มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 2
รจนาไฉนเดินเข้ามาภายในห้องนอน หยิบข้าวของลงใส่กล่อง เหลียวมองรอบๆ ห้องนอนด้วยความอาวรณ์ ก่อนจะเดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง จับผ้าม่านรูปปราสาทที่เธอปักเอง
“ลาก่อนปราสาทแสนสวย ปราสาทแห่งนี้เหมาะสำหรับเจ้าหญิงเท่านั้น ไม่ใช่คนใช้อย่างฉัน”
รจนาไฉนเดินไปที่ตุ๊กตากระต่ายตัวโปรดของเธอ
“พี่กระต่าย ต่อไปนี้พี่กระต่ายต้องดูแลเพื่อนด้วยนะ เพื่อนไม่รู้เลยว่าหลังจากนี้ ชีวิตเพื่อนจะเป็นอย่างไร คุณปัทม์คนนั้น เขาจะเป็นเจ้าชายแสนดี รักและทนุถนอมเพื่อนบ้างรึเปล่า”
รจนาไฉนคิดถึงเรื่องการแต่งงานกับปัทม์ สาวใช้เข้ามาในห้อง
“คุณเพื่อนคะ มีแขกมาพบค่ะ”
รจนาไฉนแปลกใจว่าเป็นใคร
ตอนกลางวันวันนั้น พ.ต.ท.ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะ นั่งรออยู่ตรงมุมหนึ่งของบ้านวิชนี รจนาไฉนเดินเข้ามาในท่าทีไม่สะทกสะท้าน เธอเดินเข้ามา
“คุณนี่พูดไม่รู้เรื่องจริงๆ”
ปวุฒิเข้ามาจับมือรจนาไฉน
“อย่าเพิ่งไล่ผมเลย ผมขอร้อง คุณเพื่อนบอกผมมาว่าเกิดอะไรขึ้น ผมไม่เชื่อว่าคุณจะเปลี่ยนไปได้ถึงขนาดนี้ในเวลาชั่วข้ามคืน”
“ทุกอย่างจบแล้ว กลับไปซะเถอะค่ะ”
ปวุฒิรวบตัวรจนาไฉนมากอดแน่น
“ผมไม่กลับ มันต้องไม่จบแบบนี้ ผมรักคุณได้ยินมั้ย... ผมรักคุณ”
รจนาไฉนเกือบใจอ่อน แต่กลั้นใจผลักปวุฒิออกไป
“ฉันบอกให้กลับไป!”
ปวุฒิยังดื้อดึงอยู่ ไม่ยอมไปง่ายๆ ปัทม์ ปัทมกุล โผล่เข้ามาพอดี
“ร่ำลากันยังไม่เสร็จอีกเหรอ”
รจนาไฉนและปวุฒิหันไปมองเห็นปัทม์แล้วตกใจ จำได้ว่าปัทม์คือคนที่เคยช่วยชีวิตปวุฒิไว้
ปวุฒิ และ รจนาไฉนโพล่งขึ้นพร้อมกัน
“คุณ”
“คนที่ช่วยชีวิตคุณปวุฒิ” รจนาไฉนพูดขึ้น
“ครับ ผมเอง”
“ผมยังไม่ได้ขอบคุณคุณเลย แต่เอ๊ะ... คุณมาที่บ้านวิชนีได้ยังไง”
“เพราะผมคือ ปัทม์ ปัทมกุล ว่าที่สามีของลูกสาวบ้านวิชนี”
ทั้งปวุฒิ และรจนาไฉนต่างตกใจ
“เป็นไปได้ยังไง”
“ผมเองก็ไม่อยากจะเชื่อ ที่จู่ๆ ก็มีผู้หญิงลนลานอยากเป็นเมียผมจนตัวสั่น รึไง...รจนาไฉน”
“พูดอะไรกรุณาให้เกียรติผู้หญิงด้วย” ปวุฒิว่า
“เราควรจะให้เกียรติเฉพาะกับคนที่สมควรจะได้รับ ผู้หญิงคนนี้เลิกกับคุณก็เพราะเงิน... เห็นเงินเป็นพระเจ้า”
ปัทม์เข้าไปรวบเอวรจนาไฉนเข้ามา กอดแน่น
“จะทำอะไร ปล่อยนะ!”
“หมดเวลาสร้างภาพแล้วน่า ยอมๆ ไป... เดี๋ยวจะจ่ายให้อย่างที่คาดไม่ถึง แล้วถ้าบริการดี ฉันจะทิปให้เป็นพิเศษด้วย”
ปัทม์กระชากรจนาไฉนมากอดอย่างแรง ทำท่าเหมือนจะจูบ ลวนลาม
“มันชักจะมากไปแล้ว”
ปวุฒิดึงตัวปัทม์ออกมาจากรจนาไฉน แล้วต่อยปากปัทม์ เปรี้ยง! เธอเข้าไปห้าม
“หยุดนะ! ปวุฒิ”
“มันไม่ให้เกียรติผู้หญิงที่ผมรัก ต่อให้เป็นคนที่มีบุญคุณผมก็ต่อยมันได้ ขอโทษคุณเพื่อนเดี๋ยวนี้”
“ได้...ขอโทษเหรอ ได้เลย”
ปัทม์ยิ้มเยาะ ดึงตัวรจนาไฉนมาหอมแก้มอย่างท้าทาย
“ว้าย”
“ไอ้ปัทม์”
ปวุฒิจะเข้าไปจะต่อยปัทม์อีก รจนาไฉนเข้าไปขวางแล้วตัดสินใจแกล้งเล่นละคร
“หยุดนะ!”
รจนาไฉนตบหน้าปวุฒิทันที ทั้งปวุฒิและปัทม์ต่างอึ้งไป
“เลิกเพ้อเจ้อซะที กลับไปซะ...ต่อไปนี้คุณปัทม์คือเจ้าชายของฉัน ไม่ใช่คุณ”
รจนาไฉนพูดด้วยน้ำเสียงกร้าว แต่แววตาเศร้าขัดใจตัวเองอย่างที่สุด เธอทำเป็นเข้าไปดูปากของปัทม์ที่ถูกต่อยจนมีเลือดซึม
“เจ็บมั้ยคะ อุ๊ย...ปากแตกนี่คะ เดี๋ยวฉันหายามาใส่ให้นะคะ”
รจนาไฉนหันไปพูดกับปวุฒิ
“กลับไปได้แล้ว ถ้าไม่กลับ...ฉันจะแจ้งตำรวจในข้อหาบุกรุก !”
ปวุฒิมองภาพเธออี๋อ๋อใส่แล้วเสียใจ ผิดหวัง ปวุฒิตัดใจเดินจากไป พอปวุฒิลับหลังไป รจนาไฉนหันมาเห็นว่า หน้าตัวเองอยู่ใกล้ชิดหน้าของปัทม์มาก ก็สะดุ้ง ผลักปัทม์ออกไป แล้วเดินหนี
“อ้าวเดี๋ยวสิ ไหนบอกจะใส่ยาให้ไง”
รจนาไฉนจะเดินกลับเข้าบ้าน เธอร้องไห้เสียใจที่ทำร้ายจิตใจปวุฒิ ปัทม์ทำเป็นล้อเลียนเสียงปวุฒิ
“เดี๋ยวก่อนคุณเพื่อน คุณเพื่อนอย่าทิ้งผมไปนะครับ”
ปัทม์วิ่งมาทัน ฉวยข้อมือของรจนาไฉนไว้ แล้วกระชากตัวเข้ามา ก็เห็นว่า รจนาไฉนกำลังร้องไห้
“ร้องไห้”
รจนาไฉนรีบปาดน้ำตาทิ้ง
“เรื่องของฉัน”
“คราวนี้จะมารยาอะไรอีก”
“ฉันไม่ได้มารยา”
“รึจะเรียกคะแนนสงสาร”
“ฉันจะเรียกคะแนนสงสารจากคุณทำไม”
“อ้าว... เธออาจจะอยากให้ฉันปลอบใจที่เมื่อกี้ต้องทำเป็นเล่นละครให้คนรักยอมตัดใจ ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย”
รจนาไฉนแปลกใจ
“คุณรู้”
“พอฉันปลอบใจเสร็จ เธอก็จะแกล้งทำเป็นหกล้มให้ขาแพลง เดินไม่ได้ ต้องให้ฉันอุ้ม จากนั้นเธอก็จะโอบคอฉัน ซบลงตรงไหล่ ใช้เสน่ห์ความเป็นผู้หญิงยั่วยวนให้ฉันลุ่มหลง ทุกอย่างสำหรับเธอมันจะได้ง่ายขึ้น”
“ฉันไม่มีทางทำอย่างนั้นแน่ ๆ”
ปัทม์จ้องหน้าเธอ
“จะคอยดู”
รจนาไฉนไม่พอใจปัทม์ เดินหนีทันที แต่ไม่ทันระวัง สะดุด ล้มลง
“โอ๊ย”
ปัทม์ยืนดูเฉย
“นั่นไง”
รจนาไฉนเสียหน้าที่กลับกลายเป็นอย่างที่ปัทม์คาดเดา เธอจะรีบลุก
“อย่าเพิ่งรีบลุกสิ ฉันยังไม่ได้เข้าไปประคองเลย”
เธอไม่อยากเป็นไปอย่างที่ปัทม์เย้ย เธอรีบลุกขึ้น
“เดี๋ยวก็ขาแพลง”
รจนาไฉนขาแพลงล้มลงไปอีก
“โอ๊ย”
“ฮ่ะ ๆ”
“ออกไปให้พ้นนะ”
รจนาไฉนเข้ามาทุบตีไล่ปัทม์ ปัทม์จับมือไว้แล้วยิ้มยั่ว
“เธอนี่ปั่นหัวผู้ชายเก่งจริง ๆ ไล่ยังไงฉันก็ไม่ไป ช่วยใส่ยาให้ว่าที่สามีหน่อยสิ”
ปัทม์ยื่นหน้ามาใกล้รจนาไฉน เธอผลักหน้าออก
“ ไปให้พ้น หยาบคายที่สุด!”
“แน่ใจแล้วเหรอที่จะไล่ฉันน่ะ เวลานี้ฉันเป็นคนสำคัญที่สุด...สำหรับคนในตระกูลวิชนีนะ”
รจนาไฉนแปลกใจว่า ปัทม์มาทำอะไร ต้องการอะไร
ในเวลาต่อมา... ลำเพายิ้มกว้างเชื้อเชิญให้ปัทม์นั่งที่โถงบ้านวิชนี นพรัตน์ยังดูเหนื่อยอ่อนมานั่ง
“นั่งค่ะนั่งเลยค่ะ ตามสบายนะคะลูกปัทม์”
“ผมมีแม่คนเดียว”
ลำเพาผงะ นพรัตน์แอบอมยิ้ม ลำเพาถลึงตาเข้าใส่
“คุณปัทม์มีธุระสำคัญอะไรเหรอคับ ถึงลงมาหาที่นี่”
“เงียบ ๆ น่า ฉันจัดการเอง”
รจนาไฉนเดินกะเผลกเข้ามา
“มาแล้วเหรอรจนาไฉน ต๊าย เป็นอะไรไปลูก”
“เอ่อ....หนูมัวแต่วิ่งหนีพวกหนูสกปรกในสวนน่ะค่ะ เลยล้ม”
รจนาไฉนพูดพลางปรายตาไปทางปัทม์ เขาสะดุ้งที่ถูกเธอพูดกระทบใส่
“มารู้จักคุณปัทม์ ว่าที่เจ้าบ่าวของลูกสิคะ”
รจนาไฉนยิ้มเย็นชาให้
“ลูกเพื่อน... ทำไมทำกริยาอย่างนั้นล่ะคะ ไม่น่ารักเลย”
ปัทม์ยิ้มเยาะ
“ไม่เป็นไรครับ เราเจอกันแล้ว เมื่อกี้คุณรจนาไฉนอยู่กับหนูสกปรกจน ๆ ผมเป็นคนไล่หนูสกปรกน่ารำคาญตัวนั้นออกไปเอง”
รจนาไฉนถลึงตามองปัทม์ด้วยความโกรธ ที่เปรียบปวุฒิเป็นหนูสกปรก เขายิ้มสะใจที่เอาคืนได้
“คุณโลมฤทัยล่ะครับ คุณอามีลูกสาวสองคนไม่ใช่เหรอ”
“อุ๊ย รู้ได้ไงคะ อายังไม่เคยเล่าให้ฟังเลย”
“ผมรู้มากกว่านั้นอีก”
ลำเพาชักนั่งไม่ติด
“เอ่อ..ลูกโลมฤทัยออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว” นพรัตน์บอก
“ช่างเขาเถอะครับ เพราะผมไม่ได้แต่งกับคุณโลมฤทัย ใช่มั้ยครับ”
ปัทม์มองลำเพาที่รีบเปลี่ยนเรื่องทันที
“ใช่ค่ะ...คุณปัทม์แต่งงานกับลูกสาวคนโตของอา รจนาไฉนคนนี้ไงจ๊ะ คุณปัทม์มาคุยเรื่องแต่งงาน ไม่ชวนคุณเปรมมาคุยด้วยล่ะคะ”
“ผมเป็นคนแต่ง ไม่ใช่คุณแม่ คุยได้มั้ยครับ”
“ได้ค่ะได้ งั้นก่อนอื่นเลย เราต้องหาฤกษ์”
“แต่งพรุ่งนี้” ปัทม์บอก
ลำเพา นพรัตน์ รจนาไฉนมีสีหน้าแปลกใจขึ้นมาทันที
“ผมรีบ ถ้าไม่ได้ ก็ไม่แต่ง”
ลำเพารีบตอบ
“ได้ค่ะได้”
ลำเพาแอบปาดเหงื่อ นพรัตน์ไม่พอใจที่ปัทม์ไม่ให้เกียรติ
“คุณรจนาไฉนคงไม่ขัดข้องนะครับ เพราะดูท่าทางอยากจะแต่งวันนี้เสียด้วยซ้ำ”
รจนาไฉนนึกเกลียดจอมเผด็จการอย่างปัทม์ เขายิ้มเยาะ สะใจ
บรรยากาศในงานแต่งงานของบ้านวิชนีของเช้าวันถัดมา แขกผู้ใหญ่เข้ามาในบ้าน ลำเพาและโลมฤทัยยืนต้อนรับอยู่ มีแขกอยู่แล้วบ้างในห้องเป็นบางส่วน
“ขอบคุณที่มาร่วมเป็นเกียรตินะค้า คุณพี่”
แขกคนที่ 1ถาม
“ทำไมมันปุบปับยังงี้ล่ะคะคุณลำเพา”
“เพิ่งได้ฤกษ์มาเมื่อวาน พระอาจารย์บอกว่า ฤกษ์ที่ดีสุดคือวันนี้นะค่ะ”
แขกคนที่ 2 ถาม
“แล้วทำไมเจ้าบ่าวไม่ใช่คุณปวุฒิ เห็นคบมากันตั้งนาน”
ลำเพาเริ่มปาดเหงื่ออึกอัก … “เอ่อ”
โลมฤทัยปราดเข้ามาตอบแทน ไม่อยากให้ใครอ้างอิงถึงปวุฒิ
“คุณปวุฒิแค่เพื่อนสนิทค่ะ พี่เพื่อนเค้าไม่ชอบคนในเครื่องแบบหรอกค่ะ เค้าชอบพวกเศรษฐีภูธร อยากไปใช้ชิวิตบ้านไร่ปลายดอย”
“พิธีใกล้เริ่มแล้ว เข้าไปข้างในก่อนนะคะ ลูกพบพาคุณลุงคุณป้าไปเร็ว” ลำเพาบอก
“เชิญทางนี้ค่ะ”
ภายในห้องนอน รจนาไฉนก้าวไปยืนที่หน้ากระจกในชุดไทย ดูหวานซึ้ง แต่นัยน์ตาโศก นพรัตน์ก้าวเข้ามายืนข้างๆ
“แน่ใจนะว่าอยากทำแบบนี้”
“ค่ะ”
“ขอบใจนะลูก ขอบใจจริง ๆ”
นพรัตน์โอบกอดรจนาไฉน
รจนาไฉนน้ำตาร่วง นพรัตน์ค่อยๆเช็ดน้ำตาให้ นพรัตน์รู้สึกผิด
“บ้านวิชนีของเราเป็นหนี้บุญคุณลูกมากเหลือเกิน”
“ไม่ค่ะ... เพื่อนต่างหากที่ต้องตอบแทนบุญคุณให้กับบ้านวิชนี เพื่อนเต็มใจแต่งงานค่ะ”
“อดทนนะลูก พ่อเชื่อว่าความดีของลูกจะทำให้คุณปัทม์เห็นว่า ลูกไม่ใช่ก้อนกรวดก้อนหินที่ไร้ค่า รจนาไฉนเป็นเพชรเม็ดงาม ที่ควรค่าแก่การครอบครอง”
“ค่ะคุณพ่อ เพื่อนจะอดทน”
มุมหนึ่งหน้าบ้านวิชนี ลำเพายืนรอหน้าบ้านด้วยความร้อนใจเพราะเลยเวลานัดหมาย
“ทำไมป่านนี้ยังไม่มาอีก แขกเหรื่อมารอกันเต็มบ้านแล้ว”
“รึว่า..พ่อเลี้ยงหน้าดำยังกะใบชาตากแห้ง จะแกล้งให้เรารอเก้อคะแม่” โลมฤทัยว่า
“ขืนทำแบบนั้น...แม่จะขึ้นไปฉีกอกคุณเปรมถึงที่บ้านเลย”
รถเบนซ์หรูวิ่งเข้ามา ลำเพาดีใจคิดว่า ปัทม์มาแล้ว
“มาแล้ว ๆ ลูกพบรอรับคุณปัทม์ตรงนี้นะจ๊ะ เดี๋ยวแม่เข้าไปบอกข้างในให้เตรียมพิธี...”
