!
จบตอนที่ ๕
หมายเหตุ ผู้เรียบเรียง
๒ ศกุนตลา - เป็นหนึ่งในเรื่องแทรกอยู่ใน “คัมภีร์มหาภารตะ” เช่นเดียวกับเรื่อง “พระนล - นางทมยันตี” , นางสาวิตรี - พระสัตยวาน” ฯลฯ ทว่าเรื่อง “ศกุนตลา - ท้าวทุษยันต์” นี้ ถือเป็นเกร็ดต้นเรื่อง เนื่องจากนางศกุนตลานี้เป็นแม่ของพระภรต (ภารตะ - มหาราชอินเดียพระองค์แรกซึ่งเป็นชนกแห่งกษัตริย์โกรพและปาณฑพที่ทำสงครามฆ่าฟันกันเองที่ทุ่งกุรุเกษตร) เกร็ดนี้ชื่อ “ศกุน์ตโลปาขยาณ” เรื่อง “ศกุนตลา” นี้ เป็นบทพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งทรงแต่งเป็นบทละครภาคภาษาไทย เพื่อให้เหมาะแก่การเล่นละครอย่างไทยโดยอาศัยต้นฉบับภาษาอังกฤษของเซอร์วิลเลียม โยนส์และของเซอร์โมเนียร์ วิลเลียมส์
๓ คนธรรพวิวาห์ - คานธรรพวิวาหะ (คานฺธรฺววิวาห) คือการวิวาห์โดยความพึงพอใจของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิงที่จะได้เสียกันเองโดยไม่ต้องขอความยินยอมจากญาติของฝ่ายหญิง คนไทยอาจจะเรียกว่า “วิวาห์เหาะ” ก็ได้
สาวน้อยตอนที่ ๖
บุญมาตวาดสุดเสียง
“เฮ้ย!”
อนงค์ร้องรตีขึ้นอย่างตกใจ
“ว้าย / แม่มึง”
คงถึงกับหน้าซีดแล้วตัดสินใจเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งจนรถพุ่งฝ่าไฟแดงออกไป รถที่แล่นมารีบหักหลบ บุญมาขบกรามเข้าเกียร์เหยียบคันเร่งตาม ทั้ง ๒ นางหน้าเลิ่กลั่ก
“อะไรหรือ... ว้าย” อนงค์ร้องถาม
รถของบุญมาพุ่งออกไป อนงค์กับตีหงายท้องเท้าเกือบชี้ฟ้า
รถของสรรค์คันที่คงขับอยู่พุ่งออกไป รถบุญมาแล่นตามมาอย่างกระชั้นชิด คงกลัวจนหน้าซีดและมองดูรถบุญมาในกระจกส่องหลัง แล้วเหยียบคันเร่งขึ้นไปอีก คงพารถของสรรค์พุ่งทะยานไป บุญมาขบกรามแน่นขับตามไปติดๆ อนงค์กับรตีเกาะแผงหน้าปัดและเบาะไว้มั่น
รถของสรรค์แล่นหนีจนใกล้สามแยก รถบุญมาไล่ตามมา คงมองดูทำท่าเหมือนจะเลี้ยวขวา ทันใดก็หักเลี้ยวซ้ายอย่างรวดเร็ว บุญมาขบกรามเลี้ยวรถขวับเข้าแยกซ้ายตามไปติดๆ อนงค์และรตีร้องหวีด ร่างเอนเข้าปะทะประตูรถ ใบหน้าของสองนางบี้ติดกระจกหน้าต่างรถ
ตรอกแคบ ๆ ซึ่งน่าจะเป็นทางเดินทางจักรยานมากกว่าทางรถยนต์ มีแยกเล็กแยกน้อยเต็มไปหมด ทั้ง 2 ข้าง มีรั้วบ้านคนสลับกับที่ดินเปล่าซึ่งมีต้นไม้รกเรื้อ ทางนั้นมีสามล้อรับจ้าง หาบเร่ คนเดินเท้าสัญจรอยู่
คงขับรถของสรรค์แล่นตะบึงมา สามล้อหักหลบ คนเดินเท้ากระโจนเข้าข้างทาง แม่ค้าหาบเร่หมุนคว้างราวเต้นระบำ
รถบุญมาแล่นตาม สามล้อเสยพรวดเข้าพงรก คนเดินเท้าอีกคนปีนพรวดขึ้นรั้ว บุญมามีสีหน้าขอโทษและยกมือขออภัยอยู่ในรถ อนงค์กับรตีผมหลุดลุ่ย เสื้อขาดตกไหล่ สายเสื้อในหลุด
ทันใด รถบุญมาก็เฉี่ยวแม่ค้าหาบเร่หมุนคว้างกลับไปอีกด้าน ของในกระจาดเทลงเกลื่อนทาง บุญมามองดูกระจกส่องหลังเห็นแม่ค้าหาบเร่เต้นเร่า ๆ ชูไม้คานอย่างเอาเรื่อง
คงมีทีท่าชำนาญทาง ทันใดก็หักเข้าแยกเล็ก ๆ ที่มีพุ่มไม้รกบัง รถวูบหายไป
บุญมาไม่คาดคิดว่ามีทางแยกขับเลยไปแล้วกระทืบเบรก เอี๊ยด! อนงค์กับรตีถลาไป หัวโขกกับกระจกดังโป๊ก!
บุญมาถอยรถขวับมาหน้าซอยเล็ก ทันใดแม่ค้าหาบเร่ก็ถือไม้คานมาขวางไว้ เรียกเสียงขรมให้บุญมาลงจากรถ
บุญมาลงมาจากรถมองเข้าทางแยกเล็ก มันยังมีแยกอื่นๆอีกข้างใน ไม่มีวี่แววรถของสรรค์แล้ว แม่ค้าเข้ายึดแขนบุญมาไว้
“พ่อคุณ หาบฉัน ของฉันฉิบหายป่นปี้”
บุญมาเซ็งชีวิตสุดๆ อนงค์กับรตีเซซังลงมาจากรถมีสภาพคล้ายถูกรุมโทรม
“ฮือ คุณบุญมา”
อนงค์พูดได้เท่านั้นก็ขยักขย้อนเอามือปิดปากวิ่งถลาไปที่พุ่มไม้ รตีตามไป บุญมาและแม่ค้ามองตาม มีเสียงโอ๊กดังตามมา บุญมาและแม่ค้าทำหน้าขยะแขยง
ตรอกหลังภัตตาคาร หยาดสวรรค์ในเวลากลางวันต่อมา สินตบหน้าคงอย่างแรงจนซไป สินตามไปบีบคอ คงตาเหลือก
“กูจะเตือนมึงเป็นครั้งสุดท้ายนะ ไอ้คง อย่าทำแบบนี้อีก”
“จ้ะ พี่สิน จ้ะ ฉันไม่ทำอีกแล้ว”
สินผลักคงเซไปด้วยความโกรธและโมโห
“เอ็งเรียกช่างมาตีราคาแล้วรีบปล่อยรถออกไปได้แล้ว แล้วอย่าเสือกเอาไปขับฉุยฉายอีกล่ะ เข้าใจไหม” สินบอก
คงตาเหลือกไม่ตอบ แต่มองผ่านไปด้านหลังสิน สินหันมองตามก็เห็นมารศรียืนอยู่ สินตกใจแต่คุมอาการไว้ได้ มารศรีมองอย่างตัดพ้อเข้าใจว่าสินทำไปเพราะเธอเป็นต้นเหตุ
“พี่สินทำอะไรคุณสรรค์”
คงเห็นท่าไม่ดีจึงรีบหลบออกไป สินมองมารศรีนิ่งๆ
“ก็แค่สอนให้ไอ้พวกผู้ดีมันรู้ว่า มันจะมาข่มเหงคนอย่างเราไม่ได้”
“พี่ทำอะไรเค้า แล้วตอนนี้เค้าอยู่ที่ไหน”
“พี่เอาไม้ตีหัวมันจนสลบ สั่งสอนมันเสร็จก็ทิ้งมันเอาไว้ข้างทาง”
