มัจจุราชสีน้ำผึ้งตอนที่ 1
บนดอยกว้างใหญ่ใต้แผ่นฟ้าสีครามแห่งนี้ เป็นที่ตั้งของไร่ชาปัทมสกุล ไร่ชาแห่งนี้ปลูกชาเป็นขั้นบันไดลดหลั่นกันไปอย่างสวยงาม แลเห็นกลุ่มชาวเขากำลังเด็ดใบชา อันเป็นกิจวัตรประจำวันที่ทุกคนทำงานด้วยกันอย่างมีความสุข
ครู่ต่อมาบรรดาคนงานชาวเขาได้ยินเสียงฝีเท้าม้าถูกควบมาแต่ไกลก็หันไปมอง “ปัทม์ ปัทมสกุล” ดูบึกบึนสมชายชาตรี กำลังควบม้าอย่างสง่างามมุ่งตรงไปยังที่ใดที่หนึ่งด้วยความเร็ว
หน่อเอ ชาวเขาซึ่งแบกก๋วย ตะกร้าใส่ใบชา เดินนำลูกน้องอีก 4 - 5 คน กำลังเร่งรีบไปยังจุดหมาย
“เร็วๆ สิวะ ลูกน้องพ่อเลี้ยงกำลังรอรับของอยู่ ขืนไปช้าได้ตายกันหมด”
หน่อเอเร่งลูกน้องแล้วรีบเดินต่อไป แต่แล้ว....ปัทม์ก็ขี่ม้าเข้ามาขวางทาง
“คุณปัทม์”
ปัทม์จ้องมองหน้าหน่อที่กำลังตกใจ เขารีบหันหลังกลับจะหนีไปอีกทาง แต่แล้ว...ชินำลูกน้องของปัทม์ 4-5 คนขี่ม้าเข้ามาล้อมรอบพวกหน่อเอไว้ เขาตกใจมาก...
“จะหนีไปไหนล่ะหน่อเอ”
“พวกเราไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่จำเป็นต้องหนีใคร พวกคุณมาขวางทำไม พวกเราจะรีบเอาใบชาไปขาย” หน่อเอบอก
หน่อเอจะเดินออกไปจากวงล้อม แต่ปัทม์กระโดดลงจากหลังม้า เข้ามากระชากก๋วยใส่ใบชาออกจากหลังหน่อเอ หน่อเอไม่ยอมให้เอาไป
“จะทำอะไร นี่เป็นชาของพวกเรา พวกเราไม่ได้ขโมยชาของไร่คุณมา”
“ฉันรู้ว่าพวกแกไม่ได้ขโมยชาจากไร่ฉัน แต่ฉันไม่เชื่อว่ามันมีแต่ใบชา” ปัทม์บอก
ปัทม์แย่งก๋วยมาได้แล้วเทใบชาลงพื้น... ก็เห็นก้อนยาบ้าหลายมัด ถูกซ่อนอยู่ในใบชา หน่อเอและพวกหน้าเสียไปทันที ปัทม์ก้มหยิบก้อนมัดยาบ้าขึ้นมา
“ชาของพวกแกแปรรูปเป็นเม็ดใส่สีน่ากินมาก ชาอัดเม็ดแบบนี้แหล่ะที่ตำรวจต้องการ”
หน่อเอและพวกใจเสียกลัวถูกจับได้
รถตำรวจประมาณ 3 คันแล่นบนถนนเส้นทางสู่ดอย เพื่อพุ่งตรงไปยังจะแหล่งนัดพบซื้อขายยา
ตำรวจวอบอกรถคันหลัง
“ใกล้เขตนัดซื้อยาแล้ว ให้ทุกคนระวังตัวด้วย”
หลังจากวอบอกแล้วก็มองทางข้างหน้าด้วยความระมัดระวัง
ชายคนหนึ่งซึ่งส่องกล้องดูความเคลื่อนไหวของตำรวจ รีบโทรศัพท์ทันที
พ่อเลี้ยงเจงกำลังคุยโทรศัพท์กับศักดิ์
“อะไรนะ ตำรวจรู้เรื่องนี้ ส่งกำลังมาสกัดจับ ถ้าอย่างนั้นก็สอนให้พวกมันรู้ว่ากำลังเล่นกับใคร จัดการล้อมถล่มมันอย่าให้เหลือซาก..ส่งพวกมันไปลงนรก!”
