มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 3
จันทร์เจ้าเดินตามปัทม์ที่ประคองรจนาไฉนมานอนที่เตียง พูนทวีตามเข้ามาด้วย
“เดี๋ยวจันทร์จะไปเอายามาให้เพื่อนนะเจ้า”
“ไม่ต้อง”
“แต่ว่า...”
ปัทม์ตะคอก
“ไปไหนก็ไป! ฉันไม่เรียกไม่ต้องมา”
“เจ้า...”
จันทร์เจ้ากลัว รีบลนลานออกไปตามคำสั่ง
“เฮ้ย เค้าไม่สบายแล้วแกจะให้นอนเฉยๆ ไม่ให้กินยาหรือพาไปหมอเลยเหรอวะ” พูนทวีว่า
“โรคนี้ไม่มีหมอคนไหนรักษาได้หรอก”
พูนทวีแปลกใจ
“แกรู้เหรอว่าเค้าเป็นโรคอะไร”
ปัทม์มองรจนาไฉนที่นอนไม่ได้สติ
“โรคสำออย เรียกร้องความสนใจ วิธีรักษาก็แค่อย่าไปสนใจ จะทำให้ต่อมสำออยฝ่อไปเอง”
“เฮ้ย ไอ้ปัทม์แกคิดได้ไงวะ ฉันไม่คิดเลยว่าความเกลียดชังที่แกมีต่อผู้หญิงจะทำให้ต่อมมนุษยธรรมฝ่อ แกมองผู้หญิงในแง่ร้ายเกินไป”
“ฉันมองทะลุปรุโปร่งต่างหาก ฉันรู้ว่าอะไรจริงอะไรลวง แกน่ะ..รู้จักผู้หญิงคนนี้น้อยเกินไป”
พูนทวีแปลกใจ
“พูดเหมือนแกรู้จักเขาดี”
ชิหิ้วถังน้ำเข้ามา รีบเสนอหน้า
“นายเค้ารู้จักดีครับเพราะว่านายกับคุณรจนาไฉนเป็น...”
“ไอ้ชิ!”
ชิหุบปากทันที
“น้ำมาแล้วครับ”
“เอามาเช็ดตัวใช่มั้ย มา...ฉันเช็ดให้”
พ่อเลี้ยงพูนทวีจะรับถังน้ำจากชิ แต่ปัทม์แย่งถังน้ำมาไว้
“ไม่ต้องเช็ด.. สำออยแบบนี้ เอาน้ำสาดเดี๋ยวก็ฟื้น”
ปัทม์ยกถังน้ำ พ่อเลี้ยงเข้าไปขวาง
“อย่านะเว้ย...เธอไม่ใช่นักโทษ แกนี่มันหยาบคายจริง ๆ สงสัยอยู่ใกล้ไอ้ชิมากเกินไป”
ชิสะดุ้ง
“ผมไม่เกี่ยวนะครับ พ่อเลี้ยง”
พูนทวีลากปัทม์ออกไป
“แกออกมานี่เลย”
ชิรีบตามไปดูเหตุการณ์
“ฆ่ากันแน่... พ่อเลี้ยง อย่าฆ่านายชินะครับ ชิขอร้อง”
พูนทวีลากปัทม์ออกมาข้างนอก ปัทม์งงว่าจะพาไปไหน
“แกจะพาฉันไปไหน”
“โทรตามหมอมารักษาเธอ...!”
“ไม่ต้อง”
“ถ้าแกไม่โทร...ฉันโทรเอง”
พูนทวีจะหยิบโทรศัพท์มาโทร. แต่ปัทม์แย่ง
“ฉันบอกว่าไม่ต้อง”
“อะไรวะ...แกจะเอาไงกันแน่”
ชิวิ่งมารายงาน..
“คุณปัทม์สั่งให้ชิโทรไปแล้วครับ แต่หมอไม่อยู่คลินิค”
ปัทม์ไม่พอใจหันไปด่าชิ
“ไอ้ชิ!”
ชิรีบชิ่งหนี
“โอว...บ่าย ๆ ปากแห้งอยากจิบชา ไปก่อนนะครับ”
ชิรีบวิ่งหนีไปทันที พูนทวีมองหน้าปัทม์
“แล้วไม่บอก....แกก็เป็นห่วงเธอเหมือนกันนี่หว่า”
“ฉันก็แค่ไม่อยากให้มาตายในไร่ฉัน”
พูนทวีคิดได้
“ถ้าหมอที่นี่ไม่ว่าง...ฉันจะไปรับหมอจากในเมืองมารักษาเอง”
ปัทม์จะห้าม
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้น...ฉันไม่ยอมให้เทพธิดาดอยของฉันเป็นอะไรไป คนนี้ฉันรักจริงเว้ย”
พูนทวีรีบเดินไปขึ้นรถ แล้วขับออกไป... ปัทม์แปลกใจที่พูนทวีหลงรักรจนาไฉน เขาหันกลับไปมองที่เรือนคนงาน....
ภายในห้องนอน รจนาไฉนนอนไม่ได้สติอยู่บนเตียง ปัทม์เดินเข้ามามอง
“เธอมันร้ายกาจกว่าที่ฉันคิดไว้ รู้จักเพื่อนฉันได้ไม่นาน ก็ใช้มารยาทำให้เพื่อนฉันหลง แต่จำไว้นะ คนอย่างเธอไม่มีวันปั่นหัวฉันได้หรอก... เพราะฉันรู้เท่าทันเธอ”
ปัทม์จะเดินออกไป แต่เธอละเมอ เนื้อตัวเหงื่อแตก
“ช่วยด้วย ช่วยเพื่อนด้วย”
ปัทม์เห็นอาการละเมอก็นึกเป็นห่วง เข้ามาจับตัวก็รู้ว่าไข้ขึ้นสูงมาก
“ไข้ขึ้น”
“ช่วยเพื่อนด้วย”
รจนาไฉนเพ้อเพราะพิษไข้
ปัทม์ตะโกนเรียกจันทร์เจ้าดังลั่นที่หน้าเรือนคนงาน
“จันทร์...จันทร์”
จันทร์เจ้าวิ่งกระหืดกระหอบมาด้วยความตกใจ
“เจ้า...”
“หายหัวไปไหนมา ฉันตะโกนเรียกอยู่ตั้งนาน”
“ก็คุณปัทม์บอกว่าไปไหนก็ไป จันทร์ก็เลยไปที่ไร่”
จันทร์เจ้าจะเล่าต่อ
“ฉันไม่สนใจว่าจะไปไหนทำอะไร รีบไปเอายามา...รจนาไฉนไข้ขึ้นสูง”
“ไข้ขึ้นสูง....ชักรึเปล่าคะ ระวังนะคะอย่าให้ชักนะคะ ญาติของจันทร์เคยชักแล้วกัดลิ้นตายเลย”
“ไปเร็ว!”
จันทร์เจ้าตั้งสติแล้วรับคำ
“เจ้า”
จันทร์เจ้าตกใจเกือบเสียศูนย์ วิ่งออกไปทันที ปัทม์นึกเป็นห่วงรจนาไฉน
รจนาไฉนนอนอยู่ เหงื่อเต็มใบหน้า พิษไข้ขึ้นสูง ปัทม์เช็ดหน้าให้แล้วมองหน้า … เขาบิดผ้าแล้วจะมาเช็ดหน้าเธออีกครั้ง เขาเห็นความงามของเธอก็รู้สึกใจอ่อน ราวตกอยู่ในภวังค์ เสียงเพ้อของเธอดังขึ้นอีกครา
“คุณปวุฒิคะ คุณปวุฒิช่วยเพื่อนด้วย”
ปัทม์เจ็บจี๊ดในใจ โยนผ้าทิ้งทันที จันทร์เจ้าวิ่งเข้ามาเสนอหน้า...
“พ่อเลี้ยงพูนทวีพาหมอมาแล้วค่ะ”
พูนทวีเดินเข้ามาพร้อมหมอ
“เป็นไง... อาการเป็นไงบ้าง”
“ขอหมอดูอาการคนไข้หน่อยนะครับ”
“จะทำอะไรก็ทำ ไม่เห็นต้องบอกผมเลย”
ปัทม์เดินออกไปหัวเสีย จันทร์เจ้างงหันไปคุยกับพูนทวี
“คุณปัทม์เป็นอะไร เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย รึว่าโดนผีเข้า...”
รจนาไฉนเพ้อ จันทร์เจ้านึกได้ รีบเข้าไปดูอาการ
“คุณปวุฒิ คุณปวุฒิ” รจนาไฉนเสียงแผ่วเบามาก
พูนทวีได้ยินไม่ถนัด
“เค้าบ่นถึงใครน่ะ เธอได้ยินมั้ย”
“ได้ยินไม่ถนัดเจ้า”
พูนทวีมีสีหน้าแปลกใจ ในขณะที่รจนาไฉนเพ้อไม่ได้สติ
วันเดียวกัน ปวุฒิเข้ามากราบแม่ที่นอนพักอยู่บนเตียง
“อาการคุณแม่เป็นยังไงบ้างครับ”
“ก็เหมือนเดิมล่ะโรคคนแก่ สามวันดีสี่วันทรุด...ไม่มีอะไรมากหรอก”
แม่มองหาใครสักคน ปวุฒิแปลกใจ
“แล้วหนูเพื่อนล่ะอยู่ข้างนอกเหรอ”
ปวุฒิสะอึก ไม่อยากโกหกแต่ไม่รู้จะทำอย่างไร
“เอ่อ..คุณเพื่อนไม่ได้มาด้วยครับ”
แม่กังวลใจถาม
“ทำไมล่ะ ทำไมหนูเพื่อนไม่มาด้วย ลูกทำอะไรให้เธอโกรธไม่พอใจรึเปล่า ลูกต้องไปง้อหนูเพื่อนนะ”
“เราไม่ได้ทะเลาะกันครับคุณแม่”
“แล้วหนูเพื่อนไปไหน”
“ไปทำธุระกับเจ้านายที่เชียงรายครับ”
แม่สงสัย
“แล้วทำไมไม่มาลาแม่ล่ะ...ปกติจะไปไหนทำอะไร หนูเพื่อนต้องมาบอกแม่ มาขอพรจากแม่”
“พอดีธุระด่วน คุณเพื่อนฝากมาขอโทษคุณแม่ด้วยครับ”
ปวุฒิจำต้องโกหก หวังว่าจะทำให้แม่สบายใจ
“โกหกแม่ใช่มั้ย... หนูเพื่อนไม่เคยเงียบหายไปนาน ๆ แบบนี้ ลูกกับหนูเพื่อนต้องมีเรื่องกันแน่ ๆ อย่าปิดปังแม่นะปวุฒิ !” แม่คาดคั้น
ปวุฒินิ่ง ได้แต่ฝืนยิ้มไม่รู้จะทำอย่างไร ไม่อยากให้แม่เครียดและไม่สบายใจ
“ปิดปังอะไรกันล่ะครับ งั้นผมต่อสายให้คุณแม่คุยกับคุณเพื่อนเลยก็ได้ เพื่อยืนยันว่าเรายังรักกันดี”
ปวุฒิหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา แล้วกดเบอร์...แล้วทำทีคุยโทรศัพท์ เพื่อทำให้แม่สบายใจ
ปวุฒิทำเป็นร่าเริง
“คุณเพื่อนเหรอ คิดถึง ? ฮะ ๆ ๆ ใจตรงกันเลยผมก็คิดถึงคุณเหมือนกัน อากาศเริ่มหนาวแล้ว..เตรียมเสื้อผ้าไปพอรึเปล่า”
“ขอแม่คุยด้วย”
ปวุฒิลำบากใจที่แม่จะขอคุยด้วย...
“เพื่อนรู้มั้ย...มีคนคิดถึงคุณมากกว่าผมอีกนะ เดี๋ยวคุณแม่จะคุยด้วยนะครับ”
ปวุฒิแกล้งทำเป็นแปลกใจ
“อะไรนะครับ ผมไม่ได้ยิน...”
ปวุฒิวางสาย...
“สัญญาณไม่ดีเลยครับ คงกำลังเดินทาง เดี๋ยวผมลองออกไปโทรข้างนอกนะครับ”
“ต่อสายให้ได้นะ...แม่คิดถึงหนูเพื่อน”
“ครับ”
ปวุฒิถือโทรศัพท์เดินออกไปข้างนอก
ที่มุมสวน ปวุฒิถือโทรศัพท์ออกมาลับตาแม่ เขามองหน้าจอที่ไม่มีหมายเลขใดๆ เขาไม่สามารถเก็บความรู้สึกไว้ได้ น้ำตาคลอ
“ผมขอโทษด้วยครับคุณแม่ ผมไม่สามารถรักษาเธอไว้ได้”
ปวุฒิร้องไห้ เสียใจ มองเข้าไปในห้องนอนแม่ผ่านหน้าต่างด้านนอก นึกถึงเหตุการณ์ในอดีต..