ลำเพารีบเดินเข้าไป โลมฤทัยถอนใจอย่างเซ็ง ผู้ชายใส่สูทอย่างดี รองเท้าขัดมันวาววับก้าวลงจากรถ แต่ไม่ใช่ปัทม์ หากแต่เป็นชิ เลขาคนสนิท ที่ใบหน้ายิ้มแฉ่ง โลมฤทัยรีบปั้นหน้าเข้าไปสวัสดี
“มาช้าจังนะคะ กว่าจะปีนเขาลงดอยมาได้ คงลำบากน่าดู”
ชิจะเข้าไปประคองโลมฤทัย
“มาช้าแต่ก็ดีกว่าไม่มานะจ๊ะ แหม...วันนี้ส๊วยสวย ห๊อมหอม”
ชิยื่นหน้าเข้ามาเหมือนจะกอดหอม โลมฤทัยผลักชิกระเด็น
“อย่ามารุ่มร่าม เจ้าสาวคุณอยู่ข้างในไม่ใช่ฉัน”
“ก็รักพี่เสียดายน้องอ่ะ ขอรวบสองเลยได้มั้ย”
“ฉันไม่ใช่เพื่อนเล่นนะ”
ลำเพาเดินเข้ามาอีก
“ทำอะไรกันอยู่คะ ทำไมยังไม่เข้าไปอีก อ้าว... ไหนล่ะคุณปัทม์”
ชิยิ้มทำหน้ามึน
“ก็นี่ไงคะ คุณปัทม์ !” โลมฤทัยบอก
“นี่ไม่ใช่คุณปัทม์!”
โลมฤทัยตกใจ
“ไม่ใช่คุณปัทม์ แล้วแกเป็นใคร”
“ขี้ข้าครับ”
โลมฤทัยตกใจ
“ขี้ข้า!!! แอร๊ย...”
“อย่ากรี๊ดลูก วันนี้งานมงคล”
ลำเพาเริ่มเพ้อ
“ดูซิ... ขนาดขี้ข้านำขบวนยังแต่งหรู แล้วรถเจ้าบ่าวจะยิ่งใหญ่มหึมาขนาดไหน”
รถกระบะของปัทม์วิ่งเข้ามา มีคนงานสองคนนั่งบนกระบะท้าย พร้อมถุงก๋วยอัดของแน่นสามถุง ลำเพาและโลมฤทัยหน้าเสีย
รถจอดสนิท ประตูเปิดออก...
“เจ้านายผมมาแล้วครับ”
ลำเพาและโลมฤทัยกลืนน้ำลายเอื้อก
ปัทม์ก้าวลงมาจากรถด้วยมาดและท่าทางเหมือนนักเลงพ่อเลี้ยงภูธร ยืนมองลำเพาและโลมฤทัยอย่างไม่แคร์สายตาใด ๆ
ปัทม์เข้ามาในโถงบ้าน พร้อมชิและคนงานที่แบกถุงก๋วย แขกเหรื่อพากันแหวกทางให้เดินเข้ามา บางคนตกใจคิดว่าโจร ลำเพาและโลมฤทัยตามเข้ามา รจนาไฉนและนพรัตน์ตกใจ ไม่คิดว่าปัทม์จะมาในสภาพนี้
แขกคนที่ 1พูดขึ้นกลางวง
“ใครก็ได้โทรตามตำรวจเร็ว!! โจรปล้น”
แขกเหรื่อพากันอลหม่าน ส่งเสียงกรี๊ดโวยวาย
“ทุก ๆ ท่านไม่ต้องตกใจนะคะ เจ้าบ่าวค่ะ... เจ้าบ่าว” ลำเพารีบทำความเข้าใจกับแขก ทุกคนชะงัก
“คือ... ผ้าขี้ริ้วห่อทองค่ะ แล้วก็เป็นคนติดดิน ไม่ชอบฟุ้งเฟ้อ”
แขกพากันโล่งใจไปตามๆกัน
รจนาไฉนไม่พอใจนักที่ปัทม์ดูถูก ไม่ให้เกียรติ
“จะทำอะไรก็ทำ ผมรีบ!”
“เรามาเริ่มพิธีกันเลยนะคะ เริ่มแรก...วางสินสอดทองหมั้นเลยค่ะ”
ลำเพารีบไปนั่งคู่กับนพรัตน์ รจนาไฉนลงนั่งพับเพียบ ปัทม์พยักหน้าให้กับคนงาน
คนงานเอาถุงก๋วยมาวางไว้ตรงกลางโถง
“ต๊าย มาเป็นกระสอบเลยเหรอคะ คงจะใส่เงินสดหลายล้าน ทองหลายกิโล”
ปัทม์จัดการเทถุงก๋วยด้วยตัวเองทีละถุง ใบชาร่วงออกมากองเต็มพื้นห้องโถง ทุกคนตกใจ ต่างสงสัยระคนกัน โดยเฉพาะลำเพา ทุกคนร้องเป็นเสียงเดียว “ใบชา !”
“นี่เป็นสินสอดทองหมั้นสำหรับเจ้าสาว”
“อะไรกันจ๊ะเนี่ย อ๋อ.. เอาใบชามาเป็นสัญลักษณ์”
ลำเพาหันไปอธิบายกับแขกเพราะกลัวเสียหน้า
“เอ้อ..คือเจ้าบ่าวเป็นเจ้าของไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เดี๋ยวคุณปัทม์ก็จะเอาทองคำ แหวนเพชร ออกมากอง..ใช่มั้ยคะ”
“ไม่ใช่”
ลำเพาอึ้งไปทันที รจนาไฉนจ้องมองตาว่าที่เจ้าบ่าว เขามีสีหน้าปัทม์จริงจัง
“สำหรับผม... ใบชา มีค่ามากกว่าแก้วแหวนเงินทอง เพราะมันเป็นผลิตผลที่ชุบเลี้ยงชีวิตผมและชาวดอยให้เจริญรุ่งเรืองมาได้ทุกวันนี้.. ถ้าไม่ยอมรับสินสอดของผมก็ถือว่าปฏิเสธการแต่งงาน !”
ปัทม์ปรายตามองรจนาไฉนที่สบตาด้วยความโกรธ ทลำเพาอารมณ์โกรธพุ่งทันที แขกเหรื่อภายในงานเริ่มเมาท์ เธอปั้นหน้ายิ้มเก็ยอาการ
“แม่เข้าใจค่ะ แล้วก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง แต่ว่า...เราไปคุยกันเป็นการส่วนตัวหน่อยมั้ยคะ”
“จะปลีกตัวไปคุยทำไมแค่สองคน คุณอาเชิญทุกคนมาเป็นสักขีพยานไม่ใช่เหรอ คุยซะตรงนี้เลยดีกว่า”
“เอ้อ... คือ คุยก็คุยจ้ะ คือว่า ที่นี่ก็มีธรรมเนียมปฏิบัติที่ยึดถือกันมาเหมือนกัน คือ ต้องมีเงินสดมาวางให้พ่อแม่ฝ่ายหญิง ถือว่าให้ค่าเลี้ยงดู”
“เท่าไหร่” ปัทม์ถาม
“ว้าย เกรงใจจัง ให้บอกเลยเหรอจ๊ะ”
“ผมขอร้องนะคุณปัทม์ เราค่อยคุยเรื่องนี้ทีหลังได้มั้ย” นพรัตน์บอก
“หรือจะไม่เอา”
ลำเพารีบบอก
“สิบล้าน”
ทุกคนครางฮือ ซุบซิบกันไป นพรัตน์อายมาก รจนาไฉนก้มหน้านิ่ง ปัทม์ยิ่งสะใจ
“ผมไม่มี” ปัทม์บอก
ทุกคนครางฮืออีก
“จะผิดสัญญากันรึไง” ลำเพาถาม
นพรัตน์กระซิบบอกเมียด้วยความอาย
“คุณลำเพา ลูกเราไม่ใช่สินค้าจะมาต่อรองราคากันแบบนี้”
“เฉยน่า ฉันจัดการเอง”
“เดี๋ยวจะหาว่าผมให้ค่าน้ำนมคุณน้อยเกินไป เดือนละแสน โอนเข้าบัญชี แต่ต้องทำงานในไร่เหมือนคนงานอื่น ๆ ลาป่วยได้ปีละ 30 วัน ลากิจ 7 วัน ลาคลอด 3 เดือน”
ปัทม์ยิ้มเย้ยไปทางรจนาไฉน
“ฮึ ๆ แต่คิดว่าคงไม่ได้ใช้สิทธิ์ลาคลอดหรอก เพราะผู้หญิงคนนี้เป็นได้แค่คนงานทดลองงาน !”
รจนาไฉนมองปัทม์ด้วยแววตาไม่พอใจ แต่ไม่ออกอาการมากนัก
“ให้ทดลองงานเป็นภรรยา 3 เดือน ถ้าหนีกลับ ถือว่าสัญญาทุกอย่างที่พ่อผมให้ไว้กับตระกูลวิชนีเป็นโมฆะ ไม่มีสิทธิ์เรียกร้องใด ๆ ทั้งสิ้น”
ปัทม์พยักหน้าให้ชิ ชิหยิบเอกสารที่หนีบมาด้วย ดึงออกมาส่งให้ ลำเพารีบคว้ามาอ่านดู
“เซ็นรับทราบซะ ในสัญญาระบุรายละเอียดทุกอย่าง”
ลำเพากำกระดาษแน่น จะไม่ยอมเซ็น รจนาไฉนตัดสินใจคว้ากระดาษสัญญามา
“ฉันจะเซ็น”
ปัทม์ยิ้มเยาะ ชิยื่นปากกาให้ รจนาไฉนรับปากกามาเซ็นลงไปทันที โลมฤทัยยิ้มสะใจในชะตากรรมของรจนาไฉน นพรัตน์ลูกสาว ในขณะที่แขกเหรื่อซุบซิบจับกลุ่มเมาท์ไม่เลิก
รจนาไฉนเซ็นเสร็จ ส่งกระดาษคืนให้ ปัทม์คว้ามาดูอย่างพึงพอใจ
“ต้องทำอะไรอีกรึเปล่า...ถ้าไม่มีผมจะได้กลับ”
รจนาไฉน นั่งอยู่ที่เก้าอี้รดน้ำ ปัทม์หันมายิ้มเย้ย รจนาไฉนไม่พอใจและเบือนหน้าหนี แต่จำต้องยิ้มรับแขก ทำหน้าที่ของเธอให้ดีที่สุด ชิยืนเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว โลมฤทัยยืนเป็นเพื่อนเจ้าสาว โลมฤทัยรังเกียจชิมากจนออกนอกหน้า
นพรัตน์เข้ามารดน้ำให้ปัทม์และรจนาไฉน ปัทม์ไม่แม้แต่จะมองหน้านพรัตน์
“ช่วยดูแลลูกสาวผมด้วยนะคุณปัทม์”
ปัทม์ไม่ตอบ นพรัตน์เดินมารดน้ำให้รจนาไฉน พูดคุยกันส่วนตัว...