มารศรีใจหายวาบ
“มันผ่านมาหลายเดือนแล้ว คุณสรรค์ยังไม่กลับบ้านแล้วเค้าไปไหน”
“มันอาจจะตายไปแล้วก็ได้ ใครจะไปรู้” สินบอก
สินพูดน้ำเสียงนิ่ง มารศรีใจหายวับและรู้สึกผิด
เช้าวันใหม่ ที่ตลาดหน้าด่าน บริเวณร้าน นางแสนั่งเท้าแขนแอ่นหยัดอยู่ตรงหน้า มีกระจาด ๒-๓ ใบใส่ไข่ไก่พูนไว้เต็มกระจาด ลูกค้าช่างติคนเดิมเดินเข้าร้านมา นางแสฉีกยิ้มร้องขายของเสียงหวาน
“ไข่แม่เอ้ย ไข่ ไข่สด ๆ จ้ะ”
คุณนายลูกค้ากรีดนิ้วเลือกไข่ไก่แล้วสะดุ้ง
“ว้าย ไข่ยังเปื้อนขี้อยู่เลย”
“อ้าว คุณนาย ไข่มันไม่ได้ออกมาทางหัวไก่นะคะมันก็ต้องมีบ้าง”
“แล้วทำไมของเจ้าอื่นเขาสะอาด”
“ไก่มันคงกินอาหารทิพย์มังยะ มันเลยไม่มีขี้”
คุณนายลูกค้าเดินคอแข็งเชิดใส่สะบัดออกไป นางแสเท้าสะเอว
“ดี... ไปซื้อเจ้าอื่นไป เอ... นี่นังทับทิมไปไหน”
บริเวณแผงของนางนิ่ม ทับทิมนั่งหน้านวลปากแดงฉาดฉานนั่งอยู่กับเสียม ตรงหน้ามีกระจาดไข่ไก่ฟองใหญ่กับฟองขนาดกลาง เสียงทับทิมเจื้อยแจ้ว
“ไข่ไก่สด ๆ ใหม่ ๆ จ้ะ”
นางนิ่ม นิด และแก้วกำลังขายผักเหลือบมาดูทับทิม ลูกค้าคนเดิมถือตะกร้ามาถึง
“ไข่ขายยังไงจ๊ะ”
“สิบใบสลึงจ้ะ” ทับทิมบอก
“อุ๊ยตาย ทำไมถูกกว่าเจ้าอื่น”
“ไข่ของที่บ้านเองครับ ไม่ได้รับเขามา” เสียมบอก
“งั้นฉันเหมาหมดนี่เลย”
ทับทิมและเสียมเอาไข่เรียงใส่ตะกร้าจ่ายตลาดของลูกค้า แม่นิ่มยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เสียรับเหรียญ ลูกค้าเดินไป ทับทิมว่า
“แหม ไข่พี่เสียมนี่ใบโต๊โต”
“ไข่ไก่ ไม่ใช่ไข่พี่”
ทับทิมมองค้อนแล้วหัวเราะระริก
“วุ้ย พี่เสียมนี่คิดลึกไปไหน” ทับทิมว่า
“อย่าว่าแต่นายเสียมคิดเลย ข้าเองก็คิด” แก้วพูดขัด
ทับทิมตาเขียวใส่แก้วแล้วหันมาหาเสียมอีกครั้งพลางยิ้มหวาน มีเงาทาบของใครคนหนึ่งทาบลงมา ที่ทับทิม เสียมเงยหน้าขึ้นดูก็เห็นนางแสยืนอยู่กับแม้น ทับทิมขยับห่างเสียมออกมานิดหนึ่ง
“อีทับทิมมาช่วยคนอื่นขายของอีกแล้วหรือ” นางแสว่า
“ไม่ได้ช่วยขายซักหน่อย แค่มาช่วยเรียกลูกค้าเฉย ๆ”
“ทับทิม เอ็งลุกมานี่” แม้นบอก
แม้นมองจ้องเสียมตาเขียวปัด เสียมไม่แยแส ทับทิมลังเลแล้วถาม
“ทำไมเหรอ”
“ทับทิมไปช่วยป้าแสขายของเถอะ” เสียมบอก
นิดชำเลืองมองดูเหตุการณ์อย่างกลัวมีเรื่อง แก้วมองอย่างอยากให้เกิดเรื่อง ทับทิมอิดออดแต่ก็ลุกขึ้นบ่น
“ฮึ ไปก็ได้ ว้าย”
แม้นดึงทับทิมมายืนข้างหลังนางแส ยายแสเอานิ้วจิ้มไปที่หน้าผากลูก
“แหม อี อี อีทรพี”
แก้วหัวเราะคิกจนนิดหยิกแก้วเตือน ทับทิมมองค้อน แม้นมองเสียมอย่างท้าทาย เสียมลุกขึ้น
“พี่เสียม!”
เสียมชะงัก
“พี่เสียมแยกไข่ของคุณอาหลวงพิจารณ์ไว้แล้วหรือยังจ๊ะ เดี๋ยวแกจะมาเอา”
“อ้อ พี่ลืมไป”
แม้นพอได้ยินชื่อสารวัตรก็เหลียวหน้าเหลียวหลังและดูสงบลงไปได้ เสียมนั่งลงแยกไข่ลงใส่ถุงกระดาษสีน้ำตาล นางแสมองเห็นนางนิ่มนับเงินขายผักอยู่ก็พูดแขวะ
“วุ้ย แม่นิ่ม แหมหน้าเห่อยังกะได้ขึ้นปราสาทเหม”
“ก็ใช่ซีจ๊ะ ของขายเป็นเทน้ำเทท่าอย่างนี้ ทั้งผัก ทั้งไข่”
“ทีหลังก็ขายส้มสูกลูกไม้ซะด้วยซี”
นางแสพูดประชด แต่นางนิ่มยิ้มรับลุกขึ้นพับเงินใส่ชายพก
“ฉันกับพ่อเสียมก็คิด ๆ อยู่เหมือนกัน”
“ต๊าย นี่ฉันพูดแดกให้ยังไม่รู้อีกหรือ”
“อ๋อ รู้จ้ะ แต่ฉันไม่ถือเห็นว่าทุนหายกำไรหดอยู่”
“ต๊าย พูดจาน่าตบ”
“อุ๊ย เอาจริงหรือเปล่า ฉันกำลังคันมือคันไม้อยู่พอดี” แก้วบอก
แก้วลุกขึ้นทำท่าเกามือ นิด เสียมลุกขึ้น นางแสถกผ้า แม้นขยับมา ไทยมุงรีบตีวงทันที
“เออ เดี๋ยวกูจะตบแก้คันให้” นางแสว่า
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ โผล่มาจากไหนไม่รู้ พร้อมพลตำรวจ
“ไหน ๆ มีใครจะตบกัน จะได้จับไปนอนมุ้งสายบัวให้เข็ด”
นางแสสะดุ้งสุดตัวหันมายิ้มกะเรี่ยกะราด แม้นก็รีบกุมเป้า
“วุ้ย แค่ล้อกันเล่นค่า คุณหลวงสารวัตร” นางแสว่า
“เออ งั้นแล้วไป”
“นังเนรคุณ กลับร้าน”
นางแสกับแม้นดึงตัวทับทิมไปทันที นิดยิ้มเอาถุงไข่ไก่ส่งให้คุณหลวงพิจารณ์สันติราษฎร์
“นี่จ้ะ ไข่ไก่ของคุณอาหลวง”
“ขอบใจจ้ะ เออ หนูนิดเดี๋ยวนี้ยังร้องเพลงอยู่ไหม”
เสียมฟังอย่างแปลกใจเพราะนึกไม่ถึง นิดรับเงินจากหลวงพิจารณ์
เสียมมองรอฟังคำตอบ
“ก็แค่ร้องเล่น ๆ น่ะจ้ะ คุณอาหลวง”
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ยิ้มพอใจบอก “ดี ดี”
หลวงพิจารณ์เดินไปด้วยหน้าตาพออกพอใจ เสียมมองนิดอย่างประหลาดใจ
“นิดร้องเพลงด้วยเหรอ พี่ไม่ยักรู้” เสียมบอก
นิดอมยิ้มไม่ตอบแล้วหันไปจัดกระจาดไข่ต่อ เสียมขำ