พ่อเลี้ยงเจงสีหน้าเหี้ยมสั่งเสร็จแล้วปิดสาย
“ไม่มีใครขวางทางพ่อเลี้ยงเจงได้!”
มุมดอยแห่งหนึ่ง ปัทม์เดินเข้าไปคุยกับหน่อเอ
“ตำรวจกำลังบุกมาที่นี่ ฉันไม่อยากเห็นพวกแกหมดอนาคต คนเราหลงผิดกันได้ ทำลายยานั่นซะแล้วกลับตัวใหม่”
หน่อเอแสดงทีท่าเหมือนจะยอม แต่แล้วกลับควักปืนออกมาขู่ ปัทม์ตกใจ ชิและลูกน้องปัทม์จะชักปืนมาช่วย แต่พวกหน่อเอควักปืนออกมาขู่ไว้ พวกชิทำอะไรไม่ได้
หน่อเอพูดเย้ยอย่างผู้ชนะ
“คิดว่าแกเป็นใคร เป็นเจ้าของไร่ชาที่ใหญ่ที่สุด เป็นเจ้าชีวิตคนงานเกือบร้อย แต่อย่าหวังเลยว่าคนอย่างหน่อเอจะยอมก้มหัวให้กับคนเมืองที่คิดมาเอาเปรียบพวกเรา”
ปัทม์ฉวยจังหวะที่หน่อเอเผลอ เตะปืนของหน่อเอจนกระเด็นออกไป พวกชิได้ทีหาจังหวะเข้าล็อกตัวลูกน้องหน่อเอไว้ หน่อเอจะวิ่งไปหยิบปืน แต่ปัทม์เข้ามาเตะหน่อเอกระเด็นออกไป
ปัทม์หยิบปืนขึ้นมา เล็งไปที่หน่อเอที่ชักเริ่มกลัวตาย ปัทม์ลดปืนลงด้วยมาดเท่ แล้วก้มลงวางปืนไว้กับพื้น ท่ามกลางความมึนงงของหน่อเอ
“ลุกขึ้นมาสู้กับฉัน ! ถ้าแกชนะ ฉันจะปล่อยให้พวกแกเลือกชีวิตตัวเอง”
ปัทม์จ้องหน้าเอาเรื่องแล้วพูดต่อ
“แต่ถ้าแกแพ้ แกต้องใช้ชีวิตตามที่ฉันเลือก!”
หน่อเอลุกขึ้นมาต่อยปัทม์ที่หลบหลีก หน่อเอเก่งมวยเล่นงานปัทม์ได้หลายหมัด จนปัทม์ล้มลง ลูกน้องปัทม์จะเข้าไปช่วย แต่ชิห้ามไว้
“ไม่ต้อง!”
ปัทม์ลุกขึ้นมาเช็ดเลือดที่ริมฝีปากแล้วเข้ามาต่อยกับหน่อเอ ปัทม์ตั้งสติและระวังตัวมากขึ้น ต่อย เตะ
จนสามารถต่อยหน่อเอล้มไปนอนหมอบกับพื้น หน่อเอลุกไม่ไหว
พวกชิดีใจที่ปัทม์เอาชนะหน่อเอได้
ปัทม์เดินยิ้มอย่างอารีเข้าไปหาหน่อเอ แต่กระชากคอเสื้อหน่อเอให้ลุกขึ้นมาและพูดตะคอก
“ต่อไปนี้ฉันจะเป็นเจ้าชีวิตพวกแก เลิกค้ายาบ้าซะ แกต้องไปทำงานที่ไร่ฉันโดยไม่มีค่าจ้าง!”