“พ่อขออวยพรให้ลูกพบแต่ความสุข แต่ขอให้จำไว้ วันไหนที่ลูกทนไม่ไหวให้โทรหาพ่อ พ่อจะเป็นคนไปรับลูกกลับมาเอง”
รจนาไฉนซาบซึ้งใจ
“ขอบคุณค่ะคุณพ่อ”
ลำเพาเข้ามารดน้ำสังข์ต่อ แต่ยังมีอาการโกรธไม่หาย มาถึงก็รดๆๆ ไม่อวยพรใดๆ แล้วก็สะบัดหน้าออกไป รจนาไฉนไหว้ลำเพา แต่ปัทม์ยังนิ่งเฉย ไม่ไหว้ตอบ รจนาไฉนหันมองปัทม์อย่างไม่พอใจ
รจนาไฉนพูดกับปัทม์เบาๆ
“มีมารยาทหน่อยได้มั้ย”
“ไม่จำเป็น”
รจนาไฉนพูดอะไรต่อไม่ได้ เพราะแขกผู้ใหญ่มารดน้ำต่อ ทั้งสองคนยังก้มหน้านิ่ง จนมีมือหนึ่งมารดน้ำอวยพรให้ทั้งคู่
“คุณเพื่อนครับ”
คู่บ่าวสาวตกใจ รีบเงยหน้าขึ้น ปวุฒิกำลังรดน้ำสังข์ให้รจนาไฉนอยู่
“คุณปวุฒิ”
“ผมมาอวยพร ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่ทำให้คุณต้องแต่งงาน แต่ผมจะไม่ยอมเสียคุณไป ผมจะไปทวงเจ้าหญิงของผมคืน”
“อยากกินของเหลือเดนก็เอาสิ” ปัทม์บอก
“นายมันไม่ใช่ลูกผู้ชาย !”
ปัทม์โมโหกระชากมงคล ลุกขึ้นผลักอกปวุฒิ
“แล้วไอ้คนที่มาบอกผัวว่ากำลังจะแย่งเมียไปเนี่ย มันลูกผู้ชายรึไงวะ!”
แขกเหรื่อกรี๊ด รจนาไฉนตกใจ ชิวิ่งเข้ามาตะครุบปัทม์ไว้ได้ก่อนที่ปัทม์จะมีเรื่องมากกว่านี้ โลมฤทัยเข้ามากันปวุฒิไว้..
“ใจเย็น ๆ ค่ะคุณปวุฒิ”
“นายครับ อย่าครับ...กำลังอยู่ในพิธีนะครับ” ชิบอก
“งั้นก็ไม่ต้องทำพิธี เข้าหอเลย” ปัทม์บอก
ทุกคนครางฮือ
“ตอนนี้เนี่ยนะ”
“บอกแล้วไงว่ารีบ ! อยากมีเมียเร็ว ๆ”
ปัทม์ดึงข้อมือรจนาไฉนเข้าไปข้างใน
ลำเพาวิงเวียน
“ปี้ป่นหมดแล้ว หน้าตาเกียรติยศฉัน ลูกพบ แม่จะเป็นลม”
“คุณแม่”
ชิจะเข้าไปช่วย โลมฤทัยผลักชิออกไป
“คุณแม่”
“ไม่ต้องยุ่งไอ้ขี้ข้า ไป๊!”
นพรัตน์ได้แต่นิ่งเงียบ เครียด
ปวุฒิยืนอึ้ง มองปัทม์ฉุดกระชากรจนาไฉนเข้าไปข้างในด้วยความปวดร้าว
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 2 (ต่อ)
รจนาไฉนนั่งนิ่งที่อยู่ที่โต๊ะเครื่องแป้ง ภายในห้องนอน
“กำลังคิดหาวิธีหนีเจ้าบ่าวป่าเถื่อนคนนี้รึไง” ปัทม์ถาม
“ถ้าฉันทำอย่างนั้นได้ก็คงจะดี เพราะฉันไม่แน่ใจว่าเข้าพิธีแต่งงาน หรือเพิ่งลงนรกมาเจอซาตาน”
“ทำไม...ฉันมันโหดเหี้ยมกว่าชู้รักของเธอมากนักเหรอ”
“อย่าเอาเขามาเกี่ยวกับเรื่องนี้...แล้วก็กรุณาจำไว้ด้วย คุณใช้เงินซื้อตัวฉันได้ แต่คุณซื้อหัวใจฉันไม่ได้”
ปัทม์หัวเราะ
“เธอคงอ่านนิยายมากไป คิดว่าตัวเองเป็นนางเอกนิยาย”
รจนาไฉนนั่งนิ่งไม่ตอบโต้ มองปัทม์ด้วยสายตาหวาด ๆ
“ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันไม่เคยนึกพิศวาสเธอเลยแม้แต่นิดเดียว ถ้าเธอรู้ว่าใครเป็นขยะ เธอจะอยากยุ่งเกี่ยวด้วยเหรอ”
ปัทม์เดินไปหยิบเสื้อผ้าในตู้ เอาชุดลำลองออกมาโยนใส่เธอ
“ไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ฉันจะกลับไร่ชา”
“กลับไร่ชา”
“เดี๋ยวนี้ !”
“ตอนนี้เลยเหรอ”
“ใช่”
“แต่ฉันเหนื่อย ต้องการพักผ่อน”
“ฉันรีบ...และจะไม่ยอมเสียเวลาเพราะขยะมากไปกว่านี้ งานของฉันมีค่ากว่าตัวเธอร้อยเท่าพันเท่า”
รจนาไฉนหันควับมาจ้องมองปัทม์
“ถ้าไม่เปลี่ยนชุด ฉันจะเปลี่ยนให้”
ปัทม์จะเข้ามาจับตัว รจนาไฉนสะบัดมือปัทม์ออก
“ไม่ต้อง !”
“ดี...ไม่ต้องให้ใช้กำลัง ฉันไม่อยากแตะต้องตัวเธอนักหรอก รู้มั้ยว่ามันน่าขยะแขยงมากแค่ไหน”
รจนาไฉนมองปัทม์อย่างไม่พอใจที่ปัทม์ทำร้ายจิตใจเธอได้ตลอดเวลา เธอยืนมองปัทม์นิ่ง
“มองอะไร!”
“ถ้ารีบ...ก็อย่าขวางทางฉัน”
ปัทม์หันไปมอง เพิ่งรู้ว่ายืนขวางทางเข้าห้องน้ำ เขารู้สึกเสียหน้า รีบถอยออก รจนาไฉนจะเดินไปที่ห้องน้ำ
“ฉันให้เวลาห้านาที”
ปัทม์หงุดหงิดถอดชุดเจ้าบ่าวด้วยความโกรธ นาฬิกาบอกเวลาประมาณ 12.00 น.ปัทม์ยิ่งรีบ ยิ่งถอดออกชุดเจ้าบ่าวด้วยความลำบาก พาลทำให้หัวเสียหนักกว่าเดิม
รจนาไฉนยืนนิ่งอยู่ในห้องน้ำ นึกหาวิธีเอาคืนปัทม์ เธอเดินไปเปิดน้ำฝักบัวให้ไหลทิ้ง แล้วหยิบนิตยสารผู้หญิงที่วางอยู่ด้านหนึ่งมานั่งอ่านเล่นฆ่าเวลาในห้องน้ำซะอย่างนั้น
ภายในห้องนอนรจนาไฉน ปัทม์เดินไปเดินมารออยู่ด้วยความใจร้อน เขาหันไปดูนาฬิกาอยู่ตลอดเวลา
“เร็ว ! ฉันบอกเธอแล้วนะว่าให้เวลาแค่ห้านาที”
ปัทม์เดินมาเคาะประตูห้องน้ำ แต่ได้ยินแต่เสียงน้ำฝักบัวไหล รจนาไฉนไม่ตอบ
ภายในห้องน้ำ รจนาไฉนยังอยู่ในชุดเดิม อ่านหนังสือไม่รู้ไม่ชี้ เพื่อแกล้งปัทม์
ปัทม์ที่ทั้งยืน-เดิน-นั่ง อยู่ในแต่ละมุม ผ่านเวลาเป็นชั่วโมง หลายชั่วโมง ทำอะไรไม่ได้ นอกจากต้องนั่งอยู่รออยู่ที่มุมหนึ่ง
“เสร็จรึยัง !”
ไม่มีเสียงตอบ ปัทม์ตะโกนเสียงดัง
“ออกมาได้แล้ว คิดจะถ่วงเวลาไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าไม่ออกมา ฉันจะพังประตูเข้าไปลากเธอออกมา!”
ปัทม์โกรธจัด เดินตรงไปที่ประตู จะพังเข้าไป แต่แล้วประตูเปิดออก ปัทม์แปลกใจที่เห็นรจนาไฉนอยู่ในชุดนอนสีเหลืองสด
“ใส่ชุดอะไร”
“คุณตาบอดเหรอ ก็เห็นอยู่ว่าฉันใส่ชุดนอน”
“หูแตกหรือสมองเสื่อม ฉันบอกว่าจะต้องเดินทาง”
รจนาไฉนไม่ตอบ เดินตรงมาที่เตียงนอน
“คุณบอกว่าจะเดินทาง แต่ฉันบอกว่าเหนื่อยต้องการพัก เรามีเป้าหมายต่างกันย่อมใส่เสื้อผ้าไม่เหมือนกัน ใครใคร่เดินทางก็เดินทาง ใครใคร่นอนก็นอน”
รจนาไฉนดึงผ่าห่มมาคลุมร่าง พร้อมนอน
“เธอกล้าลองดีกับฉัน”
“ฉันคิดว่าคนมีชาติตระกูลอย่างคุณ...คงได้รับการสั่งสอนเรื่องมารยาท ไม่ควรส่งเสียงดังขณะผู้อื่นนอนหลับ”
รจนาไฉนหยิบผ้าปิดตามาสวมปิดตา นอนลง
“อยากลองของกับฉัน...ก็ได้”
ปัทม์พุ่งตรงเข้ามาอุ้มรจนาไฉนทันที เธอดิ้น...
“นายทำบ้าอะไร”
ปัทม์จับรจนาไฉนแบกขึ้นบ่า แล้วเดินออกไป
ปัทม์แบกรจนาไฉนขึ้นบ่าออกมาจากภายในบ้าน จนมาที่หน้าบ้าน เธอดิ้นเร่าๆอยู่บนบ่านั้น
“ปล่อยฉันนะ ช่วยด้วย คุณพ่อช่วยเพื่อนด้วยค่ะ”
“แหกปากร้องก็ไม่มีประโยชน์หรอก ไม่มีใครอยู่สักคน..คงออกไปฉลองดีใจที่ได้ลูกเขยรวย”
“นายจะพาฉันไปไหน”
ปัทม์ไม่ตอบ เขาโยนรจนาไฉนลงที่ท้ายรถกระบะ..
“ว้าย”
ปัทม์เปิดประตูรถ สตาร์ทเครื่อง รจนาไฉนเจ็บตัว..พยายามลุกขึ้น และจะลงจากท้ายรถ ปัทม์ขับรถออกตัวไปอย่างแรงรจนาไฉนเสียหลักเซล้มลงอีกครั้ง
“ว้าย”
ปัทม์ขับรถด้วยความสะใจที่ได้จัดการกับรจนาไฉน เธอพยายามลุกขึ้นยืน เกาะหลังคารถ
“จอดเดี๋ยวนี้นะ ฉันบอกให้จอด”
ปัทม์ยิ้มเย้ย เร่งเครื่องแรงกว่าเดิม รจนาไฉนตกใจ โกรธและกลัวตกรถ เธอทุบหลังคารถ
“จอดเดี๋ยวนี้นะ ฉันจะลง”
ปัทม์ขับรถต่อไป ไม่สนใจ
รจนาไฉนเธอหันไปตะโกนทางด้านประตูคนขับ ที่เปิดกระจกไว้
“จอดรถ ถ้านายไม่จอด ฉันจะกระโดดลงไป!”
“เอาสิ...กระโดดลงไปเลย”
ปัทม์เร่งเครื่องแรงกว่าเดิม เธอแทบเซล้ม รีบยึดเกาะไว้ เขายิ้มเย้ยรู้ดีว่า คนอย่างเธอไม่กล้ากระโดดลงไป เธอไม่รู้ว่าปัทม์จะพาไปไหน ทำอะไร รจนาไฉนคิดและตัดสินใจมองไปยังท้ายรถ มองสองข้างทาง
ปัทม์ขับรถและหันไปมองกระจกข้าง เห็นรจนาไฉนเตรียมจะกระโดดลงไป เขาตกใจรีบเบรกรถทันที
“ยายบ้าเอ๊ย”
รจนาไฉนนอนนิ่งอยู่ที่ข้างที่กองขยะ ซึ่งมีกล่องกระดาษรองรับแรงกระแทกอยู่พอดี ปัทม์วิ่งเข้ามาด้วยความเป็นห่วง สีหน้าห่วงจริงจัง
“เธอ เธอเป็นยังไงบ้าง”
ปัทม์พลิกตัวรจนาไฉนมาดูอาการ แต่เธอกลับต่อยหมัดเข้าเต็มหน้าปัทม์ เปรี้ยง!
“โอ๊ย”
รจนาไฉนรีบลุกขึ้นและวิ่งหนีไปทันที
“คนป่าเถื่อนอย่างนายต้องเจอแบบนี้”
รจนาไฉนถีบซ้ำ ปัทม์คว้าเท้าไว้ ทำให้เธอเซล้มลง
“ว้าย!”