ภายในห้องนอนแม่ปวุฒิ รจนาไฉนกำลังป้อนผลไม้ที่แกะสลักอย่างสวยงาม...ให้แม่ปวุฒิ
“ผลไม้ค่ะคุณแม่”
แม่ชื่นชม
“หนูเพื่อนสลักเสลาได้สวยงามมาก”
“คุณแม่ต้องทานเยอะๆนะคะ ผลไม้ดีต่อสุขภาพมากค่ะ”
“ช่างงามทั้งกายและใจ สมัยนี้จะหาใครดีพร้อมเหมือนหนูเพื่อนคงยากเต็มที”
รจนาไฉนยกมือไหว้
“ขอบพระคุณค่ะ เดี๋ยวเพื่อนขอตัวกลับก่อนนะคะ แล้วเพื่อนจะมาเยี่ยมคุณแม่บ่อยๆค่ะ”
รจนาไฉนไหว้ลาแม่ปวุฒิแล้วเดินออกไป ปวุฒิเดินเข้ามาหาแม่
“ผมกลับก่อนนะครับคุณแม่”
ปวุฒิไหว้ลาแม่ แต่แม่จับมือลูกชายไว้
“แม่อยากจะไปสู่ขอเธอให้เร็วที่สุด”
“ผมไม่อยากเร่งรัดครับ”
“ลูกต้องรักษาหนูเพื่อนไว้ให้ดี...อย่าให้ใครมาแย่งเธอไปได้”
“ครับคุณแม่ ผมจะรักษาเธอไว้ให้ดีที่สุด”
ปวุฒิให้คำสัญญากับแม่
ปวุฒิน้ำตาคลอเบ้าด้วยความสะเทือนใจ หันไปมองมุมสวน ภาพในความทรงจำหวนคืนมาอีก
รจนาไฉนเดินเก็บดอกมะลิที่บริเวณสวนหน้าบ้านปวุฒิ เขาเดินเข้ามาหาเธอ
“เพื่อนเก็บดอกมะลิ จะเอาไปร้อยมาลัยมาให้คุณแม่คุณบูชาพระ”
ปวุฒิชื่นใจที่แฟนของเขาช่างเป็นกุลสตรีและรักแม่ของเขามาก.....
“คุณยิ้มอะไร”
“คุณแม่รักคุณมากนะ”
“เพื่อนก็รักท่านค่ะ ท่านเป็นผู้ใหญ่ที่ใจดีและอบอุ่น เพื่อนรู้สึกเหมือนท่าน
เหมือนแม่ของเพื่อนคนนึง”
“แม่บอกให้ผมไปสู่ขอคุณเพื่อน ก่อนที่ใครจะมาแย่งคุณไปจากผม”
รจนาไฉนแกล้งแหย่
“คุณจะห้ามใจเพื่อนได้เหรอ”
“ผมจะกอดคุณไว้อย่างนี้ ไม่ยอมให้คุณเป็นของใครเด็ดขาด”
ปวุฒิเข้ามากอดรจนาไฉนด้วยความรัก เธอยิ้มให้เขา...เพราะใจของเธอก็มีเขาเพียงคนเดียว...ปวุฒินึกถึงภาพอดีต...เสียใจที่รักษารจนาไฉนไว้ได้
“ในที่สุดผมก็รักษาคุณไว้ไม่ได้ คุณเพื่อน ป่านนี้คุณเป็นยังไงบ้าง ผมรักและคิดถึงคุณมากนะครับ”
โถงบ้านวิชนี ลำเพากำลังพูดโทรศัพท์เสียงดังด้วยความไม่พอใจมาก
“ฉันบอกว่าต้องการพูดกับยายเพื่อน ! ฉันไม่สนใจว่าจะสบายดีหรือไม่สบาย แต่แกต้องไปตามมาพูดกับฉัน ไปตามมาเดี๋ยวนี้นะ !” ปลายสายวางหูไปทันที
“เดี๋ยวก่อน... ไปตามมาพูดกันให้รู้เรื่องก่อน เดี๋ยว !”
ลำเพากระแทกโทรศัพท์ด้วยความไม่พอใจ โลมฤทัยกำลังเดินลงมาจากบันไดจะออกไปข้างนอก หันมาถามด้วยน้ำเสียงสงสัย
“อะไรกันอีกล่ะคะคุณแม่”
“ก็นังเพื่อนน่ะสิ แม่ติดต่อมันไม่ได้เลย”
โลมฤทัยสีหน้าไม่พอใจ
“เค้าออกไปจากบ้านนี้แล้ว แม่ยังจะไปสนใจอะไรอีก อย่าบอกนะคะว่าแม่ก็เป็นไปกับคุณพ่ออีกคน”
“เป็นอะไร”
“ก็ห่วงลูกนอกไส้ยิ่งกว่าลูกสาวของตัวเองไงคะ”
ลำเพาตรงเข้ามาประคองโลมฤทัยไว้ทันที
“อุ๊ย.. เป็นไปไม่ได้หรอกจ้ะลูกพบ แม่ยังคงเสมอต้นเสมอปลาย มองมันเป็นแค่ตัวทำเงินให้เราเหมือนเดิม นังรจนาไฉนไม่มีวันแทนที่โลมฤทัย..ลูกรักของแม่คนนี้ไปได้หรอกจ้ะ”
“ดีแล้วค่ะ... เพราะพบคงทนไม่ได้ ถ้าต้องแพ้พี่เพื่อน”
โลมฤทัยสีหน้าเกลียดชังเมื่อคิดถึงรจนาไฉน
เช้าวันใหม่... รจนาไฉนรู้สึกตัวตื่น มองไปรอบ ๆ เห็นถ้วยยา ผ้าและถังน้ำ จันทร์เจ้าเปิดประตูเข้ามา เห็นรจนาไฉนลุกขึ้นนั่งก็ตื่นเต้นดีใจ
“เพื่อน...เธอฟื้นแล้ว”
“ทำไมทำหน้าอย่างนั้นล่ะ ทำยังกะฉันตายแล้วเกิดใหม่อย่างนั้นล่ะ”
“ก็เมื่อวานเธอไข้ขึ้นสูงมาก ฉันนึกว่าเธอจะชักตายไปแล้ว”
รจนาไฉนนึกสนุก แกล้งทำหน้าผีหลอกจันทร์เจ้า
รจนาไฉนทำเสียงยาน
“ฉันตายแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นผี...”
“ว้าย....”
รจนาไฉนนึกได้
“ฉันล้อเล่นน่ะ... เมื่อวานตอนที่ฉันเป็นลม ใครพาฉันมาที่นี่”
“คุณปัทม์”
“นายเธอเนี่ยนะ เป็นไปได้ไง คนอย่างเขาไม่มีทางห่วงฉันหรอก น่าจะดีใจด้วยซ้ำถ้าเห็นฉันตายต่อหน้า”
“ไม่หรอก คุณปัทม์เป็นห่วง ไม่งั้นไม่เช็ดตัวให้เธอหรอกเจ้า”
“เช็ดตัวให้ฉัน เธอเห็นเหรอ”
“ไม่เห็น! แต่เดาเอา ไม่งั้นเธอคงไข้ขึ้นนอนชักก่อนที่จะเจอหมอแล้ว เออนี่...เมื่อคืนมีคนโทรมาจากกรุงเทพ ขอสายเธอ”
“ใคร”
“ไม่รู้เป็นใคร ทำเสียงแว๊ด ๆ ขอสายเธอ..พอฉันบอกว่าเธอนอนไม่สบาย ก็สั่งให้ฉันไปลากเธอมาให้ได้ ฉันก็เลยวางสายไปเลย สงสัยเป็นพวกประสาท”
จันทร์เจ้าจะเมาท์ต่อ แต่รจนาไฉนลุกขึ้นออกไปข้างนอกทันที
“เพื่อน จะไปไหน”
ที่บ้านปัทม์ รจนาไฉนคุยโทรศัพท์...
“คุณแม่โทรหาเพื่อนเหรอคะ”
ลำเพาไม่พอใจขึ้นมาทันที
“ฉันโทรไม่ได้รึไง หนอย...ให้คนใช้มาหลอกว่าป่วย คิดจะหนีหน้าฉันรึไง”
“เพื่อนไม่สบายจริงๆค่ะ เพื่อน...”
“ไม่ต้องมาโกหก คิดว่าคนอย่างฉันไม่รู้สันดานคนเห็นแก่ตัวอย่างแกรึไง นึกแล้วไม่มีผิด พอได้เจอผัวรวยซะหน่อยก็ติดปีกคิดเอาตัวรอด”
“ไม่ใช่อย่างนั้นนะคะคุณแม่ เพื่อนยังรักและเป็นห่วงคุณพ่อคุณแม่เสมอ”
“ไม่ต้องมาโกหก”
ลำเพาแสร้งเรียกร้องความสนใจ
“เวรกรรมของฉันจริงๆ มีคนเคยเตือนเอาไว้แล้ว เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเค้ามาอม มันต้องระทมทุกข์”
“เพื่อนขอโทษค่ะ อาการคุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
“ยังมีหน้ามาถามอีก ก็นอนพะงาบ ๆ อยู่ที่โรงพยาบาลน่ะสิ”
นพรัตน์เดินเข้ามาได้ยินพอดี
“คุณพ่อเป็นยังไงบ้างคะ เพื่อนขอสายคุณพ่อได้มั้ยคะ”
“ไม่ต้อง...ถ้าแกไม่อยากให้พ่อแกตาย ก็รีบส่งเงินมาให้เร็ว ๆ หลอกเอาเงินมาให้มากที่สุด”
ลำเพาจะพูดต่อ แต่นพรัตน์ตัดสายทิ้ง
“คุณแม่คะ คุณแม่”
รจนาไฉนจะโทร.กลับ แต่ติดต่อไม่ได้
ด้านลำเพาต่อว่านพรัตน์อยู่ในห้องโถงบ้านวิชนี
“มาตัดสายฉันทิ้งทำไม”
“ผมขอล่ะ...อย่าบังคับเคี่ยวเข็ญลูกเพื่อนอีกเลย”
“ทำไมฉันจะบังคับมันไม่ได้ มันเป็นลูกเลี้ยงต้องทำงานทดแทนพระคุณฉัน”
“แค่ลูกต้องไปแบกรับความทุกข์ที่โน่น มันก็มากพอแล้ว อย่าให้ลูกต้องทุกข์หนักกว่านี้อีกเลย”
“รู้ได้ไงว่ามันลำบาก เสวยสุขบนกองเงินกองทองล่ะไม่ว่า มันได้ผัว...แต่ฉันยังไม่ได้สินสอดสักบาท มันต้องหาเงินมาให้ฉัน”
“เงินประกันและเงินเก็บบางส่วนก็พอค่ารักษา”
“แล้วหนี้สินฉันล่ะ จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายเป็นล้าน”
“คุณก็เลิกเล่นการพนันสิ”
“อย่ามาสั่งฉันนะ ไม่ใช่เพราะฉันไปบ่อนเหรอถึงพอมีเงินมาใช้ในบ้าน”
“แล้วไม่ใช่เพราะบ่อนเหรอ ที่ทำให้เรามีหนี้สินจนแทบล้มละลาย”
“หยุดพูดได้แล้ว...ต่อไปนี้ฉันจะคิดตัดสินใจเอง เก็บแรงไว้หายใจแล้วกัน ยังไงนังเพื่อนต้องหาเงินให้เรา เพราะเป็นหน้าที่ลูกเลี้ยงอย่างมัน”
ลำเพายืนยันความคิด นพรัตน์เอือมระอา ไม่สามารถคัดค้านลำเพาได้เลย
มุมหนึ่งของบ้านปัทม์ รจนาไฉนเครียด คิดหาเงินให้ลำเพา
“แล้วเราจะหาเงินที่ไหนไปรักษาคุณพ่อ”
รจนาไฉนคิด แล้วมองไปเห็นปฎิทิน...เธอดีใจและคิดออก...
รจนาไฉนวิ่งหาใครสักคน..แล้วชนกับปยงค์
“ว้าย...จะวิ่งไปไหนยะ ที่นี่บ้านผู้ดีนะ ไม่ใช่ทุ่งนาจะวิ่งตามควายรึไง”
“ขอโทษค่ะ คุณปยงค์เห็นคุณปัทม์มั้ยคะ”
“ฉันเป็นหัวหน้าแม่บ้าน ไม่ใช่ยามที่จะเฝ้าเจ้านายว่าอยู่ไหนทำอะไร แล้วแกจะหาคุณปัทม์ทำไม”
“เพื่อนมีธุระสำคัญจะคุยกับคุณปัทม์ค่ะ”
“ธุระสำคัญ...แกจะลาออกใช่มั้ย งั้นฉันจะสงเคราะห์ให้ คุณปัทม์ไปไร่แต่เช้าแล้ว คงอยู่ที่ไร่ รีบไปเลย...ไปลาออกซะ”
รจนาไฉนรีบวิ่งไปทันที
“ทำตัวยังกะพายุ แล้วหายดีแล้วเหรอ เมื่อวานป่วยวันนี้ร่าเริง ผู้หญิงสมัยนี้มารยาร้ายกว่าฉันอีก ว้าย..เข้าตัว”
รจนาไฉนวิ่งมองหาปัทม์ เธอวิ่งผ่านคนงานที่เก็บใบชา แต่ยังไม่เจอ...เธอถาม คนงานชี้ไปที่คอกม้า รจนาไฉนรีบวิ่งออกไป ที่คอกม้า เธอไม่เจอ... คนงานชี้บอกไปอีกทาง รจนาไฉนจำต้องวิ่งไปอีกที่
รจนาไฉนวิ่งมาถึงหน้าโรงอบชา...เธอหยุดวิ่งด้วยความเหนื่อยจะเดินไป แต่รู้สึกมึนหัว... เธอพยายามทรงตัว และกัดฟันสู้ความเจ็บปวดภายใน...วิ่งไปที่โรงอบชา
ประตูโรงอบชาเปิดออก ปัทม์เดินออกมาเจอรจนาไฉนพอดี ทั้งสองต่างตกใจเล็กน้อย ตั้งตัวไม่ทัน รจนาไฉนพูดไม่ออก
“ยังไม่ตายอีกเหรอ”
“เป็นคำทักทายที่ไพเราะที่สุด เท่าที่ฉันเคยได้ยินมาเลยค่ะ”
รจนาไฉนไม่พอใจ แอบประชดประชันกลับ
“ขอโทษนะคะที่ทำให้คุณผิดหวัง ฉันคงตายไม่ได้หรอก เพราะฉันต้องอยู่เรียกร้องเงินที่ฉันควรได้รับ”
“เงินอะไร”
“คุณคงไม่ลืมว่า เราได้เดิมพันกันไว้ ถ้าฉันสามารถอยู่ที่ไร่ชาได้ครบสามวัน คุณจะยอมจ่ายเงินให้ฉันล้านนึง”
“ใครพูด”
“ก็คุณไง ไม่เชื่อถามชิก็ได้”
รจนาไฉนหันไปถามชิ..
