มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 10
บริเวณบันไดทางเดินในบ้านปัทม์ จันทร์เจ้าจะขึ้นมาตามปัทม์และรจนาไฉน
"คุณปัทม์คุณรจนาไฉนเจ้า ลงไปทานอาหารได้แล้วเจ้า"
ชิและจันทร์เจ้าได้ยินเสียงปึงปังในห้อง
"เสียงอะไร ทะเลาะกันอีกแล้วเหรอ"
"สงสัยโมโหหิว รีบไปบอกเถอะเจ้า..." จันทร์เจ้าว่า
ภายในห้องนอนรจนาไฉน ปัทม์ใส่กลอนไว้แน่นหนาแล้วยืนขวางไว้
"ในเมื่อคุณได้รับอิสรภาพแล้วก็ควรปล่อยให้ฉันเป็นอิสระด้วย"
ปัทม์แกล้งทำเข้ม
"มันไม่เห็นจะเกี่ยวกันเลย"
"ก็คุณต้องการให้ฉันไปจากที่นี่ไม่ใช่เหรอ"
"ใครพูด"
"คุณไง คุณเซ็นใบยินยอมหย่าก็เท่ากับฉันเป็นอิสระจากคุณแล้ว ปล่อยฉันไปซะ"
"แต่เธอฉีกทิ้ง...ทุกอย่างเป็นโมฆะ"
"คุณจะกักขังฉันไว้อีกเพื่ออะไร"
"คนงานลาออกหมด... ฉันไม่มีแรงงานเก็บใบชา"
"ต้องการตัวฉันเพื่อใช้แรงงานงั้นเหรอ"
ปัทม์อมยิ้มแกล้ง
"ใช่... เธอมีค่าเป็นเพียงแรงงานราคาถูก ถ้าอยากได้เงินแสน เงินล้านก็ต้องทำงานให้คุ้ม"
"ถ้าคุณต้องการอย่างนั้น..ได้!"
เธอหันหลังกลับ ปัทม์โล่งใจคิดว่ารจนาไฉนไม่หนีไป แต่แล้วเธอพุ่งเข้าชนปัทม์ล้มลง แล้ววิ่งไปเปิดประตูทันที ปัทม์รีบวิ่งไปกอดรัดคว้าตัวไว้ตรงประตูห้อง
"ปล่อยฉันนะ"
หน้าห้องนอนรจนาไฉนจันทร์เจ้ากำลังจะเคาะประตูห้อง
"ถึงเวลาทานอาหารแล้วเจ้า"
เสียงรจนาไฉนกับปัทม์ดังเล็ดลอดออกมา
"เบาๆ สิ...ฉันเจ็บ"
"ก็อย่าดิ้นสิ"
จันทร์เจ้าถึงกับชะงัก... ชิคว้ามือจันทร์ไว้
"ไม่ต้องเรียกแล้วล่ะ สองคนนั่นคงไม่หิวข้าวแล้ว"
"จะอิ่มได้ไงก็ยังไม่ได้กินอะไรเลยเจ้า"
"เชื่อเหอะ เดี๋ยวก็อิ่ม"
จันทร์เจ้ามองหน้าชิอย่างเข้าใจความหมาย จันทร์เจ้าจะรีบลงไปข้างล่าง แต่ชิกลับแอบไปแนบประตู จันทร์เจ้าเข้ามาดึงหูออกไป....
ภายในห้อง รจนาไฉนพิงประตูห้องนอนจะดันตัวออกไป ปัทม์เข้ามาฉุดคว้าตัว ทำให้ทั้งสองหน้าชิดติดกัน เธอรีบผลักปัทม์ออก ปัทม์ลากตัวเธอดึงลงบนเตียง
"ว้าย...อย่านะ"
"เจ้าเล่ห์นัก"
ปัทม์หยิบเอาผ้าพันคอของรจนาไฉนที่ตกอยู่ที่พื้น
"คุณจะทำอะไร"
ปัทม์เข้ามาจับตัวแล้วเอาผ้าผูกมัดเธอไว้บนเตียง
"ฉันไม่ได้เป็นนักโทษคุณนะ ฉันอุตส่าห์ช่วยเหลือคุณ ทำไมไม่สำนึกในบุญคุณกันบ้าง"
ปัทม์ยิ้มๆบอก
"ก็สำนึกไง ถึงต้องทำแบบนี้"
ปัทม์ผูกมัดรจนาไฉนไว้กับเตียงนอน เขายื่นหน้ามาใกล้แก้มเธอ
"ปล่อย... ฉันหิวแล้ว ฉันจะไปกินข้าว"
"นี่เป็นการตอบแทนความดีของเธอ"
ปัทม์พูดจบก็เดินหนีไป ปิดประตูห้อง
"คนใจหยาบ... รู้งี้น่าปล่อยให้ติดคุกตลอดชีวิตซะก็ดีหรอก ปล่อยฉันนะ บอกให้ปล่อย"
รจนาไฉนพยายามดิ้นให้หลุดจากมัด
ปัทม์เดินยิ้มลงมา เจอหน้าชิ
"อิ่มมั้ยนาย" ชิถาม
"อะไรของแก"
ชิไม่ตอบทำหน้าเจ้าเล่ห์ทะเล้นเข้าใส่ ปัทม์ทำหน้าดุ
"ไปหาของมาให้ฉันหน่อย"
"เอายาโด๊ปเหรอนาย"
"ไอ้ชิ!"
"นายจะเอาอะไรครับ"
ปัทม์ไม่ตอบ แต่ยิ้ม ๆ มองชิ
ภายในห้องนอน รจนาไฉนพยายามใช้ปากกัดผ้าที่มัดมือ แต่ก็แกะออกได้ยากเต็มทน เธอดิ้นอย่างไม่ค่อยสบอารมณ์ ก่อนนิ่งคิดหาทางแกะผ้าที่มัดอยู่
ภายในห้องครัวปัทม์กำลังสับหมูอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ก้มมองดูตำราเพื่อทำต้มจืด เขาคว้าเครื่องปรุงใส่ จันทร์เจ้า,ชิและปยงค์โผล่หัวมาตามลำดับ
"นึกว่าจะทำอะไร บอกให้ชิไปจ่ายกับข้าวของสดมาให้"
"แน่ใจนะว่าผู้ชายที่ทำอาหารตรงหน้าคือ คุณปัทม์... เจ้านายของจันทร์เจ้า"
ชิตบหน้าจันทร์
"พี่ชิตบหน้าจันทร์ทำไม...เจ้า"
"ก็ยืนยันไงว่าไม่ได้ฝันไป"
"โถ...โถ ทำอาหารให้เมีย ถ้าฉันได้ผัวแบบนี้สักคนจะไม่ลืมพระคุณเลย"
"หาผู้ชายธรรมดา ๆ ให้ได้ก่อนเถอะป้า"
ปยงค์ตบหน้าชิ
"ไอ้ชิ"
จันทร์เจ้ามองเห็นปัทม์ทำอาหารไม่ค่อยเป็น ก็เริ่มเป็นห่วง
"ว่าแต่....คุณรจนาไฉนจะทานได้มั้ยล่ะเจ้า"
ในที่สุด รจนาไฉนยืนพยายามดันประตู หลังจากแกะผ้าผูกมือได้สำเร็จ เธอได้ยินเสียงคนเดินขึ้นมาก็ตกใจ รีบวิ่งกลับไปที่เตียงนอน ล้มตัวลงนอนดังเดิม
ปัทม์เดินถือถาดอาหารเข้ามาในห้อง เจอรจนาไฉนนอนอยู่ในสภาพเหมือนเดิม โดยไม่รู้ว่ารจนาไฉนแกล้งทำท่าว่าถูกมัด
"ปล่อยฉันไปนะ"
"ยังมีแรงดิ้นอีกเหรอ ไหนบอกว่าหิวไง"
"ปล่อยฉันไปได้แล้ว ฉันจะไปทานข้าว"
ปัทม์ถือถาดอาหารมาที่เตียง
"ฉันเอามาให้แล้ว"
"ไม่เห็นต้องยกขึ้นมาเลย คุณแก้มัดให้ฉัน ฉันลงไปทานเองก็ได้"
"ก็ฉันอยาก..."
