สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 10
ทางด้านดารณีนุชกับศินีนุชเดินจ้ำพรวดๆ จะรีบกลับไปที่รถ ศินีนุชเอ่ยตำหนิผู้เป็นมารดา
“คุณแม่ทำพลาดไปได้ยังไง ทำไมไม่ทำลายหลักฐานทิ้งซะล่ะคะ”
“แม่ก็โยนทิ้งใส่ถังขยะไปแล้วนะ นั่นอาจจะไม่ใช่ถุงขนมของเราก็ได้ แม่เกษก็ส่งขนมมาประจบประแจงหม่อมย่าอยู่บ่อยๆ ถ้าคุณชายพีร์ไปเจอถุงขนมร้านแม่เกษเข้า ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”
“นั่นน่ะซิคะ พี่ชายพีร์ไม่ค่อยถูกชะตากับนุชเท่าไหร่ นี่คงจะหาเรื่องแกล้งนุชแน่ๆ ถุงขนมที่พี่ชายพีร์ถือมา คงเป็นถุงเปล่าๆมั้งคะ คงไม่มีเศษซากข้าวต้มมัดของนุชอยู่ในนั้นแน่” ศินีนุชพยายามปลอบใจตัวเอง
“ลูกไม่เห็นหรือว่า หม่อมย่าท่านไม่ได้สนใจฟังคุณชายพีร์เลย ใครจะโกงไม่โกง ไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับท่านในตอนนี้หรอก เรื่องเร่งด่วนที่ท่านต้องรีบจัดการคือ หาทางกำจัดนังหลานสะใภ้บ้านป่าออกไปจากวังจุฑาเทพต่างหากล่ะ”
ศินีนุชกับดารณีนุชพยายามเข้าข้างตัวเอง ปลอบใจกันเองจนสบายใจขึ้น
“เพื่อที่หม่อมย่าจะได้รีบมาขอนุชไปเป็นหลานสะใภ้คนใหม่ ใช่มั้ยล่ะคะ คุณแม่”
“ถูกต้องแล้วล่ะค่ะ ลูกนุช...ถ้าไม่ใช่หม่อมหลวงศินีนุช เทวพรหม แล้วจะมีผู้หญิงคนไหนคู่ควรกับหม่อมราชวงศ์รัชชานนท์ จุฑาเทพได้อีกล่ะ”
ดารณีนุชปรายตาเห็นชัชวีร์เดินเข้ามาพอดี เธอรอจนชัชวีร์เข้ามาใกล้จะได้ฟังประโยคต่อไปชัดๆ
“ส่วนแม่สร้อยฟ้า สาวเวียงภูคำจากป่าจากเขาก็ควรจะคู่กับผู้ชายระดับเดียวกัน...ผู้หญิงชั้นต่ำเหมาะกับผู้ชายชั้นต่ำอย่างแกยังไงล่ะ ไอ้ชัช”
ชัชวีร์ชะงักกึก จำต้องหยุดฟังคำเสียดสีถากถางจากดารณีนุช
“อุ๊ย พี่ชัชไม่ได้หมายตาแม่สร้อยฟ้าไว้หรอกค่ะ คุณแม่ พี่ชัชไปติดใจแม่สาวอีกคน ชื่ออะไรนะ พี่ชัช ชื่อ..จันทา ค่ะ คุณแม่ แม่นี่เป็นลูกสาวนายพรานเคยทำงานอยู่ร้านขายเหล้า ฟังประวัติแค่นี้ก็รู้แล้วว่า มีประสบการณ์โชกโชนขนาดไหน”
จันทาที่เข้ามาเตร่รอสร้อยอยู่ ต้องหยุดชะงักยืนฟังเมื่อได้ยินการพูดชื่อของเธอ
“น้องนุช ! เธอไม่ได้รู้จักจันทา อย่าพูดอะไรจะดีกว่า จันทาจะเสียหายได้”
“โอ๊ย ฉันว่า แม่นั่นคงไม่มีอะไรจะเสียแล้วล่ะมั้ง เชื้อแม่แกมันแรงจริงๆ จะหาเมีย ก็ดันไปได้ผู้หญิงโคมเขียวเหมือนแม่ แกนี่ไม่คิดจะเลือกผู้หญิงดีๆกับเขาบ้างหรือยังไง”
“ผู้ชายต่ำๆอย่างผมมีสิทธิ์เลือกอะไรได้ล่ะครับ ตอนนี้มีผู้หญิงบ้านป่าไม่มีชาติตระกูลไม่รู้ที่มาที่ไปเหมือนกันผ่านมา ผมก็ควรจะรีบคว้าไว้ไม่ใช่หรือครับ ชีวิตผมไม่มีวันขึ้นสูงไปกว่านี้ ก็ให้มันดิ่งลงเหวไปเลย ได้รู้อย่างนี้แล้ว คุณหญิงคงจะใช้ชีวิตได้อย่างสงบสุขซักทีนะครับ”
“นี่แกหาว่า ฉันคอยระรานแกจนไม่มีชีวิตที่สงบสุขงั้นเหรอ ไอ้ชัช”
ชัชวีร์หันหลังเดินออก ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นจันทายืนอยู่ด้านหลัง
“จันทา”
ชัชวีร์นิ่งอึ้งเมื่อเห็นสีหน้าเจ็บปวดของจันทา ก็รู้ว่าจันทาคงได้ยินทุกคำพูดของเขา เธอผละออกไปอย่างรวดเร็ว ชัชวีร์มึนอึ้งโกรธตัวเองที่ใช้อารมณ์จนเป็นเรื่อง
รัชชานนท์กับรณพีร์มองหม่อมเอียดอย่างไม่เห็นด้วยเป็นที่สุด แต่สร้อยนิ่งเฉยไม่ได้ใส่ใจที่จะเอาชนะคะคานกับศินีนุช รื่องจบก็คือจบ
“ทำไมหม่อมย่าทำอย่างนี้ล่ะครับ อย่างนี้ไม่ยุติธรรมเลยนะครับ” รณพีร์ถาม
“หม่อมย่าก็เห็นหลักฐานแล้ว ทุกอย่างบ่งบอกอย่างชัดแจ้งว่า น้องนุชก็โกงเหมือนกัน ข้าวต้มมัดที่หม่อมย่าได้ชิมเป็นฝีมือของคุณเกษ แล้วนี่คือข้าวต้มมัดฝีมือของน้องนุช” รัชชานนท์ว่า
รัชชานนท์เทข้าวต้มมัดเละๆดูไม่ได้จากถุงขนมลงในจาน ย่าอ่อนเมินหน้าหนีอย่างไม่อยากรับรู้
“ถ้าเทียบกับฝีมือทำข้าวต้มมัดของสร้อยฟ้าแล้ว ผมว่า สร้อยฟ้าเป็นฝ่ายชนะ ! ส่วนน้องนุชน่ะสอบตก และไม่สมควรจะมาที่นี่อีก ถือเป็นการลงโทษที่โกงการแข่งขัน” รัชชานน?ืบอก แต่รีบมุบมิบหาทางกำจัดศินีนุชออกไป-
“ย่าว่า เราอย่าเอาเรื่องโกงไม่โกงนี่ขึ้นมาพูดอีกเลยนะ ใครรู้เข้า จะขายหน้าคนอื่นเขาเปล่าๆ ไหนๆเรื่องมันแล้วไปแล้ว ก็ให้มันแล้วกันไป” ย่าอ่อนบอก
รณพีร์ตอกย้ำ
“ไม่ได้หรอกครับ ย่าอ่อน...ผมล่ะสงสัยจริงๆ ที่น้องนุชสับเปลี่ยนข้าวต้มมัดมันหลุดรอดสายตาย่าอ่อนไปได้ยังไง ดูซิครับ ฝีมือน้องนุชเทียบไม่ได้กับฝีมือคุณเกษแม้แต่นิดเดียว”
“โธ่ ชายพีร์ก็...ย่าต้องคุมทั้งงานในครัว แล้วก็งานอะไรต่อมิอะไรจิปาถะ แล้วยังต้องมาคุมการแข่งขันนี่อีก มันก็ต้องมีอะไรรอดหูรอดตาไปบ้าง”
หม่อมเอียดปรายตามองจนย่าอ่อนต้องหลบตา หม่อมเอียดแน่ใจว่า ย่าอ่อนทำไม่รู้ไม่เห็นมากกว่า รัชชานนท์มองหม่อมเอียดที่ดูนิ่งๆ ไม่ได้มีทีท่าแปลกใจอะไรกับเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมด
“หม่อมย่ารู้เรื่องนี้ตั้งแต่ต้นแล้วใช่มั้ยครับ”
“ตอนที่ได้ชิมคำแรก ย่าก็พอเดาออกว่า ไม่ใช่ฝีมือหนูนุชแน่ คิดอยู่ว่ารสมือคุ้นๆ ขนมมีกลิ่นหอมของน้ำลอยดอกมะลิอย่างนี้ น่าจะเป็นฝีมือของหนูเกษรา”
“แล้วหม่อมย่าก็ตัดสินให้น้องนุชชนะไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ! ไม่ได้นะครับ หม่อมย่า ผมไม่ยอมให้เรื่องจบลงง่ายๆอย่างนี้”
หม่อมเอียดยังคงจิบน้ำชาอย่างใจเย็น ขณะที่รัชชานนท์ดื้อดึงที่จะเอาเรื่องศินีนุชให้ได้
ทางด้านชัชวีร์รีบเดินตามหาจันทาจนเห็นเธอกำลังเดินกลับไปทางเรือนคนใช้ เขารีบไปขวางทางจันทาไว้ไม่ให้หลบหน้าไป
“จันทา...ที่ฉันพูดกับคุณหญิงไปเมื่อกี้นี้ ฉันกำลังโกรธก็เลยพูดไปโดยไม่ทันได้ยั้งคิด ฉันไม่ได้ตั้งใจที่จะดูถูกจันทา”
“คุณชัชไม่ได้ดูถูกจันทานี่คะ คุณชัชพูดถูกทุกอย่าง จันทาเป็นสาวบ้านป่าชั้นต่ำ ไม่รู้ที่มาที่ไปจริงๆ พ่อแม่เป็นใคร จันทายังไม่รู้เลย”
“จันทาเข้าใจผิดใหญ่แล้ว ที่ฉันพูดไป ฉันดูถูกตัวฉันเองต่างหาก”
“จันทาไม่รู้ว่าคุณชัชมีปัญหาอะไรกับครอบครัว แต่ขอร้องเถอะค่ะ อย่าประชดครอบครัวด้วยวิธีนี้เลย อย่าดึงจันทาไปเกี่ยวข้องด้วย จันทาไม่อยากได้ชื่อว่า เป็นคนทำให้ชีวิตคุณชัชต้องดิ่งลงเหว”
“จันทา”
“ต่อไปนี้เราอย่าเจอกันดีกว่านะคะ จันทาไม่อยากให้คุณชัชต้องแปดเปื้อนไปมากกว่านี้”
จันทาน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวดใจ แล้วรีบเดินหนีก่อนที่ชัชวีร์จะมีโอกาสแก้ตัว
ฝ่ายรัชชานนท์กับรณพีร์ยังคงฮึดฮัด ไม่ยอมให้หม่อมเอียดปล่อยเรื่องที่ศินีนุชโกงไปง่ายๆ
“ผมทราบครับว่า หม่อมย่าเกรงใจคุณป้าหญิง แต่เราจะปล่อยเรื่องนี้ไปไม่ได้นะครับ เราต้องให้ความยุติธรรมกับสร้อยฟ้าด้วย” รัชชานนท์บอก
รณพีร์สนับสนุน
“ใช่ครับ ไม่มีใครกล้ากล่าวโทษพี่ชายเล็กอยู่แล้ว ตอนนี้สร้อยฟ้ากลับกลายเป็นคนผิดคนเดียว ทั้งๆที่คนโกงตัวจริงคือน้องนุช”
“แล้วจะให้ย่าทำยังไง ให้ย่าเชิญคุณหญิงกับหนูนุชมาชำระความงั้นเหรอ แล้วจะได้อะไร นอกจากเป็นการหักหน้าผู้ใหญ่ ชายเล็ก..เธอทำฝ่ายโน้นเสียหน้าไม่รู้กี่ครั้งแล้ว เราก็ควรเป็นฝ่ายยอมเขาเสียบ้าง”
“คุณพี่พูดถูกที่สุดค่ะ อย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่จะดีกว่า เดี๋ยวจะทำให้มองหน้ากันไม่ติดเสียเปล่าๆ”
“การแข่งขันครั้งนี้ก็เล่นกลโกงทั้งสองฝ่าย ถือเป็นโมฆะไป เธอจะว่ายังไงแม่สร้อยฟ้า จะหาว่าฉันไม่ยุติธรรมอีกคนหรือเปล่า”
“ไม่หรอกค่ะ ที่จริงวันนี้ก็ไม่ถือว่าเป็นการแข่งขัน เป็นการทดสอบดิฉันมากกว่าว่า ดิฉันทำอะไรเป็นบ้าง ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่มีความสำคัญ แค่เสียดายที่ไม่มีโอกาสให้คุณท่านได้ชิมฝีมือดิฉันเท่านั้นแหละค่ะ” สร้อยบอก
“ไม่ต้องเสียดายไป อย่างน้อยวันนี้ฉันก็ได้รู้จักเธอมากขึ้น เธอเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต ขอให้รักษาความดีต่อไป แต่สำหรับเธอ...ชายเล็ก เธอไม่เชื่อมั่นฝีมือสร้อยฟ้า แทนที่จะบอกความจริง แต่เธอเลือกที่จะโกหก ชีวิตคู่ที่ไม่มีความจริงใจต่อกันอย่างนี้ เธอคิดว่าไปกันได้รอดเรอะ”
รัชชานนท์นิ่งอึ้งรับผิด และยิ่งใจเสียไปอีกเมื่อสร้อยจ้องมองเขาอย่างไม่พอใจมาก
บริเวณสวนในวังจุฑาเทพ จ่อยกำลังตัดเล็มกิ่งไม้อยู่ โดยมีสมบุญยืนชี้นิ้วอย่างแสนสบาย
“เร่งมือหน่อยๆ ตัดกิ่งนั้นด้วย กิ่งไม้ตรงนั้นไงเล่า ที่อยู่ตรงหน้าจนจะทิ่มตาอยู่แล้ว มองไม่เห็นหรือยังไงวะ ตัดเล็มกิ่งไม้ที่มันรกรุงรังออกให้หมด เสร็จแล้วก็ไปตัดหญ้าต่อ ให้เสร็จวันนี้ล่ะ คุณท่านสั่งมา”
จ่อยหยุดมือหันมาเผชิญหน้ากับสมบุญ ในมือถือกิ่งไม้ก้านหนาใหญ่อยู่
“มีปัญหาอะไร มาอาศัยอยู่บ้านคนอื่นก็ต้องทำงานตอบแทนซิวะ น้องสาวเอ็งที่ว่าเป็นเมียคุณชายเล็กยังต้องไปทำงานในครัวเลย นับประสาอะไรกับเอ็ง” สมบุญพูดพลางยิ้มขำ
“ข้อยบ่ได้เกี่ยงงาน แต่ชอบเฮ็ดงานเงียบๆ อย่าเว้าโพด มันรำคาญ”
จ่อยหักกิ่งไม้ก้านใหญ่ในมือดังโผละอย่างสบายๆ จนสมบุญสะดุ้งโหยง
จันทาเดินหนีชัชวีร์ผ่านมา พอเห็นจ่อยก็จะหลบหน้าหลบตาจะรีบเดินหนีไป แต่จ่อยคว้าแขนไว้ทัน จ่อยเห็นจันทาหน้าตาแดงกล่ำ ตาช้ำอย่างคนร้องไห้มา
“เป็นอะหยัง ! ไผเฮ็ดอะหยังเจ้า”
ชัชวีร์ไล่ตามจันทามาจนทัน
“จันทา...ฉันขอโทษ”
“ไอ้บักนี่มันเฮ็ดเจ้าฮ้องไห้แม่นบ่ มันเฮ็ดอะหยังเจ้า บอกข้อยมา”
สมบุญบอก
“เฮ้ยๆ พูดกับคุณชัชดีๆ หน่อย คุณชัชเป็นเพื่อนคุณชายพีร์”
สมบุญเตือนไม่ทันขาดคำ จ่อยเข้าไปกระชากคอเสื้อชัชวีร์ไว้ทันที
“เจ้าเฮ็ดอะหยังจันทา”
“อ้ายจ่อย ปล่อยคุณชัช” สมบุญบอก
จ่อยค่อยปล่อยมือจากชัชวีร์ จันทาเดินไปประจันหน้ากับชัชวีร์อีกครั้ง
“กลับไปเสียเถอะค่ะ คุณชัชวีร์ เราไม่มีอะไรจะพูดกันแล้ว จันทาขอเพียงอย่างเดียว ช่วยไปทำความเข้าใจกับครอบครัวของคุณด้วย พ่อเจ้ยเลี้ยงจันทาอย่างดีที่สุดเท่าที่พ่อจะทำได้ อย่ามากล่าวหาว่าจันทาเป็นผู้หญิงโคมเขียว อย่ามาดูถูกพ่อ พ่อเปิดร้านขายเหล้าแต่ไม่ได้ขายลูก
สาว พวกคนบ้านป่าก็มีศักดิ์ศรีไม่แพ้ผู้ดีชาววังอย่างพวกคุณ”
จันทาเดินออกไปทันทีอย่างตัดใจแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับชัชวีร์อีก
“ผู้หญิงโคมเขียวอะหยัง” จ่อยงงกับสำนวนนี้
“ก็ผู้หญิงขายตัวยังไงเล่า...เป็นคำโบร่ำโบราณ แต่คนเก่าคนแก่ยังเรียกกันอยู่บ้าง”
“ผู้หญิงขายตัว ! ไอ้บักห่านี่”
จ่อยต่อยหน้าฟาดปากชัชวีร์อย่างเต็มแรงและเงื้อมือจะต่อยชัชวีร์อีกหมัดด้วยความเจ็บใจ เขายืนนิ่งให้จ่อยต่อย สายตาสีหน้าหรือพลังบารมีบางอย่างของชัชวีร์ ทำให้จ่อยยั้งมือไว้
