มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 4
วราห์พยายามอุดปากไม่ให้รจนาไฉนร้องเสียงดัง รจนาไฉนพยายามจะดิ้นสุดแรงเกิด
“ปล่อยฉัน”
“บอกมาเลยว่าต้องการเท่าไหร่”
รจนาไฉนทั้งแค้นทั้งโกรธ
“ฉันไม่ต้องการ ปล่อยฉัน ปล่อย”
“จะเรื่องเยอะไปถึงไหนวะ”
วราห์โกรธ บิดข้อมือรจนาไฉน
“โอ๊ย”
ปัทม์มองเห็นรจนาไฉนกำลังถูกวราห์รังแกจะเข้าไปช่วย ทันใดนั้นพ่อเลี้ยงพูนทวีก็พุ่งเข้ามาจากมุมหนึ่ง ตรงเข้าไปผลักอกปลัดวราห์อย่างแรง ต่อยสวนออกไปทันที รจนาไฉนรีบวิ่งไปหลบหลังพ่อเลี้ยงด้วยความตกใจกลัว
“คุณทำอะไรของคุณ”
“อย่าซีเรียสสิพ่อเลี้ยง จะอะไรนักหนากะอีแค่คนงาน ผมก็ขำ ๆ”
“ถึงจะเป็นแค่คนงาน แต่ก็มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เหมือนคุณเหมือนผม คุณไม่มีสิทธิ์รังแกเขา”
รจนาไฉนที่หลบอยู่ด้านหลังพ่อเลี้ยงเหลือบไปเห็นปัทม์ยืนดูอยู่ รจนาไฉนมองปัทม์ด้วยสายตาปวดร้าว ปัทม์หลบตาจแล้วรีบเดินออกไปทันที
“จะหวงก้างไว้กินเองเหรอ” วราห์ว่า
“พูดอีกคำเดียว ผมต่อยคุณฟันร่วงหมดปากแน่ ออกไป” พูนทวีพูดพลางชี้นิ้วสั่ง
ปลัดวราห์ไม่พอใจเหลือบมองรจนาไฉนที่ก้มหน้าหลบอยู่หลังพูนทวีด้วยความเสียดาย ก่อนจะเดินออกไป เธอเจ็บใจ อับอายจนน้ำตาร่วง
พ่อเลี้ยงพูนทวีหันมาเห็น นึกสงสารและเห็นใจรจนาไฉน
“เป็นอะไรมากมั้ย เจ็บตรงไหนรึเปล่าไ
“ขอบคุณนะคะที่มาช่วยฉัน...ขอบคุณมากค่ะ”
รจนาไฉนรีบปลีกตัวออกไปก่อนที่พ่อเลี้ยงพูนทวีจะเห็นน้ำตา เขาจะขยับตามไป แต่เธอรีบห้าม
“ได้โปรดเถอะค่ะ ขอให้ฉันได้อยู่คนเดียวไ
พ่อเลี้ยงพูนทวีมองตามรจนาไฉนที่เดินออกไปอย่างเห็นอกเห็นใจ
ปัทม์ยืนนิ่ง ส่งสายตาออกไปนอกหน้าต่างที่ห้องทำงาน เหมือนกำลังรู้สึกผิดกับเรื่องที่ตัวเองก่อไว้กับรจนาไฉน ที่ทำให้เธอต้องโดนดูถูกรังแก เขามองเธอผ่านหน้าต่าง เห็นรจนาไฉนเดินร้องไห้ไปตามทิวไร่ชาที่ลดหลั่นกันลงไปอย่างน่าสงสารมาก ปัทม์สีหน้าเครียด รู้สึกผิดมากขึ้นเรื่อย ๆ พูนทวีเดินเข้ามา
“ช่วยอธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยได้มั้ยว่าเกิดอะไรขึ้น”
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิด” ปัทม์บอก
“เข้าใจผิด”
“ปลัดวราห์คงเข้าใจว่าผู้หญิงคนนั้นง่าย”
“จะบ้ารึเปล่า จู่ ๆ เข้าใจอย่างนั้นได้ไง มันต้องมีอะไรมากกว่านั้น มีใครปากเสีย พูดอะไรเข้าหูรึเปล่า”
ปัทม์ยิ่งรู้สึกผิด
“คงงั้นมั้ง”
“ใคร”
ปัทม์รีบเปลี่ยนเรื่องพูดเพื่อกลบเกลื่อน
“แกมาที่นี่มีธุระอะไรรึเปล่า”
พูนทวียิ้มๆ
“ธุระของหัวใจ...ก็แค่ห่วงเทพธิดาดอยของฉันว่าจะหายป่วยรึยัง แหม..ฉันเป็นพระเอกมาช่วยได้ทันเหตุการณ์พอดีเลย แกว่ามั้ย”
“แล้วทำไมไม่ไปดูแลกันต่อ” ปัทม์ถาม
“จะทำอยู่แล้ว...แต่เจ้าหล่อนยังไม่สบายใจ น้ำตาซึมเดินหนีไปแล้ว”
ปัทม์ชะงักไปทันที ที่ได้ยินพูนทวีพูดว่ารจนาไฉนน้ำตาซึม
“เฮ้อ..เลยเสียฤกษ์เลย กะว่าวันนี้จะพาไปเที่ยวท้ายไร่ซะหน่อย แกอย่าเหี้ยมนักสิวะ ฉันบอกแล้วไงว่าฝากดูแลให้ด้วย นางฟ้าคนเนี้ยฉันรักจริงหวังผูกพันข้ามภพข้ามชาตินะโว้ย”
ปัทม์ไม่ได้ฟังคำพูดของพูนทวีเท่าไรนัก คิดถึงเรื่องที่ทำให้รจนาไฉนไม่สบายใจ ขยับจะเดินออกไป
“อ้าว...จะไปไหน”
“มีธุระที่โรงบ่ม ขอตัวแป๊บนึง...”
ปัทม์เดินออกไปด้วยสีหน้าไม่ค่อยดีนัก
รจนาไฉนเดินร้องไห้มาตามทางทิวแถวของไร่ชา เธอหยุดยืนร้องไห้อยู่คนเดียว ปัทม์เดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วงและรู้สึกผิด
“เจ็บรึเปล่า”
รจนาไฉนมองปัทม์อย่างเจ็บปวดกับคำถาม เธอตบหน้าเขาไปทีหนึ่ง
“สมใจคุณแล้วใช่มั้ย สะใจคุณรึยังที่เห็นฉันถูกย่ำยีศักดิ์ศรี”
“ฉันไม่ได้...”
“ฉันถูกผู้ชายคนนั้นล่วงเกินน้อยเกินไปใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“คุณตั้งใจ! คุณตั้งใจทำร้ายฉันทุกอย่าง คุณถูกเหยียดหยามฉันแค่ไหน ฉันอดทน คุณตั้งใจใช้งานฉันเยี่ยงทาส ฉันไม่เคยปริปาก ยอมทำตามความต้องการคุณทุกอย่าง”
“ฟังฉันก่อนสิ ฉัน...”
“คุณนั่นแหละที่ต้องฟังฉัน”
ปัทม์อึ้ง
“ฉันไม่ใช่คนที่มีค่า เป็นแค่กาฝาก เป็นแค่ลูกกำพร้าที่พ่อกับแม่ขอมาเลี้ยง ฉันสำนึกตัวเองดีว่าไม่มีเกียรติพอที่จะขอให้คุณยกย่อง”
รจนาไฉนสะเทือนใจหนัก ปวดร้าวอย่างที่สุด ปัทม์พูดอะไรไม่ออก
“แต่ฉันขอได้มั้ย ฉันขอความเมตตา ขอพื้นที่เล็ก ๆ ให้ฉันได้ยืนในฐานะมนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีคนหนึ่ง... จะได้มั้ย”
รจนาไฉนอ้อนวอนปัทม์ทั้งน้ำตา ปัทม์ทนไม่ไหว กลัวตัวเองจะแสดงท่าทีใจอ่อนออกมา ปัทม์เสียงเข้ม
“หยุดเพ้อเจ้อซะที...ไร้สาระ”
รจนาไฉนอึ้ง คิดไม่ถึงว่าปัทม์จะยังใจดำ
“ในที่สุดคุณก็ไม่เคยเข้าใจ และคงไม่มีวันเข้าใจ ฉันไม่น่าเสียเวลาอ้อนวอนคุณเลย ฉันน่าจะรู้ตั้งแต่แรกว่ามันไม่ได้ผล กับพวกหัวใจหยาบ คุณมันไม่ใช่คน”
รจนาเสียใจ วิ่งร้องไห้ออกไป ปัทม์อึ้งเสียใจกับการกระทำของตัวเอง
รจนาไฉนเปิดประตูเข้ามาในห้องห้องนอนแล้วปิดประตู เธอปล่อยโฮ... ร้องไห้ออกมาอย่างหนักที่ถูกรังแกทั้งทางร่างกายและจิตใจ เจ็บปวดที่ต้องเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง
ที่หน้าผา ปัทม์ยืนเครียด จ้องมองหลุมศพของแสงจันทร์ ภรรยาเก่า ก่อนละสายตาเหม่อมองออกไปเบื้องหน้า เขารู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก ถามตัวเอง
“ฉันน่ะเหรอที่หัวใจหยาบ.. ไม่ใช่คน”
เวลากลางคืน หน้าเรือนรจนาไฉนอาศัยอยู่ เธอเปิดหน้าต่างออกและยังคงเสียใจ ร้องไห้น้ำตาซึม ทรุดตัวพิงหน้าต่างนั้นด้วยสีหน้าและแววตาเศร้าหมอง
มุมมืดด้านหนึ่ง ปัทม์ยืนมองเข้าไปในเรือนคนใช้ ด้วยความรู้สึกเป็นห่วง ก่อนตัดสินใจหันหลังเดินออกไป รจนาไฉนยังคงเศร้าอยู่ตรงนั้น
เช้าวันใหม่ ภายในห้องนอน รจนาไฉนในชุดเดิม สะดุ้งตื่น รีบลุกขึ้นจากเตียงด้วยความตกใจ เมื่อเห็นแสงสว่างที่ลอดเข้ามาทางหน้าต่าง
เธอแต่งตัวใหม่เรียบร้อยแล้วสำรวจตัวเองที่หน้ากระจก ยกข้อมือขึ้นมาดูเห็นรอยบีบเขียวช้ำจากที่โดนวราห์ลวนลามเมื่อวาน เธอรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในใจ
เสียงเคาะประตูดังขึ้น รจนาไฉนสะดุ้ง รีบไปเปิดประตู ปยงค์ยืนหน้าบึ้งอยู่ที่ประตู
“คุณปยงค์”
ปยงค์เตรียมจะทายาหม่อง
“ไหนข้อมือข้างไหนที่เจ็บ ฉันจะนวดให้”
รจนาไฉนแปลกใจ
“รู้ได้ยังไงคะว่าฉันเจ็บข้อมือ”
“รู้ก็แล้วกัน จะนวดรึไม่นวด”
“ไม่นวดก็ได้ค่ะ ฉันไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“เฮ้ย! ไม่นวดไม่ได้ ให้นวดก็ต้องนวด ส่งมือมาเร็ว ๆ”
รจนาไฉนยื่นมือให้ ปยงค์นวดให้อย่างไม่เต็มใจนัก
“หัดระวังตัวหน่อย หล่อนเป็นผู้หญิงนะ คิดยังไงไปยืนอยู่คนเดียวตรงนั้น”
รจนาไฉนอาย คิดว่าปยงค์รู้เรื่องวราห์
“เอ้อ... คือฉันไม่คิดว่าเขาจะ”
“ทีหลังต้องคิดสิ มีสมองรึเปล่า รึว่าสวยอย่างเดียว”
รจนาไฉนกล้ำกลืนความอับอาย
“ไม้กองพะเนินแบบนั้น คนฉลาด ๆ เขาไม่ไปยืนพิงหรอก โดนไม้ฟาดซะข้อมือช้ำ เป็นไงล่ะ”