"อยากกักขังฉันไว้ให้เหมือนนักโทษใช่มั้ยล่ะ"
ปัทม์แกล้ง
"ใช่....กินได้แล้ว"
"กินได้ไง ก็ถูกมัดอยู่อย่างนี้ ดูสิ...มัดซะแน่นเจ็บมือไปหมดแล้ว"
ปัทม์จะแก้มัดให้ แต่เปลี่ยนใจ
"อย่าแก้มัดเลย คนเจ้าเล่ห์อย่างเธอ...เดี๋ยวก็ป่วนฉันอีก"
"แล้วจะให้กินยังไง...ฉันหิวนะ"
ปัทม์อมยิ้มบอก
"เดี๋ยวจัดให้"
ปัทม์ทำท่าจะตักอาหารให้ เธอนึกรู้...แอบยิ้มที่จะได้แกล้งปัทม์
"มีอะไรกินบ้างล่ะ"
อ่านต่อเวลา 17.00น.
ปัทม์ภูมิใจเสนอ
"จะกินอะไร เอาแกงจืดมั้ย..น่าทานนะ"
"เอาแกงฮังเลก่อนแล้วกัน"
"เธอไม่ชอบกินเผ็ดไม่ใช่เหรอ"
"ก็อยากลองกินดูบ้าง"
ปัมท์ตักแกงฮังเลใส่ข้าว เธอมองสายตาเจ้าเล่ห์ แต่แกล้งทำซื่อ....ปัทม์เข้ามาจะป้อน
"ฉันเปลี่ยนใจแล้ว ขอต้มจืดแล้วกัน ไม่เผ็ด น่าจะคล่องคอดี"
ปัทม์หยิบถ้วยต้มจืด
"ป้าปยงค์ทำให้เธอสุดฝีมือเลยนะ"
"ไม่ใช่ฝีมือป้าปยงค์หรอก"
"รู้ได้ไง"
"ป้าปยงค์ทำแกงจืดไม่เคยสับหมู บอกได้มั้ยว่าใครทำ"
เธอมองปัทม์อย่างค้นหา
"เอาเหอะน่า อย่าอยากรู้นักเลย กินได้แล้ว"
ปัทม์ตักแกงจืดราดข้าว รจนาไฉนจงใจแกล้งอีก
"เอาเต้าหู้เยอะๆ"
ปัทม์ตักเต้าหู้จะใส่จานข้าว เธอรีบบอก
"ไม่เอา ขอหมูสับดีกว่า"
ปัทม์เทคืน จะตักหมูสับ
"กินฟักก่อนดีกว่า"
ปัทม์หันไปตักพัก
"เอ... รึจะกินหมูทอดก่อนดีนะ"
"เรื่องมาก...จะกินรึไม่กิน กินแกงจืดเต้าหู้นี่แหละ ฉันอยากป้อน"
ปัทม์ตักข้าวมาให้รจนาไฉน รจนาไฉนกินแล้วก็อึ้ง
"เป็นไง...อร่อยมั้ย"
"เค็ม... คาว ไม่ได้เรื่อง"
"โฮ.. ไม่ให้กำลังใจกันบ้างเลย"
รจนาไฉนมองค้นหา
" ทำไมฉันต้องให้กำลังใจ คุณเป็นคนทำเหรอ"
ปัทม์แกล้งกลบเกลื่อน
"ปละเปล่า ฉันรู้แล้วว่าทำยังไงเธอถึงจะกินกับข้าวสำรับนี้อร่อย คงต้องเปลี่ยนวิธีป้อน"
รจนาไฉนชะงัก หันไปมองปัทม์ด้วยความสงสัยว่าจะทำอะไร
ปัทม์อมยิ้ม
"ใช้ปากป้อน"
"บ้า"
"ไม่บ้าละ อันนี้แหละ เคล็ดลับของความอร่อย"
ปัทม์แกล้งขยับตัวเข้ามาใกล้รจนาไฉน ทำเหมือนจะเข้ามาจูบ
"ไม่...ไม่นะ อย่านะ"
ปัทม์แกล้งเคลื่อนตัวเข้ามาใกล้เธอมากขึ้นไปอีก จนเธอตกใจรีบเอามือที่ไม่ได้ถูกมัดผลักปัทม์ออกไปเต็มแรง
"อย่าทำอะไรฉันนะ"
ปัทม์โดนผลักออกไป เสียหลักหัวชนขอบเตียงจนเอามือกุมหัว
"โอ๊ย..."
รจนาไฉนชตกใจกลัวปัทม์เจ็บ
"คุณเป็นอะไรรึเปล่า"
ปัทม์มองเห็นรจนาไฉนที่ไม่ได้โดนมัด...รจนาไฉนอึ้ง
"เธอแก้มัดได้แล้ว จงใจแกล้งให้ฉันป้อน"
"แก้มัดได้น่ะใช่ แต่เรื่องป้อนน่ะ คุณอยากทำเอง"
รจนาไฉนไม่โกรธปัทม์อีกแล้ว เพราะรู้ว่าปัทม์ไว้ฟอร์มทำเป็นโหด
"ตกลงใครทำกับข้าวมื้อนี้กันแน่"
"ทำไม รสชาติมันแย่นักรึไง"
"ไม่ใช่แค่แย่ แต่แย่มาก! แกงจืดเค้าไม่ใส่น้ำปลา มันคาว"
ปัทม์บ่นเบาๆ
"ก็ฉันไม่รู้... อุตส่าห์ตั้งใจกางตำราทำให้ ไม่เคยทำให้ใครแบบนี้เลยนะ"
"อะไรนะ"
"เปล่า แก้มัดได้เอง...ก็กินเองแล้วกัน แกงจืดนั่นถ้าไม่ได้เรื่องก็ไม่ต้องกิน กินแกงฮังเลกับหมูทอดนั่นก็ได้"
รจนาไฉนหันไปมองปัทม์ เอ่ยปากถามด้วยน้ำเสียงจริงจัง
"ที่คุณดูแลฉันแบบนี้ เพราะต้องการขอโทษและขอบคุณ เรื่องที่ฉันทำให้คุณใช่มั้ย"
ปัทม์ไม่ตอบ เดินไปหยิบเสื้อผ้าพร้อมกับผ้าเช็ดตัวให้รจนาไฉนแล้ววางไว้ที่เตียง
"กินอิ่มแล้วก็อาบน้ำอาบท่าซะ วันนี้เธอดูแลไร่ชาเหนื่อยมาทั้งวันแล้ว"
ปัทม์ทำท่าจะเดินออกไป แต่ไม่ตอบคำถามนั้น
"เดี๋ยวก่อนสิ... เรายังคุยกันไม่จบ"
ปัทม์หันมายิ้มขรึม
"เรามีเวลาคุยกันอีกนาน ฉันจะรอเธอที่ห้องโถงนะ"
ปัทม์เดินออกไป เธอมองตามจนปัทม์เดินออกไป
"จะขี้เก็กไปถึงไหน"
รจนาไฉนหันมายิ้มมองสำรับกับข้าว แกงจืดที่ปัทม์ลงมือทำ
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 10 (ต่อ)
บรรยากาศไร่ชาเปลี่ยนจากกลางวันเป็นกลางคืน ...ภายในห้องโถง ปัทม์กำลังกำชับ ชิและจันทร์เจ้าที่กำลังช่วยกันจัดข้าวของ
"เสร็จรึยัง เร่งมือหน่อยสิ"
"ใกล้แล้วนาย เหลืออีกนิดเดียว" ชิบอก
"ทางด้านของจันทร์เสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้า"
"เสร็จแล้วนาย"
ปัทม์ยืนมองภาพเบื้องหน้าด้วยความพอใจ
รจนาไฉนเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวเรียบร้อยเดินออกจากห้องน้ำ เธอสำรวจตัวเองที่หน้ากระจก
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น รจนาไฉนแปลกใจ
"อะไรของเขาอีกนะ"
รจนาไฉนตะโกนบอก
"ยังแต่งตัวไม่เสร็จค่ะ รอก่อน"
เสียงเคาะประตูห้องดังหนักขึ้นอีก... เธอรู้ว่าคงไม่เลิกลา จึงตัดสินใจเดินไปเพื่อเปิดประตูห้อง
ประตูห้องถูกเปิดออก...แต่ไม่พบใคร
"คิดจะแกล้งอะไรฉันอีก"
รจนาไฉนแปลกใจจะหันกลับเข้าห้องนอน ก็เห็นต้นชาขนาดเล็กอยู่ในกระถางหน้าห้อง...มีกระดาษข้อความติดไว้ รจนาไฉนหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านข้อความ - - “คำพูดของฉัน...มีค่าสำหรับคนที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ใช่คนไร้เกียรติอย่างเธอ”
รจนาไฉนนึกทบทวนประโยคนี้....ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ปัทม์ต่อว่าเธอ
"ฉันถามจริง ๆ เถอะ คุณเกลียดชังอะไรฉันนักหนา ถึงทำกับฉันอย่างนี้ ฉันทำผิดอะไร"
ปัทม์พูดสวนขึ้น
"เพราะเธอมันเป็นผู้หญิงหิวเงิน"
รจนาไฉนจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้....แล้วมองไปยังทางลงบันได เห็นกระถางต้นชาวางอยู่อีกใบ...