“ใช่ครับ นายเคย...”
ชิจะอธิบายเป็นพยานให้รจนาไฉน แต่ปัทม์มองขู่
“เอ้อ...คุยเรื่องอะไรกันครับ ชิไม่รู้เรื่องเลย ขอตัวดีกว่า”
ชิหาทางชิ่งหนีไป แต่เธอดักทางไว้....
“วันที่คุณปัทม์พนันกับฉันไง...ชิก็อยู่ด้วย ชิจำได้มั้ย”
ชิสงสารรจนาไฉน แต่มองเห็นสายตาปัทม์ที่ข่มขู่อยู่ก็กลัว
“โอ๊ย...ปวดหัว อากาศร้อน ทำให้ความจำเสื่อม จำอะไรไม่ได้ ที่นี่ที่ไหนไปก่อนนะครับ”
ชิวิ่งหนีไปทันที
“ชิ กลับมาก่อน”
ปัทม์หัวเราะเยาะที่ชิไม่กล้าเป็นพยานให้รจนาไฉน...
“ไหนล่ะพยานของเธอ จำไว้ อย่ามาปรักปรำฉันอีก”
ปัทม์เดินกลับเข้าไปในโรงอบชา รจนาไฉนแค้นใจ ตะโกนเรียก
“คุณกลับมาก่อน มาคุยให้รู้เรื่อง”
รจนาไฉนตะโกนเรียก
“ยอมรับซะดีๆ ว่าคุณสัญญากับฉัน”
ปัทม์ไม่โต้ตอบ แต่เดินหนี เธอตัดสินใจกระชากปัทม์ให้หันกลับมาคุย ทำให้เขาเซเข้ามาใกล้ชิด ทั้งสองมองหน้ากัน ปัทม์ได้สติรีบผลักรจนาไฉนออก
“เลิกรังควาญฉันได้แล้ว”
“ฉันไม่หยุดแน่ จนกว่าคุณจะยอมรับว่าคุณสัญญากับฉัน”
“ใช่...ฉันเคยพูดกับเธอ”
รจนาไฉนดีใจ
“ยอมรับแล้วก็จ่ายเงินมา”
ปัทม์แกล้งยิ้มกวน
“ฉันไม่จ่าย ถ้าคิดจะไปฟ้องตำรวจก็เอาสิ เธอก็รู้ว่าการพนันผิดกฎหมาย”
“คุณโกงฉัน!”
“แล้วไง...ฉันเป็นเจ้าของที่นี่ ฉันจะทำอะไรก็ได้ เธออย่าลืมสิว่าเธอเป็นคนงานของฉัน ไม่มีสิทธิ์มาเรียกร้องใดๆ”
“ฉันมันผิดเองที่ไปเชื่อคำสัญญาของคุณ ไม่คิดเลยว่าคนอย่างคุณไม่มีสัจจะ”
“คำพูดของฉัน มีค่าสำหรับคนที่มีเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ใช่คนไร้เกียรติอย่างเธอ”
รจนาไฉนทนไม่ไหว แปลกใจที่ปัทม์คอยทำร้ายจิตใจเธอ
“ฉันถามจริง ๆ เถอะ คุณเกลียดชังอะไรฉันนักหนา ถึงทำกับฉันอย่างนี้ ฉันทำผิดอะไร”
ปัทม์สวนขึ้น
“เพราะเธอมันเป็นผู้หญิงหิวเงิน!”
รจนาไฉนแปลกใจ
“ฉันแค่ทวงสัญญาตามที่เราตกลงกันไว้ ฉันผิดด้วยเหรอ”
“เธอผิด...ที่คิดหลอกลวงฉัน”
รจนาไฉนสวนกลับ
“ฉันหลอกอะไรคุณ”
ปัทม์จะตอบ แฉความจริงที่รู้ว่าถูกรจนาไฉนหลอกมาแต่งงาน แต่หยุดไว้
“ออกไปได้แล้ว! ฉันจะทำงาน”
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น จนกว่าคุณจะจ่ายเงินฉัน”
ปัทม์ตะโกน
“ชิ ไอ้ชิ!”
ชิวิ่งเข้ามาทันที แต่รีบออกตัว เพราะกลัวถูกซักให้เป็นพยาน
“ครับนาย อย่าถามอะไรนะครับ ชิจำอะไรไม่ได้ ชิความจำเสื่อม”
“ลากตัวออกไป ห้ามเข้ามาอีก ถ้าแกปล่อยให้เข้ามาได้ ฉันไล่แกออก”
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 3 (ต่อ)
รจนาไฉนตกใจที่ปัทม์ไปกดดันชิ เธอจึงเป็นฝ่ายเดินออกไปเอง ชิค่อยโล่งใจ
รจนาไฉนเดินออกมา
“ยกโทษให้ชิด้วยนะครับ ชิทำตามหน้าที่ คุณรจนาไฉนกลับไปนอนพักนะครับ เพิ่งฟื้นไข้ ดี๋ยวจะป่วยหนักกว่าเดิม”
“ฉันไม่ไปไหน จนกว่านายเธอจะจ่ายเงินฉัน”
“คุณรจนาไฉน”
ชิตกใจที่รจนาไฉนไม่ยอมเปลี่ยนความคิด
ปัทม์ทำงานในโรงอบชา ชิเข้ามารายงาน
“นาย คือว่า...”
“อะไร แม่นั่นเข้ามาป่วนในโรงอบชาอีกเหรอ”
“เปล่าครับ....คุณรจนาไฉนอยู่ข้างนอก แต่ยังไม่ยอมกลับไป”
“ปล่อยเค้า อยากอยู่ก็อยู่ ดูสิว่าจะทนได้เท่าไหร่”
“แต่ว่า...ข้างนอกฝนกำลังจะตกนะนาย”
ปัทม์ไม่สนใจทำงานต่อไป ชิสงสารรจนาไฉน เข้าไปขอร้องปัทม์
“นายไปไล่ให้กลับไปที่พักเถอะ ถ้าโดนฝนอีกมีหวังไข้กลับแน่นาย”
ปัทม์ไม่สนใจ ทำงานต่อไป
“นาย...สั่งให้ชิไปลากคุณรจนาไฉนกลับไปห้องพักก็ได้ สั่งมาเลยนาย”
ปัทม์ทนรำคาญไม่ไหว หันมาบอกชิ
“ฉันขอสั่งให้แก”
ชิลุ้นคิดว่า ปัทม์จะสั่งให้ไปจัดการกับรจนาไฉน
“หุบปากซะ”
ชิดีใจ
“ครับนาย!”
ชิจะรีบออกไป แต่นึกได้....
“นาย!”
ปัทม์ไม่สนใจเดินไปทำงานต่อ ชิกังวลใจมาก
“ยืนตากฝนอย่างนี้ มีหวังตายแน่”
เสียงฟ้าร้อง...ฝนตกลงมา รจนาไฉนยืนไม่สะทกสะท้าน ท่ามกลางสายฝน เธอยังคงยืนตะโกนหน้าโรงอบชา
“คนใจร้าย จ่ายเงินฉันมาได้แล้ว คนใจร้ายจ่ายเงินฉันมา ฉันต้องการเงิน”
ปัทม์ยืนมองที่มุมหนึ่งภายในโรงอบชาเห็นรจนาไฉนยืนตากฝนเรียกร้องเงิน
“ในที่สุดเธอก็เผยธาตุแท้ของเธอออกมา สิ่งเดียวที่เธอต้องการคือเงิน”
แสงฟ้าแลบทาบบนหน้าปัทม์ที่มองดูรจนาไฉนด้วยความสมเพช
ชิเดินเข้ามาหาปัทม์
“นายครับ คือ เธอจะแย่”
ปัทม์ตวาดลั่น
“ฉันสั่งให้เงียบ”
ชิชะงัก แต่สีหน้าไม่สบายใจเป็นอย่างมาก ปัทม์ทำเป็นไม่สนใจ
“เอาเงินของฉันมา ฉันต้องการเงิน เงินของฉัน”
บริเวณหน้าโรงอบชา รจนาไฉนยังคงยืนอยู่ ท่ามกลางพายุฝนที่โหมกระหน่ำ
เวลาเย็นใกล้ค่ำ วันเดียวกัน พ.ต.ท. ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะในชุดตำรวจ เพิ่งกลับจากทำงาน เดินเข้าบ้าน
เขาวางของลงและรู้สึกแปลกใจ ได้ยินเสียงออกมาจากห้องครัว ปวุฒิแปลกใจว่าใคร
ปวุฒิเดินเข้าไปมองเห็นด้านหลัง...เห็นผู้หญิงคนหนึ่งก็ชะงักไปนิดหนึ่ง
“กลับมาแล้วเหรอคะ”
“คุณพบ”
“กลับมาจากทำงานเหนื่อย ๆ อะไรจะสุขเท่าได้ทานอาหารอร่อยพร้อมกับคนที่รักเรามากที่สุด จริงมั้ยคะ”
โลมฤทัยทำอาหารต่อนิดหนึ่ง
“รอแป๊บนะคะ ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ”
ปวุฒิผละออกจากโลมฤทัยทันที สีหน้าเปลี่ยนไป
“ต่อไปนี้คุณปวุฒิไม่ต้องกังวลเรื่องอาหารแล้วนะคะ พบจะเป็นคนรับภาระนี้ให้คุณเอง”
โลมฤทัยตักอาหารเสร็จกำลังจะยกไปวางบนโต๊ะ ปวุฒิจ้องมองชุดที่โลมฤทัยใส่...
“พบรู้ว่าผู้ชายบางคนชอบผู้หญิงหวาน น่ารัก.. รับผิดชอบทำงานบ้าน เป็นแม่บ้านแม่เรือน คงคาดไม่ถึงใช่มั้ยคะว่าพบจะทำแบบนี้ได้”
“คุณเอาชุดคุณเพื่อนมาใส่”
“เปล่านะคะ แต่พบมาคิด ๆ ดูแล้ว พบเริ่มเบื่อตัวเองที่ต้องทำตัวทันสมัย เปรี้ยวตามสังคมยุคใหม่ ความจริงการใช้ชีวิตเรียบง่ายตามแบบที่ผู้หญิงควรจะเป็น มันก็มีความสุขดีนะคะ”
โลมฤทัยหันมาเผชิญหน้ากับปวุฒิด้วยสีหน้าจริงจัง
“ความรัก...ทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงได้เสมอค่ะ พบเคยบอกคุณปวุฒิแล้วไงคะ พบรักคุณ... พบจะยอมทำทุกอย่างให้คุณปวุฒิมีความสุข และรักพบ”
ปวุฒิอึ้ง ไม่คิดว่าโลมฤทัยจะยอมเปลี่ยนตัวเองได้ขนาดนี้ เธอเดินถืออาหารออกไป
ปวุฒิอึ้งอยู่อย่างนั้น พูดอะไรไม่ออกแล้วเดินตามออกไป
โลมฤทัยเอาอาหารวางบนโต๊ะ บนโต๊ะมีดอกไม้เชิง เทียนประดับไว้เรียบร้อย ปวุฒิเดินตามเข้ามาก็อดแปลกใจไม่ได้ ไม่คิดว่าโลมฤทัยจะยอมเปลี่ยนตัวเองได้ขนาดนี้
“เชิญนั่งสิคะ”
โลมฤทัยเข้ามาเชื้อเชิญให้ปวุฒินั่งลง เขาจำยอมนั่งลงด้วยมารยาท
“พบรับรองค่ะว่ารสชาติอาหารก็ถูกใจไม่แพ้การตกแต่ง”
โลมฤทัยจะตักข้าวให้ปวุฒิ
“ไม่ต้องครับ ผมไม่หิว”
โลมฤทัยผิดหวังที่ปวุฒิยังคงเย็นชากับเธอ แต่เธอไม่ละความพยายาม
“ลองชิมสักหน่อยนะคะ พบอุตส่าห์ไปเรียนมา”
โลมฤทัยตักอาหารใส่จาน
“พบไม่เคยทำให้ใครทานมาก่อนนะคะ คุณคือผู้ชายคนแรกที่ได้ทานอาหารฝีมือของพบ”
โลมฤทัยยกจานมาให้ แต่ปวุฒิยังคงนั่งเฉย
“พบป้อนให้นะคะ”
โลมฤทัยตักอาหารจะป้อนให้ปวุฒิ เขาผลักออก...แล้วลุกขึ้นจากเก้าอี้
“คุณกลับไปเถอะ”
โลมฤทัยหมดความอดทน
“เลิกเย็นชากับพบซะทีได้มั้ยคะ...บอกมาสิคะพบทำอะไรผิด คุณก็รู้ว่าเราสองคนรู้จักกันก่อน แต่พอคุณเจอพี่เพื่อน พี่เพื่อนก็แย่งคุณไป”
“คุณเพื่อนไม่ได้แย่งผมไป”
โลมฤทัยเสียใจแต่ไม่ยอมแพ้ โผเข้ามากอดปวุฒิ
“แต่พบรักคุณ คุณคือผู้ชายคนเดียวที่พบรัก”
โลมฤทัยเริ่มกอดสัมผัส ปวุฒิอึดอัดใจ
“อย่าทำอย่างนี้เลย...มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกแย่กับคุณมากขึ้น”
โลมฤทัยผิดหวัง เดินเข้ามาต่อว่าปวุฒิ
“พี่เพื่อนใช้มารยายังไง คุณปวุฒิถึงได้รักได้หลง บอกมาสิคะ พบจะได้ทำเหมือนพี่เพื่อน”
ปวุฒิรู้สึกแย่ ไม่พูดจาอะไร โลมฤทัยเริ่มถอดกระดุมเสื้อ ยั่วยวนปวุฒิ
“แบบนี้ใช่มั้ยคะ ที่พี่เพื่อนทำให้คุณพอใจ”
ปวุฒิเดินตรงไปหาโลมฤทัย เธอยิ้มและคิดว่าปวุฒิตกบ่วงเสน่หาของเธอ ปวุฒิเดินเข้าไปหา แล้วกระซิบบอกโลมฤทัย
“หยุดเถอะ สิ่งที่คุณทำมันยิ่งทำให้คุณค่าในตัวคุณลดลง”
โลมฤทัยผิดหวังมาก ปวุฒิยืนจ้องมองโลมฤทัย
“คุณมาแทนที่คุณเพื่อนไม่ได้หรอก เพราะสิ่งที่คุณเพื่อนมี แต่คุณไม่มีคือ ความเป็นกุลสตรี และ ศักดิ์ศรี!”
