xs
xsm
sm
md
lg

นางมาร ตอนที่ 7 - 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นางมาร ตอนที่ 7

ค่ำคืนนั้น พันเดินอารมณ์เสียกลับมาที่เรือน เพียร สิงห์ และบ่าวคนอื่นๆ ตามหลังมา

“มันจะเป็นไปได้อย่างไรกันวะ ที่ทั้งเรา ทั้งท่านเจ้าคุณอารักษ์ ตามหาไอ้ลูกจีนกับแม่เฟื่องไม่พบ ทั้งที่มันสองคนก็บาดเจ็บอยู่ แล้วแม่เฟื่องก็เป็นผู้หญิง จะหนีหายไปทางไหนได้รวดเร็วนัก”
สิงห์ชักหวาดๆ
“หรือจะมีผีมาพรางตา...ช่วยพวกมันขอรับนาย”
พันยิ่งโมโห
“ถ้าไอ้อีผีหน้าไหนช่วยพวกมันสองคนหนีไปได้ละก็ กูจะฆ่ามันให้ตายซ้ำสองเลยทีเดียว”
พูดจบพันตะโกนสุดเสียงด้วยความแค้นใจอย่างที่สุด แล้วก็เอาดาบฟันวืดวาดใส่อากาศระบายแค้น เพียรกับสิงห์และบ่าวอื่นๆหลบกันอุตลุด กลัวนายพลาดฟันมาโดน แล้วอยู่ดีๆกิ่งไม้กิ่งหนึ่งหักจากต้นตกมาใส่ที่ตัว พันล้มหงายไป
“โอ๊ย”
คอพันที่ใส่สายสร้อยพระอยู่ ขาดหลุดออกจากคอแต่พันยังไม่รู้ตัว เพียรกับสิงห์ที่วิ่งไปหลบพันอยู่หลังพุ่มไม้เพราะกลัวพันฟาดดาบมาโดน พอเห็นนายล้มหงายไป ก็จะวิ่งออกมาช่วยประคองนายแต่ยังไม่ทันจะมาถึงตัวพัน จู่ๆผีเดือนจะโดดพุ่งลงมาจากต้นไม้ลงนั่งคร่อมร่างของพัน แล้วบีบคอพันอย่างแรง
“ไอ้พัน...มึง...ตาย”
เพียรกับสิงห์ตกใจสุดขีด เพียรร้องลั่น
“เฮ้ย...ฉิบหายแล้ว”
สองบ่าวขยับจะเข้าไปช่วยนายแต่ก็กลัวผีเดือนมาก พอขยับตัว ผีเดือนที่นั่งคร่อมร่างพันและบีบคอพันอย่างสุดแรงอยู่นั้น ก็หันแต่เฉพาะส่วนหัวหน้าผีมาจ้องเพียรกับสิงห์ และบ่าวอื่นๆ ด้วยดวงตาแดงวาวโรจน์อย่างน่ากลัวสุดๆ สองบ่าวร้องลั่นแล้วโผเข้ากอดกันกลมด้วยความกลัวสุดขีด
“ไอ้เพียร นายก็ใส่พระอยู่นี่หว่า ทำไมผีอีเดือนมันทำร้ายนายได้วะ”
เพียรเห็นสร้อยพระของพันขาด ตกอยู่ไม่ไกลตัวพันเท่าไหร่ แต่พันกำลังตาเหลือกเพราะถูกบีบคออยู่จนทำอะไรไม่ได้ เพียรชี้ให้สิงห์ดู
“สร้อยพระนายขาด”
สิงห์เห็นสร้อยพระ ขาดตกอยู่ข้างตัวพัน
“แล้วเอาไงดีวะ ขืนปล่อยให้ผีอีเดือนมันบีบคอนายอยู่อย่างนี้ นายเราคงตายแน่”
เพียรคิดอะไรบางอย่างออก ทำใจกล้าวิ่งไปหยิบสร้อยพระของพันที่ขาดอยู่ เอามายัดใส่อกเสื้อตัวเองไว้แล้วถอดสร้อยพระจากคอตัวเอง พุ่งเข้าไปคล้องใส่คอผีเดือน ผีเดือนร้องโหยหวน เนื้อตัวร้อนเหมือนจะไหม้ แล้วหายตัววับไปทันที สร้อยพระที่เพียรใช้คล้องคอผีเดือน ตกอยู่ที่ข้างตัวพันนั่นเอง เพียรกับสิงห์เห็นผีเดือนไปแล้ว ก็รีบเข้าประคองพันให้ลุกขึ้น เพียรเอาสร้อยพระที่ตกอยู่ข้างตัวพัน คล้องใส่คอพันทันที แล้วสองบ่าวก็ช่วยกันกึ่งลากกึ่งประคองพันเข้าบ้านอย่างไม่รอช้า บ่าวอื่นๆรีบตามติด ทั้งหมดเหลียวหน้าเหลียวหลังเลิ่กลั่ก กลัวว่าผีเดือนจะโผล่ออกมาทำร้ายอีก แต่ก็ไม่เห็น สองบ่าวกึ่งลากกึ่งประคองพันไป ผีเดือนปรากฏร่างขึ้นมาอีกครั้ง รอบคอเป็นรอยไหม้ เพราะฤทธิ์ของสร้อยพระ จ้องแค้น
“กูจะจองล้างจองผลาญพวกมึงสามคน พวกมึงสามคนต้องตายตกตามกู”
ผีเดือนหน้าเคียดแค้นสุดๆ

สองบ่าวกึ่งลากกึ่งประคองพันมาจนถึงเรือน เพียรถามอย่างเป็นห่วง
“นายเป็นยังไงบ้างขอรับ”
“ถามกูได้ กูก็เกือบตายนะสิ”
พันเจ็บคอที่ถูกบีบ สิงห์ยังกลัวๆอยู่
“ผีอีเดือน มันร้ายจริงๆนะขอรับ เห็นตอนที่มันบีบคอนายหน้านายเนี่ยแดงจนซีดเชียว สร้อยพระนายไม่น่ามาขาดเล้ย ไม่งั้นมันคงเข้าถึงตัวนายไม่ได้นะขอรับ”
พันแค้น
“ฤทธิ์เยอะนักนะอีเดือน ดี มึงกับกูได้เห็นดีกัน” พันหันไปสั่ง “ไอ้สิงห์ไอ้เพียร มึงไปกว้านหาหมอผีทั่วพระนคร หน้าไหนที่มันปราบผีเก่งนัก มึงเอามันมาให้กู กูจะปราบผีอีเดือนเอง”
พันอาฆาตแค้นผีเดือน

ในห้องพระ...ศรีเรือนไหว้พระไป ร้องไห้ไปใจจะขาด
“ขอคุณพระคุณเจ้าช่วยคุ้มครองลูกสาวอิฉันด้วยเถิดเจ้าค่ะ ขออย่าให้ลูกเฟื่องเป็นอะไรไป ขอให้ลูกเฟื่องหนีไปได้ตลอดรอดฝั่งทีเถิด”
แล้วศรีเรือนก็ร้องไห้โฮออกมา
“นี่ถ้าลูกเฟื่องถูกลากตัวกลับมาได้ ก็คงหาความสุขตลอดชีวิตที่เหลือไม่ได้ แต่ถ้าลูกเฟื่องหนีไปได้ ก็คงจะต้องไปตกระกำลำบากเลือดตากระเด็นอยู่ที่ไหน แม่ก็สุดจะรู้จะเห็น โธ่...เฟื่องลูกแม่”
ศรีเรือนร้องไห้ ห่วงลูกใจจะขาด

บ่าวชาย 2 คนหามศพนายเบี้ยที่หัวขาดกลับมาที่เรือนทาส สร้อย อุ่น ทับทิมและบ่าวอื่นๆวิ่งเข้ามาดู หัวนายเบี้ยที่วางอยู่บนร่างของตัวเองพอบ่าวอื่นๆเห็นว่าอะไรเป็นอะไรก็ร้องวี๊ดว๊ายด้วยความตกใจ อุ่นพึมพำ
“นายเบี้ย”
ทุกคนร้องไห้โฮด้วยความอาลัยรักนายเบี้ยกันถ้วนหน้า ทับทิมถามด้วยน้ำตานองหน้า
“มันเกิดอะไรขึ้น ใครเป็นคนทำนายเบี้ย”

บ่าวเล่าเรื่องราวก่อนหน้านี้ พระยาอารักษ์จับได้ว่านายเบี้ยเป็นคนปล่อยชุนให้หนีไปได้
“อีลูกไม่รักดีมันหายไปไหนวะ แล้วไอ้ผู้ชายคนที่พามันหนีนั่นมันใครกัน ทำไมรูปร่างหน้าตามันคล้ายกับไอ้ลูกจีนคนนั้น”
พระยาอารักษ์หันขวับไปมอง นายเบี้ยก้มหน้าทันที
“อย่าบอกนะว่ามึงโกหกกู หลอกกูว่ามันตาย แต่ที่แท้มึงปล่อยให้มันหนีไปกับลูกกูน่ะ”
นายเบี้ยไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้า พระยาอารักษ์ระเบิดอารมณ์ ใช้ดาบที่ถืออยู่ในมือฟันนายเบี้ยฉับ นายเบี้ยถึงกับตาเหลือก ร้องไม่ออกสักแอะขณะที่ล้มลงตายทั้งๆที่ตายังเบิกโพลงอยู่

ทุกคนอึ้งไปเลยร้องไห้กันระงมกับศพนายเบี้ย อุ่นเป็นห่วงเฟื่อง
“แล้วคุณหนูล่ะ คุณหนูเป็นอย่างไรบ้าง”
บ่าวชายส่ายหน้า
“ตามไม่ทัน ท่านเจ้าคุณก็เลยยิ่งคลั่งใหญ่ ยิ่งท่านเจ้าคุณรักคุณหนูมากเท่าไหร่ ความแค้นมันก็ยิ่งทวีคูณเท่านั้นละ”
สร้อยหัวเราะออกมา
“สมน้ำหน้าแล้ว”
ทุกคนหันขวับไปมองสร้อย
“มองหน้าข้าทำไมกัน ก็ข้าสมน้ำหน้าท่านเจ้าคุณนี่ แม่ลูกรัก ทำงามหน้านัก จะหมั้นจะหมายกับลูกผู้ดีอย่างคุณพันอยู่แล้ว แต่กลับใฝ่ต่ำริคบชู้สู่ชายกับไพร่ต่างชาติต่างภาษา แล้วก็พากันหนี นี่ถ้าลากตัวกลับมาได้ ท่านเจ้าคุณคงจะต้องจับคุณหนูใส่ตะกร้าล้างน้ำให้หมดคาวไม่รู้กี่น้ำต่อกี่น้ำเลยละ ฮ่าๆ”
ทับทิมไม่พอใจ
“นังสร้อย เอ็งนี่มันเป็นคนอกตัญญูจริงๆ คุณหนูดีแสนดีกับเอ็งแทนที่เอ็งจะเดือดเนื้อร้อนใจไปกับคุณหนู กลับมาซ้ำเติม อีนรก”
ขาดคำทับทิมก็ตบหน้าสร้อยผั๊วะ สร้อยโมโห โดดตบกลับ สองบ่าวเลยตบกันนัว จนคนอื่นๆต้องเข้ามาช่วยจับแยกเป็นโกลาหล จนแยกได้
“ข้าจะบอกให้นะ ที่ข้าทำแบบนี้ข้าไม่ได้โกรธเกลียดคุณหนูหรอก แต่ข้าโกรธเกลียดท่านเจ้าคุณต่างหากที่เอาข้าเป็นเมีย แต่สั่งเฆี่ยนข้าจนเจ็บปางตาย มันก็สมควรแล้วที่ข้าทำแบบนี้เพื่อที่จะได้เห็นท่านเจ้าคุณเจ็บใจ เสียใจบ้างน่ะสิ”
อุ่นแย้ง
“แต่ที่เอ็งถูกเฆี่ยน ก็เพราะเอ็งริอ่านขโมยของของคุณหญิงนี่นา”
“ข้าไม่ได้ขโมย ข้าถูกคุณหญิงใส่ร้ายโว๊ย จะต้องให้ข้าพูดอีกกี่ทีว่า ข้าถูกคุณหญิงใส่ร้าย เพราะฉะนั้นใครที่มันทำให้ข้าเจ็บ มันจะต้องเจ็บกว่าข้าร้อยเท่าพันเท่า”
สร้อยแค้นเคืองพระยาอารักษ์และศรีเรือนสุดใจ โดยที่อุ่นกับทับทิมอยากเข้าไปตบแต่บ่าวอื่นจับกันไว้

ศรีเรือนวิ่งออกมาจากห้องพระ มาหาพระยาอารักษ์ที่นั่งฮึดฮัดอารมณ์เสียสุดๆอยู่ อุ่น ทับทิม สร้อย และบ่าวอื่นๆค่อยๆทยอยขึ้นมาทางหลังเรือนเพื่อมาฟังข่าวของเฟื่องด้วย ศรีเรือนถามอย่าเป็นห่วงลูกมาก
“พบตัวลูกเฟื่องมั๊ยคะคุณพี่”
“ถ้าพบตัวมัน มึงก็ต้องเห็นกูจิกหัวลากมันขึ้นเรือนมาแล้วสิ”
ศรีเรือนร้องไห้ออกมาอีก พระยาอารักษ์ประกาศก้อง
“ในเมื่ออีเฟื่องมันริอ่านหนีตามไอ้ไพร่สถุลอย่างไอ้ลูกจีนคนนั้นไป โดยไม่เห็นแก่หน้ากู กูก็จะตัดขาดกับมัน กูกับมันหาใช่พ่อลูกกันอีกไม่ หากพบเจอมันอีกที่ไหน กูก็จะกุดหัวมันแล้วเอามาเสียบประจานให้รู้กันทั่วว่ามันคือลูกไม่รักดี”
ศรีเรือนร้องไห้โฮๆ พระยาอารักษ์ยิ่งโมโห เตะกระโถนที่วางอยู่ใกล้เท้ากระเด็นไปกระแทกฝาเรือนเสียงดังเปรื่องปร่างอย่างน่าตกใจ บ่าวทุกคนหัวหดด้วยความตกใจและกลัวอารมณ์พระยาอารักษ์สุดหัวใจ