รจนาไฉนเดินเข้ามาหยิบกระดาษข้อความขึ้นมาอ่าน - - "มันไม่ใช่กลิ่นหอมของใบชา.. แต่เป็นกลิ่นของทุนนิยมที่ไม่น่าทะนุถนอมหรือน่าหลงใหลเลยสักนิด"
รจนาไฉนจำเหตุการณ์ในครั้งนั้นได้....
ปัทม์เน้นย้ำ
"ผู้หญิงเห็นแก่เงินอย่างคุณ ไม่เหมาะสมจะลิ้มรสความหอมหวนของชาถ้วยนี้หรอกรจนาไฉน"
ปัทม์ผลักรจนาไฉนออกเต็มแรงจนแทบล้ม จ้องหน้า แล้วจึงเทชาที่ชงลงที่พื้นช้า ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
รจนาไฉนถือกระดาษข้อความไว้ แล้วมองไปยังมุมหนึ่งของทางลง เห็นกระถางต้นชาวางอยู่
รจนาไฉนหยิบกระดาษข้อความขึ้นมา... พลางย้อนนึก...
ปัทม์รับแก้วชา รจนาไฉนยิ้มดีใจ คิดว่าปัทม์อารมณ์ดีขึ้นแล้ว แต่ปัทม์กลับสาดชาใส่รจนาไฉน
"ออกไปจากชีวิตฉัน ที่ฉันต้องติดคุกก็เพราะเธอ เธอมันเป็นตัวซวย! เธอทำให้ฉันต้องเผชิญกับเรื่องเลวร้ายตลอดเวลา อย่าทำให้ฉันต้องตกต่ำไปกว่านี้เลย"
รจนาไฉนมองกระดาษข้อความ แปลกใจที่ปัทม์เขียนข้อความเหล่านี้ให้เธออ่านเพื่ออะไร?
"เขาทำอย่างนี้เพื่ออะไร"
รจนาไฉนพยายามคิดแล้วเหลือบไปเห็นต้นชาในกระถาง วางอยู่บนโต๊ะที่บันไดด้านล่าง...
เธอเดินเข้าไปมองหากระดาษข้อความ แต่ไม่เจอกระดาษ...รจนาไฉนแปลกใจ...หยิบกระถางต้นชาขึ้นมา...เจอกระดาษข้อความพับไว้ซ่อนไว้ใต้กระถาง.....รจนาไฉนหยิบกระดาษขึ้นมาคลี่อ่าน...
“ผมขอโทษ”
รจนาไฉนรู้สึกดีที่ปัทม์เขียนคำขอโทษให้เธอ รจนาไฉนยิ้มออกมา เธอมองไปข้างหน้าเห็นไฟในห้องโถงดับ รจนาไฉนแปลกใจ...
รจนาไฉนเดินเข้ามาหยุด ยืนมองห้องโดยรอบที่ตกแต่งด้วยแสงเทียนและเชิงเทียนอย่าสวยงาม
ปัทม์ถือถาดใส่ชาเข้ามา รจนาไฉนตกใจรีบทำเป็นไม่สนใจ เขายืนยิ้มคิดว่าเธอประทับใจกับสิ่งที่ทำให้
"สวยมั้ย"
รจนาไฉนแกล้งพูด
"ทำอะไรของคุณ จุดเทียนทำไม... เดี๋ยวไฟก็ไหม้ห้องหรอก"
ปัทม์แก้ตัวไปน้ำขุ่นๆ
"ก็ไฟมันดับ"
ปัทม์ยืนรอให้รจนาไฉนชื่นชม แต่เธอแกล้งทำเป็นไม่สนใจ เอามือพัดทำเป็นร้อน
"สงสัยคุณจุดเทียนมากไปหน่อย ห้องนี้ร้อน ๆ นะคะ"
ปัทม์ผิดหวังกระแทกถาดชาวางที่โต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องเบา ๆ
"ถ้าร้อนนัก.. ดับเทียนก็ได้
ปัทม์ขยับทำตัวจะไปดับเทียน
"อย่าค่ะ...ไฟฟ้าดับก็จุดเทียนไว้สิคะ"
ปัทม์ทำเป็นไม่สนใจ จะดับเทียนอีก รจนาไฉนต้องรีบเข้ามาแตะแขนห้าม
"จุดไว้ก็ดีเหมือนกัน คืนนี้อากาศหนาว...จะได้อุ่น"
"อะไรกัน เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เอาใจยากซะจริง ถ้างั้นฉันดับๆ ไปให้หมดเลยก็แล้วกัน"
ปัทม์เดินงอนไปดับเทียนไปทั้งห้อง เขาเดินหนีไปที่ระเบียงห้อง หมดอารมณ์โรแมนติกแล้ว
เธออมยิ้มหันไปเห็นไม้ขีด เธอหยิบมาจุดไฟใส่เทียนที่เชิงเทียนหนึ่งแล้วถือไว้
“ดับก็จุดใหม่ได้”
รจนาไฉนเดินไปจุดเทียนทีละเล่มๆ พร้อมๆ กับเปรยขึ้นลอยๆ ชำเลืองมองปัทม์
“คนเรา ไม่จำเป็นต้องมีมาด ไว้ฟอร์มนักหรอก ถ้าไม่มีฟอร์ม ก็ไม่ต้องกลัวเสียฟอร์ม”
ปัทม์ที่ระเบียงพอหันไปมองทางในห้อง จากผ้าม่านที่พริ้วผ่านทำให้เห็นแสงเทียนที่ค่อย ๆ สว่างในห้อง