“ยายตัวแสบ หนีฉันไม่รอดหรอก”
ปัทม์เข้ามาจับตัวรจนาไฉนที่ดิ้นอย่างเต็มที่ แต่สู้แรงปัทม์ไม่ได้ เธอกัดมือจนเขาปล่อยมือ
“โอ้ย... ยายหมาบ้า”
“สมน้ำหน้า”
รจนาไฉนวิ่งหนีไป ปัทม์รีบลุกขึ้นไล่ตามทันที
รจนาไฉนวิ่งหนีมาบนนถนนอีกมุมหนึ่ง ปัทม์วิ่งเข้ามาใกล้ เธอร้องตะโกนเรียกคนให้ช่วย
“ช่วยด้วยค่ะ โจรโรคจิตจะข่มขืนฉัน ช่วยด้วย”
ปัทม์วิ่งเข้ามาแล้วเอามือปิดปากไว้
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ ขึ้นรถ”
ปัทม์จับตัวรจนาไฉนจะพาไปที่รถ แต่ชาวบ้าน 2-3 คนเข้ามาขวางไว้
ชาวบ้าน1บอก
“เฮ่ย..ทำอะไรผู้หญิง”
รจนาไฉนดีใจ รีบผลักปัทม์ออก แต่ปัทม์จับตัวแล้วปิดปากอีก ปัทม์ยิ้มแย้มกลบเกลื่อน
“ไม่มีอะไร เรื่องของผัวเมียปรับความเข้าใจกันครับ”
ชาวบ้านคนเดิมบอก
“เป็นผัวก็ทำร้ายเมียไม่ได้ มันผิดกฎหมาย”
ชาวบ้าน2สนับสนุน
“ใช่... อย่างนี้ต้องฟ้องมูลนิธิคุณหญิง”
รจนาไฉนพยักหน้าดีใจที่พวกชาวบ้านจะช่วย
“ใครบอกผมทำรุนแรงกับเมีย คุณไม่เห็นเหรอว่าเมียผมใส่ชุดนอน คือว่าเมียผม อยากเปลี่ยนบรรยากาศนะครับ” ปัทม์พูดอมยิ้ม ทำท่ากรุ้มกริ่ม
รจนาไฉนตกใจ...รีบเอามือปัทม์ออก
“อย่าไปเชื่อ เขาจะ...”
รจนาไฉนพูดไม่ทันจบ ปัทม์คว้าตัวรจนาไฉนมาจูบทันที เธออึ้ง...ทำอะไรไม่ได้เพราะเขากอดไว้แน่น
ชาวบ้าน2 ร้องพลางมองหน้ารจนาไฉน
“ว้าย..บัดสี!! หน้าตาก็ดี ไม่น่าเป็นพวกชอบโชว์”
ชาวบ้านไม่พอใจต่างเดินหนีไป รจนาไฉนอยากบอกความจริง แต่ปัทม์ยิ้มสะใจ กอดไว้แน่น เธออายที่โดนจูบรีบเอามือเช็ดปากตัวเองเป็นพัลวัน พลางตี ๆ ๆ ใส่ปัทม์
“เธอไม่รอดแน่”
รจนาไฉนถูกจับมัดมือไว้ด้านหลังแล้วถูกปัทม์โยนขึ้นรถ เขารีบวิ่งมานั่งตำแหน่งคนขับ ขณะที่เธอ
จะใช้ตัวดันประตูหนีแต่ไม่สำเร็จ ปัทม์รีบเร่งเครื่องออกไป
“ฉันไม่ใช่นักโทษนะ มาจับฉันมัดทำไม จะพาฉันไปไหน”
ปัทม์ขับรถไปอย่างเดียว ไม่ตอบโต้ ยิ่งยั่วโมโหรจนาไฉนเข้าไปอีก
“ฉันพูดกับนายนะ จอดรถเดี๋ยวนี้ ฉันบอกให้จอดรถ”
ปัทม์นิ่งเฉยจนรจนาไฉนหมั่นไส้ ยื่นหน้าเข้าไปตะคอกเสียงดัง
“หูหนวกรึไง!! ฉันบอกให้จอด ถ้านายไม่จอด ฉันจะ...”
เธอจะโวยวายต่อ แล้วปัทม์คว้าส้มที่วางอยู่ในรถมายัดปาก รจนาไฉนพูดต่อไม่ได้
“โวยวายต่อสิ”
รจนาไฉนพูดไม่ได้ ได้แต่ส่งสายตาเพชรฆาต
“อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นนะ ผมไม่ชอบ”
รจนาไฉนไม่เชื่อ ยังส่งสายตาเกลียดชังดูถูกเข้าใส่ ด่าปัทม์ทางสายตา...
“เฮ่ย...ทนไม่ไหวแล้วนะ”
ปัทม์ทนไม่ไหวคว้าถุงใส่ส้มมาครอบหัวรจนาไฉนทันที เธอได้แต่ดิ้น ๆ แต่ทำอะไรไม่ได้ ปัทม์ขับรถอย่างสบายใจ ผิวปากขับรถต่อไป...
เช้าวันใหม่ รถของปัทม์มาจอดที่หน้าบ้านไร่ชา เขาผลักประตูรถออกและผลักรจนาไฉนออกมายืนนอกรถ เขาดึงถุงที่ครอบหัวเธอออก...
รจนาไฉนอึ้งกับภาพตรงหน้า ไร่ชาที่กว้างใหญ่ เขียวชอุ่มไปทั้งดอย เธอมองไปรอบ ๆ อย่างตื่นตะลึงในความสวยงามของบรรยากาศ และสถานที่
“นายพาฉันมาที่ไหน”
“ลูกกลับมาแล้วเหรอ”
ปัทม์หันไปมองตามเสียง เห็นเปรมเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“ผมกลับมาแล้วครับคุณแม่”
เปรมมองเห็นด้านหลังรจนาไฉนที่ยืนหันหลังมองดอยไร่ชาอยู่
“พาใครมาด้วยล่ะ”
รจนาไฉนหันมาเห็นเปรม เธอดีใจที่เจอผู้ใหญ่ ท่าทางใจดี เปรมแปลกใจที่เห็นรจนาไฉนอยู่ในชุดนอนที่โทรมมาก
“ช่วยหนูด้วยค่ะ”
รจนาไฉนพูดจบก็เป็นลมล้มลงทันที เปรมหันไปมองปัทม์ด้วยสีหน้าและแววตาแปลกใจ
ปัทม์อุ้มรจนาไฉน วิชนี ที่ไม่ได้สติเข้ามาในห้องรับแขกบ้านปัทมกุล โดยมีเปรมและชิตามมาติดๆ
“ค่อย ๆ วางนะลูก” เปรมบอก
ปัทม์โยนรจนาไฉนลงโซฟา โครม!
“ปัทม์... ทำไมทำรุนแรงแบบนี้ นั่นเมียเรานะ ชิไปตามจันทร์เจ้ามาดูแล”
ปัทม์พูดขัดแม่ สั่งชิ
“สั่งทุกคนอย่าเพิ่งเข้ามาในบ้าน และห้ามพูดเรื่องผู้หญิงคนนี้กับใคร”
“ครับนาย”
ชิรีบวิ่งออกไป เปรมไม่พอใจการกระทำของลูกชายมาก
“เราต้องคุยกันเดี๋ยวนี้”
มุมหนึ่งในบ้าน เปรมเข้าต่อว่าปัทม์ ขณะที่รจนาไฉนยังนอนไม่ได้สติอยู่บนโซฟา
“แม่เสียใจที่ลูกไม่ให้เกียรติบ้านวิชนี ทำตัวเป็นคนป่าเถื่อนได้ถึงขนาดนี้”
“ผมไม่จำเป็นต้องให้เกียรติคนที่เห็นแก่เงิน กล้าทำเรื่องน่าอายขายลูกกิน”
“ลูกจะทำอะไร”
เปรมคาดคั้นปัทม์อย่างเคร่งเครียด แต่เขาไม่ตอบ
“ถ้าไม่บอกแม่ แม่ก็จะไม่ไปวิปัสสนา จะโทรไปยกเลิกไม่ให้เพื่อนมารับเดี๋ยวนี้แหละ”
“อย่าครับแม่”
“จะให้แม่ใจสงบได้ยังไง ในเมื่อลูกชายกำลังจะทำร้ายผู้หญิง พาเค้ามาทรมานให้สาแก่ใจเล่น”
ปัทม์คิดเหตุผลโกหกให้แม่สบายใจ
“เอ้อ... ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับแม่ เค้า... เค้าเมารถ”
“หือ”
“ผมไม่ได้ทำอะไรเค้าเลย แต่คงไม่เคยเดินทางไกลเลยเมารถ”
“คิดว่าแม่ไม่รู้เหรอว่าปัทม์กำลังโกหกแม่”
ปัทม์หลบตาวูบ
“ปัทม์เป็นลูกผู้ชาย ต้องรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง เมื่อแต่งงานแล้วก็ต้องดูแลเมียให้สมเกียรติสมฐานะ”
ปัทม์อึ้ง
“แม่จะไปวิปัสสนา ถ้าอยากให้แม่ไปทำบุญด้วยใจสงบ ปัทม์ต้องทำในสิ่งที่ควรจะทำ”
“ครับแม่ ผมจะทำในสิ่งที่ผมควรจะทำ”
เปรมถอนใจมองปัทม์อย่างต้องการรู้เข้าไปถึงจิตใจของลูกชาย เขาหันไปมองรจนาไฉนยังนอนไม่ได้สติ
“ผมจะดูแลรจนาไฉนอย่างสมฐานะครับคุณแม่”
กลางคืนวันเดียวกัน ที่กระท่อมร้างท้ายไร่ชาที่แสนมืดและพร่าเลือน รจนาไฉนรู้สึกตัวตื่น แล้วค่อยปรับสายตา จนเห็นภาพเพดานกระท่อมร้างชัดเจน เธอพบว่า ตัวเองนอนอยู่บนแคร่ผุพังในกระท่อมร้าง ซึ่งมีเพียงแสงสว่างจากแสงจันทร์สาดส่องเข้ามาทางหน้าต่างและช่องว่างผนังกระท่อม
“ฉัน...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ช่วยด้วย”
รจนาไฉนมองหาทางออก จนเห็นประตูกระท่อมที่หลุดเอียงกระเท่เร่ เธอรีบวิ่งออกไปทันทีและพบว่า ตัวเองยืนอยู่หน้ากระท่อมร้างที่โดดเดี่ยวกลางหุบเขาที่ปลูกไร่ชา ทุกอย่างรอบตัวมืดมิด เธอยิ่งตื่นกลัว
“ช่วยด้วย....ใครก็ได้ ช่วยฉันด้วย !”
เสียงร้องขอความช่วยเหลือของรจนาไฉนก้องสะท้อนไปทั้งหุบเขา
เสียงร้องขอความช่วยเหลือของรจนาไฉนยังก้องเข้ามายังมุมหนึ่งที่เนินท้ายไร่ชา ปัทม์กำลังมองด้วยกล้องส่องทางไกล ปัทม์ยิ้มสะใจ
สายตาผ่านกล้องส่องทางไกล เขาเห็นรจนาไฉนมองซ้ายขวาอย่างตื่นตระหนก กระชับเสื้อกอดตัวเองด้วยความหนาวเย็น
“ไม่มีใครช่วยเธอได้หรอกรจนาไฉน”
ชินั่งปัดยุง ปัดแมลงอยู่ใกล้ ๆ ปัทม์
“มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น... แมนมั่ก ๆ”
“บ่นอะไร”
“หนาวมั่ก ๆ...นายไม่กลัวคุณเพื่อนหนาวตายรึไง พาเค้ามาทิ้งไว้ที่กระท่อมร้าง อะไรก็ไม่มีสักอย่างแบบนั้น”
“ฉันทำได้มากกว่านี้อีก”
“มากกว่าเป็นยามให้เธอแบบนี้เหรอ”
“อะไรนะ”
“ปละเปล่า... ปากก็บอกว่าตัวเองเหี้ยม แต่คอยเฝ้าระวังภัยให้ มันเหี้ยมตรงไหนวะเนี่ย” ชิแอบบ่นเบาๆ
ปัทม์ไม่ได้ยินที่ชิบ่น ยกกล้องขึ้นส่องดูอีกครั้ง เห็นรจนาไฉนหันรีหันขวางไม่รู้จะไปทางไหนดี แล้วร้องไห้ออกมาด้วยความกลัว
“ช่วยฉันด้วย ใครก็ได้ช่วยฉันที”
เสียงสวบสาบดังขึ้นใกล้ ๆ รจนาไฉนตกใจ สะดุ้งเฮือก หันไปมอง ในความมืดไม่มีอะไรเคลื่อนไหว ยิ่งทำให้จิตของเธอเปิดเปิง เธอค่อย ๆ ก้าวถอยหลังกลับไปที่กระท่อม ทันใดนั้น สายตาก็เหลือบไปเห็นงูตัวหนึ่งกำลังเลื้อยเข้ามา รจนาไฉนตัวแข็งทื่อ น้ำตาคลอด้วยความกลัว ไม่กล้าขยับ ได้แต่หลับตา ภาวนาให้ตัวเองรอดพ้น
“พ่อขา ช่วยหนูด้วย พ่อขา”
งูเลื้อยผ่านหน้ารจนาไฉนไป เธอค่อย ๆ ลืมตาขึ้น มองเห็นงูเลื้อยหนีไปแล้ว เธอโล่งใจ ตัดสินใจวิ่งเข้าไปในกระท่อมทันที
รจนาไฉนวิ่งเข้ามาในกระท่อม พยายามยกประตูที่หลุดเอียงขึ้นปิด ถึงจะปิดได้ไม่แข็งแรงแต่ก็ทำให้รู้สึกปลอดภัยขึ้น จากนั้นก็วิ่งไปนั่งตัวลีบเล็กบนแคร่ มองไปที่ประตูและรอบข้างอย่างระแวง น้ำตาไหลพรากไม่หยุด เธอพยายามตั้งสติ ไม่ร้องไห้
“เข้มแข็งไว้สิ รจนาไฉน เธอต้องไม่กลัว ไม่มีอะไร...ไม่มีอะไรน่ากลัวเลย”
รจนาไฉนอ่อนเพลีย ดวงตาค่อย ๆ ปิดลงด้วยความอ่อนล้าเต็มที
ประตูถูกถีบเข้ามาอย่างแรง รจนาไฉนผวาตกใจร้องลั่น
“ว้าย”
ปัทม์ยืนทะมึนอยู่ที่ประตู
“คนใจร้าย อย่าเข้ามานะ!”
“เธอห้ามฉันไม่ได้หรอก รจนาไฉน”
ปัทม์ย่างสามขุมเข้าหารจนาไฉน สายตาที่มองมาหื่นเหี้ยมจนรจนาไฉนตกใจ
“คุณจะทำอะไรฉันอีก แค่นี้ยังไม่พอใจอีกเหรอ ต้องให้ฉันตายไปต่อหน้ารึไง ถึงจะหยุดทำร้ายฉัน”
“เธอยังตายไม่ได้ เพราะเธอยังไม่ได้เป็นเมียฉันอย่างสมบูรณ์”
ปัทม์โถมตัวเข้ามา จับเสื้อของเธอกระชากออกทันที
“แอร๊ย!”