ปวุฒิเดินออกไปจากบ้าน โลมฤทัยผิดหวังและเสียใจมาก
โลมฤทัยน้ำตาตก ได้แต่มองปวุฒิเดินออกไปจากบ้าน
ภายนอกโรงอบชา สายฝนยังตกอย่างต่อเนื่อง... รจนาไฉนยืนกลางสายฝน
“เอาเงินมาให้ฉัน คุณต้องจ่ายเงินฉัน”
สภาพร่างกายรจนาไฉนเริ่มไม่ไหว แต่พยายามฝืนพูด
“คุณปัทม์ คุณต้องรักษาสัญญา”
เธอพูดได้ไม่จบประโยคก็ทรุดตัวล้มลง
ปัทม์ยืนมองจากภายในโรงอบชาเห็นเธอล้มลงก็นึกเป็นห่วง แต่เธอยังใจแข็งพยายามฝืนลุกขึ้นมา
“คุณพ่อคะ เพื่อนขอโทษค่ะ เพื่อนหาเงินไปรักษาคุณพ่อไม่ได้”
รจนาไฉนเป็นลมล้งลงไปนอนกองกับพื้น... ปัทม์ยืนมองเห็นรจนาไฉนนอนนิ่งท่ามกลางสายฝน.ก็นึกเป็นห่วง รีบเดินออกไป
ปัทม์เร่งรีบเดินออกไปด้วยความเป็นห่วง จนเดินชนกับของภายในโรงอบชา ทันทีที่เปิดประตูโรงอบชาออกมาเห็นรจนาไฉนนอนสลบไสลอยู่ เขาจะเดินเข้าไปหา แต่แล้วก็ต้องหยุดกึกทันที เพราะพ่อเลี้ยงพูนทวีวิ่งตัดหน้าเข้ามาก่อน
“คุณเพื่อน!”
ปัทม์หยุด ไม่อยากแสดงให้พูนทวีเห็นว่า เขาห่วงใยรจนาไฉนเพียงใด พูนทวีเข้าไปดูรจนาไฉน
“คุณเพื่อน...คุณเป็นยังไงบ้าง”
รจนาไฉนนอนไม่ได้สติในอ้อมกอดพูนทวี เขารีบอุ้มรจนาไฉนเพื่อพากลับไปที่พัก ปัทม์ยืนมองอย่างไม่พอใจนัก ที่มีคนมาดูแลรจนาไฉน
ภายในห้องนอน หมอตรวจอาการรจนาไฉนเสร็จ พูนทวีรีบเข้าไปถามอาการ จันทร์เจ้ายืนอยู่ด้านหลัง
“แค่เป็นไข้ครับ ไม่มีโรคอื่นแทรกซ้อน นี่ถ้าปล่อยให้ตากฝนนานกว่านี้ อาจเป็นปอดบวมได้”
“ขอบคุณคุณหมอมากครับ งั้นเดี๋ยวผมไปส่งที่รถนะครับ”
“ไม่เป็นไรหรอก...เชิญพ่อเลี้ยงดูแลแฟนเถอะ”
จันทร์เจ้าอึ้ง พูนทวีรีบออกตัว
“เอ่อ ไม่ใช่แฟนครับ...แต่คงอีกไม่นาน”
จันทร์เจ้าตกใจ ไม่คิดว่าพ่อเลี้ยงพูนทวีจะชอบรจนาไฉนมาก พูนทวีไหว้ลา หมอเดินออกไป
“จันทร์เจ้าเธอกลับไปพักได้แล้ว เดี๋ยวคืนนี้ฉันเฝ้าคุณเพื่อนเอง” พูนทวีบอก
จันทร์เจ้าอึ้ง
“จะดีเหรอเจ้า”
“ทำไมล่ะ...คนเป็นแฟนกันต้องดูแลกันสิ”
จันทร์เจ้ามองหน้าประมาณว่า แน่ใจแล้วเหรอ
พูนทวีคิดได้
“ฉันล้อเล่น เออ แล้วนี่นายเธอหายไปไหน ไม่ดูแลลูกน้องเลย...แล้วทำไมคุณเพื่อนถึงไปนอนที่หน้าโรงอบชา” พูนทวีสงสัย
ภายในห้องนั่งเล่นในบ้านปัทมกุล เวลากลางคืน พูนทวีเดินเข้ามาในบ้านประชดประชันปัทม์
“เจ้าของไร่ชา....นั่งจิบชาสบายใจ”
ปัทม์นั่งดื่มชาอย่างสบายอารมณ์
“จะให้ฉันจิบไวน์รึไง”
“กวนนะแก... นี่ถ้าไม่เห็นว่าเป็นเจ้าบ้าน โดนไปแล้ว”
ปัทม์ไม่สนใจนั่งจิบชาต่อไปอย่างใจเย็น พูนทวีนั่งลง แล้วต่อว่าทันที
“แกปล่อยให้คุณเพื่อนไปยืนตากฝนได้ไง”
“หน้าที่ของเจ้านายจำเป็นต้องรู้ทุกเรื่องของคนงานเหรอ”
“ฉันชักจะสงสัยแล้ว ตกลงคุณเพื่อนเค้าเป็นคนงานแน่เหรอ”
“แกถามทำไม”
“ก็ฉันสงสัย คนงานอะไรจะผิวพรรณ ท่าทางดีมีการศึกษาแบบนั้น”
“เพิ่งรู้ว่านอกจากแกจะทำไร่สตอเบอรี่แล้ว แกยังเป็นซินแสดูโหงวเฮ้ง เค้าจะเป็นอะไรฉันไม่สนใจจะจำ ก็แค่คนงานคนหนึ่ง”
พูนทวีจ้องหน้าปัทม์
“อย่านอกเรื่อง แกปิดปังอะไรฉันเกี่ยวกับคุณเพื่อนรึเปล่า”
“ไม่มี ชัดมั้ย มีอะไรมั้ย”
ปัทม์จ้องหน้าพูนทวีอย่างเอาเรื่อง พูนทวีแก้เก้อ
“ไม่มีก็ได้... แต่สำหรับคุณเพื่อนแกต้องดูแล เพราะเธอน่ารักและเป็นคนดี”
“ถ้าจะมาโวยวายเพราะเรื่องนี้ก็ออกไปได้แล้ว ทำลายบรรยากาศจิบชาของฉัน”
ปัทม์ไม่สนใจ จิบชาต่อไป พูนทวีหมั่นไส้เข้ามาแย่งแก้วชาออก...
“แกพูดความจริงมา คุณเพื่อนไปนอนหมดสติที่หน้าโรงอบชาได้ไง...มันเกิดอะไรขึ้น”
“ฉันไม่รู้”
“แกรู้ เพราะแกผิดสัญญา ไม่จ่ายเงินให้เค้า”
ปัทม์มองหน้าพูนทวี แปลกใจที่พูนทวีรู้เรื่อง
“แม่นั่นฟ้องแก”
“เปล่า! ฉันแค่ได้ยินเค้าละเมอเรื่องเงินอะไรสักอย่าง ก็เดาเอา ใช่มั้ย”
“รู้แล้วจะมาถามทำไม”
“ถามจริงเหอะ... แกจงเกลียดจงชังอะไรคุณเพื่อนนักหนาวะ”
“ฉันไม่ได้เกลียด แค่ไม่สนใจ”
“โอเค ถ้าแกไม่สนใจก็ดี งั้นฉันขอ”
ปัทม์มองหน้าพูนทวี แปลกใจว่าพูนทวีจะขออะไร
“ฉันขอให้ความสำคัญกับเธอ เธอเป็นเทพธิดาดอยกลอยใจของฉัน ฉันจะดูแลผู้หญิงคนนี้เอง”
ปัทม์มองหน้าจะค้าน แต่พูนทวีรวบรัดตัดความ
“ตกลงตามนี้ ต่อไปฉันจะทำอะไรก็อย่าขัด ขอบใจมาก ลาก่อน”
พูนทวีเดินร้องเพลงออกไปอย่างอารมณ์ดี... ปัทม์มองตามแล้วคิดอะไรบางอย่าง
ปัทม์เดินเข้ามาในห้องนอนรจนาไฉนและยืนมองดูเธอ
“ทั้งๆที่รู้ว่าตัวเองไม่สบาย ยังยอมทรมานร่างกายไปยืนตากฝน เธอยอมตายได้เพื่อเงิน เธอเป็นผู้หญิงแบบไหนกันแน่”
ปัทม์ครุ่นคิด มองหน้ารจนาไฉน
“ใช่สิ... เธอเกิดมาเพื่อบูชาเงิน. ต่อให้เธอตายไป เธอก็คงขอตายบนกองเงิน แต่ฉันขอบอกไว้ก่อนนะ เธอคิดผิดที่คิดจะมากอบโกยเงินจากฉัน”
ปัทม์จะเดินกลับออกไป แต่รจนาไฉนละเมอออกมา...
“คุณพ่อคะ เพื่อนหาเงินไปรักษาคุณพ่อไม่ได้ พื่อนขอโทษค่ะ คุณพ่ออย่าเป็นอะไรนะคะ”
รจนาไฉนนอนละเมอ ทำให้ปัทม์แปลกใจ
ภายในห้องนอนรจนาไฉน ภายในบ้านวิชนี เวลากลางคืน โลมฤทัยเขวี้ยงภาพถ่ายของรจนาไฉนคู่กับปวุฒิ เธอเปิดอัลบั้มภาพถ่ายของรจนาไฉนกับปวุฒิ แล้วฉีกภาพทิ้ง ทำลายให้ทั้งสองแยกออกจากกัน
“นังเพื่อน แกไปแล้ว แต่ทำไมต้องเอาหัวใจคุณปวุฒิไปด้วย ฉันเกลียดแก ได้ยินมั้ย...ฉันเกลียดแก”
โลมฤทัยร้องห่มร้องไห้ออกมา เธอหันไปมองภาพของปวุฒิที่ถูกฉีก
“คุณปวุฒิคะ ทำไมคุณถึงใจร้ายกับพบ พบรักคุณมากนะคะ พบรักคุณคนเดียว”
โลมฤทัยร้องไห้ หยดน้ำตาร่วงใส่ภาพปวุฒิ เสียงลำเพาดังเข้ามา
“เลิกคิดถึงมันเถอะลูกพบขา”
ลำเพาเดินเข้ามาในห้อง ไม่พอใจที่ลูกสาวคนโปรดเสียใจเรื่องปวุฒิ
“แค่ผู้ชายกระจอกคนนึง ลูกจะไปสนใจทำไม ถ้าลูกเชื่อแม่ยอมแต่งกับพ่อเลี้ยงปัทม์ตั้งแต่แรก ลูกก็สบายไปทั้งชาติ”
“เลิกพูดถึงมันได้มั้ย พบเกลียดพวกมัน”
ลำเพารีบเปลี่ยนเรื่อง
“ไม่พูดค่ะลูกขา... เดี๋ยวแม่หาผู้ชายรวย ๆ ระดับมหาเศรษฐีให้”
“พบไม่เอาใครทั้งนั้น พบต้องการคุณปวุฒิคนเดียว”
ลำเพาจะโน้มน้าวต่อ
“แต่มันเป็นแค่นายตำรวจ ไม่มีเงินถุงเงินถัง”
โลมฤทัยสวนขึ้น
“คุณแม่อย่ามายุ่งได้มั้ย พบบอกว่าพบรักคุณปวุฒิ เข้าใจมั้ย ได้ยินมั้ย”
โลมฤทัยปรี๊ดแตกเริ่มอาการจะชักดิ้นชักงอ ลำเพาตกใจกลัว
“ค่ะ...ใจเย็นนะคะลูกขา จะรักใครชอบใครก็เอาเถอะ แม่ไม่ยุ่งจ้ะ”
ลำเพาพยายามทำให้โลมฤทัยสงบสติอารมณ์
“พบต้องการอยู่คนเดียว”
“จ้ะ... คนเดียวจ้ะ”
ลำเพายอมทำตาม เดินสะบัดออกไป แต่ขัดใจที่โลมฤทัยยังรักปวุฒิ ฝ่ายลูกสาวเดินตรงไปยังภาพของรจนาไฉนที่แขวนอยู่ เธอหยิบภาพนั้นขึ้นมา
“นังเพื่อน... ฉันจะแย่งหัวใจคุณปวุฒิมาจากแกให้ได้!”
โลมฤทัยฟาดภาพลงพื้น กระจกแตกกระจาย...