ยิ่งเห็นแล้วว่าพระยาอารักษ์เพิ่งฆ่านายเบี้ยมาด้วย จึงก้มหน้างุดไม่มีใครกล้ามองหน้าพระยาอารักษ์เลยสักคน
 

สักพักหนึ่งพระยาอารักษ์ หันไปเห็นอุ่นกับทับทิมก็นึกโกรธขึ้นมาอีก

“มึงสองคนนี่ก็เหมือนกัน กูอุตส่าห์ไว้ใจให้มึงสองคนคอยติดตามดูแลลูกสาวกู แต่ลูกสาวกูหายไปจากเรือน มึงสองคนกลับไม่รู้เรื่องอะไรเลย พวกมึงนี่เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ”
อุ่นกับทับทิมรีบก้มหน้างุดติดพื้น กลัวพระยาอารักษ์จนตัวสั่น พระยาอารักษ์หันไปสั่งบ่าวชาย
“พวกมึงลากตัวอีอุ่นกับอีทับทิม เอาไปเฆี่ยนคนละร้อยที”
อุ่นกับทับทิมตาเหลือกลาน ยกมือไหว้พระยาอารักษ์ปะหลกๆ อุ่นพยายามอ้อนวอน
“อย่าเฆี่ยนบ่าวเลยเจ้าค่ะ บ่าวกลัวแล้ว”
พระยาอารักษ์ไม่สนใจ
“ลากตัวมันไป เฆี่ยนไม่ต้องยั้งมือ ถ้ากูรู้ว่าพวกมึงเฆี่ยนอีอุ่น อีทับทิมยั้งมือละก็ กูจะเฆี่ยนพวกมึงด้วยตัวเองเลย”
บ่าวชาย 2 คนที่รับคำสั่งจากพระยาอารักษ์รีบลนลานเข้ามาลากตัวอิ่มกับทับทิม ลงจากเรือนไป อุ่นกับทับทิมร้องไห้โฮด้วยความกลัวสุดขีด บ่าวคนอื่นพลอยหน้าเสียไปด้วย แต่สร้อยยิ้มสะใจ พระยาอารักษ์ยืนนิ่งขึงด้วยความโกรธไม่คลายลงเลย ศรีเรือนได้แต่ร้องไห้แต่ทำอะไรไม่ได้เลย

บ่าวชาย 2 คนลากตัวอุ่นกับทับทิมมาที่ลานทาส จับมัดอย่างแน่นหนา อุ่นกับทับทิมร้องไห้โฮๆอย่างสิ้นอาย แล้วบ่าวชาย 2 คน ก็เริ่มเฆี่ยนอุ่นกับทับทิม พร้อมกับนับเสียงดัง
“หนึ่ง...”
หวายหวดขวับลงกลางหลังอุ่นกับทับทิม สองบ่าวสะดุ้งเฮือกสุดตัว น้ำตาไหลพราก
“สอง...”
บ่าวคนอื่นๆทนดูภาพอุ่นกับทับทิมถูกเฆี่ยนแทบไม่ไหว บ่าวชายเฆี่ยนอุ่นกับทับทิมไปเรื่อยๆ ยังไม่ทันถึง 10 ที ทับทิมก็สลบไปแล้ว แต่อุ่นยังไม่สลบแต่บ่าวชายทั้งสองก็ยังคงเฆี่ยนต่อไปตามคำสั่งของพระยาอารักษ์อย่างเคร่งครัด บ่าวบางคนร้องไห้สงสารอุ่นกับทับทิมจับใจเพราะโดนเฆี่ยนเยอะขนาดนี้ตายแน่ มีคนเดียวในที่นั้นที่ยิ้มสะใจกับวิบากกรรมของอุ่นและทับทิม คือสร้อยนั่นเอง สร้อยพึมพำกับตัวเอง
“นี่ถ้าอีนังคุณหนูเฟื่องถูกจับตัวกลับมาได้ มีหวังถูกเฆี่ยนจนสลบคาหวายไม่ต่างไปจากอีบ่าวรับใช้ของมันแน่”

เฟื่องที่ค่อยๆลืมตาขึ้นมาอย่างงงๆลุกขึ้นนั่ง ตั้งสติคิดอยู่สักพักว่าตัวเองอยู่ที่ไหน แล้วก็เริ่มนึกขึ้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เฟื่องหน้าตื่นสุดขีด
“ชุน”
เฟื่องเหลียวมองหาชุนไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเขา เธอลุกพรวดขึ้นวิ่งตามหาทันที

เฟื่องวิ่งตามหาชุนไปทุกหนทุกแห่ง
“ชุน...ชุน...”
แล้วเธอก็ชะงัก เมื่อเห็นชุนนอนหงายไม่ได้สติอยู่ที่มุมหนึ่ง เฟื่องดีใจมากที่เจอเขา
“ชุน”
เฟื่องวิ่งพุ่งไปหาทันที แต่พอกำลังจะถึงตัว จู่ๆชุนก็ถูกพลังบางอย่างดูดร่างหายไปต่อหน้าต่อตาของเธอ เฟื่องกรีดร้องสุดเสียง
“ชุน...ไม่...”
เฟื่องพยายามจะวิ่งตามร่างชุนแต่ไม่สำเร็จ ในที่สุดเธอก็ทรุดลงร้องไห้โฮ
“ชุนอย่าทิ้งข้าไป...อย่าทิ้งข้า ไหนเราสัญญากันแล้วไงว่า...เราจะไม่พรากจากกันไปไงเล่า...ชุน...ฮือ...ฮือ”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอุ่นกับเสียงทับทิม ดังแว่วเข้ามา เฟื่องชะงักฟัง เสียงนั้นจึงดังขึ้น
“คุณหนูเจ้าขา...ช่วยบ่าวด้วย”
เฟื่องเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที

อุ่นสะบักสะบอมบาดเจ็บเต็มทีเพราะถูกเฆี่ยนอย่างไม่มียั้งมือเลย อุ่นครางเบาๆ
“คุณหนู...”
ทันใดนั้น หวายในมือบ่าวคนที่เฆี่ยนอุ่นก็หักเป๊าะ ทั้งๆที่ยังไม่ได้ตี กำลังเงื้อค้างอยู่ บ่าวคนนั้นตกใจ
“เฮ้ย”
ทุกคนในที่นั้นหน้าตื่นกันหมด บ่าวหันไปพูดกับเพื่อนที่เฆี่ยนทับทิม
“หวายหัก”
“หักก็เปลี่ยนอันใหม่สิวะ”
บ่าวคนนั้นเดินไปหยิบหวายอันใหม่มา แล้วเฆี่ยนอุ่นอีกครั้ง ทันใดนั้น หวายก็หักดังเป๊าะกลางอากาศอีกครั้ง คราวนี้ทุกคนหน้าตื่นยิ่งกว่าเดิม บ่าวอื่นเม้ากัน บ่าวหญิงหวาดๆ
“ท่ามันจะยังไงเสียแล้วกระมังนี่ หวายหักคามือถึง 2 ครั้ง 2 คราติดๆกัน”
บ่าวอื่นพยักเพยิดเห็นด้วยว่ามีอะไรแปลกๆแล้วยังไม่ทันที่ใครจะทำอะไรต่อไป จู่ๆบ่าวคนที่ตีอุ่นก็ล้มลงไม่ได้สติแน่นิ่งไปเลย ทุกคนร้องด้วยความตกอกตกใจกันใหญ่ บ่าวที่เฆี่ยนทับทิมอยู่ทิ้งหวายในมือ วิ่งเข้าไปพลิกร่างเพื่อนให้หงายขึ้น ทุกคนในที่นั้นจึงเห็นว่าดวงตาของบ่าวคนนั้นไม่ได้ปิด แต่กลับตาเหลือกค้างอยู่อย่างน่ากลัว ทุกคนร้องออกมาด้วยความกลัว บ่าวพยายามจะตบหน้าเรียกสติเพื่อนแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าเพื่อนจะได้สติคืนมา บ่าวเลยสั่งพวกบ่าวคนอื่นๆ
“เฮ้ย...ช่วยกันหามมันขึ้นไปนอนบนเรือนเร้ว”

สร้อยโวยวาย เมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“อ้าว...แต่เอ็งยังเฆี่ยนนังอุ่นกับนังทับทิมไม่ครบตามที่ท่านเจ้าคุณสั่งเลยนะ”
“กูไม่ฆ่งไม่เฆี่ยนมันแล้วโว๊ย” บ่าวคนนั้นหันไปสั่งเหล่าบ่าวหญิง “ช่วยกันแก้มัดแล้วเอานังอุ่นกับนังทับทิมไปรักษาตัวกันทีไป๊ แล้วใครอย่าปาก โป้งไปบอกท่านเจ้าคุณเชียวนะว่ากูเฆี่ยนมันไม่ครบน่ะ ใครปากโป้ง มีเรื่องกับกูแน่”
บ่าวคนนั้นจ้องหน้าสร้อย สร้อยเม้มปากท่าทางฮึดฮัดๆขัดใจ แล้วเหล่าบ่าวชายก็ช่วยกันดูแลบ่าวที่สลบอยู่ ส่วนเหล่าบ่าวหญิงก็ช่วยกันดูแลอุ่นกับทับทิมกันไป

วันใหม่...ชุนเริ่มได้สติค่อยๆลืมตาขึ้นมาหน้างุนงงเหลียวมองไปรอบๆ เห็นว่าเป็นกระท่อมพรานมีที่ตนเคยมาอยู่ ชุนงงๆ ไม่รู้มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เขาทบทวนความคิดแล้วจำได้ว่าสุดท้ายแล้วทำอะไรอยู่ ชุนคิดถึงเฟื่องทันที
“คุณหนูเฟื่อง”
ชุนจะลุกพรวดขึ้นแต่แล้วก็ต้องร้อง โอ๊ย ออกมาเสียงลั่น เพราะเจ็บไปทั้งตัว นวลกับพรานมีวิ่งเข้ามาทันที นวลดีใจจนร้องไห้
“ชุน เจ้าฟื้นแล้ว”
พรานมีรีบห้าม
“อย่าเพิ่งรีบลุก เอ็งบาดเจ็บมิใช่น้อย”
“ข้า...ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไง แล้วคุณหนูเฟื่องล่ะ” เขาหลียวหาไปรอบๆ “แม่หญิงเฟื่องอยู่ที่ไหน แม่หญิงเฟื่องอยู่ที่นี่ด้วยใช่ไม๊ บอกมาสิว่าพวกท่านเจอข้าที่ไหน”
นวลกับพรานมีทำหน้าลำบากใจ มองหน้ากันเป็นเชิงปรึกษาว่าจะบอกชุนยังไงดี พรานมีพยักหน้าให้นวลเป็นเชิงว่า...เล่าเถอะ นวลจึงเริ่มเล่าให้ชุนฟัง
“คือว่าเมื่อคืน ข้า...เป็นห่วงเจ้ามาก รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี จนข้านอนไม่หลับเลย...”

นวลนอนไม่หลับ เป็นห่วงชุนมาก แล้วในที่สุดก็ตัดสินใจลุกขึ้นนั่งพนมมือสวดมนต์
“ขอคุณพระคุณเจ้าคุ้มครองชุนด้วยเถิดเจ้าค่ะ ขออย่าให้ชุนมีภยันตรายใดๆเลย”
แล้วนวลก็ถอนใจใหญ่ด้วยความกังวล จะกลับไปนอนก็นอนไม่หลับ

“ข้าก็เลยตัดสินใจออกไปตามหาเอ็ง”

นวลแต่งตัวอย่างรีบร้อน แล้วออกจากกระท่อมไป

นางมาร ตอนที่ 7 (ต่อ)

เวลานั้นนวลเดินมาตามทางแล้วชะงัก เห็นกลุ่มของพันกับกลุ่มของพระยาอารักษ์ กำลังเดินท่าทางเอาเรื่อง ทุกคนมีอาวุธในมือ

“แล้วข้าก็เห็นไอ้คนที่เคยทำร้ายเจ้ามันมากับคนกลุ่มใหญ่ ทุกคนมีอาวุธครบมือ ข้าก็เลยสังหรณ์ใจว่า...จะต้องเกิดเรื่องอะไรไม่ดีกับเจ้าขึ้นแน่ๆ ข้าก็เลยตัดสินใจตามพวกมันไป จนกระทั่ง...”
นวล ขมวดคิ้วสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคนทั้งสองกลุ่มจึงมีท่าทางเช่นนั้น นวลตัดสินใจวิ่งตามคนทั้งสองกลุ่มไปอย่างเงียบๆ

นวลวิ่งตามกลุ่มของพัน กับกลุ่มของพระยาอารักษ์มาที่ซุ้มไม้กำแพงเมืองเงียบๆ แล้วนวลก็เห็นชุนกับเฟื่อง จับมือกันแล้วออกวิ่งหนีออกมาจากที่ซ่อน
“เฮ้ย...นั่น” พันตะโกนลั่น
นวล ตกใจที่จู่ๆก็มาเห็นชุนกับเฟื่อง แล้วพอทุกคนออกวิ่งตามชุนกับเฟื่องไป นวลก็ตัดสินใจวิ่งตามไปด้วยอีกคน