หน่อเอมองหน้าปัทม์อย่างไม่พอใจนัก ปัทม์กระชากหน่อเอกระเด็นออกไป พวกลูกน้องหน่อเอเข้ามารับหน่อเอไว้
“เอาก๋วยทิ้งไว้ที่นี่ แล้วพรุ่งนี้ไปหาฉันที่ไร่”
ลูกน้องไม่พอใจไม่อยากจะให้ก๋วย เพราะเสียดายยาบ้า หน่อเอหันไปตะคอกลูกน้อง
“ทิ้งก๋วยไว้ที่นี่!”
ลูกน้องทุกคนยอมทิ้งก๋วยไว้ หน่อเอเดินนำออกไปด้วยสีหน้าไม่พอใจและคิดฝืนคำสั่งปัทม์
ปัทม์ตะโกนขู่บอก
“พวกแกก็รู้ ใครที่ผิดคำสัญญากับฉัน ผลจะเป็นยังไง”
หน่อเอหยุดกึกด้วยความเจ็บใจ ก่อนเดินออกไปด้วยความโกรธ ลูกน้องตามไป ชิเดินเข้ามาหยิบยาบ้า
“นาย....เราจะทำยังไงกับยาบ้าพวกนี้”
“เผาทิ้ง อย่าให้ตำรวจรู้ว่าพวกหน่อเอรับจ้างขนยา”
“นายไปช่วยมันไว้ทำไม คิดค้ายาทำลายประเทศชาติอย่างนี้น่าจะปล่อยให้ไปตายในคุกซะให้เข็ด”
“พวกมันเป็นแค่เหยื่อถูกพวกนายทุนหลอกให้ทำแบบนี้ ฉันเชื่อว่าจิตใจพวกมันรักดี ฉันต้องทำให้พวกมันกลับมารักชีวิตรักแผ่นดินให้ได้”
ปัทม์สั่งชิ
“จัดการให้เรียบร้อย ฉันจะกลับไปที่ไร่”
“ครับนาย”
ปัทม์เป่าปากม้าวิ่งเข้ามาหา ชายหนุ่มกระโดดขึ้นบนหลังม้าแล้วควบม้าออกไป ปัทม์ควบม้าผ่านทุ่งหญ้าบนดอยสูงอย่างชำนิชำนาญท่วงท่าสง่างาม
วันเดียวกัน เวลากลางวัน รจนาไฉน วิชนี โผล่ออกมาจากทุ่งดอกไม้กว้างใหญ่ เธอเพิ่งทำมงกุฎดอกไม้เสร็จ และเอามงกุฎมาสวม ทำพิธีให้ตัวเองเป็นเจ้าหญิง
“ต่อไปนี้ ข้าจะขอแต่งตั้งให้สาวงามที่ชื่อรจนาไฉนผู้นี้เป็นเจ้าหญิงดอกไม้”
รจนาไฉนถอนสายบัว แล้วเอามงกุฎดอกไม้มาสวมให้กับตัวเอง เธอดีใจที่ได้สวมบทบาทเป็นเจ้าหญิง วิ่งผ่านทุ่งดอกไม้ด้วยความสุขใจ
รจนาไฉนถือช่อดอกไม้ วิ่งผ่านทุ่งดอกไม้มุมหนึ่ง แต่แล้วมีมือมาปิดตาเธอ
“ทายสิครับว่าใคร?”
รจนาไฉนยิ้มบอก
“คุณปวุฒิค่ะ”
“ไม่ใช่ ตอบผิดอีกครั้ง คุณโดนจูบนะ”
“พันตำรวจโทปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะ”
“ผิดครับ”
ปวุฒิจับรจนาไฉนหันหน้ามา แล้วจะจูบ แต่เธอกันไว้
“ต้องเฉลยมาก่อน ว่าคุณเป็นใคร”
“ผมเป็นเจ้าชายที่จะมารับเจ้าหญิง ไปครองคู่ด้วยกันที่ปราสาทแสนสวย”
ปวุฒิหยิบสร้อยพร้อมจี้รูปหัวใจออกมา แล้วสวมให้รจนาไฉน
“คุณคือดวงใจของผมนะ”
เธอซาบซึ้งใจ
“ค่ะ...”