เช้าวันรุ่งขึ้น รจนาไฉนสะดุ้งเฮือกตื่นขึ้นมา เอามือจับเสื้อตัวเอง ทุกอย่างปกติ เธอมองไปรอบๆอย่างหวาดระแวง ในกระท่อมร้าง ไม่มีปัทม์อยู่ด้วย เธอชักสติกลับคืนมา และโล่งใจที่ทุกอย่างคือความฝัน!
“หนี... เราต้องหนีไปจากที่นี่”
รจนาไฉนรีบวิ่งออกไปนอกกระท่อมทันที
รจนาไฉนวิ่งออกมานอกกระท่อม เห็นไร่ชาไกลสุดหูสุดตา มีเพียงถนนเส้นเล็กๆตัดผ่าน เธอตัดสินใจวิ่งไปตามถนนเส้นเล็กๆเส้นนั้นทันที
ปัทม์ที่เอนหลับพิงต้นไม้สะดุ้งตื่น
“รจนาไฉน...ชิ...สถานการณ์เป็นไงบ้าง”
ชิยืนหลับคากล้องส่องทางไกล
“ไอ้ชิ !”
ชิสะดุ้งตื่น
“ครับนาย ทุกอย่างเรียบร้อยดีไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลยครับ”
“รู้ได้ไง”
“นั่งทางใน”
ปัทม์แย่งกล้องมา
“เอามานี่”
ปัทม์ยกกล้องขึ้นส่องดู เห็นประตูกระท่อมร้างเปิดอยู่
รจนาไฉนวิ่งมาตามเส้นทางถนนในไร่ชา ขนเห็นชาวเขากลุ่มหนึ่งเดินมา เธอรีบเข้าไปหา
“ขอโทษค่ะ ฉันจะไปกรุงเทพ ฉัน...ฉันต้องไปขึ้นรถที่ไหน”
ชาวเขามองหน้ากันงง ๆ พูดภาษาเผ่ากันเองประมาณว่า เข้าใจไหมว่าผู้หญิงคนนี้พูดอะไร
“พูดภาษาไทยได้มั้ยคะ”
รถบรรทุกใบชาคันหนึ่งวิ่งมาช้า ๆ รจนาไฉนดีใจ วิ่งไปโบกรถคันนั้นให้หยุดทันที
ถนนในชนบทบริเวณเชิงเขา รถกระบะจอดที่ข้างทาง รจนาไฉนยกมือไหว้คนขับ
“ขอบคุณค่ะ”
เธอตั้งใจจะโทรศัพท์ แต่นึกขึ้นได้ว่าตัวเองมาแต่ตัว
“รบกวนขอเหรียญโทรศัพท์หน่อยได้มั้ยคะ”
คนขับหยิบยื่นให้อย่างอารี เธอรับมาแล้วรีบวิ่งไปที่ตู้โทรศัพท์ข้างทาง กดเบอร์อย่างรีบเร่ง แล้วรอสาย
ในโรงพยาบาล นพรัตน์กำลังนอนฟอกไตอยู่อย่างอ่อนเพลีย สีหน้าอิดโรย เสียงมือถือนพรัตน์ดังขึ้น
เขากดมือถือเพื่อรับสาย
“ฮัลโหล...”
รจนาไฉนดีใจที่นพรัตน์รับสาย
“คุณพ่อคะ เพื่อนเองค่ะ หนูโทรไปที่บ้านไม่มีใครรับสายเลย คุณพ่ออยู่ที่ไหนคะ”
นพรัตน์พยายามทำเสียงร่าเริงเป็นปกติ
“พ่ออยู่ที่ เอ้อ... คือพ่อออกมาทำธุระข้างนอก”
รจนาไฉนรับรู้ถึงน้ำเสียงของพ่อผิดปกติ
“คุณพ่อสบายดีรึเปล่า ฟังเสียงดูเหนื่อย ๆ นะคะ”
“พ่อสบายดี ไม่มีอะไรหรอกลูก”
ทันใดนั้น ลำเพาก็แย่งมือถือมาจากนพรัตน์
“ คุณลำเพา”
“ฉันคุยเอง ! พ่อแกอาการทรุด ตอนนี้กำลังนอนฟอกไตอยู่”
รจนาไฉนตกใจ
“คุณพ่อ”
“ฟังนะ... ฉันรอให้ผัวแกโอนเงินมาตอนสิ้นเดือนไม่ไหวหรอกนะ ทั้งค่ายาค่าหมอ ไม่ใช่เงินน้อย ๆ ตอนนี้เงินจะกินยังแทบไม่มี”
รจนาไฉนอึ้ง เสียใจที่นพรัตน์ป่วยหนัก ในขณะที่ตัวเองกำลังจะหนีกลับ
“ได้ยินที่ฉันพูดมั้ย”
“ได้ยินค่ะ”
“แล้วยังจะมัวคุยอยู่อีกทำไม เสียเวลา รีบไปเอาเงินมาจากผัวแกเร็ว ๆ”
ลำเพากดวางสาย รจนาไฉนวางหูโทรศัพท์ ร้องไห้ออกมาอย่างอึดอัดใจ
“คุณพ่อขา...เพื่อนอยากกลับไปหาคุณพ่อ”
ในโรงพยาบาล นพรัตน์ไม่พอใจลำเพา
“คุณไปโกหกลูกทำไม ผมยังพอหาเงินได้”
“ดูสภาพตัวเองซะบ้าง ถึงหามาได้ก็ไม่พอใช้ แล้วไม่ต้องโทรไปโอ๋มันเลยนะ ให้มันร้อนใจยังงี้แหละดี จะได้รีบ ๆ เอาเงินมา !”
พยาบาลเข้ามาขัดจังหวะพอดี
“ให้คนไข้ได้พักผ่อน อย่าเพิ่งคุยอะไรเลยนะคะ”
ลำเพาสะบัดหน้าเดินออกไป นพรัตน์สงสารรจนาไฉนจับใจ
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 2 (ต่อ)
รจนาไฉนยังร้องไห้อยู่ คนขับรถกระบะเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“น้อง... ตกลงจะกลับกรุงเทพฯ มั้ย”
รจนาไฉนอึ้ง ตัดสินใจอย่างยากลำบาก ระหว่างถนนที่จะก้าวไปต่อ และเส้นทางที่เพิ่งจากมา
ขณะเดียวกันปัทม์ขับรถกระบะมาถึงหน้ากระท่อมร้าง ชิรีบวิ่งลงไปหารจนาไฉนในกระท่อม ปล่อยให้ปัทม์ยืนรอที่หน้ากระท่อม ชิวิ่งออกมาหน้าตาตื่น
“ไม่มีนาย เดี๋ยวชิลองไปตามหาดูก่อนนะ”
“ไม่ต้องตาม คงจะหนีกลับไปแล้วล่ะ คิดว่าจะแน่ ฮึ ๆ”
“พูดผิดพูดใหม่ได้นะคะ”
ปัทม์และชิตกใจหันไปเห็นรจนาไฉนเดินเข้ามา เธอสังเกตเห็นสีหน้าเจ็บใจของปัทม์
“ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง แต่ฉันจะไม่หนีไปไหนทั้งนั้น”
รจนาไฉนเผชิญหน้ากับปัทม์ที่ยิ้มเยาะอย่างท้าทาย
“ทำเป็นปากเก่ง ฉันจะคอยดูน้ำหน้าผู้หญิงหยิบโหย่งอย่างเธอ ถ้าเปลี่ยนใจอยากกลับบ้าน ฉันไม่เคยห้าม”
ปัทม์ชูกุญแจรถแล้วปล่อยกุญแจตกลงบนพื้น เธอมองเขาอย่างเจ็บใจ
“ขอทายไว้ ไม่เกินสามวัน”
“ถ้าฉันอยู่ที่นี่ได้มากกว่าสามวันล่ะ”
“ก็เอาสิ... เก่งนักก็อยู่ให้ได้ ถ้าอยู่เกินสามวันฉันจะแถมเงินให้”
“ห้าแสน !”
ปัทม์ยิ่งเกลียดชังรจนาไฉน
“ล้านนึงฉันก็ให้ได้ ! น่าสะใจจะตายที่เห็นผู้หญิงอย่างเธอต้องทนอยู่อย่างน่าสมเพช เพื่อแลกเงิน”
รจนาไฉนเจ็บปวดกับคำพูดของปัทม์ แต่พยายามอดทน เชิดหน้าท้าทายเขา
“แล้วคุณจะได้เห็น !”
“ดี ! แต่ถ้าเธอไปขอความช่วยเหลือจากคนของฉัน ทุกอย่างถือว่าสิ้นสุด ! ไอ้ชิ กลับ”
ปัทม์รีบเดินออกไป ชิรีบวิ่งตามแต่รู้สึกเห็นใจรจนาไฉนมาก เธอรู้สึกหวาดหวั่นทันที ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในกระท่อมร้าง
รจนาไฉนสำรวจสภาพกระท่อมตามมุมต่างๆ ที่มีแคร่ผุ ๆ มุ้งเก่าขาด หยากไย่เกาะเต็ม ฝุ่นหนา
มีเสื้อผ้าเก่าๆซุกอยู่ตามมุมพื้น มุมทำอาหารมีหม้อเก่า ๆ ถ้วยชามแตกบิ่นถูกทิ้งเกลื่อน ตู้กับข้าวเก่าหักฝุ่นเขรอะ ห้องน้ำมีรูโหว่เต็มไปหมด ในตุ่มมีน้ำเพียงเล็กน้อย
รจนาไฉนลงนั่งแทบพื้น ถอนใจ แต่พยายามฮึดสู้
“ฉันต้องอยู่ให้ได้ !... พ่อขาหนูจะอดทน เพื่อพ่อ”
รจนาไฉนลุกขึ้นมา คิดหาทางเริ่มทำความสะอาดกระท่อม
บ้านปวุฒิที่กรุงเทพฯ ปวุฒิยืนมองภาพถ่ายของรจนาไฉนอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะปลดภาพลงมา เขาเก็บภาพถ่ายนั้นลงกระเป๋าเดินทาง เฟอร์นิเจอร์ในบ้านมีผ้าขาวคลุมไว้ โลมฤทัยหิ้วของกินพะรุงพะรังเข้ามา
“คุณปวุฒิคะ พบซื้อของกินมาเยอะเลย ทานข้าวหรือยัง... นั่นคุณกำลังทำอะไร” โลมฤทัยชะงักไปเมื่อสังเกตเห็นปวุฒิกำลังเก็บข้าวของ
“เก็บของ”
โลมฤทัยรีบวางของ เข้ามาซักทันที
“คุณจะไปไหน เหมือนคุณจะไม่อยู่ที่นี่แล้ว”
“ผมกำลังจะย้ายไปเชียงราย”
“เชียงราย”
“ใช่ อีกไม่กี่วัน”
“คุณตั้งใจจะไปอยู่ใกล้ ๆ พี่เพื่อนใช่มั้ย”
ปวุฒิอึ้งไป ไม่ตอบ แต่เก็บรูปของรจนาไฉนลงกระเป๋าต่อ โลมฤทัยเข้าไปกระชากรูปมาจากมือของปวุฒิ
“เอาคืนมา”
“ไม่”
ทั้งสองคนยื้อรูปถ่ายรจนาไฉนอยู่พักหนึ่ง แล้วโลมฤทัยก็แกล้งเขวี้ยงรูปนั้นลงพื้น
“คุณพบ !”
“ใช่... ฉันชื่อพบ ชื่อโลมฤทัย คนที่ไม่เคยอยู่ในสายตาของคุณทั้ง ๆ ที่ฉันพยายามทำดีกับคุณมาตลอด แต่คุณไม่เคยมองเห็นค่าของฉันเลย”
ปวุฒิจะเดินออกจากบ้าน โลมฤทัยเดินไปขวางเอาไว้
“ทำไมไม่มองฉันบ้าง... มองฉันสิ”
ปวุฒิมองอย่างไม่เต็มใจนัก
“ฉันรักคุณนะคะ ฉันรักคุณมาตั้งนานแล้ว”
ปวุฒิอึ้ง คาดไม่ถึง
“คุณพบ”
“คุณจะรักฉันบ้างไม่ได้เลยเหรอ พี่เพื่อนมีอะไรดีกว่าฉัน คุณถึงไม่ยอมตัดใจ ทั้งที่พี่เพื่อนไม่ได้รักคุณ”
“ความรัก.. บางครั้งมันไม่มีคำอธิบายที่สร้างความสบายใจให้กับคุณได้หรอก”
“คุณมันตาบอด คนบ้า !”
โลมฤทัยทุบตีปวุฒิอย่างไร้สติ
“หยุดนะคุณพบ คนบ้าก็คือคุณ มีสติหน่อยสิ”
“ฉันไม่หยุด!”
โลมฤทัยขึ้นเสียงใส่
ปวุฒิจับมือของโลมฤทัยได้ ก็สะบัดออกไปอย่างแรง จนเธอเสียหลักล้มลงไป
“ผมขอโทษ”
ปวุฒิเดินหนีออกไปทันที โลมฤทัยยังตามอย่างไม่ลดละ
ทันทีที่ปวุฒิขึ้นรถได้ก็สตาร์ทเครื่อง กระชากรถออกไป เธอวิ่งตามประกบรถของปวุฒิ ตีกระจก ร้องเรียก
“คุณหนีความจริงไม่ได้หรอก พี่เพื่อนแต่งงานไปแล้ว คุณไม่มีวันได้พี่เพื่อนกลับมา ยังไงพี่เพื่อนก็ไม่มีวันรักคุณ”
ปวุฒิเครียด ยิ่งเหยียบคันเร่งออกไปอย่างเร็ว จนทิ้งโลมฤทัยไว้ข้างหลัง เธอโกรธที่ตัวเองไม่สามารถทำให้เขาใจอ่อนได้
“ปวุฒิ.. ฉันจะทำให้คุณหันมารักฉันให้ได้ ฉันไม่ยอมให้พี่เพื่อนได้คุณไปหรอก ฉันไม่ยอม”
รจนาไฉนปาดเหงื่อ ยืนมองผลงานของตัวเองที่จัดการปรับแต่งกระท่อมร้างอย่างพึงพอใจ ถึงจะผุพังและเก่า แต่ดูน่าอยู่ขึ้น เธอยิ้มมองไปรอบ ๆ
“สวัสดีจ้ะกระท่อมหลังน้อย...ต่อไปนี้ที่นี่คือวิมานของรจนาไฉน”
รจนาไฉนรู้สึกหิวขึ้นมา หันไปมองรอบ ๆ บริเวณทำกับข้าวที่ไม่มีอะไรให้ทำกินได้
“แล้วเที่ยงนี้จะกินอะไร”
เธอนิ่งคิดยิ้ม ๆ ในแววตาแบบไม่กังวล คิดอะไรออกแล้ว
บริเวณบ้านพักคนงานท้ายไร่ เห็นลูกเล็กเด็กแดงวิ่งเล่น และชาวเขาซึ่งส่วนใหญ่เป็นคนแก่ที่นั่งอยู่ตามมุมต่างๆ เธอเดินเข้ามา มองทุกอย่างอย่างแปลกตา พยายามมองหาความช่วยเหลือ
พ่อเลี้ยงพูนทวีในชุดชาวเขาแบกก๋วยเข้ามาหาเด็ก ๆ และคนแก่ที่นั่งอยู่หน้าบ้าน
พูนทวีแกล้งพูดไม่ชัด ร้องเต้นอย่างสนุกสนาน
“สวัสดีจ้า ผมเอาแคเหราะมาฝาก หยะให้เธอได้กิน ผะมีวิตามิน...”