นวลตามหลังกลุ่มพัน และกลุ่มพระยาอารักษ์ มาจนถึงริมน้ำ
“ข้าตามพวกมันไปจนถึงริมแม่น้ำ แต่ข้าก็ไม่เห็นเจ้ากับแม่หญิงเฟื่องแล้ว”
นวลพยายามมองหาชุนกับเฟื่อง แต่ก็ไม่เห็น เช่นเดียวกับพันและพระยาอารักษ์ที่ก็หาชุนกับเฟื่องไม่เจอเหมือนกัน
“กระผมจะไปหาทางโน้น คุณอาไปทางนั้น มันไม่น่าจะหนีไปไหนกันได้ไกลหรอกขอรับ”
นวลเห็นพระยาอารักษ์พยักหน้ารับแล้วทั้งสองกลุ่มก็แยกย้ายกันออกไปค้นหาชุนกับเฟื่องกันคนละทาง นวลมองไปทางกลุ่มพันทีแล้วก็มองไปทางกลุ่มพระยาอารักษ์ที
“ข้าก็เลยตัดสินใจตามกลุ่มคนที่เคยทำร้ายเอ็งไป”
นวลแอบตามกลุ่มพันไป

นวลแอบตามพวกพันมาและเห็นพันพยายามมองหาชุนกับเฟื่อง แต่ไม่เจอ เลยยิ่งอารมณ์เสีย
“มันหายไปไหนเร็วจริงวะ ไหนอีสร้อยว่ามันเจ็บ”
สิงห์แปลกใจ
“นั่นสิขอรับ”
นวลพึมพำ
“ชุนหายไปไหนนะ...”
นวลกังวลและเป็นห่วงตัดสินใจวิ่งกลับไปยังทิศทางที่กลุ่มกับพระยาอารักษ์ไป

นวลวิ่งกลับมาเจอกลุ่มพระยาอารักษ์พอดี
“ฮึ่ย อีลูกไม่รักดีมันหายไปไหนวะ แล้วไอ้ผู้ชายคนที่พามันหนีนั่นมันใครกัน ทำไมรูปร่างหน้าตามันคล้ายกับไอ้ลูกจีนคนนั้น”
พระยาอารักษ์ขวับไปมอง นายเบี้ยก้มหน้าทันที
“อย่าบอกนะว่ามึงโกหกกู เอาหัวใจของตัวอะไรมาให้กูดู แล้วหลอกกูว่ามันตาย แต่ที่แท้มึงปล่อยให้มันหนีไปกับลูกกูน่ะ”
นายเบี้ยไม่ตอบ เอาแต่ก้มหน้า พระยาอารักษ์ระเบิดอารมณ์ ใช้ดาบที่ถืออยู่ในมือฟันนายเบี้ยฉับ นายเบี้ยถึงกับตาเหลือก ร้องไม่ออกสักแอะขณะที่ล้มลงตายทั้งๆที่ตายังเบิกโพลงอยู่ คนอื่นๆตะลึงไปตามๆกัน...นวลซึ่งแอบซุ่มดูอยู่ ตกตะลึงไม่แพ้คนอื่นๆเมื่อเห็นพระยาอารักษ์ฟันคอนายเบี้ยขาดกระเด็นอย่างไม่ลังเลเลยแล้วพระยาอารักษ์ประกาศก้อง
“ใครคิดคดทรยศกู โกหกกู หลอกกู ทำให้กูเจ็บใจ มันจะต้องได้รับโทษอย่างไอ้นี่”
พระยาอารักษ์
“ชี้ที่ศพนายเบี้ย
“ทุกคน”
บ่าวอื่นๆก้มหน้างุดด้วยความกลัวหัดหดกันทุกคน แล้วพระยาอารักษ์ก็ตะโกนสุดเสียงด้วยความแค้นใจอย่างที่สุด
“อีเฟื่อง”
นวล ทั้งเกลียดทั้งกลัวพระยาอารักษ์ ค่อยๆเดินเลี่ยงออกจากการซุ่มดูกลุ่มของพระยาอารักษ์

นวลเล่าเรื่องที่รู้เห็นมาให้ชุนฟังอย่างไม่สบายใจ
“ข้าพยายามตามหาเจ้าไปทุกหนทุกแห่งที่ข้าคิดว่าเจ้าอาจจะไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่นั่น แต่ข้าก็หาเจ้าไม่พบ ไม่ว่าจะที่ใด จนกระทั่ง...”

นวลอ่อนล้ามาก จนต้องทรุดลงนั่งพักที่โคนต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
“ข้าเดินหาเจ้าต่อไปไม่ไหว ข้าเลยเลย...”
นวลผล็อยหลับไปทั้งๆที่ยังนั่งอยู่อย่างนั้นจนกระทั่ง พระอาทิตย์วันใหม่ขึ้นพ้นขอบฟ้า นวลเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้น รู้สึกเมื่อยขบไปทั้งตัวเธอขยับตัวไล่ความเมื่อย แล้วชะงักเมื่อได้ยินเสียงเสือคำรามอยู่ไม่ไกลนัก นวลหันไปมองทางต้นเสียงทันทีเห็นเสือเดินอยู่ไม่ไกลนักเธอตาเบิกโพลงด้วยความตกใจสุดขีด พยายามคิดหาทางหนีทีไล่ แล้วคิดอะไรได้ตัดสินใจปีนขึ้นไปอยู่บนต้นไม้ไปให้สูงที่สุดเท่าที่จะสูงได้ เสือเดินห่างออกไป ไม่สนใจแล้ว นวลถอนใจเฮือกด้วยความโล่งอก แล้วมองไกลออกไปโดยไม่ทันได้ตั้งใจ แล้วชะงักเมื่อเห็นร่างคนคนหนึ่งนอนอยู่คาคบไม้ที่กลางหน้าผา หมิ่นเหม่อย่างน่ากลัว นวลรีบปีนลงจากต้นไม้ทันที

นวลวิ่งมาที่ริมผา แล้วคุกเข่าลงชะโงกมองลงไปข้างล่าง เห็นร่างของคนๆหนึ่งนอนคว่ำหน้าอยู่ที่คาคบไม้ เธอตัดสินใจปีนลงไปดู
นวลปีนลงมาที่กลางหน้าผาอย่างทุลักทุเลมาก จะพลาดหล่นไปก็หลายครั้ง แต่ในที่สุดก็ปีนลงมาถึงคาคบไม้กลางหน้าผาได้จนสำเร็จ นวลทรุดลงนั่งแล้วค่อยๆพลิกร่างของคนที่นอนคว่ำหน้านิ่งอยู่นั้นให้หงายขึ้น และพอเห็นเต็มตา
“ชุน”

นวลเล่าเสร็จ ยิ้มให้ชุนทั้งน้ำตา
“ข้าดีใจเหลือเกินที่พบเจ้า”
ชุนร้อนรน
“แล้วแม่หญิงเฟื่องล่ะ ตอนนี้แม่หญิงเฟื่องอยู่ที่ไหนบาดเจ็บมากรึเปล่า...พาข้าไปพบนางที”
“ข้า...พบแต่เจ้าเพียงคนเดียว”
ชุนตะลึง
“ไม่จริง เจ้าเจอข้า เจ้าก็ต้องพบแม่หญิงเฟื่องด้วยสิ ตอนนี้นางก็ยังต้องอยู่ข้างนอกนั่น ข้าจะออกไปตามหาแม่หญิงเฟื่องเอง”
ชุนลุกพรวดขึ้นจะไป แต่แล้วก็ทรุดฮวบลง ไม่มีแรงและบาดเจ็บสาหัส นวลตกใจ
“ชุน” นวลรีบประคอง “เจ้าออกไปไหนไม่ได้หรอก เจ้าตกหน้าผาสูงขนาดนั้นแต่ยังรอดมาได้นี่ก็นับว่าบุญโขแล้ว อยู่นิ่งๆแล้วก็รักษาตัวให้ทุเลาก่อนเถอะ แล้วเจ้าค่อยออกไปตามหา”
ชุนดื้อดึง
“ไม่...ข้าจะไปหาแม่หญิงเฟื่องของข้า”
ชุนฮึดฮัดๆจะไปแต่ก็ไม่มีแรง พรานมีเข้ามากดบ่าชุนให้สงบลง
“ไอ้ชุนเอ๊ย...เอ็งเชื่อนังนวลมันเถิด ขืนเอ็งเดินออกไปไม่กี่ก้าวก็ล้มแล้ว อยู่ที่นี่...รักษาตัวให้ดีก่อน ส่วนแม่หญิงเฟื่องอะไรของเอ็งนั่นประเดี๋ยวข้าจะออกไปตามหาให้เอ็งเอง”
ชุนเริ่มนิ่งเพราะรู้ว่าตัวเองก็ไม่มีแรงที่จะออกไป จึงยกมือไหว้อย่างซาบซึ้งใจ
“จริงนะท่านลุง ช่วยตามหาแม่หญิงเฟื่องให้พบทีเถิด ข้าเป็นห่วงนางจริงๆท่านลุง”
“เออๆ ข้ารู้แล้ว ข้าจะออกไปตามหาให้”
แล้วพรานมีก็เดินออกไป นวลมองชุนเป็นห่วง
“ชุน...เจ้าบาดเจ็บมาก อย่าเพิ่งคิดอะไรตอนนี้เลยนะ พักก่อนเถอะ”
ชุนจับมือนวล
“เจ้าเข้าใจข้าใช่ไหมนวล ว่าแม่หญิงเฟื่องคือชีวิตจิตใจของข้า เจ้ากับพ่อต้องช่วยตามหานางให้พบนะ ข้าเป็นห่วงนางจริงๆ”
นวลฟังเจ็บแปลบ ส่วนชุนค่อยๆนอนลงรำพึง
“เมื่อเราสองคนเห็นชีวิตข้างหน้ามันมืดมนอับจนหนทาง เราถึงได้ตัดสินใจที่จะตายไปด้วยกัน แต่ข้ากลับรอด ข้าอยากรู้ว่าตอนนี้นางอยู่ที่ไหน ถ้าข้าต้องมีชีวิตอยู่โดยไม่มีนาง ข้าจะอยู่ได้อย่างไร ข้าจะอยู่ยังไง คุณหนูเฟื่องเจ้าอยู่ที่ใด คุณหนูเฟื่อง”
นวลได้แต่มองด้วยความเศร้าใจจนพูดอะไรไม่ออก แล้วชุนก็ผล็อยหลับไปเพราะอาการบาดเจ็บในที่สุด...

บรรยากาศยามค่ำคืนน่ากลัว ลมพัดกิ่งไม้กวัดไกวเกิดเป็นเงาวูบวาบน่ากลัว พันเข้ามามุมหนึ่งบริเวณบ้าน
“แล้วไอ้หมอผีล่ะ มันอยู่ที่ไหน”
“อยู่ที่ลานพิธีแล้วขอรับนาย ทุกอย่างเตรียมพร้อมสำหรับนายแล้วขอรับ” สิงห์บอก
“มึงแน่ใจนะ ว่าไอ้หมอผีคนนี้มันจะปราบผีอีเดือนได้”
เพียรยิ้มมั่นใจ
“แน่ใจสิขอรับ คนในแคว้นนี้ เขาร่ำรือว่าหมอผีคนนี้เก่งกาจมากนะขอรับ ปราบผีมานักต่อนักแล้ว ที่ว่าเฮี้ยนแค่ไหนก็จับลงหม้อ ลงไหถ่วงน้ำ ได้หมดนะขอรับ”
“งั้นพวกมึงรีบพากูไป กูอยากจะเห็นผีอีเดือนมันลงหม้อบัดเดี๋ยวนี้เลย”
“ขอรับนาย”

พวกพัน สิงห์ และเพียร รีบออกไป

ตรงลานกว้างหลังวัดร้าง...หมอผีนั่งอยู่กลางลานนั้น เบื้องหน้ามีอุปกรณ์ปราบผีพร้อม ล้อมวงสายสิญจน์ไว้ 3 ด้าน สิงห์และเพียร นำพาพันมาหาหมอผี สิงห์เข้ามาบอก