“ถ้ารู้สึกผิด อยากทำดีกับใคร ก็ต้องทำให้เค้ารู้ว่าเรารู้สึกผิดจริงๆ ไม่ใช่เอาแต่แกล้งเค้าอยู่ร่ำไป”
ปัทม์เห็นรจนาไฉนเดินจุดเทียน แสงเทียนส่องกระทบใบหน้าให้เธอดูสวยงามมาก
“มีคนเคยบอกว่า คนเราจะรู้ค่าอะไร ก็ต่อเมื่อกำลังจะสูญเสียมันไป คุณว่าจริงมั้ยคะ”
ปัทม์ยืนนิ่งมองราวอยู่ในภวังค์ รจนาไฉนจุดเทียนเสร็จหันมาเห็นปัทม์ยืนมองอยู่ เธอเริ่มรู้สึกเขิน ปัทม์เดินเข้ามาหาด้วยแววตารักและผูกพัน เอามือแตะไหล่เธอไว้
“คุณจะทำอะไร”
ปัทม์ยิ้มขรึม
“ฉันอยากดื่มชา”
ปัทม์ประคองพารจนาไฉนเดินมาที่โต๊ะญี่ปุ่นกลางห้องที่วางถาดชาไว้ เธอเดินตามเขาอย่างตกอยู่ในภวังค์ เขาประคองพาเธอลงนั่งที่หน้าโต๊ะชานั้น
“ฉันจะสอนให้เธอชงชาสูตรพิเศษ กลมกล่อม นุ่มนวล”
ปัทม์เข้าไปประคองด้านหลังของเธอ แล้วก็ช่วยจับมือรจนาไฉนชงชา เธอชะงัก
“เอ้อ... คุณ”
“ปล่อยตัวตามสบาย... ฉันจะสอนเธอเอง”
ปัทม์โอบอยู่ด้านหลังแล้วก็จับมือรจนาไฉน ทำการชงชา ในบรรยากาศสวยงาม ชวนฝัน ทั้งสองคนชงชา ท่ามกลางแสงเทียนสวยงามโรแมนติก ทั้งคู่พลางเผลอชำเลืองมองหน้าซึ่งกันและกัน
รจนาไฉนมีความสุขที่มีปัทม์อยู่เคียงข้าง จิตใจล่องลอยด้วยความสุขใจ เหมือนภาพแห่งความฝัน ทั้งสองชงชาจนเสร็จ ปัทม์จับมือเธอหยิบแก้วชาขึ้นมา แล้วค่อย ๆ ป้อนชาให้รจนาไฉน
รจนาไฉนดื่มชา รู้สึกได้ถึงรสชาติที่กลมกล่อมและมีความสุข
“ชาของคุณรสชาติดีที่สุด เท่าที่ฉันเคยดื่ม”
ปัทม์จับมือรจนาไฉน ป้อนชาให้ตัวเองดื่ม พลางมองหน้ารจนาไฉน
“ชาจะมีรสชาติดี... ก็ต่อเมื่อเราได้ดื่มกับคนรู้ใจ”
ทั้งสองมองเคลิ้มตกอยู่ในภวังค์ ปัทม์เชยหน้าเธอขึ้น เหมือนกำลังจะจูบ แต่แล้ว...มือของปัทม์ก็ไปปัดแก้วชาล้มลง ทำให้ทั้งสองตื่นจากภวังค์
“เอ้อ...”
“ดึกแล้ว...ฉันจะนอน”
รจนาไฉนเลี่ยงหนีไปทันที ปัทม์อมยิ้มเดินอ้อมไปอีกทางหนึ่ง
รจนาไฉนเปิดประตูเข้ามาในห้องนอน แล้วหันไปเหลียวมองตรงทางเดิน นึกแปลกใจที่ปัทม์ไม่เดินตามมาตอแยเธออย่างที่คาดไว้ เธอแปลกใจ ปิดประตูล็อก แล้วเดินมาที่เตียงกำลังจะล้มตัวลงนอน
“มองหาใครเหรอครับ”
รจนาไฉนร้องเบา ๆ
“ว๊าย”
อ่านต่อเวลา 17.00น.
ที่แท้ปัทม์เดินมาอีกทาง … ปัทม์นอนบนเตียงอย่างสบาย อมยิ้มให้รจนาไฉน
“คุณเข้ามาได้ไง”
“หน้าต่างมีหู.. ประตูมีช่อง”
“แล้วคุณ...คุณจะทำอะไร”
“นอน”
“ที่นอนคุณอยู่ที่โซฟา ไปนอนตรงโน้นสิ”
“ไม่ไป...”
“ไปเดี๋ยวนี้เลยนะ.. จะแกล้งฉันอีกแล้วเหรอ”
“ไม่สงสารฉันเหรอ ฉันต้องทรมานนอนในห้องขังตั้งหลายคืนแล้วนะ ฉันอยากนอนสบาย ๆ บ้าง แต่เอาเถอะ.. เตียงนอนนี่เป็นของเธอไปแล้ว ฉันไปนอนที่พื้นก็ได้"
ปัทม์จะลุกไป แต่รจนาไฉนจับมือไว้
“คุณนอนบนเตียงก็ได้”
ปัทม์ยิ้มดีใจแต่เก็บอาการ ล้มตัวลงนอน คิดว่าจะได้นอนข้างรจนาไฉน แต่เธอกลับหอบผ้าห่มลุกขึ้น
“จะไปไหน”
“คุณนอนบนเตียง ฉันจะไปนอนโซฟา”
“ถ้าทำให้เธอลำบาก ฉันไปนอนโซฟาเอง”
“ไม่ได้ คุณควรจะนอนเตียง ฉันไปนอนโซฟาเอง”
ปัทม์อมยิ้มแกล้งเศร้า
“แล้วทำไมเธอไม่นอนเตียงเดียวกับฉัน รังเกียจคนขี้คุกอย่างฉันเหรอ”
“ไม่ใช่นะ เพียงแต่...”