ชัชวีร์ปากแตกเลือดไหลซิกๆ แต่ไม่คิดแม้แต่จะเช็ดเลือด สมบุญอ้าปากเหวอเห็นจ่อยน่ากลัวมาก
“ช่วยบอกจันทาด้วยว่า ฉันเสียใจ...เสียใจจริงๆ”
ชัชวีร์หันหลังเดินออกไปอย่างหมดแรงใจ จ่อยมองตามอย่างไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมไม่กล้าซ้ำ
สร้อยเดินดุ่มๆด้วยสีหน้าที่เรียบเฉยเพราะยังโกรธรัชชานนท์อยู่ เขาเดินตามมาดึงตัวสร้อยไว้อย่างง้องอน
“สร้อยฟ้า ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ ไม่ใช่ว่า ฉันไม่เชื่อมั่นในฝีมือการทำอาหารของเธอหรอกนะ ฉันเพียงแต่ป้องกันไว้ก่อนเผื่อจะมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา”
“ยังมาโกหกอีก”
รัชชานนท์เสียงอ่อย
“ก็ดุอย่างนี้ ใครจะกล้าพูดความจริงด้วยล่ะ”
“งั้นก็พูดความจริงมา ฝีมือการทำข้าวต้มมัดของฉันมันเป็นยังไง คุณชายถึงได้ต้องให้จันทามาช่วย...มันแย่นักหรือยังไง”
“ข้าวต้มมัดที่เธอเคยทำให้ฉันกินน่ะนะ มันก็พอกินได้”
สร้อยจ้องรัชชานนท์ให้พูดความจริง
“เออ..มันไม่ค่อยอร่อยเท่าไหร่”
สร้อยจ้องอย่างไม่วางตาอีก
“เออ...มันไม่อร่อยเอาซะเลย มันเค็ม...เค็มมากจนกินไม่ได้เลยล่ะ แต่ฉันเห็นเธอภูมิใจในฝีมือของเธอก็เลยไม่กล้าบอกความจริง แต่ฉันสัญญานะ ต่อไปฉันจะไม่โกหกเธออีก ฉันจะมีแต่ความจริงใจให้เธอ”
รัชชานนท์คว้ามือสร้อยมากุมไว้
“ชีวิตแต่งงานของเราต้องไปได้ตลอดรอดฝั่ง ชีวิตคู่ก็เป็นอย่างนี้แหละ ก็ต้องมีเรื่องผิดใจกันบ้าง ไม่เข้าใจกันบ้าง เราก็ค่อยๆปรับตัวกันไป”
สร้อยดึงมือออกจากเขาทันที มองรัชชานนท์ที่เพ้อเจ้อเผลอลืมตัวว่าแต่งงานกันจริงๆ
“เราไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ ! ทำไมจะต้องปรับตัว หา ! ขอแค่ทำตามที่เราตกลงกันไว้ก็พอ แล้วจำพูดของตัวเองไว้ล่ะ อย่ามาโกหกกัน ไม่งั้น คุณได้แต่งงานกับยายศินีนุชแน่ เพราะฉันจะไม่อยู่ช่วยคุณแล้ว”
สร้อยเดินออกไปแล้วก็เดินกลับมาหารัชชานนท์อีก ด้วยความเจ็บใจและอายด้วย
“ไม่อร่อยก็ไม่ยอมบอก คนขี้ตั่ว ! ต่อไปนี้จะไม่ทำอะไรให้กินแล้ว”
สร้อยเตะหน้าแข้งรัชชานนท์แก้โมโหแล้วเดินฉับๆ ออกไป
บนโต๊ะอาหารในวังจุฑาเทพ ธราธรกับพุฒิภัทรหันมองหน้ากันแล้วแอบยิ้มขำ รณพีร์เพิ่งเข้ามานั่งร่วมโต๊ะ
“มีอะไรกันหรือครับ”
ธราธรกับพุฒิภัทรพยักหน้าไปทางรัชชานนท์ที่ช่วยกรองแก้วจัดเตรียมเสิร์ฟข้าวต้มมัดอยู่ รัชชานนท์กับกรองแก้วช่วยกันเสิร์ฟจานข้าวต้มมัดที่แกะใบตองแล้วให้ทุกคน รัชชานนท์ภูมิใจ
“นี่ข้าวต้มมัด ฝีมือเมียของผมเองครับ”
ทุกคนลองตักชิมข้าวต้มมัด รณพีร์มีท่าทีแปลกใจกว่าเพื่อน
“ก็อร่อยดีนี่ครับ ไหนบอกว่า สร้อยฟ้าเป็นเจ้าแม่นาเกลือ พี่ชายเล็กคงจะห่วงเมียมากเกินไป”
“นายไม่เคยกินข้าวต้มมัดคลุกเกลือเหมือนฉันนี่หว่า ฉันประเมินสถานการณ์ผิดไปได้ยังไงก็ไม่รู้ อยู่ๆสร้อยฟ้าก็ทำข้าวต้มมัดออกมาได้อร่อยกว่าที่คิดไว้ อร่อยใช่มั้ยครับ พี่ชายใหญ่ พี่ชายภัทร”
ธราธรกับพุฒิภัทรพยักหน้ารับด้วยสีหน้ายิ้มๆ มีนัยบางอย่าง
“ทำไมพี่ๆดูไม่แปลกใจกันเลย ก็เคยชิมฝีมือชงกาแฟของสร้อยฟ้ากันมาแล้ว...นี่...มีเรื่องอะไรที่ผมไม่รู้หรือเปล่าครับเนี่ย”
“นายก็ลองคิดดู คนที่เคยทำอาหารไม่ได้เรื่อง มีปัญหาแยกแยะน้ำตาลกับเกลือไม่ได้ ทำไมอยู่ๆก็ทำอาหารได้รสชาติดีขึ้น”
พุฒิภัทรโอบไหล่กรองแก้วไว้อย่างอวดๆ
“ฝีมือของเมียฉันเอง ฉันให้แก้วคอยเป็นพี่เลี้ยงให้สร้อยฟ้า นายต้องขอบคุณพี่ชายใหญ่ที่คิดการเรื่องนี้ตั้งแต่วันแรกที่สร้อยฟ้ามาถึงที่นี่”
“แก้วไม่ถึงกับเป็นพี่เลี้ยงให้คุณสร้อยหรอกค่ะ ก็แค่เล่าประสบการณ์ที่แก้วเคยพบเจอมาว่าต้องฝ่าด่านอะไรบ้างถึงได้เป็นสะใภ้จุฑาเทพในวันนี้ ส่วนเรื่องการบ้านการเรือน แก้วก็แนะนำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้” กรองแก้วบอก
“สร้อยฟ้าเป็นคนที่มีความมุ่งมั่น ตั้งใจอะไรไว้แล้วก็พยายามทำให้ได้ ฉันก็รอดูว่า นายจะช่วยสร้อยฟ้ายังไง ไม่คิดเลย น้องชายแสนฉลาดของฉันจะแก้ปัญหาได้โง่เขลาขนาดนี้” ธราธรบอก
“โธ่ พี่ชายใหญ่ ก็ตอนนั้นมันกำลังฉุกละหุก คิดอะไรไม่ทัน ผมก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปก่อน แต่มันกลับเป็นผลดีนะครับ เพราะผมเชื่อว่า ตอนนี้คะแนนของสร้อยฟ้านำหน้าศินีนุชไปแล้ว”
รัชชานนท์ตักกินข้าวต้มมัดไปอย่างสบายอารมณ์ ธราธรกับพุฒิภัทรมองน้องชายอย่างหมั่นไส้
“ถ้าคะแนนของสร้อยฟ้าวิ่งฉิวอย่างนี้ไปเรื่อยๆ ทางฝ่ายเราจะต้องชนะแน่นอนครับ พี่ชายเล็ก” รณพีร์บอก
รัชชานนท์ตบไหล่รณพีร์อย่างชอบใจ ทั้งคู่เข้ากันเป็นอย่างดี เมื่อธราธรกับพุฒิภัทรมองมา ในแววตาบอกว่า เรื่องมันยังไม่จบง่ายอย่างนั้นหรอก ไอ้น้องชาย !
บนโต๊ะอาหารในเรือนหม่อม ย่าอ่อนรินน้ำชาให้กับหม่อมเอียด ขณะเดียวกันก็กำลังแก้ตัวให้กับศินีนุชอย่างสุดกำลัง
“คุณพี่คะ ที่แม่สร้อยฟ้าวิ่งโร่มาสารภาพความจริงกับเรา ก็ไม่ใช่เพราะเป็นคนซื่อสัตย์อะไรนักหรอก คงกลัวความลับจะมาแตกทีหลังมากกว่า ส่วนเรื่องที่หนูนุชโกง น้องก็ว่าเรื่องยังคลุมเครืออยู่นะคะ”
“แม่อ่อน...อย่าให้อคติมาบังตานัก อะไรถูกก็ว่าไปตามถูก อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด เธอจะช่วยแก้ตัวแทนทำไม เจ้าตัวเองยังไม่คิดจะแก้ตัวเลย แต่ก็ช่างเถอะ เราสั่งสอนลูกหลานของเราก็พอแล้ว ไม่ต้องไปยุ่งเรื่องคนอื่น”
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องการแข่งขันวันนี้ มีการโกงทั้งสองฝ่าย เราก็ยังไม่ได้ชิมฝีมือการทำอาหารของแม่สร้อยฟ้า หักกลบลบหนี้ก็ถือว่า ความมีชาติ มีตระกูลก็ทำให้หนูนุชยังมีคะแนนนำอยู่ใช่มั้ยคะ คุณพี่”
แจ๋วถือถาดจานข้าวต้มมัดมาเสิร์ฟให้หม่อมเอียดและย่าอ่อน
“ข้าวต้มมัดฝีมือของแม่สร้อยฟ้า”
“คุณพี่คะ” ย่าอ่อนค้านไม่อยากจะชิมทันที
หม่อมเอียดตักข้าวต้มมัดขึ้นมาชิมแล้วนิ่งคิด ย่าอ่อนรีบตักขึ้นมาชิมบ้าง รสชาติใช้ได้แต่ย่าอ่อนทำหน้าเฉยๆ ทำนองว่า มันก็งั้นๆแหละ
“รสชาติดีทีเดียว...เด็กคนนี้ฉลาด มีไวพริบและมีความพยายามสูง และที่สำคัญเป็นคนมีจริยธรรม แสดงว่า ได้รับการสั่งสอนมาดี” หม่อมเอียดบอก
“อย่าเชียวนะ คุณพี่ อย่าได้ใจอ่อนเชียว ไม่ว่าแม่สร้อยฟ้าจะมีความพยายามแค่ไหน น้องก็ไม่มีวันยอมรับเป็นหลานสะใภ้หรอกค่ะ”
“แต่พวกเขาแต่งงานกันแล้ว เราจะไปพรากผัวพรากเมียเขา มันก็ไม่ถูกต้อง”
“คุณพี่พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไงคะ”
ย่าอ่อนมองพี่สาวอย่างลุ้นๆ กลัวหม่อมเอียดจะยอมรับสร้อยฟ้าเป็นลูกสะใภ้
ทุกคนหันมามองธราธรเป็นตาเดียวที่ได้รับรู้ข้อมูลใหม่ ในเรื่องหม่อมเอียดจะให้สร้อยเป็นเมียน้อยเมียเล็ก
“หม่อมย่าคิดอย่างนี้ได้ยังไงครับ ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้น่ะซิครับ ไหนบอกว่า ถ้าหากสร้อยฟ้าปรับปรุงตัวใหม่ได้ภายในหนึ่งเดือนจะยอมรับเขาเป็นหลานสะใภ้”
“หม่อมย่าจะยอมรับการแต่งงานของนายกับสร้อยฟ้า แต่ก็จะยอมให้สร้อยฟ้าเป็นเมียรองหรือเมียเล็กๆเท่านั้น จากที่คุยกับหม่อมย่าท่าน ก็สรุปว่า ไม่ว่ายังไงนายก็ต้องแต่งงานกับน้องนุช” ธราธรบอก
“คุณป้าหญิงคงจะยอม...ดูท่านอยากได้ชายเล็กเป็นลูกเขยเต็มที อย่างน้อยน้องนุชก็ได้เป็นเมียหลวงออกหน้าออกตา” พุฒิภัทรบอก
“แต่ผมไม่ยอม ผมตั้งใจไว้แล้วว่าจะมีเมียคนเดียว”
รณพีร์แหย่
“แล้วต้องเป็นสร้อยฟ้าคนเดียวหรือเปล่าครับ”
รัชชานนท์หลุดปาก
“ก็ใช่น่ะซิ ถ้าไม่ใช่สร้อยฟ้าแล้วจะเป็นใครไปได้ล่ะ”
รัชชานนท์ชะงักกึก เมื่อมองไปรอบๆก็เห็นว่า ทุกคนจ้องมองมาแล้วต่างยิ้มอย่างมีนัย
รัชชานนท์รีบแก้ตัวพัลวัน
“คือ ตอนนี้สร้อยฟ้ามีฐานะเป็นเมียผม ผมจะไปมีผู้หญิงคนอื่นได้ยังไง”
“เอ๊ะ มันชักจะยังไงๆซะแล้วนะครับ พี่ชายเล็กเรียกสร้อยฟ้าว่าเมียคล่องปากยิ่งกว่าพี่ชายภัทรเรียกคุณแก้วซะอีก” รณพีร์บอก
“นั่นน่ะซิ การแต่งงานครั้งนี้มันชักจริงจังขึ้นทุกทีแล้ว มีปัญหาอะไรปรึกษาฉันกับแก้วได้เลย คู่ของเราสองคนนี่เคสคล้ายกันอยู่” พุฒิภัทรบอก
“แก้วยินดีเป็นอย่างยิ่งค่ะ มีอะไรให้ช่วย บอกแก้วได้เลยนะคะ”
“ไอ้ที่ว่าจำใจต้องแต่งงานเพราะเหตุผลอย่างโน้น อย่างนี้คงจะไม่ใช่แล้ว หลงรักสาวบ้านป่าเข้าแล้วล่ะซิ” ธราธรบอก
“โอ๊ย ! หลงรักอะไรกัน ไม่มี แค่นี้ผมก็โดนทุบจนน่วมแล้ว ขืนได้มาเป็นเมียจริงๆ ผมได้ตายแน่”
รัชชานนท์ทำปากแข็งหน้าตาย แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นจากข้อสงสัยไปได้
เช้าวันต่อมา สร้อยพับเพียบเรียบร้อยแต่ขยุกขยิกตัวไปมาอย่างอยู่ไม่เป็นสุขอยู่ที่เรือนหม่อมเอียด จันทานั่งเป็นเพื่อนอย่างกระตือรือร้นที่จะมาเรียนด้วย ส่วนศินีนุชที่นั่งตัวตรงหน้าเชิดแต่ก็แอบขยับตัวบ้างอย่างมีชั้นเชิง
ย่าอ่อนเดินนำหน้าแจ๋วที่ถือตะกร้าผลไม้ใบใหญ่มา ในตระกร้ามีน้อยหน่า ส้ม มะปรางฯลฯ
“หนูนุช...ไปนั่งทำไมที่พื้น มานั่งกับย่าตรงนี้ มา”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณย่า วันนี้นุชมาเรียนในฐานะลูกศิษย์นะคะ ไม่ใช่มาในฐานะว่าที่หลานสะใภ้ ขอนุชนั่งเรียนตรงนี้เถอะนะคะ”
ศินีนุชช่างกล้าพูด สร้อยหันไปมองแล้วพูดขึ้นลอยๆ
“หน้ามึนดีแท้”
ศินีนุชหันขวับทันที
“แกว่าอะไรฉัน”
สร้อยยิ้มหวานบอก
“ไม่ได้ว่าอะไรค่ะ ฉันชมว่า คุณหน้าสวย”
“งั้นก็ขอบใจ ไม่ต้องบอก ฉันก็รู้ว่า ฉันสวยกว่าหล่อนอยู่แล้ว”
จันทาะกิดเตือน
“เจ้าสร้อย”
“กะได้ๆ จังสั้นข้อยไปบอกเพิ่นใหม่ว่า หน้ามึนดีแท้ กะคือหน้าด้านดีจริง เพิ่นสิได้เข้าใจบ่ผิด”
“เจ้าสร้อย” จันทาเสียงดุขึ้นหน่อย
ย่าอ่อนหันไปมองจันทา
“คุยกันพอหรือยัง ถ้าคุยกันพอแล้วก็มาเริ่มเรียนกัน เรามาเรียนด้วยก็ดีแล้ว จะได้มีวิชาความรู้ติดตัวไว้ โอกาสที่จะได้เรียนรู้การทำอาหารจากชาววังแท้ๆอย่างฉัน ไม่ใช่จะหากันง่ายๆ ฉะนั้นขอให้ตั้งใจเรียน”
ย่าอ่อนปรายตามองสร้อยแล้วพูดต่อ
“แต่ถ้าใครเรียนไม่ไหว รู้ตัวว่าเกินความสามารถ ก็เชิญไปได้ทุกเมื่อ จะได้ไม่ต้องเสียเวลาฉัน … นังแจ๋ว”
แจ๋วรีบจัดแจงแบ่งแจกจานผลไม้พร้อมกับมีดสำหรับคว้านให้สร้อย จันทาและศินีนุช
“วันนี้เรายังไม่เรียนทำอาหาร แต่ฉันจะสอนเรื่องการจัดแต่งผลไม้ของชาววัง การกินการอยู่ของผู้ดีต้องประณีตพิถีพิถัน ผลไม้ทุกชนิดต้องคว้านเมล็ดออกก่อนแล้วก็จัดวางอย่างสวยงาม เราเริ่มจากผลไม้ง่ายๆ อย่างน้อยหน่าก่อนก็แล้วกัน”
ศินีนุชโพล่ง