“กระผมพานายพันมาแล้วขอรับ”
หมอผีรีบบอก
“เอ้า...อย่าร่ำไร เข้ามาในวงสายสิญจน์นี่เร็ว จวนได้เวลาทำพิธีสะกดวิญญาณแล้ว”
พันและคนอื่นๆรีบเข้าไปนั่งในวงล้อมของสายสิญจน์ พอครบทุกคน ลูกศิษย์ของหมอผีก็จัดแจงเอาสายสิญจน์ล้อมด้านที่ 4 อย่างเรียบร้อย สิงห์กับเพียร นั่งตัวชิดติดกัน เพียรแอบบ่นเบาๆ
“งานนี้มึงว่าเราจะปราบผีได้หรือผีมันจะมาปราบเราว่ะ”
ลูกศิษย์ตวาด
“เงียบ”
สิงกับเพียรหุบปากทันที หมอผีเริ่มบริกรรมคาถา เสียงเงียบไปทั่วบริเวณ แล้วทันใดนั้นลมก็พัดแรงมากจนทุกคน ยกเว้นหมอผีต้องยกแขนขึ้นมาบังตา แล้วผีเดือนก็ปรากฏร่างขึ้น พัน สิงห์ เพียร ร้องลั่น แล้วพอผีเดือนเห็นพัน สิงห์ เพียร ก็พุ่งเข้ามาหาทันที แต่พอเห็นโดนเข้ากับสายสิญจน์ก็กรีดร้องเสียงลั่นตัวเหมือนโดนเผาไหม้ จนต้องถอยกลับไปอยู่ห่างๆ สีหน้าหวาดกลัว พวกพันยิ้ม เชื่อว่าหมอผีเก่ง หมอผีค่อยๆ หยิบหม้อดินมาวางตรงหน้า
“จงลงมาอยู่ที่นี่”
“ไม่”
“กล้าขัดคำสั่งข้าเรอะ”
หมอผีเร่งบริกรรมคาถามากขึ้นไปอีก เสียงสวดดังกังวานผิดปกติไปทั่วบริเวณนั้น ผีเดือนเหมือนโดนดูดพยายามขัดขืนทุกวิถีทาง ไม่ยอมลงหม้อ เพราะรู้ดีว่าถ้าลงไปแล้ว คงไม่มีโอกาสไปผุดไปเกิดได้อีก วิญญาณของเดือนตัดสินใจรวบรวมพลังสุดท้ายที่ยังมีอยู่รวบรวมร่างตนเองให้กลายเป็นดวงไฟแล้วพุ่งกระแทกหม้อดินตรงหน้าหมอผีจนแตกกระจาย ทุกคนตกใจร้องลั่น
“เฮ้ย”
หม้อดินแตกกระจายไม่มีชิ้นดีตรงหน้า หมอผีโกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที จ้องมองไปที่ดวงไฟ ดวงไฟกลับกลายเป็นผีเดือนโดดขึ้นไปยืนเหนือคบไม้ แต่ท่าทางเหมือนจะหมดแรง
“ฤทธิ์มากนักนะ นังนี่”
พันอึ้งๆ
“พ่อหมอ ทำไมมันถึงฤทธิ์มากอย่างนี้ล่ะ ตอนมันเป็นคนอยู่ มันก็เป็นทาสที่ดูเรียบร้อยดี ไม่น่าจะมีอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชอะไรมากอย่างนี้เลยนี่พ่อหมอ”
“เพราะมันแค้นมาก มันจึงมีฤทธิ์มากเช่นนี้”
“งั้นพ่อหมอรีบจัดการมันเลย”
หมอผีเอาหม้ออีกใบออกมาวาง และเริ่มต้นบริกรรมคาถาอีกครั้ง ผีเดือน เหมือนถูกเชือกที่มองไม่เห็นดึงลงมาที่หม้อดินอย่างช้าๆ ผีเดือน พยายามต้านทานการถูกดูดเข้าหม้ออย่างสุดกำลัง หมอผีจึงเร่งสวดคาถาตัวเองให้ดังขึ้น ผีเดือนถูกดูดหายลงไปในหม้อ หมอผีรีบเอาผ้ายันต์สีแดงปิดปากหม้อดินแล้วผนึกให้แน่น พวกพันยิ้มดีใจ
“พ่อหมอ ตกลงอีผีอีเดือนมันอยู่ในหม้อนี่แล้วใช่มั๊ย”
หมอผีพยักหน้า
“แล้วพ่อหมอจะเอาหม้อดินนี่ไปไว้ที่ไหนล่ะ”

ลูกศิษย์ของหมอผีพายเรือออกไปกลางแม่น้ำ ค่อยๆหย่อนหม้อดินลงในน้ำที่กะว่าเป็นช่วงที่ลึกที่สุดของแม่น้ำแล้ว ส่วนหมอผีนั้นนั่งบริกรรมคาถาอยู่ที่ริมฝั่ง พัน เพียร สิงห์ อยู่ข้างหลังหมอผี เฝ้าดูด้วยใจระทึก หม้อดินถูกหย่อนลงในแม่น้ำ แล้วค่อยๆจมลง...หม้อดินค่อยๆจมดิ่งๆไปเรื่อยๆ จนในที่สุดก็จมลงนิ่งที่ก้นแม่น้ำ...ทุกคนที่ริมฝั่งเห็นลูกศิษย์หมอผีพายเรือกลับเข้าฝั่ง ก็รู้ว่าหม้อดินจมลงใต้แม่น้ำเรียบร้อยแล้ว พันยิ้มดีใจ เพียรหันมาคุยกับพัน
“ต่อไปผีอีเดือนมันก็จะไม่มารังควาญนายอีกแล้วนะขอรับ”
“ดี...ถ้าเช่นนั้น...” พันถอดสร้อยพระออกจากคอเลย “ข้าก็ไม่จำเป็นจะต้องใส่สร้อยพระนี่ให้หนักคออีกต่อไป ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวอีกแล้ว และต่อจากนี้ก็เหลือแต่ตามหาตัวแม่เฟื่องให้พบ”
ขาดคำพัน ทุกคนก็เห็นอะไรบางอย่างลอยมาตามน้ำ ทุกคนชะงักมองที่ของสิ่งนั้น ลอยมาติดตลิ่งตรงที่พวกพันยืนอยู่พอดี สิงห์วิ่งลงไปคว้าขึ้นมา แล้วเอามาส่งให้พัน พันรับมาดูอย่างพิจารณาแล้วครุ่นคิด
“นี่มัน...สไบของแม่เฟื่องนี่ ข้าจำได้...”
ทุกคนมองไปทางต้นน้ำ แต่ก็ไม่เห็นอะไรอีก
“ถ้าสไบลอยมาถึงที่นี่ แสดงว่าแม่เฟื่องจะต้องอยู่แถวต้นน้ำแน่”
พันออกเดินขึ้นไปทางต้นน้ำทันที สิงห์สงสัย
“นายจะไปไหนขอรับ”
“ข้าจะไปตามหาตัวแม่เฟื่องนะสิ ข้าก็จะต้องหาแม่เฟื่องให้พบให้จงได้ พวกเอ็งตามมา”
พันเดินลุยหาเฟื่องไม่ย่อท้อ สิงห์กับเพียรออกตามไปติดๆ

เช้าวันใหม่...ชุนค่อยๆลืมตาตื่นได้สติขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็คิดถึงเฟื่องทันที
“คุณหนูเฟื่อง”
ชุนพยายามจะลงจากที่นอน แต่ก็อ่อนแรงเต็มที ขาอ่อนจนทรุดลง นวลถือถ้วยยาเข้ามาพอดี พอเห็นสภาพชุนก็ตกใจ รีบวางถาดยาแล้วเข้าไปประคองด้วยความเป็นห่วง
“ชุน เจ้าลุกจากที่ทำไม”
“แม่หญิงเฟื่องล่ะ พบตัวแม่หญิงมั๊ย”
นวลส่ายหน้า
“พ่อยังไม่กลับมาเลย แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกไม่นานพ่อข้าก็น่าจะใกล้กลับมาแล้ว...และแม่หญิงเฟื่องของเจ้าก็คงจะกลับมาด้วย”
ชุนมองนวลอย่างซาบซึ้งใจ
“ถ้าไม่ได้เจ้าไปพบข้าที่โขดหินกลางหน้าผา ข้าก็คงตายไปแล้ว ข้าเป็นหนี้ชีวิตเจ้าอีกครั้งหนึ่งแล้วนะ”
สองคนมองหน้ากัน นวลมีความสุขที่ได้อยู่กับชุนอีกครั้งแต่เมื่อนึกถึงเฟื่องนวลจึงเปลี่ยนเรื่องยกถ้วยยามาให้
“กินยาเสียก่อนเถิดชุน เจ้าจะได้หายไวๆ”
ชุนเอื้อมมือไปรับถ้วยยามามือแตะกัน นวลมีสีหน้าเก้อเขินใจเต้นแรง ชุนกินยาในถ้วยจนหมด แล้วส่งถ้วยยาเปล่าคืนให้ นวลรับถ้วยยาไปแล้วทันใดนั้นก็มีลมพัดกรรโชกเข้ามาจนถ้วยยาในมือนวลกระเด็นตกแตกอย่างน่าตกใจ นวลหน้าตื่น
“ทำไมถ้วยยาถึงตกจากมือข้าไปได้นะ”
“เจ้าเป็นอะไรไหม ข้าว่าเจ้าคงเหนื่อยกระมัง มัวแต่ดูแลข้า จนตัวเองไม่ได้พัก เจ้าไปพักเสียบ้างเถิด อย่าห่วงข้าเลย”
นวลพยักหน้า
“ข้าจะไปพัก แต่สัญญากับข้าเรื่องหนึ่งก่อนนะ ว่าเจ้าจะต้องไม่ออกไปจากกระท่อมนี้ ตกลงไหม”
ชุนเห็นนวลสีหน้าเป็นห่วงเขาอย่างจริงจัง จึงจำใจรับปาก
“ข้าสัญญา...”
นวลยิ้ม
“ข้าจะรอเจ้านอนก่อน เจ้านอนสิ...”
ชุนลงนอนอย่างว่าง่าย ไม่อยากขัดใจนวล หลับตาทำเป็นนอน นวลยิ้มพอใจ แล้วออกไป พอนวลพ้นไป ชุนก็ตื่นลืมตาหน้าเครียดอีก
“คุณหนูเฟื่อง...ตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใดกันนะ”

ร่างเฟื่องนอนฟุบมองไม่เห็นหน้านอนนิ่งอยู่ที่โขดหิน พันเดินมาทางที่ร่างเฟื่องนอนอยู่ เขากวาดตามองหาเฟื่องไปทั่วบริเวณ สิงห์กับเพียรก็มองหาด้วย
“นาย”
สิงห์ชี้ให้พันดูร่างของเฟื่องที่นอนอยู่ไกลๆ พันเห็นเฟื่องนอนฟุบหน้านิ่งอยู่
“แม่เฟื่อง”
พันวิ่งพรวดตรงไปยังร่างเฟื่องทันที สิงห์กับเพียรวิ่งตามไปติดๆ พอพันมาถึงตัวเฟื่องก็ไม่ทันคิดอะไรมาก รีบเข้าไปจับร่างพลิกให้หงายขึ้น ทันใดนั้น พัน สิงห์ และเพียร ต่างก็เห็นใบหน้าเฟื่องชัดๆ ทั้งซีดปนเขียวอย่างคนตาย ตาเหลือกโพลงแต่ตาดำกลายเป็นสีขาวไปแล้ว ตรงมุมปากมีคราบเลือดเกรอะกรัง หน้าผากมีรอยฉีกขาดเละน่ากลัวอีกด้วย ทั้งสามร้องด้วยความตกใจพร้อมกัน
“เฮ้ย”

เฟื่องตายในสภาพที่น่ากลัวและน่าสยดสยองสุดๆ

#ff0000;">อ่านต่อตอนที่ 8


นางมาร ตอนที่ 8

ศรีเรือนเลื่อนสำรับอาหารออกจากตรงหน้า แล้วบอกบ่าว

“เอ็งเก็บสำรับลงไปเถอะ ข้ากินไม่ลงหรอก”
พระยาอารักษ์ยังโกรธไม่หาย
“มีลูกไม่รักดี หนีตามผู้ชายไร้สกุลไป ไม่เห็นสมควรจะต้องอาลัยอาวรณ์มัน”
“ถึงแม่เฟื่องจะทำเรื่องไม่ดี แต่ยังไงก็เป็นลูกเรานะคะคุณพี่”
“แต่กูไม่คิดว่ามันเป็นลูกแล้ว”
บ่าวหญิงคนหนึ่งเข้ามา
“มีคนจากเรือนคุณพันมาขอพบท่านเจ้าคุณเจ้าค่ะ”
พระยาอารักษ์พยักหน้ารับ บ่าวหญิงไปพาเพียรเข้ามา เพียรยกมือพนมไหว้พระยาอารักษ์แล้วรายงานหน้าตายังตื่นตระหนกไม่หาย จนพระยาอารักษ์สงสัย
“คุณพันให้มากราบเรียนท่านเจ้าคุณว่า...พบตัวแม่หญิงเฟื่องแล้วขอรับ”
ศรีเรือนดีใจอย่างที่สุด
“พบตัวที่ไหนจ๊ะ” ศรีเรือนลุกขึ้นทันที “พาข้าไปพบลูกเฟื่องที”
เพียรอึกอักๆ
“เอ้อ...”
ศรีเรือนชักโมโห ร้อนใจ
“เอ้า พบตัวที่ไหนเล่า รีบพาข้าไปสิ”
เพียรยังอึกอัก พระยาอารักษ์ชักเอะใจเลยตัดบท
“ไม่ต้อง ข้าจะไปเอง แม่ศรีเรือนรอฟังข่าวอยู่ที่นี่เถิด”
“แต่...”
ศรีเรือนอยากไปหาลูกมาก พระยาอารักษ์หันมาจ้องหน้าเป็นเชิงว่าสั่งแล้ว เมียต้องทำตามห้ามแย้ง ศรีเรือนจึงไม่กล้าขัด
“ค่ะคุณพี่รีบไปรับตัวลูกกลับมาเถิดค่ะ แล้วจะลงโทษเฆี่ยนตีมันอย่างไรก็ค่อยว่ากัน รีบไปเถิดค่ะ”
ศรีเรือนผลักไสพระยาอารักษ์ให้รีบออกไป พระยาอารักษ์เลยออกไปกับเพียร มีบ่าวชายติดตามไปด้วย ศรีเรือนมองตามเป็นห่วง

พระยาอารักษ์เดินลงจากเรือนมา จึงค่อยถามเพียร
“เอ็งไปพบตัวลูกข้าที่ไหน แล้วมันเป็นอย่างไรบ้าง แล้วไอ้ลูกจีนล่ะ พบตัวมันด้วยหรือเปล่า”
“เอ้อ...กระผมว่าท่านเจ้าคุณไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่าขอรับ...”
เพียรรีบก้มหน้างุดๆเดินนำไป ไม่ยอมพูดจาอีก พระยาอารักษ์สงสัยหนัก แต่ไม่อยากถามแล้ว อยากไปเจอตัวเฟื่องด้วยตัวเองเลยดีกว่า จึงรีบเร่งฝีเท้าตามเพียรไปเร็วๆ