ผ่านเวลาไป... บรรยากาศยามเช้า ฟ้าหลังฝนงามตา ทุ่งไร่ชากว้างใหญ่ งดงามราวภาพวาด ดอกไม้บานยามเช้าช่วยแต่งแต้มสีสันให้ชีวิตแห่งธรรมชาติ
เช้าวันใหม่ รจนาไฉนตื่นนอนตอนเช้า ปยงค์เข้ามาต่อว่า
“ตื่นแล้วเหรอยะ นอนหลับสบายใจเฉิบเลยนะ แหม...มีไข้นิดๆหน่อยๆ ทำสำออยยังกะเป็นมะเร็ง ฉันรู้นะว่าเธอคิดอู้งาน”
จันทร์เจ้าถือถาดอาหารเข้ามา
“คิดมากไปรึเปล่าคะคุณปยงค์เจ้า เพื่อนเค้าป่วยจริงๆ ตัวงี้ร้อนยังกะไฟ”
“ไฟเล่ห์เสน่ห์ลวงล่ะไม่ว่า”
จันทร์เจ้าอุทาน
“ไฟเล่ห์เสน่ห์ลวง คิดได้ไงเจ้า ถ้าไม่ใช่คอละครก็ต้องเป็นหนอนนวนิยาย”
“ฉันเก่งย่ะ” ปยงค์หันไปด่ารจนาไฉนต่อ
“ฉันขอเตือนหล่อนไว้ก่อนนะ ถ้าคิดจะใช้ความสาว ความสวย หรือใช้มารยามาอ่อยคุณปัทม์ให้สงสารเห็นใจล่ะก็ไม่ได้ผลหรอก”
“เรื่องนี้ต้องเชื่อคุณปยงค์เจ้า”
ปยงค์ยิ้มดีใจที่จันทร์เจ้าเห็นด้วย
“เพราะว่าคุณปยงค์ใช้แผนนี้มาสามสิบกว่าปีแล้ว...แต่ไม่ได้ผลเจ้า”
ปยงค์หุบยิ้มทันที
“นังจันทร์!”
“จริงมั้ยเจ้า”
จันทร์เจ้ายิ้มเย้ย ปยงค์หมั่นไส้ แต่ทำอะไรไม่ได้
“ฉันให้พักได้แค่วันเดียวเท่านั้น พรุ่งนี้ต้องทำงานเธอจะคิดอู้งานไม่ได้ ถึงบ้านนี้คุณเปรมจะไม่ค่อยอยู่เพราะต้องไปดูแลสถานปฏิบัติธรรมที่เชิงเขา แต่ยังไงหล่อนก็ต้องทำงานให้คุ้มกับที่เค้าจ้างเข้าใจมั้ย”
“สถานปฏิบัติธรรม” รจนาไฉนทวนคำ
“ใช่.. บ้านนี้ถึงได้เหลือเจ้านายเพียงคนเดียวคือคุณปัทม์ยังไงล่ะ เดี๋ยวนี้คุณเปรมท่านอยู่ที่นั่นมากกว่าอยู่ไร่แล้ว”
“คุณปยงค์คะ”
“อะไร จะมาต่อรองอะไรอีก”
รจนาไฉนยกมือไหว้
“เพื่อนขอบคุณคุณปยงค์มากนะคะ ที่กรุณาดูแลเพื่อนและอนุญาตให้เพื่อนได้พักงาน แต่เพื่อนขอทำงานวันนี้เลยก็ได้นะคะ เพื่อนพอจะหายดีแล้ว”
“ตาย...แม่นางเอกกลับชาติมาเกิด ความขยันช่างประเสริฐเพริศแพร้วพรรณาราย ฉันก็อยากให้หล่อนทำงานตั้งแต่ชั่วโมงนี้ด้วยซ้ำ ถ้าพ่อเลี้ยงไม่ขอไว้”
ปยงค์เดินออกไป
รจนาไฉนแปลกใจถามจันทร์เจ้า
“พ่อเลี้ยงปัทม์เหรอ ที่ขอให้ฉันพัก”
“ไม่ใช่เจ้า คนที่พูดถึงคือ พ่อเลี้ยงพูนทวี”
“ใครกัน พ่อเลี้ยงพูนทวี!”
พูนทวีหิ้วกระเช้าผลไม้มาฝาก ร้องเพลงชาวดอยเข้ามา
“ผม..เอาแครอทมาฝาก”
“นี่ไงเจ้า พ่อเลี้ยงพูนทวี”
รจนาไฉนตกใจ
“ชาวเขาเนี่ยนะพ่อเลี้ยง”
จันทร์เจ้าตกใจ
“ใครกันชาวเขา”
จันทร์เจ้าหันไปมองพ่อเลี้ยง พูนทวียิ้มแหย ยังคงพูดไม่ชัด
“ความแตกหมดเลย”
รจนาไฉนมองพูนทวีด้วยความแปลกใจ เพราะหลงเชื่อว่า พูนทวีเป็นชาวเขามาตั้งนาน
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 3 (ต่อ)
ในห้องทำงานวันเดียวกัน ปัทม์ ปัทมกุลยืนรอด้วยความกระวนกระวายใจ ชิเดินเข้ามาไม่ทันเข้ามาดี ปัทม์ก็รีบถาม
“เรื่องที่ฉันให้ไปสืบว่าไง”
ชิยิ้มร่า อยากจะอธิบายเอาหน้า
“จากการที่นายให้ชิไปสืบเรื่องของคุณพ่อของคุณรจนาไฉนว่าป่วยเป็นอะไรนั้น ชิได้โทรไปสอบถามข้อมูลจากทางโรงพยาบาล แล้วทางพยาบาลแสนสวยได้...”
ชิเหมือนจะพล่ามต่อไปอีกนาน ปัทม์ตัดบท
“เขาป่วยเป็นอะไร”
ชิสะดุ้งรีบรายงานอย่างรวบรัด
“คุณนพรัตน์ป่วยเป็นโรคไต ต้องฟอกไตทุกอาทิตย์ครับ จบข่าว ชิรายงาน!”
ปัทม์แปลกใจไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน
“ฟอกไต แล้วค่ารักษาเท่าไหร่”
ชิส่งเอกสารให้ปัทม์
“ชิให้ทางโรงพยาบาลแฟกซ์มาให้แล้วครับ”
ปัทม์รับเอกสารมาดู...
“เสร็จเรื่องแล้ว...ชิขอตัวไปทำงานต่อครับนาย”
“เดี๋ยวก่อน”
ชิแปลกใจว่าปัทม์จะให้ทำอะไรต่อ
ภายในห้องนอนรจนาไฉน พ่อเลี้ยงพูนทวีขอโทษเธอ
“ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้บอกความจริง”
รจนาไฉนรีบไหว้พูนทวี
“เพื่อนสิคะต้องขอโทษพ่อเลี้ยงที่เข้าใจผิดคิดว่าพ่อเลี้ยงเป็น...” เธอไม่กล้าพูดที่เข้าใจว่า เขาเป็นชาวเขา
พูนทวีพูดแทน
“คนงาน ! ไม่ใช่ความผิดของคุณหรอก แต่เป็นความผิดของผมเองที่เกิดมาหน้าตาไม่ดีแถมไม่มีราศีอีก”
“ขอโทษอีกครั้งนะคะพ่อเลี้ยง”
พูนทวีทำขึงขัง
“ไม่ให้อภัยครับ”
รจนาไฉนหน้าเสีย
“ยกโทษให้เพื่อนนะคะ”
“ผมจะไม่ยกโทษให้จนกว่าคุณเพื่อนจะเลิกเรียกผมว่าพ่อเลี้ยง ต้องเรียกผมว่าพูนทวี”
“ไม่ดีมั้งคะ... เพื่อนเป็นแค่คนงาน ไม่ควรตีตัวเสมอพ่อเลี้ยง”
“ถ้าคุณไม่เรียก ผมจะเล่นบทชาวเขาตลอดไป เราจะได้เป็นเพื่อนกันอย่างสนิทใจ”
“ตกลงค่ะ เพื่อนจะเรียกคุณว่า พูนทวี”
“เยี่ยมครับ”
ทั้งสองยิ้มให้กัน รับรู้ถึงมิตรภาพที่มีให้กัน พูนทวีนึกได้รีบควักเงินให้รจนาไฉน
“เงินครับ”
“ให้เพื่อนทำไมคะ”
“ผมไม่รู้ว่าปัทม์มันค้างเงินอะไรคุณไว้ ในเมื่อมันไม่จ่าย ผมจ่ายให้คุณเองพอไหมครับ ถ้าไม่พอผมจะเพิ่มให้อีก”
รจนาไฉนซึ้งใจ
“มันเป็นสัญญาที่คุณปัทม์ต้องรับผิดชอบ ไม่เกี่ยวกับคุณพูนทวีเลย เพื่อนรับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
รจนาไฉนจะคืนเงิน แต่พูนทวีไม่รับ
“ถ้าคุณไม่รับ ก็เท่ากับไม่รับผมเป็นเพื่อน”
พูนทวีใช้แผนเด็ด รจนาไฉนไม่มีทางเลือก
“ค่ะ...ขอบคุณนะคะ”
รจนาไฉนรับเงินมาไว้ ทำให้พูนทวีดีใจที่มีส่วนช่วยรจนาไฉน แต่แล้วรจนาไฉนส่งเงินให้พูนทวี
“ฉันให้ค่ะ”
พูนทวีงง
“ค่าอะไรครับ!”
“ค่าหมอ ค่ารักษาดูแลฉัน”
“ผมไม่รับ!”
รจนาไฉนย้อน
“ถ้าคุณไม่รับก็เท่ากับไม่รับฉันเป็นเพื่อน”
พูนทวีอึ้ง ไม่คิดว่ารจนาไฉนจะฉลาด และมีไหวพริบ พูนทวีจำยอมรับเงินคืน
“ครับ แต่จำไว้นะครับ ถ้าคุณมีเรื่องเดือดร้อนหรือลำบาก ขอให้บอกเพื่อนคนนี้ เพื่อนคนนี้จะช่วยเหลือคุณเสมอ”
พูนทวียื่นมือมาให้รจนาไฉน เธอยิ้มให้แล้วจับมือตอบ
“ขอบคุณค่ะเพื่อนที่แสนดี”
พูนทวียิ้มดีใจที่มิตรภาพดำเนินไปด้วยดี จากนั้น เขาก็ลากรจนาไฉนออกไป
“จะพาเพื่อนไปไหนคะ”
ภายในห้องทำงาน ปัทม์เซ็นเช็คส่งให้ชิ ชิรับมาดูก็ตกใจ... ตื่นเต้นดีใจ
“นายเซ็นเช็คให้ชิ! เป็นรางวัลที่ไปสืบเรื่องคุณนพรัตน์เหรอนาย”
“เอาไปจ่ายให้โรงพยาบาล เป็นค่ารักษาคุณนพรัตน์”
“โธ่...นึกว่าให้ชิ”
“จัดการด่วนที่สุด”
“ครับนาย!”
ชิจะเดินออกไป ปัทม์ถามขึ้น
“ฉันเห็นรถพูนทวีมา มันกลับไปแล้วใช่มั้ย”
“ยังครับ!”
ปัทม์แสดงความไม่พอใจ
“ทำไมมันยังไม่กลับไปอีก”
“เห็นพาคุณรจนาไฉนออกไปสูดอากาศข้างนอกครับ”
ปัทม์โวยวาย
“ทำไมมันต้องดูแลเอาใจกันด้วย”
“แล้วทำไมนายต้องโมโห”
ปัทม์สวนกลับ
“ไม่ใช่เรื่องของแก”
“ครับ...ไม่ใช่เรื่องของชิ ชิไปแล้วครับ”
ชิจะเดินออกไป แต่เห็นว่าปัทม์ยังหงุดหงิดก็หันมาบอก
“ถ้านายไม่สบายใจ อยากตามไปดู พวกเขาอยู่ที่ลำธารเชิงเขา”
“บอกฉันทำไม ฉันไม่สนใจ ไม่ใช่เมียฉัน”
“แล้วทำไมนายต้องโมโหด้วย ทำตัวเหมือนหวงก้าง”
ปัทม์โกรธที่ชิรู้ทัน
“ไอ้ชิ!”
“หายตัวแว้บไ
ชิวิ่งออกไปทันที ปัทม์คิดตัดสินใจ...
บริเวณลำธาร รจนาไฉนเดินมาหยุดมอง เห็นลำธารและทุ่งดอกไม้แสนสวย เธอสัมผัสธรรมชาตินั้นอย่างมีความสุข พูนทวีเดินเข้ามาหยุดตรงหน้า
“ชอบมั้ยครับ”
“ชอบมากค่ะ”
พูนทวียิ้มดีใจ คิดว่าเธอชอบเขา แต่..รจนาไฉนกลับวิ่งไปดูบริเวณลำธาร
“เหมือนฝัน ลำธารน้ำใส มีทุ่งดอกไม้สีสด เหมือนอยู่ในเทพนิยายเลยค่ะ”
พูนทวีผิดหวังเล็กน้อยที่เธอสนใจในธรรมชาติ มากกว่าตัวเขา
“ผมดีใจนะครับที่คุณเพื่อนชอบ คุณเพื่อนได้มาสูดอากาศบริสุทธิ์ได้ชมธรรมชาติงดงาม นอกจากจะทำให้สุขภาพแข็งแรงแล้ว สุขภาพใจก็ดีขึ้นด้วยครับ”
พูนทวีหันไป เห็นรจนาไฉนกำลังปูผ้าเพื่อวางอาหารปิคนิค
“ไม่ต้องทำครับ ผมทำให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ คุณพูนทวีทำเพื่อเพื่อนมาเยอะแล้ว ให้เพื่อนได้ดูแลคุณพูนทวีบ้างนะคะ”
รจนาไฉนยิ้มให้ เขาดูมีความสุขมาก
“ดีครับ อยากให้ดูแลทั้งชีวิตเลย”
“อะไรนะคะ”
“หมายถึง...เป็นเพื่อนกันดูแลกัน”
“คุณพูนทวีรู้มั้ยคะ ว่าคุณเป็นคนที่น่ารักมาก”
พูนทวีเขิน
“คุณเพื่อนก็พูดเกินไป ผมไม่น่ารักหรอก แต่มีเสน่ห์”
“คุณเพื่อนเป็นคนที่มีน้ำใจและเป็นคนดี ถ้าโลกนี้มีแต่คนแบบคุณพูนทวี บ้านไร่ปลายดอยคงเต็มไปด้วยสันติสุข ไม่ต้องมืดมนเหมือนคนบางคน”
“อย่าไปพูดถึงปัทม์มันเลยครับ คนที่จมกับความทุกข์ก็เป็นอย่างนั้นล่ะ”
รจนาไฉนแปลกใจ
“เขามีเรื่องอะไรเหรอคะ”
“อย่าไปสนใจมันเลยครับ เดี๋ยวบรรยากาศจะกร่อย”
“ค่ะ...ดูสิคะ แค่พูดชื่อเขา ดอกไม้ก็เหี่ยวเลย”
รจนาไฉนหยิบดอกไม้ที่ก้านหักดอกตกขึ้นมาชูให้พูนทวีดูเหมือนเปรียบเทียบ ทั้งสองหัวเราะชอบใจ
บริเวณไร่ชา ปัทม์ขี่ม้า แต่สะดุดจนหน้าเกือบคะมำ ปัทม์โวยวายใส่ม้า
“วันนี้แกเป็นอะไรของแกวะ ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว”
ปัทม์พยายามหันไปมองคนงานที่ทำงานอยู่ แต่ภายในใจไม่นิ่งเพราะคิดถึงคำพูดของพูนทวี
“ฉันขอให้ความสำคัญกับเธอ เธอเป็นเทพธิดาดอยกลอยใจของฉัน ฉันจะดูแลผู้หญิงคนนี้เอง”
ปัทม์มองหน้าจะค้าน แต่พูนทวีรวบรัดตัดความ
“ตกลงตามนี้ ต่อไปฉันจะทำอะไรก็อย่าขัด...”