เสียมถือกระจาดเปล่าเดินตามนิดที่ลอยหน้าลอยตาฮัมเพลงกลับบ้าน เสียมมองนิดอย่างเอ็นดูปนหมั่นไส้
“นิดร้องเพลงอะไรน่ะ”
“ไม่รู้ไม่ชี้”
เสียมแกล้งกวนบ้าง
“ชื่อแปลกดี เพลงไม่รู้ไม่ชี้”
“พี่เสียมนี่”
นิดหันไปทุบเสียมแล้วหัวเราะให้กัน แต่เมื่อถึงหน้าบ้านก็ชะงักเพราะเชิดดักรออยู่ด้วยสีหน้าขรึม
เชิดเดินเข้ามาหาเสียม
“ไอ้เสียม”
“อะไรหรือ”
“ข้าจะไปกรุงเทพซัก 3-4 วัน เอ็งไปกับข้า”
เสียมมองเชิด นิดชะงัก
“ไปทำไม” เสียมถาม
“ข้าจะพาเอ็งกลับไปตามหาครอบครัวเอ็งไง”
“ครอบครัวหรือ”
“เอ็งน่าจะมีพ่อแม่ หรือไม่ก็ลูกเมียรออยู่ที่กรุงเทพ”
เชิดจงใจพูดพลางเหลือบดูนิด นิดมองดูเสียมที่ขมวดคิ้วพยายามนึกจนเริ่มปวดศีรษะรุนแรงอีกครั้ง
นิดวางกระด้งลง
“ฉันจำไม่ได้”
“เอ็งจำไม่ได้ ไม่ได้แปลว่า เอ็งไม่มีครอบครัวไม่มีบ้าน”
เสียมนิ่งอั้นสับสนปวดหัวมากขึ้น นิดมองด้วยสายตาห่วงใย
“พ่อแม่เอ็งหรือลูกเอ็งเมียเอ็ง อาจจะตามหาเอ็งแทบพลิกแผ่นดินอยู่ก็ได้ เอ็งลองนึกดูซีนึกดูอีกที”
เสียมนึกแล้วกุมหัวร้องโอ๊ย นิดเดินเข้าไปบีบมือเสียม
“พี่เชิดพอเถอะ พี่เสียม”
เชิดรำคาญใจแต่อีกใจก็สงสาร เสียมตัวสั่นคิ้วขมวดมุ่น
“ครอบครัวของพี่ บ้านของพี่”
“พี่เสียม อย่านึกอีกเลยจ้ะ อย่านึกเลย” นิดบอก
ในเวลากลางคืน รถของธนาแล่นมาจอดตรงหน้าเทอเรซบ้านเนาวรัตน์ คนรับใช้ชายก้าวมารับ จวนลงจากเทอเรซมารอ ธนาลงจากรถมาเปิดประตูให้สุวลีที่เฉิดฉายลงมาจากรถ
“ธนา คุณจะเข้าไปก่อนไหมคะ”
“ไม่ดีกว่าครับ คุณสุจะได้พักผ่อน”
“ขอบพระคุณมากนะคะ ธนาที่คอยเป็นธุระ เรื่อง...สรรค์”
สุวลีลดเสียงคำว่าสรรค์ลงแผ่วเบาเพราะไม่อยากให้ใครได้ยิน
“คุณสุก็รู้ว่าผมทำได้ทุกอย่างเพื่อคุณ”
ธนาดวงตาไม่ปิดบังความรู้สึก สุวลีอึ้งไปนิดแล้วยิ้มขอบคุณ
“ค่ะ กู๊ดไนท์นะคะ”
“กู๊ดไนท์ครับ”
ธนาเดินกลับไปขึ้นรถ รถแล่นออกไป สุวลีถอนใจและส่งกระเป๋าถือให้จวนแล้วเดินขึ้นเทอเรซไป
สุวลีก้าวเข้าไปในห้องนั่งเล่น พระยากีรติ คุณหญิงบัวผัน นั่งอยู่บนโซฟาส่งสายตามองมาอย่างไม่ชอบใจ เสวกยืนเกาะกรอบหน้าต่าง คุณแม่บ้านเฟื่องยืนอยู่ทางด้านหลังกับเดือนและวาด จวนก้าวตามสุวลีเข้ามาก็รู้สึกได้ว่าบรรยากาศดูไม่ดี
คุณหญิงบัวผันมองเฟื่อง เฟื่องพยักหน้าให้เดือนและวาด ทั้งคู่รีบย่อตัวและเดินออกจากห้องไป สุวลีมองจวน จวนรีบออกไปด้วย เฟื่องเดินไปปิดประตูลงแล้วมายืนข้างหลังสุวลี สุวลีไปนั่งเก้าอี้ตรงข้ามพ่อและแม่
“นี่มันยังไงกันแน่ ลูกสุ ลูกน่ะมีคู่หมั้นแล้วนะไม่ใช่ตัวเปล่าเล่าเปลือย” พระยากีรติบอก
“ลูกกับธนาเป็นเพื่อนกัน เราสองคนบริสุทธิ์ใจค่ะ”
“คุณน้อง พี่รู้ว่าเธอบริสุทธิ์ใจ แต่สำหรับเจ้าพ่อค้านั่นพี่ไม่ไว้ใจ” เสวกว่า
“คุณพี่!”
“แม่ก็ว่าอย่างนั้นนะลูก”
“ไอ้เจ้าธนามันยังรักเธอหัวปักหัวปำอยู่ เธอเองก็ไม่ควรเปิดโอกาสให้มันขนาดนี้ นี่ถ้าเจ้าสรรค์รู้เข้าจะว่ายังไง” เสวกว่า
สุวลีน้อยใจ คับแค้นใจจนกลายเป็นโกรธ น้ำตาคลอ คุณแม่บ้านเฟื่องกุมมือไว้
“คุณหนูคะ”
“สรรค์... สรรค์ไม่รับรู้หรอกค่ะ”
“นั่นเธอพูดอะไร” เสวกถาม
“หมายความว่ายังไง ยายหนู” พระยากีรติถาม
“อะไรกัน ทำไมหนูพูดแบบนั้นลูก” คุณหญิงบัวผันว่า
สุวลีเม้มปากแล้วตัดสินใจพูด
“สรรค์หายสาบสูญไปเกือบสามเดือนแล้วค่ะ แต่คุณพระชาญให้ปิดความไว้ก่อน ที่ลูกไปไหนมาไหนกับธนาก็เพราะธนาช่วยสืบหาสรรค์ให้ลูกอยู่”
พระยากีรติผุดลุก คุณหญิงบัวผันยกมือทาบอก เสวกอ้าปากค้าง
วันต่อมาเวลากลางวัน พระชาญชลาศัยนั่งหน้าซีดเผือดอยู่กับบุญมาในห้องนั่งเล่นภายในบ้านเนาวรัตน์
“ผมต้องกราบขอประทานโทษใต้เท้า”
บนโซฟาตัวตรงข้ามกับพระชาญชลาศัยนั่งอยู่ พระยากีรตินั่งหน้าเคร่ง คุณหญิงบัวผันหน้าเผือด คุณเฟื่องกระพือพัดให้อยู่ใกล้ ๆ เสวกนั่งอยู่กับสุวลีที่โซฟาอีกตัวหนึ่ง
“ที่ผมรอไว้ก็เพราะอยากสืบให้มีความคืบหน้าก่อน ไม่อยากให้ใต้เท้าต้องพลอยมาร้อนใจด้วย”
พระยากีรติเสียงเข้มไม่พอใจ
“อ้อ ทีหลังไม่ต้องเกรงใจฉันขนาดนี้จะดีกว่า”
“นี่ผมก็กำลังจะมากราบเรียนท่านอยู่พอดี”
เสวกเห็นพระชาญชลาศัยหน้าจ๋อย สีหน้าไม่ค่อยดี เลยรีบตัดบท
“แล้วตอนนี้สืบได้ความว่าอย่างไรครับ คุณอา”
พระชาญหันมาหาบุญมาแล้วบอก
“บุญมาว่าไปซี”
“ใต้เท้าขอรับ ตอนนี้ผมสืบได้ว่า มีพวกหัวไม้ตีชิงวิ่งราวชื่อไอ้คง มันใส่เสื้อผ้าสรรค์ ขับรถของสรรค์ฉุยฉายอยู่มันต้องเป็นตัวการเรื่องนี้แน่ ๆ”
สุวลียกมือปิดปากดวงตาเบิกกว้าง เสวกกุมมือน้องสาวไว้
“คุณพระคุณเจ้าช่วย แล้วสรรค์...”