บ่าวหญิงคนหนึ่งวิ่งเข้ามากลางหมู่ทาสที่กำลังล้อมวงกินข้าวกันอยู่ อิ่มกับทับทิมก็นั่งอยู่ด้วย แต่หน้าตาซีดเซียวมาก ยังระบมจากการถูกเฆี่ยนไม่หาย
“พวกเอ็งรู้ข่าวรึยัง คุณพันพบตัวคุณหนูแล้ว”
“จริงรึ พบที่ไหนแล้วพบเจ้าลูกจีนคนนั้นด้วยรึเปล่า แล้วตอนนี้คุณหนูอยู่ที่ไหน”
“ข้าก็ไม่รู้ ไม่รู้อะไรสักอย่าง รู้แค่ว่าพบตัวคุณหนูแล้ว...เท่านั้นและเวลานี้ท่านเจ้าคุณก็กำลังออกไปรับตัวคุณหนูกลับมา”
เหล่าบ่าววิพากษ์วิจารณ์เรื่องการพบตัวเฟื่องกันต่อ อุ่นกับทับทิมหันมามองหน้ากันอย่างดีใจ แล้วอุ่นก็ยกมือไหว้
“สาธุ...ขออย่าให้คุณหนูเป็นอะไรเล้ย”
อุ่นยกมือขึ้นจบไหว้ ทับทิมพลอยยกมือขึ้นจบไหว้ไปด้วย แล้วมองหน้ากันอย่างกังวล

พระยาอารักษ์กับบ่าวติดตามเดินตามเพียรมาจนถึงที่โขดหิน พระยาอารักษ์รู้สึกว่ามาไกลแล้ว แต่ก็ยังไม่เห็นเฟื่องสักที
“ไหนเล่า...นังเฟื่อง...”
เพียรชี้ไปที่พันกับสิงห์ที่กำลังนั่งเครียดรอพระยาอารักษ์อยู่ห่างๆร่างไร้วิญญาณของเฟื่องด้วยความกลัว พระยาอารักษ์เห็นเฟื่องนอนอยู่ไกลๆ ก็รีบวิ่งเข้าไปหาทันที แต่พอเข้ามาในระยะใกล้พระยาอารักษ์ก็ต้องเบรกกึก เห็นสภาพลูกสาวตายอย่างน่าสยดสยอง พระยาอารักษ์พุ่งเข้าหาอย่างตกใจทันที
“แม่เฟื่อง”
พระยาตกใจกับสภาพที่เห็นเมื่อได้สติจึงหันขวับไปหาพัน
“ทำไมแม่เฟื่องมันเป็นอย่างนี้หาพ่อพัน”
“กระผมก็ไม่รู้ขอรับคุณอา ตอนที่มาพบ แม่เฟื่องก็เป็นอย่างนี้แล้ว”
“โธ่...”
พระยาอารักษ์หันไปมองเฟื่องอีกครั้งทั้งรัก ทั้งแค้น น้ำตาปริ่ม แต่ไม่ไหลออกมาแล้วกวาดตามองหาชุน
“แล้วศพไอ้ลูกจีนสถุลนั่นเล่า มันอยู่ที่ไหน”
“กระผมหาจนทั่วแต่ไม่เห็นขอรับ พบแต่แม่เฟื่องเพียงคนเดียวขอรับ”
พระยาอารักษ์ร้องตะโกนคำราม
“ไอ้ลูกจีน มึงอยู่ที่ไหน” พระยาอารักษ์หันไปทางบ่าวไพร่
“พวกเอ็งออกค้นหาศพไอ้ลูกจีนนั่นให้เจอ แล้วเอามันมาให้ข้า”
บ่าวไพร่รับคำสั่งแล้วออกไป พระยาอารักษ์มองเฟื่องอย่าเสียใจปนสะอิดสะเอียดกับสภาพศพเฟื่อง

ในกระท่อมพรานมี...ชุนนอนเพ้อ ส่ายหน้าไปมาแล้วสะดุ้งตื่นลุกพรวดพราดขึ้น เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว
“คุณหนูเฟื่อง”
นวลพุ่งเข้ามาหาชุน เรียกให้ได้สติ
“ชุน...”
พรานมีได้ยินเสียงชุนร้อง จึงวิ่งมาดูเช่นกัน แต่พอเห็นนวลมาถึงก่อน พรานมีจึงหยุดยืนแอบดูอยู่ที่ข้างนอกห้องไม่เข้าไป ชุนเริ่มได้สติ หันมาถามนวล
“ท่านลุงพบตัวแม่หญิงเฟื่องรึยัง...ตอบข้าสิ ท่านลุงมีพบตัวแม่หญิงเฟื่องรึยังนวล”
นวลส่ายหน้า ชุนผิดหวังอย่างแรง นวลเศร้าที่เห็นเขามีแต่ใจให้เฟื่องตลอดเวลา
“เจ้าอย่าเพิ่งกังวลใจไปเลย ข้าเห็นเจ้ารู้สึกตัวทีไร ก็ร้องเรียกหาแต่แม่หญิงเฟื่องจนไม่เป็นอันพัก ข้าถามเจ้าจริงๆเถอะนะชุน ถ้าแม่หญิงเฟื่องของเจ้าเกิด...เกิดไม่รอด เจ้าจะทำใจอย่างไร”
“เจ้าหยุดพูดจาอัปมงคลเยี่ยงนี้นะ ในเมื่อข้ารอดมาได้ แม่หญิงเฟื่องเองก็ต้องรอดเช่นกันเราสองคนจิตผูกเป็นอันเดียวกัน ถ้าเราไม่ตายร่วมกันก็ต้องอยู่รอดร่วมกัน และถ้าเจ้าไม่คิดดีกับนางก็ไม่ต้องพูดถึงนางอีก”
นวลสลดและเสียใจที่ชุนพูดใส่แบบนี้แต่ก็เข้าใจ
“ข้าขอโทษ”
ชุนหยุดพูด เศร้าซึม ไม่มองหน้าหรือสนใจนวลเลยหมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องเฟื่อง อาการของเขายิ่งบาดหัวใจนวล แม้เธอจะลุกเดินออกมา เขาก็ยังไม่รู้ตัวเลยว่าเธอเดินออกไป ทำให้นวลยิ่งเศร้า

นวลเดินเซื่องซึมออกมานั่งแปะหน้ากระท่อมอย่างทุกข์ใจ แล้วในที่สุดก็ร้องไห้ออกมา สักครู่มีมือๆหนึ่งเอื้อมมาลูบหัวเบาๆอย่างปราณี เธอหันไปมองเห็นเป็นพ่อก็โผกอดเอวพ่อไว้ให้อุ่นใจ พรานมีถอนใจยาวอย่างกลัดกลุ้ม
“ตัดอกตัดใจซะเถอะลูก คิดซะว่าชาตินี้เอ็งคงไม่ได้เกิดมาคู่กัน”
“ข้าคงมีกรรมมากนะพ่อ ข้ามีใจให้กับชายที่เขาให้ทั้งใจและวิญญาณไปกับหญิงอื่นไปจนหมดสิ้นแล้ว”
นวลร้องไห้โฮออกมา พรานมีรีบดึงตัวลูกสาวมากอดปลอบใจ
“เอ็งเลือกที่จะรักมันได้ เอ็งก็เลือกที่จะหยุดรักมันได้เหมือนกัน”
“แต่ข้าก็หักหามใจไม่ให้รักเขาไม่ได้ พ่อจ๋า...พ่ออย่าห้ามข้าไม่ให้รักเขาอีกเลยนะ นะพ่อนะ”
นวลมองพ่ออย่างอ้อนวอน พรานมีไม่ตอบ เอาแต่ถอนใจกลุ้ม

พระยาอารักษ์อุ้มศพเฟื่องกลับมาที่เรือนอย่างเศร้าๆ สร้อยและบ่าวอื่นขึ้นเรือนเข้ามาหลังได้ข่าวว่ามีการพาเฟื่องกลับมาบ้าน แต่พอสร้อยเห็นว่าเฟื่องตายก็ตกใจแล้วศรีเรือนก็วิ่งเข้ามา พอเห็นสภาพของลูกสาวก็กรีดร้องแล้วร้องไห้โฮเสียงดัง
“ลูกเฟื่องของแม่”
ศรีเรือนโผเข้ากอดศพเฟื่องแล้วร้องไห้คร่ำครวญ
“ทำไม...ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ใครทำอะไรลูกเฟื่องของแม่ โถ่...ทำไมถึงทิ้งแม่ไปอย่างนี้ ลูกเฟื่อง...ทำไม...ทำไม...”
บรรยากาศเศร้าสลดทุกคนเศร้า ส่วนสร้อยสะใจที่เห็นศรีเรือนเศร้าเสียใจจนแทบจะตายตามลูกไป อุ่นกับทับทิมซมซานขึ้นมาบนเรือนด้วย พอเห็นสภาพเฟื่องก็พากันร้องไห้โฮไม่ต่างอะไรไปจากศรีเรือนเลย
“คุณหนู...คุณหนูของบ่าว”
สองบ่าวก็โผเข้าไปกอดเท้าเฟื่อง แล้วพากันร้องไห้โฮ...ศรีเรือนหันมาหาพระยาอารักษ์
“ทำไมลูกเฟื่องถึงเป็นแบบนี้คะคุณพี่”
“นังเฟื่องมันหนีไปกับไอ้ลูกจีนไร้ชาติตระกูลไป แต่มันกลับไปตายอนาถอยู่ตามลำพังเพียงคนเดียวที่เชิงผา ข้าเลยคิดว่า...ไอ้ลูกจีนนั่นมันคงเห็นว่าพวกเราออกตามล่ามันจนจวนจะได้ตัวแล้วกระมัง มันเลยคิดเอาตัวรอด จึงผลักนังเฟื่องตกหน้าผาเพื่อกำจัดทิ้งเสีย เพื่อที่มันจะได้หนีไปให้คล่องตัวขึ้น”
ศรีเรือนฟังยิ่งเสียใจหนักเข้าไปอีก พระยาอารักษ์โกรธแค้นมาก
“ฮึ่ย...ไอ้ลูกจีนนั่นมันเลวมาก กูจะต้องตามไปกุดหัวมันให้จงได้ ไม่ว่ามันจะอยู่ที่ไหนในแผ่นดินนี้...คอยดู”
พระยาอารักษ์แค้นอย่างหนัก ท่ามกลางศรีเรือน อุ่น ทับทิม และทาสคนอื่นๆที่ร้องไห้เสียใจกันระงม

ชุนคิดกังวลเรื่องเฟื่องจนในที่สุดตัดสินใจลุกขึ้นเพื่อจะไปตามหา แต่พรานมีเข้ามาขวางไว้
“เอ็งจะลุกไปไหน”
“ข้าคงรอท่านลุงกับนวลไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ข้าจะไปตามหาแม่หญิงเฟื่องของข้าด้วยตัวของข้าเอง”
“ดูสังขารเอ็งก่อนเถิดไอ้ชุนเอ๊ย ขืนออกไปตะลอนๆตามหาตัวแม่หญิงของเอ็ง มีหวังเอ็งได้ไปตายอยู่กลางป่าแน่”
“ตายเป็นตายสิลุง ความจริงตอนนี้ข้าก็สมควรจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ” ชุนหน้าสลดและลงไปคุกเข่าขอร้องพรานมี “ข้าเป็นห่วงแม่หญิงเฟื่องจริงๆนะท่านลุง ข้าอยากออกไปตามหาแม่หญิงเฟื่องอีกสักครั้ง ข้าขอร้อง...เห็นใจข้าด้วยเถิดท่านลุง”
“เอ็งรักแม่หญิงนั่นจริงๆใช่มั๊ย”
ชุนพยักหน้ารับ พรานมีเลยตบบ่าชุน
“เอ้า...ถ้าเช่นนั้นข้าจะออกไปช่วยเอ็งตามหาด้วยอีกแรง...ช่วยกันหา เราจะได้รู้กันสักทีว่าแม่หญิงของเอ็งน่ะ ยังมีชีวิตอยู่หรือว่าตายไปแล้ว เอ็งจะได้โล่งใจ...”
ชุนยิ้มดีใจที่พรานมียอมให้เขาออกไปตามหาเฟื่องแล้ว
“ขอบใจท่านลุงมากนะที่เข้าใจข้า”
“เออๆ แต่ว่าข้าออกตามหาแม่หญิงของเอ็งแถวหน้าผาที่เอ็งสองคนโดดลงมาทั่วแล้ว แต่ก็ไม่พบเลย ข้าก็เลยคิดว่า...เราน่าจะย้อนกลับไปยังเรือนของแม่หญิงดู บางที...คนที่เรือนนั้นอาจรู้ข่าวแม่หญิงของเอ็งบ้าง”
ชุนยิ้มดีใจ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย

ค่ำนั้น พันเตะโน่นเตะนี่ ระบายอารมณ์เซ็งสุดขีด จนสิงห์กับเพียรต้องคอยหลบลูกหลงกันจนตัวลีบ นางด้วงที่นั่งอยู่ด้วย มองพันอย่างกลุ้มใจ
“ตัดอกตัดใจเสียเถอะลูกเอ๊ย...ในเมื่อแม่เฟื่องก็ตายโหงไปอย่างนี้แล้ว เจ้าอาละวาดจนเรือนพัง มันก็ไม่ทำให้แม่เฟื่องฟื้นขึ้นมาได้อีกหรอก”
“ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้เล่าแม่ ข้าไม่ได้แต่งงานกับแม่เฟื่องอีกทั้งยังไม่ได้ล้างแค้นแม่เฟื่องเรื่องการถอนแต่งงานเลย ก็กลับมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเสียก่อน”
“น่าสงสารแม่เฟื่องนะลูกที่ต้องมาตายสภาพแบบนี้”
“แม่ไม่ได้เห็นนะ สภาพที่แม่เฟื่องตายน่ะ มัน...” พันทำหน้าสยดสยอง “มันน่ากลัวมาก...”
สิงห์รีบเข้ามาเสริมทันที
“จริงขอรับคุณหญิง ร่างแม่เฟื่องแหลกเหลวไม่มีดี กระดูกหักทั้งตัว อึ๋ย”
เพียรพูดต่อ
“ตาก็เหลือกโพลง แถมหน้ายังเละอีกด้วยนะขอรับ”
พันโดดถีบทั้งสิงห์ทั้งเพียรจนกระเด็นไปคนละทิศละทาง
“พวกมึงจะมาสาธยายให้กูเห็นภาพติดตานั่นอีกทำไมวะ แค่นี้กูก็เจ็บใจจนแทบจะกระอักเลือดออกมาอยู่แล้ว”
พันอาละวาดเตะโน่น ชกนี่อีก สิงห์กับเพียรรีบหลบ ไม่อยากโดนถีบซ้ำ ด้วงรีบปรามก่อนที่ของบนเรือนจะพังเรียบหมด
“ใจเย็นๆก่อนพ่อพันลูกแม่ ตอนนี้แม่เฟื่องก็ตายไปแล้ว ลูกก็ต้องเล็งหาหญิงอื่นได้แล้ว พระนครนี้ก็ยังมีลูกสาวเรือนอื่นที่งามไม่แพ้แม่เฟื่องอยู่อีกนะลูก แม่จะรีบไปทาบทามให้มาแต่งกับเจ้า ภายใน 3 วัน 7 วัน เงินทองเรามีออกจะอึดตะปือ บ้านไหนเรือน ไหนก็อยากดองกับเราทั้งนั้นละลูก”
“ไม่แม่...ข้าจะยังไม่แต่งกับผู้หญิงหน้าไหนทั้งนั้น ข้าจะแต่งงานก็ต่อเมื่อ...ข้าได้กุดหัวไอ้ลูกจีนถ่อยคนนั้นให้หายแค้นเสียก่อน”

พันแค้นใจสุดๆ

สร้อยเอาผ้าปิดหน้าปิดตาแอบมองขึ้นไปบนเรือน เห็นศรีเรือนกำลังร้องไห้เสียใจ พร้อมด้วยอุ่นกับทับทิมร้องไห้อยู่ข้างๆ สร้อยสะใจแล้วจึงหันกลับไปก็ตกใจที่ชนกับบ่าวในบ้าน

“อ๊าย...ตกใจหมดเลย ทำไมไม่ออกเสียงหะ”
“ก็ข้าต้องออกเสียงด้วยเหรอ บรรยากาศเศร้าแบบนี้ ใครจะกล้าส่งเสียงดังเล่า”
สร้อยนึกได้
“เออ...แล้วศพคุณหนูเฟื่องตั้งอยู่ที่ไหนเหรอ”
“ล้างศพเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้ตั้งอยู่ที่โถงกลางเรือนโน่นแนะ เฮ้อ...คิดแล้วก็น่าสงสารคุณหนูเนอะ”
สร้อยเออออตามน้ำ
“เออๆ น่าสงสาร แล้วเนี่ยเอ็งจะไปทำอะไรเนี่ย”
“ข้าจะแอบไปล้างหน้าสักหน่อย คืนนี้ข้าต้องอยู่เฝ้าคุณหนูด้วย ต้องรีบไปแล้ว เพราะตอนนี้ไม่มีใครอยู่ที่ศพเลย”
บ่าวออกไป สร้อยนึกแผนอะไรดีๆ

สร้อยค่อยๆแอบย่องเบาๆ ดูปลอดคนมองซ้าย มองขวา โล่งแล้วจึงค่อยๆเดินเข้าไป ศพเฟื่องนอนอยู่บนตั่งสวยงาม สร้อยมองด้วยความกลัว แต่ก็ทำใจดีสู้ เข้าไปใกล้ศพที่ตั้งอยู่มองหน้าศพ ทำหน้าสะอิดสะเอียน
“น่าสมเพศจริงๆ ที่ตาข้าเคยบอก ศพที่ตายไปแล้วถ้าตายโหงตายห่า วิญญาณจะอาฆาตแค้น ไม่ได้ผุดไม่ได้เกิด ถ้าเป็นอย่างนั้น”
สร้อยหยิบมีดเล็กขึ้นมา
“ตาข้าบอกอีกว่า ถ้าอยากให้ศพคนตายที่ตายด้วยแรงอาฆาต แล้ว จะให้เป็นผีเหี้ยนขึ้นมาหลอกหลอนผู้คน ต้องกรีดเลือดศพดิบๆที่คอเหมือนปาดวัวปาดควาย”
สร้อยปาดคอเฟื่อง เลือดศพไหลออกมา สร้อยมองด้วยความสะใจ
“คุณหนู ข้ารู้ว่าท่านอยากแก้แค้นพวกที่มันมาขวางความรักท่าน ข้าจึงช่วยปลุกวิญญาณท่านไงหละ ฮึถ้าได้ผลจริง คราวนี้ได้สนุกกันทั้งเรือนแน่”
สร้อยรีบเก็บมีด แล้วค่อยๆมองความปลอดภัย จึงรีบเดินออกไป เลือดศพเฟื่องค่อยๆไหลออกมา

ในกระท่อมพรานมี...นวลผุดลุกขึ้นทันที
“ข้าไม่ให้ชุนไป ชุนจะไปได้อย่างไรพ่อ อาการยังเจ็บหนักอยู่เลย”
“เอาน่า ชุนมันอยากไป ข้าเข้าใจมันดี ลูกผู้ชายที่มีความรักมั่นคงแบบนี้ ฉุดรั้งไปก็พาลแต่จะตายทั้งเป็น ปล่อยให้มันไปตามหาคนรักของมันเถิด”
นวลได้ยินพ่อพูดแบบนี้ยิ่งเศร้าใจ
“ข้าจะพามันไปพบความจริงเอง”
“ความจริงอะไรเหรอพ่อ”
“ก็แม่หญิงเฟื่องของมันยังไงเล่า ข้าว่าคงจะไม่รอดแล้ว เพราะข้าหาจนทั่วถ้าเจอก็คงจะต้องได้พบแล้ว”
“ถ้าเป็นเช่นนั้นอย่างที่พ่อพูด ชุนต้องทำใจไม่ได้แน่ งั้น...ข้าไปกับพ่อด้วยนะ”
พรานมีกดบ่านวลให้นั่งลงตามเดิม
“ไม่...ข้าไม่ให้เอ็งไป”
“ทำไมละพ่อ ข้าอยากไปด้วย”
“ข้ากับไอ้ชุนเป็นผู้ชาย ไปกันสองคนมันคล่องตัวกว่า เอ็งอยู่ที่นี่แหละ เชื่อข้าเถอะ”
นวลหน้างออย่างขัดใจร้องเหมือนขอร้องพรานมีจะไปด้วย แต่พรานมีทำหน้านิ่งเฉยแล้วออกไป ปล่อยนวลหน้างอคนเดียว

นวลเหม่อมองดูพระจันทร์ที่ระเบียงกระท่อม นึกเศร้าใจและเป็นห่วงที่ชุนต้องออกไปตามหาเฟื่อง กังวลใจบอกไม่ถูก จู่ก็มีลมพัดมาปะทะที่หน้า นวลรู้สึกวูบ แปลกใจ
“ลมอะไรเนี่ย พัดแรงจัง”
นวลมองหาต้นทางลมสงสัย แต่สักพักลมก็หายไป นวลแปลกใจ
“ชุนไปแล้ว จะเป็นไรรึเปล่านะ”
นวลคิดกังวล

เช้าวันใหม่...ชุนกำลังแต่งตัวรัดกุม เตรียมพร้อมออกเดินทางหยิบกำไลเฟื่องขึ้นมาดู
“รอข้าหน่อยนะ คุณหนู ข้าจะตามหาเจ้าให้พบ ไม่ว่ายังไงเราสองคนต้องได้พบกัน”
ชุนเก็บกำไลไว้กับตัว เงยหน้ามาด้วยหน้าตามุ่งมั่นพร้อมที่จะออกเดินทาง แล้วเดินออกจากห้องไป แต่เมื่อออกไปพ้นห้องแล้วจู่ๆตะเกียงที่ตั้งอยู่หัวเตียงก็หล่นมาแตก...เพล้ง

ชุนเดินออกมาหน้าบ้าน พรานมีที่จัดแจงสัมภาระเรียบร้อยพร้อมจะออกเดินทาง
“เอ็งพร้อมละนะ ชุน”
“ครับท่านลุง”
พรานมีตบบ่าชุนเบาๆ และทั้งสองก็หันหน้าเพื่อจะออกเดินทาง นวลวิ่งโผล่มา
“เดี๋ยวก่อน รอข้าก่อนสิพ่อ ทำไมรีบไปกันจริง”
“เอ็งมัวทำอะไรอยู่ ออกมาส่งชักช้าจริง”
นวลหยิบสร้อยพระและสวมคอให้กับชุน
“สวมสร้อยพระนี่ไว้คุ้มครองเจ้านะชุน เจ้าเป็นคนจีนเครื่องรางของชลังก็ไม่มี นี่คือสร้อยพระที่พ่อข้าให้ข้าไว้ ตอนนี้ข้าให้เจ้าเอาไว้นะ”
ชุนหันมอง พรานมียิ้มรับเป็นนัยว่าให้ใส่ที่นวลให้ดีแล้ว ชุนหันไปหานวล
“ขอบใจเจ้ามากนะนวล ข้าจะไม่ลืมพระคุณของเจ้าเลย”
นวลยิ้ม
“ข้าจะรอเจ้ากลับมาพร้อมแม่หญิงเฟื่องนะ”
ชุนดีใจที่นวลพูดแบบนี้ ทั้งสามยิ้มเข้าใจกัน ชุนจับมือนวลไว้
“เอ้า...ไปกันได้แล้ว กว่าจะเข้าเมืองและไปเรือนแม่หญิงของเอ็งอีก” พรานมีตัดบท
ชุนปล่อยมือนวล และมุ่งหน้าไปกับพรานมี ทั้งสองเดินเข้าป่าไป นวลมองด้วยความเป็นห่วง

สิงห์กับเพียรเพิ่งกลับมาถึงเรือน พันรีบถามทันที
“มีข่าวไอ้ลูกจีนนั่นไม๊”
สองบ่าวส่ายหน้า
“ไม่มีใครเห็นมันเลยขอรับนาย” เพียรบอก
พันตะโกนร้อง ฮึ่ยแล้วจะเตะถีบเพียรระบายอารมณ์อย่างเคย แต่เพียรรู้ทันรีบหลบเสียก่อน พันจึงถีบไปโดนสิงห์แทน สิงห์ร้องลั่น ด้วงรีบออกมาดูด้วยความตกใจ พอเห็นอาการของสิงห์ ด้วงก็เดาได้ทันทีว่ามันถูกลูกชายนางถีบเอาอีกแล้ว
“เอ็งทำอะไรไม่ถูกใจลูกข้าอีกล่ะไอ้สิงห์”
“กระผมไม่ได้ทำอะไรเลยขอรับ”
พันรีบฟ้องแม่
“ข้าให้มันออกไปตามข่าวเรื่องไอ้ลูกจีน ว่ามันหนีไปซุกหัวอยู่ที่ไหน ข้าจะได้ตามไปกุดหัวมันที่นั่น แต่ไอ้สองตัวนี่มันก็ไม่ได้เรื่องอะไรกลับมาเลย”
“พวกกระผมไม่ได้ข่าวไอ้ลูกจีน แต่มีข่าวเรื่องแม่หญิงเฟื่องกลับมานะขอรับ” สิงห์บอก
“ท่านพระยาให้มาเรียนเชิญเรือนเรา ไปงานศพแม่เฟื่องวันนี้ขอรับ” เพียรเสริม
“โธ่ แล้วก็ไม่รีบบอกกู”
พันจะเตะ สิงห์กับเพียรหมอบจ๋อย พันเจ็บใจ

ร่างไร้วิญญาณของเฟื่องเปลี่ยนชุดสวยงามอยู่บนตั่ง มัดตราสังข์แน่นหนา พระสวดมนต์ให้ขณะที่ศรีเรือนก็ร้องไห้พร้อมกำลังกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เฟื่องอยู่ โดยคนอื่นๆนั่งพนมมือฟังพระสวดกันไป อุ่นกับทับทิมฟังสวดไป ร้องไห้ไป พันไม่มองดูร่างเฟื่องเลย ทนดูไม่ได้ ส่วนพระยาอารักษ์ก็สีหน้าขรึม สร้อยมองพระยาอารักษ์กับศรีเรือนแล้วยิ้มสะใจ ศรีเรือนคร่ำครวญ
“ลูกเฟื่องของแม่ เจ้าไม่น่าจากแม่ไปแบบนี้เลย ตอนนี้วิญญาณลูกอยู่ที่ไหน มาหาแม่ด้วยนะลูก แม่อยากเจอลูกมากแม่เฟื่อง”
น้ำตาศรีเรือนหยดลงไปที่ศพเฟื่อง ศรีเรือนร้องไห้คร่ำครวญส่วนทางอุ่น กับทับทิมที่ร้องไห้อาลัยอาวรณ์เฟื่องเช่นกัน พระยาอารักษ์หน้าเคร่งเครียดไม่ยิ้ม หันไปพูดกับทุกคน
“เพราะนังเฟื่องมันมาตายโหงเสียอย่างนี้ ข้าเลยตัดสินใจจะไม่เผามัน แต่จะฝังศพมันแทน”
ด้วงขัดขึ้น
“จะดีรึท่านเจ้าคุณ...”
แต่พอเห็นพระยาอารักษ์หน้าเคร่งเครียด ด้วงก็เลยเจื่อนไป
“จ้ะๆ ลูกสาวท่านเจ้าคุณนี่ ท่านเจ้าคุณจะเผาหรือจะฝังก็แล้วแต่ท่านเจ้าคุณเถิด”
พระยาอารักษ์หันไปพยักหน้าให้สัญญาณบ่าวชายกลุ่มหนึ่ง