เด็ก ๆ และคนแก่หัวเราะกันเกรียว
พูนทวียังพูดไม่ชัดอยู่
“อ๊ะ ๆ ๆ หัวเราะ ชอบล่ะสิ อันนี้เอามาเพื่อพวกเราเลยนะ”
พูดจบก็ทำท่าเต้นต่อเป็นวันเดอร์เกิร์ล พร้อมส่ายก๋วยไปมา
“โนบอดี้ โนบอดี้ บัดยู๊...”
เด็ก ๆ และคนแก่ยังหัวเราะกันเกรียว
“มาเร้ว... มารับแจกเร้ว นี่.. มีขนมมีกับข้าวเต็มเลย เอามาจากงานแต่งของอาสือ”
เด็กๆวิ่งมารุมพ่อเลี้ยงพูนทวีด้วยความดีใจ
“ใจเย ๆ นี่คิดถึงเราหรือคิดถึงขนมกันแน่หว่า”
เด็ก ๆ ร้องบอก“ขนม!”
พูนทวีดึงถุงขนมคืน
“งั้นไม่ให้... น้อยใจ”
เด็กหน้าเสีย
“อ่ะ ล้อเล่น เอาไปๆ”
พ่อเลี้ยงหยิบขนมแจกเด็กๆ
“ขอโทษนะคะ”
พ่อเลี้ยงพูนทวีชะงักหันไป รจนาไฉนยิ้มเจื่อนๆอยู่ พ่อเลี้ยงพูนทวีอึ้งไปที่เห็นใบหน้าอันสวยงามหวานซึ้งของรจนาไฉน
“เอ้อ... ฟังภาษาไทยออกใช่มั้ยคะ”
พูนทวีพูดเพ้อๆ
“เทพธิดาดอย”
CUT /
มุมสวยมุมหนึ่งหน้าบ้านพักคนงานไร่ปัทม์ รจนาไฉนกินข้าวอย่างหิวโหยไม่พูดไม่จา ก่อนจะนึกขึ้นได้ จึงเงยหน้าขึ้นมายิ้มกับพ่อเลี้ยงพูนทวี
“ขอบคุณนะคะที่มีน้ำใจกับฉัน”
พูนทวีมองหน้ารจนาไฉนอย่างเคลิบเคลิ้ม พูดไม่ชัด
“ไม่เป็นไร”
“เอ่อ คุณรู้จักพ่อเลี้ยงปัทม์มั้ย”
“รู้”
“อย่าบอกเค้านะว่าเห็นฉันมาที่นี่”
“ทำไมล่ะ”
รจนาไฉนท่าทางไม่สบายใจ ไม่อยากตอบ พูนทวีเห็นแล้วคิดเดาเอาเอง
“อ๋อ.. คงกลัวพ่อเลี้ยงปัทม์ไล่ออกจากพื้นที่ใช่มั้ย นี่คงแอบเข้ามาอาศัยอยู่ในนี้ละสิ”
“เอ้อ... คือ...”
“ทำไมทำหน้าตกใจแบบนั้นล่ะ อย่าบอกนะว่าไปขโมยของในไร่นั้นมาน่ะ”
“เปล่า...เปล่าค่ะ”
“นั่นสิ ท่าทางเธอไม่ใช่โจร เออ..งั้นเธอมาจากไหน อยู่เมืองไทยมานานรึยัง มีปัญหาอะไรให้ฉันช่วยมั้ย ฉันกว้างขวางนะ... ช่วยเธอได้สบายเลย”
“เอ้อ... ไม่เป็นไรค่ะ”
“ยังไม่ตอบฉันเลยว่ามาจากไหน”
รจนาไฉนไม่ตอบ
“ฉันไปก่อนนะคะ ขอบคุณอีกครั้งนะคะ ไม่รู้จะตอบแทนยังไงดี เพราะฉันไม่มีเงินเลย”
รจนาไฉนเหลือบไปเห็นดอกหญ้าขึ้นอยู่ คิดได้ รีบวิ่งไปเด็ดดอกหญ้า พ่อเลี้ยงพูนทวีมองรจนาไฉนอยู่ท่ามกลางดอกหญ้าอย่างเพลินตา
“สวย...เป็นธรรมชาติที่สุด”
รจนาไฉนเดินกลับมาอีกครั้ง พร้อมยื่นแหวนดอกหญ้าให้พ่อเลี้ยง
“นี่ค่ะ แหวนดอกหญ้า แทนคำขอบคุณของฉัน”
พ่อเลี้ยงพูนทวีมองแหวนดอกหญ้าอย่างพอใจ นึกไม่ถึงว่ารจนาไฉนจะทำได้สวยงาม
“ให้ฉันสวมให้นะ”
เธอจับมือพ่อเลี้ยงขึ้นมาแล้วสวมแหวนให้อย่างเบามือ พ่อเลี้ยงใจเต้นตูมตาม มองเลี้ยวหน้าของเธอที่ตั้งใจสวมแหวนให้อย่างตะลึง
“ฉันไปนะคะ”
รจนาไฉนหันมาส่งยิ้มให้พร้อมโบกมือก่อนเดินจากไป พ่อเลี้ยงพูนทวียกมือโบกตอบ ยิ้มค้าง ตกอยู่ในภวังค์รัก มองภาพเธอที่เดินจากไปอย่างช้าๆ จนเธอเดินขึ้นเนินไปด้านบน
รจนาไฉนที่มีจิตใจร่าเริงมากขึ้น กำลังก้าวเดินขึ้นไปด้วยหัวใจมุ่งมั่นของคนสู้ชีวิต
ที่มุมหนึ่งบริเวณหน้าโรงบ่มใบชาไร่ปัทมกุล พ่อเลี้ยงพูนทวียิ้มเดินเข้ามาด้วยแววตาเหม่อลอย มองแหวนดอกหญ้าเหมือนเพิ่งพบสาวในฝัน
“เทพธิดาดอย”
ปัทม์เข้ามาโบกมือไปมาข้างหน้าพ่อเลี้ยงเพื่อเช็กสติ
“พูนทวี”
พ่อเลี้ยงพูนทวียังเคลิ้ม
“ท่าทางจะเป็นเอามาก”
ปัทม์ตะคอกใส่หูพ่อเลี้ยง
“ไอ้พูนโว้ย!”
พูนทวีสะดุ้ง
“หา! อะไร”
“อย่าบอกนะว่าแกกำลังตกหลุมรักแม่เทพธิดาดอยอะไรนั่น”
“แล้วมันแปลกตรงไหน ในเมื่อเค้าสวย เป็นธรรมชาติ อ่อนโยน พิเศษไม่เหมือนใคร ที่สำคัญ เธอหมั้นฉันแล้วด้วยแหวนดอกหญ้า”
“จะอ้วก!”
“คนจิตใจหยาบกระด้างด้านชาอย่างแก มันไม่เข้าใจหรอกเว้ย”
“ฮึ ๆ ถ้ารักจริงหวังแต่งขึ้นมาเมื่อไหร่ก็บอก จะเป็นเถ้าแก่ไปสู่ขอให้ชาวเขาคนนี้ให้”
“พูดจริงนะ”
“จริงสิ”
“เยี่ยม”
“แล้ววันนี้มีอะไร มัวแต่ละเมอเพ้อพกเรื่องไม่เป็นเรื่อง”
“ฉันแวะมาที่บ้านพักคนงานแก เอาพันธุ์สตอเบอรี่ใหม่ไปให้คนงานแกลองเพาะดู เผื่อจะเป็นอาชีพรอง..เกษตรกรรมในครัวเรือน นอกเหนือจากปลูกชาในไร่แกไง”
“ทำยังกะจะสมัคร ส.ส. อุทิศตนเพื่อคนดอย”
“อ๊ะ...ฉันนี่แหละ พ่อเลี้ยงพูนทวี เอ็นจีโอตัวจริงเสียงจริง เอ็นจีโอผู้พบรักกับเทพธิดาดอย”
พ่อเลี้ยงพูนทวีเพ้อ ร้องเพลงสบายใจตัวเบา
“มวลเถาวัลย์ป่าใบเขียว คดลดเลี้ยวใบเขียวต้นไม้ใหญ่ ฝูงมัจฉาว่ายแหวกน้ำใส...”
“เป็นเอามาก... ฮึ ๆ อยากเห็นหน้าแม่เทพธิดาดอยของแกแล้วละสิ”
ปัทม์ท้าวสะเอวเห็นอาการเพ้อ ๆ ของพูนทวีแล้วอดหัวเราะไม่ได้
รจนาไฉนในชุดชาวเขา แบกถุงใส่อาหารและข้าวของต่างๆมาเต็มมือ วางลงบนแคร่
“คนที่นี่ใจดีจัง ให้ข้าวของมาเยอะแยะเลย ฮึ..คงจะมีแต่นายปัทม์ที่ใจคอเหี้ยมโหด !”
รจนาหยิบอาหารแห้ง แปรงสีฟัน ยาสีฟัน สบู่ จำพวกข้างของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันออกมาวาง ก่อนจะหยิบถุงใส่เมล็ดผักออกมาดู
“ฉันจะอยู่ที่นี่ให้นานเป็นปีเลย”
รจนาไฉนเดินออกมาที่หน้ากระท่อม ถือถุงใส่เมล็ดผักออกมาด้วย มองไปรอบๆ
“จะปลูกที่ไหนดี”
สายตาของรจนาไฉนก็ไปปะทะกับรถกระบะของปัทม์ เธอนิ่งยิ้ม ๆ เหมือนคิดอะไรออก
ที่มุมแอบดูของปัทม์ ชิยกกล้องส่องทางไกลขึ้นดู ปัทม์ยืนขรึมอยู่ข้าง ๆ
“ยังอยู่มั้ย”
“อยู่นาย”
“ทำอะไรอยู่”
“อยู่ที่รถกระบะ แต่ทำอะไร ชิไม่แน่ใจ”
“ฮึ...แต่ฉันแน่ใจว่า ยายนั่นกำลังจะขับรถกลับกรุงเทพ !”
“นายดูเองแล้วกัน”
ชิยื่นกล้องส่องทางไกลให้ปัทม์ ปัทม์รับมาส่องดู เห็นรจนาไฉนเดินวนดูรอบ ๆ รถกระบะ ปัทม์ลดกล้องลง
“หรือจะขับรถไม่เป็น”
ปัทม์ยกกล้องส่องดูใหม่อีกครั้ง เขาเห็นเธอขึ้นไปยืนบนหลังกระบะ มองบริเวณกระบะแล้วกระโดดๆ ปัทม์ลดกล้องลง
“ทำบ้าอะไรของเค้าวะ หรือเป็นบ้าไปแล้ว”
ปัทม์ยกกล้องส่องดูใหม่ เห็นเธอลงจากท้ายรถแล้วเดินเข้ากระท่อมไป ปัทม์ลดกล้องลงอย่างหัวเสีย
“เข้าบ้านไปแล้ว”
“คงเปลี่ยนใจไม่กลับแล้วมั้งนาย”
“แกคอยเฝ้าดูต่อ ถ้ายายนั่นหนีกลับเมื่อไหร่ ไปบอกฉัน”
ปัทม์เดินออกไป ชิรับกล้องมาอย่างเซ็งๆ
“ปากบอกว่าไม่ห่วง ไม่สนใจ แล้วให้ชิเฝ้าดูตลอดทำไมวะ”
บริเวณริมระเบียงบ้านปัทมกุล วิวสวยงาม ปัทม์กำลังจะกินข้าวอยู่ที่โต๊ะริมระเบียง ปยงค์และจันทร์เจ้าคอยเสิร์ฟอาหารอยู่
“คุณปัทม์ทานเยอะ ๆ นะคะ ปยงค์ตั้งใจทำสุดฝีมือเลยนะคะเนี่ย”
“สุดฝีมือของป้า จันทร์เจ้าเห็นคุณปัทม์กินเหลือทุกทีเจ้า”
“ใครใช้ให้สาระแน รินน้ำให้คุณปัทม์สิ”
“เจ้า”
“ขอบใจ”
ปัทม์จะลงมือกินข้าว ชิวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“นาย! มีข่าวมาบอก”
ชิเห็นปยงค์และจันทร์เจ้ายืนอยู่ เลยเปลี่ยนเป็นกระซิบแทน
“เรื่องใหญ่เรื่องด่วน”
ปัทม์วางช้อน ลากชิเดินหลบออกไป ปยงค์หน้าตาสงสัยมาก
“เรื่องอะไรมันจะเป็นความลับขนาดนั้นวะ นังจันทร์เจ้า”
“ป้าไม่อยากให้จันทร์เจ้าสาระแนไม่ใช่เหรอเจ้า”
“นี่แกว่าฉันสาระแนเรื่องเจ้านายใช่มั้ย”
“เจ้า...เอ๊ย... บ่ได้ว่าเจ้า”
จันทร์เจ้ารีบหลบออกไป ปยงค์อยากรู้มาก
รจนาไฉนขนดินมาใส่ท้ายรถกระบะจนเต็มแล้ว เธอใช้ขันตักน้ำจากถังน้ำเก่า ๆ รดบนดินท้ายกระบะรถ จากนั้นก็โปรยเมล็ดผักลงบนดิน พลางร้องเพลงอย่างมีความสุข
รจนาไฉนนั่งกินมาม่าซอง บนบานประตูท้ายกระบะ รับลมเย็นอย่างมีความสุข
ปัทม์กำลังส่องกล้องดูอยู่ ก่อนจะลดกล้องลงด้วยความเจ็บใจ
“ยายนั่นใช้รถของฉันเป็นที่ปลูกผัก !”