ปัทม์สวนขึ้น
“ถ้าไม่รังเกียจก็ต้องพิสูจน์ให้ฉันเห็น ถ้าไม่ยอมนอนที่เตียงนี้ด้วยกัน ฉันจะถือว่าเธอปากอย่างใจอย่าง"
รจนาไฉนไม่มีทางเลือกอื่น....จำต้องนอน ปัทม์ยิ้มดีใจ นอนลง...แต่รจนาไฉนหันหน้าหนีไปอีกทาง
“หันหน้าหนีก็เหมือนไม่ให้เกียรติ”
เธอจำต้องหันหน้ามาทางปัทม์ที่แอบดีใจ..นอนมองหน้ารจนาไฉน เธอทำตัวไม่ถูก จะดึงผ้าห่มมาปิดหน้า
“ปิดหน้าแสดงว่ารังเกียจสุดๆ”
รจนาไฉนจำใจ ทั้งสองมองหน้ากัน เธออึดอัดมาก จนทนต่อไปไม่ไหว
“ไม่ไหว ให้นอนนิ่งๆ อย่างนี้ ฉันนอนไม่หลับหรอก”
“คุณจะนอนไงก็ได้ แต่ห้ามลุกหนีไปจากเตียง”
รจนาไฉนจึงล้มลงนอนอีกครั้ง พลิกไปอีกทาง ปัทม์นอนแอบยิ้มดีใจ เธอบ่นเบาๆ
“เป็นบ้าอะไรขึ้นมา”
“อย่าเสียงดัง คนจะนอน”
รจนาไฉนจำต้องเงียบด้วยสีหน้ากระอักกระอ่วนใจ ปัทม์นอนยิ้มหลับตาอย่างมีความสุข
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 10 (ต่อ)
พระจันทร์ดวงกลมสวยงาม แสงเทียนในห้องนอนส่องไสว แต่รจนาไฉนยังนอนไม่หลับ เพราะกลัวปัทม์ จนเมื่อเธอรู้สึกว่าปัทม์หลับสนิทแล้ว จึงค่อย ๆ หันหน้ามามองปัทม์ที่นอนอยู่ข้าง ๆ บ่นเบาๆ
“คนอะไร... อารมณ์แปรปรวนยิ่งกว่าวัยทอง บทจะร้ายก็ร้ายจนน่ากลัว พอจะดีก็ดีจนใจหาย"
เธอมองหน้าปัทม์ที่หลับสนิท แต่แล้วปัทม์ก็พลิกตัวหันหน้ามาทางเธอ ทำให้หน้าทั้งสองชิดติดกัน เธออึ้งตกใจ ค่อยๆ ถอยหน้าออกห่างช้าๆ ไม่ให้ปัทม์รู้สึกตัว แล้วค่อยๆพลิกหันไปอีกทาง
ปัทม์ค่อยๆ ลืมตา แล้วแอบยิ้มดีใจที่ได้นอนใกล้ชิดร่วมเตียงกับรจนาไฉน
ภายในห้องสอบสวน เวลากลางคืนต่อเนื่องมา สารวัตรปวุฒิ เอาภาพผู้ต้องสงสัยมาให้วันชัยดู
“ใครเป็นคนจ้างให้ขนกล่องชา”
“ในแฟ้มนี้ไม่มีครับ” วันชัยบอก
“ภาพถ่ายผู้ต้องสงสัยมีแค่นี้ครับสารวัตร”
ปวุฒิสั่งตำรวจ
“พากลับไปขังไว้ก่อน เฝ้าให้ดี ใครจะมาเยี่ยมให้รายงานผมทันที”
“ครับ”
ตำรวจพาวันชัยออกไป ปวุฒินิ่งคิดตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป
สารวัตรปวุฒิเดินออกมาคิดหาวิธีจับผู้จ้างวาน เดินเข้ามาหาจ่าที่อยู่อีกทางหนึ่งของสถานีตำรวจ
“จ่า... ไปหาภาพถ่ายลูกน้องพ่อเลี้ยงเจงมาด้วย ผมมั่นใจว่าเราจะปิดคดีได้”
“ครับสารวัตร”
ทั้งสองคนเดินไปทางหนึ่ง ศักดิ์ที่แต่งตัวปลอมเป็นตำรวจเดินเข้าไปทางด้านใน
ศักดิ์เดินเข้ามาบริเวณห้องขัง ตำรวจเข้ามาหาศักดิ์
“มาทำอะไร”
“เอาอาหารมาให้”
“ใครสั่ง”
ศักดิ์เงยหน้ามองตอบ
“นาย”
ตำรวจรับรู้ได้ทันทีว่า พ่อเลี้ยงเจงส่งมา ตำรวจรับอาหารที่ไม่ปกติมาจากศักดิ์
ภายในห้องทำงานปวุฒิเช้าวันใหม่ สารวัตรปวุฒิกำลังพลิกแฟ้มภาพถ่ายลูกน้องของพ่อเลี้ยงเจง พลางหันไปถามจ่า
“นี่เป็นภาพถ่ายเฉพาะที่เป็นลูกน้องคนสนิทนะครับ”
“ดีมากจ่า เดี๋ยวเราจะลองให้วันชัยชี้ตัว”
ตำรวจวิ่งเข้ามาบอกปวุฒิด้วยท่าทีร้อนรน
“สารวัตร...เกิดเรื่องใหญ่แล้วครับ”
ปวุฒิเร่งเดินไปที่ห้องขัง เจอตำรวจเอาผ้าคลุมศพวันชัยที่นอนตายอยู่ในห้องขัง
“ผู้ต้องหาถูกวางยา” ตำรวจรายงาน
“ปล่อยให้เกิดขึ้นได้ยังไง! ผมกำชับแล้วว่าให้ดูแลผู้ต้องหาให้ดีที่สุด ไปเอาภาพจากกล้องวงจรปิดมาให้ผมด่วน”
“กล้องเสียตั้งแต่เมื่อวาน ส่งไปซ่อมครับ”
ปวุฒิหันไปทางกล้องวงจรปิด พบว่ากล้องถูกเอาออก ก็ยิ่งโกรธมาก หมดหนทางตามจับขบวนการค้ายา
ภายในห้องทำงาน ปวุฒิโยนภาพแฟ้มลูกน้องพ่อเลี้ยงเจงทิ้งด้วยความโกรธ
“ทำไมทุกอย่างมันช่างประจวบเหมาะ ผู้ต้องหาถูกวางยาในวันที่กล้องวงจรปิดเสีย!”
“สารวัตรใจเย็นครับ” จ่าบอก
“ตอบผมหน่อย...เงินมันซื้อทุกอย่างได้ใช่มั้ย แม้กระทั่งเกียรติยศและศักดิ์ศรี!”
จ่าพูดอะไรไม่ออก เข้าใจความรู้สึกของปวุฒิ
“ผมทุ่มเททุกอย่างเพื่อจับคนผิดมาลงโทษ แต่ยิ่งทำก็ยิ่งถอยหลัง รึว่าอำนาจในมือของเรามันสู้อำนาจเงินไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นผมจะทำทุกอย่างไปเพื่ออะไร”
“สารวัตรจะยอมแพ้เหรอครับ”
ปวุฒิคิดนิดหนึ่ง แล้วจิตใจไม่ยอมแพ้ทำให้ฮึกเหิมขึ้น
“ไม่.. ถ้าคนดีคิดท้อถอย ก็เท่ากับยอมรับ..สนับสนุนให้เกิดความชั่วร้าย ผมจะเดินหน้าชน ! ความยุติธรรมต้องอยู่ต่อไปในสังคมนี้”
ปวุฒิยังคงมุ่งมั่นจะทำงานต่อไป จ่ารู้สึกดีที่ปวุฒิคิดสู้
แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาในห้องนอน ปัทม์เริ่มรู้สึกตัว คิดถึงรจนาไฉน เมื่อพลิกตัวหันไปยิ้มให้ก็เจอแต่หมอนข้างวางอยู่ ปัทม์แปลกใจรีบลุกขึ้น
“รจนาไฉน”
ปัทม์คิดว่ารจนาไฉนคงออกไปแล้ว หันไปมองรอบๆห้องที่ตกแต่งด้วยเชิงเทียน ก็อดยิ้มถึงเหตุการณ์เมื่อคืนไม่ได้ ขณะที่ปัทม์กำลังนั่งยิ้มอยู่คนเดียว เธฮเดินเข้ามามองปัทม์อย่างสงสัย
“คุณเป็นอะไร”
ปัทม์เขินเมื่อหันไปเจอเธอ
“เปล่า”
“ก็ฉันเห็นคุณยิ้มอยู่คนเดียว ถ้าไม่บ้าจะเรียกว่าอะไร”
“เธอ...”
ปัทม์ลุกขึ้นจะคว้าตัวรจนาไฉน แต่รจนาไฉนเดินหนีออกห่าง...
“ฉันเตรียมชุดไว้ให้แล้วนะ”
“เคยบอกแล้วไงว่าไม่ต้องยุ่ง ฉันเลือกเสื้อผ้าเองเป็น”
“ถ้าไม่ชอบก็โยนทิ้งลงตะกร้าไปสิคะ”
รจนาไฉนบอกแล้วรีบออกไป ปัทม์หันมามองชุดที่รจนาไฉนวางไว้ ทำทีเป็นไม่สนใจ จะเดินเข้าไปในห้องน้ำ
รจนาไฉนเดินลงบันไดมา ปยงค์เข้าไปถามแบบยิ้มๆ
“แกงจืดเมื่อคืนนี้พอทานได้มั้ยคะ”
“อ๋อ...ทานได้ค่ะ แต่หนักเค็มไปหน่อย”
“ป้าไม่ได้ทำหรอกค่ะ”
“ว่าแล้วเชียว แล้วใครเป็นคนทำคะ”
ปยงค์อึกอักนิดหนึ่ง... “เอ้อ...”