“ไม้ฟาด”
“รึไม่ใช่”
“ค่ะ ฉันถูกไม้ฟาดข้อมือ”
รจนาไฉนแอบโล่งใจที่ปยงค์ไม่รู้เรื่อง
ในมุมใกล้ๆกัน ชิกับจันทร์เจ้าเดินเข้ามาแอบมองปยงค์กำลังนวดข้อมือให้รจนาไฉนแล้วแปลกใจ
“อุ๊ย...ฟ้าจะผ่าแผ่นดินจะแยก”
จันทร์เจ้าบอกหลังจากมองไปเห็นปยงค์นวดให้รจนาไฉน
“พี่ชิ...เห็นเหมือนฉันมั้ย ป้าปยงค์เอาขี้ผึ้งหลวงมานวดให้เพื่อน เฮ้ย...เอามาได้ยังไง เจ้าของเขาอนุญาตแล้วเหรอ”
“ถ้าไม่อนุญาตจะกล้าเรอะ ถ้าเดาไม่ผิดเนี่ย..ก็มีแต่เจ้าของขี้ผึ้งนั่นแหละ ที่จะใช้ป้ามหาภัยทำเรื่องดี ๆ แบบนี้ได้”
จันทร์เจ้ารำพึงอย่างแปลกใจ
“คุณปัทม์น่ะเหรอใช้”
ปยงค์ยังคงนวดให้รจนาไฉนต่อไป
หน้าโรงบ่มชา เวลาต่อเนื่อง ปัทม์ยืนดูคนงานขนใบชาเข้าไปในโรงบ่มด้วยท่าทางน่าเกรงขาม หน่อเอและพวกเดินเข้ามา สายตาของหน่อเอสำรวจไปทั่ว ๆ ไร่ชาอย่างเก็บข้อมูล
หน่อเอและพวกมายืนตรงหน้าปัทม์ ทั้งสองเผชิญหน้ากัน
“ไม่คิดว่าแกจะมาตามสัญญา”
“หน่อเอไม่เคยผิดคำพูดกับใคร”
“รวมทั้งพวกที่ใช้ให้แกขนยาด้วยใช่มั้ย”
หน่อเอตัดบท
“ไม่ใช่เรื่องของแก จะให้พวกฉันทำอะไร”
หน้าโกดังเก็บใบชา ที่มีลักษณะเป็นเหมือนโรงไม้เก่า ไม่ได้เป็นซิเมนต์ใหญ่แน่นหนาอะไรนัก เหมือนเป็นโรงไม้เก่าที่ปัทม์ใช้ประยุกต์ซ่อมแซม เพื่อเก็บชาที่บรรจุกล่องแล้วเท่านั้น หน่อเอและพวกกำลังแบกลังใส่ชาลำเลียงออกจากโกดังมาขึ้นรถบรรทุก
ปัทม์และชิยืนดูอยู่จากมุมหนึ่ง ชิรู้สึกไม่ไว้ใจพวกของหน่อเอนัก
“ชิไม่ไว้ใจมัน มันไม่เคยจงรักภักดีกับใคร”
“ไม่จำเป็นต้องจงรักภักดีกับฉัน เราให้หน่อเอทำงานที่ไร่ปัทมกุลก็ถือว่าช่วยชาติทางหนึ่ง มันจะได้ไม่มีโอกาสค้ายาอีก”
หน่อเอรู้สึกอึดอัดที่สังเกตเห็นว่า ปัทม์เฝ้าดูอยู่ เขากระแทกลังลงพื้นอย่างโมโห
พวกหน่อเอ1บอก
“มันไม่ไว้ใจ จับตามองเราทุกฝีก้าว”
หน่อเอชำเลืองมองปัทม์อย่างเคียดแค้น
“คนเมืองมีแต่หาประโยชน์จากพวกเรา หน่อเอไม่ยอมให้ใครมาข่มเหงแน่ คนเมืองอย่างมันต้องรู้สึก”
หน่อเอมองลังใส่ใบชาในโกดังอย่างใช้ความคิด
ในครัวบ้านปัทมกุล เวลากลางคืน จันทร์เจ้ากำลังเตรียมอุปกรณ์ชุดชงชา อาทิ กา ถ้วยชา และกระปุกชา รจนาไฉนกำลังเช็ดจานเก็บเข้าที่
“ยังเจ็บข้อมืออยู่รึเปล่า” จันทร์เจ้าถาม
“นิดหน่อย”
“เพื่อนเคยดื่มชามั้ย”
“ก็...เคยดื่มบ้าง”
“ชาดีกับสุขภาพนะเจ้า คุณปัทม์ชอบดื่มหลังอาหาร”
“เพราะมันจะช่วยย่อยสลายไขมัน ลดคลอเลสเตอรอลนี่จ๊ะ”
“เพื่อนรู้ด้วยเหรอ จันทร์เจ้ายังไม่รู้เลยนะ รู้แต่ว่ามันดี”
รจนาไฉนหยิบกระปุกชาขึ้นมาดู
“เคยอ่านจากหนังสือ ชาอู่หลงก็ดีนะ เหมาะสำหรับคนเครียดและเจ้าอารมณ์อย่างคุณปัทม์”
ปัทม์เข้ามาพอดีตรงประโยคที่รจนาไฉนพูดถึงตัวเอง
“จันทร์เจ้า”
รจนาไฉนและจันทร์เจ้าสะดุ้งโหยง รจนาไฉนรีบวางกระปุกชาลง จันทร์เจ้ารีบไปต้มน้ำในกา
“กำลังต้มน้ำเจ้า จะเสร็จเดี๋ยวนี้ล่ะเจ้า”
ปัทม์หันมาพูดกับรจนาไฉน
“เป็นปกติแล้วนี่ ดีนะที่ไม่ถึงตาย”
รจนาไฉนไม่ยอมมองหน้าปัทม์
ปัทม์พูดกับจันทร์เจ้า
“ไปทำอย่างอื่นไป”
“แต่จันทร์เจ้าต้องชงชา”
“ให้คนรู้ดีเขาทำสิ”
“แต่เพื่อนเจ็บข้อมือ”
ปัทม์เสียงเข้ม
“บอกให้ออกไป”
“เจ้า”
จันทร์เจ้ารีบออกไป รจนาไฉนยืดตัวตรงไม่มองหน้า ปัทม์สังเกตข้อมือของรจนาไฉน ยังเห็นรอยเขียวช้ำ
บริเวณโถงโล่งภายในบ้าน มีโต๊ะญี่ปุ่นขนาดเล็กวางอยู่ตรงกลางโถง บนโต๊ะมีอุปกรณ์สำหรับชงชาวางเรียงรายอยู่ครบ ทั้งกาน้ำชา ถ้วยชาพร้อมฝาและจานรอง กล่องใส่ชาแบบสวยงาม ปัทม์เดินนำรจนาไฉนเข้ามา
“ช่วยแสดงให้ดูหน่อย...ว่าลูกผู้ดีตกยากอย่างเธอชงชาได้เก่งเหมือนปากพูด”
“คุณว่าไงนะ”
“ฉันคิดว่าเธอชงชาไม่ได้เรื่อง”
“มั่นใจอย่างนั้นเลยเหรอคะ”
“ที่สุด”
รจนาไฉนเจ็บใจที่ถูกดูถูก มองไปที่อุปกรณ์กลางโถงนั้น แล้วหันมามองปัทม์ที่ยิ้มอย่างท้าทาย
รจนาไฉนนั่งอยู่กลางโถง เธอกำลังดำเนินการชงชาตามกระบวนการและกรรมวิธีที่ถูกต้องและสวยงาม ปัทม์นั่งกอดอกมองเธออย่างตั้งใจ แววตาดูชื่นชอบ ชื่นชมและหลงใหลโดยไม่รู้ตัว เขาเห็นลีลาการชงชาแบบสวยงามมาก
รจนาไฉนจัดการเทน้ำเดือดลงในกาชา แล้วเททิ้ง ปัทม์มองอย่างอึ้ง ๆ เธอตักใบชาลงในกา แล้วเทน้ำร้อนลงไป โดยเทในระดับสูงเพียงครึ่งแล้วปิดฝา แล้วเทน้ำทิ้ง ปัทม์อึ้งอีก
รจนาไฉนหันมามองเย้ยปัทม์ แล้วเทน้ำร้อนลงไปในกาอีกครั้ง แล้วปิดฝาเอาไว้
“ตอนนี้ฉันปลุกใบชาให้ตื่นจากหลับแล้ว... รออีก 1 นาที แล้วถึงจะดื่มได้ ฉันทำทุกอย่างถูกต้องรึเปล่า”
“ไม่ถูก”
“ทำไม”
“ฉันไม่ใช้ชาชุดนี้ เอาชุดโน้น”
ปัทม์ชี้ไปที่ชุดชาอีกชุดที่วางอยู่
“ชงใหม่!”
ปัทม์ยิ้มเยาะเดินออกไป รจนาไฉนเจ็บใจ
รจนาไฉนเพิ่งดำเนินการชงชาถ้วยใหม่เสร็จ ยกให้ปัทม์ แต่ปัทม์ส่ายหน้าไม่รับ
“ฉันไม่ดื่มชาถ้วยนี้”
“ทำไม”
“เปลี่ยนใจ ใช้ชุดกาชุดเก่าดีกว่า”
“อะไรนะ”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว อยากดื่มชาจากชุดเก่า”
รจนาไฉนสูดลมหายใจคล้ายต้องการระงับความรำคาญเต็มที่
“ชงใหม่”
รจนาไฉนระงับอารมณ์เต็มที่
“ก็ได้ค่ะ”
รจนาไฉนลุกขึ้น
“จะไปไหน”
“ไปเติมน้ำ น้ำที่เหลือไม่พอแล้ว”
“เร็ว ๆ นะ รีบไปรีบมาด้วย”
รจนาไฉนหันมาชะงักมองปัทม์ด้วยสายตาแปลกใจทำไมต้องให้รีบมา ปัทม์แกล้ง
“ฉันคิดถึง... ฮึ ๆ”
รจนาไฉนเดินออกไปแบบระงับอารมณ์เต็มที่ ปัทม์มองตามด้วยความสะใจ
ภายในห้องครัว รจนาไฉนมาเติมน้ำด้วยความขุ่นเคือง สายตาไปเจอะกับกระปุกใสใบหนึ่งที่ใส่เกลืออยู่เธอมองเกลือในกระปุกนั้น สายตามีเลศนัยแล้วอมยิ้มน้อย ๆ
รจนาไฉนส่งชาที่เพิ่งชงเสร็จอีกแก้วหนึ่งให้ปัทม์ ปัทม์สงวนท่าทีว่าจะรับดีรึไม่
“ถ้าไม่ดื่มคราวนี้ก็พอนะคะ ฉันเบื่อจะชงแล้ว”
“ดื่มสิดื่ม... เธออุตส่าห์ตั้งใจชงให้ทั้งที ไม่ดื่มได้ไง”
ปัทม์ยกถ้วยชาขึ้นดื่ม รจนาไฉนมองแล้วอมยิ้ม ปัทม์พ่นพรวดออกมา หน้าตาเหยเกเพราะเค็มปี๊ด
รจนาไฉนแอบยิ้มสะใจ แล้วทำเป็นแกล้งตกใจ
“ตายแล้ว เป็นอะไรรึเปล่าคะ”
“เธอ... ทำไมชาของเธอมันถึงเค็มถึงขนาดนี้”
“ปากคุณปัทม์เป็นอะไรรึเปล่าคะ เอ รึว่าอาจจะมีแผลในปากที่กำลังเน่า”
“แสบนักนะ”
“แสบด้วย ตายล่ะ งั้นคงต้องไปให้หมอเขาตรวจดูหน่อยนะคะ ถ้าปล่อยเอาไว้นานอาจจะลุกลาม ทำให้ปากเสียจนพูดไม่ได้ อึดอัดแย่เลย”
“เธอ…”
“จะแกล้งอะไรฉันอีกล่ะ คุณมันก็แค่คนขี้แพ้ ทนไม่ได้ที่เห็นฉันทำในสิ่งที่คุณคิดว่าทำไม่ได้ มันก็แค่นั้น”
“ทำไมเธอถึงคิดอย่างนั้น”
“ก็หรือไม่จริง...คุณใช้ให้ฉันชงชาก็เพราะคิดว่าฉันทำไม่ได้ แต่พอฉันทำได้ดีกว่าที่คุณคิด คุณก็หาเรื่องฉันอีก ถามจริงๆ เถอะ..คุณจะเรียกร้องความสนใจไปถึงไหน”
ปัทม์กอดอกมองรจนาไฉนด้วยแววตาดุดัน แต่รจนาไฉนไม่มีวี่แววว่าจะกลัว
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 4 (ต่อ)
“เอาเข้าจริง... ฉันอยากรู้นักว่าผู้ชายอย่างคุณทำอะไรได้บ้าง นอกจากขี้เก็ก... เอาแต่ใจตัวเอง เอาเปรียบคนอื่น แกล้งคนที่อ่อนแอกว่าไปวันๆ”
ปัทม์จ้องรจนาไฉนเขม็ง ลุกขึ้นแล้วออกคำสั่ง