เสวกรีบปลอบ
“คุณน้อง”
“คุณสุ อย่าเพิ่งตกใจไปครับเท่าที่ผมสืบมาได้ ไอ้เจ้านี่เป็นแค่พวกจี้ปล้น ไม่ใช่คนร้ายใจทมิฬอะไร” บุญมาบอก
“แล้วนี่ได้ตัวมันมาหรือยัง” พระยากีรติถาม
“คิดว่าคงอีกไม่นานหรอกครับ” บุญมาว่า
พระยากีรติค่อยคลายความโกรธลงแล้วพยักหน้าช้า ๆ
“ใต้เท้าคงจะเห็นด้วยกับผมว่าไม่ควรให้ข่าวแพร่ออกไป”
“ฉันก็ว่าอย่างนั้น งั้นให้รู้กันแค่นี้ แม่บัวผัน แม่เฟื่องอย่างเที่ยวพูดไป”
“แหม อิฉันไม่พูดหรอกค่ะ” คุณหญิงบัวผันว่า
สุวลีลุกขึ้นช้า ๆ เดินไปที่หน้าต่างมองดูท้องฟ้ากว้างภายนอก น้ำตาเอ่อขึ้นอีก
“สรรค์คะ คุณอยู่ที่ไหน”
เสียมยืนมองท้องทะเลด้วยสีหน้าปลอดโปร่งสุขใจ ท้องฟ้าสีครามยามเย็น หมู่เมฆขาวมหึมาลอยอยู่บนฟ้า ต่ำลงมาเป็นโขดหินสีดำ หาดทรายขาวรูปโค้ง เวลาเย็นมากแล้ว ดวงอาทิตย์และผืนน้ำเกิดแสงสีไปทั่วผืนฟ้าและท้องทะเล ลมแรงกระพือพัดคลื่นลูกใหญ่ซัดเข้าหาชายฝั่ง กระแทกโขดหินสีดำแตกกระจายเป็นฟอง
นิดเดินมา ลมพัดผ้าผืนบางคล้องคอปลิวไสว นิดสอดส่ายสายตามองหา เห็นเสียมยืนอยู่ริมทะเล ลมแรงพัดจนผมและชายเสื้อชายกางเกงกระพือไหว นิดเดินเข้าไปใกล้
“พี่เสียม ทำไมไม่ไปกินข้าวล่ะจ๊ะ มัวแต่ทำอะไรอยู่”
“พี่กำลังพยายามนึกให้ออกว่าพี่เป็นใคร”
นิดรู้ว่า เสียมกำลังไม่สบายใจจึงยิ้มปลอบประโลม
“แล้วนึกออกไหมจ๊ะ”
สรรค์ส่ายหน้า นิดจับแขนสรรค์แล้วยิ้ม
“งั้นก็อย่านึกเลยจ้ะ”
“เชิดเค้ากลัวว่าพี่จะเป็นนักโทษอุกฉกรรจ์ หรือเป็นผู้ร้ายฆ่าคนตาย”
“พี่เสียมอย่าไปฟังพี่เชิดเลยนะจ๊ะ พี่เชิดเค้าก็เป็นห่วงแม่ ห่วงนิด มากเกินไปหน่อยเท่านั้น พี่เสียมอย่าโกรธพี่เชิดเลย”
“พี่ไม่ได้โกรธเชิดหรอก แต่พี่กลัวว่าพี่จะเป็นคนไม่ดีที่จะมาทำให้นิด ให้ทุกคนเสียใจ”
นิดมองลึกลงไปในดวงตาเสียมแล้วใช้สองมือจับสองมือของเสียมไว้
“ไม่หรอกจ้ะ ไม่ว่าพี่เสียมจะเป็นยังไงมา นิดก็จะไม่เสียใจ”
“แต่ถ้าพี่เป็นคนไม่ดี นิดจะไม่เกลียดพี่หรือ”
“ไม่จ้ะ เพราะตอนนี้พี่เสียมดีกับนิด กับแม่ กับพี่เนื่อง กับทุกคน พี่เสียมเป็นคนดีที่สุด”
เสียมคลายใจจนยิ้มออก
“พี่นึกไม่ออกว่าครอบครัวของพี่ที่กรุงเทพเป็นยังไง แต่พี่รู้ว่าครอบครัวของพี่อยู่ที่นี่แล้ว”
นิดสบตาเสียมย่างสดใส เสียมมองตอบ
วันใหม่ตอนกลางวันที่ห้องโถงบ้านโพธิธารา มารศรีแต่งตัวงดงามเดินลงบันไดมาเห็นแม่ผินกำลังผูกริบบิ้นธูปเทียนวางเป็นชุดลงบนพานอยู่ที่โต๊ะกินข้าว ส่วนบัวกับสมพงษ์อยู่ที่พื้น ตรงหน้ามีถังใส่ดอกบัวตูม บัวปลิดกลีบที่ดำออก มารศรีเดินมาใกล้แล้วถามด้วยสีหน้ายิ้ม แม่ผินเชิดหน้า
“นี่ทำอะไรกันหรือ” มารศรีถาม
“พรุ่งนี้วันพระใหญ่ คนห่างวัดน่ะคงไม่รู้จักล่ะซีนะ” ผินพูดประชด
“อ๋อ วันอาสาฬหะน่ะหรือ”
“ต๊าย ไม่น่าเชื่อว่าคุณนายจะรู้จักวันพระกับเขาด้วย”
มารศรีไม่โกรธ แต่ดูเหมือนจะเริ่มชินกับการต่อปากต่อคำกับแม่ผิน บัวกับสมพงษ์กลั้นยิ้ม
“งั้นฉันขอถามคนใกล้วัดหน่อย ว่าวันอาสาฬหะน่ะเป็นยังไงหรือ”
แม่ผินจะตอบ แต่แล้วก็พบว่าตัวเองไม่รู้เลยชะงัก
“ยังไงคะคุณแม่บ้าน วันอะไรหรือคะ”
“ก็เป็นวันพระใหญ่นั่นแหละ”
“อ้าว คิดว่ารู้” สมพงษ์ว่า
“นี่ แกสองคนเอาดอกไม้ไปเก็บดี ๆ นะยะ พรุ่งนี้ค่อยมากำ”
แม่ผินอารมณ์เสียตวาดแว้ด บัวกับสมพงษ์กลั้นหัวเราะเอาถังดอกบัวออกไป มารศรีเปรยด้วยน้ำเสียงแฝงด้วยความรู้สึกผิด
“ก็ดี จะได้ทำบุญให้คุณสรรค์”
ผินแว้ดใส่
“คุณหนูของฉันยังไม่ตาย!”
มารศรีหันมาเอาเรื่อง
“ฉันก็ไม่ได้แช่งให้ใครตายนี่ ฉันแค่บอกให้ทำบุญทำทานให้พระคุ้มครองคุณหนูของแม่ผิน”
“คุณหนูต้องกลับมาแน่ ๆ กลับมาเฉดหัวนางบางคนออกไป”
“ทำบุญไปแช่งไป เขาว่าจะได้บาปมากกว่าบุญนะ แม่ผิน”
“ต๊าย ว่าใครยะ”
พระชาญชลาศัยเดินอย่างเหนื่อยอ่อนทรุดโทรมลงบันไดมา
“พอ พอเสียที จะต่อปากกันไปถึงไหน”
พระชาญชลาศัยเดินมาจับธูปเทียนอย่างสะท้อนใจแล้วถอนใจยาว แม่ผินทำตาแดง ๆ
“โธ่เอ๋ย ลูก”
มารศรีถอนใจปลงๆ สมพงษ์เดินเข้ามา แม่ผินรีบซับน้ำตาเพราะที่บ้านยังปิดคนใช้เรื่องสรรค์อยู่
พระชาญชลาศัยและมารศรีนั่งลง
“จดหมายขอรับ เขียนภาษาฝรั่งด้วย” สมพงษ์บอก
สมพงษ์คุกเข่าลงแล้วส่งจดหมายให้ พระชาญชลาศัยฉีกซองอ่านคร่าว ๆด้วยหน้าตากังวล
มารศรีมีสีหน้าสนใจแล้วถาม
“จดหมายใครกันคะ”
“แมกกินนี ครูสอนวาดรูปของเจ้าสรรค์ เดือนหน้าเขาจะแวะมาเยี่ยม”
“โธ่เอ๋ย คุณหนู”
สมพงษ์มองแม่ผินด้วยสายตางง ๆ แม่ผินรีบสงบท่าที พระชาญชลาศัยอ่านทวนจดหมายซ้ำ สีหน้ากลัดกลุ้ม
ภายในบริเวณวัดมีการประดับธงทิว พระสงฆ์และชาวบ้านช่วยกันกวาดลานวัด ทางด้านหนึ่งชาวบ้านกำลังตอกไม้ตั้งเวทีกันอย่างวุ่นวาย
ในร้านขายผ้าที่ตลาดหน้าด่าน แก้วที่เอาผ้าผืนใหญ่ดอกดวงสีสดใสมาทาบตัวอยู่ เสียมกับนิดยืนอยู่กลางร้านซึ่งมีผ้าพับเรียงอยู่เป็นแถว ส่วนทางด้านหนึ่งเป็นพวกโสร่งและซิ่นที่พับซ้อนไว้ ภายในร้านยังมีหุ่นโชว์เสื้อสวมผ้าที่เอามาจับเดรปผูก ๆ พัน ๆ เนื่องกำลังยืนดูหุ่นแล้วสงสัยว่าใต้ผ้านั้นจะมีทรวดทรงคล้ายคนแค่ไหน
“พี่เสียมซื้อผ้าตัดเสื้อสักตัวซีจ๊ะ”
“ไม่เอา พี่มีตั้งหลายตัวแล้ว”
“ไม่เหมือนฉัน ยิ่งมีแล้วก็ยิ่งอยากได้อีก” แก้วบอก
“เออ ใครมาเป็นผัวเอ็งคงเจริญล่ะ” เนื่องว่า
แก้วหน้าคว่ำทันทีแล้วบอก
“ดูนมดูต้มหุ่นไปเถอะ ไม่ต้องมายุ่งกับฉัน”
เนื่องชะงัก อาเจ้เจ้าของร้านเข้ามาดูเนื่องใกล้ ๆด้วยท่าทางไม่วางใจ เนื่องสะดุ้งรีบถอยมา นิดและแก้วเข้าไปคลี่ผ้าพับหนึ่งออก ผ้าเนื้อดีดูเรียบลื่น เนื่องและเสียมเดินออกไป
“สวยจัง”
“ก็เอาซี”
“ไม่ได้นะ ฉันจองแล้ว”
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมๆกับยื่นมือมาดึงผ้าพับนั้นไว้ นิดและแก้วเงยหน้าเห็นทับทิมเข้ามา
“จองอะไรกันฮะ นังทับทิม เอ็งเพิ่งมาเดี๋ยวนี้เอง” แก้วว่า
“ไม่รู้ล่ะ ฉันเคยบอกเจ๊เอาไว้แล้ว”
เจ๊เข้ามาทำตาปริบ ๆ
“จองอาลาย ใครมาใครก็ซื้อล่าย”
“นั่นซี ผ้าทั้งพับไม่รู้กี่หลาต่อกี่หลา จะมาแย่งกันทำไม” นิดบอก
“ก็ฉันจะตัดใส่ไปงานวัดคืนพรุ่งนี้”
ทับทิมดึงผ้ามา แก้วดึงเอาไว้
“นิดมันก็จะตัดใส่ไปเหมือนกันจะทำไม” แก้วบอก
“เอ๊ะ อีแก้ว!”