“บอกฉันมาเถอะค่ะป้า ฉันอยากรู้”
“เอ้อ... ป้าไม่ได้ทำ นังจันทร์ก็ทำอะไรไม่เป็น...นอกจากกิน ไอ้ชินี่ไม่ต้องพูดถึงเลยค่ะ ไม่มีทางทำอาหารได้หรอก” ปยงค์ชักหว่านก่อนเข้าเรื่อง
“เอ้า..แล้วใครทำล่ะคะ”
ปยงค์จะตอบ แต่ปัทม์เข้ามาคว้าตัวรจนาไฉนเดินออกไป
“มัวคุยอยู่ได้ ไปได้แล้ว”
ปัทม์ลากเธอไปทันที
“เดี๋ยวก่อนสิคะ ฉันยังคุยกับป้าปยงค์ไม่จบ เดี๋ยวก่อน”
รจนาไฉนยังสงสัยหันไปถามปยงค์ ปยงค์ทำท่าใบ้ให้รจนาไฉนรู้ว่าปัทม์เป็นคนทำ รจนาไฉนหันไปมองปัทม์อย่างอึ้ง ๆ กันไปเล็กน้อย ปัทม์รีบลากเธอออกไปทันที
รจนาไฉนถลาตามปัทม์ที่จูงมาอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวก่อนสิคะคุณ... จะรีบไปไหน หยุดก่อนสิคะ”
จู่ ๆ ปัทม์ก็หยุดกึก รจนาไฉนเลยถลาตามมาก็โผเข้าสู่อ้อมกอดของปัทม์โดยไม่ได้ตั้งใจ
“ปล่อยนะ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรคุณสักหน่อย จู่ ๆ คุณก็ถลามาให้ผมกอดเอง” ปัทม์อมยิ้มบอก
รจนาไฉนรีบดึงตัวออกมาจากปัทม์ เธอมีสีหน้าเขิน ๆ แต่เมื่อมองปัทม์ที่ใส่เสื้อผ้าที่เธอเตรียมไว้ให้ก็อดยิ้มไม่ได้
“ไหนบอกว่าเลือกเสื้อผ้าใส่เองเป็น”
“อะไรนะ”
รจนาไฉนยิ้มๆ ขำๆ
“คนปากแข็ง”
“อะไรของเธอ ไปได้แล้ว”
“จะพาฉันไปไหน”
“ไปทำงานเก็บใบชาสิ เธอเป็นแรงงานของฉัน”
“ตกลงจะใช้ให้ฉันทำคนเดียวใช่มั้ย ไร่ชาออกจะกว้างใหญ่”
ปัทม์ชะงักคิดขึ้นมาได้ เดินตรงไปยังไร่ชาด้วยความท้อใจ รจนาไฉนรู้สึกผิดที่พูดออกไป
ท่ามกลางไร่ชากว้างใหญ่ไพศาล มีแต่ปัทม์กับรจนาไฉนอยู่ในไร่นั้น
ปัทม์เดินเข้ามายืนมองไร่ชาที่กว้างใหญ่ แต่ไม่มีคนงานเลยสักคน....
“จริงอย่างที่เธอพูด ไม่มีคนงานแล้วจะทำไร่ต่อไปได้ยังไง”
รจนาไฉนเข้ามายืนข้างปัทม์ ใจพร้อมสู้...
“อย่ามัวแต่พูด เอาก๋วยไปเก็บใบชา ห้ามปฎิเสธด้วย ถึงคุณเป็นเจ้าของไร่ชาก็ต้องทำงาน"
รจนาไฉนยื่นก๋วยให้ปัทม์ แล้วยิ้มหวังให้ปัทม์มีกำลังใจ
“เราสองคนเก็บใบชาไม่หมดหรอก”
“ใครบอกว่าแค่เรา แต่ยังมีพวกเรา”
รจนาไฉนมองไปยังมุมหนึ่ง ปัทม์หันมองตาม เห็นปยงค์และจันทร์เจ้าแบกก๋วยเข้ามา
“ป้ามาช่วยแล้วค่ะ”
“จันทร์อีกแรงเจ้า”
“เราร่วมแรงร่วมใจกัน ช่วยกันคนละไม้คนมือ ทำเท่าที่เราทำได้”
รจนาไฉนส่งก๋วยเก็บชาให้ปัทม์ ปัทม์รับก๋วยแล้ววางลง
“คุณ...”
“ยอมรับความจริงเถอะ ไร่ชาเป็นร้อยไร่ มีแรงงานแค่สี่คนมันทำไม่ได้...ฉันจะขายไร่ชา”
ปัทม์ตัดสินใจบอก ทุกคนตกใจไม่คิดว่า ปัทม์จะยอมขายไร่ชาที่สร้างมากับมือ
“แต่คุณสร้างมันมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของคุณ คุณจะขายมันได้ยังไง”
“ฉันทนดูต้นชาแห้งเหี่ยวต่อหน้าต่อตาไม่ได้หรอก ในเมื่อไม่มีคนงาน มันก็ถึงคราวอวสานไร่ชา กลับกันเถอะ"
ปัทม์ถอดใจเดินออกไป แต่แล้ว...เสียงเพลงชาวดอยก็ดังขึ้น ปัทม์แปลกใจหันกลับไปมอง
ไกลออกไปผ่านเนินด้านหนึ่ง ชิกำลังเดินนำชาวดอยมาที่ไร่ชา โดยมีชาวดอยเดินร้องเพลงตามหลังชิมา ปัทม์แปลกใจ...
“คุณไม่ต้องขายไร่ชา ชิพาคนงานมาแล้ว”
ปัทม์ไม่เชื่อว่า ชิจะทำให้คนงานกลับมาทำงาน กลุ่มคนงานแหวกออก หน่อเอเดินแทรกเข้ามา
“หน่อเอ”
รจนาไฉนดีใจที่หน่อเอยอมพาชาวดอยมาช่วยทำงาน.....ปัทม์แปลกใจ
บริเวณไร่ชา ปัทม์ยืนมอง รู้สึกแปลกใจที่เห็นพวกหน่อเอมาช่วย
“กลับมาทำไม”
“พวกเราจะมาช่วยนาย”
“มาทำงานกับฉัน พวกแกอาจเดือดร้อน กลับไปเถอะ!”
“ไม่ทำก็ไม่มีกิน จะเกิดอะไรขึ้นก็ช่างมัน พวกเราเดือดร้อนจนชินแล้ว ขอพิสูจน์ดูอีกสักครั้งว่า คนเมืองอย่างนายจะจริงใจรึเปล่า”
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 10 (ต่อ)
ปัทม์มองหน่อเอและคนงานอื่นๆ ทุกคนมองและยิ้มให้ปัทม์ ปัทม์ยังคงนิ่งๆ
“พวกแกทิ้งงานไปหลายวัน ฉันไม่มีค่าจ่างให้”
“เงินไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเรื่องบางเรื่องหรอกนาย”
หน่อเอปะทะสายตา ให้เห็นว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเห็นแก่เงิน...ปัทม์ยิ้มพอใจ
ปัทม์เสียงอ่อนลง
“อย่างน้อยฉันก็มีอาหารให้กิน”
รจนาไฉนดีใจที่หน่อเอยอมช่วย
“มัวยืนอยู่ทำไม ไปทำงานได้แล้ว” ปัทม์บอก
พวกหน่อเอออกไปทำงานทันที รจนาไฉนไม่สบอารมณ์ที่ปัทม์พูดจาไม่ดี
“นี่คุณ.. พูดจาดีๆ ไม่เป็นรึไง”
รจนาไฉนเดินออกไปช่วยพวกหน่อเอทำงาน ปัทม์ยืนมองแอบยิ้มด้วยความสุขที่หน่อเอกลับมาช่วย ปัทม์มองไร่ชา มีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง...