“มานั่งตรงนี้”
รจนาไฉนนิ่ง
“ฉันสั่งให้เธอมานั่งตรงนี้”
“ฉันไม่จำเป็นต้องทำตาม”
“เธอต้องทำตาม เพราะฉันกำลังจะแสดงให้เห็นว่าผู้ชายอย่างฉันทำอะไรได้ดีกว่าที่เธอพูดบ้าง ฉันสั่งให้เธอมานั่งตรงนี้”
ทั้งเขาและเธอจ้องมองซึ่งกันและกันแบบไม่ยอมแพ้กันเลย
ปัทม์นั่งอยู่ที่กลางโถงบริเวณที่ชงชา ด้วยมาดเท่และสุขุม ด้านตรงกันข้ามกับปัทม์รจนาไฉนนั่งอยู่ เธอกำลังจ้องไปที่ปัทม์ที่กำลังวางมาดเท่
“ชา..ถือเป็นเครื่องดื่มที่ดีต่อสุขภาพ ชาวจีนรู้จักการดื่มและปลูกชามากว่า 2000 ปี เชื่อว่าชามีคุณสมบัติช่วยชะล้างไขมัน สิ่งสกปรก และสารพิษ” ปัทม์ปรายตามองรจนาไฉนแล้วพูดต่อ
“เปรียบไปแล้ว ชาก็ไม่ต่างอะไรจากสตรีเพศมีทั้งความหอม หวานแลรสขม มีเสน่ห์ที่ซ่อนเร้น หากรู้เท่าทัน จะมีทั้งประโยชน์ และคุณค่าแก่เจ้าของ”
ปัทม์ขยับเข้าไปใกล้โต๊ะกลางที่ใช้ชงชา กำลังจะหยิบจับอุปกรณ์ต่าง ๆ
“ต่อไปนี้คือการชงชาสมุนไพร ศาสตร์แห่งโลกตะวันออก”
ปัทม์ตักใบชาออกมา
“เปรียบดั่งการพรอดรัก การชงชาที่มีรสนิยม.. เราต้องให้เวลากับการดอมดมกลิ่นหอมของใบชา โดยตักใบชาหนึ่งช้อนต่อน้ำหนึ่งถ้วย” ปัทม์บอก
ใบหน้าของปัทม์แสดงความหลงใหลในใบชา เธอเริ่มอึ้งและทึ่งในตัวปัทม์มากขึ้นเรื่อย ๆ
“คล้ายตอกย้ำพิศวาสแห่งความผูกพันในรัก เราจึงสามารถใช้กากชาที่เหลือจากการชงครั้งแรกซ้ำอีก 2 ถึง 3ครั้ง เพราะน้ำมันหอมระเหยและสารที่มีสรรพคุณในการบำบัดอื่น ๆ จะทยอยออกจากสมุนไพรอย่างต่อเนื่อง...โดยไม่ทำให้รสชาติเปลี่ยนไป”
ปัทม์เลือกโถและแก้วชาด้วยท่าทางชำนาญ
“ภาชนะบรรจุ เสมือนการสร้างบรรยากาศรสชาติของความใกล้ชิด เลือกโถหรือเหยือกแก้วทนความร้อน แทนโถหรือเหยือกกระเบื้องเคลือบ เพราะจะช่วยให้เห็นทัศนียภาพความสวยงามของชาสมุนไพรที่กำลังล่องลอยโต้โล้กับสายน้ำร้อน โถหรือเหยือกแก้วทนความร้อน ยังสามารถเก็บความร้อนได้ดีกว่า ไม่ทำให้รสชาติดั้งเดิมของชาเสียไป”
ปัทม์กำลังรินน้ำเดือด
“ดั่งลีลาแห่งรัก ที่ต้องปรุงแต่งให้อยู่ในศิลปของความพอดี น้ำที่ต้มจะต้องเป็นน้ำกรองและต้องเดือดได้ที่ ไม่ปล่อยให้เดือดนานเกินไปหรือเพียงแค่ร้อนจัดเท่านั้น เพราะน้ำที่เหมาะสม...จะเป็นหลักประกันว่ารสชาติและสรรพคุณของชาจะยังคงอยู่ครบถ้วน”
ปัทม์เทน้ำเดือดลงบนชา สายตาจับจ้องไปที่น้ำและใบชา
“เทน้ำเดือดได้ที่ลงบนชาเฝ้าดูการทำปฏิกิริยา ชาที่มีดอกและหน่ออ่อนจะสร้างความประทับใจได้มากเป็นพิเศษเมื่อถูกน้ำร้อน เพราะดอกและหน่ออ่อนจะค่อย ๆ เบ่งบานและส่ายไปมา คล้ายสิ่งมีชีวิตในท้องทะเล น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก”
ปัทม์วางแก้วและโถชา ลงบนโต๊ะชง
“ชาสมุนไพรที่ทำจากใบและดอก ควรแช่น้ำเดือดนานประมาณ 3-4 นาที แต่ถ้ามีผลและรากควรแช่ทิ้งไว้นาน 15 นาที เพื่อให้น้ำเดือดสกัดกลิ่นและรสชาติสรรพคุณทางยาออกมา”
รจนาไฉนมองปัทม์ด้วยสายตาทึ่ง ๆ ปัทม์ชงชาเสร็จก็ถือแก้วชาเดินตรงเข้ามาหา เธอเผลอเคลิบเคลิ้มไปกับท่าทางของปัทม์โดยไม่รู้ตัว
“การดื่มชา...เป็นอีกศาสตร์หนึ่งแห่งความเร้นลับ เพื่อการดื่มด่ำในรสชาติที่ถูกต้อง ริมฝีปากที่สัมผัสตรงกับถ้วยชาต้องแผ่วเบาและละมุนละไม เปรียบดั่งการ จุมพิตที่น่าทะนุถนอม มิใช่เร่าร้อนดุดัน”
ปัทม์เดินอ้อมเข้าไปทางด้านหลังของเธอพร้อมถ้วยชา ส่งท่อนแขนโอบเธอไว้ทางด้านหลัง.. คล้ายกำลังประคองถ้วยชาป้อนให้ถึงปาก ทั้งสองคนเหมือนกำลังประคองกอดกันหลวม ๆ โดยปัทม์ป้อนชาให้รจนาไฉน
“ได้กลิ่นหอมของใบชามั้ย”
ใบหน้าของปัทม์ตอนนี้อยู่ในตำแหน่งซอกคอของรจนาไฉน ปัทม์ทำเป็นสูดลมหายใจ
“น่าแปลกที่ทำไมวันนี้กลิ่นหอมของใบชาเปลี่ยนไป ไม่ใช่อย่างที่ผมคุ้นเคย”
รจนาไฉนเงยหน้าขึ้นมองปัทม์ แววตาอ่อนโยนคล้ายกำลังเคลิบเคลิ้มไปด้วย ริมฝีปากทั้งคู่เคลื่อนมาใกล้กันมากขึ้น ๆ เหมือนบังคับตัวเองไม่ได้
ปัทม์สีหน้าเปลี่ยนไป จากอ่อนโยนกลายเป็นเหมือนเหยียด
“มันไม่ใช่กลิ่นหอมของใบชา แต่เป็นกลิ่นของทุนนิยมที่ไม่น่าทะนุถนอมหรือน่าหลงใหลเลยสักนิด ผู้หญิงเห็นแก่เงินอย่างคุณ ไม่เหมาะสมจะลิ้มรสความหอมหวลของชาถ้วยนี้หรอกรจนาไฉน !”
ปัทม์ผลักรจนาไฉนออกเต็มแรงจนแทบล้ม เขาจ้องหน้าเธอแล้วจึงเทชาที่ชงลงที่พื้นช้า ๆ แววตาเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม เขาเดินออกไปจากห้องทันที เธอมองตามด้วยความไม่เข้าใจในผู้ชายคนนี้
เวลาต่อเนื่องมา ปัทม์เดินเข้ามาที่หน้าผาในความมืด แสงจันทร์กระทบแววตาที่เต็มไปด้วยความเศร้าจากอดีตที่ยังตอกย้ำอยู่ในหัวใจ ปัทม์จ้องตรงไปยังหลุมศพ
“ผู้หญิงคนนี้ก็ไม่ต่างอะไรจากคุณ !”
ปัทม์จมอยู่กับอดีตที่เต็มไปด้วยความอ้างอ้างและเปลี่ยวเหงาในแววตา
วันใหม่ บ้านพ่อเลี้ยงเจง อุรารัตน์เดินสวยเริดเชิดกำลังจะออกไปข้างนอก
“สวยเลิศค่ะ...คุณแอรี่” นงนุชคนสนิทของอุรารัตน์บอก
“อุรารัตน์จะออกไปไหนอีก ลูกไปกรุงเทพฯตั้งหลายวันไม่ไปดูแลคุณปัทม์ ระวังคุณปัทม์จะคว้าผู้หญิงคนอื่นแต่งงาน”
“เป็นไปไม่ได้ค่ะคุณพ่อ ไม่มีผู้หญิงคนไหนจะมีเสน่ห์มัดใจปัมท์เท่ากับแอรี่อีกแล้ว”
“แล้วที่คุณแอรี่ไปกรุงเทพฯก็ไปวางแผนมัดใจคุณปัทม์นะคะ” นงนุชว่า
“ลูกมีแผนอะไร”
“บอกตอนนี้ไม่เซอร์ไพรส์สิคะ”
อุรารัตน์ถามนงนุช
“ทีมงานจากกรุงเทพฯ มาถึงไหนแล้ว”
“เข้าเชียงรายแล้วค่ะ อีกไม่เกินชั่วโมงน่าจะอยู่ที่จุดนัดพบ” นงนุชรายงาน
“ดีมาก”
“ทีมงานกรุงเทพ นี่หนูคิดจะทำอะไรเหรอ” พ่อเลี้ยงเจงถาม
“คุณพ่อไม่ต้องห่วงค่ะ แอรี่ต้องครองใจปัทม์ให้ได้ เพื่อความสุขของคุณพ่อและแอรี่”
อุรารัตน์ยิ้มอย่างมั่นใจ พ่อเลี้ยงเจงก็มีความสุขที่จะได้เกี่ยวดองปัทม์มาเป็นพวกเดียวกัน
“วันนี้จะเป็นวันเริ่มต้นประกาศให้คนในสังคมรู้ว่า แอรี่กับพ่อเลี้ยงปัทม์แห่งไร่ปัทม์กุล มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากแค่ไหน”
หน้าบ้านปัทม์ ไร่ปัทมกุล อุรารัตน์ในชุดเจ้านางทางเหนือนั่งอยู่บนเสลี่ยง มีชายหนุ่มกำยำแต่งชุดไทใหญ่เปลือยอกแบกเสลี่ยง นงนุช สาวติดตามคนสนิทถือโทรโข่งประกาศดังลั่น
“คุณอุรารัตน์มาแล้ว”
อุรารัตน์นั่งยิ้มอย่างสง่างามดุจนางพญา รจนาไฉน จันทร์เจ้าเดินออกมาดูขบวน
“เดี๋ยวนี้ยังมีเจ้าทางเหนือเดินทางด้วยเสลี่ยงอยู่อีกเหรอ” รจนาไฉนถาม
“โอ้ย เจ้าทางเหนืออะไรกัน ลูกสาวของพ่อเลี้ยงเจงเจ้าของรีสอร์ต คนนี้ล่ะ ชื่ออุรารัตน์”
ปยงค์เข้ามา ชิงแนะนำอย่างภาคภูมิใจ
“และคุณอุรารัตน์ก็เป็นว่าที่คุณนายของไร่ปัทมกุล หรือพูดสั้นๆ กระชับๆ ได้ใจความว่า เป็นแฟนคุณปัทม์”
“ถามนายหรือยังเจ้า ว่ายอมรับคุณอุรารัตน์เป็นแฟนหรือเปล่า” จันทร์เจ้าถาม
“ทำไมต้องถาม นอกจากคุณอุรารัตน์แล้ว นายก็ไม่เคยให้ความสนิทสนมกับผู้หญิงคนไหน อย่างนี้มันจะแปลว่าอะไรได้” ปยงค์ว่า
“ขี้ตู่ไงเจ้า”
“หุบปากไปเลยนังจันทร์! เรื่องของเจ้านาย ขี้ข้าอย่างแกอย่าสะเออะออกความเห็น” ปยงค์ว่า
จันทร์เจ้าย้อน
“ใช่...ขี้ข้าอย่าสะเออะ เนอะเจ้า”
“นังจันทร์!”