บ่าวชายทั้งกลุ่มนั้นเข้ามาช่วยกันแบกศพเฟื่องไป โดยมีทุกคนเศร้าเสียใจกันระงม

#ff0000;">อ่านต่อตอนต่อไป

นางมาร ตอนที่ 8 (ต่อ)

ชุนอยู่ในสภาพยังบาดเจ็บกับพรานมี ลักลอบเข้ามาซุ่มดูความเคลื่อนไหวภายในบริเวณเรือนเฟื่องสายตาของชุนและพรานมี เห็นผู้คนในเรือนเดินกันให้สับสนวุ่นวาย และทุกคนใส่ชุดดำ ชุนพึมพำอย่างสังหรณ์ใจ

“ใส่ชุดดำกันทำไม...ลุงเราเข้าไปดูกันใกล้ๆ เรือนเถอะ”
ชุนขยับจะไปอย่างใจร้อน แต่พรานมีดึงไว้
“เดี๋ยว”
ชุนหันกลับมามองพรานมีอย่างสงสัย
“ขืนเอ็งสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปตอนนี้ คนในเรือนคงสังเกตเห็นเอ็งแน่”
“แล้วเราจะเอายังไงล่ะลุง”
ชุนกับพรานมีย่องเข้ามา เหลียวซ้ายแลขวา พอไม่เห็นใครก็วิ่งไปฉกเสื้อผ้าสีดำที่เหล่าบ่าว ทาส ตากแดดกันไว้อย่างรวดเร็ว...ชุนกับพรานมีใส่ชุดสีดำของพวกบ่าวที่ขโมยกันมาแล้วทำทีเป็นเข้ามาเดินปะปนกับคนอื่นๆ แต่ก้มๆหน้าหลบอยู่ ชุนพยายามจะชะเง้อมองไปบนเรือนตลอดเวลา อยากรู้ว่าบนเรือนมีอะไรกัน แต่ก็ไม่กล้า ได้แต่ชะเง้อมอง แล้วสักครู่พวกบ่าวชายก็แบกศพเฟื่องเดินตามหลังพระลงมาจากบนเรือน ชุนยิ่งชะเง้อดู แต่ไม่ค่อยเห็น จึงขยับเข้าไปใกล้ๆอย่างลืมตัว จนพลัดกับพรานมีและเพราะความที่ชุนมุ่งมั่นจะดูว่าแบกศพใครลงมาจากเรือน จึงไม่ทันดูว่ากลุ่มของพระยาอารักษ์และพวกพันก็กำลังเดินตามหลังศพลงจากเรือนมาด้วย ชุนมองไปที่ศพเห็นเป็นศพเฟื่อง ชุนตกตะลึงแล้ววิ่งแทรกทุกคนพุ่งเข้าไปกอดศพเฟื่องด้วยความอาลัยรักอย่างลืมตัว ลืมทุกสิ่ง
“คุณหนูเฟื่อง”
ทุกคนตะลึงงันกันไปถ้วนหน้าชั่วขณะ มองชุนกันเป็นตาเดียว พันพอเห็นชุน ก็ตะโกนเสียงดังอย่างคั่งแค้น
“เฮ้ย...นั่นมันไอ้ลูกจีนถ่อยนี่”
ขาดคำพันก็โดดพรวดเข้าไปถีบชุนกระเด็นออกไปจากศพเฟื่อง แต่เพราะชุนกอดศพเฟื่องอยู่เมื่อถูกถีบอย่างกะทันหัน มือชุนจึงดึงเอาร่างเฟื่องตกลงจากแคร่หาม ตกลงกลิ้งไปกับพื้น ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ต่างพากันร้องวี๊ดว๊ายดังระงมไปทั่ว ศรีเรือนกรี๊ดลั่น
“ลูกเฟื่อง”
ศรีเรือนร้องไห้โฮ พุ่งเข้าไปกอดศพลูกสาวอย่างไม่ได้นึกรังเกียจ พระยาอารักษ์ได้สติก่อนใคร ตะโกนสั่งบ่าวชาย
“เฮ้ย จับไอ้ลูกจีนนั่นเอาไว้”
บ่าวชายพากันเข้ากลุ้มรุมจับชุน จนผ้าโพกผมหลุด ชุนไม่สนใจที่จะถูกจับ คิดแต่จะเข้าไปหาเฟื่องมากกว่าแต่ก็สู้แรงบ่าวชายหลายคนที่จับเขาเอาไว้ไม่ได้ ชุนได้แต่มองศพเฟื่องแล้วตะโกนลั่นอย่างเสียใจ
“คุณหนูเฟื่อง”
ทุกคนมองชุนเป็นตาเดียว พรานมีแอบมองเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่ด้านหลังผู้คน กลุ้มใจสุดชีวิต ไม่รู้จะช่วยชุนได้ยังไง...ชุนถูกจับแล้วลากตัวไปที่ตรงหน้า พระยาอารักษ์จิกหัวชุนให้เงยหน้าขึ้นมามองหน้าเขาอย่างเต็มตา พระยาอารักษ์จ้องหน้าชุนอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ
“มึงฆ่าลูกกู”
ขาดคำพระยาอารักษ์ก็เอาด้ามดาบฟาดเข้าหน้าชุนเต็มๆสลบเหมือดไปทันที

แดดร้อนแรง ชุนถูกจับมัดขึงอยู่กลางลาน หน้าตามีร่องรอยฟกช้ำดำเขียวจากการถูกพระยาอารักษ์เอาด้ามดาบตบเต็มแรงแล้วบ่าวชายคนหนึ่งก็เอาน้ำสาดใส่ ชุนรู้สึกตัวขึ้นอีกครั้ง พระยาอารักษ์เดินมาจิกหัวให้เงยหน้าขึ้น แล้วตะคอกใส่หน้า
“เพราะมึง...มึงทำให้แม่เฟื่องลูกของกูต้องตาย มึงฆ่าแม่เฟื่องทำไม”
“ข้าไม่ได้ฆ่าแม่หญิง ถ้าข้าฆ่าแม่หญิง ข้าจะกลับมาที่นี่ทำไม แต่ที่ข้าย้อนกลับมาที่นี่ ก็เพราะข้าอยากรู้ว่าแม่หญิงเฟื่องยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ต่างหาก”
“กูไม่เชื่อมึง มึงหนีไปกับนังเฟื่อง แต่นังเฟื่องกลับมาตายอนาถอยู่คนเดียว นั่นก็เพราะมึงผลักนังเฟื่องตกหน้าผาลงมา เพื่อที่จะกำจัดมัน แล้วมึงก็จะได้หนีต่อไปได้อย่างคล่องตัวขึ้นใช่ไม๊ล่ะ”
“ข้ากับแม่หญิงเฟื่องเรารักกัน เราตั้งใจที่จะตายพร้อมกัน ข้ารอดตายมา ข้าพยายามตามหานาง จนข้าก็มาเห็นด้วยตาข้าแล้วว่าแม่หญิง...” ชุนร้องไห้เสียใจ “แม่หญิงเฟื่องตายแล้ว”
พันโมโหปรี๊ด พุ่งเข้าตบชุนเปรี้ยง ชุนเลือดกบปากทันที
“แล้วทำไมแม่เฟื่องของกูตาย แล้วมึงไม่ตายเล่าวะ”
พระยาอารักษ์เจ็บแค้นมาก
“ถ้ามึงบอกว่ามึงคิดที่จะตายพร้อมนังเฟื่อง เวลานี้นังเฟื่องมันก็ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้นกูจะส่งมึงให้ตายตามนังเฟื่องไป”
ขาดคำพระยาอารักษ์ก็ชักดาบขึ้นสุดแขน ทุกคนในที่นั้น ยกเว้นพัน ทำหน้าหวาดเสียวกันหมด คาดเดากันว่าพระยาอารักษ์คงจะตัดหัวชุนเดี๋ยวนี้เลย ส่วนชุนยืนหลับตานิ่ง ยอมตายแต่โดยดี เพราะคิดว่าจะได้ตายตามเฟื่องไปจริงๆเสียที ส่วนพรานมีได้แต่แอบดูหน้าเครียดทำอะไรไม่ได้เลย แต่ทันทีที่พระยาอารักษ์ฟาดดาบลงไป หลายคนหลับตาปี๋ ส่วนที่เป็นโลหะดาบที่มีคม กลับหลุดออกจากด้ามไม้ ร่วงลงสู่พื้น
“เฮ้ย”
พระยาอารักษ์หน้าเหวอ ยกด้ามไม้ที่ยังถือคาอยู่ในมือขึ้นมาดูอย่างงุนงง
“ดาบมันหลุดออกจากด้ามได้อย่างไรกันวะ”
พันไม่สนใจเรื่องว่าดาบหลุดออกจากด้ามได้ยังไง ชักมีดออกมา
“งั้นข้าเอง”
พันก็พุ่งเข้าไปจะจ้วงแทงชุน แต่พอจะถึงตัวก็ต้องชะงักค้างไปเลยเมื่อวิญญาณเฟื่องก็ปรากฏร่างขึ้นใส่ชุดเดียวกับที่มัดตราสังข์หน้าซีดตัวขาวน่ากลัวยืนบังร่างชุนเอาไว้ คนอื่นๆตะลึง ฟ้ามืดอย่างกะทันหันลมพัดแรงราวกับจะมีพายุ ผีเฟื่องคำราม
“อย่าบังอาจทำร้ายชุนของข้า”
ศรีเรือนตะลึง
“แม่เฟื่อง”
วิญญาณเฟื่องดุดันน่ากลัวจ้องไปที่พัน แล้วพันก็ล้มลงแล้วชักตัวเกร็งไปเลย คนอื่นๆตกใจจนทำอะไรไม่ถูก พันแน่นิ่งไป สร้อยเห็นผีเฟื่องโผล่มาก็สะใจที่ทำสำเร็จ ในขณะที่ทุกคนกำลังตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่นั้น ชุนก็ร้องเรียก
“คุณหนูเฟื่อง”
วิญญาณเฟื่องหันไปมองชุน แล้วรู้สึกเสียใจที่เขามาเห็นเธอในสภาพที่เป็นวิญญาณร้าย หน้าตาน่ากลัวเช่นนี้ วิญญาณเฟื่องจึงหายตัวไปอย่างรวดเร็ว ฟ้าสว่างขึ้นทันที ลมที่พัดอู้อยู่กลับสงบนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วในขณะที่ทุกคนยังอยู่ในอาการตกตะลึง ทำอะไรกันไม่ถูกเลยอยู่นั้น พรานมีก็วิ่งเข้ามาช่วยแก้มัดชุน แล้วลากตัวให้วิ่งหนีไปด้วยกันอย่างรวดเร็ว พระยาอารักษ์เริ่มได้สติ
“เฮ้ย ตามไปจับตัวมันมาให้ได้”
บ่าวชายและพระยาอารักษ์วิ่งตามล่าชุนกับพรานมีไป

พรานมีลากตัวชุนวิ่งหนีกันมาอย่างหัวซุกหัวซุน พระยาอารักษ์กับบ่าวชายจำนวนหนึ่งวิ่งไล่ตามมาติดๆแต่แล้วพอเลี้ยวมุม พวกพระยาอารักษ์ก็ต้องชะงึกกึกกันไปทั้งขบวนเมื่อพบกับพระธุดงค์มายืนขวางหน้าเอาไว้อย่างกะทันหัน
“หยุดจองเวรต่อกันเถิดโยม...”
พระยาอารักษ์ไม่พอใจ
“ท่านเป็นพระ อย่ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางโลกอย่างพวกเรา ถอยไปเถอะ”
“ปล่อยพวกเขาให้ได้ไปตามกฎแห่งกรรมนี้ อาตมาขอบิณฑบาตชีวิตเจ้านั่นเถิด”
“เห็นทีจะไม่ได้ท่าน”
“งันก็คงต้องข้ามศพอาตมาไปก่อน”
พระยาอารักษ์ฟังแล้วจึงได้แต่ฮึดฮัดๆ ไม่กล้าทำพระ จึงตัดสินใจก้มลงกราบ พอเงยหน้าขึ้นพระก็หายไป พระยาอารักษ์ขัดใจเป็นที่สุด

นวลเข้ามาเข้ามาทำความสะอาดห้องชุน เห็นตะเกียงตกแตก
“ตกแตกลงมาได้ยังไงเนี่ย”
นวลเข้าไปเก็บ เก็บไปสักพักแก้วตะเกียงก็บาดนิ้วเลือดไหล
“โอ๊ย”
เลือดไหลออกมาที่นิ้วมือ เมื่อละจากความเจ็บนวลก็นึกถึงชุนกับพ่อขึ้นมาทันทีกังวลว่าจะเกิดอะไรขึ้น นวลวิ่งออกมาหน้าบ้านชะเง้อมองไปที่หน้ากระท่อมเป็นห่วงชุนกับพ่อมากแล้วในที่สุดเธอก็อดรนทนไม่ได้ ตัดสินใจขัดคำสั่งพ่อหยิบย่ามแล้วมุ่งมั่นออกไปตามชุนกับพ่อที่เรือนเฟื่องทันที