มุมหนึ่งที่ไร่ชา หน่อเอเก็บใบชา รจนาไฉนเข้ามาคุยด้วย
“ฉันขอโทษแทนคุณปัทม์ด้วยนะที่พูดจาไม่ดีกับนาย”
“ถ้าพูดดีก็ไม่ใช่พ่อเลี้ยงปัทม์หรอก”
“ทำไมหน่อเอถึงยอมกลับมาช่วยล่ะ ก่อนหน้านี้พวกนายไม่อยากมายุ่งกับพวกเรา”
หน่อเอหยุดทำงานหันมามองรจนาไฉน เขากำลังจะเล่าเรื่องราวให้ฟัง
อดีต ผ่านมาไม่นาน หน่อเอนั่งเครียดอยู่
“เงินหมดแล้ว เราลงไปทำงานรับจ้างในเมืองเถอะ” นาองบอก
“ไม่มีบัตรประชาชนจะลงไปทำงานข้างล่างได้ไง”
“ยังไงก็ต้องเสี่ยงไปทำ ไม่งั้นก็อดตาย”
ชิเข้ามาหาพวกหน่อเอ
“พวกแกไม่ต้องกลัวอดตาย...นายให้เอาเงินมาให้”
ชิยื่นซองเงินให้หน่อเอ
“เงินอะไร จะจ้างให้เราไปเป็นพยานรึทำผิดกฎหมาย พวกเราไม่ทำ!”
หน่อเอชะงักนิดเมื่อคิดได้
“นายปัทม์ยังอยู่ในคุก เอาเงินมาให้ทำไม”
“เป็นค่าจ้างที่พวกแกเคยทำงานในไร่ นายตั้งใจจะจ่ายเงินให้หลังงานเลี้ยง แต่ติดคุกซะก่อน” ชิบอก
หน่อเอและนาองดีใจที่ได้เงินมา
“นายสั่งว่าถ้าใครอยากทำไร่ชา ให้ไปเอาต้นกล้าจากไร่ นายให้ฟรี”
หน่อเอและทุกคนอึ้ง ไม่คิดว่าปัทม์จะเสียสละเพื่อพวกหน่อเอ
หน่อเอเล่าต่อด้วยความประทับใจ
“ที่ผ่านมาพวกข้ามองคนผิด คิดว่าคนเมืองหวังจะกอบโกยประโยชน์จากพวกเรา แต่ความจริงแล้ว ยังมีคนที่จริงใจและหวังดีกับพวกเราอย่างพ่อเลี้ยงปัทม์”
ปัทม์ยืนฟังอยู่ที่มุมหนึ่ง ปลื้มใจที่หน่อเอยอมรับในตัวเขา... นาองเข้ามาจับมือรจนาไฉน
“ขอบคุณมากที่ช่วยเหลือพวกเรา”
รจนาไฉนจับมือนาอง
“เราจะไม่มีวันนี้ถ้าไม่มีพวกเธอเช่นกัน...ขอบคุณนะ”
“คุณกับพ่อเลี้ยงปัทม์ช่างเหมาะสมกันมาก...ราวกับนางฟ้ากับเทวดา”
นาองมองรจนาไฉนแล้วมองปัทม์ที่ยืนอยู่มุมหนึ่ง รจนาไฉนหันไปมอง ปัทม์รีบทำหน้าเข้มเหมือนแต่ก่อน
“มัวคุยอยู่นั่นล่ะ รีบทำงาน”
หน่อเอและนาองเดินไปทำงานต่อ... ปัทม์เดินออกไป
ปัทม์เดินคุมคนงานเก็บใบชา...
“นี่คุณ..เมื่อไหร่จะพูดจาดีๆ สักที ไม่เคยฟังนิทานเรื่องโคนันทวิศาลรึไง ถ้าเราจะใช้งานหรือขอความช่วยเหลือจากใคร เราก็ต้องพูดเพราะๆ”
“ฉันเป็นคนตรง ๆ ไม่ชอบใส่หน้ากาก”
“ฉันเข้าใจแล้ว เพราะคุณหยาบคาย แข็งกระด้างอย่างนี้ไงถึงไม่มีใครรัก”
ปัทม์อึ้ง ไม่เคยมีใครกล้าพูดกับเขาตรงๆ ปัทม์รู้สึกผิด แต่ก็ยังฟอร์มอยู่
“ฉันไม่จำเป็นต้องขอความรักจากใคร ฉันก็อยู่ของฉันได้”
“มนุษย์ต้องมีสังคม เราอยู่คนเดียวไม่ได้หรอก อยากให้มีคนรักก็ต้องรักคนอื่น ต้องรู้จักเอาใจใส่ดูแลเขาให้มากๆ"
“เหรอครับ แล้วไงต่อครับ”
รจนาไฉนชักหงุดหงิด
“ฉันไม่น่ามาเสียเวลากับคนอย่างคุณเลย คนใจทมิฬหินชาติอย่างคุณไม่มีวันเข้าใจ เหมือนเอาน้ำรดลงผืนทราย.. มีแต่แห้งหายไร้ประโยชน์”
รจนาไฉนเดินหนีไป
“เธอ...”
“อย่ามากวนใจนะ ฉันจะทำงาน”
ปัทม์จะตามไปก็ต้องหยุดทันที
บริเวณไร่ชาในเวลาต่อเนื่องมา ชาวดอยกำลังเก็บใบชา รจนาไฉนเข้ามาช่วยเก็บ ทุกคนช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ ปัทม์ตามเข้ามายืนมองดูที่มุมหนึ่ง
รจนาไฉนนึกสนุก ร้องเพลงชาวดอย... ทุกคนหยุดเก็บใบชา หันมามองแล้วก็ร่วมร้องเพลง เธอวิ่งร้องเพลงไปตามไร่ชา สร้างความสุขและกระตุ้นให้ทุกคนมีความสุขในการทำงาน
ปัทม์ยืนมองรจนาไฉนแล้วเผลอยิ้มออกมา เขาเห็นรจนาไฉนมีความสุขและทุกคนรักเธอมาก..
ทุกคนมีความสุขกับการเก็บใบชาและร่วมร้องเพลง เธอวิ่งร้องเพลง จนกระทั่งมาเจอปัทม์ยืนอยู่
รจนาไฉนคว้าก๋วยของเธอ ยื่นให้ปัทม์
“ก๋วย”
“ใช่...ก๋วยเอาไปเก็บใบชา”
ปัทม์ยียวนบอก
“ฉันเป็นเจ้าของไร่ เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งให้ฉัน”
“โคนันทวิศาลจ๋า...ช่วยฉันหน่อยนะ ตอนนี้ฉันเหนื่อยเหลือเกิน... ถ้าเธอช่วยฉัน ฉันจะรักและดูแลเธอเป็นอย่างดี นะจ๊ะโคนันทวิศาลจ๋า”
ปัทม์ยืนฟังเผลอเคลิ้ม รจนาไฉนเอาก๋วยมาใส่ให้ปัทม์เสร็จสรรพ
จนาไฉนเดินเก็บใบชา ร้องเพลง แล้วเอาใบชาใส่ในก๋วยที่ปัทม์แบกอยู่
พวกชิ จันทร์เจ้าและปยงค์สะกิดให้ดูภาพน่ารัก ที่ปัทม์ยอมช่วยรจนาไฉน กลุ่มชาวดอยต่างร้องเพลงด้วยความสุข
ในเวลาต่อมา ปัทม์หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูเห็นชื่อพูนทวี ก็เดินออกมารับโทรศัพท์ สีหน้าที่เคยร่าเริงเปลี่ยนเป็นจริงจัง
“อะไรนะ.. คนขับรถบรรทุกตายแล้ว ต้องเป็นฝีมือพวกมันแน่ๆ”
ปัทม์นิ่ง ตัดสินใจนิดหนึ่ง แล้วเดินไปที่รถที่มีชิอยู่แถวนั้นพอดี
“ชิ... ขึ้นรถ!”