“เจ้า”
พูดจบ จันทร์เจ้ารีบคว้ามือของรจนาไฉนให้รีบเดินเข้าบ้านไป ปยงค์หันไปมองชื่นชมอุรารัตน์
“สวย สง่างาม ไม่มีที่ติ สมบูรณ์แบบแทบกราบเลยจริงๆ”
อุรารัตน์นั่งอยู่บนเสลี่ยงอย่างงามสง่า
เสลี่ยงของอุรารัตน์เคลื่อนที่มาเรื่อย ๆ ดูคล้าย ๆ จะสง่างาม แต่พอเดินไปได้พักหนึ่งชายแบกเสลี่ยงสะดุดเดินเซ จนเสลี่ยงเทไปข้างหนึ่ง อุรารัตน์เกือบร่วงเลยวีนแตก
“ว้าย ! แบกดี ๆ สิ ไอ้บ้า”
นงนุชพูดใส่โทรโข่งใกล้อุรารัตน์มาก
“เจ๊ มาจัดการเด็กเจ๊เลย”
เจ๊ไวไว โปรดิวเซอร์สาวประเภทสองวิ่งเข้ามาดูแลอุรารัตน์
“น้องแอรี่ไม่ต้องตกใจนะคะ”
เจ๊ไวไวหันไปวีนนายแบบที่แบกเสลี่ยง
“นี่แบกดี ๆ แรงไม่มีรึไง”
อุรารัตน์เดินเข้ามาวางท่าโดยมีนงนุชและปยงค์เดินตามต้อย ๆ
“นิตยสารทูเดย์เซเลบ ต้องการมาถ่ายทำสกู๊ปแฟชั่นคนดังเมืองเหนือ ฉันเลยบอกให้เค้ามาถ่ายฉันที่นี่”
ปยงค์ถาม
“ที่นี่เหรอคะ”
“ใช่... มีปัญหาอะไร”
“ปละ...เปล่าค่ะ ไม่มีหรอกค่ะ”
ปยงค์เห็นรจนาไฉนกับจันทร์เจ้ายืนอยู่ รีบออกคำสั่งทันที
“รีบไปเอาน้ำมารับแขกสิยะ ยืนเซ่ออยู่ได้ ไม่รู้จักหน้าที่”
“ค่ะ/เจ้า” รจนาไฉนกับจันทร์เจ้ารับคำ
อุรารัตน์เห็นหน้ารจนาไฉนปุ๊บ ก็ไม่ถูกชะตาขึ้นมาทันที
“หยุดก่อน”
รจนาไฉน จันทร์เจ้าหยุดเดิน ค่อยๆหันมา อุรารัตน์เดินมามองรจนาไฉนตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ปยงค์ ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร ทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้า”
รจนาไฉนยิ้มอย่างเป็นมิตร
“ฉันชื่อรจนาไฉนค่ะ”
“ฉันถามปยงค์ ไม่ได้ถามแก อย่าเผยอหน้ามาตอบ”
“เป็นคนงานมาใหม่ค่ะ ชื่อเพื่อน นายพามาจากกรุงเทพฯ”
อุรารัตน์ซักอย่างเร็ว
“คุณปัทม์เป็นคนพามา คุณปัทม์พาแกมาจากไหน”
รจนาไฉนเงียบไม่ตอบ
“คุณแอรี่ถามไม่ได้ยินรึไง ทำไมไม่ตอบ” นงนุชว่า
“ก็คุณสั่งไม่ให้ฉันตอบนี่คะ”
“ต๊าย...ย้อนฉัน บอกมาแกเป็นลูกเต้าเหล่าใคร คุณปัทม์ไปรู้จักแกได้ยังไง แกมีแฟนหรือยัง”
“คือว่าฉัน...”
“ฉันยังถามไม่จบ อย่ามาขัด ไม่มีมารยาท ถ้าแกยังไม่มีแฟน ฉันขอบอกไว้ก่อนเลยนะ อย่าได้คิดต่ำทราม ใช้ความสาวความใกล้ชิดแย่งคุณปัทม์ไปจากฉัน”
“ค่ะ ดิฉันไม่คิดหรอกค่ะ เพราะใครที่คิดอย่างนั้นถือเป็นความคิดที่แย่มาก”
“ดี”
“นังหน้าสวยมันด่าว่าคุณหนูคิดเลวคิดชั่วนะคะ” นงนุชว่า
“ว้าย นังขี้ข้า กล้าด่าฉันเรอะ ฉันจะฟ้องคุณปัทม์”
รจนาไฉน จันทร์เจ้า มองอุรารัตน์ด้วยสายตารำคาญอยู่กลาย ๆ
เจ๊ไวไวกำลังสั่งกองถ่าย ปัทม์เข้ามากับชิ เห็นความวุ่นวายของกองถ่ายแล้วไม่พอใจ
“มาทำอะไร” ปัทม์ถาม
เจ๊ไวไวไม่คิดว่า ปัทม์เป็นเจ้าของไร่ แต่คิดว่าเป็นคนงานในไร่
“กองถ่ายแบบแฟชั่นไงยะ ไม่รู้จักหรือไง ลืมไปว่าเป็นแค่คนงานบ้านนอก จะอธิบายให้ฟัง นี่เป็นคอลัมน์แนะนำตัวเซเล็บหน้าใหม่ ระหว่างคุณอุรารัตน์ทายาทรีสอร์ตพันล้านกับแฟนหนุ่มพ่อเลี้ยงปัทม์ ปัทมกุลเจ้าของไร่ชา....ถอยไป ๆ อย่ามาเกะกะ เจ๊จะทำงาน”
“พวกคุณนั่นแหละออกไป”
“ว้าย...ไล่เจ๊ เป็นแค่คนงานไร่ชามาทำเป็นใหญ่ เจ๊จะฟ้องคุณอุรารัตน์ให้จัดการพวกแก”
ปัทม์ไม่พอใจ เดินเข้าไปกระชากฉากการถ่ายทำแล้วโยนทิ้ง
“จัดเต็มอีกแล้ว” ชิบอก
“เมายารึไงถึงกล้าทำแบบนี้...เจ๊จะฟ้องคุณปัทม์ เจ้าของไร่ให้ไล่พวกแกออก”
“ก็ฟ้องสิ นายยืนอยู่นี่แล้ว” ชิบอก
ชิชี้ไปที่ปัทม์ เจ๊ไวไวยืนอึ้ง
“นาย”
ชิบอก
“พ่อเลี้ยงปัทม์ ปัทมกุล”
เจ๊ไวไวทรุดย่อตัวไหว้อย่างงาม
“สวัสดีเจ้า..เจ๊ว่าแล้วเชียว หน้าตาดีมีราศีสมแล้วที่เป็น...”
“เก็บของออกไปเดี๋ยวนี้”
ปัทม์เดินข้าไปดูในบ้าน
มุมหนึ่งบ้านปัทม์ อุรารัตน์กำลังโกรธจัด
“กล้ามาด่าว่าฉันเลว ฉันชั่วได้ไง..นังขี้ข้า”
“ฉันไม่ได้ด่านะคะ แค่พูดให้คุณรู้ว่า ฉันไม่มีทางทำอะไรแย่ ๆ อย่างนั้น แล้วคุณอุรารัตน์จะร้อนตัวไปทำไมล่ะคะ รึว่าคุณอุรารัตน์คิดใช้ความสาวยั่วคุณปัทม์”
จันทร์เจ้าถูกใจรจนาไฉน
นงนุชสาระแน
“มันหลอกด่าว่าคุณแอรี่คิดเลวคิดชั่วอีกแล้วค่ะ”
“แอร๊ย” อุรารัตน์กรีดเสียงลั่น
“มันกล้าลองดีกับคุณแอรี่ ตบสั่งสอนมันนะคะ”
อุรารัตน์สั่ง
“นงนุชตบ !”
นงนุชตบ แต่รจนาไฉนหลบได้ นงนุชเลยตบหน้าอุรารัตน์แทน
“ขอโทษค่ะ ขอแก้มือค่ะ”
อุรารัตน์พยายามจับรจนาไฉน นงนุชจะตบ รจนาไฉนหลบ นงนุชตบโดนอุรารัตน์อีกแล้ว
“ว้าย...นังนงนุช แกกับปยงค์จับมันไว้”
อุรารัตน์ตั้งท่าจะตบ
“หยุดนะ มีอะไรกัน”
อุรารัตน์หันไปเห็นปัทม์ ก็แกล้งตบตัวเองลงไปกลิ้งบนพื้นทันที
“โอ๊ย.. ปัทม์ขา แอรี่ถูกตบ”
รจนาไฉน จันทร์เจ้าตกใจ เหวอ ที่อุรารัตน์กล้าทำร้ายตัวเองแล้วใส่ร้ายรจนาไฉน
โถงบ้านปัทมกุลกลางวัน อุรารัตน์ออเซาะปัทม์ ลูบแก้มตัวเองป้อยๆ
“ปัทม์ขา...ปัทม์ต้องจัดการให้แอรี่นะคะ มันทั้งด่าทั้งทำร้ายแอรี่”
“แต่ฉันไม่ได้”
ปัทม์ พูดเสียงนิ่ง
“ไม่ได้ถาม”
รจนาไฉนนั่งบนพื้นก้มหน้านิ่ง อุรารัตน์ยิ้มเย้ยรจนาไฉน ปยงค์นั่งตีหน้าไม่ถูกที่อยู่ฝั่งอุรารัตน์
“นงนุชเป็นพยานได้ค่ะคุณปัทม์ ว่านังคนหน้าเยินมันด่าและตบหน้าคุณแอรี่”
“แต่ชิเห็นเต็มสองลูกกะตาว่าคุณอุรารัตน์ตบตัวเอง” ชิบอก
“ใช่.....ไม่เชื่อถามป้าปยงค์ได้” จันทร์เจ้าบอก
“ไม่รู้ ตอนนั้นฉันกระพริบตาเลยมองไม่เห็น” ปยงค์หาทางออกให้ตัวเอง
ปัทม์พยายามแกะอุรารัตน์ออก และไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด
“ในเมื่อไม่มีหลักฐาน ก็ให้มันจบ ๆ ไป”
ปัทม์เปลี่ยนเรื่องทันที
“คุณพาทีมงานมาถ่ายภาพ ทำไมไม่บอกผมก่อน”
“แอรี่อยากเซอร์ไพรส์ปัทม์นี่คะ แม็กกาซีนเค้าอยากถ่ายภาพแอรี่กับปัทม์ในฐานะเซเล็บคู่รัก”
อุรารัตน์ออดอ้อน ปัทม์งง
“คู่รัก”
“แหม...แค่ถ่ายภาพไม่นานหรอกค่ะ แช๊ะ แช๊ะ แป๊บเดียวเอง”
“ฉันว่าคุณควรจะถ่ายนะคะ เพื่อเป็นการประชาสัมพันธ์ไร่ชา และประกาศให้ทุกคนรู้ว่า คุณอุรารัตน์เป็นเจ้าของหัวใจคุณปัทม์” รจนาไฉนบอก
“ใครสั่งให้เธอออกความเห็น” ปัทม์ถาม
รจนาไฉนต้องการหยั่งเชิงความรู้สึกของปัทม์
“ขอโทษนะคะที่ก้าวก่าย ฉันเพียงแต่สงสัยว่าทำไมคุณปัทม์ถึงไม่ยอมถ่ายภาพคู่กับคุณอุรารัตน์ หรือว่าคุณปัทม์มีภรรยาแล้ว”
“รึว่าปัทม์มีผู้หญิงคนอื่น บอกมานะผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร”
ปัทม์ตัดปัญหา
“ตกลง ผมจะถ่ายภาพคู่กับคุณ เพื่อประกาศให้ทุกคนรู้ว่าผมไม่มีใครนอกจากคุณ”
“ปัทม์น่ารักที่สุดเลย”
ปัทม์มองเย้ย ต้องการให้รจนาไฉนปวดใจ
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ปัทม์ใส่ชุดเจ้าไทยใหญ่เรียบร้อย เดินออกมาด้วยมาดเจ้าทางเหนือ..ดูสง่า อุรารัตน์เห็นแล้ววิ่งเข้าไปประจ๋อประแจ๋ ควงแขนปัทม์ไปนั่งที่เก้าอี้ ที่เซ็ตไว้เป็นมุมแต่งหน้ารจนาไฉน จันทร์เจ้า ชิที่มุมใกล้ๆ
“นายนะนาย ทำตัวเป็นพระเอกหนังไทยน้ำเน่า ยอมให้นังอิจฉาตู่ว่าเป็นแฟน ทำทำไมเนี่ย” จันทร์เจ้าว่า
“ประชดนางเอกไง” ชิบอก
“เขาไม่ได้คิดประชดหรอก เขาก็แค่ทำตามหัวใจ คุณอุรารัตน์เหมาะสมที่จะเป็นนางเอกของเขา” รจนาไฉนบอก
รจนาไฉนมองปัทม์กับอุรารัตน์ แล้วจะเดินออกไป
ชิมองปัทม์และรจนาไฉน
“โน่นประชด นี่ช้ำ...คนดูอย่างเราก็ได้แต่ เฮ้อ”
อุรารัตน์เห็นรจนาไฉนจะเดินออกไป ก็ต้องการจะจิกใช้
“โอ๊ย หิวน้ำ ขอน้ำหน่อย”
“มาแล้วค่ะ” ปยงค์เข้ามาพร้อมถาดน้ำ
อุรารัตน์ชี้ไปที่รจนาไฉน
“ให้แม่นั่นเอามาให้ฉัน”
ปยงค์หันไปส่งถาดน้ำให้รจนาไฉน เธอรับมา แล้วเดินไปเสิร์ฟให้อุรารัตน์
“จะยืนค้ำหัวอีกนานมั้ย เป็นคนใช้ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง คลานเข้ามา”
รจนาไฉนอึ้งไม่อยากทำตามอุรารัตน์สั่ง
“ทำตามที่คุณอุรารัตน์สั่ง” ปัทม์บอก
รจนาไฉนคลานแล้วเอาน้ำเข้ามาเสิร์ฟ
อุรารัตน์รับแก้วน้ำมาป้อนให้ปัทม์
“ทานน้ำนะคะปัทม์ขา”
ปัทม์ดื่มน้ำที่อุรารัตน์ป้อนให้แล้วจับมืออุรารัตน์เพื่อเย้ยรจนาไฉน... ฝ่ายรจนาไฉนเก็บสีหน้าหมั่นไส้ปัทม์ เมื่อเธอเดินกลับไปปัทม์ก็รีบเอามือออก เลิกเล่นละครทันที
“ผมอิ่มแล้ว”
ในมุมต่างๆของไร่ชา ปัทม์ถ่ายภาพคู่กับอุรารัตน์ท่าทางต่างๆ มีภาพนายแบบเป็นตัวประกอบ...