“น้อยหน่า”
สร้อย จันทาและศินีนุชหยิบน้อยหน่าขึ้นแล้วนึกภาพไม่ออกว่าจะคว้านเมล็ดยังไง
“ไม่ได้ยากเย็นอย่างที่คิดหรอกน่า เราก็แค่เจาะรูเล็กๆตรงเปลือกนี่แล้วใช้ตะขอลวดเกี่ยวเอาเมล็ดออกมาทีละเมล็ดๆ”
ศินีนุชรีบแทรก
“คุณย่าอ่อนขา เราเริ่มต้นด้วยผลไม้อย่างอื่นก่อนดีมั้ยคะ ไม่ใช่ว่านุชทำไม่ได้หรอกนะคะ แต่เห็นใจสร้อยฟ้ากับจันทาน่ะค่ะ วันนี้ เพิ่งเรียนวันแรกคุณย่าน่าจะสอนทำอะไรง่ายๆไปก่อน”
ย่าอ่อนมองศินีนุชอย่างนิ่งคิด ทุกคนจ้องมองย่าอ่อนอย่างรอลุ้น
ย่าอ่อนสาธิตการจัดแต่งส้มด้วยการปอกเปลือก ดึงใยออกแล้วคว้านเมล็ดออกทีละกลีบๆแล้วจัดกลีบส้มกลับเป็นลูกส้มเหมือนเดิม
สร้อยกับศินีนุชก้มหน้าก้มตาทำตามย่าอ่อน แต่ทำได้อย่างเก้งก้างคว้านส้มได้เละเทะ
จันทาตั้งอกตั้งใจค่อยๆคว้านส้มไปอย่างเบามือ ศินีนุชแอบมองจันทาอยู่
สร้อยหันไปมองศินีนุชแต่ไม่ทันเสียแล้ว ศินีนุชคว้าขโมยส้มที่จันทาคว้านจัดวางเสร็จไปทันที
สร้อยชูมีดคว้านผลไม้ขยับจะไปเอาเรื่อง จันทาดึงสร้อยไว้ไม่ให้หาเรื่อง
ย่าอ่อนกำลังแกะสลักขิงอยู่มองมาที่ศินีนุช ทุกคนขยับประจำที่ก้มหน้าก้มตาคว้านส้มไป
ศินีนุชเอื้อมมือมาจะขโมยส้มจากจันทาอีก มีดคว้านของสร้อยแหลมเข้ามาก่อน,มือศินีนุชหดกลับแทบไม่ทัน ศินีนุชกับสร้อยจ้องหน้ากันอย่างไม่มีใครยอมใคร
จานผลส้มที่จัดแต่งเรียบร้อยวางเรียงอยู่สามจาน
ย่าอ่อนมองจานผลส้มที่สวยงามดีที่สุดแล้วมองหน้าจันทาพยักหน้าอย่างยอมรับ
“ใช้ได้...ผ่าน”
ย่าอ่อนขยับมาที่จานผลส้มของศินีนุชที่เละบ้างดีบ้าง เพราะจิ๊กมาจากจันทา ย่าอ่อนพูดอย่างไม่เต็มปาก
“ก็..ใช้ได้นะ ถือว่าผ่าน”
ย่าอ่อนขยับมามองจานของสร้อยอย่างกระหยิ่มใจว่าต้องเละแน่ๆ แต่แล้วก็ต้องชะงัก
จานผลส้มของสร้อยมีตั้งแต่ผลเละ มีผลที่พอใช้ได้ มีพัฒนาการที่ทำให้เห็นว่า พยายามไปเรื่อยๆก็ดีขึ้น
“ไม่ผ่าน”
“ทำไมไม่ผ่านคะ ฝีมือของดิฉันก็ไม่ได้ต่างจากฝีมือคุณนุชตรงไหน”
“นี่ยังไงล่ะ ฉันไม่ให้ผ่าน เพราะความโอหังถือดีของเธอนี่แหละ”
“อ้าว ! คุณท่านไม่ให้ดิฉันผ่าน ก่อนที่ดิฉันจะถามเสียอีกนะคะ”
“พูดแล้วก็ยังเถียงอีก เป็นเด็กห้ามเถียงผู้ใหญ่ ไม่มีใครสั่งใครสอนหรือยังไง เธอต้องไปเริ่มต้นทำใหม่หมด ไป เห็นตะกร้าส้มนั่นมั้ย”
สร้อยหันไปมองตะกร้าส้มใบใหญ่ราวสองกิโลกรัม
“จัดการให้หมดทั้งตะกร้าเลย ส่วนหนูนุชและจันทา เดี๋ยวเราจะเรียนร้อยมาลัยกันต่อ ใครล้าหลังเรียนตามไม่ทัน ก็ช่วยอะไรไม่ได้”
แจ๋วยกตะกร้าส้มมาวางไว้ตรงหน้า สร้อยมองตะกร้าส้มอย่างเซ็งจิต
อ่านต่อหน้า 2
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ส่วนที่วังกิตติวงศ์ เวลาเดียวกัน อนุพันธ์นั่งอยู่มุมอ่านหนังสือประจำ เขากำลังอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ตั้งอกตั้งใจ
“ทางเวียงภูคำยืนยันว่า ข่าวเจ้ารังสิมันตุ์จะกลับมากอบกู้บัลลังก์คืนให้พระบิดาเป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น...จนถึงวันนี้ก็ไม่มีใครรู้ว่า พระองค์ยังมีพระชนม์ชีพอยู่หรือไม่ แต่กลุ่มกองกำลังกู้ชาติยังคงมุ่งมั่นตามหาเจ้ารัชทายาท ผู้เป็นดวงใจของเวียงภูคำต่อไป”
อนุพันธ์พับหนังสือพิมพ์เก็บ พลางครุ่นคิดเรื่องชัชวีร์อย่างไม่แน่ใจว่าควรทำยังไงต่อไปดี
“เราทำถูกต้องแล้ว...ถูกต้องแล้ว” อนุพันธ์พึมพำ
ดารณีนุชเดินฉับๆเข้ามา เธอสะพายกระเป๋าเตรียมจะไปข้างนอก
“มีข่าวอะไรหรือคะ หน้าตาเคร่งเครียดเชียว ข่าวเวียงภูคำ...มีข่าวไม่เว้นแต่ละวัน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะสงบสุขเหมือนบ้านเมืองอื่นได้ซักที คุณยังไม่ไปก็ดีแล้ว เดี๋ยวฉันขอติดรถไปด้วยนะ”
“คงไม่ได้หรอก เราไปกันคนละทาง”
“ฉันยังไม่ได้บอกคุณเลยว่า ฉันจะไปไหน”
“เราต่างคนต่างไปจะดีกว่า ผมไม่อยู่ขวางทางคุณ คุณจะได้ส่งลูกสาวไปไล่ล่าแย่งสามีคนอื่นได้ตามสบาย ระวังไว้หน่อยก็ดี ผลของกรรมไม่ได้ตกอยู่ที่คุณคนเดียว แต่จะไปตกกับลูกสาวของคุณด้วย”
“ลูกสาวของฉัน ก็ลูกสาวของคุณด้วย หรือคุณเห็นไอ้ชัชเป็นลูกอยู่คนเดียว ถ้าอย่างนั้นก็ได้ ต่อไปคุณไม่ต้องมายุ่งกับลูกนุช แล้วถ้าอยากจะเอาไอ้ชัชเทิดไว้บนหัว ก็เชิญ แต่ไอ้คนที่มาจากที่ต่ำ มันก็ต้องกลับไปที่ที่ของมันวันยันค่ำ”
“แล้วทำไมคนที่มาจากที่สูงอย่างคุณ ถึงได้ทำตัวได้ต่ำลงทุกวัน ความมีชาติมีตระกูลไม่ได้ช่วยอะไรเลย”
อนุพันธ์ผลุนผลันเดินออกไปอย่างอารมณ์ขึ้นอยู่เหมือนกัน
“กล้าดียังไง กล้าดียังไงมาว่าฉัน”
ดารณีนุชโกรธเกรี้ยวจนลืมตัวกวาดถ้วยกาแฟบนโต๊ะลงพื้นแตกเพล้ง ปัดทุกอย่างที่อยู่ใกล้ทั้งหนังสือพิมพ์ กองหนังสืออื่นลงพื้นรวมทั้งพวงกุญแจของอนุพันธ์ที่ลืมไว้ร่วงหล่นลงพื้น
ดารณีนุชชะงักมองพวงกุญแจที่หล่นอยู่บนพื้นแล้วค่อยๆหยิบขึ้นมา อารมณ์เริ่มเย็นลงเมื่อรู้ว่าสามารถเอาคืนอนุพันธ์ได้ยังไง ดารณีนุชถือกุญแจด้วยสายตามุ่งร้าย
สร้อยค่อยๆ ย่องออกจากทางเรือนหม่อมเอียด แล้วกางมือยืดเส้นยืดสาย บิดซ้ายบิดขวาอย่างปวดเมื่อยไปทั้งตัว
“เมื่อยโพดๆ งานบ้านงานเฮือน เป็นหยังยากหลาย ทนบ่ไหวแล้ว”
สร้อยมองซ้ายมองขวาหาทางจะหลบออกไป
“หนีดีกว่า”
มือของชัชวีร์มาแตะที่ไหล่สร้อยจนสร้อยต้องสะดุ้ง
“บ่ได้ไปไสเด้อ บ่ได้คึดหนีเด้อ เออ...ไม่ได้คิดจะไปไหน แค่จะเดินยืดเส้นยืดสายเท่านั้นแหละ แม่แจ๋ว”
สร้อยรีบแก้ตัวพลางหันขวับมามอง กลับเห็นว่าเป็นชัชวีร์
“โธ่ คุณชัชนี่เอง นึกว่าคุณท่านส่งแจ๋วมาตามตัวเสียอีก คุณชัชมาหาจันทาหรือคะ”
ชัชวีร์ยิ้มเศร้าๆ
“ฉันมาหาสร้อยฟ้าต่างหาก อยากรู้ว่าเป็นยังไงบ้าง เรียนการบ้านการเรือนกับคุณย่าอ่อนไปถึงไหนแล้ว”
“ก็ไม่ได้ไปถึงไหนหรอกค่ะ ฉันทำอะไรก็ไม่ถูกใจคุณท่านซักอย่าง ดีที่มีจันทามาเรียนด้วย คุณท่านสอนอะไรก็ทำได้หมด คุณท่านถึงอดทนสอนต่อไปได้ ผู้หญิงอย่างจันทานี่แหละเหมาะสมเป็นแม่ศรีเรือนที่สุด”
ชัชวีร์นิ่งเงียบไม่กล้าพูดอะไรต่อ
“คุณชัชมีเรื่องผิดใจกับจันทาอยู่ใช่มั้ยล่ะ”
“ไม่มี...ไม่มีเรื่องอะไรซักหน่อย”
“ไม่มีเรื่องได้ยังไง เมื่อคืนฉันเห็นจันทาแอบนอนร้องไห้ทั้งคืน คุณชัชตั้งใจจะมาหาจันทา แต่ไม่กล้าสู้หน้าใช่มั้ยล่ะ ฉันช่วยให้คุณชัชกับจันทาคืนดีกันได้นะ แต่คุณชัชต้องช่วยฉันก่อน”
ชัชวีร์มองสร้อยอย่างสนใจว่า จะให้ช่วยเรื่องอะไร
ดารณีนุชเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของอนุพันธ์ เธอชูกุญแจเซฟขึ้นดูอย่างหมายมาดแล้วรีบไขกุญแจเปิดตู้เซฟทันที เธอยกหีบใบเล็กออกมาจากตู้เซฟมาตั้งไว้บนโต๊ะแล้วเปิดหีบออก แล้วหยิบข้าวของต่างๆของเจ้าส่องดาวออกมาทีละอย่าง ความรู้สึกเหมือนถูกกรีดที่หัวใจซ้ำแล้ว ซ้ำเล่าเมื่อเห็นรูปถ่ายเก่าๆของเจ้าส่องดาวกับอนุพันธ์
ดารณีนุชหยิบรูปดูทีละใบๆจ้องมองอย่างแค้นใจจนแทบกระอัก เธอคว้าผ้าคลุมไหล่ที่อนุพันธ์เคยลูบไล้อย่างทนุถนอมมาขยำกำอยู่ในมือ และสุดท้ายก็เห็นกล่องใบเล็กที่เก็บแหวนเจ้ารัชทายาทและเครื่องประดับของเจ้าส่องดาว
ที่หน้าเรือนหม่อมเอียด สร้อยมองชัชวีร์อย่างขอร้อง อยากให้ช่วยเหลือจริงๆ
“ฉันอยากให้คุณชัชช่วยฉันตามหาเจ้ารังสิมันตุ์...เจ้ารัชทายาทของเรา”
สร้อยถอดสายสร้อยที่สวมอยู่ สายสร้อยเส้นนั้นคล้องแหวนเจ้าหลวงไว้อยู่ สร้อยส่งแหวนเจ้าหลวงให้ชัชวีร์ดู
“แหวนเจ้าหลวง...แล้วก็มีแหวนแบบนี้อีกวงอยู่ที่เจ้ารังสิมันตุ์ ถ้าเราตามหาแหวนเจอ เราก็จะได้เจอกับพระองค์ท่าน”
“แต่ตอนนี้แหวนอาจจะไปอยู่ที่ใครก็ได้นะ สร้อยฟ้า”
“เราถึงต้องตามหาแหวนเจ้ารัชทายาทให้เจอก่อน แล้วค่อยๆสืบหาต่อไปว่า พระองค์ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน พ่อใหญ่เคยสอนว่า ถ้าหากเรามีความพยายามมากพอ ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้หรอก”
“ฉันเคยรับปากเธอแล้วนี่ว่า ฉันจะช่วยให้เธอได้กลับไปแผ่นดินเกิดของเธอ งั้นเราก็ต้องมาเริ่มต้นตามหาแหวนเจ้ารัชทายาทตั้งแต่วันนี้เลย”
ชัชวีร์มองแหวนเจ้าหลวงในมืออย่างพิจารณา
ดารณีนุชค้นข้าวของกระจุยเหมือนหญิงบ้าอยู่ ข้าวของเครื่องประดับทั้งหลายของเจ้าส่องดาวกระจัดกระจายไปทั่ว ดารณีนุชควานหาของในกล่องใบเล็กอีกครั้งแล้วได้แหวนติดมือออกมา
แหวนเจ้ารัชทายาทที่เหมือนกับแหวนเจ้าหลวงที่อยู่ในมือของชัชวีร์
ดารณีนุชมองแหวนที่เป็นแหวนผู้ชายอย่างแปลกใจ
“นี่คงเก็บไว้ให้ไอ้ชัชล่ะซิ! ดี”
ดารณีนุชยิ้มอย่างสะใจเป็นที่สุด
ด้านอนุพันธ์ถือช่อดอกไม้ยืนอยู่หน้าหลุมศพของเจ้าส่องดาว สุสานแห่งนั้นเงียบสงบและอ้างว้าง เขาวางช่อดอกไม้ลงหน้าป้ายหลุมศพที่ไม่มีชื่อ มีเพียงรูปดวงดาวและสัญลักษณ์นกเงือกเท่านั้น
เขายืนนิ่งเมื่อนึกถึงคำสัญญาที่ให้ไว้กับเจ้าส่องดาว
เรื่องราวในอดีตเกิดขึ้นเมื่อราวสิบกว่าปีก่อน ภายในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ซึ่งบรรยากาศมืดสลัวน่าหดหู่จนเหมือนได้กลิ่นอายของความตาย อนุพันธ์นั่งอยู่ข้างๆ ส่องดาวที่นอนหน้าซีดเซียวอยู่บนเตียงคนไข้ เขาก้มหัวลงต่ำ เอามือทั้งสองกุมหัวไว้ด้วยท่าทีหมดหวังในชีวิต ไม่รู้จะทำอะไรได้
“คุณชาย”
เขาเงยหน้าขึ้นมองส่องดาวด้วยตาที่แดงกล่ำ แทบจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้
“ขอบคุณนะคะ คุณชาย”
อนุพันธ์ดึงมือส่องดาวมากุมไว้แน่น
“มีอะไรต้องขอบคุณ ฉันช่วยอะไรเธอไม่ได้เลย ไม่ใช่สิ... เกล้ากระหม่อมช่วยอะไรใต้ฝ่าบาทไม่ได้เลย”
“ไม่ค่ะ คุณชาย เราสัญญากันแล้วว่า จะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่องดาวคนนี้ ยังคงเป็นส่องดาวคนเดิม ตั้งแต่วันแรกที่เราพบกันจนถึงวันสุดท้าย ส่องดาวก็ยังรักและเคารพพี่ชายคนนี้เหมือนเดิม”
“ไม่... จะไม่มีวันสุดท้าย”
“ฝากลูกชายส่องดาวด้วยนะคะ”
ชัชวีร์ในวัย 10 ขวบนั่งกอดเข่าก้มหน้าอยู่ในมุมมืด ท่าทางขวัญเสีย หวาดระแวงอย่างเด็กที่เห็นเหตุการณ์เลวร้ายจนกระทบกระเทือนใจอย่างแรง
“ไม่ต้องห่วงนะ หมอบอกว่า เรื่องแบบนี้ต้องใช้เวลา เด็กตัวแค่นี้เจอเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างแรง ก็เลยเกิดอาการหวาดผวาอย่างนี้...แต่อีกไม่นานหรอก ลูกจะต้องจำส่องดาวได้”
“ลูกจำอะไรไม่ได้อย่างนี้ก็ดีแล้วค่ะ เวลาที่ส่องดาวจากไป ลูกจะได้ไม่เสียใจ”
อนุพันธ์เอ่ยชื่อ “ส่องดาว” อย่างปวดใจเหลือเกิน
ส่องดาวหยิบแหวนเจ้ารัชทายาทที่ซ่อนอยู่ในมวยผมออกมาแล้ววางไว้บนฝ่ามือของอนุพันธ์