“คราวนี้ถึงเวลาลงโทษคนที่ตอบผิดแล้วนะ”
ปวุฒิยื่นหน้าจะเข้ามาจูบเธอ แต่แล้ว เสียงวอดังขึ้น รายงานข่าวตำรวจถูกกลุ่มค้ายาโจมตี ปวุฒิตกใจ หันไปมองรจนาไฉน
เสียงจากวอ เรียกกำลังเสริมด่วน ปวุฒิอยากไปช่วยเหลือ แต่เกรงใจรจนาไฉน เธอเข้าใจความรู้สึกของเขาดีที่รักหน้าที่ยิ่งกว่ายิ่งใด
“ไปเถอะค่ะ พวกเขากำลังต้องการความช่วยเหลือ”
“คุณเป็นผู้หญิงคนเดียวที่เข้าใจผมมากที่สุด ขอบคุณนะ”
“ฉันเข้าใจค่ะว่าหน้าที่ต้องมาก่อน”
“จุดโจมตีไม่ห่างจากรีสอร์ตเท่าไหร่ ผมจะแวะส่งคุณที่รีสอร์ตก่อน
“ค่ะ”
ปวุฒิพาเธอเดินออกจากทุ่งดอกไม้
เวลาต่อเนื่องมา ปัทม์ ปัทมกุลกำลังควบม้ากลับไปไร่ แต่ได้ยินเสียงไซเรนจากรถตำรวจ เขาชะลอความเร็วจากการควบม้า...จนม้าหยุด รถตำรวจสวนมาหยุดทันทีเมื่อเจอปัทม์
“เกิดอะไรขึ้นครับจ่า”
“ตำรวจปปส.บุกจับพวกค้ายาบนดอย แต่พวกมันสู้ล้อมตำรวจไว้ พวกเรากำลังไปเสริมกำลัง...ผมไปก่อนนะ”
จ่าขับรถออกไปทันที ปัทม์คิดตัดสินใจบังคับม้าให้เลี้ยวกลับ เขาควบม้าวิ่งตามไปทางเดียวกับรถตำรวจ
ถนนเส้นทางระหว่างภูเขา ปวุฒิขับรถ เขาเพิ่งคุยวอกับทางตำรวจเสร็จ หันมาบอกรจนาไฉน
“มีหน่วยกำลังเสริมผ่านมาทางนี้ เดี๋ยวผมจะติดรถไปกับตำรวจในพื้นที่ คุณขับรถกลับรีสอร์ตไปก่อนนะครับ”
“ได้ค่ะ”
เขาส่งสายตาเป็นห่วงเธอ
“ไม่ต้องเป็นห่วงเพื่อนหรอกค่ะ เพื่อนดูแลตัวเองได้ เป็นแฟนตำรวจไทยก็ต้องเข้มแข็งเหมือนกันน่า”
ปวุฒิยิ้มดีใจที่รจนาไฉนเข้าใจ
รถตำรวจวิ่งผ่านมา ปวุฒิลงจากรถจะไปยังรถตำรวจ เขาหยิบบัตรตำรวจที่คล้องคอออกมาแสดงตัว
“ผมพันตำรวจโท ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะ”
“เชิญครับสารวัตร” จ่าตำรวจนายหนึ่งบอก
รจนาไฉนเข้าไปจับมือปวุฒิ
“ระวังตัวด้วยนะคะ”
“เจ้าชายจะกลับมาหาเจ้าหญิงครับ”
ปวุฒิยิ้มให้รจนาไฉน แล้วขึ้นรถตำรวจออกไป เธอยืนส่งจนร่างเขาหายลับตาไป
รจนาไฉนกลับมาขึ้นรถ ยังคงเป็นห่วงปวุฒิ เธอยกมือไหว้ ภาวนาให้เขาปลอดภัย
“ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองคุณปวุฒิให้ปลอดภัยด้วยเถอะค่ะ”