เพื่อแสดงถึงความยิ่งใหญ่ของคู่รักคู่นี้...
รจนาไฉนยืนมองด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนักที่ปัทม์ก็คอยใกล้ชิดอุรารัตน์เพื่อเย้ยเธอ
ตอนกลางวัน รจนาไฉน จันทร์เจ้าและปยงค์ช่วยกันเสิร์ฟอาหารให้ปัทม์ อุรารัตน์ เจ๊ไวไว และทีมงานที่โต๊ะยาวกลางไร่ ท่ามกลางบรรยากาศสวยงาม รจนาไฉนตักข้าวให้อุรารัตน์
“ของฉันครึ่งทัพพี แต่ของคุณปัทม์เยอะ ๆ หน่อย สองทัพพีเพราะปัทม์คงหิวมาก ใช่มั้ยคะปัทม์ขา”
ปัทม์ไม่พูดอะไร รจนาไฉนตักข้าวให้ปัทม์แถมพูดประชด
“ว่าที่คุณนายไร่ปัทมกุลให้ฉันตักสองทัพพี พอมั้ยคะ”
ปัทม์ไม่พอใจที่ถูกรจนาไฉนประชดใส่ หลังตักข้าว รจนาไฉนเดินไปหลบอยู่ข้างหลังเพื่อรอคำสั่ง
“อิจฉาน้องแอรี่เหลือเกิน จะมีข่าวดีกันเมื่อไหร่คะเนี่ย” เจ๊ไวไวบอก
อุรารัตน์เขินอาย
“คุย ๆ กันอยู่เหมือนกัน คิดว่าคงจะ...”
ปัทม์ขัดขึ้น
“เชิญทานข้าวครับ...เย็นแล้วเดี๋ยวจะชืดไม่อร่อย”
อุรารัตน์รู้สึกหน้าแตก จันทร์เจ้ากับชิแอบหัวเราะสะใจกัน
“คนอะไรไม่เป็นสุภาพบุรุษ ไม่ให้เกียรติแฟนตัวเอง”
ปัทม์หันมองรจนาไฉนทันที เจ๊ไวไวลอบมองรจนาไฉน ก่อนจะพูดกับปัทม์
“คุณน้องคนนี้หน้าสวยหวาน”
ปัทม์คิดแผนขึ้นมาได้
“สนใจเอาเข้าฉากได้นะครับ”
“จริงเหรอคะ”
เจ๊ไวไวหันไปบอกรจนาไฉน
“น้อง...ไปเปลี่ยนเสื้อผ้ามาถ่ายภาพให้เจ๊ด้วยนะ”
“ไม่เหมาะมั้งคะ คอลเลกชั่นคู่รัก เพื่อนเข้าไปถ่ายด้วยจะเป็นส่วนเกิน”
“จะเกินได้ไง...เพราะเธอต้องมาเป็นตัวละครคนใช้ เป็นทาสของพวกฉัน ไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้”
ปัทม์ออกคำสั่ง รจนาไฉนหมดสิทธิ์ปฎิเสธ
เจ๊ไวไวเคาะประตูห้องเปลี่ยนชุดในเวลาต่อมา
“เสร็จหรือยังจ๊ะ”
รจนาไฉนในชุดผ้าแถบ นุ่งซิ่น แบบสาวเหนือโบราณ เปิดประตูห้องเปลี่ยนชุดออกมาด้วยท่าทางอย่างสง่างาม ปัทม์ที่ยืนอยู่หันมาแล้วตะลึงในความสวย เขามองจนต้องมองค้าง เธอเห็นสายตาเขาแล้วอดจะเกิดความรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้ อุรารัตน์เข้ามาเห็นปัทม์มองรจนาไฉนไม่วางตา ก็ไม่พอใจ
“ปัทม์คะ”
ปัทม์สะดุ้ง
“ครับ”
“ถึงกับตะลึงเลยหรือคะ”
“เปล่า ผมแค่มองดูของแปลก”
รจนาไฉนมีสีหน้าไม่พอใจ อุรารัตน์ส่งสายตาเหยียดหยาม
ในมุมถ่ายรูป เจ๊ไวไวจัดท่าให้ปัทม์และอุรารัตน์โพสต์บนตั่งโบราณ กลางไร่ชากว้างใหญ่ เห็นนายแบบหนุ่มนั่งคุกเข่าเป็นแบ็คกราวน์ รจนาไฉนนั่งหน้าตึงถือพัดอยู่ข้าง ๆ ปัทม์ลอบชำเลืองมอง
“ถ่ายเลยจ๊ะถ่ายเลย มองมาที่กล้อง จิกๆนะคะ จิกๆ”
อุรารัตน์มองกล้องจิกตามาก ปัทม์นั่งตัวแข็ง แต่ใบหน้ามีรอยยิ้ม ในขณะที่รจนาไฉนนั่งหน้าตึง
“น้องนางเล็ก ๆ ยิ้มหน่อยได้มั้ยครับ”
รจนาไฉนจำใจยิ้มสวยๆ งามๆ แต่ออกมาแข็งมาก
“เอาใหม่จ้ะ ยิ้มจ้ะ ไม่ใช่แยกเขี้ยวเหมือนจะกินหัวใคร” เจ๊ไวไวว่า
“โอ๊ย เร็วๆได้มั้ย เมื่อยจะตายอยู่แล้ว ถ่ายไม่ได้ก็ไม่ต้องถ่าย เสียเวลาคนอื่น” อุรารัตน์ว่า
“ไม่มีใครยิ้มเก่งมาจากท้องพ่อท้องแม่หรอกนะคะ ดูตัวอย่างเจ๊นะคะ ยิ้มพิมพ์ใจ”
เจ๊ไวไวยิ้มให้รจนาไฉนดูเป็นตัวอย่าง เธอพยายามยิ้มเลียนแบบ ตากล้องกดชัตเตอร์ทันที
ปัทม์ลอบมองเห็นแล้วเผลอเอ็นดู แต่เมื่อเห็นสายตาของอุรารัตน์จ้องมองมาอย่างดุ ปัทม์รีบหันหน้าไปทางอื่นทันที
“อ่ะ เปลี่ยนโพสต์”
อุรารัตน์จงใจเปลี่ยนโพสต์ไปกอดคอปัทม์อย่างใกล้ชิดนัวเนียที่สุด
“อุย...แรง” เจ๊ไวไวบอก
รจนาไฉนพยายามไม่สนใจ นั่งนิ่งยิ้มพิมพ์ใจเหมือนเดิม
อุรารัตน์เปลี่ยนโพสต์ใกล้ชิดกับปัทม์ไปเรื่อย จนเขาอึดอัด รจนาไฉนยิ้มเยาะปัทม์ อุรารัตน์จับหน้าของปัทม์หันมา แล้วส่งสายตาออดอ้อนหวานซึ้ง
เจ๊ไวไวพูดกับตากล้อง
“จะถึงขั้นจูบปากมั้ยเนี่ย เจ๊ล่ะกลัวใจ”
รจนาไฉนเห็นแล้ว รู้สึกไม่พอใจ เบือนหน้าหนี ปัทม์ลุกขึ้นทันที
“ผมว่า...แค่นี้ก็น่าจะพอแล้ว”
“แต่ว่า...”
“พอ...”
“โอเคค่ะ...แค่นี้ก็เลือกรูปไปลงไม่หวาดไม่ไหวแล้ว ชิญคุณอุรารัตน์เปลี่ยนชุดได้เลยค่ะ”
นงนุชคว้าตัวอุรารัตน์พาไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ปัทม์เดินเข้ามาเย้ยรจนาไฉน
“ฉันว่าบทบาทแบบนี้เหมาะสมกับเธอดี”
รจนาไฉนจะเดินหนีออกไป แต่เจ๊ไวไวเข้ามาขวาง
“จะรีบไปไหน”
“ถ่ายเสร็จแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
“เจ๊ขอถ่ายอีกเซ็ตนึง เชิญคุณปัทม์ด้วยนะคะ”
ปัทม์และรจนาไฉนแปลกใจว่าถ่ายอะไร
มุมหนึ่งที่ไร่ชา เจ๊ไวไวเข้ามาจัดโพสต์ท่า รจนาไฉนจะลงนั่งเป็นบทบาทคนใช้
“ไม่ต้องนั่งจ้ะน้อง เซ็ตนี้ไม่เกี่ยวกับเซเล็บคู่รักแล้วค่ะ แต่จะใช้โปรโมทชุดของร้านผ้า เป็นคอนเซ็ปต์ประมาณ เจ้าแอบมีใจให้นางเล็ก ๆ ชื่อภาพว่า ทาสหัวใจ”
ทั้งคู่ต่างมองหน้ากันไม่อยากทำ แต่เจ๊ไวไวเข้ามาจัดท่าให้
“กอดกันเลยค่ะ แหม.. มืออาชีพทั้งคู่เลย กอดแน่น ๆ ยิ้มหวาน....ค่ะ”
ปัทม์มองหน้าแต่ไม่ยิ้ม
“ขอโทษ ผมทำไม่ได้... เพราะผมไม่ได้รักคนใช้”
“ใช่ค่ะ เพราะในชีวิตจริงคนใช้อย่างฉัน คงไม่มีสิทธิ์คิดรักเจ้านาย”
“ตัดโลกแห่งความเป็นจริงออกให้หมด...นี่เป็นเพียงบทบาทสมมติ เจ๊ขอร้องละ จะได้เสร็จ ๆ ไป เอางี้ ค่อย ๆ หลับตานะคะ...”