“แหวนเจ้ารัชทายาท..ช่วยเก็บรักษาไว้ให้ลูกด้วย”แ
อนุพันธ์กุมมือส่องดาวไว้ด้วยความหนักใจ เขาดูแหวนเจ้ารัชทายาทในมือแล้วหันไปมองชัชวีร์
อนุพันธ์ยังคงอยู่เคียงข้างส่องดาวอยู่ต่อไป
อนุพันธ์ยืนนิ่งอยู่หน้าหลุมศพของส่องดาว พลางนึกถึงคำสั่งเสียของส่องดาว
“นี่เป็นภาระที่ใหญ่หลวงเกินไปสำหรับฉัน ฉันจะดูแลเจ้าชีวิตของเวียงภูคำได้ยังไง ส่องดาว ฉันทำไม่ได้หรอก”
“คุณชายต้องทำได้ค่ะ คิดเสียว่า รังสิมันต์เป็นตัวแทนของส่องดาว ตอนนี้รังสิมันตุ์เป็นลูกชายของคุณชายแล้วนะคะ แล้วเมื่อถึงเวลา...คุณชายจะรู้เองว่า จะต้องทำยังไงต่อไป เก็บแหวนวงนี้ไว้ให้ดีนะคะ เก็บไว้ให้ดี”
อนุพันธ์ยังคงหาคำตอบไม่ได้ว่า ควรจะบอกความจริงกับชัชวีร์ได้เมื่อไหร่
ในมุมลับตาที่วังกิตติวงศ์ ดารณีนุชยืนอยู่หน้ากองไฟที่เผาไหม้รูปถ่ายส่องดาวอยู่ เธอโยนรูปลงกองไฟทีละใบๆ ตามด้วยผ้าคลุมไหล่ จนถึงเสื้อผ้าชุดสุดท้ายของส่องดาวด้วย เพลิงไฟโหมไหม้โลมเลียทำลายข้าวของอย่างช้าๆ
ดารณีนุชถือกล่องเล็กที่ใส่เครื่องประดับ และมองอย่างสะใจแล้วโยนลงไปในกองไฟ
ท้ายสุดเหลือแหวนรัชทายาทอยู่ในมือ เธอยิ้มอย่างสาแก่ใจ คิดได้ว่า จะกำจัดมันยังไง
สร้อยฉุดลากชัชวีร์จะมาทางที่จอดรถในวังจุฑาเทพ
“เดินเร็วๆหน่อยซิ คุณชัช เดี๋ยวมีใครมาเห็น ก็อดไปกันพอดี”
“ฉันว่า เธอไปเปลี่ยนชุดก่อนดีกว่ามั้ย เธอจะไปทั้งชุดนี้เหรอ”
สร้อยมองชุดเสื้อ ผ้าถุงที่เหมือนคนรับใช้อย่างไม่สนใจ
“ไปทั้งชุดนี้แหละ ถ้าคุณชัชอาย ใครถามก็บอกว่า ฉันเป็นคนรับใช้ของคุณก็ได้ ว่าแต่เราจะต้องไปที่ไหนก่อนดี”
“ ไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น”
รัชชานนท์ก้าวพรวดๆเข้ามา แยกสร้อยที่ยังจับมือชัชวีร์ให้ออกจากกัน รัชชานนท์มองตาขวางอย่างเอาเรื่องมาก
“การที่นายเข้านอกออกในบ้านนี้ได้ตามสบาย เพราะเราเห็นนายเหมือนน้องชายคนนึง แต่ไม่ได้หมายความว่า นายมีสิทธิ์พาเมียฉันไปไหนต่อไหนได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวกันก่อน”
“ผมขอโทษจริงๆ ครับ พี่ชายเล็ก ผมไม่ทันคิดจริงๆ”
“ไม่เห็นจะต้องไปขอโทษเลย คุณชายไม่ใช่เจ้าของชีวิตฉัน ฉันมีสิทธิ์จะไปไหนก็ได้ ขอบอกให้รู้นะว่า คุณชัชมีน้ำใจจะพาฉันไปตามหาแหวนเจ้ารัชทายาท คุณชายไม่คิดจะช่วย ก็อย่ามาขวางทางกัน” สร้อยบอก
“แล้วเธอจะหนีย่าอ่อนไปดื้อๆอย่างนี้เหรอ แล้วคิดแผนไว้ยังไง จะเที่ยวเดินถามหาตามร้านขายเพชรขายทองไปเรื่อยเปื่อยอย่างนั้นน่ะเหรอ”
ชัชวีร์กับสร้อยมองหน้ากัน คิดแผนคร่าวๆไว้แบบนั้นจริงๆ
“ใครบอกว่า ฉันไม่คิดจะช่วยเธอ ฉันวางแผนไว้แล้วว่าจะช่วยเธอยังไง”
รัชชานนท์มองสร้อยกับชัชวีร์อย่างเหนือกว่า
ภายในเรือนหม่อมเอียด ศินีนุชทิ้งเข็มร้อยมาลัยทันทีที่รู้ว่า รัชชานนท์กับสร้อยออกไปข้างนอกแล้ว ศินีนุชจ้องมองชัชวีร์อย่างเอาเรื่อง โดยมีย่าอ่อนหงุดหงิดใจตามไปด้วย
“พี่ชัชว่ายังไงนะ สร้อยฟ้าออกไปข้างนอกแล้ว ไปไหน ไปได้ยังไง คนป่าโง่ดักดานก็อย่างนี้ ไม่มีปัญญาเรียนล่ะซิ คุณย่าอุตส่าห์ลดตัวมาสอนให้กลับไม่รู้บุญคุณ ทำอะไรไม่รู้จักกาลเทศะ เรียกว่า ไม่ได้เห็นหัวคุณย่าเลยนะคะ คุณย่าอ่อนขา”
จันทากำลังร้อยมาลัยอยู่เงยหน้ามองศินีนุชอย่างไม่ชอบใจนัก แต่อดกลั้นไว้ เธอหันไปสบตามองชัชวีร์แล้วรีบเมินก้มหน้าร้อยพวงมาลัยต่อไป
“ไม่ต้องห่วง แม่สร้อยฟ้ากลับมาเมื่อไหร่ ย่าจัดการเอง คนที่นี่มีกฎมีระเบียบ ใครจะไปไหนมาไหนต้องขออนุญาตกันก่อน ไม่ใช่นึกจะไปไหนก็ไปได้ตามใจชอบ”
“สร้อยฟ้าขออนุญาตหม่อมย่าแล้วครับ”
“อะไรนะ แล้วหม่อมย่าก็อนุญาตอย่างนั้นเหรอ” ศินีนุชบอก
“ที่จริงพี่ชายเล็กเป็นคนไปขออนุญาตหม่อมย่าให้น่ะครับ แล้วท่านก็อนุญาตให้ไปได้ พอดีทั้งสองคนต้องรีบไป ผมก็เลยอาสามาเรียนคุณย่าอ่อนให้แทน เป็นอันว่าไม่มีปัญหาแล้วนะครับ”
“ทั้งสองคนนั้น สองคนไหนนี่หมายความว่า พี่ชายเล็กไปกับสร้อยฟ้าด้วยหรือคะ แล้วไปไหนกัน”
“พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่คงเป็นธุระที่สำคัญมาก หม่อมย่าถึงอนุญาตให้ไปได้เลย พี่ชายเล็กจะพาสร้อยฟ้าไปไหนก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับน้องนุชเสียหน่อย ตั้งใจเรียนต่อไปดีกว่านะ”
“พี่ชายเล็กไม่อยู่ แล้วนุชจะเรียนไปทำไม นุชกลับล่ะค่ะ คุณย่า”
ศินีนุชไหว้ย่าอ่อนอย่างรวดเร็วแล้วลุกขึ้นผลุบผลับเดินออกไปไม่สนใจไยดีอะไรอีกแล้ว
ย่าอ่อนมองศินีนุชเดินสะบัดก้นออกไปอย่างพูดไม่ออก ไม่กล้าว่าอะไร
ชัชวีร์หันไปมองจันทาที่ยังคงร้อยมาลัยอย่างเคร่งเครียดไม่สนใจมองเขาแม้แต่น้อย
รถแล่นไปมาตามถนนที่พลุกพล่าน กลุ่มผู้คนเดินเที่ยวตามแหล่งย่านการค้า เห็นโปสเตอร์หนังที่มีเพียงขวัญแสดงติดอยู่หน้าร้านเสริมสวย
เจ้าสัวซ้งกำลังเดินตรวจตราดูข้าวของในห้าง มีลูกค้าเดินดูซื้อของพอควร รัชชานนท์แอบหยิบแผ่นเสียงของเอลวิสออกมาวางลงบนเครื่องเล่นแผ่นเสียง เสียงเพลงร็อคแอนด์โรลดังกระหึ่มทั่วห้าง ผู้คนที่มาซื้อของพากันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ซ้งตกใจตาเหลือก
“เฮ้ย ! ใครเปิดเพลงนี้ ปิดๆ ปิดเดี๋ยวนี้ ทางการเขาสั่งห้ามเปิดเพลงร็อคแอนด์โรล ไม่รู้หรือยังไง เดี๋ยวก็โดนโปลิศจับหรอก ใคร ใครเป็นคนเปิด”
รัชชานนท์ก้าวออกมา ยิ้มกวนๆให้กับเจ้าสัวซ้ง
“ฝีมือของผมเองครับ อากง”
“ชายเล็ก”
เถ้าแก่ซ้งโผเข้าไปกอดรัชชานนท์อย่างดีใจ แล้วดันตัวชายเล็กออกเพื่อสำรวจดูว่า สภาพยังดีอยู่ แล้วก็ดึงมากอดอีกครั้ง รัชชานนท์ก้มลงไหว้อากงที่ไหล่อย่างเคารพและรักใคร่
“อั๊วเพิ่งรู้เรื่องที่ลื้อหายไปในป่าเมื่อวานนี้เอง หม่อมเอียดท่านเพิ่งโทรศัพท์มาบอก ท่านคงกลัวอั๊วจะหัวใจวายตายก็เลยปิดข่าวซะเงียบ ลื้อไม่เป็นอะไรใช่มั้ย กลับมาครบสามสิบสองหรือเปล่าเนี่ย”
“ครบสามสิบสองครับ ไม่ต้องห่วง ที่จริงเกินสามสิบสองด้วยซ้ำ ถ้ากลับมาสองคนก็ต้องเป็นครบหกสิบสี่ใช่มั้ยครับ กง”
“กลับมาสองคน หมายความว่ายังไง”
รัชชานนท์ดึงสร้อยที่แต่งตัวสวยแต่ยืนแอบอยู่ให้ออกมา
“อากงครับ นี่สร้อยฟ้า เมียของผมเองครับ … นี่อากง..คุณตาของฉันเอง”
สร้อยฟ้ายกมือไหว้ซ้งอย่างเก้อๆเขินๆ เพราะซ้งจ้องมองสร้อยอย่างสำรวจตรวจตราจริงจัง
“นี่เมียของลื้อหรือ ชายเล็ก ลื้อไปมีเมียตั้งแต่เมื่อไหร่ หา พี่น้องทำไมเหมือนกันอย่างนี้ มีเมียไม่เคยปรึกษากันเลย ชายภัทรได้เมียเป็นนางงาม... แล้วเมียลื้อเป็นใคร ได้มาจากไหน แล้วหม่อมท่านว่ายังไง”
รัชชานนท์ตอบเร็วทันใจ
“สร้อยฟ้าเป็นลูกสาวผู้นำกองกำลังกู้ชาติ เป็นชาวเวียงภูคำ ตอนที่ไปหลงป่า เขาเป็นคนช่วยชีวิตผมไว้ แล้วเราก็ได้แต่งงานกัน หม่อมย่าท่านไม่ได้ว่าอะไรหรอกครับ แค่ยังไม่ยอมรับเป็นหลานสะใภ้เท่านั้นเอง เราถึงได้มาหากงยังไงล่ะครับ”
ซ้งมองรัชชานนท์ที่ตอบยืดยาวอย่างไม่หายใจ แล้วค่อยๆพยายามทำความเข้าใจ
ซ้งเดินนำรัชชานนท์กับสร้อยขึ้นมาที่ชั้นบนของห้างซึ่งเป็นที่พัก … แทบทุกมุมของชั้นนี้มีแต่ของเก่า ของโบราณเต็มไปหมด โต๊ะตู้โบราณ แจกัน ชุดจานชาม จะเป็นของโบราณจากทุกมุมโลกไม่ใช่เป็นของจีนๆเท่านั้น
“อั๊วก็ไม่รู้ว่าจะช่วยพวกลื้อได้ยังไง เอาเป็นว่า ถึงหม่อมท่านยังไม่ยอมรับเมียลื้อ กงรับก็แล้วกัน หลานกงแต่ละคนหาเมียได้เก่งจริงๆ สวยๆกันทุกคน เมียลื้อนี่ ถ้าไม่บอก ไม่รู้เลยนะเนี่ยว่า เพิ่งออกมาจากป่า”
ซ้งมองสร้อยฟ้าอย่างพิจารณาตามประสาคนเห็นโลกมามาก
“สร้อยฟ้า..สวยสมชื่อจริงๆ โหวงเฮ้งอย่างนี้ ดูไม่น่าจะเป็นสาวบ้านป่า เหมือนลูกหลานของคนมีตระกูลมากกว่า แต่จะเป็นลูกหลานใครก็ไม่เป็นไร หลานกงรักใคร กงก็รักด้วย เดี๋ยวๆนะ กงมีของจะให้ ถือว่าเป็นของรับไหว้จากกงแล้วกัน”
ซ้งหันไปเปิดตู้เซฟที่เก็บของมีค่าแล้วยกกล่องเครื่องประดับออกมา ซ้งเปิดกล่องออก เห็นเครื่องเพชรเครื่องทองและเครื่องหยกละลานตาไปหมด
“ไปประมูลได้มาจากที่ไหนมาอีกล่ะครับ กง”
“ไม่ใช่ๆ นี่ของอาม่าของลื้อ สร้อยฟ้า..ลื้ออยากได้ชิ้นไหน เลือกไปได้เลย … แล้วลื้อให้สร้อยหยกเมียไปแล้วใช่มั้ย แม่ลื้อนี่เหมือนจะรู้ว่า ตัวเองจะอายุสั้น ถึงได้ขอให้อั๊วสั่งทำสร้อยหยกไว้ให้ลื้อกับชายภัทรตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ แม่ลื้อฉลาดมั้ยล่ะ ช่วยลูกชายบอกรักผู้หญิง..รัก
ผู้หญิงคนไหนก็ให้สร้อยหยกไป ถ้าหาเมียไม่ได้ ก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว”
สร้อยนิ่งอึ้งฟังเรื่องสร้อยหยก รัชชานนท์ชะงักอ้ำๆอึ้งๆเพราะยังไม่ได้ให้สร้อยหยกกับสร้อย
“เอ้า..สร้อยฟ้าอยากได้ชิ้นไหนเลือกไปได้เลย สร้อยเพชรเส้นนี้ดีมั้ย หรือเป็นแหวนดี นี่แหวนบุษราคัม แหวนมรกต แหวนไพลิน กำไล สร้อยข้อมือ ตุ้มหูมีทุกอย่าง อาม่าอีซื้อเก็บไว้เป็นกุรุสๆเลยนะ”
ซ้งหยิบจับเครื่องเพชรเครื่องพลอยชิ้นโน้นชิ้นนี้มายื่นให้สร้อยเลือก
“ขอบคุณค่ะ อากง แต่สร้อยรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ สร้อยยังไม่ได้เป็นสะใภ้จุฑาเทพจริงๆ และอาจจะไม่มีวันได้เป็น...”
“แต่อีกไม่นานหรอกครับ กง รอให้เราจัดการปัญหาสำคัญก่อน แล้วเรื่องของเราสองคนค่อยมาว่ากันต่อไป เรายังไม่ยอมแพ้หม่อมย่าง่ายๆหรอกครับ”
รัชชานนท์มองสร้อยให้รู้ว่า คิดอย่างที่พูดจริงๆ เธอเมินหน้าหนีแอบงอนเล็กๆ
“นอกจากเรื่องหม่อมท่านแล้ว ยังมีปัญหาอะไรอีกเรอะ”
“เอาแหวนออกมาให้กงดูซิ สร้อยฟ้า อากงของฉันเป็นนักเล่นของเก่า แล้วยังรับซื้อเครื่องเพชรเครื่องทองจากพวกเศรษฐีใหม่ เศรษฐีเก่าที่ตกอับทั้งหลายอีก”
สร้อยลืมเรื่องสร้อยหยกไปชั่วคราว แล้วรีบถอดสายสร้อยที่มีแหวนเจ้าหลวงคล้องอยู่ออกมาส่งให้ซ้งดูทันที
ซ้งรับแหวนเจ้าหลวงไปดูอย่างพิจารณาอยู่นานอึดใจ
“เคยผ่านตาบ้างมั้ยครับ”
“ไม่เลย อั๊วไม่เคยเห็นแหวนแบบนี้มาก่อนเลยในชีวิต แล้วนี่อยากรู้เรื่องแหวนนี่ไปทำไมกัน”
“มีแหวนแบบนี้อยู่อีกวงครับ กง เรากำลังตามหาเจ้าของแหวนอีกวงอยู่” “แหวนแบบนี้น่าจะมีวงเดียวในโลก ถ้ามีอีกวงจริงๆ เจ้าของคงไม่มีวันเอาแหวนออกมาให้ใครเห็นแน่ เป็นไปได้ยาก ยากมากที่จะหาเจ้าของแหวน ลื้อรู้ใช่มั้ยว่า นี่เป็นแหวนของเจ้าแผ่นดิน...แล้วลื้อคิดว่า จะตามหาเจ้าชีวิตเจ้าแผ่นดินเจอได้ง่ายๆ อย่างนั้นเรอะ”
รัชชานนท์นิ่งอึ้งไป ส่วนสร้อยผิดหวังและใจเสียเริ่มรับรู้ว่า การหาเจ้ารัชทายาทเป็นไปได้ยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้เลย!