รจนาไฉนจิตใจเลื่อนลอยเป็นห่วงปวุฒิ เหม่อออกนอก ขับรถอย่างเร็ว ไม่ทันเห็นปัทม์ควบม้ามาอยู่ด้านข้างรถ รถของเธอปาดหน้าม้า ปัทม์พยายามบังคับม้า ม้าตกใจยกขาหน้าร้องลั่น ! ปัทม์ตกลงจากหลังม้าทันที รจนาไฉนตกใจ รีบเบรกทันที หันมองกระจกข้างเห็นปัทม์นอนนิ่งก็ตกใจ
“ตายรึเปล่า”
ปัทม์นอนนิ่ง รจนาไฉนเดินเข้ามาด้วยความกลัวและตกใจมาก
“คุณอย่าเป็นอะไรนะ อย่าตายนะ”
ปัทม์รู้สึกตัวลุกขึ้นหันไปมองหน้า ยิ่งรู้ว่า เป็นผู้หญิงขับรถก็ยิ่งโกรธ
“ขับรถประสาอะไรของคุณ ขับรถเป็นรึเปล่า”
“ฉันขอโทษ ฉันไม่ได้ตั้งใจ”
“ไม่ต้องมาขอโทษ ผู้หญิงขับรถห่วยทุกคน”
รจนาไฉนไม่พอใจนักที่ถูกดูถูก แต่เก็บอาการ
“คุณเป็นยังไงบ้าง จะให้ฉันทำไงล่ะ ฉันยินดีรับผิดชอบทุกอย่าง”
ปัทม์ไม่สนใจฟังเดินตรงไปที่รถของเธอ รจนาไฉนแปลกใจ
“คุณ...คุณจะทำอะไร”
ปัทม์จะเดินขึ้นไปนั่งที่ตำแหน่งคนขับ รจนาไฉนตกใจเข้ามาผลักออก
“นี่คุณ คุณจะขึ้นรถฉันทำไม”
“ผมมีเรื่องด่วน ขอยืมรถก่อน” ปัทม์จะเข้าไปนั่งที่คนขับ
“ถามฉันสักคำรึยังว่าจะให้ยืมรึเปล่า รึว่านายเป็นโจร”
ปัทม์ไม่พอใจ เหลือบไปเห็นมงกุฎดอกไม้บนหัวรจนาไฉน
“ถ้าผมเป็นโจรคุณก็คงเป็นยายบ้า”
ปัทม์หยิบมงกุฎดอกไม้บนหัวรจนาไฉนโยนทิ้ง เธอยิ่งไม่พอใจ ยิ่งคิดว่าคนกักขฬะแบบนี้คงเป็นโจร
“แกจะขโมยรถฉันใช่มั้ย ฉันไม่โง่หรอก ดูหน้าก็รู้ว่าเป็นโจร”
ปัทม์สีหน้ารำคาญ
“อย่าพูดมากได้ไหม บอกว่ารีบ”
ปัทม์จะเข้าไปนั่งในรถ แต่เธอไม่ยอม คว้าเอาช่อดอกไม้ใกล้มือมาฟาดใส่ปัทม์
“ออกไปนะ !! แกต้องตายๆๆ”
ปัทม์ยืนนิ่งมองรจนาไฉนเอาดอกไม้มาฟาด ประมาณว่า ยายนี่บ้ารึเปล่าที่คิดฆ่าเขาด้วยช่อดอกไม้ เธอฟาดจนช่อดอกไม้ร่วงหมด ปัทม์จับรจนาไฉนลากไปฝั่งที่นั่งด้านข้าง
“แกจะทำอะไร! จะข่มขืนฉัน ช่วยด้วย!”
รจนาไฉนร้องโวยวายทุบตีปัทม์ เขาเอามือปิดปากแล้วลากเธอมานั่งในรถและตะคอกเสียงดัง
“หุบปาก!”
รจนาไฉนตกใจกลัวมาก นั่งนิ่งด้วยความกลัว
“ถ้ากลัวรถหายก็นั่งไปด้วยกัน”
ปัทม์รีบวิ่งมานั่งด้านคนขับ...รจนาไฉนดูท่าทียังไม่ไว้ใจ เขาขับรถกระชากออกไปด้วยความเร็วจนเธอผงะ เกือบกระแทกกับคอนโซลหน้า
“ว้าย!”