ปัทม์วุ่นวายใจ ตัดสินใจควบม้าไปทางลำธารทันที...
บริเวณลำธาร พูนทวีหยิบสตรอเบอรี่ลูกโตให้รจนาไฉน
“นี่เป็นสตอรเบอรี่จากไร่ผมเอง กินเยอะๆนะครับ วิตามินซีช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและทำให้สดชื่น”
รจนาไฉนจะรับมา แต่พูนทวีไม่ส่งให้
“ผมป้อนให้ครับ”
รจนาไฉนอึ้ง พูนทวีเล่นมุกทำเสียงดุเลียนแบบปัทม์
“อย่าขัดคำสั่งผม! ผมคือพ่อเลี้ยงปัทม์ ปัทมกุลผมเป็นเจ้าของที่นี่ ผมสั่งอะไรคุณต้องทำตามคำสั่งของผม!”
รจนาไฉนมองพูนทวีแล้วหัวเราะ
“เอ้า...ไม่กลัวเหรอครับ”
“ก็มันขำนี่คะ คุณทำยังไงก็ไม่เหมือนเค้าหรอก เพราะแววตาคุณใจดี ขี้เล่น แต่สำหรับเค้า เป็นแววตามัจจุราช!”
พูนทวีเห็นด้วย
“โดนใจผมมาก ใช่เลย ไอ้ปัทม์มันเหมือนมัจจุราช”
ทันใดนั้น ปัทม์ควบม้าวิ่งเข้ามาบนเสื่อ พูนทวีและรจนาไฉนตกใจ
“เฮ้ย!”
ปัทม์ลงจากหลังม้า
“ไอ้ปัทม์ แกเป็นบ้าอะไร บุกฝ่ามากลางวง”
“ขอโทษ ม้ามันพยศ ควบคุมไม่อยู่”
“มันจะพยศได้ไง นี่มันม้าคู่ชีพของแก”
“จะเอาอะไรกับม้า ขนาดคนเรายังควบคุมไม่ได้เลย”
ปัทม์มองไปทางรจนาไฉนที่โดนแขวะ
“แกมาทำอะไรแถวนี้”
“มาตรวจไร่ชา” ปัทม์บอก
“แต่นี่มันนอกเขตพื้นที่ไร่ของแกแล้วนี่หว่า”
รจนาไฉนมองปัทม์ที่รีบแก้ตัว
“ก็แค่มาดูว่าปีนี้น้ำเป็นไงบ้าง มันแล้งรึเปล่า”
“ไม่เห็นต้องมาเองเลย ให้คนงานมาดูก็ได้” พูนทวีบอก
“ฉันไม่ไว้ใจใครทั้งนั้นสู้มาดูเองดีกว่า มาดูให้เห็นกับตาว่ามันเป็นยังไง”
ปัทม์ยังคงมองเย้ยไปที่รจนาไฉน
“คุณก็เห็นแล้วนี่คะว่าน้ำเป็นยังไง...เสร็จธุระแล้วก็น่าจะกลับได้แล้ว” รจนาไฉนบอก
“เธอไม่มีสิทธิ์มาสั่งฉัน ฉันยังไม่อยากกลับ”
“ไม่กลับก็ไม่กลับ”
พูนทวีหันมาคุยกับรจนาไฉน
“คุณเพื่อนครับ มาทานแซนวิชฝีมือผมดีกว่า”
พูนทวีส่งให้รจนาไฉน แต่ปัทม์แย่งไปกินทันที
“เฮ้ย... ฉันทำให้คุณเพื่อน”
“ฉันหิว”
ปัทม์กินอย่างไม่สนใจรจนาไฉน
“ไม่เป็นไรค่ะ ถือว่าให้ทาน”
ปัทม์สะดุ้งแล้วโยนแซนวิสทิ้งทันที พูนทวีหัวเราะชอบใจ รจนาไฉนรินน้ำส้มส่งให้พูนทวี
“น้ำส้มค่ะ”
ปัทม์แย่งมากินอีก
“เสียมารยาท”
“ทำไม...เธอเป็นคนงานของฉัน ต้องมีหน้าที่รับใช้ฉัน รึไม่จริง”
“คุณพูนทวีคะ...ฉันว่าแถวนี้เริ่มมีมลพิษ พวกแมลงวันแมงหวี่มาตอม เราไปเดินเล่นที่ริมน้ำดีกว่า”
“ดีครับ งั้นเชิญครับ”
พูนทวียื่นมือให้ เพื่อจะดึงรจนาไฉนขึ้นมา
“ขอบคุณมากนะคะ สำหรับความเป็นสุภาพบุรุษ”
รจนาไฉนหาโอกาสประชดปัทม์ ปัทม์แสดงความไม่พอใจ ลุกขึ้นขวางก่อนที่ทั้งสองจะเดินออกไป
“เธอกลับไร่ได้แล้ว” ปัทม์บอก
“แต่คุณเพื่อนยังอยู่ในช่วงพักฟื้น” พูนทวีว่า
“เค้าเป็นคนงานของฉัน ฉันสั่งอะไรเค้าต้องทำตาม”
ปัทม์มองขู่ รจนาไฉนไม่อยากให้เกิดปัญหาตามมา
“คุณพูนทวีคะ ไว้โอกาสหน้าเราค่อยมาปิคนิคกันใหม่นะคะ”
“ได้ครับ”
พูนทวีบอกปัทม์
“งั้นเดี๋ยวฉันไปส่งคุณเพื่อนเอง”
“ไม่ต้อง กว่าจะเดินไปที่รถเสียเวลา”
ปัทม์บอกรจนาไฉน
“เธอไปกับฉัน!”
ปัทม์ลากเธอไปที่ม้า รจนาไฉนตกใจ
“ฉันไม่เคยขี่ม้า!”
ปัทม์ไม่สนใจ จับเธอขึ้นนั่งแล้วควบม้าออกไป โดยไม่สนใจพูนทวี
“เฮ้ย... มาไวเคลมไว”
พูนทวีบ่นๆ ก่อนนึกสงสัยในท่าทีของปัทม์
“ดูแลคุณเพื่อนดีๆนะเว้ย... มันเป็นอะไรของมันวะ ไหนบอกว่าปล่อยให้เราดูแลได้ ไอ้มารผจญ ไม่ใช่ ต้องเรียกว่า มัจุจราช!”
ปัทม์ควบม้าวิ่งไปมาทางทุ่งหญ้า รจนาไฉนสีหน้าตื่นกลัว นั่งอยู่ด้านหน้า
“วิ่งช้า ๆ สิ....ฉันกลัว”
“กลัวเหรอ”
“ก็ฉันไม่เคยขี่ม้านี่ ช้าๆหน่อย”
ปัทม์จงใจเร่งม้า ควบเร็วขึ้น รจนาไฉนตกใจ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะลง”
“กระโดดลงไปสิ ถ้าไม่กลัวแขนขาหัก”
รจนาไฉนมองไป เห็นแต่ก้อนหินก็กลัว มองไปข้างหน้าเห็นกิ่งไม้ก็ตกใจ
“ว้าย”
ปัทม์โอบคว้าตัวรจนาไฉนให้หลบกิ่งไม้ เธอหลับตานิ่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา ปัทม์ผ่านกิ่งไม้มาได้ ก็บังคับม้าให้หยุด เธอเห็นว่าปลอดภัยก็ดีใจ แต่รู้สึกตัวว่าอยู่ในอ้อมกอดของปัทม์จึงรีบดึงมือของเขาออก
“เอามือออก ฉันไม่เป็นอะไรหรอกน่า”
ปัทม์จะควบม้าต่อไป แต่หญิงชาวม้งวิ่งเข้ามาร้องขอความช่วยเหลือ
“ช่วยด้วย....ช่วยด้วย!”
ปัทม์และรจนาไฉนแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้น
บริเวณหมู่บ้านม้ง เวลากลางวัน มีเสียงคนถูกเตะต่อยดังเข้ามา ภายในบ้าน หน่อเอถูกทำร้าย เลือดกลบปาก หน้าตาเละ เขาถูกรุมทำร้ายจนกระเด็นไปปะทะกับผนังกระท่อม ศักดิ์ ลูกน้องมือขวาของพ่อเลี้ยงเจงย่างสามขุมเข้าหาหน่อเออย่างเดือดดาล
“ทำไมแกไม่กลับไปส่งยาให้พ่อเลี้ยง!”
“ฉันเลิกแล้ว” หน่อเอบอก
“แกคิดว่าพ่อเลี้ยงเล่นขายของหรือไง นึกจะเลิกก็เลิก ไอ้หน่อเอ!”
ศักดิ์จะเข้าไปซ้ำ หน่อเอยกมือป้อง ละล่ำละลักพูด
“พ่อเลี้ยงปัทม์มันบังคับฉัน ไม่งั้นมันจะจับฉันส่งตำรวจ!”
ศักดิ์ชะงัก
“ไอ้ปัทม์!”
“ฉันไม่มีทางเลือก”
“แล้วมันเป็นพ่อแกหรือไง ถึงต้องเชื่อมัน ต่อไปอย่าไปเชื่อฟังมันอีก”
ศักดิ์จะเข้าไปทำร้ายหน่อเออีก
“หยุดนะ!”
ศักดิ์ชะงัก ทั้งศักดิ์และหน่อเอหันไปมองที่ประตู ปัทม์ยืนหน้าเครียด เล็งปืนมาที่ศักดิ์
“หยุดทำร้ายคนไม่มีทางสู้ซะที ไม่อย่างนั้น แกได้กินลูกปืนฉันแน่”
“แน่ใจรึว่าฉันต้องกินลูกปืนแก”
ปัทม์หันไปทางด้านหลัง ลูกน้องของศักดิ์ 2 คนเข้ามาประชิด เล็งปืนจ่อหัวปัทม์เอาไว้ แล้วริบเอาปืนมาจากปัทม์
“จำไว้..เกิดชาติหน้าอย่าทำตัวเป็นวีรบุรุษอีก จัดการ”
ศักดิ์หันไปพยักหน้าสั่งลูกน้องจะให้ฆ่าปัทม์
ทันใดนั้นรจนาไฉนโผล่มาจากด้านหลัง ในมือถือท่อนไม้ผุๆ
“หยุดนะ!”
ลูกน้องศักดิ์หันไป รจนาไฉนฟาดหน้าลูกน้องศักดิ์คนหนึ่งด้วยไม้ผุๆ ปรากฏว่าไม้หักโดยที่ลูกน้องศักดิ์ไม่เป็นอะไรเลย ปัทม์ถอนใจเฮือกที่จู่ๆรจนาไฉนก็เข้ามา แต่ไม่ได้ช่วยอะไรเลย
“อุ้ย”
“อีนี่ มาจากไหนวะ! จัดการมัน”
ปัทม์ฉวยจังหวะเตะและต่อยศักดิ์จนศักดิ์ล้มลงไป ลูกน้องศักดิ์จะเข้าไปทำร้าย รจนาไฉน
“หนีไปเร็ว!” ปัทม์บอก
รจนาไฉนวิ่งหนีออกไปนอกกระท่อมทันที ลูกน้องศักดิ์จะตาม ปัทม์เข้าไปขวาง เตะต่อย ต่อสู้จนลูกน้องศักดิ์กระเด็นชนผนังกระท่อม ปัทม์รีบวิ่งออกไป
ปัทม์ออกมานอกกระท่อม เจอรจนาไฉนยืนตกใจอยู่
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
ปัทม์ตะโกนบอก
“รีบหนีไป”
รจนาไฉนจะวิ่งหนีแต่สะดุดครกตำข้าวล้มลง ปัทม์เข้าไปดูแล พวกลูกน้องศักดิ์ตามออกมาเข้าไปต่อสู้กับปัทม์เป็นพัลวัน ปัทม์ต่อสู้ออกหมัดมวยเต็มที่จนลูกน้องศักดิ์ได้รับบาดเจ็บ
ศักดิ์เดินตรงเข้ามา คว้ามีดของชาวเขาเล่มโต เข้ามาฟันปัทม์ ปัทม์หลบหลีก และคว้าเอาไม้ที่หยิบได้ขึ้นมาต่อสู้ป้องกันตัว
รจนาไฉนและเมียของหน่อเอแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง
ปัทม์ต่อสู้สุดกำลัง จนกระทั่งพวกศักดิ์แพ้ นอนหมอบกับพื้น พวกมันจะลุกขึ้นมา แต่ปัทม์แย่งปืนเข้ามาถือขู่ไว้.!