พระอาทิตย์ร้อนแรง นวลเดินเร่งฝีเท้าเพื่อมุ่งหน้าไปหาชุนและพ่อ แล้วก็ชะงัก เมื่อเห็นชุนในสภาพย่ำแย่ นวลดีใจมาก
“ชุน...พ่อ”
ชุนและพรานมีมองนวลอย่างประหลาดใจ
“เอ็งออกมาทำไมนี่”
“ก็ข้าเป็นห่วงพ่อกับชุนนี่ จะให้ข้าทนนั่งร้อนใจอยู่แต่ในเรือน...ไม่ไหวหรอก...” นวลมองชุนเห็นบาดแผลบนใบหน้าของเขาก็ตกใจ “เกิดอะไรขึ้นกับเอ็ง...ชุน”
ชุนเศร้าใจที่เห็นศพเฟื่องคาตามากกว่าสนใจเรื่องอาการบาดเจ็บของตัวเอง ชุนนั่งลงทรุดกับพื้นร้องไห้ที่เฟื้องตาย
“บาดแผลที่กายข้าแค่นี้ ข้าไม่ถึงตายหรอก แต่ถ้าตายไปเสียจริงๆก็คงดีกว่านี้” ชุนร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวด “คุณหนูเฟื่อง ทำไม...ทำไมท่านถึงทิ้งข้าไป ทำไม”
นวลตกใจ
“นี่หมายความว่า แม่หญิงเฟื่องของเจ้า ตายแล้วเหรอ”
ชุนไม่ตอบได้แต่ร้องไห้เสียใจ นวลมองไปที่พ่อ พรานมีพยักหน้ารับ นวลทั้งตกใจ ทั้งสงสารชุนที่ต้องเสียใจขนาดนี้ ชุนร้องไห้เสียใจกับการตายของเฟื่องอย่างทุกข์ใจยิ่งนัก รวมกับอาการบาดเจ็บที่ยังไม่หายดี

ร่างชุนล้มลงสลบไป นวลกับพรานมีต้องรีบเข้าไปช่วย

ศรีเรือน และทุกคนก้มลงกราบพระธุดงค์อย่างนอบน้อม ศรีเรือน อุ่น และทับทิม ร้องไห้เสียใจกันไม่หยุด สร้อยมาแอบฟังอยู่อีกมุม พระธุดงค์เตือนสติ

“พวกเจ้าต้องตั้งสติกันให้ได้ เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ โยมแม่ก็ควรหมั่นทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้แก่ลูกให้มากๆ เพราะลูกโยม...เขาตายอย่างใจไม่สงบ เขาจึงกลับมาปรากฏร่างให้ทุกคนได้เห็นในสภาพเช่นนั้น”
ศรีเรือนสงสารลูกจับใจ
“โธ่...ลูกเฟื่องของแม่”
อุ่นกับทับทิมพึมพำ
“คุณหนูของบ่าว...”
สร้อยสะใจ พระยาอารักษ์กลับขึ้นเรือนมาหน้าแค้นใจมาก
“นังเฟื่องมันจะตายอย่างใจสงบได้ยังไงกันเล่า ในเมื่อมันถูกไอ้ลูกจีนนั่นหักหลังผลักตกเหว ตายโดยไม่รู้ตัว ข้าจะไม่วันเลิกราตามล่าไอ้ลูกจีนนั่นเด็ดขาด ข้าจะต้องเห็นมันตายต่อหน้าต่อตาข้าให้ได้”
“เวรต้องระงับด้วยการไม่จองเวร อาตมาขอตัวกลับก่อน”
ศรีเรือนกับบ่าวทุกคนก้มลงกราบ มีเพียงพระยาอารักษ์ที่ยืนจังก้าแบบไม่สนใจ พระธุดงค์เดินออกไป พระยาอารักษ์หันมองตาม
“ทำเป็นมาสั่งสอน จะไปเทศนาก็ไปที่อื่น แต่ไม่ใช่เรือนกู”
ศรีเรือนหันมาถาม
“คุณพี่ แล้วเจอนายชุนนั่นรึป่าวคะ”
พระยาอารักษ์ได้ยินศรีเรือนถามยิ่งโกรธใหญ่
“ถ้ากูเจอมันแล้วกูจะกลับมาตัวเปล่าเช่นนี้เหรอ...อีศรีเรือน”
พระยาอารักษ์เตะศรีเรือนกระเด็น สร้อยมองด้วยความหมั่นไส้ ส่วนอุ่นกับทับทิม ทาสอื่น มองด้วยความสงสาร พระยาอารักษ์เดินออกไปด้วยความโมโห ศรีเรือนที่ล้มอยู่ที่พื้นร้องไห้ที่ชีวิตทำไมมันช่างชอกช้ำเช่นนี้ ลูกก็ตาย ผัวก็เลว

สิงห์กับเพียร แบกพันเข้าบ้านมา ด้วงตามมาติดๆ
“เอ้า ช่วยกันวางพ่อพันลงดีๆนะ”
สิงห์กับเพียรค่อยๆวางพันลง ส่วนอาการพันที่ยังช็อกเกร็งอยู่ก็ยังไม่หาย แต่เริ่มดีขึ้น ด้วงยังกลัวไม่หาย
“โอ๊ย นี่มันอะไรกันเนี่ย จู่ๆผีแม่เฟื่องก็โผล่มาหลอกกลางวันแสกๆ อึ้ย ขนลุก...แล้วนี่พ่อพันจะหายไหมเนี่ย”
เพียรดูอาการนาย
“คงต้องรอดูอาการอีกทีนะขอรับ แต่ดูจากอาการก็เริ่มดีขึ้นแล้วนะขอรับ”
สิงห์หวาดๆ
“มันน่ากลัวจริงๆนะขอรับ ผีแม่เฟื่องน่ากลัวกว่าผีอีเดือนอีก”
“ยังดีนะขอรับที่ผีแม่เฟื่องมันยังไม่หักคอนาย ไม่งั้นนายคงตายตามมันไปนะขอรับ”
ด้วงขว้างกระโถนใส่ เพียรกับสิงห์หลบกันใหญ่
“ปากวอนนักนะเอ็งเนี่ย ไปคอยดูแลลูกข้า ถ้ายังไม่ดีขึ้นภายในชั่วข้ามคืนนี้ ก็ไปตามหมอหลวงเข้ามาดู ไป”
สิงห์กับเพียร รีบน้อมรับ แล้วเข้าไปดูพันที่ยังชักตาตะลึงอยู่

บรรยากาศยามค่ำคืน ผาที่เฟื่องโดดมาตาย มืดสนิทวังเวง มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ผีเฟื่องกอดเข่าก้มหน้านั่งร้องไห้อยู่ ร้องเรียกชื่อชุนตลอดเวลา แล้วผีเฟื่องก็ได้ยินเสียงนวลดังมา
“ชุน...ชุน เจ้าอย่าเป็นอะไรนะ ข้ารักเจ้านะชุน”
ผีเฟื่องเงยหน้าขึ้นมาทันที ด้วยแววตาโกรธ หันไปมองทางเสียงที่พูด แล้วผีเฟื่องก็พุ่งออกไปทันที

ในกระท่อม...ชุนนอนสลบอยู่ นวลนั่งเฝ้าดูอาการ
“ชุน...เจ้าอย่าเป็นอะไรไปนะ”
ผีเฟื่องโผล่มาอยู่ด้วย กับ ชุนและนวล มองดูชุนที่นอนสลบอยู่
“ชุน...”
ผีเฟื่องลูบแขนชุนพลางร้องไห้
“ชุน เจ้ากับข้าเราสาบานกันไว้ว่า...เราจะตายร่วมกัน เพราะฉะนั้น...ข้าจะต้องพาเจ้าไปกับข้าให้ได้”
ผีเฟื่องพุ่งเข้าไปจะกระซิบที่ข้างหูชุนแววตามุ่งมันแต่พระที่เขาใส่อยู่ ทำให้ผีเฟื่องใกล้เขาไม่ได้ ผีเฟื่องจึงต้องคำรามพูด
“ชุน...ลืมตาสิแล้วกลับไปที่หน้าผานั่น ข้าจะรอท่านอยู่ที่นั่น กลับไปที่หน้าผานั่น”
ชุนเริ่มส่ายหน้าไปมาจวนจะได้สติเหมือนได้ยินเสียงเฟื่องแว่วที่ปลายหู
“คุณหนูเฟื่อง...”
ชุนลืมตาขึ้นมองไม่เห็นเฟื่อง แต่เห็นนวลพุ่งเข้ามาดูอาการอย่างห่วงใย
“ชุน...เจ้าฟื้นแล้ว ข้าดีใจจริงๆที่เจ้าฟื้นแล้ว ตอนที่เจ้ายังไม่ฟื้น รู้มั๊ยว่าข้าใจแทบขาด กลัวว่าเจ้าจะ...”
นวลไม่อยากพูดคำว่า ตายกับเขา เลยหยุดพูดไปเฉยๆแต่ก็ยิ้มดีใจอย่างที่สุดที่เห็นเขาฟื้นได้อีกครั้ง ผีเฟื่องพุ่งวืดเข้ามาจ้องหน้านวลใกล้ๆเห็นสายตานวลที่มองแล้วดูออกว่ารักชุน ผีเฟื่องจึงตาลุกวาวด้วยความโกรธ ตะคอกด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด
“นี่ผัวข้า อย่ามายุ่งกับผัวข้า...ออกไป”
นวลไม่ได้ยิน ยังคงพูดกับชุนต่อ
“ชุน...หิวมั๊ย ข้าไปเอาข้าวมาให้นะ”
ชุนพยักหน้าไปอย่างแกนๆ นวลรีบออกไป ผีเฟื่องพุ่งตามกระโดดใส่แต่นวลกลับเดินออกไปได้อย่างเฉยๆ ในขณะที่ผีเฟื่องล้มกลิ้งไปกับพื้น สัมผัสตัวนวลไม่ได้ ผีเฟื่องลุกขึ้นแล้วร้องกรี๊ดอย่างคั่งแค้น พอลุกขึ้นได้ก็พุ่งตัวทะลุฝาบ้านตามนวลไปติดๆ

นวลเดินเข้ามาในครัว ตักข้าวให้ชุนอย่างใจร้อน ผีเฟื่องพุ่งตามเข้ามา
“อย่ามายุ่งกับผัวข้า”
ผีเฟื่องพยายามจะเข้าไปจิกหัวนวลแต่มือก็ทะลุผ่านหัวนวลไป โดยที่นวลไม่รู้เรื่องอะไรเลย ไปโดนของอะไรบางอย่างใกล้ๆ จนของตกลงพื้นเสียงดัง แรงโกรธทำให้มีพลัง สัมผัสข้าวของบางอย่างได้ แต่ยังไม่มากพอจะทำอะไรคน นวลสะดุ้งเมื่อจู่ๆของก็ตกลงพื้นเสียงดัง เธอเห็นทัพพีตกอยู่
“โฮ้ย...ตกใจหมดเลย ตกได้ยังไงเนี่ย”
นวลก้มลงเก็บทัพพีขึ้นมาวางเก็บที่ ผีเฟื่องแค้นใจที่ทำอะไรนวลไม่ได้ดั่งใจ ก็ออกอาการฮึดฮัดๆ
“อุ่นแกงหน่อยดีกว่า ชุนจะได้กินร้อนๆ”
ผีเฟื่องยิ่งได้ยิน รู้ว่านวลมีใจให้ชุนแน่แล้วก็ยิ่งเกลียด พยายามจะตบนวลอีกที มือผีเฟื่องทะลุผ่านตัวนวลวืดไปอีกครั้ง คราวนี้ไปโดนเตาที่นวลเพิ่งจุดไฟไปหยกๆ ทำให้เตาคว่ำ ไฟในเตาก็ลุกติดกองของป่า ที่กองอยู่มุมหนึ่งลุกติดไฟพรึ่บขึ้นมา นวลร้องด้วยความตกใจ แล้วพยายามจะดับไฟ แต่ไม่สำเร็จ ไฟลุกลามรวดเร็ว หนำซ้ำยังติดเอาชายผ้านุ่งขอเธอเสียด้วย นวลพยายามจะดับไฟช่วยตัวเองสุดฤทธิ์ พรานมีเดินผ่านมาเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ก็รีบวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาช่วย พรานมีรีบพุ่งเข้ามาผลักให้นวลล้มลง แล้วกลิ้งร่างของเธอไปมากับพื้นเพื่อให้ไฟดับ ไฟที่ไหม้ติดตัวนวลดับลงจนได้ เธอหายใจหอบ แล้วมองไปเห็นไฟกำลังไหม้กองของป่าอยู่ นวลชี้ให้พ่อดู
“พ่อ...ของป่าของเรา”
พรานมีหันไป เห็นไฟไหม้กองของป่าเกือบหมดแล้ว แม้จะไปดับไฟจนสำเร็จ แต่กองของป่าวอดวายไปหมดแล้ว พรานมียืนมองอย่างเสียใจ แล้วพอได้ยินเสียงนวลร้องไห้กับความหายนะที่เกิดขึ้น พรานมีก็เลยหันกลับไปประคองลูกสาว
“ไปใส่ยาก่อนเถอะนวล”
“แต่ของป่าที่เราจะต้องเอาไปขาย มัน...มัน...”
นวลร้องไห้ด้วยความเสียใจและเสียดาย พรานมีปลอบ
“ช่างมันก่อนเถิดนวล ชีวิตเอ็งสำคัญกว่า”
พรานมีก็ประคองลูกสาวไปทำแผล

ผีเฟื่องหัวเราะด้วยความสะใจ จนเสียงดังไปทั่วบริเวณ แต่ไม่มีใครได้ยิน

อ่านต่อตอนที่ 9
กำลังโหลดความคิดเห็น