ปัทม์ขับรถด้วยความเร็วมายังมุมหนึ่งข้างป่า รจนาไฉนมองเขาอย่างไม่ไว้ใจพร้อมบ่นตลอดเวลา
“นายจะพาฉันไปไหน เอางี้...ถ้าแกอยากยืมรถ ไปส่งฉันที่รีสอร์ตก่อน แล้วฉันให้นายยืมรถ โอเคมั้ย”
ปัทม์ไม่ตอบ แต่ยังขับรถต่อไป
“เอางี้...นายจอดส่งฉันข้างทางก็ได้ ฉันไม่หวงรถแล้ว....ฉันไว้ใจนาย”
ปัทม์ไม่ตอบอีกเพราะเร่งรีบมาก....เขาเลี้ยวเข้าทางถนนลูกรัง รจนาไฉนเริ่มตกใจกลัว
“นายไปไหน จะพาฉันไปเรียกค่าไถ่เหรอ ฉันไม่มีเงินติดตัวหรอก ฉันมาจากกรุงเทพ มาเที่ยว... ไม่ใช่คนที่นี่ ไม่ใช่ลูกคนรวย”
ปัทม์ไม่ตอบขับรถต่อไป...
รจนาไฉนเห็นว่าท่าทางจะหว่านล้อมไม่สำเร็จ จึงให้แผนขู่
“ปล่อยฉันลงนะ แฟนฉันเป็นตำรวจ เป็นถึงสารวัตร ตระกูลเค้าเป็นตำรวจใหญ่ ใครๆก็รู้จัก เคยได้ยินตระกูล ไตรพงษ์รัชตะมั้ยล่ะ”
ปัทม์หันมามองรจนาไฉน เธอคิดว่าปัทม์กลัว
“ถ้ากลัวถูกจับก็ปล่อยฉันซะ”
ปัทม์กลับตะคอก
“หุบปากได้แล้ว”
“ฉันพูดจริงๆนะ แฟนฉันเป็นตำรวจ แฟนฉันไม่ปล่อยแกไว้”
รจนาไฉนพูดไม่ทันจบ ก็มีกระสุนปืนยิงมาถูกกระจกหน้ารถ รจนาไฉนตกใจ ปัทม์หักรถหลบทันที เขารีบหยิบปืนจากเอวแล้วลงจากรถจะวิ่งเข้าไปในป่า รจนาไฉนนั่งอยู่คนเดียวตกใจร้องเสียงหลง
“ช่วยฉันด้วย!”
กระสุนพุ่งตรงมาที่รถอีก รจนาไฉนตกใจหลบ ปัทม์เป็นห่วงจึงวิ่งกลับมาลากเธอลงจากรถ ฉุดพาเธอมาหลบหลังต้นไม้เพื่อหนีกระสุน
ปัทม์ยิงสวนทำให้ลูกน้องพ่อเลี้ยงตายหนึ่งคน
“พวกเขายิงเราทำไม พวกเขาจะปล้นเราเหรอ”
“พวกค้ายายิงปะทะต่อสู้ตำรวจ คงคิดว่าพวกเราเป็นตำรวจ หลบอยู่ตรงนี้ห้ามออกไปไหน”
ปัทม์ตะคอกถามเพื่อความแน่ใจ
“เข้าใจมั้ย!”