แต่แล้วมีเสียงปืนดังขึ้นข้างตัวศักดิ์ ทุกคนตกใจ ปัทม์หันไป ปลัดวราห์เข้ามากับตำรวจ 2-3 นาย พร้อมอาวุธปืนพร้อมครบมือ เล็งมาที่พวกของศักดิ์
“ปลัดวราห์” ปัทม์เรียก
วราห์บอกตำรวจ
“จับพวกมันไป อย่าปล่อยให้มารังแกชาวบ้านอีก!”
ตำรวจรีบวิ่งไปคุมตัวศักดิ์และลูกน้องออกไป ศักดิ์และลูกน้องมีฮึดฮัด ก่อนออกไปหันมามองปัทม์อย่างเคียดแค้น แล้วถูกตำรวจดันหลังให้เดินออกไป
มุมหนึ่งหน้าบ้านหน่อเอ วราห์เดินเข้ามาหาปัทม์
“เป็นอะไรมากหรือเปล่าคุณปัทม์”
ปัทม์แปลกใจ
“ผมปลอดภัยดี... แล้วปลัดกับตำรวจมาได้ยังไง”
“ผมขอติดตามพวกเค้าออกตรวจพื้นที่มีการลักลอบปลูกฝิ่น ตั้งใจจะมาเยี่ยมชาวเขา”
“คนที่นี่โชคดีที่มีปลัดอำเภอขยัน อีกไม่นานคงได้เลื่อนขั้นเป็นนายอำเภอแน่”
“ผมไม่ได้สนใจหรอกว่าจะได้เลื่อนขั้นหรือไม่ได้ ผมขอทำงานดูแลประชาชนให้อยู่เย็นเป็นสุข และห่างไกลจากยาเสพติดก็พอ”
“ผมดีใจนะที่คุณยืนเคียงข้างประชาชน”
รจนาไฉนวิ่งเข้ามาหาปัทม์ และเห็นเมียของหน่อเอวิ่งไปทางกระท่อมหน่อเอ
“คุณเป็นไงบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า”
ปัทม์เห็นสายตาที่เป็นห่วงอย่างจริงใจของรจนาไฉนก็มีอาการวูบไหว ปลัดวราห์มองรจนาไฉนด้วยความแปลกใจและสนใจ ตำรวจเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ผมจะพาไอ้สามคนนั่นไปสอบสวนที่โรงพัก”
“ผมต้องไปให้ปากคำด้วยใช่มั้ย”
“ไม่ต้องหรอก เสียเวลา เห็นชัดๆว่ามันผิดเต็มๆ เดี๋ยวพวกผมจัดการต่อเอง ผมไปก่อนนะ แล้วเจอกัน”
“ขอบคุณอีกครั้งนะครับปลัด”
“ไม่เป็นไรครับ”
วราห์เดินออกไปกับตำรวจ แต่ส่งสายตาอย่างมีความหมายมาที่รจนาไฉน เธอหลบตาวูบ ปัทม์คิดถึงหน่อเอ เดินย้อนกลับไป รจนาไฉนแปลกใจรีบตามไป
ภายในบ้าน เมียหน่อเอกำลังเอาผ้าเช็ดเลือดและดูแลหน่อเออยู่ ปัทม์เข้ามา เมียหน่อเอยกมือไหว้ท่วมหัว
“ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยชีวิตหน่อเอ คุณสองคนเป็นคนดีจริงๆ”
“หยุดพูด! พอได้แล้ว”
“คุณปัทม์เป็นผู้มีพระคุณ ถ้าไม่ได้เค้า แกก็คงไม่รอด” เมียบอก
“บอกให้หยุดพูด แล้วออกไปข้างนอกก่อน”
เมียหน่อเอประหลาดใจ แต่ก็ยอมทำตามคำสั่งของหน่อเอแต่โดยดี เธอเดินออกไปข้างนอกสวนกับรจนาไฉนที่ยืนฟังอยู่ที่หน้าประตู
“พวกนั้นเป็นใคร”
หน่อเอไม่ตอบ ปัทม์ไม่พอใจเดินตรงเข้ามากระชากคอเสื้อถาม
“ฉันถามว่าพวกนั้นเป็นใคร เป็นพวกที่จ้างแกขนยารึเปล่า”
“ต่อไปไม่ต้องยุ่งกับพวกฉันอีก เพราะแกทำให้ชีวิตของฉันกับเมียวุ่นวายไม่เป็นสุข”
ปัทม์ผลักหน่อเอลงไปนอนกองกับพื้น
“ชีวิตแกไม่เป็นสุข เพราะแกยุ่งกับยาเสพติดต่างหาก ฉันขอสั่งให้แกเลิกค้ายาเด็ดขาด”
รจนาไฉนไม่พอใจ แต่ทำอะไรไม่ได้ หน่อเอพยามยามลุกขึ้น....
“พวกเรามีชีวิตของเรา เลือกชีวิตได้เอง..พวกคนเมืองอย่างแกไม่ต้องยุ่ง”
“ใช่...ฉันเป็นคนเมือง แกเป็นชาวเขา แต่แกก็ยืนอยู่บนผืนแผ่นดินไทย ฉันยอมไม่ได้ที่จะให้แกค้ายาเสพติด ฟังไว้นะ...ยาเสพติดไม่ได้ทำร้ายแค่คนเสพ แต่มันทำลายคนทั้งประเทศ”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพวกฉัน ในเมื่อคนประเทศนี้ไม่เคยยอมรับว่าฉันเป็นคนไทย”
ปัทม์อึ้งไม่คิดว่าหน่อเอจะมีความคิดอย่างนี้
“ถ้าแกอยากจะเป็นคนไทย ควรจะถามตัวเองก่อนดีมั้ย ว่าเคยทำอะไรให้ผืนแผ่นดินที่แกอาศัยนี้บ้างรึเปล่า”
หน่อเอถึงกับชะงักเมื่อได้ยินประโยคนี้ของปัทม์ ปัทม์ไม่อยากต่อความยาวจึงตัดบท
“แกจะคิดยังไงก็ช่าง ถ้าแกยังหวงแหนชีวิต และอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น แกต้องไปทำงานที่ไร่ของฉัน”
หน่อเอไม่รับปาก
“ถ้าพรุ่งนี้ฉันไม่เห็นแกที่ไร่ของฉัน ฉันจะไม่เสียเวลาเป็นครั้งที่สอง ฉันจะเป็นคนพาตำรวจมาจับแกเข้าคุกเอง!”
ปัทม์เดินออกไปห็นรจนาไฉนยืนฟังอยู่ เขาเดินออกไปดดยไม่สนใจ เธอไม่พอใจที่เขาทำกับพวกหน่อเอ ฝ่ายหน่อเอมองตามปัทม์ด้วยความอึดอัดที่ถูกบีบบังคับ
ปัทม์เดินลิ่วๆมายังทางเดิน รจนาไฉนพยายามสาวเท้าให้ทัน
“นี่ ทำไมต้องไปขู่ให้เค้ามาทำงานให้คุณด้วย ไม่เห็นเหรอว่าเค้ากำลังตกใจ เสียขวัญ แทนที่จะพูดกับเขาดี ๆ ถามจริง ๆ ตั้งแต่เกิดมาเคยพูดดีๆกับใครบ้างมั้ย”
ปัทม์รำคาญสุดๆ
“หุบปาก”
“ถ้าฉันหุบปากก็เท่ากับฉันยอมรับความป่าเถื่อนของคุณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ฉันยอมรับมันไม่ได้ ฟังฉันนะ”
ปัทม์ไม่สนใจเดินหนีไป รจนาไฉนรีบวิ่งไปดักขวางหน้าไว้
“ถึงฉันเป็นแค่คนงานที่คุณไม่สนใจ แต่ขอให้ฟังฉัน”
ปัทม์ยืนฟัง ไม่ตอบโต้ ไม่แสดงอารมณ์ใดๆ รจนาไฉนคิดว่าปัทม์พร้อมฟัง...
“ฉันอยากให้คุณรู้ว่าคนไร้สัญชาติอย่างพวกเขาก็มีหัวใจ ขอให้มองเขาเป็นคน เขาเกิดบนผืนแผ่นดินไทย เขาเป็นคนไทยเหมือนพวกเรา และที่สำคัญ กรุณาพูดจาภาษาคนกับพวกเขา”
ปัทม์ถามนิ่งๆ
“จบแล้วใช่มั้ย”
“คิดว่าพูดแค่นี้ คุณคงเข้าใจ”
ปัทม์ตวาดกลับ
“ฉันจะทำอะไรก็เรื่องของฉัน ไม่ต้องมายุ่ง!”
รจนาไฉนอึ้ง แต่ไม่ยอมแพ้
“ก็ไม่ได้อยากจะยุ่ง แต่มันทนไม่ได้. แล้วถ้าไม่เห็นว่ากำลังจะถูกยิงสมองระเบิดก็ไม่เข้าไปช่วยหรอก คนเขาอุตส่าห์หวังดีช่วยชีวิต คิดจะขอบใจสักคำก็ไม่มี” รจนาไฉนออกแนวน้อยใจประชดประชัน
ปัทม์สวนกลับด้วยความโมโหมากและเป็นห่วงอยู่ลึกๆ
“แล้วใครสั่งให้เธอเสนอหน้าเข้ามาช่วย ฉันสั่งให้เฝ้าม้า แล้วเข้ามาทำไม ไม่รู้รึไงว่ามันอันตรายมากแค่ไหน พวกนั้นมีปืน ถ้าเกิดโดนลูกหลงบาดเจ็บหรือตายขึ้นมาจะทำยังไง!”
รจนาไฉนอึ้ง ไม่คิดว่าปัทม์จะเป็นห่วง...
“คุณเป็นห่วงฉันด้วยเหรอ”
ปัทม์รีบกลบเกลื่อน
“ใครบอก....ฉันเป็นห่วงม้าฉันจะหายต่างหาก รู้มั้ยว่าม้าตัวนี้มีค่ามากกว่าเธอร้อยเท่าพันเท่า”
รจนาไฉนไม่พอใจ
“ห่วงม้ามากกว่าคน คุณยังมีหัวใจอยู่รึเปล่า เคยรักใครบ้างไหม”
ปัทม์มองหน้ารจนาไฉน อึ้งกับประโยคของเธอ ปัทม์รีบควบม้าออกไป รจนาไฉนตกใจ รีบวิ่งตามมาขวาง
“คุณจะไปไหน แล้วฉันล่ะ”
“เดินกลับไปเอง โทษฐานที่ขัดคำสั่งฉัน”
ปัทม์ควบม้าออกไป รจนาไฉนตกใจ ตะโกนเรียกไล่หลัง
“กลับมาก่อน ไร่ชาอยู่ไกลนะ คุณ...คนบ้า ป่าเถื่อน โหดร้ายที่สุด”
เวลากลางคืน ปลัดวราห์ผลักศักดิ์เข้ามาในมุมหนึ่งของบ้านพ่อเลี้ยงเจง เจ้าบ้านเดินหน้าเครียดออกมา
“ฉันเอาตัวมือขวาของพ่อเลี้ยงมาส่งคืน ! ดีนะที่ตำรวจพวกนั้นคุยง่าย ไม่งั้นได้สาวมาถึงตัวพ่อเลี้ยงแน่”
“ผมขอโทษครับพ่อเลี้ยง ผมกำลังสั่งสอนไอ้หน่อเอ แต่ไอ้ปัทม์เข้ามาขวาง แล้วเกิดเรื่อง ผมพยายาม...”
ศักดิ์จะพูดต่อ แต่พ่อเลี้ยงเจงตบหน้าอย่างแรง...
“รีบไปหลบซะ อย่าให้ใครจับได้”
ศักดิ์ไหว้แล้วพาลูกน้องออกไป...
“ไอ้ปัทม์...มันจะตามจองล้างจองผลาญไปถึงไหน”
“มันคงอยากเป็นพ่อพระให้พวกชาวบ้านโง่ ๆ นับถือ ตอนนี้งานของเราไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะพ่อเลี้ยง ต้องรัดกุมหน่อย ไม่อย่างนั้นผมอาจจะช่วยพ่อเลี้ยงได้ลำบาก”
พ่อเลี้ยงเจงไม่พอใจ
“ปลัดไม่ต้องห่วงผมหรอก ทำในส่วนของปลัดให้ดีก็แล้วกัน”
วราห์ไม่ค่อยพอใจนัก
“ผมขอตัวก่อน...ต้องไปเคลียร์กับทางตำรวจอีกนิดหน่อย”
ปลัดวราห์ไหว้พ่อเลี้ยงเดินออกไป
“ไอ้ปัทม์ ไม้แข็งไม่ได้ผล...สงสัยต้องเล่นไม้อ่อนให้ตายใจเล่นซะแล้ว”
พ่อเลี้ยงเจงคิดแผนการในการจัดการกับปัทม์
รจนาไฉนเดินกลับมาถึงหน้าบ้านปัทม์ด้วยความเหนื่อยอ่อน และโทรมมาก
“คอยดูนะ ฉันไม่ให้คุณแกล้งฉันฝ่ายเดียวหรอก”
จันทร์เจ้าเดินมาหน้าบ้าน เห็นรจนาไฉนก็อดขำไม่ได้
“ไปเล่นซ่อนแอบในดงหญ้ามาเหรอเจ้า”
“เปล่าซะหน่อย ฉันขอตัวไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะ”
“เดี๋ยวก่อน...เมื่อกี้มีคนโทรหาเพื่อนด้วยนะ”
“ใคร”
รจนาไฉนกำลังพูดโทรศัพท์อยู่ที่มุมโทรศัพท์บ้านปัทมกุล
“อะไรนะคะ มีเงินโอนเข้ามาในบัญชีคุณพ่อ”
นพรัตน์กำลังคุยโทรศัพท์อยู่ที่บ้านวิชนี
“เพื่อนโอนเข้ามาใช่มั้ยลูก”
รจนาไฉนประหลาดใจ ไม่อยากโกหก แต่ไม่อยากให้พ่อกังวลใจ
“ทีหลังเพื่อนไม่ต้องโอนมาให้พ่อนะลูก เก็บเงินเอาไว้”
“เพื่อนจะทำทุกอย่างให้คุณพ่อหายป่วยและครอบครัวของเรามีความสุขที่สุดค่ะ”
“พ่อขอบใจลูกมากนะ แล้วลูกเป็นยังไงบ้าง”
“เพื่อนสบายดีค่ะ คุณพ่อสบายใจได้ค่ะ คุณปัทม์เขาดูแลเพื่อน ทำหน้าที่สามีที่ดี รวมทั้งให้เกียรติเพื่อนเสมอ”
ปัทม์ที่กำลังแอบฟังอยู่ รู้สึกผิดที่ไม่เคยทำอย่างนั้นเลย
อ่านต่อเวลา 17.00น.