“จะไปไหนครับนาย”
“ฉันสั่งให้ขึ้นรถ”
ปัทม์ก้าวขึ้นรถแล้วขับออกไป ชิรีบกระโดดขึ้นรถตามไป รถของปัทม์วิ่งผ่านไป
บ้านพ่อเลี้ยงเจง เวลากลางวัน พ่อเลี้ยงกำลังชนแก้วดื่มกับปลัดวราห์
“พ่อเลี้ยงรอบคอบจริงๆ ที่ส่งคนไปเก็บไอ้คนขับรถบรรทุกคันนั้น”
“คิดจะเดินบนเส้นทางนี้ ต้องมีวิธีป้องกันตัว”
“แล้วพ่อเลี้ยงจะจัดการยังไงกับไอ้ปัทม์ มันอาจทำให้พ่อเลี้ยงทำงานยากขึ้น”
พ่อเลี้ยงเจงสีหน้าครุ่นคิด เต็มไปด้วยความไม่สบายใจเช่นกัน ลูกน้องเข้ามารายงาน
“พ่อเลี้ยงครับ เกิดเรื่องแล้วครับ”
อ่านต่อพรุ่งนี้เวลา 09.30น.
พ่อเลี้ยงเจงมาถึงหน้ารีสอร์ต ปัทม์จ้องหน้าอย่างไม่เกรงกลัว
“ผมมาขอบคุณพ่อเลี้ยงที่เคยไปเยี่ยมและเลี้ยงอาหารผมระหว่างที่อยู่ในคุก”
พ่อเลี้ยงเจงจ้องหน้าปัทม์อย่างไม่ไว้ใจ
“เพื่อเป็นการขอบคุณ … ผมจะชงชาให้พ่อเลี้ยงดื่ม”
ชิยกกล่องชามาวางไว้ตรงหน้า ปัทม์ถือแกลลอนน้ำมันมาที่กล่องชา ราดน้ำมันเทใส่กล่องชา
ก่อนยกกล่องชาแล้วโยนใส่หลังคาซุ้มเล็ก ๆ ซุ้มหนึ่งในรีสอร์ตของพ่อเลี้ยงเจง
“แต่จะดื่มชาให้ได้รสชาติ ต้องใช้น้ำร้อนๆ”
ปัทม์หยิบไฟแช็คชึ้นมาจุด แล้วโยนไปที่ซุ้มหน้ารีสอร์ต ไฟติดซุ้มขึ้นมาทันที...
พ่อเลี้ยงเจงและปลัดวราห์โกรธมาก
“ไอ้ปัทม์!”
“ต่อจากนี้ไปผมจะไม่ยอมตกเป็นฝ่ายตั้งรับ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน”
พ่อเลี้ยงเจงโกรธมากกระชากปืนออกมา พ่อเลี้ยงเจงเล็งปืนจะเหนี่ยวไกยิงปัทม์ แต่อุรารัตน์วิ่งเข้ามาปัดปืน....เปรี้ยง ! กระสุนยิงไปอีกทางซึ่งนงนุชวิ่งเข้ามาพอดี..
นงนุชร้อง “ว้าย” หาที่หลบทันที
“คุณพ่อฆ่าปัทม์ไม่ได้นะ”
“ออกไป”
พ่อเลี้ยงเจงผลักอุรารัตน์ แล้วจะยิงปัทม์
“ผมได้แจ้งทุกคนแล้วว่าจะมาที่นี่ ถ้าผมหายตัวไป คงไม่ยากที่จะจับตัวผู้ต้องหา ยิงมาสิพ่อเลี้ยง”
ปัทม์จ้องหน้าอย่างท้าทาย
“คิดว่าขู่คนอย่างฉันได้เหรอ”
พ่อเลี้ยงเจงจะยิงอีก แต่อุรารัตน์วิ่งมาขวางไว้
“ไม่นะคะ แอรี่ไม่ยอมให้คุณพ่อทำร้ายปัทม์ ไปเถอะค่ะปัทม์”
อุรารัตน์ดึงพาปัทม์ออกไป นงนุชและชิวิ่งตามไป
พ่อเลี้ยงเจงหันไปมองไฟที่ไหม้ซุ้มรีสอร์ต โกรธที่ปัทม์มาหยามถึงถิ่น
บริเวณหน้ารีสอร์ตพ่อเลี้ยงเจง ปัทม์สะบัดมืออุรารัตน์ออก
“ปัทม์เป็นอะไรรึเปล่าคะ แอรี่เป็นห่วงคุณมากรู้มั้ย”
“ผมไม่เป็นอะไร”
ปัทม์จะเดินกลับไปรถ แต่อุรารัตน์ตามเข้ามา...
“แอรี่ไม่รู้ว่าคุณมีเรื่องผิดใจอะไรกับคุณพ่อ เอาเป็นว่า..แอรี่ขอโทษแทนคุณพ่อด้วยนะคะ"
“เรื่องบางเรื่องอาจจะยกโทษให้กันได้ แต่เรื่องที่เลวร้ายให้อภัยกันไม่ได้”
ปัทม์ยังคงฝังใจเจ็บพ่อเลี้ยงเจง
“เราอย่าคุยเรื่องคนอื่นเลยค่ะ มาคุยเรื่องของเราดีกว่า ปัทม์คะ”
อุรารัตน์เข้าไปกอดออเซาะปัทม์ .ชิยืนมองอย่างอึ้งๆ พลางบ่นกับตัวเองเบาๆ
“น่าน...มารยาพญาปลิง”
นงนุชได้ยินก็เข้ามาด่าชิ
“นางฟ้าย่ะไม่ใช่ปลิง แกสิตัวทาก”
อุรารัตน์ยังคงกอดปัทม์
“แอรี่ดีใจนะคะที่ปัทม์ออกจากคุกมาได้ แอรี่เป็นห๊วงเป็นห่วง อยากไปเยี่ยมใจจะขาด แต่กลัวไปแล้วอดร้องไห้ไม่ได้ ยิ่งทำให้ปัทม์ไม่สบายใจ แอรี่นั่งสวดมนต์ภาวนาอธิษฐานจิต ส่งกำลังใจให้ปัทม์ปลอดภัย"
อุรารัตน์จะพล่ามต่อ ปัทม์ดันตัวอุรารัตน์ออกห่าง
“ขอบคุณมาก แต่ต่อไปนี้คงไม่ต้องทำเพื่อผมอีก เพราะผมมีภรรยาแสนดีคอยดูแลแล้ว"
อุรารัตน์ไม่พอใจทันที
“ปัทม์หมายถึงนังรจนาไฉนหน้าจืดนั่นเหรอคะ”
“กรุณาให้เกียรติภรรยาของผมด้วย”
“ปัทม์โดนยาเสน่ห์ น้ำมันพรายใช่มั้ยคะเนี่ย อย่าลืมสิว่าปัทม์ต้องติดคุกเพราะ มันเป็นตัวซวย”
“ตัวซวยคือคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ และผมจะมีความสุขมาก ถ้าคุณออกไปจากชีวิต ไม่เข้ามายุ่งกับผมอีก”
อุรารัตน์นิ่งอึ้ง
“ปัทม์”
ปัทม์เดินไปที่รถ ชิหันไปบอกนงนุช
“นางฟ้าตกสวรรค์แล้ว”
จบตอนที่ 10
อ่านต่อตอนที่ 11 พรุ่งนี้เวลา 09.30น.