เสียมกับเนื่องเข้ามาดู
“มีอะไรกันหรือ” เสียมถาม
ทับทิมเดินเข้าไปกอดแขนเสียม
“พี่เสียมจ๋า นิดกับทับทิมจะตัดเสื้อไปงานคืนพรุ่งนี้ แต่เกิดมาถูกใจผ้าลายเดียวกันเกิดใส่ไปชนกันละน่าเกลียดตาย เกาะเราก็เล็กนิดเดียวเอง”
เสียมกับเนื่องมองอย่างอ่อนใจ
“เรื่องแค่นี้น่ะนะ .. กูจะบ้า” เนื่องบอก
“นั่นสิ ผ้าเหมือนกันแต่ตัดคนละแบบ มันก็ไม่เหมือนกันหรอก ไม่เห็นจะเป็นไรเลย”
เจ๊เจ้าของร้านได้ทีรีบรวบรัด
“ฮ่อๆ ถูกเลี้ยวๆ ตกลงลื้อเอาไปทั้งสองคนเลยนะ ลื้อล่ะนังแก้วจาเอาล่วยไหม อั๊วจะได้ขายได้เยอะๆ”
ทุกคนมองหน้าเจ๊เป็นทีว่า ‘ไม่งกเลยนะเจ๊’ เจ๊ยิ้มเห็นฟันทอง
ในเวลาต่อมา ที่แผงของทับทิมภายในร้านของนางแสยังมีของสวย ๆ งาม ๆ วางเต็ม นอกจากนี้ยังมีนิตยสารวางอยู่หลายฉบับ หน้าปกมีกันยา เทียนสว่างบ้าง มยุรี วิชัยวัฒนะบ้าง ทับทิมถือถุงกระดาษใส่ผ้าเดินหน้าตั้งพุ่งเข้ามา แก้วลากนิดเดินตามมาราวกับวิ่งแข่ง สรรค์กับเนื่องเดินตามมาข้างหลังอย่างงงๆ
“นังสองคนมันจะรีบไปไหนของมันอีก” เนื่องว่า
ทับทิมไปที่แผงคว้านิตยสารมาเปิดดูแบบเสื้อ นิดกับแก้วก็คว้านิตยสารอีกเล่มมาพลิกดู
“โอโห สวยจังเลย” นิดบอก
“ยังกะเจ้าหญิงฝรั่ง” แก้วว่า
นิดหันไปเรียกเสียมที่ยืนรออยู่ใกล้ๆ
“พี่เสียมดูนี่ซีจ๊ะ สวยเหมือนนางฟ้า”
เสียมรับมาดู ภาพหน้าปกคือภาพสุวลีที่ดูพิลาสพิไลด้วยฝีมือวาดของสรรค์ เสียมมองนิ่ง นาน เหมือนพิเคราะห์อะไรบางอย่าง นิดยังชะโงกหน้าเข้ามาดูหน้าปกอย่างชื่นชม
“ชื่อสุวลี กีรติขจร” นิดบอก
“รูปงาม นามเพราะคงเป็นพวกผู้ลากมากดี ถ่ายมาสวยกว่าตัวจริงรึเปล่าก็ไม่รู้” แก้วพูดอย่างแอบอิจฉา
แก้วพูดจบแล้วหันไปดูนิตยสารเล่มอื่นต่อ สรรค์ยังพิศดูรูปและพูดน้ำเสียงจริงจัง
“นี่ไม่ใช่ภาพถ่าย ... ภาพเขียนสีน้ำมันต่างหาก”
นิดอ่านต่อ
“ภาพเขียนสีน้ำมันโดย สรรค์ โพธิธารา”
“สรรค์ โพธิธารา” เสียมพึมพำ
เสียมยังไม่มีวี่แววว่าจำอะไรได้เลย
“พี่เสียมรู้ได้ยังไงจ๊ะ ว่าเป็นภาพสีน้ำมัน”
“ไม่รู้ซี พี่รู้เอง”
แก้วสะกิดนิด
“นิด ชุดนี้สวยดีนะ นิดตัดได้ไหมน่ะ”
สิ้นเสียง มือของทับทิมก็เข้ามาคว้ากระตุกนิตยสารคืนไป
“ไม่ได้ย่ะ ห้ามเอาแบบเสื้อในนี้ไปตัดนะ ฉันจองแล้ว”
นิดเหนื่อยใจ แก้วยืนเท้าสะเอวแล้วถาม
“จองทั้งเล่มเลยเนี่ยนะ! ใจคอคืนเดียวเอ็งจะแต่งซักกี่ชุดเหรอ”
ทับทิมพูดตอบแล้วลอยหน้า
“แบบเสื้อในมักกะสินนี่ มันสำหรับผู้ใหญ่ เอ็งสองคนน่ะยังเด็กยังเล็กตัดเสื้อคอกระเช้าร้อยริบบิ้นรูด ๆ ก็พอแล้ว”
“ข้าไม่ใช่เด็กสิบขวบ” แก้วบอก
“ช่างเถอะ แก้ว เดี๋ยวฉันออกแบบให้เองก็ได้ เอาให้สวยกว่าในหนังสืออีก” นิดว่า
“เออ เอาให้สวยจนคนลือทั้งเกาะเลย” แก้วบอก
“ก็ลองดูซียะว่าใครจะเป็นดาวดวงเด่นของงาน”
นิดกับแก้วไม่แยแส ทับทิมเชิดหน้า
บ้านของแก้วเป็นเรือนไม้ยกพื้น หลังคามุงจากมีขนาดเล็กมาก มีห้องนอนห้องเดียวของแก้ว ส่วนชานเรือนเป็นที่นอนของนางใบ แม่ของแก้วและนายฟู พ่อเลี้ยงที่มีผ้าขึงไว้เป็นผ้าม่านกันความอุจาด
แก้วแต่งตัวรัดกุมก้าวออกจากห้องชั้นในถือถุงกระดาษใส่ของส่วนตัวและเสื้อผ้า กวาดตาดูแม่ที่นั่งบนที่นอนบาง ข้างตัวมีขวดยาหลายขนาน นางใบกำลังกินยาอยู่ ส่วนที่ระเบียง ตาฟูนอนแผ่หลับอยู่ มีขวดเหล้าเปล่ากลิ้งอยู่ข้างตัว แก้วเดินไปนั่งลงใกล้แม่
“แม่เป็นยังไง”
“ก็ยังปวดเนื้อปวดตัวอยู่”
“จะกินข้าวหรือยัง ฉันต้มข้าวต้มไว้แล้ว แล้วก็มีปลาทอด”
“ยังไม่หิวเลย”
“เดี๋ยวฉันไปค้างบ้านนิดนะจะไปช่วยมันตัดเสื้อ”
นางใบเหลือบดูผัวที่นอนกลิ้งแล้วพยักหน้า
“ไปเถอะ เดี๋ยวแม่หิวก็ค่อยหากินเอง”
แก้วมองแม่อย่างเป็นห่วง นางใบโบกมือไล่ให้ไป แก้วเดินผ่านไปทางที่ตาฟูนอนอยู่ ตาฟูพลันคว้าขาไว้ แก้วสะบัด
“ไอ้บ้า ปล่อยนะ”
“นี่ ไอ้ฟู ปล่อยขาลูกมันนะ”
แก้วขยะแขยง ตาฟูยืนกายขึ้นง่อกแง่ก
“ปู้โธ่ ข้าก็คิดว่าขาแม่ ดั๊นเป็นขาลูก มิน่า”
ตาฟูหัวเราะอย่างมีนัยแก้วกัดริมฝีปากแน่น
“มิน่าอะไร” แก้วถาม
“ไปเถอะลูก แก้ว”
แก้วเดินสะบัดลงเรือนไป ตาฟูหันมาทางนางใบ
“อีใบ มีอะไรกินมั่ง”
“เมาเหมือนกะหมา พอลืมตาได้ก็เห่าหอนหาของกิน ไปหาดูเองซิ”
“อีนี่ มาทำปากดี อีเวร”
ตาฟูปาขวดเหล้าไปกระทบฝาแตกเปรื่องปร่าง เศษแก้วเฉียดหัวแม่ใบ แม่ใบร้องวี้ดจ้องมองผัวอย่างจงชัง ในใจยิ่งสงสารลูก
อ่านต่อหน้าที่ ๔
สาวน้อย ตอนที่ ๖ (ต่อ)