รจนาไฉนพูดถึงช่วงนี้ก็น้ำตาไหล จึงรีบตัดบท แกล้งทำว่าปัทม์เรียก
“อะไรนะคะคุณปัทม์ ค่ะ ๆ รอเพื่อนแป๊บนึงนะคะ... เพื่อนขอตัวก่อนนะคะ คุณปัทม์กำลังรอทานข้าวกับเพื่อน คุณพ่อรักษาสุขภาพด้วยนะคะ”
รจนาไฉนปาดน้ำตา พยายามไม่คิดเรื่องของปัทม์ หลังวางสาย เธอพยายามคิดว่า ใครนะ...ที่โอนเงินให้นพรัตน์
“ใครโอนเงินค่ารักษาให้คุณพ่อ”
ปัทม์ยืนยิ้มอยู่ที่มุมหนึ่ง รจนาไฉนรีบกดโทรศัพท์ไปหาปวุฒิเพราะคิดว่า เขาเป็นคนโอนเงิน แต่มือถือปิด - “หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาฝากข้อความเสียงหลังได้รับสัญญาณ...”
รจนาไฉนฝากเสียงไว้
“คุณปวุฒิคะ...เพื่อนขอบคุณคุณมากนะคะที่ช่วยโอนเงินให้คุณพ่อ”
ปัทม์ยืนฟังอย่างไม่พอใจที่รจนาไฉนคิดว่าปวุฒิเป็นคนโอนเงินให้นพรัตน์
“เพื่อนไม่รู้จะขอบคุณคุณยังไง คุณเป็นเพื่อนที่ดีของเพื่อนเสมอ ไม่ว่าเพื่อนเผชิญความทุกข์ยากยังไงคุณก็ยังคงเป็นเจ้าชายที่ขี่ม้าขาวมาช่วยเพื่อนทุกครั้ง”
ปัทม์ไม่พอใจที่รจนาไฉนชื่นชมปวุฒิ รจนาไฉนซึ้งใจ
“คุณปวุฒิเป็นผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตของเพื่อน เพื่อนจะจดจำบุญคุณของคุณปวุฒิตลอดไปค่ะ”
รจนาไฉนวางสายแล้วกอดโทรศัพท์ด้วยความตื้นตันใจที่ยังมีปวุฒิคอยเคียงข้างเธอ ปัทม์โกรธ ที่เธอยังคงคิดถึงปวุฒิ และมองปวุฒิเป็นพระเอกตลอดเวลา ไม่เคยเห็นเขาในสายตาสักครั้ง...
บรรยากาศร่มรื่นของไร่ชายามเช้าวันใหม่ มุมหนึ่งในห้องครัว รจนาไฉนกำลังจะทำกับข้าว แล้วคิดไปถึงเรื่องราวที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานที่ปัทม์ชกต่อยต่อสู้กับพวกพ่อเลี้ยง รจนาไฉนชะงักนึกห่วงปัทม์ หันไปเปิดตู้หาของอะไรบางอย่าง
มุมหนึ่งบ้าน ปัทม์นั่งทำงานดูเอกสารอยู่ อารมณ์หงุดหงิดอย่างเห็นได้ชัด เพราะยังติดใจเรื่องรจนาไฉนกับปวุฒิ เธอวางแก้วน้ำใบบัวบกวางลงบนโต๊ะ ปัทม์เงยหน้าขึ้นมอง
“อะไร”
“น้ำใบบัวบก ฉันคั้นมาให้ดื่มแก้ช้ำใน”
“ใครสั่ง”
“ทำเอง... คุณสู้กับพวกนั้นอาจจะมีอาการช้ำใน น้ำใบบัวบกช่วยได้นะ”
“เอาไปให้นายปวุฒิแฟนเก่าเธอกินเถอะ อาการช้ำใจน่าเป็นห่วงมากกว่าฉันซะอีก”
ปัทม์ก้มลงทำงานต่อไป ไม่สนใจรจนาไฉน เธอไม่พอใจที่ปัทม์พาดพิงถึงปวุฒิ
“ฉันทำมาเพราะต้องการขอบคุณที่ช่วยฉันเอาไว้ ไม่เกี่ยวกับคุณปวุฒิ กรุณาอย่าพูดถึงเค้าเสีย ๆ หาย ๆ”
“แตะไม่ได้ โลกของเธอเนี่ย...ผู้ชายแสนดีคงมีแค่คนเดียว”
“เปล่า..มีหลายคน แต่เท่าที่จำได้ไม่มีใครหน้าเหมือนคุณ”
“โลกแคบ”
“ค่ะ.. แต่ก็ยังดีกว่าคนใจแคบ”
“เธอว่าใคร”
“ในห้องนี้มีเราแค่สองคน ฉันคงไม่สิ้นคิดขนาดว่าตัวเอง”
“ฉันใจแคบก็แต่เฉพาะผู้หญิงใจง่าย..เห็นแก่เงิน ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ น่าขยะแขยง”
รจนาไฉนโกรธมาก
“คุณปัทม์!”
“พูดความจริงแล้วโกรธ”
รจนาไฉนทนไม่ไหว ยกแก้วน้ำใบบัวบกสาดใส่ปัทม์ทันที เขาเบี่ยงตัวหลบรอดได้หวุดหวิด เธอมองซ้ายขวา เจอแจกันดอกไม้คว้าดอกไมเแล้วทุ่มใส่ปัทม์ เขาเบี่ยงตัวหลบได้อีก
“ปาดอกไม้ใส่ ! โห๊ดโหดเนอะ”
รจนาไฉนหันมองไปรอบ ๆ หยิบหมอนอิงวางบนเก้าอี้มาเหวี่ยงใส่ปัทม์ด้วยความโมโห ปัทม์รับหมอนได้เขวี้ยงกลับใส่โดนหน้าเธอเต็มๆ
“นี่ถึงจะเรียกว่าแม่นจริง”
รจนาไฉนเจ็บใจหันมองหาของจะเขวี้ยงใส่ปัทม์อีก เห็นของโบราณสวยงามอยู่ใกล้ๆ
“เฮ้ย ๆ ๆ อย่านะ อันนั้นของเก่าวงศ์ตระกูล อย่าเล่นนะ”
“ดี... คุณจะได้รู้รสชาติของความเจ็บปวดซะบ้าง”
ปัทม์รีบเข้าไปแย่งจากมือรจนาไฉน
“วางลง”
“ไม่วาง”
รจนาไฉนดิ้น ปัทม์เข้าไปกอดทางด้านหลัง พยายามจะแย่งของคืน
“ฉันบอกให้วางลง”
“ไม่”
รจนาไฉนดิ้นขลุกขลักอยู่ในวงแขนของปัทม์ จนจมูกขอปัทม์กระทบกับแก้มของรจนาไฉนอย่างไม่ตั้งใจ
รจนาไฉนอึ้ง ปัทม์ก็อึ้ง สายตาของทั้งคู่จ้องมองประสานกัน เกิดความรู้สึกแปลก ๆ ในหัวใจ
ชิเดินเข้ามาในห้องทำงานของปัทม์พอดี เห็นทั้งคู่กำลังสบตากันใกล้ชิด
“อุ๊ย... กลางวันแสก ๆ เลยเหรอนาย”
รจนาไฉนและปัทม์ต่างรู้สึกตัว รีบผละออกจากกันทันที
“เดี๋ยวชิปิดประตูให้ จะได้มิดชิด... อ่ะ ต่อเลย”
ชิจะออกไปและจะปิดประตูให้ แต่รจนาไฉนรู้สึกอายรีบวางของแล้ววิ่งออกไปทันที
“เดี๋ยวๆ ๆ”
ปัทม์มองตามรจนาไฉนด้วยดวงตาอ่อนแสงลง ไม่โกรธเกรี้ยวอย่างทุกครั้ง
“อ๊ะ...อาลัยอาวรณ์”
“ไอ้ชิ !”
“แหะ ๆ ไม่ได้ตั้งใจขัดคอ แค่จะมาบอกว่าปลัดวราห์มาหาครับ”
ปัทม์แปลกใจ
ปลัดวราห์เดินเข้ามายังมุมรับรอง บ้านปัทมกุล ในเวลาเช้า
“ผมมาบอกความคืบหน้าคดีทำร้ายหน่อเอ เพราะเห็นว่าคุณปัทม์ให้คนตามเรื่องนี้อยู่”
“เรื่องไปถึงไหนแล้วครับ”
“ตำรวจจำเป็นต้องปล่อยตัวพวกมันไป เพราะไม่มีเจ้าทุกข์”
“หน่อเอไม่ยอมแจ้งความอย่างนั้นเหรอ”
“คงจะกลัวอิทธิพลของพวกมันน่ะครับ คุณปัทม์เองก็น่าจะระวังตัวไว้บ้างเพื่อความปลอดภัย”
“ผมทำอย่างนั้นไม่ได้หรอก ถ้าเรายอมจำนนต่อความไม่ถูกต้องก็เท่ากับเรายอมรับและกลายเป็นคนชั่วเสียเอง”
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจะดีกว่าครับ”
“แต่พวกมันค้ายาเสพติดบ่อนทำลายชาติ ถือเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนต้องป้องกัน ผมจะไม่อยู่เฉย ๆ ทนดูพวกมันรุมทึ้งประเทศผมแน่”
ปลัดวราห์ลอบไม่พอใจปัทม์
รจนาไฉนยกน้ำเข้ามาเสิร์ฟขัดจังหวะการสนทนา วราห์เห็นรจนาไฉนแล้วพึงพอใจ กรุ้มกริ่มทันที
“คนงานใหม่ของคุณปัทม์เหรอครับ”
ปัทม์ที่เพิ่งทะเลาะ นึกหมั่นไส้รจนาไฉนเลยบอกวราห์ว่า
“คนกรุงเทพ... พ่อแม่ร้อนเงินเลยขายลูกสาวให้มาเป็นคนงาน”
รจนาไฉนชะงัก เจ็บปวดกับคำพูดของปัทม์
“แต่คงอยู่ไม่นานหรอกครับ”
“อ้าว ทำไมล่ะครับ”
“นิสัยคนกรุงเทพฯ ปลัดก็รู้... พวกวัตถุนิยมเห็นเงินเป็นพระเจ้า หิวเงิน ใครให้ผลประโยชน์มากกว่าก็ไปอยู่กับคนนั้น”
เธอมองปัทม์ด้วยสายตาปวดร้าว กระแทกแก้วลงบนโต๊ะด้วยความไม่พอใจ จนปัทม์สะดุ้ง ก่อนเดินออกไปด้วยความไม่พอใจ วราห์มองตามด้วยสายตาเจ้าชู้ คิดว่ารจนาไฉนซื้อได้
รจนาไฉนเดินหนีมายังมุมหนึ่ง ปาดน้ำตาที่กำลังซึมเอ่อด้วยความเจ็บใจ
“ถ้าฉันได้เงินมาเมื่อไหร่ ฉันไปแน่”
วราห์ที่มายืนอยู่ข้างหลังตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รจนาไฉนหันขวับมาเจอเข้าพอดี เขามองเธออย่างกรุ้มกริ่ม สำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้าตามประสาคนเจ้าชู้
“ขอโทษค่ะ”
รจนาไฉนพยายามจะเดินหนีออกไป แต่วราห์เอาตัวบังไว้ไม่ให้ไปไหน
“คุยกันก่อนสิ จะรีบไปไหน”
“ฉันต้องไปทำงาน”
“งานอะไร... เอาเป็นว่าฉันจ่ายค่าจ้างพิเศษ คุยกับฉันหน่อย”
ปลัดวราห์หยิบแบงค์พันออกมาจากกระเป๋าเสื้อ ชูไปที่หน้ารจนาไฉน เธอมองอย่างไม่พอใจ
“น้อยไปเหรอ”
รจนาไฉนเดินหนี วราห์คว้ามือเอาไว้ ดึงร่างรจนาไฉนมากระซิบข้างหู
“จะเล่นตัวอัพราคารึไง ถ้าคุยถูกคอ..เย็นนี้ไปหาฉันที่บ้าน จะให้มากกว่านี้”
“ฉันไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด”
“อ๊ะ...ลีลา เล่นตัว น่ารักน่าชัง”
วราห์ถือโอกาสกอด รจนาไฉนพยายามขัดขืน
“ฉันมองหน้าก็รู้แล้วว่าเธอหิวเงิน ฮึ ๆ”
ปัทม์กำลังเดินมาตามทาง แล้วชะงักเพราะได้ยินเสียงร้องของรจนาไฉน
จบตอนที่ 3
อ่านต่อ ตอนที่ 4 พรุ่งนี้เวลา 09.30น.