“ฮ่ะๆ สงสัยกะอยู่เป็นปีเลยต้องปลูกผักกินเองเลย ฮ่ะๆ”
ปัทม์มองชิตาเขียวปั้ด ชิจ๋อย
“กว่าผักจะโต ยายนั่นรอไม่ไหวแน่ ฉันให้ไม่เกินพรุ่งนี้ ! ยายนั่นต้องหนีกลับ”
ชิพูดเบา ๆ ลากเสียงประชด
“อ๋อเหรอ”
ปัทม์เจ็บใจที่รจนาไฉนไม่หนีกลับไปสักที
โลมฤทัยฮัมเพลงอย่างสบายใจ นั่งดูมิวสิควิดีโออยู่ในห้องนั่งเล่น รอบๆ ตัวเห็นข้าวของกระจัดกระจายไม่เป็นระเบียบ ทั้งกระเป๋าถือ ถุงข้าวของที่เพิ่งซื้อมา นพรัตน์เดินเข้ามามองแล้วส่ายหน้า
“ทำไมบ้านมันรกแบบนี้ เก็บของเองซะบ้างสิลูก”
“ทำไมพบต้องเก็บ ไม่ใช่หน้าที่ของพบ”
“แล้วมันหน้าที่ใครไ
โลมฤทัยเผลอลืมตัวบอก
“ของพี่เพื่อน...เออ จริง พี่เพื่อนไม่อยู่ที่นี่แล้วนี่นา มิน่า...ยังนึกแปลกใจอยู่เลย ทำไมวันนี้พบอารมณ์ดีทั้งวัน”
“พ่อไม่เข้าใจจริงๆ ทำไมหนูถึงจงเกลียดจงชังพี่เพื่อนนักหนา”
โลมฤทัยจ้องหน้านพรัตน์
“อยากรู้จริงๆ เหรอคะ”
นพรัตน์มองโลมฤทัยอย่างอ่อนใจ ถอนหายใจออกมาเบาๆ
“ถ้าคุณพ่ออยากรู้ก็ส่องหน้าตัวเองในกระจกสิคะ คนในกระจกนั่นแหละที่ทำให้พบเป็นแบบนี้”
“ลูกพบ... ทำไมลูกพูดแบบนี้”
“ก็รึไม่จริง ตั้งแต่เล็กจนโต คุณพ่อหายใจเข้า หายใจออกเป็นพี่เพื่อนตลอดเวลา ไม่เคยเห็นพบอยู่ในสายตา”
“ไม่นะพบ... พ่อก็แค่สงสารลูกเพื่อนที่ต้องเสียสละทุกอย่างให้หนู ทั้งเรื่องเรียน... เรื่องข้าวของเครื่องใช้”
โลมฤทัยไม่ฟังนพรัตน์เลย
“ยิ่งพบรู้ว่าพี่เพื่อนไม่ใช่พี่แท้ๆ พบยิ่งเกลียดมัน... มันแย่งความรักคุณพ่อไปจากพบ”
นพรัตน์เดินเข้ามาใกล้โลมฤทัย จับที่ไหล่เหมือนต้องการปรับความเข้าใจ
“พ่อว่าเรามีเรื่องต้องคุยกันแล้ว”
โลมฤทัยปัดมือพ่อทิ้ง
“พบไม่มีอะไรจะคุยกับคุณพ่อค่ะ”
โลมฤทัยปิดทีวีแล้วลุกขึ้นทันที
“ขนาดไม่อยู่ในบ้านหลังนี้แล้ว พี่เพื่อนยังตามมาแย่งความรักของคุณพ่อไปจากพบ”
“มันไม่ใช่อย่างที่หนูคิดนะลูก”
โลมฤทัยเน้นย้ำ
“มันเป็นแบบที่พบคิดค่ะ ! เป็นแบบนี้มานานมาทั้งชีวิต เพราะฉะนั้น พบไม่มีวันเห็นผู้หญิงคนนั้นดีไปได้หรอกค่ะคุณพ่อ !”
โลมฤทัยเดินหนีออกไปทันทีด้วยความไม่พอใจ เธอปิดประตูบ้านโครมใหญ่
นพรัตน์ถอนหายใจยาว ไม่สบายใจเลยที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น เขาทรุดตัวลงนั่งอย่างเศร้าหมอง
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 2 (ต่อ)
ตกตอนกลางคืน ภายในกระท่อมอันโดดเดี่ยวท่ามกลางไร่ชา รจนาไฉนนอนบนแคร่ ในมือถือไม้ไว้คอยป้องกันตัว สักพักไม้ค่อยๆ หลุดลงจากมือ เธอสะดุ้งตื่น รีบควานหาไม้ทันที แล้วกระชับไม้แน่น มองไปรอบๆ อย่างระแวดระวัง
เธอค่อยๆนอนลงอีกครั้ง พยายามข่มตาให้หลับ แต่ไม่หลับ เธอลุกขึ้นมานั่งมองพระจันทร์ที่ข้างหน้าต่างกระท่อม
“พระจันทร์จ๋า... ขอพลังให้ฉันหน่อยได้มั้ย ฉันจะได้มีแรงไว้ต่อสู้กับมัจจุราชใจร้าย!”
รจนาไฉนหลับตาลง สูดลมหายใจลึกเหมือนกำลังรับพลังจากพระจันทร์ที่นวลตา
ปัทม์ยืนมองพระจันทร์ ที่หน้าต่างห้องนอน คิดถึงเรื่องรจนาไฉน
“เธอท้าทายคนผิดแล้วรจนาไฉน !”
ปัทม์ปิดผ้าม่านลงทันที
เช้าวันใหม่ รจนาไฉนเปิดประตูกกระท่อมออกมา แล้วยืดเส้นยืดสายสูดอากาศยามเช้าอย่างสดชื่น
รจนาไฉนถือขันน้ำมารดน้ำผักที่กระบะ
“อรุณสวัสดิ์จ๊ะ ผักจ๋า....โตเร็วๆ งามๆนะจ๊ะ”
ปัทม์ลดกล้องลงอย่างหัวเสีย
“ยังรดน้ำผักอยู่เลยอ่ะนาย คงยังไม่กลับง่าย ๆ หรอก”
“ฉันให้ไม่เกินเย็นนี้ ยังไงก็ต้องกลับแน่”
ชิเบา ๆ ประชด
“อ๋อ..เหรอ”
เวลากลางวัน รจนาไฉนกำลังตากผ้า ชิเสนอหน้าบอกปัทม์ที่กำลังยืนเครียด
“ยังตากผ้าอยู่เลยนาย”
รจนาไฉนร้องเพลง เอาดอกไม้มาตกแต่งกระท่อม ชิเสนอหน้าบอกปัทม์อีก
“ร้องเพลงแต่งบ้าน...ท่าทางมีความสุข”
ผ่านเวลามาเป็นเวลาเย็น รจนาไฉนกำลังเอาตอกตะปูซ่อมประตูกระท่อม ชิเสนอหน้าบอกปัทม์ที่ชักร้อนใจ เดินเป็นเสือติดจั่น
“ซ่อมประตูกระท่อมสนุกสนาน เดี๋ยวคงก่ออิฐ ทาสี ทำบุญขึ้นบ้านใหม่แล้วล่ะ”
“มันต้องทนไม่ไหวสิวะ”
ชิพูดเบา ๆอีก
“อ๋อ..เหรอ”
ปัทม์หัวเสีย ทนไม่ไหว
“ไอ้ชิ ไปกับฉันเดี๋ยวนี้”
“ไปไหน”
ปัทม์ไม่ตอบ กระชากชิออกไปทันที
ชิรื้อแปลงผักที่ท้ายกระบะตามคำสั่งของปัทม์
“รื้อให้หมด! ไม่ต้องให้เหลือ”
รจนาไฉนเดินมาเข้ามาจากท้ายกระท่อม
“หยุดนะ ทำอะไร หยุด!”
รจนาไฉนวิ่งมาดึงตัวชิให้ลงมาจากท้ายกระบะ
“ลงมา! อย่าทำอะไรผักฉันนะ”
ชิจะหยุด ปัทม์สั่งห้าม
“อย่าหยุด!”
“คนใจร้าย! คุณไม่มีสิทธิ์ นี่มันผักของฉัน”
“ผักของเธอ แต่รถของฉัน ฉันใจดีให้รถเธอขับกลับบ้าน ไม่ได้ให้เอามาปลูกผัก!”
รจนาไฉนอึ้งไปด้วยความโกรธ
“ได้! เชิญทำลายได้ตามสบาย ฉันจะไปปลูกที่อื่น”
รจนาไฉนสะบัดหน้าเดินหนี ปัทม์โกรธ ตามไปคว้าข้อมือของเธอเอาไว้ กระชากให้หยุด
“แต่ฉันไม่ให้เธอปลูก!”
“ทำไม กลัวจะแพ้พนันฉันหรือไง ถึงได้ทำทุกอย่างเพื่อจะขวางฉันน่ะ ฮึ...เตรียมเงินล้านไว้ได้เลย เหลือพรุ่งนี้อีกแค่วันเดียว ฉันอยู่ถึงแน่ ๆ”
“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก”
ปัทม์ดึงรจนาไฉนออกไป
“จะพาฉันไปไหน ปล่อยนะ”
ปัทม์ดึงตัวรจนาไฉนมาที่หน้าบ้าน รจนาไฉนพยายามจะดึงมือออกแต่ก็ไม่เป็นผล ชิตามมาด้วย
“ฉันเดินเองได้”
ปยงค์ จันทร์เจ้าเดินออกมาดูอย่างสงสัยใคร่รู้
“ว้าย! ผู้หญิงแปลกหน้า หรือนี่คือความลับเมื่อตอนกลางวัน”
ปัทม์รีบปล่อยมือจากรจนาไฉนทันที
“ต่อไปนี้เธอจะต้องอยู่ที่บ้านหลังนี้ !”
รจนาไฉนนึกชอบใจคิดว่าปัทม์ยอมแพ้
“ยอมรับแล้วใช่มั้ย...ว่าควรจะยกย่องฉันในฐานะอะไร”
“คนงาน !”
“คุณ...”
ปัทม์สั่งการทุกคน
“นี่คือคนงานผู้หญิงมาใหม่ จะมาทำงานรับใช้ที่นี่”
รจนาไฉนจะเถียง
“แต่ฉันเป็น...”
ปัทม์กระชากรจนาไฉนมากระซิบ
“ถ้าเธอบอกใครว่าเป็นเมียฉัน ถือว่าสัญญาทุกอย่างเป็นโมฆะ เธอจะไม่ได้เงินจากฉันสักบาท”
รจนาไฉนโกรธมาก
“คุณมันคนเอาแต่ได้”
ปัทม์ยักไหล่
“ที่นี่คือไร่ปัทมกุล และฉันเป็นคนกำหนดกฏเกณฑ์ทุกอย่าง ใครก็ปฏิเสธไม่ได้”
รจนาไฉนอึ้ง โกรธจนพูดไม่ออก
“ปยงค์... พาผู้หญิงคนนี้ไปอยู่ที่เรือนคนใช้ หาหน้าที่ให้ทำ อย่าให้ฉันเห็นว่าอยู่เฉย ๆ ไม่งั้นเดือดร้อนกันหมดแน่”
“ค่ะคุณปัทม์”
ปัทม์เดินออกไป รจนาไฉนเจ็บใจที่ถูกปัทม์เล่นไม่ซื่อ ปยงค์เดินเข้ามากร่างใส่รจนาไฉนทันที
“ยืนเซ่ออยู่ทำไม”
“พูดกับเขาดี ๆ เถอะ”
“ขี้ข้าเหมือนกัน จะพูดดีด้วยทำไม เออเป็นเมียคุณปัทม์ก็ว่าไปอย่าง”
“อืม...แกยังไม่รู้อะไร”
“แล้วมันอะไร”
“ก็ “อะไร” ยังไงล่ะ”
ปยงค์สะบัดหน้าไปสั่งจันทร์เจ้า
“นังจันทร์เจ้าพาแม่นี่ไปดูที่พัก เรียบร้อยแล้วพาออกมาข้างนอก ฉันจะสั่งงาน”
“เจ้า...ไปจ้ะ”
รจนาไฉนเดินตามจันทร์เจ้าไป ปยงค์ค้อนใส่อย่างหมั่นไส้
“เชอะ..ก็แค่สาวกว่าสวยกว่า ดูๆๆ เดิน แหม...ท่าทางหยิบโหย่ง ต้องใช้งานซะให้เข็ด”
ปยงค์หันมาเห็นหน้าชิยิ้มมองมา
“ยิ้มทำไมไอ้ชิ”
“แกยังไม่รู้อะไร”
จันทร์เจ้าเปิดประตูห้องคนใช้ รจนาไฉนตามเข้ามามองไปรอบ ๆ ภายในห้องที่มีเพียงฟูกที่นอน ตู้เสื้อผ้าพลาสติก
“เดี๋ยวฉันจะเอาผ้าห่มกับหมอนมาให้ แล้วเสื้อผ้าเธอล่ะ”
“ฉันมีแค่ที่ใส่ติดตัวมา”
“โถ น่าสงสาร ไม่เป็นไร เดี๋ยวเอาของฉันไปใส่ก่อน ที่เหลือค่อยว่ากัน”
“ขอบใจเธอมากนะ”
“ไม่เป็นไร ฉันชื่อจันทร์เจ้านะ เธอล่ะชื่ออะไร มาจากไหน”
“ฉันชื่อเพื่อน มาจากกรุงเทพ”
“ท่าทางจะมาเหนื่อย ๆ พักก่อนแล้วกัน อยู่ได้ใช่มั้ย”
รจนาไฉนมองไปรอบๆ
“ดีกว่าที่ฉันเคยอยู่ตั้งเยอะ”
จันทร์เจ้าออกไปแล้วปิดประตูให้ รจนาไฉนค่อยๆทรุดลง รู้สึกท้อแท้ใจ น้ำตาซึมกับสิ่งที่เกิดขึ้น
“นี่ฉันต้องเจอกับอะไรอีก ไม่... เพื่อพ่อ...เธอต้องไม่ร้องไห้ เธอต้องเข้มแข็งนะรจนาไฉน”
เสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างกระแทกกระทั้น
“นี่หล่อน เปิดประตู”
รจนาไฉนสะดุ้ง เดินไปเปิดประตู เจอปยงค์ยืนหน้ายักษ์อยู่ จันทร์เจ้ายืนอยู่หน้าจ๋อย ๆ
“ใครอนุญาตให้หล่อนพัก คุณปัทม์สั่งไว้แล้วนะ..ห้ามอยู่เฉย ๆ”
“ป้าจะให้ฉันทำอะไรล่ะจ๊ะ”
“ออกไปที่ครัว ใกล้เวลาอาหารของคุณปัทม์แล้ว”
“จ้ะ... เดี๋ยวฉันตามออกไป”
ปยงค์สวนทันที
“เดี๋ยวนี้ !”