ภายในห้องนอนนิดในเวลากลางคืน แก้วนั่งมองกระจกเงาด้วยอาการซึมเศร้ากว่าเคย นิดเอากระดาษวาดเขียนมาวาดรูปตุ๊กตาใส่เสื้อต่าง ๆ แบบมีผูกโบว์ที่ไหล่บ้าง คอถ่วงบ้าง ข้างตัวมีผ้าที่วางเรียงรายไว้บนพื้นกระดาน
นิดมองดูแก้วก็รู้ว่ามีเรื่องกับทางบ้านอีกแล้ว
“แม่ใบเป็นไงบ้าง” นิดถาม
“ก็เหมือนเคยสามวันดีสี่วันไข้ พรุ่งนี้ฉันไปบนหลวงพ่อที่วัดดีกว่า เอ... หรือบนเจ้าพ่อเขาใหญ่ดี”
“แล้วจะแก้บนอะไรล่ะ”
แก้วเศร้าได้เดี๋ยวเดียวก็ทะลึ่งขึ้นมา
“ฉันจะรำแก้บน เอ๊ะ หรือแก้ล่างดี”
“บ้าเหรอพูดจาน่าเกลียด เอ้า ดูนี่ จะเอาแบบไหน”
นิดหัวเราะแล้วเอารูปให้ดู แก้วทำตาโต
“นี่มันแบบเสื้อในมักกะสินที่นังทับทิมหวงก้างนี่”
“ใช่ อยากหวงนัก ฉันเลยจำมาหมดเลย”
“เต้ยไปเลย”
แก้วกับนิดหัวเราะกัน แก้วเอาผ้าทาบตัวแล้วอมยิ้ม
“ฉันจะช่วยแกตัดไม่หลับไม่นอนเลยเอ้า พรุ่งนี้ เราต้องชนะนังทับทิมให้ได้”
สองสาวหัวเราะกันคิกคัก แก้วหน้าตาหมายมั่นปั้นมือ
พระอาทิตย์โผล่ขึ้นจากขอบฟ้า เกาะสีชังยามเช้า ฝูงนกนางนวลบินกันเป็นหมู่
.เนื่องหิ้วปลามาเป็นพวงขึ้นมาบนชานเรือน ผ่านหน้าเสียมที่กำลังจัดธูปเทียนดอกไม้ใส่ถาด บนโต๊ะมีถาดใส่ขนมและผลไม้เตรียมไปวัด เนื่องเดินเลยเข้าครัวไป ภายในครัว นางนิ่มกำลังคนแกงในเตา เนื่องวางปลาลง แล้วถาม
“ปลาทำอะไรแม่ ทอดหรือ”
“ปิ้ง เดี๋ยวจะตำน้ำพริกปลาย่าง”
เนื่องเหลียวหาคีมปิ้งปลา
“คีมปิ้งปลาอยู่ไหน .. แม่ คีมปิ้งปลาที่มันอยู่ตรงนี้ มันหายไปไหน”
นางนิ่มงง ไม่รู้เหมือนกัน
ภายในห้องนอนนิด แก้วกับนิดอยู่ที่ม้านั่งตรงโต๊ะเครื่องแป้ง ตรงหน้ามีกระถางดินเผาใส่ถ่านแดงๆ ก้อนเล็กๆอยู่ บนถาดสังกะสีมีคีมปิ้งปลาที่คลายร้อนบ้างแล้ววางอยู่ นิดทำท่าสยองสยอง แก้วใช้สองนิ้วคีบผมตนเองมาปอยใหญ่
“เอาจริงเหรอแก้ว”
“จริงซี นังทับทิมมันบอกว่า มันดัดมาตั้งสิบห้าบาท เราดัดเองไม่ต้องเสียซักสลึง”
“กลัวมันจะเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่ายน่ะซี”
“ไม่เสียหรอก คีมไฟฟ้ากะคีมปิ้งปลาก็เหมือน ๆ กันแหละ”
นิดถือคีมจด ๆ จ้อง ๆ แก้วสั่งเสียงเฉียบขาด
“เอาเลย”
ที่ชานบ้าน เนื่องลืมตาโพลงแล้วพูดขึ้น
“กลิ่นอะไรวะ”
“กลิ่นอะไร” เสียมทวนคำถามย้ำ
“กลิ่น...”
เนื่องกับเสียมแต่งตัวเตรียมไปวัด บนโต๊ะวางขันใบใหญ่ใส่ข้าวสวยร้อนควันกรุ่น ปิ่นโตใหญ่ 2 เถา ถาดขนม, ผลไม้, ธูปเทียน เตรียมพร้อม นางนิ่มแต่งตัวออกมาพร้อมกับเชิดที่ขึ้นบันไดมาพอดี แม่นิ่มทำจมูกฟุดฟิด
“กลิ่นเหมือนเผาผี” เนื่องบอก
ขาดคำประตูห้องนิดก็เปิดผึงออก แก้วร้องวี้ดกุมหัววิ่งออกมาโดยมีนิดวิ่งตามมาติดๆ แก้ววิ่งตรงไปที่ตุ่มน้ำบริเวณชานเรือน ควันกำจายจากหัว นิดตักน้ำราดผมให้ นางนิ่มตกใจ เสียมเนื่อง เชิดร้องอุทาน
แก้วผมเปียกลู่รีบเอามือจับผมอย่างคลายใจ
“ดีนะ ไหม้นิดเดียว”
แก้วลูบผมอย่างทะนุถนอม ผมปอยหนาติดมือมาเป็นแผง
“นี่ ไม่นิดแล้ว” นิดบอก
แก้วร้องวี้ด
เมื่อผมเริ่มแห้งหมาด แก้วก็เห็นว่าผมแหว่งไปข้างหนึ่ง นิดทั้งห่วงทั้งขำ นางนิ่มส่ายหน้าด้วยความอ่อนใจ เชิดกับเสียมนั่งหน้าตูมไม่กล้าหัวเราะ แต่เนื่องรื่นเริงใจอย่างยิ่ง แก้วน้ำตาเอ่อลดกระจกลงจากมือ
“คิดว่าผีที่ไหน ผีนังแก้วนี่เอง” เนื่องบอก
“ไอ้พี่เนื่อง เงียบนะ” แก้วบอก
“ลูกหนอลูก ไปเอาแบบเอาอย่างมาจากไหน” นิ่มถาม
“ก็หนูเห็นเขาทำก็เหมือนง่าย ๆ นี่จ๊ะ” นิดว่า
“ไปทำผมคลื่นเป็นชาวกรุงทำไม ผมเดิมก็ดี ๆ อยู่แล้ว” เชิดว่า
“พี่เชิดไม่ต้องพูด” แก้วบอก
“ข้ารู้แล้ว เอ็งอยากหัวฟูแข่งกับนังทับทิมมัน”
เนื่องพูดแทงใจดำ แก้วมองค้อน เช็ดน้ำตาป้อยๆ
“ฮือ แล้วคืนนี้ฉันจะไปงานวัดได้ยังไง” แก้วบอก
นิดหน้าจ๋อยด้วยความสงสารแก้ว เนื่องเดินเข้าไปดูอย่างขำๆ เชิดกับเสียมมองด้วยสายตาเวทนา
งานประจำปีที่วัดเชิงหาดยามค่ำคืนต้องใช้เครื่องปั่นไฟให้แสงไฟประดับสว่างไสวไปทั่วบริเวณ ไม่ว่าจะเป็นบริเวณวิหาร ศาลา และที่อื่นๆ ตรงลานพระพุทธผู้คนมาไหว้พระ แสงเทียนสว่างแพรวพราย ควันธูปฟุ้งตลบ ห่างออกมา มีการตั้งเวทีและโรงการแสดงถึง 3 โรง คือ โรงลิเก โรงละครชาตรี และเวทีวงดนตรีสากลของข้าราชการบนเกาะ ตอนหัวค่ำคนในงานยังไม่คึกคัก เสียงโหมโรงลิเก โหมโรงละครชาตรี และเสียงลองเครื่องดนตรีดังประสานกัน ทุกคนก็หน้าบานมีความสุข เพราะนานทีปีหนจึงมีงานแบบนี้
ยามค่ำที่ชานเรือน เสียม เชิด เนื่องแต่งตัวสดใสเป็นพิเศษ ทั้งหมดนั่งล้อมวงมองดูแก้วที่แต่งตัวสวยตามแบบที่ตัดในจากนิตยสาร แต่ผมด้านหน้ายังเป็นรอยแหว่งชัดเจน เชิดนั่งมองแล้วพยายามปลอบ