บนโต๊ะในเรือนหม่อมเอียด มีจดหมาย 4-5 ฉบับ ผูกด้วยริบบิ้นวางอยู่ หม่อมเอียดอ่านจดหมายของปวุรจอยู่
“จดหมายของชายรุจนี่ อ่านซ้ำไปซ้ำมากี่ครั้งก็ไม่รู้เบื่อ ช่างขยันเล่าเรื่องซะจริงๆ ยิ่งอ่านก็ยิ่งคิดถึง ไม่รู้ว่าจะลากลับมาเยี่ยมบ้านได้อีกเมื่อไหร่”
ย่าอ่อนมองพี่สาวด้วยท่าทีหงุดหงิดใจแต่ยังเกรงใจไม่กล้าโวยมากนัก
“เรื่องชายรุจไว้ก่อนเถอะค่ะ คุณพี่ ตอนนี้เรามีเรื่องชายเล็กที่ต้องหาทางแก้ไขอยู่ น้องไม่เข้าใจเลยจริงๆ ทำไมคุณพี่ถึงอนุญาตให้ชายเล็กพาแม่สร้อยฟ้าออกไปข้างนอก เดี๋ยวคนทั้งพระนครได้รู้หรอกค่ะว่า ชายเล็กได้เมียเป็นสาวบ้านป่า”
“ชายเล็กขออนุญาตพาสร้อยฟ้าไปกราบเจ้าสัวซ้ง ฉันก็ต้องให้ไปน่ะซิ เจ้าสัวจะได้สบายใจที่เห็นหลานชายกลับมาอย่างปลอดภัย”
“แล้วทำไมแม่สร้อยฟ้าต้องไปด้วยล่ะคะ เจ้าสัวตามใจหลานชายอย่างกับอะไรดี นี่คงยอมรับแม่นั่นเป็นหลานสะใภ้ไปเรียบร้อยแล้ว”
“นั่นก็เป็นสิทธิ์ของเจ้าสัวที่จะตัดสินใจ”
ย่าอ่อนชักหวั่นใจ
“นี่...คุณพี่คงไม่ใจอ่อนยอมรับแม่สร้อยฟ้าสร้อยสวรรค์เป็นหลานสะใภ้ไปแล้วนะคะ เริ่มต้นเรียนวันแรกก็เหลวไม่เป็นท่า ไม่ต้องรอให้ถึงเดือนหรอกนะคะ คุณพี่ ส่งแม่ทโมนไพรกลับเข้าป่าไปเลยดีกว่า”
หม่อมเอียดเปลี่ยนเรื่อง
“แล้วหนูนุชล่ะ เรียนเป็นยังไงบ้าง”
ย่าอ่อนอ้อมแอ้ม
“ก็...ก็ใช้ได้ค่ะ ก็พอจะมีแววเป็นแม่ศรีเรือนอยู่เหมือนกัน แต่คงต้องให้เวลาหนูนุชอีกซักนิดน่ะค่ะ คุณพี่”
หม่อมเอียดมองย่าอ่อนอย่างรู้ทันว่า ลำเอียงทางศินีนุชสุดลิ่มทิ่มประตู
จันทานั่งร้อยมาลัยอยู่ด้วยสีหน้าที่เรียบเฉย ตรงหน้ายังมีพานดอกมะลิ ดอกกุหลาบมอญกองใหญ่และมีพวงมาลัยที่ร้อยเสร็จแล้ว ให้รู้ว่า จันทาคงจะนั่งร้อยมาลัยไปอีกนาน
ชัชวีร์นั่งรอจันทาอย่างอดทน ขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งใหม่ หลังจากที่รอนานเป็นชั่วโมงจนขาเป็นเหน็บ ชัชวีร์ตัดสินใจขยับเข้าไปใกล้จันทา
“จันทา”
จันทาขยับตัวออกห่าง เบือนหน้าหนี
“จันทา..ฉันขอโทษ ขอโทษจริงๆ ฉันรู้ว่าคำพูดเลวๆของฉันทำให้จันทาต้องเจ็บปวด แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจดูหมิ่นจันทาจริงๆนะ”
“ค่ะ จันทาจะรับคำขอโทษของคุณชัชไว้”
“แค่รับคำขอโทษแต่ยังไม่ยกโทษให้ใช่มั้ย ฉันจะต้องทำยังไงจันทาถึงจะยกโทษให้ บอกมาได้เลย ฉันยอมทำทุกอย่าง ขอให้เราสองคนกลับมาเหมือนเดิม”
“ถ้าพูดแล้วทำไม่ได้ คุณชัชจะทำยังไงหรือคะ เดี๋ยวก็ต้องมาแก้ตัวให้วุ่นวายกันอีก แล้วจันทาก็ไม่ได้มีความสำคัญอะไรที่คุณชัชจะต้องมาทำอะไรเพื่อไถ่โทษ กลับไปซะเถอะนะคะ คุณชัช”
“ฉันยอมทำได้ทุกอย่างจริงๆ จันทาสั่งมาได้เลยว่า จะให้ฉันทำอะไร”
จันทามองชัชวีร์อย่างเหนื่อยใจ มองซ้ายมองขวาแล้วเห็นขวดโหลแก้วที่มีขิงที่ปอกแล้วสลักอย่างสวยงามแล้วอยู่เต็มโหล จันทาหลุดปาก
“ งั้นคุณชัชกินขิงให้หมดขวดโหลนี่ก็แล้วกัน ถ้ากินหมด จันทาก็จะยกโทษให้”
ชัชวีร์คว้าขิงมาทั้งขวดโหล แล้วเริ่มหยิบขิงขึ้นมากิน
“คุณชัช”
จันทามองชัชวีร์อย่างนิ่งอึ้ง คิดไม่ถึง
รัชชานนท์กับสร้อยเดินมาตามทางเดินเข้าวัง ต่างหมกมุ่นคิดเรื่องตัวเองอยู่ สร้อยกำลังคิดหนัก เรื่องที่เจ้าสัวซ้งบอกว่า เป็นเรื่องยากที่จะตามหาแหวนอีกวงเจอ
“เป็นจังซี้สิเฮ็ดจังได๋กันต่อไป” สร้อยพึมพำ
รัชชานนท์ยังคงกังวลกับเรื่องสร้อยหยกที่ยังไม่ได้ให้กับสร้อย เขาหาทางแก้ตัว
“สร้อยฟ้า...เรื่องสร้อยหยกที่อากงพูดถึงน่ะ”
จ่อยวิ่งพรวดพราดเข้ามาขัดจังหวะตามเคย
“อีสร้อย อีสร้อย ! ตามหาแหวนเจอบ่”
สร้อยมีสีหน้ากังวลใจ
“ยังบ่เจอ”
จ่อยหันไปประจันหน้ากับรัชชานนท์แล้วเยาะเย้ยใส่
“ข้อยกะคึดไว้จังสั้น ไปกันแค่สองคน สิไปหาเจอได้จังได๋กั๋น มื้อหน้าสิ ต้องให้ข้อยไปด้วย เข้าใจบ่ พวกเจ้าสิบ่ต้องกลับมามือเปล่าจังซี้”
“นี่บักจ่อย นี่มันเป็นเพียงแค่การเริ่มต้น สร้อยฟ้า...เธออย่าเพิ่งท้อใจนะ”
รัชชานนท์หันไปมองสร้อยอีกที สร้อยหายตัวไปแล้ว
“อีสร้อยไปโดนแล้ว คุณชาย หูตาบ่ไว จังซี้สิถึงหาแหวนบ่เจอ เฮอะ”
จ่อยพูดแล้วเดินลอยหน้าลอยตาออกไป
“สร้อยฟ้า”
รัชชานนท์มองหาสร้อยอย่างกังวลใจเพราะเห็นท่าทีสร้อยที่เงียบขรึมมาก
ภายในสวน สมบุญกำลังเก็บเครื่องไม้เครื่องมือที่วางระเกะระกะอยู่บนสนามหญ้า พลางบ่นพึม
“ไอ้บักจ่อย ! พอทำงานเสร็จก็เผ่นแน่บไปเลยนะ เที่ยวเดินเพ่นพล่านไปทั่ววัง เดี๋ยวได้เจอคุณท่านล่ะก็ โดนดีแน่”
รัชชานนท์เดินตรงรี่เข้ามา
“สมบุญ”
สมบุญฟ้องทันที
“มันหายหัวไปนานแล้วล่ะครับ คุณชาย ไอ้หมอนี่ถึงจะไม่เกี่ยงงาน แต่มันก็ไม่ได้เรื่องได้ราวนัก สั่งให้ทำอะไร ก็ทำงานล่กๆ เพราะจะรีบไปเฝ้าผู้หญิงของมัน ก็แม่จันทากับแม่...” สมบุญเบรกตัวเองได้ทัน
รัชชานนท์มองดุ
“ฉันไม่ได้มาหาบักจ่อย ! แกเห็นคุณสร้อยฟ้าผ่านมาแถวนี้หรือเปล่า”
สมบุญเริ่มสงบปาก
“ไม่...ไม่เห็นเลยครับ คุณชาย”
“จันทามาอยู่ที่นี่ในฐานะน้องสาวของฉัน แล้วบักจ่อยก็เป็นญาติกับเมียฉัน เขาช่วยงานแกแค่ชั่วคราวเท่านั้น ต่อไปแกคงรู้นะว่า ควรจะทำตัวยังไง”
รัชชานนท์รีบเดินออกไปตามหาสร้อยต่อ สมบุญปิดปากตัวเองไว้ไม่ให้ปากเสียอีก
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ฟากชัชวีร์ยังคงตั้งอกตั้งใจหยิบขิงในขวดโหลขึ้นมากิน จนขิงพร่องจากเดิมไปเกือบครึ่ง จันทามองชัชวีร์ที่กลั้นใจฝืนกินอย่างไม่ยอมแพ้ เขาทั้งต้องการให้จันทายกโทษและจะเอาชนะคำสบประมาทของจันทาด้วย
จันทาทำใจแข็งได้อีก เพียงอึดใจเห็นหน้าเหยเกของชัชวีร์แล้วก็ต้องใจอ่อนลง
“พอเถอะค่ะ คุณชัช”
ชัชวีร์ยังคงก้มหน้าก้มตากินขิงต่อไป
“บอกว่า พอแล้วยังไงคะ จันทาเชื่อคุณชัชแล้ว”
จันทาเข้าไปดึงขวดโหลใส่ขิงออกมาจากชัชวีร์
“เชื่อแล้ว...แล้วยกโทษให้ด้วยหรือเปล่าล่ะ”
จันทามองชัชวีร์นิ่ง ยังไม่ยอมให้คำตอบง่ายๆ
ในเวลาต่อเนื่องมา จันทาถือพานใส่พวงมาลัยเดินออกมาจากเรือนหม่อมเอียด ชัชวีร์เดินตามมาติดๆ ต้องการให้จันทายกโทษให้ได้
“จันทา”
จันทายังคงเดินไปเรื่อยๆ ครุ่นคิดพิจารณาเรื่องชัชวีร์อยู่
“จันทายังไม่ต้องยกโทษให้ฉันก็ได้ แต่ขอให้ฟังฉันอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นจะได้มั้ย...ฉันขอร้องล่ะ”
จันทาหันมามองชัชวีร์ตรงๆ โดยไม่ใช้อารมณ์อีก
“คุณชัชคะ อย่ามาเสียเวลากับเรื่องนี้เลยนะคะ จันทาจะยกโทษให้หรือไม่ยกโทษให้ ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรได้ ไม่ว่ายังไงเราสองคนก็อยู่ในฐานะที่ต่างกัน”
“ไม่จริงเลย จันทา ฉันก็ไม่ได้ต่างอะไรจากจันทานักหรอก ที่ฉันพูดกับคุณหญิงไปทั้งหมด ฉันหมายถึงตัวฉันเพียงคนเดียว ฉันผิดเองที่ดึงจันทามาเกี่ยวข้องด้วย ฉันเป็นเทวพรหมแค่ชื่อเท่านั้นแหละ ฉันอยู่ที่วังกิตติวงศ์ของคุณหญิงดารณีนุช ในฐานะผู้อาศัยเท่านั้น”
จันทามองชัชวีร์อย่างนิ่งอึ้ง
ทั้งคู่เดินกันมา จันทารับรู้ชีวิตจริงของชัชวีร์จนพอเข้าใจฐานะของชัชวีร์ว่าต่ำต้อยแค่ไหนในวังกิตติวงศ์ เธอมองเขาอย่างเห็นใจ ใจเริ่มจะอ่อนยวบ เรื่องหมองใจที่ผ่านมาหายวับไปจากสมองแล้ว
“จันทาก็พอรู้มาเหมือนกันว่า คุณชัชไม่ใช่ลูกชายของคุณหญิงท่าน แต่ก็ไม่คิดว่า...”
ชัชวีร์ต่อให้
“ฉันจะมีฐานะไม่ได้ดีไปกว่าคนสวนในบ้าน คงเป็นเพราะไม่มีใครรู้ว่าแม่ฉันเป็นใคร แม้แต่ฉันเองก็ไม่รู้ ฉันไม่รู้ว่า แม่ชื่ออะไร รูปซักใบก็ไม่เคยเห็น คุณพ่อไม่ยอมเล่าเรื่องแม่เลย แม่ฉันคงเป็นแค่ผู้หญิงชาวบ้านคนนึงที่ผ่านเข้ามาในชีวิตคุณพ่อ หรืออาจจะเป็นผู้หญิงที่ต่ำต้อย
ยิ่งกว่านั้น...”
“อย่าพูดอย่างนั้นค่ะ คุณชัช คุณพ่อของคุณชัชอาจจะมีเหตุผลของท่านก็ได้ จันทาเองก็ถูกพ่อแม่ทิ้ง มีแค่สร้อยเส้นเดียวทิ้งไว้ให้ จันทาก็เคยนึกน้อยใจเสียใจเหมือนกัน แต่ก็คิดซะว่า มันเป็นเรื่องของโชคชะตาฟ้ากำหนด”
“ฉันก็เคยคิดอย่างนั้นเหมือนกัน ฉันพยายามอดกลั้นอดทนมาตลอด ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมเมื่อวานถึงได้ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ ฉันไม่ได้ตั้งใจทำร้ายจิตใจของจันทาเลยนะ”
“จันทาเข้าใจคุณชัชแล้วล่ะค่ะ”
“แล้ว...”
จันทายิ้มแล้วส่งพวงมาลัยให้ชัชวีร์
“จันทาเข้าใจและยกโทษให้คุณชัชแล้วด้วยค่ะ ทำไมคุณชัชกังวลเรื่องนี้นักล่ะคะ”
“นี่จันทาไม่รู้จริงๆหรือว่า ทำไมฉันถึงได้เป็นห่วงความรู้สึกของจันทานัก ถ้าไม่รู้...ฉันจะบอกให้จันทารู้ว่า...”
“ไอ้บักห่า มาเฮ็ดหยังอีก” จ่อยแผดเสียงดังเข้ามา
ชัชวีร์กับจันทาชะงักหันไป เห็นจ่อยรี่เข้ามาจะเอาเรื่องชัชวีร์
“อ้ายจ่อย ! อย่าเฮ็ดอะหยังคุณชัชเด้อ”
“อย่ามาห้ามข้อย มันเฮ็ดเจ้าน้ำตาตก ยังสิกล้าเสนอหน้ามาอีก จังซี้ต้องเจ็บโต”
“เซา เซา ห้ามเฮ็ดอะหยังคุณชัช ถ้าบ่ฟังกัน ข้อยสิบ่เว้ากับอ้ายอีก”
จันทาพูดกับชัชวีร์
“คุณชัชกลับไปก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวจันทาจะคุยกับอ้ายจ่อยให้เข้าใจเอง”
“งั้นฉันกลับก่อนนะ คืนนี้ฉันจะเก็บพวงมาลัยพวงนี้ไว้ใต้หมอน”
ชัชวีร์ถือพวงมาลัยเดินออกไปอย่างมีความสุข จ่อยมองตามแล้วหันกลับมาจ้องจันทา
จันทามองตามชัชวีร์ ยิ้มอย่างมีความสุขจนปิดไม่มิด
“นี่มันอะหยังกั๋น มื้อวานเห็นเจ้าชังน้ำหน้าเพิ่นหลาย จังได๋มาคืนดีกันเสียง่ายๆจังซี้ ไอ้พวกคนเมืองมันปากหวาน อย่าไปเชื่อมันง่ายนัก”
“แต่ข้อยเชื่อว่าคุณชัชเป็นคนดี มื้อวานเป็นเฮื่องเข้าใจผิดกันกะซำนั้น เจ้าอย่าไปเฮ็ดอะหยังคุณชัชเพิ่นอีก เข้าใจบ่”
จันทาถือพานพวงมาลัยเดินออกไป จ่อยอ้าปากค้างคัดค้านอะไรไม่ทัน
“ผู้หญิงนี่เข้าใจยากแท้น้อ เปลี่ยนใจปานขี้เกี้ยมเปลี่ยนสี แล้วชาตินี้ข้อยสิได้พวงมาลัยกับเพิ่นซักพวงบ่”
จ่อยยืนหงอยๆ จ๋อยๆ ต้องยอมให้ชัชวีร์ชนะไปอีกเช่นเคย
รัชชานนท์เดินตามหาสร้อยตามมุมต่างๆ ของวังและเรือนย่าเอียดจนอ่อนใจ เขาหยุดชะงักมองไปทางด้านหลังวังแล้วนึกได้ เมื่อเห็นต้นไม้ใหญ่อยู่แถวๆ นั้น
สร้อยนั่งอยู่บนกิ่งไม้ที่ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เธอดึงแหวนเจ้าหลวงออกมาดูด้วยความเครียด
“พ่อใหญ่...ถ้า...ถ้าข้อยตามหาแหวนบ่เจอ ยกโทษให้ข้อยด้วยเด้อ”
สร้อยนิ่งคิดถึงพ่อใหญ่และภารกิจการตามหาเจ้ารัชทายาทอย่างหนักใจ
ป่าเขตชายแดน เวลาเย็นใกล้ค่ำ กลุ่มพ่อใหญ่ ไกสอนและแฮรี่เดินทางไปตามทางในป่าอย่างรวดเร็ว ทับทิมเดินนำทางไป มีกลุ่มชาย 4-5 คนตามหลังปิดหลังขบวนในบรรยากาศเคร่งเครียด
“ทุกคนอย่าเพิ่งเบาใจไป ส่งชาวบ้านทุกคนไปอยู่ในที่ปลอดภัยแล้ว เฮากะต้องฟ่าวเดินทางกันต่อเลย สถานการณ์บ่น่าไว้วางใจ” พ่อใหญ่บอก
พ่อใหญ่หน้าตาเคร่งเครียด คอยนิ่งฟังเสียงทางด้านหลังตลอด ทับทิมหันมาสบตากับพ่อใหญ่รับรู้คล้ายกันว่า มีกลุ่มคนตามหลังมา
ทับทิมเร่งฝีเท้าเดินนำไปให้เร็วขึ้น พ่อใหญ่ ไกสอนและแฮรี่ตามไปติดๆ
ในทันใด มีเสียงเคาะส่งสัญญาณหากันเป็นระยะๆดังขึ้นในความเงียบ ฟังแล้วน่าขนหัวลุก พ่อใหญ่ชะงักเพียงนิดเดียวแล้วเร่งรีบเดินทางต่อไป ทุกคนเร่งเดินตามด้วยขวัญและกำลังใจ
สร้อยยังคงนั่งอยู่บนต้นไม้ คิดหนักว่า จะทำภารกิจที่พ่อใหญ่มอบหมาย ให้สำเร็จได้ยังไง สร้อยสะดุ้งเล็กๆ เมื่อรู้สึกว่ามีก้อนกรวดเล็กๆ ขว้างใส่เบาๆ สร้อยยังไม่ใส่ใจ แล้วก็มีก้อนกรวดก้อนที่สองตามมาอีก สร้อยก้มลงมองไปที่ใต้ต้นไม้
รัชชานนท์ยืนยิ้มอย่างให้กำลังใจรออยู่ สร้อยเมินหน้าไม่มีอารมณ์คุยด้วย รัชชานนท์ก้มลงหาก้อนกรวดจะขว้างใส่อีก พอเงยหน้าเตรียมขว้างก้อนกรวดใส่ ก็ถูกสร้อยเอาลูกไม้ขว้างใส่หัวอย่างแรงเสียก่อน
“โอ๊ย !”