ปัทม์และรจนาไฉนจำต้องหลับตา ทำตามเจ๊ไวไว
“จินตนาการว่าเราเป็นคนใช้ คนใช้ที่เคยเกลียดชังเจ้านาย แต่ภายในใจแล้ว รักเขาโดยไม่รู้ตัว”
ทั้งคู่นิ่ง...เหมือนกำลังฟังเจ๊ไวไว
“ส่วนเจ้านายก็เกลียดชังนังทาสมาก....แต่ยิ่งแกล้งก็ยิ่งพบว่า เธอช่างแสนดี อ่อนโยน อ่อนหวาน จนเราไม่อาจทานความรู้สึกในหัวใจได้... เอาล่ะ ค่อย ๆ ลืมตานะคะ”
ปัทม์และรจนาไฉนลืมตา มองสายตาคู่นั้นด้วยความรู้สึกอินตามบทบาทที่เจ๊ไวไวบอก
“เลิศค่ะ” เจ๊ไวไวหันไปส่งสัญญาณให้ช่างภาพที่ถ่ายภาพแล้วคอยกำกับอยู่ห่างๆ
“คราวนี้โน้มตัวเข้าไปอีก... เชยคาง...สบตาไว้นะคะ”
ทั้งปัทม์และรจนาไฉนต่างสบตากันแสดงความรู้สึกภายในใจ
“เจ้านายยื่นหน้าไปหานางเล็ก แล้วจะจุมพิต...”
ปัทม์ทำตาม จนหน้าเกือบชิดรจนาไฉน แต่แล้ว...
“แอร๊ย...”
ทุกคนหันไปเจออุรารัตน์วีนแตก...รจนาไฉนรีบออกห่างปัทม์ทันที
อุรารัตน์มองเขม่นไม่พอใจ
“มันกอดปัทม์ แล้วปัทม์ก็จะจูบมัน”
“มันก็แค่ภาพถ่าย” ปัทม์บอก
เจ๊ไวไวสนับสนุน
“ใช่ค่ะ เป็นแค่บทบาทสมมติ คุณน้องหึงคนใช้ด้วยเหรอ”
นงนุชกลัวอุรารัตน์เสียหน้ารีบตัดบท
“เจ๊ถ่ายเสร็จแล้วก็ยกกองกลับไปได้แล้ว”
“จ้ะ...เจ๊ได้ภาพถูกใจแล้ว ทุกคนเก็บของ” เจ๊ไวไวบอก
รจนาไฉนจะเดินออกไป อุรารัตน์เข้ามาขวางไว้
“จำไว้นะ ที่ปัทม์ยอมทำอย่างนั้นเพราะความจำเป็น อย่าริเก็บไปคิดฝันหวาน ว่าคุณปัทม์จะรักแก”
“ไม่เอาน่าคุณ... คนใช้ก็เป็นได้แค่คนใช้ ไม่มีวันเป็นอะไรได้มากกว่านี้หรอก” ปัทม์บอก
“ขอบคุณที่เตือนสติฉัน แต่คงไม่จำเป็น...เพราะดิฉันรู้ตัวดีว่าอยู่ในฐานะอะไร โลกแห่งความเป็นจริงไม่ได้สวยงามเหมือนโลกในฝัน ทาสก็เป็นได้แค่ทาส”
รจนาไฉนเดินออกไป
“หยิ่งยโสโอหัง” นงนุชว่า
อุรารัตน์อ้อนปัทม์
“ถ่ายภาพเสร็จแล้ว เราออกไปหาอะไรกินกันข้างนอกนะคะ”
“เหนื่อยมาทั้งวัน คุณกลับไปเถอะ...ผมอยากพักผ่อน”
ปัทม์เดินออกไป นงนุชเข้ามาหาอุรารัตน์
“คุณแอรี่กลับกันเถอะ คุณปัทม์ไล่แล้ว”
“ปัทม์ไม่ได้ไล่แต่เป็นห่วงฉัน อยากให้ฉันพักผ่อนต่างหาก”
อุรารัตน์เดินนำออกไป...นงนุชส่ายหน้าเอือมระอา ปยงค์รีบเข้าไปส่งอุรารัตน์
พระอาทิตย์ตกดินสวยงาม เปลี่ยนเวลาเป็นกลางคืน ที่มุมมืดแห่งหนึ่งใกล้กับบริเวณโกดังเก็บชา หน่อเอกับพวกแอบซุ่มเดินเข้ามา ในมือ ถือแกลลอนใส่น้ำมันติดมาด้วยหลายแกลลอน
“เอาแน่เหรอลูกพี่ เราเพิ่งมาทำงานไม่นาน... มันรู้แน่ว่าเป็นพวกเรา”
“จับได้แล้วไง... ไม่มีหลักฐาน”
หน่อเอเอาผ้ามาคลุมหน้าแล้วพยักหน้ากับลูกน้อง ลูกน้องต่างเอาผ้าคลุมหน้าแล้วรีบซุ่มออกไปอย่างรวดเร็ว หน่อเอกับพวกกำลังเข้าไปใกล้โกดังเก็บชาเต็มที
มุมหนึ่งไร่ชา เวลากลางคืน ปัทม์นั่งสบายใจ มองดูพระจันทร์ เขานึกถึงภาพที่ถ่ายร่วมกันกับรจนาไฉน
ในบทบาทของนางเล็กๆ หน้าบูด แต่ต้องฝืนยิ้ม... ตอนถ่ายรูปทั้งคู่สบตากัน ปัทม์อมยิ้ม ชะงักเมื่อเห็นรจนาไฉนมายืนตรงหน้า
“ฉันขอโทษ... ที่เข้ามาขัดจังหวะเวลาความสุขใจของคุณ”
“รู้ด้วยเหรอว่าฉันกำลังสุขใจ”
“คนที่เพิ่งจะเจอกับคนรัก ถ้าไม่สุขใจก็คงแปลก”
“ทำไมถึงคิดว่าตัวเองเป็นคนเข้าใจคนอื่นนัก”
“คงเป็นเพราะฉันยังมีหัวใจ...รู้จักรัก รู้จักเจ็บปวด ถ้าหากคุณมีคนที่คุณรัก รู้จักความรัก คุณก็น่าจะเข้าใจคนอื่นบ้าง”
“หยุดพล่ามได้แล้ว มาหาฉันทำไม”
“ฉันมาขอหย่า”
ปัทม์ชะงักไปทันที
บริเวณหน้าโกดังเก็บชา คนงานคนหนึ่งกำลังปิดประตูโกดังใส่กุญแจแล้วเดินออกไป หน่อเอกับพวกรอเวลา แล้วจึงตรงเข้าไปยังประตูโกดัง ทำการตัดแม่กุญแจทิ้ง แล้วลอบเข้าไปด้านในพร้อมกับแกลลอนน้ำมัน หน้าประตูโกดังที่หน่อเอปิดไว้ ถูกเปิดออกช้า ๆ ตามแรงลม โดยพวกหน่อเอไม่รู้ตัว
รจนาไฉนพยายามหว่านล้อมพูดด้วยดี ๆ
“คุณมีคนรักอยู่แล้ว ต้องฝืนใจแต่งงานกับฉันเพราะคำสัญญาระหว่างพ่อของเรา เพราะฉะนั้น...หย่ากับฉันเถอะ ฉันจะคืนอิสระให้กับคุณ ฉันขออย่างเดียว... เงินหนึ่งล้าน ! แล้วฉันจะไปจากคุณทันที”
ปัทม์อารมณ์ขึ้นทันที
“เงินอีกแล้วเหรอ”
“ความจริงมันก็เป็นเงินที่คุณสัญญาว่าจะให้ฉันกับครอบครัวนะคะ ฉันขอให้เราพูดกันด้วยเหตุผล อย่าใช้อารมณ์ได้มั้ย”
“เธอไม่มีสิทธิ์มาขออะไรจากฉันทั้งนั้น ถ้าจะหย่า...เธอก็เดินออกไปได้เลย แต่ฉันไม่มีวันให้เงินเธออีกแล้ว แม้แต่บาทเดียว!”
ปัทม์เดินหนี แต่รจนาไฉนยังไม่ยอมแพ้ รีบเดินตามออกไป
ภายในโกดังเก็บชา หน่อเอกับพวกกำลังเทน้ำมันลงไปยังกล่องชาที่วางเรียงรายอยู่ภายในโกดัง
ประตูหน้าที่เปิดออก ชิชะโงกหน้าเข้ามามองด้วยความสงสัย ส่องไฟเข้ามาดู
“ใครอยู่ในโกดัง”
หน่อเอกับพวกชะงัก รีบหลบวูบเข้าไปที่มุมมืดมุมหนึ่ง
“ฉันถามว่าใครอยู่ในโกดัง!”
ชิตัดสินใจเดินเข้ามาส่องหาความผิดปกติภายในโกดัง แต่กลับโดนหน่อเอกับพวกทำร้ายจนล้มคว่ำไป
หน่อเอกับพวกไม่สนใจ หันไปเทน้ำมันใส่ข้าวของภายในโกดังต่อไป ชินอนสลบไม่ได้สติอยู่ตรงนั้น
รจนาไฉนเดินตามปัทม์ที่มีสีหน้าไม่พอใจมาก
“เราสองคนต้องทนทุกข์ทรมานไปเพื่ออะไร ในเมื่อต่างคนต่างไม่มีความสุข ไม่ประโยชน์อะไรที่เราจะอยู่ด้วยกัน”
“ความสุขของเธออยู่ที่ไอ้ปวุฒิแฟนเก่า...กับเงินอีกหนึ่งล้านใช่มั้ย”
“กรุณาอย่าดึงเอาคุณปวุฒิมาเกี่ยวข้อง”
“ยังรักมันมาก คอยปกป้องมันตลอด เธอคงมีเวลามากถึงได้มีเวลาเพ้อฝัน ต่อไปนี้ฉันจะหางานให้เธอทำ เธอจะได้เลิกคิดเพ้อเจ้อถึงชายในฝันซะที”
ปัทม์ยังไม่ทันได้เล่นงานรจนาไฉน จันทร์เจ้าเข้ามาด้วยท่าทางตกใจ
“นาย... แย่แล้ว แย่แล้ว”
“เกิดอะไรขึ้น” ปัทม์ถาม
“โกดังเก็บชา... ไฟไหม้โกดังเก็บชา !”
ทั้งสามคนต่างมีสีหน้าตกใจ
คนงานกำลังช่วยกันขนน้ำมาดับไฟที่กำลังลุกลาม ปยงค์ยืนกรี๊ดกร๊าดตกใจอยู่แต่ไม่ยอมเข้าไปช่วยอย่างคนอื่น
“ช่วยด้วย ช่วยด้วยค่า มาช่วยกันดับไฟเร้ว!”
ปัทม์ รจนาไฉน กับจันทร์เจ้า วิ่งเข้ามา
“ขนใบชาออกมาให้หมด”
“คนงานบอกว่าไอ้ชิติดอยู่ข้างในโกดังค่ะคุณปัทม์” ปยงค์ว่า
ปัทม์วิ่งเข้าไปในโกดังโดยไม่คิดถึงอันตราย ทุกคนตกใจ
“คุณปัทม์ !”
รจนาไฉนได้สติรีบวิ่งไปหาจันทร์เจ้าแล้วช่วยแบกถังน้ำส่งให้คนงาน
“รีบเข้าไปช่วยคุณปัทม์เร็ว” ปยงค์สั่งคนงานที่ช่วยกันขนน้ำอยู่...
“ชักช้าอยู่นั่นแหละ รีบไปดับไฟเร็วเข้าสิยะ อย่ายืนอยู่เฉย ๆ”
“ป้านั่นแหละ อย่ายืนอยู่เฉยๆ มาช่วยกันสิ!” จันทร์เจ้าบอก
ปยงค์รู้สึกตัว ช่วยก็ช่วย
ที่มุมหนึ่ง หน่อเอและพวกยืนมองภาพโกดังไฟไหม้ด้วยความสะใจ
ปัทม์วิ่งเข้าไปเห็นชิหมดสติอยู่ที่พื้นโกดังด้านหนึ่ง เขาเข้าไปประคอง
“ชิ...ชิ... เป็นไงบ้าง”
ชิรู้สึกตัวเรียก
“นาย...”