“ไม่เห็นเป็นไรเลยนังแก้ว ผมแค่แหว่งนิดแหว่งหน่อย”
เสียมคนซื่อพูดอย่างจริงใจว่า
“ ไม่หน่อยล่ะ”
“นายเสียม!” แก้วแว้ดทันที
เสียมรีบหุบปากทันที เนื่องทำเป็นพูดหวังดี
“แค่นี้เอง เอ็งก็เอาดอกไม้มาติดผมบังซะ มาข้าเก็บดอกไม้ให้”
เนื่องเดินไปหาดอกไม้ แก้วยิ้มออกด้วยความดีใจ
“ต๊าย พี่เนื่อง เพิ่งเห็นพี่เนื่องคิดอะไรดี ๆ เป็นก็วันนี้แหละ”
เนื่องเดินกลับมาแล้วเอาดอกไม้ทัดหูให้ แก้วยิ้มออก นิดยกกระจกส่องให้
“เออ บังได้จริง ๆ ด้วย พี่เนื่องช่างคิดจัง”
“ดอกชบาแดงนี่แหละรับหน้าเอ็งที่สุด”
นางนิ่มรู้ทันหันไปมองหน้าเนื่อง เชิดหัวเราะออกมา เสียมงงไม่รู้เรื่อง
“เออ หน้าฉันสดขึ้นเป็นกองฎ แก้วบอก
เชิดหัวเราะ
“พี่เชิดขำอะไร”
แก้วนึกได้
“เอ๊ะ ดอกชบาแดงนี่เขาเอาไว้ทัดหูประจานคนโทษนี่ บ้า ไอ้พี่เนื่องบ้า”
แก้วทึ้งดอกชบาออกปาใส่หน้าเนื่อง เชิดหัวเราะก๊าก เสียม นางนิ่มหัวเราะกัน
“เนื่องเอ็งอย่าไปแกล้งแก้วมัน”
นางนิ่มเดินไปขยับกิ๊บติดผมให้แก้ว
“เอ็งเอากิ๊บติดหลบไป ก็ใช่ได้แล้วน่ะ .. นี่ไง สวยแล้ว”
แก้วยิ้มดีใจ เสียงเพลงโหมโรงดังมาแว่ว ๆ เสียมมองหานิดแล้วถาม
“นิดทำอะไรอยู่ ทำไมป่านนี้ยังไม่ออกมา”
ขาดคำ ประตูห้องก็เปิดออก นิดเดินออกมา สวมเสื้อที่เพิ่งตัดใหม่ตามแบบของนิตยสาร
นิดเปล่งปลั่งดูเป็นสาวเต็มตัว ผมยาวเรียบเป็นมัน ผมเปิดดวงหน้ากระจ่างสดใส ทั้งเนื่อง เชิดและเสียม
มองดูนิดอย่างชื่นชม นิดยิ้มรับ
“พี่เชิด แต่งซะหล่อเชียว” นิดว่า
“นิดก็สวย”
นิดยิ้ม มองเลยไปที่เสียมที่ยืนมองนิดอยู่
“พี่เสียมไม่พูดอะไรเลยหรือจ๊ะ”
“พี่พูดไม่ออกน่ะ นิดสวยจริงๆ คืนนี้”
นิดยิ้มปลื้มหันไปถามแม่
“จริงหรือจ๊ะ แม่”
นิดตวัดผ้าบางเบาผืนยาวคลุมผมไว้ยิ่งทำให้ดูแปลกตา
“จริงลูก ยังกะนางศกุนตลา”
“แล้วแก้วละน้า”
“เอ เหมือนใครดีล่ะ”
นิดเหมือนนางศกุนตลา ส่วนเอ็งเหมือนนางสกุลกาไงล่ะ อีแก้ว”
แก้วร้องกรี๊ด
งานเริ่มดึกคนในงานเริ่มคึกคัก ส่วนหนึ่งเป็นบรรดาชาวบ้านเกาะสีชัง บ้างก็เป็นพวกข้าราชการที่ด่านภาษีและพวกตำรวจ ทหารเรือ บ้างก็เป็นพวกชาวกรุงที่มาตากอากาศ บ้างก็เป็นชาวจีนและฝรั่งที่มากับเรือสินค้า
ที่มุมหนึ่งมีเพิงขายยาดองที่มาตั้งในเขตวัดอย่างไม่กลัวบาป มีโหลยาดองติดป้ายชื่อพิสดารต่าง ๆ แม้นและลูกน้อง 2 คนยืนกร่างซดยาดองพลางก็เอามะขามจิ้มเกลือเข้าปากอยู่
“พวกเอ็งช่วยข้ามองหาซิ ว่าทับทิมอยู่ตรงไหน” แม้นบอก
บริเวณหน้าโรงลิเก พวกชาวบ้านกำลังเข้ามาจับจองพื้นที่ บ้างหอบเสื่อมาเอง บ้างมีหมอนมาด้วย ทับทิมยืนชะเง้ออยู่กับแม่ ทับทิมมีผ้าคล้องคอบังชุดอยู่
“แม่ช่วยฉันมองหาซิ ว่าพี่เสียมอยู่ตรงไหน”
แสบ้วนน้ำหมาก
“ถุย ทีแรกว่าจะหาผัวเศรษฐีชาวกรุง ตอนนี้ลดชั้นมาเป็นผัวกุลี”
“ยังไงก็ชาวกรุงล่ะ”
“ชาวกรุงอะไรมาปลูกผัก เลี้ยงไก่อยู่”
“ยังไงก็ทำเอาร้านแม่เจ๊งได้ล่ะ”
“ต๊าย อีทรพี แต่ข้าดู ๆ ข้าว่า นังนิ่มคงจะหวงเอาไว้ให้นังนิดมากกว่า”
“เชอะ นังนิดมันเด็กเมื่อวานซืนจะมาสู้ฉันได้ยังไง”
ขาดคำทับทิมก็ลดผ้าคล้องคอมาคล้องแขน เห็นเสื้อตัดใหม่ทั้งผ้า ทั้งแบบเสื้อละม้ายคล้ายกับของนิด แต่คว้านคอลึกเกินแบบไปเจ็ดเท่า
ลูกน้องแม้นมองไปเจอเข้าพอดีก็สำลักเหล้าพรวด พ่นเข้าเต็มหน้าลูกพี่แม้น
“ไอ้บ้า มึงเป็นบ้าอะไร” แม้นถาม
“ฉันเห็นนมทับทิม เอ้ย นังทับทิมแล้วจ้ะ”
แม้นมองตามแล้วตาเบิกโพลง
ทับทิมยืนหัวฟูปากแดงฉาดฉาน ทรวงแทบพลัดจากเสื้อ นางแสมองลูกสาวอย่างเซ็ง ๆ มีตาแก่เดินมากับเมียมองจนเหลียวจนเมียต้องดึงหูให้หันกลับ แม้นกับพวกเข้ามา
“อ้าว ออกแขกแล้ว” นางแสว่า
นางแสเข้าลานโรงลิเกไป ทับทิมฝืนยิ้มให้กับแม้น
“ทับทิมจ๋า ทำไมมาอยู่ตรงนี้ล่ะจ๊ะ”
“ก็แม่น่ะซี อยากจะดูยี่เก”
“ทับทิม ทับทิมรู้ไหมจ๊ะว่า วันนี้ทับทิมสวยมาก”
แม้นค่อย ๆ พูด ลูกน้อง ๒ คนยังคงตาโพลงพยักเพยิดเห็นด้วย แม้นตาเขียวใส่ ลูกน้องถึงกับคอหดไป
“แต่ว่าวันนี้ลมแรง ทับทิมเอาผ้าห่มไว้ไม่ดีกว่าหรือจ๊ะ”
แม้นเอานิ้วคีบผ้าพันคอมาบังทรวงให้ ลูกน้องมองด้วยความผิดหวัง
“อุ๊ย ไม่เอา เดี๋ยวคนไม่เห็นเสื้อใหม่ฉัน”
ทับทิมสะบัดผ้าออกอีกครั้ง ลูกน้อง ๒ คนยิ้มกระหยิ่ม
“ใช่จ้ะ เดี๋ยวคนไม่เห็น” ลูกน้องคนหนึ่งบอก
“ทับทิมอุตส่าห์ใส่เสื้อใหญ่ เอ๊ย เสื้อใหม่ทั้งที” ลูกน้องอีกคนว่า