สร้อยปีนลงมาจากต้นไม้ในใส่ชุดกระโปรงสวยอยู่ เธฮลงมาอย่างเร็วแบบไม่กลัวกระโปรงขาด
“ตามมา มีอะหยัง”
“ก็เป็นห่วง...เธออย่าเป็นกังวลเรื่องแหวนเจ้ารัชทายาทให้มากนักเลย วันนี้เราตามหาไม่เจอ พรุ่งนี้เราก็ออกไปตามหาใหม่ได้ เราจะตามหาไปเรื่อยๆจนกว่าจะเจอ”
“แล้วถ้าหากเฮาบ่มีวันเจอเลยล่ะ ขนาดอากงของคุณชายก็ยังบ่เคยเห็นแหวนวงนี้ แล้วเฮายังมีความหวังอะหยังอีก” สร้อยพูดพลางดึงแหวนออกมาให้ดู
“ถึงอากงของฉันจะเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องของเก่าที่สุด แต่อากงก็ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย พี่ชายใหญ่ก็กำลังช่วยสืบเรื่องราวของเจ้านางส่องดาวให้อยู่ ถ้าเรามีความมุ่งมั่นมากพอ เราต้องตามหาเจ้ารัชทายาทเจอแน่”
สร้อยตัดสินใจได้แล้ว
“ข้อยย่านว่า มันสิบ่ทันเวลา ข้อยบ่ต้องตามหาเจ้ารัชทายาทให้เจอ ข้อยกะช่วยพ่อใหญ่กลับเวียงพูคำได้”
สร้อยคิดจะกลับไปหาพ่อใหญ่แทนที่จะเสียเวลาตามหาแหวนอย่างไร้ความหวังอย่างนี้
รัชชานนท์ดึงสร้อยไว้ก่อนที่เธอจะเดินหนีไป
“เธอคิดจะทำอะไร สร้อยฟ้า ไม่ว่าเธอจะไปไหน ไปทำอะไร เธอจะต้องมีฉันไปด้วย”
สร้อยดึงมือรัชชานนท์ออก ไม่ยอมตอบอะไร รีบเดินลิ่วๆแล้วเร่งฝีเท้าจนวิ่งออกหายออกไป
กลุ่มพ่อใหญ่เดินทางมาอย่างเร่งรีบผ่านป่าผ่านพงหญ้าและมองไปข้างหน้าเห็นลำน้ำข้ามไปชายแดนเวียงพูคำที่อยู่ไม่ไกลนัก
“ใกล้ฮอดแล้ว พ่อใหญ่ อีกอึดใจเฮาสิข้ามไปเวียงพูคำได้แล้ว” ทับทิมบอก
พ่อใหญ่นิ่งฟังเสียงที่ดังแปลกแยกจากเสียงธรรมชาติในป่า
“พวกมันตามมาทันแล้ว”
เสียงย่ำเท้าดังตามมาทางด้านหลังให้รู้ว่ามาเป็นกลุ่มใหญ่ เสียงเป่าปากส่งสัญญาณเรียกให้คนตามมาสมทบตอกย้ำว่า พวกทหารเวียงพูคำที่ตามมามีไม่น้อยทีเดียว
“ไอ้พวกทหารเวียง ! พวกมันฮู้ได้จังได๋” ไกสอนว่า
“ไอ้เซกองคงรู้แล้วว่า พวกเรากำลังจะข้ามไปสมทบกับกองกำลังทางฝั่งเวียงพูคำ แล้วมันอาจจะรู้แล้วว่า...ใครเป็นผู้นำของเรา”
แฮรี่มองพ่อใหญ่ แล้วพูดต่อ
“ข่าวพ่อหลวงยังอยู่และเป็นผู้นำกองกำลังน่าจะไปถึงพวกเซกองแล้ว”
“เฮาบ่ต้องไปย่านพวกมัน มื้อนี้เฮาต้องกลับไปแผ่นดินของเจ้าหลวงให้ได้” ไกสอนว่า“บ่แม่น แผ่นดินเวียงพูคำบ่ใช่เป็นของไผผู้ใดผู้หนึ่ง แต่เป็นแผ่นดินของชาวเวียงพูคำทุกคน” พ่อใหญ่บอก
ทหารเวียงพูคำราวสิบคนกรูออกจากที่หลบซ่อนมาดักรออยู่ด้านหน้า ไกสอน แฮรี่และทับทิมรีบยืนปกป้องพ่อใหญ่ไว้
“ลุงไกสอนกับแฮรี่พาพ่อใหญ่ขึ้นเรือไปก่อน ข้อยจัดการกับพวกมันเอง”
“บ่ได้ ! ทุกคนถอยก่อน” พ่อใหญ่บอก
พ่อใหญ่ถอยออกมา คนอื่นๆ ถอยตามมาตั้งหลัก ทุกคนชักปืนและอาวุธเตรียมพร้อม
ทั้งหมดต่างกระจัดกระจายหลบเข้ายังที่กำบังตนได้
พ่อใหญ่หันไปทางด้านหลังต้องชะงักอีกครั้ง เห็นกลุ่มทหารเวียงนับสิบตามหลังมาจนทัน กลุ่มทหารค่อยๆ ขยับล้อมรอบพ่อใหญ่และทุกคนไว้
ไกสอน แฮรี่และทับทิมรีบล้อมรอบตัวพ่อใหญ่ไว้จนทหารเวียงพูคำรู้ว่าใครเป็นผู้นำ
“จับไอ้แก่นั่นไว้ จับเป็นบ่ได้ กะจับตาย”
กลุ่มทหารเวียงนับสิบๆ ส่งเสียงร้องข่มขวัญและลุยเข้าไปหากลุ่มพ่อใหญ่
“จับมันให้ได้ ไผขวาง ฆ่าให้เหมิด”
กลุ่มทหารเวียง 4-5 คนพุ่งตรงไปหาพ่อใหญ่ก่อนเลย แต่ยังไม่เห็นว่าสุดท้ายจบลงยังไง
ป่าทั้งผืนตกอยู่ในความมืด ได้ยินแต่เสียงกลุ่มคนต่อสู้กันและเสียงปืนดังเปรี้ยงปร้างเป็นระยะ
ด้านอนุพันธ์นึกได้ว่าลืมกุญแจไว้ เดินเข้ามามองหากุญแจ ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นตู้เซฟเปิดกว้าง เขาพรวดพราดไปที่ตู้เซฟ เห็นตู้โล่งหีบใบสำคัญหายไป อนุพันธ์เรียกเสียงดัง
“ใครอยู่ข้างนอก! เข้ามาเดี๋ยวนี้”
ดารณีนุชเดินนวยนาดเข้ามาอย่างสบายใจ
“ไม่ต้องตะโกนโหวกเหวกไป ไม่ใช่โจรขึ้นบ้าน ฝีมือฉันเอง”
“คุณทำอะไรลงไป”
“ฉันจะทำอะไร ฉันก็เผาทิ้งน่ะซิ ถ้าได้ยินไม่ชัด ฉันจะพูดอีกที... ฉันเผาทุกอย่างทิ้งหมดแล้ว ข้าวของทรัพย์สมบัติของแม่ไอ้ชัช ฉันเผาทำลายทิ้งไม่เหลือซากแม้แต่ชิ้นเดียว”
“แหวนเจ้า..แหวนของนายชัช คุณก็ทำลายมันด้วยงั้นเหรอ”
ชัชวีร์เดินเข้ามาก็ชะงักที่ประตู
“ใช่ ! ฉันทำลายทุกอย่างทิ้งไปหมดแล้ว คุณจะเก็บขยะพวกนั้นไว้ทำไม เอาไว้คิดถึงนังเมียเก่างั้นเหรอ ไม่ใช่..ฉันต่างหาก ฉันคนเดียวที่เป็นเมียของคุณ ไม่ใช่มัน! คุณเคยคิดถึงใจฉันบ้างหรือเปล่าว่า ฉันรู้สึกยังไง”
“คุณจะคิดยังไง รู้สึกยังไง ผมไม่สนใจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นของแม่นายชัชมีค่ากับผมมาก... มากจนคุณคิดไม่ถึง คุณไม่ได้ทำร้ายผมคนเดียวเท่านั้น คุณยังทำลายความหวังของคนอีกไม่รู้เท่าไหร่”
ดารณีนุชโกรธหูอื้อไม่ได้ฟังอะไร จับใจความได้แต่ว่า ส่องดาวมีค่าเหลือเกินสำหรับอนุพันธ์
“มีค่ามากงั้นเหรอ คุณเก็บอะไรที่เป็นของมันอีก ไอ้นาฬิกานั่น”
ดารณีนุชตรงเข้าขยุ้มเสื้อของอนุพันธ์ค้นหานาฬิกาพกที่ติดตัวไว้เสมอ
“อะไรที่เป็นของมัน ฉันจะทำลายทิ้ง ทำลายให้หมด”
อนุพันธ์จับตัวดารณีนุชที่ดิ้นรนเอาจริงเอาจังเป็นหญิงบ้าไว้แน่น
“หยุดได้แล้ว พอได้แล้ว ! ถ้าไม่หยุดล่ะก็”
อนุพันธ์ดันตัวดารณีนุชออกไปเงื้อมือขึ้น ดารณีนุชจ้องมองอนุพันธ์อย่างไม่กลัว จนเขาต้องลดมือลง
“คุณก็ทำลายได้แค่ข้าวของเท่านั้น คุณไม่มีวันทำลายความทรงจำของเราได้ เพราะแม่นายชัชอยู่ในหัวใจของผมเสมอ”
อนุพันธ์เดินออกไปแล้วต้องชะงักเมื่อเห็นชัชวีร์ อนุพันธ์ผลุนผลันออกไปทันที
ดารณีนุชเดินมาหยุดตรงหน้าชัชวีร์
“รู้แล้วใช่มั้ยว่า ทำไมฉันถึงเกลียดแก”
ดารณีนุชเดินผละออกไปอย่างเจ็บปวดใจ ชัชวีร์มีความรู้สึกต่ออนุพันธ์เปลี่ยนไป
อนุพันธ์ยืนมองซากข้าวของที่โดนเผาอย่างปวดใจ ชัชวีร์เข้ามาหยุดยืนอยู่เคียงข้างอนุพันธ์ เมื่อเห็นสีหน้าอนุพันธ์ที่ปวดร้าวใจและรู้สึกผิด
“คุณพ่อไม่เคยยอมเล่าเรื่องแม่เลย..ผมเคยคิดว่า คุณพ่อไม่เคยรักแม่ ผมคิดไปถึงว่า ไม่มีใครอยากให้ผมเกิดมาด้วยซ้ำ ผมคิดผิดใช่มั้ยครับ”
“แม่ของแกเป็นผู้หญิงคนเดียวที่พ่อรัก...พ่อก็ไม่เคยคิดเหมือนกันว่า พ่อจะรักใครได้มากขนาดนี้ พ่อรักแม่ของแกมากแค่ไหน พ่อก็เป็นห่วงแกมากแค่นั้น ห่วงมาก...มากจนพ่ออาจจะตัดสินใจผิด”
อนุพันธ์รู้สึกผิดที่ไม่ยอมบอกความจริงกับชัชวีร์เสียที
“คุณพ่อมีอะไรจะบอกผมหรือเปล่าครับ บอกผมมาเถอะครับ แม่ผมเป็นใคร ทิ้งผมไปเพราะเหตุผลอะไร ผมยอมรับได้ทั้งนั้น”
“พ่อขอโทษ...ขอโทษจริงๆ”
อนุพันธ์ยังไม่ยอมบอกเรื่องส่องดาวอีก ได้แต่ตบไหล่ชัชวีร์แล้วเดินออกไป ชัชวีร์หยิบรูปของส่องดาวที่ยังเหลือรอดจากไฟไหม้เพียงเศษเสี้ยวขึ้นมาดู
วังจุฑาเทพในตอนเช้า สร้อยในชุดเวียงพูคำรัดกุม ถือย่ามผ้าพร้อมเดินทาง ออกมาจากเรือน จันทาเดินตามมาสร้อยมาติดๆ พยายามห้ามปรามสร้อยอยู่
“เจ้าสร้อย... เจ้าอย่าเพิ่งใจฮ้อน เรื่องสำคัญปานนี้ เจ้าควรสิปรึกษาคุณชายก่อนเด้อ”
“เป็นหยังต้องปรึกษาคุณชาย เพิ่นบ่ได้เป็นเจ้าของชีวิตข้อย แล้วเฮื่องเวียงพูคำกะบ่ใช่เป็นเฮื่องของเพิ่น ข้อยมีสิทธิ์ตัดสินใจเองได้”
จันทาหันไปเห็นจ่อยเดินเทิ่งๆ เข้ามา เธอรีบตรงไปหาจ่อยทันที
“อ้ายจ่อยๆ ช่วยมาห้ามเจ้าสร้อยที..เพิ่นสิกลับไปหาพ่อใหญ่” .
จันทาชะงักกึกเมื่อเห็นจ่อยก็ใส่ชุดเวียงพูคำพร้อมย่ามผ้า เตรียมพร้อมจะเดินทางเหมือนกัน
“ไปกันได้แล้ว อีสร้อย ก่อนที่ไผสิมาเห็นเข้า”
สร้อยกับจ่อยเดินออกไปด้วยกันทันที จันทางงงันทำอะไรไม่ถูก
ที่วังกิตติวงศ์ ดารณีนุชนั่งนิ่งเคร่งเครียดยังค้างคาใจกับเรื่องที่ทะเลาะกับอนุพันธ์อยู่
ป้าศรีนั่งหนีบเนื้อหนีบตัวอยู่ตรงข้าม ค่อยๆใช้ความกล้าเริ่มเข้าเรื่อง
“คุณหญิงให้คนไปตามอิฉันมาแต่เช้าอย่างนี้ มีอะไรจะให้อิฉันรับใช้หรือคะ คุณหญิงคงร้อนใจเรื่องชุดไพลินที่สั่งไว้ อิฉันรับรองได้เลยค่ะ ไม่เกินอาทิตย์นี้”
“ไม่ใช่เรื่องนั้น”
ดารณีนุชกำมือแน่น แล้วค่อยๆแบมือออก แหวนเจ้ารัชทายาทยังอยู่ในสภาพดี ดารณีนุชส่งแหวนให้ป้าศรีอย่างรังเกียจแหวนวงนี้เต็มทน
“เอาไปปล่อยที่โรงรับจำนำที่ไหนก็ได้”
“โรงรับจำนำ ทำไมล่ะคะ คุณหญิง”
“ไม่ต้องถามมาก ทำตามที่ฉันสั่งก็พอ เอาแหวนวงนี้ไปจำนำทิ้ง หาโรงรับจำนำเล็กๆที่อยู่ไกลๆ ที่ไม่มีใครรู้จักยิ่งดี แล้วก็เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับอย่าทำปากมาก ! ไม่งั้นเธอจะไม่มีโอกาสทำมาหากินอีกต่อไป”
“ค่ะ คุณหญิง อิฉันจะทำตามที่คุณหญิงสั่งทุกอย่าง”
ป้าศรีมองแหวนอย่างสงสัยแต่ไม่กล้าถามมาก ดารณีนุชโล่งใจที่กำจัดแหวนไปได้
สร้อยกับจ่อยเดินคุยกันมาตามทาง จนถึงกำแพงด้านหลังวังจุฑาเทพ
“แล้วเฮาสิไปสถานีรถไฟได้จังได๋”
“มื้อคืนข้อยเบิ่งลู่ทางไว้แล้ว ข้ามไปหลังกำแพงนี่เดินไปทางทิศเหนือบ่เกินห้ากิโลกะสิเห็นทางรถไฟ เฮากะเดินตามทางรถไฟเรื่อยๆ เดี๋ยวกะเจอสถานีรถไฟเอง”
“เจ้าบ่คึดลาไผก่อนไปบ่”
“เจ้าล่ะลาจันทาแล้วบ่ ถ้าเจ้าห่วงจันทา ข้อยไปผู้เดียวได้ บ่เป็นหยังเลย”
“โอ๊ย จันทามีบักคุณชัชคอยดูแลอยู่ ข้อยบ่ต้องห่วงดอก เจ้าล่ะ เจ้าบ่ห่วงคุณชายเล็กบ่”
“บ่มีอะหยังต้องเป็นห่วง เฮาบ่ได้เป็นอะหยังกั๋น ! ฟ่าวปีนข้ามไปเลย เฮาต้องฟ่าวไปฮอดสถานีรถไฟให้เร็วที่สุด”
จ่อยย่อตัวให้สร้อยเหยียบเพื่อดันตัวขึ้นไปจนสร้อยขึ้นไปอยู่บนกำแพงได้ สร้อยส่งมือลงมาจะมาช่วยดึงจ่อยให้ปีนตามขึ้นไป
“บ่ต้องๆ ข้อยปีนขึ้นไปเองได้”
จ่อยถอยหลังไปหลายก้าวเพื่อที่จะวิ่งกระโดดขึ้นเกาะกำแพง จ่อยออกสตาร์ทได้สองสามก้าวก็ถูกมือรัชชานนท์คว้าคอเสื้อไว้
“ไผวะ”
จ่อยหันขวับไปเจอรัชชานนท์หน้าบึ้งทะมึนอยู่ จ่อยหยุดดิ้นรนทันที เขาเบนสายตาจ้องมองไปที่สร้อยที่ยังอยู่บนกำแพงค้างอยู่
“ลงมาเดี๋ยวนี้”
สร้อยละล้าละลังจะโดดลงไป แต่เห็นสายตาดุๆของรัชชานนท์ก็แอบขยาดอยู่เหมือนกัน
จันทาค่อยๆ โผล่ตามมา เพราะเธอเป็นคนไปตามรัชชานนท์มาเอง รัชชานนท์ยังคงจับคอเสื้อจ่อยไว้และจับจ้องสร้อยอย่างไม่ละสายตา
ป้าศรีเดินมาถึงที่หน้าโรงรับจำนำ แล้วเงยหน้าขึ้นมองป้าย
“น่าจะได้ซักสามสี่ร้อยล่ะน่า”
ป้าศรีก้มลงมองแหวนเจ้ารัชทายาทอย่างเสียดายและพยายามยืนตัดใจอยู่
ซ้งตรวจดูเครื่องประดับชิ้นเล็กๆอยู่ในมือ
“วงนี้สามพันบาทเท่านั้นเองค่ะ ท่านเจ้าสัว”
ป้าศรียิ้มประจบประแจงเพื่อหลอกล่อขายของ
“แหวนโบราณเก่าแก่อายุเป็นร้อยปี ไม่ใช่หากันได้ง่ายๆนะคะ แล้วราคานี้เป็นราคาพิเศษ อิฉันให้ได้เฉพาะท่านเจ้าสัวคนเดียวเท่านั้น”
ซ้งยังจ้องมองแหวนรัชทายาทอย่างไม่วางตา ซ้งเงยหน้าขึ้นมามองป้าศรี หลังจากดูจนรู้แน่ชัดว่านี่คือ แหวนที่รัชชานนท์กับสร้อยตามหาอยู่
ป้าศรีเห็นสายตาจริงจังของซ้งแล้ว รู้สึกร้อนๆหนาวๆ รู้ตัวว่าโฆษณาเกินจริงไป
“แหวนโบราณจริงๆนะคะ ใครจะกล้าหลอกท่านเจ้าสัวได้ แล้วรับรองมีวงเดียวในโลกค่ะ”
“ใครว่า มีอยู่สองวงต่างหาก ลื้อไปได้มาจากไหน”