ปัทม์กับคนงานอีกคน
“เอาตัวชิออกไป”
คนงานรีบประคองชิออกไป ปัทม์ยืนมองไฟที่กำลังเผาชั้นภายในโกดังอยู่นั้น ก่อนรีบหันไปสั่งการคนงานคนอื่น ๆ ที่เข้ามาช่วยกันคนละไม้ละมือ
“ขนกล่องชาที่เหลือออกไปให้หมด”
เหล่าคนงานช่วยกันขนกล่องใส่ใบชาที่กำลังถูกไฟลามเลีย ปัทม์สั่งการไม่หยุดปาก
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 4 (ต่อ)
ปัทม์วิ่งขนกล่องใส่ใบชาออกมาพร้อมกับคนงาน ทุกคนขนออกไปแล้วก็วิ่งกลับเข้าไปใหม่ รจนาไฉนมองปัทม์ที่วิ่งเข้าไปในโกดังด้วยความตื่นตกใจ และเห็นใจ รจนาไฉนวิ่งไปรับถังน้ำมาจากคนงาน แล้วตัดสินใจรีบวิ่งไปดับไฟที่โกดังบ้าง พวกของหน่อเอทำทีเป็นวิ่งเข้ามาช่วยขนถังน้ำจากคนงาน ปัทม์วิ่งถือกล่องใส่ใบชาออกมา ชนกับรจนาไฉนที่กำลังดับไฟ เธอตัดสินใจ ทิ้งถังแล้วยื่นมือออกไปดึงกล่องใบชามาจากปัทม์
“ฉันช่วย !”
รจนาไฉนเอากล่องชามาได้ก็รีบวิ่งเอาไปวางไว้รวมกับกล่องอื่นๆ ปัทม์มองตามอย่างอึ้งๆ ก่อนเหลือบตามองไปเห็นหน่อเอและพวกที่กำลังช่วยกันขนถังน้ำ ปัทม์จ้องอยู่ชั่วครู่ด้วยสีหน้าไม่ไว้ใจ ก่อนจะรีบวิ่งกลับเข้าไปใหม่ รจนาไฉนมองตามปัทม์ แล้วตัดสินใจวิ่งตามเข้าไปในโกดัง
ไฟเริ่มไหม้หนักขึ้น ปัทม์กับคนงานอีกหลายคน กำลังช่วยกันแบกกล่องใส่ชาขนถ่ายให้ คนงานรับต่อออกไปไว้ข้างนอก รจนาไฉนวิ่งเข้ามา ปัทม์เห็นเข้า
“เข้ามาทำไม”
“ฉันอยากช่วยขนออกไปเร็ว ๆ”
เสียงไฟแตกตัวดังเปรี๊ยะ พร้อมกับท่อนไม้ที่ถูกไฟไหม้ร่วงหล่นลงมาฟาดลงบนหัวของปัทม์
“โอ๊ย”
ปัทม์ล้มลง รจนาไฉนตกใจ
“คุณปัทม์”
ทั้งหมดวิ่งเข้าไปดูอาการ ปัทม์เลือดโชกที่ศีรษะ แต่ยันกายลุกขึ้นเอาไว้ได้
“ฉันไม่เป็นไร รีบเอาใบชาออกไปเร็ว”
ทุกคนช่วยกันแบกกล่องชาออกไป
รจนาไฉนลอบมองปัทม์ด้วยความเป็นห่วงในอาการ เพราะเลือดซึมลงมาตามหน้าผาก เธอตัดสินใจหยิบผ้าเช็ดหน้าของตัวเองที่พกติดตัวอยู่ พับเป็นแถบแล้วไปหาปัทม์
“จะทำอะไร”
“คุณหัวแตก ฉันจะห้ามเลือดให้คุณก่อน”
“ไม่ต้อง”
รจนาไฉนไม่ฟัง จัดการเอาผ้าพันที่รอยแตกที่หน้าผาก ปัทม์อึ้ง มองเสี้ยวหน้าของรจนาไฉนที่กำลังตั้งใจผูกผ้าให้ ปัทม์รู้สึกหวั่นไหวในหัวใจ
ผ่านเวลามา โกดังเก็บใบชาไฟสงบลงแล้ว มีร่องรอยเสียหายไปบางส่วน ปัทม์ที่เนื้อตัวมอมแมม ผ้าเช็ดหน้าที่โพกหัวชุ่มเลือด รจนาไฉน ชิ ปยงค์ จันทร์เจ้าและคนงานทุกคนที่ช่วยกันดับไฟ ยืนมองสภาพโกดังด้วยความรู้สึกสะเทือนใจปนโล่งใจ หน่อเอและพวกยืนปะปนอยู่กับพวกคนงาน
“โชคยังดีที่เราขนใบชาส่วนใหญ่ออกมาได้” ปัทม์บอก
หน่อเอแอบไม่พอใจที่แผนไม่สำเร็จตามที่ตั้งใจ
ปยงค์พูดกับชิ
“ไฟไหม้ได้ยังไง ไม่ได้ตรวจไฟก่อนจะปิดโกดังเหรอ”
“มีคนลอบวางเพลิงแน่ ๆ ฉันโดนพวกมันตีเข้ากลางกบาลอีกต่างหาก”
คนงานวิ่งถือซากแกลลอนน้ำมันเข้ามา
“เจอแกลลอนน้ำมันอยู่ในโกดังครับ”
“ชิ... เห็นหน้าพวกมันมั้ย”
“ไม่เห็นครับ เห็นแต่เงาตะคุ่มตะคุ่ม ปิดหน้าเหลือแต่ลูกกะตา”
หน่อเอและพวกหลุบตาต่ำ ไม่สบตากับปัทม์ที่มองมา
เช้าวันใหม่ มุมหนึ่งในไร่ชา หน่อเอและพวกเดินเข้ามาเข้าแถวรวมกับคนงานหลายสิบคน หน่อเอกระซิบถามคนงานคนหนึ่ง
“มีเรื่องอะไรกันแต่เช้า”
“คุณปัทม์จะสอบสวนเรื่องไฟไหม้เมื่อคืน”
หน่อเอและพวกเริ่มร้อนใจ รจนาไฉน จันทร์เจ้า และ ปยงค์ เข้ามายืนสังเกตการณ์อยู่ใกล้ ๆ
ปัทม์เข้ามากับชิ ปัทม์จ้องคนงานไล่เรียงคน มาจนถึงหน่อเอและพวกที่พยายามทำตัวปกติ
“ตั้งแต่ฉันมาบุกเบิกทำไร่ชา ที่นี่ไม่เคยมีเหตุการณ์ร้าย !”
ปัทม์มองมาที่หน่อเอและพวก
“จนกระทั่ง...พวกแกมาทำงาน”
ปัทม์เดินเข้าหาหน่อเอ
“ฝีมือแกใช่มั้ยหน่อเอ”
“คนเมืองมีการศึกษาซะเปล่า กล่าวหาคนอื่นลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานได้ไง”
ปัทม์เดินไปหยิบแกลลอนน้ำมันมาใบหนึ่ง โยนโครม! เข้าที่หน้าลูกน้องหน่อเอกลุ่มหนึ่ง
“มีคนพบแกลลอนใบนี้ในห้องของพวกแก...”
หน่อเอทำหน้านิ่งเฉย ปัทม์เดินเข้าไปที่กลุ่มลูกน้องหน่อเอสองสามคนนั้น
“เป็นแกลลอนแบบเดียวกับที่เจอในโกดัง อธิบายให้ฉันเข้าใจหน่อยสิว่ามันไปอยู่ในห้องพวกแกได้ยังไง”
ลูกน้องหน่อเอตัวสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว พยายามชำเลืองมองไปที่หน่อเอ แต่หน่อเอนิ่งเฉย
ปัทม์เห็นอาการแล้วนึกรู้
“ไม่มีใครยอมรับ ดี ! พวกแกคงไม่รู้ว่าใบชาเป็นเหมือนลมหายใจของทุกคนในไร่ปัทมกุล คนที่นี่มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ครอบครัวมีความสุขได้ก็เพราะไร่ชาผลผลิตชาที่เราปลูก” ปัทม์หันไปสั่ง
“ชิ”
ชิและคนงานเอากระสอบบรรจุใบชาขนาดใหญ่ 3 ใบ วางกองลงที่หน้าลูกน้องหน่อเอ 3 คนนั้น
หน่อเอจ้องหน้าปัทม์เหมือนกำลังดูว่าจะทำอะไร
“เริ่มต้นสอบสวน !”
ชิกับคนงานชายสองคนดึงตัวลูกน้องหน่อเอ 3 คนมาคุกเข่าตรงหน้ากระสอบสามใบ ปัทม์เดินเข้าไปที่กระสอบแต่ละใบ ใช้มีดขนาดใหญ่ปาดกระสอบแตกออกจนเห็นใบชาที่บรรจุล้นอยู่ด้านใน
“ในเมื่อชาซึ่งเป็นเหมือนลมหายใจของพวกเราทุกคนเกือบจะถูกทำลายเมื่อคืน ฉันจะทำให้ไอ้พวกทำลายเข้าใจความรู้สึก ถ้าหากพวกมันกำลังจะหมดลมหายใจจะรู้สึกยังไง !”
พวกของหน่อเอฮึดฮัด คนงานกับชิช่วยกันล็อกไว้ เอาหัวลูกน้องหน่อเอทั้งสามกดลงกับกระสอบชา
พวกของหน่อเอเริ่มอึดอัดกระวนกระวาย รจนาไฉนตกใจที่ปัทม์สั่งให้ทำอย่างนั้น
“คุณปัทม์... คุณทำเกินไปแล้วนะ”
“อยู่เฉย ๆ !”
ปัทม์หันไปจ้องหน่อเอแล้วบอก
“เราจะสอบสวนแบบนี้... จนกว่าจะมีคนสารภาพว่าใครเป็นคนบงการเผาโกดังเก็บใบชา”
หน่อเอกำมือแน่นด้วยความแค้นใจ พวกของหน่อเอดิ้นแรงขึ้นด้วยความทรมาน
“ปล่อย !”
ชิและคนงานปล่อยพวกของหน่อเอ ลูกน้องหน่อเอหายใจเข้าอย่างทรมาน
“ใครเป็นคนสั่งเผาโกดังเก็บใบชา !”
หน่อเอและพวกยังปิดปากเงียบ
“ชิ !”
ชิและคนงานเข้าไปล็อกตัวพวกของหน่อเอ แล้วเอาหัวกดลงในกระสอบอีกครั้ง พวกของหน่อเอดิ้นพราดๆ รจนาไฉนทนไม่ได้ ไปยืนประจันหน้ากับปัทม์
“พอได้แล้ว ! ที่นี่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนรึยังไง ทำไมถึงทารุณกับคนอื่นตามอำเภอใจแบบนี้”
“ไร่ชาปัทมกุลเป็นของฉัน ฉันเป็นคนคุมกฎ !”
“กฏหมู่ที่ไร้ความเป็นธรรมน่ะสิ มีอย่างที่ไหน...ตั้งตัวเองเป็นศาลเตี้ยพิพากษาความผิดทั้ง ๆ ที่ไม่มีหลักฐานชัดเจน ถ้าสงสัยพวกเขาก็ควรส่งตัวให้ตำรวจสอบสวน”
“เธอคิดว่ากำลังยืนอยู่ที่ไหน สวรรค์ของนางฟ้าที่ทุกอย่างเป็นสีขาวบริสุทธิ์รึไง กลับเข้าไป”
รจนาไฉนตัดสินใจวิ่งดึงให้ชิกับคนงานปล่อยพวกของหน่อเอ ชิและคนงานไม่กล้าขัดรจนาไฉน จำต้องปล่อยลูกน้องหน่อเอเหล่านั้น ปัทม์ยิงปืนขึ้นฟ้าทันทีเพื่อขู่ รจนาไฉนตกใจ ชะงัก
“ว้าย !”