แม้นถลึงตาใส่จนลูกน้องคอหดไปอีก แม้นพาทับทิมออกเดินในงาน ผู้ชายคนไหนมองอกทับทิม แม้นจะกำหมัดแน่น
ตามรายทางมีหาบข้าวแกง ขนมจีน เตาคั่วข้าวโพด แม่ค้าขายอ้อยควั่นเสียบไม้ มีเตาปิ้งข้าวเกรียบว่าว ข้าวเกรียบปากหม้อรายทาง นิด เสียม เชิด เนื่อง แก้ว นางนิ่มเดินเข้ามา แก้วเดินแทะข้าวเกรียบว่าวมาตลอดทาง
“เดี๋ยวแม่ไปหาพรรคพวกที่ศาลานะลูก”
“จ้ะ”
นางนิ่มเดินแยกไป ทั้งกลุ่มหยุดลงหน้าโรงละครชาตรี ชะเง้อชะแง้เข้าไปในโรง เสียงโหมโรงสนั่น
ทับทิมกับแม้นและลูกน้องเดินมาถึงพอดี
“อุ๊ย พี่เสียมมาแล้ว”
ทับทิมสะบัดมือแม้นแล้วโผผวาเข้าเกาะแขนเสียมทันที เสียมทำหน้าเจื่อน นิดอมยิ้ม เชิดสะใจ ไอ้แม้นขบกรามแล้วเรียกทับทิม
“อีวันทอง”
ทับทิมทำเป็นไม่สนใจแม้น
“พี่เสียม ทำไมมาล่าจังจ๊ะ”
“ใจคอเอ็งจะไม่ทักข้าบ้างเรอะ ทับทิม” เชิดถาม
“ทักได้ยังไง เดี๋ยวนิดก็จะมาโกรธฉันเปล่า ๆ”
ทับทิมรีบโยนเชิดไปให้นิด เชิดพอใจ เสียมเหลือบดูนิดที่ทำเป็นไม่รู้
“ฉันจะไปโกรธทำไม”
ทับทิมมองดูนิดเต็มตาแล้วตาเบิกโพลง เมื่อเห็นว่าเหมือนกันทั้งผ้าและแบบราวแฝดดี-ร้าย
“ว้าย นังนิด ทำไมตัดเสื้อแบบเดียวกับฉัน ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าจองแล้ว”
“ก็ทับทิมเล่นจองทั้งเล่ม ฉันจะรู้ได้ยังไงว่าเธอจะเอาแบบไหนกันแน่”
เนื่องมองดูนมทับทิมอย่างเต็มตาแล้วกลืนน้ำลาย
“นี่เหมือนเหรอ ทำไมข้าดูเท่าไรก็ไม่เหมือน” เนื่องว่า
“นี่ไม่เหมือนหรอกของนิดน่ะไม่หวงผ้า ของเอ็งน่ะไม่หวงนม” แก้วบอก
ทับทิมเพิ่งรู้สึกว่าเนื่อง เชิด แม้น ลูกน้อง และคนที่ผ่านมาดูเป็นตาเดียวก็ทำอาย
“ว้าย... มองอะไรกันนักหนา”
มีมือเข้ามาสะกิดทับทิม ทับทิมก้มดูเห็นเด็กทะลึ่ง ๒ คนตามมาสมทบ
“อะไรยะ ไอ้เด็กบ้า”
“หิวน้า หิว”
“หิวนม”
ทับทิมร้องกรี๊ด แม้นเงื้อเท้าจะเตะแต่เด็ก ๒ คนร้องเฮวิ่งหนีไป แม้นมองเสียม เชิด เนื่อง ตาเขียว
“เฮ้ย มองอะไรวะ ห้ามมองโว้ย”
แม้นผลักอกเสียม
“นี่ในวัดในวานะ แม้น”
“ในวัดแล้วทำไม ในวัดกูก็เอาเลือดหัวคนออกได้”
เชิด เนื่อง ก้าวมาเคียงเสียม ลูกน้องเข้าขนาบแม้น ทับทิมยืนตาเยิ้ม แก้ว นิดถึงกับหน้าเสีย ไทยมุงรีบเข้าล้อมวง
“พี่เสียม อย่าเลยจ๊ะ” นิดบอก
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์กับลูกน้องแหวกคนเข้ามา
“อยู่นี่เอง”
แม้นใจหายวาบรีบโอบไหล่เสียม
“เปล่า สารวัตรเราแค่ทักทายกัน”
หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ไม่สนใจเดินเข้าไปหานิด
“หนูนิด มาทางนี้เถอะลูกมาช่วยอาหน่อย”
นิดงง หลวงพิจารณ์สันติราษฎร์ดึงตัวไป
บริเวณเวทีการแสดงดนตรีมีการตั้งเวทียกพื้นสูง มีฉากหลังงดงาม วงดนตรีหลายชิ้นทั้งเครื่องเป่า เครื่องสี เครื่องเคาะ นักดนตรีล้วนแต่ข้าราชการจึงแต่งตัวสากลโก้หรูกันทุกคน ที่หน้าเวทีวางเก้าอี้เรียงรายหลายแถวดูเป็นทางการ คนที่มาดูมีพวกข้าราชการ พวกคนกรุงที่มาตากอากาศ พวกฝรั่ง จีน และหนุ่มสาวบนเกาะที่เห็นว่าลิเกกับละครนั้นล้าสมัย
ดนตรีกำลังเล่นบรรเลงเพลงไพเราะ เสียม ทับทิม แม้น เนื่อง แก้ว เชิดนั่งอยู่แถวสอง ส่วนลูกน้องแม้นนั่งอยู่ด้านหลังแถวที่ 3 เสียมนั่งเว้นที่ให้นิด พลางส่ายสาตามองหา
“ทำไมนิดไม่มาเสียที”
“ยังคุยกับหลวงพิจารณ์อยู่หลังเวทีแน่ะ” แก้วว่า
ไปดูลิเกกันดีกว่า พี่เสียม” ทับทิมว่า
เชิดรำคาญบอก
“เอ็งจะไปดูลิเกก็ไป พวกข้าจะรอนิด”
ทับทิมค้อนใส่เชิด แต่ไม่ไปไหน
บนเวทีเพลงบรรเลงจบลง ทุกคนหันไปเห็นหลวงพิจารณ์อยู่หน้าไมโครโฟน
“ต่อไปเป็นเพลงแรกของคืนนี้ เพลงลมหวน(๑) ขอเชิญรับชมรับฟังได้แล้วครับ”
เสียงดนตรีบรรเลงขึ้น หลวงพิจารณ์เดินไป เผยให้เห็นร่างระหงนางหนึ่งยืนก้มหน้าอยู่ แล้วเงยหน้าขึ้นเห็นดวงหน้ากระจ่างใส ดวงตางดงาม ริมฝีปากหยักอิ่มเต็ม ชายผ้าบางคล้องแขนไหวในสายลมยามค่ำคืน แก้วชี้มือไปบนเวที เนื่อง เชิด แม้น ลูกน้องอ้าปากค้าง ทับทิมเอามือทาบอก
นิดมองมาพลางยิ้มละไม ดวงตามุ่งมั่นสร้างสมาธิกับการร้อง เสียมมองดูอย่างตะลึงตะลาน นิดเริ่มร้องเพลง เสียงกังวานไพเราะราวเสียงทิพย์จากสรวงสวรรค์
จบตอนที่ ๖
หมายเหตุ - ผู้เรียบเรียง
๑. เพลงลมหวน - เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง "แม่สื่อสาว" ประพันธ์คำร้องโดย พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทำนองโดย ม.ล.พวงร้อย สนิทวงศ์ และ ม.ล.ประพันธ์ สนิทวงศ์ ขับร้องโดย โสภา อุณหกะ เมื่อ พ.ศ. 2481