“อิฉันบอกไม่ได้จริงๆค่ะ ท่าน คนที่ฝากอิฉันมาขายย้ำนักย้ำหนาว่า ห้ามบอกใคร คนเราต้องรักษาคำพูดใช่มั้ยคะ ท่าน ตกลงท่านสนใจรับซื้อไว้ใช่ไหมคะ แหวนเก่าแก่น่าสะสมอย่างนี้เหมาะสำหรับคนที่เห็นคุณค่าของโบราณอย่างท่านเจ้าสัวคนเดียว”
“บอกมาก่อนว่า ได้แหวนมาจากไหน ถ้าไม่บอกอั๊วก็ไม่ซื้อ แล้วถ้าอั๊วไม่ซื้อ ต่อไปก็จะไม่มีใครกล้าทำมาค้าขายกับลื้ออีก”
ป้าศรีพึมพำ
“วันนี้ต้องก้าวเท้าผิดข้างตอนออกจากบ้านแน่ๆ”
ซ้งจ้องป้าศรีอย่างเอาเรื่อง
รัชชานนท์จับตัวสร้อยลากกลับมาที่เรือนคนใช้
“ปล่อยข้อย ! ปล่อย”
“รับปากฉันมาก่อนว่า จะไม่คิดหนีกลับไปหาพ่อใหญ่ แล้วฉันจะยอมปล่อย”
สร้อยไม่ยอมตอบ บิดมือออกจากรัชชานนท์ แต่ก็สู้แรงรัชชานนท์ไม่ได้
“รับปากมา”
“บ่”
“ทำไมเธอถึงยอมแพ้ง่ายๆอย่างนี้ พ่อใหญ่เชื่อว่า เธอจะต้องตามหาเจ้ารัชทายาทเจอ ท่านถึงได้มอบหมายหน้าที่นี้ไว้ให้เธอ”
“ข้อยบ่ได้ยอมแพ้ ข้อยคึดเรื่องเจ้ารัชทายาทอยู่ทั้งคืน แค่แหวนวงเดียวบ่มีทางสิหาเพิ่นเจอแน่ สู้ให้ข้อยกลับไปเป็นกำลังให้พ่อใหญ่สิเป็นประโยชน์กว่า”
“ยังไงก็จะกลับไปหาพ่อใหญ่ใช่มั้ย”
“แม่นแล้ว ! บ่ว่าจังได๋ข้อยสิกลับไปช่วยพ่อใหญ่”
สร้อยพูดไม่ทันจบประโยค รัชชานนท์ก็จับสร้อยโยนใส่เข้าห้องพักไปแล้วรีบปิดประตูทันที
สร้อยทุบประตูปึงปัง
“คุณชาย ! เจ้าเฮ็ดกับข้อยจังซี้บ่ได้”
รัชชานนท์เอาตัวดันประตูไว้ ไม่ให้สร้อยพังประตูเปิดออกมาได้
“สมบุญ ! ไอ้สมบุญ” รัชชานนท์เรียกเสียงดัง
สมบุญถือโซ่และแม่กุญแจวิ่งโร่หน้าตื่นเข้ามา
“ใส่กุญแจเลย”
สมบุญรีบคล้องโซ่ที่มือจับประตูแล้วคล้องแม่กุญแจอีกครั้ง รัชชานนท์รับลูกกุญแจมาจากสมบุญ จ่อยวิ่งเข้ามาโดยมีจันทาตามมาพยายามรั้งตัวจ้อยไว้
“อ้ายจ่อย ! อย่าไปเลยนะ เชื่อคุณชายเพิ่นเถอะ”
สร้อยทั้งทุบ ทั้งถีบประตูโครมครามอยู่ข้างในห้องพัก
“เปิดประตู ! บ่มีไผขังอีสร้อยไว้ได้ดอก”
หน้าห้องพักจ่อยพยายามจะงัดแงะแม่กุญแจ รัชชานนท์ดึงตัวจ่อยออกมา
“เจ้าบ่มีสิทธิ์ขังอีสร้อย”
“ฉันทำอย่างนี้เพื่อตัวสร้อยฟ้าเอง ขอบอกไว้ก่อน ห้ามใครเปิดประตูให้สร้อยฟ้าออกมาเป็นอันขาด ไม่งั้นได้เห็นดีกัน ไอ้สมบุญ เฝ้าหน้าประตูไว้ ถ้านายจะกลับไปหาพ่อใหญ่ ก็ไปคนเดียว อย่าพาผู้หญิงของฉันไปด้วย”
สมบุญถอยหลังไปยืนปักหลักหน้าประตู จ่อยยืนประจันหน้าอยู่ด้วยท่าทีฮึดฮัด จันทาเดินมาแตะแขนจ่อยอย่างเตือนสติ
“อ้ายจ่อยอย่าขัดคำสั่งคุณชายเลย คุณชายเฮ็ดจังซี้เพราะหวังดีกับเจ้าสร้อยอีหลีเด้อ”
แจ๋ววิ่งเหงื่อแตกตามหารัชชานนท์มาทั่ววังจนเจอ
“คุณชายเล็กคะ คุณชายเล็ก”
“อะไรอีกล่ะ”
“เจ้าสัวท่านโทรศัพท์มาค่ะ ให้คุณชายไปพบท่านโดยด่วน”
รัชชานนท์พะว้าพะวังมองไปที่ประตูห้องพักที่ยังมีเสียงทุบประตูโครมครามอยู่
อ่านต่อหน้า 4
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายรัชชานนท์ ตอนที่ 10 (ต่อ)
ภายในครัว ย่าอ่อนยืนมองคนรับใช้ 2 คนที่กำลังจัดเตรียมข้าวของไว้สามที่เพื่อเตรียมสอนสร้อย ศินีนุชและจันทา ของนั้นเป็นผ้าเช็ดปากที่วางเป็นตั้งๆ อยู่และมีผ้าเช็ดปากที่พับเป็นรูปต่างๆเป็นตัวอย่างไว้อยู่แล้ว
“ป่านนี้แล้วก็ยังไม่มีใครโผล่หัวมาซักคนเดียว ก็ดี ! ฉันจะได้ไม่ต้องเหนื่อย สอนไปก็ไม่ได้เข้าหัวซักคน ไม่รู้จะสอนไปทำไมให้เสียเวลา”
คนรับใช้คนที่ 1ถาม
“แล้วคุณศินีนุชล่ะคะ”
ย่าอ่อนสวนทันที
“นี่หล่อนจะเอาคุณศินีนุชไปรวมกับแม่พวกสาวบ้านป่าได้ยังไง มันคนละชั้นกัน ! คุณศินีนุชเธอเป็นนักเรียนนอก เธอก็เลยไม่ถนัดเรื่องการบ้านการเรือน เธอเป็นคนหัวสมัย ก็ต้องเก่งงานนอกบ้าน รับรองต้องพูดอ่านเขียนอังกฤษได้คล่องปรื๋อ แล้วไม่ใช่เฉพาะภาษาอังกฤษ
นะยะ ภาษาฝรั่งเศส ภาษาเยอรมันก็พูดได้ด้วย”
“เออ..คือ..หนูแค่จะเรียนถามว่า ต้องโทรศัพท์ตามคุณศินีนุชมั้ยคะ เห็นเธอบอกว่า จะมาเรียนกับคุณท่านทุกวัน”
“จะถามอะไรก็ถามให้มันรู้เรื่องหน่อย มาเอ้อๆอ้าๆ ฉันก็คิดไปอีกเรื่องน่ะซิ ฉันไม่รอล่ะ ไปบ้านคุณนายทองสุขดีกว่า หล่อนไปเตรียมกระเป๋ารองเท้าให้ฉัน ไป”
แจ๋วกระหืดกระหอบเข้ามาหาย่าอ่อน พร้อมรีบเข้ามารายงานสถานการณ์
“คุณท่านคะ คุณท่าน เกิดเรื่องแล้วล่ะค่ะ”
ย่าอ่อนชะงักฟังอย่างอยากรู้อยากเห็นทันที
รัชชานนท์รีบเร่งเดินขึ้นมาที่ชั้นบนของห้างอย่างร้อนใจ
“อากงครับ อากงอยู่บนนี้หรือเปล่า”
รัชชานนท์กำลังยุ่งวุ่นวายใจ แต่กลับหันไปเห็นซ้งนั่งจิบชาจีนอย่างใจเย็น รัชชานนท์ตรงรี่เข้าไปหาซ้งโดยทันที
“มีเรื่องอะไรหรือครับ ถึงให้ผมรีบมาที่นี่ อากงไม่ได้เป็นอะไรใช่มั้ย ความดันขึ้นอีกแล้วหรือยังไงครับ ให้ตามตัวพี่ชายภัทรไหมครับ ผมว่าเราไปโรงพยาบาลกันเลยดีกว่า”
“อั๊วไม่ได้เป็นอะไร ถ้าอั๊วไม่สบาย อั๊วไม่ไปตามตัวลื้อมาหรอก อั๊วไปหาชายภัทรที่โรงพยาบาลแล้ว”
“แล้วอากงตามผมมาทำไม ตอนนี้ผมกำลังยุ่งวุ่นวายมาก ไม่นึกเลยว่า ผู้หญิงตัวเล็กๆนี่จะมีฤทธิ์เดชมากขนาดนี้ ธุระของอากงไว้ก่อนได้มั้ยครับ ผมขอกลับไปแก้ไขปัญหาครอบครัวของผมก่อน”
“ที่ลื้อว่ากำลังยุ่งวุ่นวายเนี่ย เป็นเพราะเจ้าแหวนวงนี้หรือเปล่า”
ซ้งชูแหวนเจ้ารัชทายาทให้รัชชานนท์ดู
“อากง ! กงไปได้แหวนวงนี้มาจากไหนครับ”
รัชชานนท์ดีใจกระโดดกอดซ้งทันที
“ขอบคุณมากครับ ขอบคุณมาก กงไม่รู้หรอกว่า กงได้ช่วยชีวิตผมไว้ ผมไม่อยากเชื่อจริงๆ ผมไม่ต้องเสียเธอไปแล้ว”
รัชชานนท์กอดซ้งแทบจะเหวี่ยงไปมาด้วยความดีใจสุดขีด
เย็นต่อเนื่อง ป้าศรีส่งซองเงินให้ดารณีนุชอย่างนอบน้อม ศินีนุชนั่งอ่านนิตยสารอยู่ใกล้ๆ ดารณีนุชมองซองเงินอย่างเหยียดๆแม้แต่เงินที่ได้มาจากข้าวของของส่องดาวก็ยังรังเกียจ
“แบ่งเงินที่ได้ไปครึ่งนึง ส่วนอีกครึ่งฝากไปทำบุญวัดไหนหรือโรงพยาบาลไหนก็ได้ ฉันสั่งอะไรก็ขอเป็นไปตามที่สั่งล่ะ”
“อิฉันไม่กล้าขัดคำสั่งของคุณหญิงหรอกค่ะ คนอย่างศรีสมัยไม่เคยเสียชื่อเรื่องพวกนี้ ของซื้อมาขายไปเป็นไปอย่างถูกต้องตามทำนองคลองธรรมทุกอย่าง ว่าแต่เครื่องเพชรเครื่องทองของญาติคุณหญิงเนี่ย ไม่น่าไปปล่อยที่โรงรับจำนำเลยนะคะ ถ้าเอาไปขายให้พวกคุณหญิงคุณนายได้กำไรเยอะกว่านี้แน่ๆเลยค่ะ”
“ไม่ได้ ! เดี๋ยวก็ได้มีคนรู้จักซื้อไปน่ะซิ ฉันไม่อยากเห็นมันอีก ของชั้นต่ำก็เหมาะที่จะไปอยู่ในโรงรับจำนำแล้ว”
ทั้งที่ดารณีนุชเห็นและรู้ว่า แหวนวงนั้นเป็นเครื่องประดับชั้นสูงแต่ไม่ยอมรับความจริง
“ไม่ใช่ของชั้นต่ำเลยนะคะ ของดีๆทั้งนั้น เถ้าแก่โรงรับจำนำเห็นแล้วยังไม่อยากรับไว้ บอกว่าเป็นของโบราณหายาก ไม่รู้จะไปปล่อยต่อที่ไหน อิฉันล่ะเสียดาย ถ้าหาคนซื้อต่อไม่ได้ เดี๋ยวได้ถูกแกะเพชรแกะพลอยออกมาขาย ไม่เหลือซากเดิมเลยล่ะค่ะ”
ดารณีนุชยิ้มพอใจ
“หมดธุระแล้ว ไปได้”
“งั้นอิฉันกราบลานะคะ คุณหญิง คุณหนูศินีนุช”
ป้าศรีไหว้ดารณีนุชอย่างนอบน้อมแล้วค้อมตัวเดินออกไป ศินีนุชรีบขยับเข้ามาหาแม่ทันที
“คุณแม่คะ เครื่องเพชรเครื่องทองที่ยายป้านั่นพูดถึง...”
“เงียบก่อน ลูก”
อนุพันธ์เดินเข้ามาสวนทางกับป้าศรีที่รีบย่อตัวยกมือไหว้อนุพันธ์อย่างนอบน้อมก่อนเดินออกไป อนุพันธ์โกรธดารณีนุชจนไม่มองหน้า เดินผ่านไปอย่างไม่ไยดี
ดารณีนุชมองตามอนุพันธ์ ทั้งโกรธและทั้งเจ็บ
“ใช่ ลูก ! เครื่องเพชรเครื่องทองที่ให้ยายศรีสมัยไปปล่อยตามโรงรับจำนำเป็นของแม่ไอ้ชัชมัน”
“ปล่อยตามโรงรับจำนำ..หมายความว่า ไปจำนำทิ้งไว้หลายๆที่หรือคะ”
“ใช่ ข้าวของๆมันจะได้กระจัดกระจายไปทั่ว ต่อให้ชาตินี้ชาติหน้าก็ไม่มีวันตามหาเจอ”
ดารณีนุชยิ้มสะใจแต่สีหน้ากลับไม่มีความสุข
อนุพันธ์ถือนาฬิกาพกแล้วเปิดดูรูปเจ้าส่องดาวแล้วต้องถอนใจ…ข้าวของทุกอย่างในหีบที่อนุพันธ์เคยทนุถนอมมาตลอดผ่านแวบเข้ามา โดยเฉพาะแหวนเจ้ารัชทายาท
อนุพันธ์มองออกไปนอกหน้าต่าง ชัชวีร์กลับจากรมกองบิน เดินกลับเข้ามาแต่เดินเข้าทางหลังตึก ชัชวีร์เห็นลุงคนสวนถางหญ้า ชัชวีร์พับแขนเสื้อแล้วช่วยลุงคนสวนอย่างแข็งขัน เพราะเคยชินกับการทำงานอย่างนี้มาตลอดชีวิต
อนุพันธ์มองชัชวีร์แล้วสะท้อนใจ ดารณีนุชเดินมายืนเคียงข้างมองชัชวีร์แล้วยิ้มขำ
“เหนื่อยใจมากเลยเหรอ คุณจะหวังอะไรกับลูกเมียข้างถนนของคุณ ดูซิ อุตส่าห์เลี้ยงอยู่ในรั้วในวัง ปูทางอนาคตให้เป็นอย่างดี แต่มันคงไม่มีวันไปได้ดีอย่างที่คุณหวัง ถ้ามันยังชอบขลุกอยู่กับขี้ข้าด้วยกันอย่างนี้”
“คุณจะไป หรือจะให้ผมไปเอง”
อนุพันธ์มองดารณีนุชด้วยสายตาว่างเปล่า เจ็บยิ่งเสียกว่าด่าว่าอีก
“คุณจะโกรธฉันไปถึงไหน แค่เครื่องเพชรเครื่องทองราคาถูกๆไม่กี่ชิ้น ไอ้แหวนวงนั้นสำคัญมากนักใช่มั้ย เดี๋ยวฉันสั่งทำให้ใหม่ จะเอาซักกี่วงก็บอกมา จะได้เลิกทำเหมือนฉันไม่มีตัวตนซักที”
“แหวนวงนั้นไม่มีราคา เพราะมันมีค่าเกินกว่าที่จะประเมินได้ ไม่ว่าชาตินี้หรือชาติไหน คุณก็ไม่มีปัญญาหามาใช้คืนได้หรอก การกระทำที่ไร้สติของคุณครั้งนี้ มันเกินกว่าที่ผมจะยกโทษให้ได้ ตอนนี้ผมยังพอทนได้ แต่อย่าได้คิดทำเรื่องเลวๆอีก เพราะผมจะไม่ทนอีกต่อไป”
อนุพันธ์เป็นฝ่ายเดินออกไป ปล่อยให้ดารณีนุชเจ็บใจที่เผลอตัวง้อแ ล้วยังโดนซ้ำกลับอีก
รัชชานนท์รีบเร่งกลับมาที่ห้องพักที่ขังสร้อยไว้อยู่ แล้วต้องหยุดชะงักอย่างตกใจ เมื่อเห็นประตูห้องเปิดอ้าอยู่ เขาหันมามองเห็นสมบุญยืนหน้าซีดถือเลื่อยอยู่ในมือ
รัชชานนท์เข้าไปกระชากคอเสื้อสมบุญทันที
“ไอ้สมบุญ ! นี่ฝีมือของแกใช่มั้ย”
“ผมเปล่านะครับ ผม..ผมแค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น”
“ทำตามคำสั่ง คำสั่งของใคร”
ย่าอ่อนเดินเข้ามาพร้อมกับแจ๋วที่เดินตามเป็นบริวาร
“คำสั่งของย่าเอง ย่าเป็นคนสั่งให้สมบุญเลื่อยกุญแจออกเอง ก็แม่สร้อยฟ้าทุบประตูโครมๆ ร่ำร้องอยากกลับบ้าน ท่าทางจะคิดถึงพ่อแม่มาก ย่าสมเพชเวทนาก็เลยปล่อยให้ไป”
“คุณย่า”
“ย่าไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำอย่างที่ชายเล็กคิดนะ ย่าจะให้เงินค่ารถค่ารา แต่แม่สร้อยฟ้าไม่ยอมรับเงิน บอกว่าหาทางกลับไปบ้านเองได้ พอคว้าข้าวของตัวเองได้ก็แล่นปรู๊ดปร๊าดไปทางหลังวังโน้น”
“ผมจะไปตามสร้อยฟ้า”
รัชชานนท์รีบออกไปทันที ย่าอ่อนรีบตะโกนห้ามไล่หลัง
“ตามไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้วล่ะ แม่นั่นวิ่งเร็วอย่างกับกระต่ายป่า ป่านนี้คงถึงสถานีรถไฟแล้วล่ะ ชายเล็กๆ! อย่าตามไปเลย ดูซิ หลานฉัน ไม่ฟังกันบ้างเลย”
“นี่ถ้าคุณชายเล็กตามคุณสร้อยฟ้าไม่ทัน แล้วจะเรียนหม่อมท่านว่ายังไงล่ะคะ คุณท่าน”
“ก็เรียนไปตามความจริงน่ะซิว่า แม่สร้อยฟ้าหนีออกจากวังไปเอง มีใครบังคับให้ไปมั้ยล่ะ ไม่มี๊ไม่มี คนเคยอยู่แต่ในป่าในเขา ไม่มีทางที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวังอย่างคนที่เจริญแล้วได้หรอก ฉันนึกแล้วว่า วันนี้จะต้องมาถึง”
ย่าอ่อนโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
รัชชานนท์โดดลงจากกำแพงวัง มองไปเห็นเป็นที่รกร้างที่มีแต่พงหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตาเขาเดินลุยพงหญ้าออกไปอย่างรวดเร็ว แต่เมื่อมองไปข้างหน้าก็เห็นแต่พงหญ้าสีเขียว