“ฉันบอกให้ออกไป”
“ไม่... จะฆ่าฉันอีกคนก็เอาเลย ยิงเลย!”
ปัทม์โกรธเล็งปืนไปทางรจนาไฉน เธอหลับตา ปยงค์และคนงานทุกคนกำลังปิดตาเช่นกัน
เสียงปืนดัง เปรี้ยง ! ลั่นหุบเขา เมื่อสิ้นเสียงปืน ทุกคนค่อยๆเปิดตาดู รจนาไฉนนั่งคุดคู้ตัวสั่นหลบกระสุนปืนที่เข้าใจปัทม์จะยิงเข้ามา ด้านหลังเธอ... เนื้อไม้ของต้นไม้ฉีกกระจายเพราะรับกระสุนของปัทม์
รจนาไฉนรู้สึกตัวหันไปมอง โล่งใจที่ตัวเองไม่ตาย แต่เข่าอ่อน!! จันทร์เจ้าต้องตรงเข้ามาประคองรจนาไฉนไว้ ปัทม์ออกคำสั่ง
“เอาตัวออกไป !”
“เลือดเย็น... ใจคอโหดเหี้ยมที่สุด คุณมันไม่ใช่คน ที่นี่มันเป็นนรก”
“ไปเถอะเพื่อน ไปเถอะ”
จันทร์เจ้าประคองพารจนาไฉนออกไป เธอยังคงตะโกนต่อว่าปัทม์
“คุณมันไม่ใช่คน !”
ปัทม์เจ็บปวด แต่ยังสั่งการต่อโดยไม่สนใจ
“ไอ้ชิ...เริ่มสอบสวนต่อ”
หน่อเอสวนขึ้นมา
“ฉันเป็นคนเผาโกดังของแกเอง !”
คนงานฮือฮา หน่อเอเดินออกมาเผชิญหน้ากับปัทม์
“ถ้าจะลงโทษ ก็ลงโทษฉัน”
แต่รจนาไฉนกลับไม่เชื่อ วิ่งเข้าไปหาหน่อเอ
“เธอไม่จำเป็นต้องยอมรับความผิดเพราะถูกเขาบีบบังคับนะหน่อเอ”
“หน่อเอไม่ได้ยอมรับผิดเพราะถูกบังคับ แต่หน่อเอเป็นคนทำจริง ๆ คนพวกนี้ทำตามคำสั่งของหน่อเอเท่านั้น”
รจนาไฉนยิ่งอึ้ง หน้าเสียที่ตัวเองปกป้องคนผิด ปัทม์พูดกับรจนาไฉน
“ได้ยินแล้วก็ถอยไป”
รจนาไฉนยอมถอยกลับออกมา แต่ยังไม่ยอมเดินออกไป หันไปจ้องปัทม์ อยากรู้ว่าปัทม์จะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
“แกทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร” ปัทม์ถาม
หน่อเอขี้หน้าทุกคน
“ฉันเกลียดแก... เกลียดคนเมืองทุกคน ตั้งแต่พวกแกขึ้นมาบนดอย ชีวิตคนดอยก็ถูกเบียดบัง พวกแกเห็นแก่ตัว เอาแต่ผลประโยชน์เข้าตัวเอง คนดอยต้องอดอยากมากขึ้น ต้องทำงานรับใช้พวกแกยังกับทาส”
“แน่ใจเหรอว่าแกกำลังพูดถึงไร่ปัทมกุล”
หน่อเอชะงักไปนิดหนึ่ง
“ฉันถือว่าดอยคือถิ่นกำเนิดของพวกแก เพื่อให้เราอยู่กันได้อย่างสงบสุข มีชีวิตที่ดีร่วมกัน... เพราะถึงยังไงเราก็เป็นคนไทยเหมือนกัน”
หน่อเออึ้งไปกับคำพูดของปัทม์
“ฉันจะให้โอกาสคนดอยอย่างพวกแก พิสูจน์ตัวเองว่ามีค่ามากกว่าคนเมืองหลายคน พวกแกจะได้ทำงานที่นี่ต่อไป”
เหล่าคนงานและรจนาไฉนต่างแปลกใจกับการตัดสินใจของปัทม์
“แล้วเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์ ไร่ปัทม์กุลไม่ใช่คนเมืองที่เห็นแก่ตัว อย่างที่แกคุ้นเคยมาทั้งชีวิต”
ปัทม์ชี้หน้าเอาเรื่อง
“แต่ในเมื่อแกเป็นคนทำลายโรงเก็บชา แกก็ต้องสร้างมันขึ้นมาใหม่”
“อะไรนะ”
“เลือกเอา... จะทำตามคำสั่งฉัน หรือจะเข้าคุก !”
หน่อเอลังเลไม่มีทางเลือก มองหน้ากันกับเหล่าลูกน้องคล้ายจำต้องจำนนต่อคำสั่งของปัทม์
“สร้างโรงเก็บชาใหม่ ทำให้เสร็จภายในสองอาทิตย์ ไม่อย่างนั้นเรื่องนี้ถึงตำรวจแน่”
หน่อเอและพวกรู้สึกเครียดกับคำสั่งของปัทม์ หน่อเอมองที่สภาพโรงเก็บชาที่ทรุดพัง
รจนาไฉนกำลังเดินกลับเข้าไปในไร่ แต่แล้วต้องสะดุ้งโหยงเพราะปัทม์ยืนหน้าเข้มรออยู่ก่อนแล้ว เธอจะเดินเลี่ยงออกไป แต่เขาคว้าข้อมือเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน”
“ปล่อยมือฉัน”
“ไม่... เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง เธอไม่มีสิทธิฉีกหน้าฉันต่อหน้าคนงานแบบนั้น”
“คนโรคจิต ชอบใช้ความรุนแรง ! ฉันเป็นคน หน่อเอเป็นคน ทุกคนเป็นคน มีหัวใจ มีเลือดเนื้อ คุณมันดีแต่ใช้พระเดช ไม่เคยมีพระคุณ สิ่งที่คุณได้จากทุกคนคือการฝืนใจ แต่คุณจะไม่มีวันได้หัวใจจากใคร”
“พูดจบรึยัง”
“ยังมีอีกหลายอย่างที่ฉันไม่จำเป็นต้องพูด แต่คุณคงจะรู้สึกถึงมันได้ดี”
รจนาไฉนมองปัทม์ด้วยสายตาที่ทั้งเกลียดและโกรธ
“คุณจะไม่มีวันได้รับความปรารถนาดีจากฉันหรือจากใคร ตราบใดที่คุณไม่รู้จักความรัก”
ปัทม์ฉุน ตวาดกลับทันที
“ทำไมฉันจะไม่เคยรู้จักความรัก ! ไม่ใช่เพราะฉันมีความรักหรือไง ถึงได้...”
ปัทม์อึ้ง หยุดเรื่องตัวเองเอาไว้ แล้วเปลี่ยนเรื่องทันที
“เลิกคิดว่าตัวเองเป็นนางฟ้าเที่ยวมาโปรดใครต่อใครสักที มันไม่ได้ผลหรอก”
ปัทม์รีบเดินออกไปทันที
รจนาไฉนถอนหายใจอย่างโล่งอกที่รอดพ้นมาจากปัทม์ได้ แต่ก็รู้สึกแปลกใจและสงสัยที่ปัทม์พูดเกี่ยวกับความรัก
“คนอย่างคุณน่ะเหรอ เคยรู้จักความรัก”
รจนาไฉนนิ่ง มองตามปัทม์ที่เดินออกไปจนลับตา
กรุงเทพฯ ยามราตรี ปวุฒิเดินเข้ามาในบ้าน ถือถุงขนมติดมือมาด้วย
“ผมซื้อน้ำเต้าหู้มาฝากครับแม่”
แม่ปวุฒินั่งดูรายการข่าวอยู่ ปวุฒิเห็นแม่จากด้านหลัง เขาไม่รู้ว่า แม่ว่าอยู่ในอารมณ์ไหน
“วันนี้มีข่าวอะไรน่าสนใจบ้างครับ”
“เดี๋ยวนี้เชื่อข่าวไม่ค่อยได้..เขาบอกว่าพูดความจริง แต่จริง ๆ แล้วปิดบังซ่อนเร้นอะไรไว้บ้างเราก็ไม่รู้”
ปวุฒิอึ้ง เหมือนวัวสันหลังหวะ
“ดูข่าวยิ่งทำให้เครียด...ผมว่าแม่ควรจะพักผ่อนมากๆนะครับ”
ปวุฒิเดินมาจะหยิบรีโมทที่โต๊ะ แต่แม่แย่งมาถือเอาไว้
“ปวุฒิ....ทำไมต้องโกหกแม่เรื่องหนูเพื่อนแต่งงานไปแล้ว”
ปวุฒิตกใจ
“แม่ไปได้ข่าวมาจากไหน ไม่ใช่ครับ”
“จนป่านนี้แล้วยังจะโกหกแม่อีกเหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะหนูพบ แม่คงจะหูหนวกตาบอดไปอีกนาน”
โลมฤทัยเดินออกมา ปวุฒิตกใจ
“คุณพบ”
ปวุฒิคว้าแขนโลมฤทัยเดินออกมาจนถึงหน้าบ้าน
“ปล่อยพบนะคะ พบเจ็บ”
ปวุฒิปล่อยแขนโลมฤทัย
“คุณมาบอกแม่ผมเรื่องคุณเพื่อนแต่งงานทำไม”
“มันเป็นความจริง คุณจะหลอกท่านไปอีกนานแค่ไหน”
“แต่ท่านไม่พร้อมที่จะรับรู้ตอนนี้ แม่ผมกำลังไม่สบาย คุณทำอย่างนี้เท่ากับเป็นการทำร้ายจิตใจท่าน...คุณ...มัน”
ปวุฒิโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เขาหันหน้าหนี ทุกข์ทรมานใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาก โลมฤทัยค่อยๆเข้าไปโอบกอดปวุฒิจากข้างหลัง
“พบรู้ว่ามันเป็นความจริงที่เจ็บปวด แต่พบอยากให้ทุกคนตาสว่าง พี่เพื่อนหนีเอาตัวรอดไปสบาย พี่เพื่อนไม่ใช่นางฟ้าอย่างที่คุณพยายามสร้างภาพให้แม่คุณจดจำ พบมีแต่ความปรารถนาดีให้คุณเสมอนะคะปวุฒิ”
“ขอบคุณในความปรารถนาดี”
โลมฤทัยดีใจคิดว่าปวุฒิใจอ่อน กอดเขาแน่นขึ้น
“แต่ผมไม่ต้องการ”
โลมฤทัยชะงัก อึ้ง ตกใจ ปวุฒิแกะแขนโลมฤทัยออก
“ในเมื่อคุณใจร้ายกับผม คุณจะหาว่าผมใจร้ายกับคุณไม่ได้”
ปวุฒิเดินกลับเข้าไปในบ้านทันที โลมฤทัยเจ็บใจที่ถูกปวุฒิปฏิเสธ
ภายในบ้าน เวลากลางคืน ปวุฒิก้มลงกราบแทบเท้าของแม่
“แม่ครับ...ผมขอโทษที่ต้องโกหก ผมขอโทษที่ไม่สามารถรักษาคุณเพื่อนเอาไว้ได้ผม”
“หยุดโทษตัวเองเถอะลูก...คิดซะว่าลูกกับหนูเพื่อนไม่ใช่เนื้อคู่กัน”
“ต่อให้คุณเพื่อนจากผมไปด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่ผมยังเชื่อมั่นในความรักที่เราสองคนมีให้กัน”
โลมฤทัยแอบฟังอยู่ที่มุมหนึ่ง ยิ่งปวดใจ
“แต่หนูเพื่อนแต่งงานไปแล้วนะลูก”
“ผมจะไปรับเธอกลับมาครับแม่”
“ปวุฒิ”
“ที่ผ่านมาผมอ่อนแอเกินไป...ผมจะไปตามหัวใจของผมกลับคืนมา ผมสัญญาครับ ต่อจากนี้ไปผมจะไม่ยอมให้ใครมาแย่งหัวใจไปอีกแล้ว”
แม่โอบปวุฒิเข้ามากอดอย่างให้กำลังใจ โลมฤทัยโกรธและแค้นรจนาไฉนมาก
จบตอนที่ 4
อ่านต่อตอนที่ 5 เวลา 17.00น.