รจนาไฉนถอนหายใจ เหมือนต้องการผ่อนอารมณ์เครียดภายในใจ เดินตามปยงค์ออกไปตามคำสั่ง
ภายในครัว เวลาเย็น ปยงค์ผัดกับข้าวอยู่หน้าเตา ปากก็พร่ำสั่งสอนรจนาไฉนที่กำลังล้างผักไม่หยุด จันทร์เจ้าเตรียมจานช้อนอยู่ใกล้ๆ มองปยงค์อย่างหมั่นไส้
“ทำกับข้าวเป็นรึเปล่า”
“เป็นจ้ะ”
“กับข้าวบ้าน ๆ พื้น ๆ กะโหลกกะลาไม่เอานะ ฉันทำอาหารชาววังให้ท่าน ๆ ทานกันทุกมื้อ”
“เหลือเททิ้งทุกวันล่ะเจ้า ไม่รู้ว่าท่าน ๆ ทนทานกันไปได้ยังไง” จันทร์เจ้าบอก
ปยงค์คว้าทัพพีเหวี่ยงใส่จันทร์เจ้าทันที
“พูดมากนะแก ออกไปจัดโต๊ะ !”
จันทร์เจ้าหน้าเสีย รีบยกจานช้อนออกไป
“ล้างผักเสร็จแล้ว แตงกวากับมะเขือเทศพวกนี้จะให้ทำอะไรจ๊ะ”
“เอาวางไว้บนหัวหล่อนมั้ง ! คิดว่าเค้าเอาแตงกวากับมะเขือเทศไว้ทำอะไรล่ะ มีหัวคิดบ้างมั้ยหา”
รจนาไฉนนิ่ง ๆ มองมะเขือเทศอย่างครุ่นคิด หันไปมองอีกทาง หยิบมีดแกะสลักออกมาจากเหนือตู้ สีหน้ามาดมั่น
เวลาเย็นใกล้ค่ำ จานกับข้าวมีมะเขือเทศ แตงกวาแกะสลักสวยงามอลังการงานสร้างประดับถูกวางบนโต๊ะ รจนาไฉนยืนอยู่ไกลๆ คอยรับคำสั่ง ปัทม์มองอย่างแปลกใจ ปัทม์ หยิบขึ้นมาดูแล้วพูดกับปยงค์“โอ้โฮ...วันนี้มีแกะสลักผักด้วยเหรอ สวยดีนี่...ปยงค์เก่งขึ้นนะ”
“แหม คนเราก็ต้องมีการพัฒนาบ้างล่ะค่ะคุณปัทม์ขา”
“ฝีมือของเพื่อนเค้าเจ้า… ไม่ใช่ฝีมือป้าปยงค์” จันทร์เจ้าบอก
“นังจันทร์เจ้า สาระแน!”
ปัทม์อึ้งไปวางช้อนทันที
“อ้าว… อิ่มแล้วเหรอคะคุณปัทม์ ยังไม่ได้ทานสักคำเลยนะคะ”
“กินไม่ลง ทีหลังไม่ต้องให้แม่คนนั้นมายุ่งกับสำรับอาหาร น่าขยะแขยง ดูสิ...แกะรูปอะไรมาก็ไม่รู้ ทุเรศ !”
ปัทม์หยิบมะเขือเทศมาเขวี้ยงลงพื้น รจนาไฉนเจ็บใจ ปยงค์กับจันทร์เจ้ามองหน้ากันเลิ่กลั่ก
“แต่เมื่อกี้คุณยังบอกว่าสวยอยู่เลย” จันทร์เจ้าว่า
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว... ใครอนุญาตให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามายุ่งกับสำรับอาหารของฉัน”
“ก็คุณปัทม์บอกให้ปยงค์หางานให้ทำ งานอะไรก็ได้ ขอแค่อย่าอยู่เฉย ๆ”
“ก็ให้ทำงานอื่นสิ”
“งานอะไรล่ะคะ นี่มันก็เย็นใกล้ค่ำแล้ว”
“เยอะแยะ โน่น... ม้ามีอยู่ทั้งคอก !”
รจนาไฉนสะดุ้ง
ภายในคอกม้า รจนาไฉนถือกระป๋องและอุปกรณ์ทำความสะอาดม้า ยืนมองม้าหลายตัวอย่างหนักใจ
“คนใจยักษ์! ใจคอทำด้วยอะไร ไม่มีความเมตตา”
รจนาไฉนตัดสินใจลงมือทันที เธอเดินไปเอากระป๋องไปที่ม้า และกำลังจะทำความสะอาด ท่าทางดูไม่ค่อยคล่อง พอม้าขยับตัวทีหนึ่ง เธอก็สะดุ้งทีหนึ่ง ด้วยความที่ไม่คุ้นเคย ชิกับจันทร์เจ้าแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่ง อย่างสงสารรจนาไฉน
“สงสารเพื่อนจัง ทำไมนายใจร้ายใช้งานหนักอย่างนี้ล่ะพี่ชิ แต่ก่อนไม่เคยเห็นเป็นแบบนี้เลย”
“อย่าถามเลย บอกได้คำเดียว... เวรกรรม”
“เราไปช่วยเพื่อนดีกว่า จะได้เสร็จเร็ว ๆ ไม่งั้นคืนนี้ไม่ได้นอนแน่”
“อย่ายุ่ง ยุ่งดี๋ยวจะโดนจัดหนักจัดเต็ม ชิเจอมาแล้ว”
“นายไม่รู้หรอก”
จันทร์เจ้าออกตัวจะวิ่งไปช่วยรจนาไฉน
“จะทำอะไรจันทร์เจ้า”
จันทร์เจ้าเบรกเอี๊ยด หันมาหน้าจ๋อย ๆ ปัทม์ยืนหน้าเข้มอยู่
“คือ จันทร์เจ้าจะไปช่วยเพื่อน”
“ดี...มีน้ำใจดี”
จันทร์เจ้ายิ้ม หันไปทำหน้าบอกแล้วไม่เชื่อกับชิ ถลาจะออกไปช่วยรจนาไฉน
“พอช่วยเสร็จแล้ว เดินเลยไปที่สำนักงานไร่... เขียนใบลาออกซะด้วยนะ”
จันทร์เจ้าสะดุ้งโหยง ชิดึงตัวกลับมา
“เตือนแล้วว่าอย่าไปยุ่ง”
“แต่ถ้าเปลี่ยนใจก็ไปหาอย่างอื่นทำ ไปแสดงน้ำใจกับคนอื่นก็ได้...ฉันอนุญาต”
จันทร์เจ้าและชิรีบพากันออกไป ปัทม์เดินมามองรจนาไฉนที่กำลังดูงง ๆ อยู่ที่กลุ่มม้าหลายตัว ปัทม์ยิ้มสะใจ ม้าตัวหนึ่งส่งเสียงร้องลั่นยกขาหน้าสะบัด รจนาไฉนตกใจร้องลั่นกระป๋องตกลงพื้น
“ว้าย...”
ปัทม์ยิ้มหัวเราะชอบใจที่แกล้งรจนาไฉนได้
ไร่ปัทมกุลในบรรยากาศยามเช้าสวยงามมาก รจนาไฉนลืมตาตื่นเพราะเสียงเคาะประตู
“นี่หล่อน ! ตะวันโด่งแล้วนะยะ ตื่นได้แล้ว”
รจนาไฉนจะลุกขึ้น แต่ปวดเมื่อยเนื้อตัวไปหมด เสียงเคาะประตูของปยงค์ยังดังไม่เลิก
“ตื่นแล้วค่ะ ตื่นแล้ว”
รจนาไฉนพยายามยันตัวให้ลุกขึ้น แล้วก็เกิดซวนเซ รู้สึกปวดหัว แต่พยายามกลั้นใจ ลุกขึ้นเดิน
รจนาไฉนแต่งตัวเป็นคนงานเก็บใบชาแบกก๋วยเดินมากับปยงค์และชิ ท่ามกลางคนงานที่กำลังเดินเป็นแถวเป็นแนว
อีกมุมหนึ่ง ปัทม์อยู่บนหลังม้ากำลังจ้องแอบมองพฤติกรรมโดยเธอไม่รู้ตัว ปยงค์หยุดเดินแล้วหันมาสั่งรจนาไฉนกับชิ
“นายให้หล่อนไปเก็บใบชา ไอ้ชิจะไปสอนให้”
รจนาไฉนรู้สึกวิงเวียน
“จ้ะ”
ชิสังเกตเห็นว่า รจนาไฉนอาการไม่ดี
“ไหวหรือเปล่าครับ เหมือนจะไม่สบายนะ”
“ไหวจ้ะ”
รจนาไฉนเซ ล้มลงกับพื้น ทั้งปยงค์และชิต่างตกใจ
“ว้าย /เฮ้ย”
ปัทม์หน้าเสียอยู่บนหลังม้าเมื่อเห็นอาการรจนาไฉน รีบโดดลงมาจากหลังม้าตรงเข้ามาหาทันที เพราะลึกๆแล้ว ปัทม์เป็นห่วงรจนาไฉนและแอบชอบโดยไม่รู้ตัว แต่ปากแข็งทำเป็นจะแกล้ง ทั้งที่แอบดูและเฝ้าระวังอยู่อย่างใกล้ชิด ชิจะเข้าไปประคองรจนาไฉน แต่ปัทม์เข้ามาประคองไว้ก่อน รจนาไฉนท่าทางอ่อนแรงมาก เมื่อเธอเห็นว่า ปัทม์เข้ามาประคองก็สะบัดถือตัว
ปัทม์ชะงักรู้สึกตัวว่ายังต้องแสดงบทเหี้ยมก็ปล่อยมือ
“ล้มเองก็ลุกเอง ! อย่าสำออยให้คนอื่นช่วย ถ้าไม่ไหว... อยากกลับบ้าน ฉันจะให้ชิขับรถไปส่งขึ้นรถทัวร์”
รจนาไฉนฮึด
“ไม่ ฉันไม่กลับ!”
รจนาไฉนพยายามยันตัวเองขึ้นมาจนได้ ชิ ปยงค์มองอย่างลุ้น
“งั้นก็รีบเดินไปเร็ว ๆ งานเริ่มเจ็ดโมงเช้า ใครมาสายต้องถูกหักเงิน !”
พูดจบปัทม์ก็เดินไปขึ้นม้า กระตุกม้าให้วิ่งออกไป รจนาไฉนตัดสินใจก้าวเดินต่อไป
ปยงค์ พูดกับชิ
“ปกติไม่เคี่ยวอย่างนี้นา คนงานไม่สบายก็สั่งให้ไปพัก แกว่าแปลก ๆ มั้ย”
“ไม่แปลกหรอก แกยังไม่รู้อะไร”
ชิรีบออกเดินไป ปยงค์สงสัยแต่ไม่ติดใจอะไร รีบเดินตามชิไป
รจนาไฉนเก็บใบชาใส่ก๋วยบนหลังท่ามกลางแดด เช็ดเหงื่อ พยายามอดทนต่อไป ปัทม์อยู่บนหลังม้ามองมาที่เธอทุกฝีก้าว เมื่อเธอเหลือบมองปัทม์ เขาก็กันนห้ามองไปทางอื่นทันที รจนาไฉนพยายามทำตัวให้แข็งแรงเก็บใบชาต่อไป ปัทม์หันกลับมามอง และยิ้มอย่างสะใจ
เพิงพักในมุมหนึ่ง รจนาไฉนต่อคิวร่วมกับคนงานอื่น ๆ เพื่อตักน้ำกิน เธอรู้สึกปวดหัวมากขึ้น เธอเลื่อนคิวจนมาถึงกระติกน้ำ มือหนึ่งถือแก้วน้ำส่งให้ เธอแปลกใจ เงยหน้ามองคนที่ส่งน้ำให้ พ่อเลี้ยงพูนทวียิ้มหวานส่งน้ำให้
“น้ำจ้ะ”
รจนาไฉนดีใจ
“เธอนั่นเอง”
มุมหนึ่งในไร่ชา รจนาไฉนคุยกับพ่อเลี้ยง เธอยังเข้าใจว่าพ่อเลี้ยงเป็นชาวเขา
“ดีใจจังได้เจอเธออีก”
“ผมก็ดีใจได้เจอคุณอีกไ
“ทำงานกับพ่อเลี้ยงมานานหรือยัง”
“โอ๊ย...นาน นานมาก ตั้งแต่เด็ก ๆ เลย”
“ทนทำงานอยู่กับคนใจดำแบบนั้นได้ยังไง”
“อ้าว... ทำไมพูดงั้นล่ะ ไอ้ปัทม์มัน...” พูนทวีนึกขึ้นได้ว่าหลุด รีบกลับลำ
“อ๋อ...เค้าก็...ดีนะ”
“แน่ใจเหรอว่าดี นี่คงกลัวมากจนไม่กล้าบอกความจริงกับฉันใช่มั้ย”
“ผมพูดจริง ๆ เขาดีจริง ๆนะ”
คนงานที่พักอยู่แถว ๆ นั่นลุกขึ้นจะไปทำงานกันต่อ รจนาไฉนถอนใจ
“ฉันต้องไปทำงานต่อแล้ว ขอบใจนะจ๊ะ ที่ช่วยตักน้ำให้ฉัน”
“ไม่เป็นไร ผมเต็มใจ”
รจนาไฉนลุกขึ้นยืน แล้วก็รู้สึกหน้ามืด วูบ ล้มลง
พูนทวีตกใจ รีบเข้าไปประคอง
“เธอ เธอ! เป็นอะไร!”
ปัทม์ปราดเข้ามาประคองรจนาไฉนแทนพูนทวีและรีบอุ้มเดินออกไปเลย
พูนทวีตกใจแกมงุนงงที่ปัทม์เข้ามาทันท่วงที และรีบตามปัทม์ออกไป
อ่านต่อตอนที่ 3