“สถานีรถไฟ สร้อยฟ้าต้องไปสถานีรถไฟแน่”
รัชชานนท์เปลี่ยนทิศทาง ลุยพงหญ้าออกไปอย่างรวดเร็ว รัชชานนท์ชะงักเมื่อเห็นจุดดำๆเล็กๆ เคลื่อนไหวอยู่ข้างหน้าไกลออกไป
“สร้อยฟ้า”
สร้อยได้ยินเสียงรัชชานนท์ก็ต้องชะงักกึก ก่อนที่จะตัดสินใจลุยหนีต่อไป รัชชานนท์มองออกไปเห็นจุดดำๆที่เป็นสร้อยหายวับไป เขาใจหายวาบ
“สร้อยฟ้า !! กลับมา ! กลับมาเดี๋ยวนี้”
รัชชานนท์ลุยฝ่าพงหญ้าอย่างไม่ยอมแพ้
สร้อยวิ่งอย่างไม่หยุดพักจนหลุดพ้นออกมาจากที่รกร้างซึ่งมีแต่ดงหญ้า สร้อยวิ่งมาจนเจอทางรถไฟที่ทอดยาวไปไกลเป็นจุดเริ่มต้นที่จะไปสู่สถานีรถไฟ
สร้อยยืนพักเหนื่อยหอบ ก่อนที่จะรวบรวมแรงกำลังทั้งหมดออกวิ่งไปอีกครั้ง รัชชานนท์พุ่งเข้ามากอดสร้อยไว้จากด้านหลัง
“ฉันไม่ให้เธอไป”
“ปล่อย ! ข้อยสิกลับไปหาพ่อใหญ่”
“ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา เราเจอเจ้ารัชทายาทเมื่อไหร่ เราถึงจะกลับไปหาพ่อใหญ่ด้วยกัน”
สร้อยสะบัดตัวออกจากรัชชานนท์
“ข้อยบอกเจ้าแล้วว่า เฮาบ่มีวันเจอเพิ่น เฮื่องเจ้ารัชทายาทบ่ใช่เฮื่องจริง พ่อใหญ่หลอกข้อยให้มากับเจ้า เพื่อกันบ่ให้ข้อยไปร่วมกับกองกำลังกู้ชาติ พ่อใหญ่ย่านว่าข้อยสิบุกไปฆ่าไอ้เซกอง แล้วข้อยสิต้องถูกฆ่าตายเสียเอง”
“ที่ว่านอนคิดมาทั้งคืนนี่ คิดได้แค่นี้เหรอ”
“ข้อยเว้าแม่นบ่ล่ะ เฮื่องตามหาแหวนให้เจอแล้วสิพบเจ้าชายเอง มันเป็นนิทานหลอกเด็กชัดๆ ถ้ามีเจ้าชายอีหลี เป็นหยังเพิ่นถึงบ่กลับไปเวียงพูคำ ช่วยเจ้าหลวงล่ะ ข้อยบ่น่าโง่หลงเชื่อพ่อใหญ่ บ่มีแหวน บ่มีเจ้ารัชทายาท บ่มีอะหยังทั้งนั้น”
“ถ้าไม่มีแหวนรัชทายาท แล้วนี่อะไร”
รัชชานนท์หยิบแหวนเจ้ารัชทายาทออกมา สร้อยจ้องมองแหวนอย่างตกตะลึง สร้อยรีบดึงแหวนที่คล้องอยู่กับสายสร้อยออกมาเทียบดู
“แหวนเจ้ารัชทายาทอีหลี ! เจ้าหาแหวนเจอแล้ว”
สร้อยกระโดดกอดรัชชานนท์อย่างลืมตัว
“ขอบใจหลายๆ เด้อ ขอบใจๆ”
สร้อยกอดรัชชานนท์อย่างดีใจอยู่หนึ่งอึดใจแล้วเพิ่งรู้สึกว่ากอดกันนานไปแล้ว สร้อยเก้อเขินรีบผละออกมา แต่รัชชานนท์รั้งตัวสร้อยยังคงกอดตัวไว้แน่น
“ฉันไม่ต้องการคำขอบใจ ฉันต้องการคำสัญญา...ต่อไปนี้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราจะต้องอยู่ด้วยกัน ห้ามหนีไปจากฉันอย่างนี้อีก รับปากสิ”
“เจ้ากะฮู้ว่า ซักวันนึงเฮากะต้องจากกันไป”
“ไม่ ! เราจะไม่จากกันไปไหน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่หม่อมย่าจะยอมแพ้เรา เราคงจะต้องอยู่ด้วยกันอย่างนี้อีกนานแสนนานเลย ห้ามหนีฉันไปไหนอีก รับปากฉันสิ สร้อยฟ้า”
“ข้อยรับปากเจ้า ข้อยสิบ่หนีเจ้าไปไสอีก”
รัชชานนท์กอดสร้อยไว้แน่นอีกครั้ง
อ่านต่อตอนต่อไป
จ่อยเดินงุ่นง่านไปมา เพราะเป็นห่วงสร้อย
“เพราะเจ้าผู้เดียว ถ้าเจ้าบ่คอยวนเวียนติดตามข้อยอยู่จังซี้ ข้อยคงได้ไปกับอีสร้อยมันแล้ว มันไปตามลำพังผู้เดียวจังซี้ บ่ฮู้มันหลงทางไปไสต่อไสแล้ว”
“เจ้าสิให้ข้อยเฮ็ดจังได๋ คุณชายสั่งให้ข้อยเฝ้าเจ้าไว้ แล้วเจ้านึกเรอะว่า ถ้าเจ้าไปกับเจ้าสร้อยด้วย เจ้าสิช่วยอะหยังได้ เจ้ากะบ่ฮู้จักถนนหนทางพอๆกับเจ้าสร้อยนั่นแหละ”
“ข้อยทนรออยู่เฉยๆบ่ได้ ข้อยต้องไปตามหาอีสร้อย”
จ่อยถอยออกห่างจากกำแพงวังจุฑาเทพ ซอยเท้าวิ่งอยู่กับที่เตรียมพุ่งกระโดดข้ามกำแพง
“อ้ายจ่อย”
“บ่ต้องมาห้าม ! พ่อสั่งไว้ให้ข้อยดูแลอีสร้อยให้ดี ถ้าข้อยทำอีสร้อยหาย พ่อได้ฆ่าข้อยตายคักๆ”
จันทาเห็นมือของสร้อยเกาะหมับเข้าที่ขอบกำแพง
“อ้ายจ่อย”
“บอกว่า บ่ต้องมาห้าม”
จ่อยพุ่งตัวออกไป เกือบๆจะพร้อมกับที่รัชชานนท์กับสร้อยปีนกลับเข้ามา
“ไอ้บักจ่อย”
จ่อยเบรกหัวทิ่มหัวตำลงกับพื้นไปแล้วรีบตะเกียกตะกายไปหาสร้อย
“อีสร้อย”
จ่อยวิ่งจะเข้าไปกอดสร้อยแต่ถูกสร้อยผลักหรือถีบออกมา จันทาวิ่งเข้าไปกอดสร้อยอย่างดีใจ
“ข้อยคึดแล้วว่า คุณชายสิต้องตามหาเจ้าเจอ ! เจ้าบ่มีวันหนีคุณชายพ้นดอก เจ้าสร้อยเอ๊ย”
“คุณชายบ่ได้เจอแต่ข้อยกะซำนั้น คุณชายหาแหวนเจ้ารัชทายาทเจอแล้วด้วย”
ทุกคนหันไปมองรัชชานนท์ที่ยิ้มและยืดอย่างภูมิใจ
สร้อยวางแหวนเจ้าหลวงไว้บนโต๊ะ พร้อมๆกับที่รัชชานนท์วางแหวนเจ้ารัชทายาท
เคียงคู่กัน ทุกคนจ้องแหวนทั้งสองวงอย่างมีความหวังมากขึ้น
“เราตามหาแหวนเจอแล้ว ต่อไปก็ต้องตามหาเจ้าของแหวนให้เจอ”
“คุณตาของคุณชายบอกหรือเปล่าคะว่า ใครเป็นคนเอาแหวนมาขายให้” จันทาถาม
“พวกนายหน้ารับซื้อเครื่องเพชร เครื่องทองจากพวกเศรษฐีตกอับมาขายต่อ ข้าวของมีค่าพวกนี้บางทีก็ตกกันมาหลายทอด ไม่รู้ว่า ใครเป็นเจ้าของที่แท้จริง”
“อ้าว ! จังซี้เฮากะบ่ฮู้แน่ว่า ไผเป็นเจ้าของแหวนน่ะสิ พวกผู้ดีหน้าบาง คงบ่ยอมรับดอกว่า ไปขโมยของไผมาขายกิน แล้วสิสืบกันจังได๋ล่ะ” จ่อยว่า
“เฮากะค่อยๆสืบต่อไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เจอเจ้าของตัวจริงเอง” สร้อยว่า
“แล้วถ้าเจอแล้ว เพิ่นบ่ใช่เจ้ารังสิมันตุ์ล่ะ คราวนี้กะจบกันล่ะ”
สร้อยฟาดจนไหล่จ่อยทรุดไปข้าง
“เจ้ากะคึดแต่ในแง่ร้าย เฮาได้แหวนมาแล้ว มีเรอะที่เฮาสิตามหาเจ้ารังสิมันตุ์บ่ได้ แม่นบ่ คุณชาย เป็นหยังคุณชายเฮ็ดหน้าแปลกๆ คุณชายไปฮู้อะหยังมาใช่บ่”
“ฉันรู้แล้วว่า ใครเป็นเจ้าของแหวนวงนี้ แต่ฉันนึกยังไงก็นึกไม่ออกว่า เจ้าของแหวนวงนี้เกี่ยวข้องอะไรกับเจ้ารัชทายาท”
“แล้วไผล่ะที่เป็นเจ้าของแหวนวงนี้”
รัชชานนท์นิ่งนึกถึงข้อมูลที่ได้จากอากงซ้ง
ซ้งจ้องมองป้าศรีอย่างเอาเค้นคอต้องรู้ความจริงให้ได้
“บอกมา ! ใครที่ให้ลื้อเอาแหวนวงนี้มาขาย”
“อิฉันบอกไม่ได้จริงๆ ค่ะ ท่านเจ้าสัว ถ้าบอกไป เจ้าของแหวนต้องเอาอิฉันถึงตายแน่”
“งั้นแสดงว่า ลื้อรับของโจรมาขาย”
“ว้าย ! ไม่ใช่ค่ะ ท่านเจ้าสัวเข้าใจผิดแล้ว อิฉันไม่เคยทำการค้าผิดกฎหมายค่ะ อิฉันติดต่อแต่กับผู้คนในวงสังคมชั้นสูง แค่ค้าขายกับพวกคุณหญิงคุณนายก็ได้กำไรเป็นล่ำเป็นสันแล้ว อิฉันไม่ลดตัวไปรับของโจรมาขายหรอกค่ะ”
“แต่นี่เป็นแหวนผู้ชาย เป็นแหวนโบราณเก่าแก่นับร้อยปีอย่างที่ลื้ออวดอ้างนั่นแหละ แต่แหวนแบบนี้ควรจะไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ ไม่ใช่เอามาเร่ขายอย่างนี้ และที่สำคัญนี่เป็นแหวนที่อั๊วกำลังตามหาอยู่ อั๊วต้องรู้ให้ได้ว่า นี่เป็นแหวนของใคร”
“อิฉันบอกไม่ได้จริงๆ อิฉันเป็นคนถือเรื่องสัจจะวาจาเป็นที่สุด ความลับของลูกค้าจะไม่มีวันหลุดออกจากปากอิฉันแน่นอนค่ะ”
ซ้งส่งซองใส่เงินหนาปึกให้ ป้าศรีค่อยๆรับมาแล้วเปิดซองก็ต้องตาโตเมื่อเห็นจำนวนเงิน ป้าศรีตอบทันควัน
“อิฉันได้แหวนมาจากวังกิตติวงศ์ค่ะ อิฉันบอกท่านเจ้าสัวได้เท่านี้จริงๆ ค่ะ”
“วังกิตติวงศ์...แหวนวงนี้เป็นของคุณหญิงดารณีนุชงั้นเรอะ”
ป้าศรีรีบโกหก
“โอ๊ย ไม่ใช่ค่ะ ของท่านนายพลอนุพันธ์ค่ะ ใครๆก็รู้ว่า พวกเทวพรหมจนกรอบจะตาย ขายของเก่าจนแทบหมดวังแล้วล่ะค่ะ แต่ท่านเจ้าสัวอย่าไปถามท่านนายพลเชียวนะคะ เดี๋ยวจะ
มองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ”
“ท่านนายพลอนุพันธ์”
ซ้งนิ่งคิดอย่างไม่อยากจะเชื่อเท่าไหร่
เช้าวันใหม่ รัชชานนท์กับสร้อยยืนมองรูปถ่ายอนุพันธ์อยู่ที่ห้องโถงวังกิตติวงศ์ ต่างคนต่างมองหน้ากันอย่างไม่แน่ใจนัก ชัชวีร์เดินเข้ามาหารัชชานท์กับสร้อย
“พี่ชายเล็ก...มาหาผมถึงที่นี่ มีธุระอะไรกับผมหรือครับ เรื่องแหวนเจ้ารัชทายาทใช่มั้ย สร้อยฟ้า”
“ใช่ค่ะ เรามาหาคุณชัชเพราะเรื่องแหวนเจ้ารัชทายาท”
“ฉันก็กำลังจะไปหาเธออยู่พอดี ฉันรวบรวมรายชื่อร้านขายของเก่าไว้หมดแล้วนะ ตอนแรกๆ ฉันคิดว่า เราน่าจะไปถามตามร้านขายเครื่องเพชรเครื่องทอง แต่แหวนแบบนี้น่าจะเป็นพวกนักเล่นของเก่าเท่านั้นที่สนใจ โดยเฉพาะพวกที่ชอบสะสมของเก่าจากเวียงพูคำ”
“แล้วคุณพ่อของนายล่ะ เป็นพวกที่ชอบสะสมของเก่าจากเวียงพูคำด้วยหรือเปล่า”
“พี่ชายเล็กพูดอย่างนี้หมายความว่าอะไรครับ”
ชัชวีร์หันขวับไปมองสร้อยอีกคน
“สร้อยฟ้า...มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นงั้นเหรอ ทำไมทุกคนถึงได้ทำหน้าแปลกๆ มีเรื่องอะไรที่ฉันจำเป็นต้องรู้หรือเปล่า”
สร้อยหยิบแหวนเจ้ารัชทายาทออกมาให้ชัชวีร์ดู ชัชวีร์มองแหวนเจ้ารัชทายาทในมือของสร้อย และยังมีแหวนเจ้าหลวงที่สร้อยคล้องคออยู่อีก
“หาแหวนเจ้ารัชทายาทเจอแล้วเหรอ สร้อยฟ้า แล้วเจ้ารัชทายาทล่ะ รู้แล้วหรือยังว่า พระองค์ไปหลบซ่อนตัวอยู่ที่ไหน”
“ก็เพราะว่าเราอยากรู้ว่า เจ้ารังสิมันตุ์ เจ้ารัชทายาทแห่งเวียงภูคำ อยู่ที่ไหน เราถึงได้มากันที่นี่ เพื่อจะมาขอคำตอบจากคุณลุงอนุพันธ์ คุณพ่อของนาย”
ชัชวีร์มองรัชชานนท์กับสร้อยอย่างมึนงง และยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น
อนุพันธ์เดินมาหยุดที่หน้าหลุมศพของเจ้าส่องดาว
“ผมตัดสินใจได้แล้ว...ผมรู้แล้วว่า ผมควรจะทำยังไง”
อนุพันธ์ตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับชัชวีร์
เวลาต่อมา อนุพันธ์เดินเข้ามาอย่างมุ่งมั่น ทันทีที่เห็นชัชวีร์นั่งรออยู่แล้ว ก็รีบหยิบนาฬิกาพกออกมา
“นายชัช...”
อนุพันธ์ตั้งใจจะเปิดนาฬิกาพกให้ชัชวีร์ดูรูปส่องดาว แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นชัชวีร์ที่มีสีหน้างงงัน เพราะเพิ่งได้ข้อมูลจากรัชชานนท์เรื่องอนุพันธ์เกี่ยวข้องกับส่องดาว
อนุพันธ์เพิ่งเห็นว่าสร้อยนั่งอยู่ด้วย สร้อยผุดลุกยืนแทบพร้อมๆ กับรัชชานนท์
อนุพันธ์มองสร้อยราวกับเห็นส่องดาว เหมือนผู้ที่เขาคุ้นเคยที่รู้จักมาแสนนาน รัชชานนท์ยกมือไหว้ อนุพันธ์ถึงรู้ตัวว่าจ้องสร้อยอยู่ สร้อยรีบยกมือไหว้ตาม
“สวัสดีครับ คุณลุงอนุพันธ์ นี่สร้อยฟ้า ภรรยาของผมครับ เรามีเรื่องอยากเรียนถามคุณลุง...”
“ขอโทษนะ คุณชายเล็ก ลุงมีเรื่องสำคัญที่จะต้องคุยกับนายชัช”
“เรื่องของเราน่าจะสำคัญและเร่งด่วนกว่า ผมขอรบกวนเวลาคุณลุงไม่นานหรอกครับ”
สร้อยโพล่งขึ้นทันที
“ท่านเคยเห็นแหวนวงนี้มั้ยคะ”
สร้อยยื่นแหวนเจ้ารัชทายาทให้อนุพันธ์ทันที อนุพันธ์ตกใจและแปลกใจที่เห็นแหวนอีกครั้ง
“ไปได้มาจากไหน”
อนุพันธ์รีบรับแหวนมาตรวจดูว่าใช่ของจริงหรือเปล่า แล้วรู้สึกดีใจมากที่ได้แหวนกลับคืนมา
“นี่แหวนของคุณพ่อหรือครับ พี่ชายเล็กบอกว่า นี่เป็นแหวนของเจ้ารัชทายาทของเวียงภูคำ...นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”
“ไม่ใช่...แหวนวงนี้เคยอยู่ที่พ่อ แต่มันไม่ใช่แหวนของพ่อ นี่คือแหวนที่เจ้านางส่องดาวฝากพ่อไว้”
ชัชวีร์ยังนิ่งงันไม่เข้าใจ
“ก่อนที่พระองค์จะเป็นเจ้านางส่องดาว เธอคือเจ้าส่องดาวเพื่อนรักและเพื่อนแท้คนเดียวของพ่อ เมื่อถึงช่วงเวลาที่วิกฤตต้องหนีตายจากเวียงภูคำ เธอจึงเลือกที่จะมาหาพ่อ..มามอบภาระหน้าที่ยิ่งใหญ่ไว้ให้พ่อ หน้าที่รับเลี้ยงดูเจ้ารัชทายาทแห่งเวียงภูคำ!”
รัชชานนท์กับสร้อยหันไปมองชัชวีร์อย่างตื่นตะลึงคิดไม่ถึง
อ่านต่อตอนที่ 11