“ค่ะ” รจนาไฉนรับปากสีหน้าหวาดกลัวมาก
ปัทม์วิ่งเข้าไปในจุดที่มีการยิงปะทะกัน รจนาไฉนหลบหลังต้นไม้ด้วยความกลัวแล้วนึกเป็นห่วงปวุฒิ
“คุณปวุฒิ”
มุมหนึ่งบนดอย ตำรวจยิงต่อสู้กับพวกสมุนพ่อเลี้ยงเจง เหล่าสมุนล้อมยิงใส่พวกตำรวจเป็นพัลวัน ตำรวจเป็นฝ่ายเสียเปรียบ พวกสมุนพ่อเลี้ยงเจงคนหนึ่งจะยิงตำรวจ แต่ พ.ต.ท. ปวุฒิ ที่ได้ชื่อว่า เป็นนายตำรวจนักแม่นปืนก็เข้ามายิงดักจนสมุนล้มลง เขาเล็งและยิงสมุนอีกคนตายในทันที ศักดิ์เห็นท่าไม่ดี เพราะปวุฒิและตำรวจอื่นเข้ามาเสริม จึงส่งสัญญาณให้ลูกน้องถอยร่น
ปวุฒิไม่ยอมปล่อยให้ผู้ร้ายหนีไป วิ่งตามสมุนพ่อเลี้ยงเจงไป
อีกมุมหนึ่งบนดอย พวกสมุนวิ่งหนีถอยร่น ปวุฒิติดตามวิ่งไล่ยิง เขาชะล่าใจยืนจะเล็งปืนยิงสมุนพ่อเลี้ยงเจงอีกคน แต่คมโผล่มาด้านหลัง ยิงปืนใส่ปวุฒิทันที เขาโดนยิงเข้าที่ชายโครง ล้มลง คมเดินตรงเข้ามาหาปวุฒิ แล้วเล็งปืนมาที่เขาก่อนกระชากป้ายตำรวจที่ห้อยคอมาดู
“เป็นตำรวจกรุงเทพ แต่ทำอวดเก่งอยากแสดงผลงานรึไง...ได้ ข้าจะมอบรางวัลตำรวจดีเด่นให้”
คมเล็งปืนมาที่ปวุฒิหมายจะยิง เสียงปืนดังเปรี้ยง....ปวุฒิตกใจ!
มุมที่รจนาไฉนหลบหลังต้นไม้ สายสร้อยที่ปวุฒิมอบให้รจนาไฉนหลุดออกจากคอ เธอตกใจหยิบสร้อยขึ้นมา นึกเป็นห่วงเขา
“คุณปวุฒิ”
รจนาไฉนตัดสินใจวิ่งเข้าไปยังจุดปะทะทันที
มุมต่อสู้ คมถือปืนแล้วล้มลงตรงหน้าปวุฒิ เจ้าของเสียงปืนนัดนั้น ที่แท้...ปัทม์เป็นคนยิงคมช่วยชีวิตปวุฒิไว้ เขามองปัทม์อย่างรู้สึกขอบใจ สมุนพ่อเลี้ยงเจงอีกคนวิ่งเข้ามายิงปัทม์ แต่ถูกปัทม์ยิงสวนไปที่ขา ศักดิ์เข้ามายิงช่วยลูกน้อง ก็ชะงักถอยร่นหนี ปัทม์จะวิ่งตามไป.......แต่จ่าและตำรวจวิ่งเข้ามาพอดี
“คุณปัทม์ไม่ต้องตามครับ พวกผมจัดการเอง ผมฝากดูแลสารวัตรด้วย”
จ่าและตำรวจคนอื่นๆวิ่งตามไป ปวุฒิจะลุกขึ้นแต่เจ็บมาก เลือดไหลออกมา ปัทม์จะกลับไปดูปวุฒิ แต่รจนาไฉนวิ่งเข้ามาถึงตัวปวุฒิก่อน
“คุณปวุฒิ”
“คุณเพื่อน”
ปวุฒิหน้ามืดหมดสติไป รจนาไฉนร้องไห้เสียใจ
“คุณปวุฒิ คุณอย่าเป็นอะไรนะคะ เพื่อนไม่ยอมให้คุณทิ้งไปนะ”
ปัทม์ยืนมองดูรจนาไฉนร่ำไห้
“คุณปวุฒิสัญญากับเพื่อนแล้วไงคะ ว่าเจ้าชายจะกลับมารับเจ้าหญิง คุณปวุฒิจะปล่อยให้เจ้าหญิงอยู่คนเดียวไม่ได้นะคะ ลืมตาสิคะ เจ้าชายของเพื่อน”
ปัทม์มองดูด้วยความรำคาญ ตรงเข้ามาผลักเธอออก
“นายจะทำบ้าอะไรอีก”
ปัทม์ไม่ตอบ เข้ามาอุ้มปวุฒิออกไป
CUT /
ภายในโรงพยาบาลเชียงราย พ.ต.ท. ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะนอนหมดสติอยู่บนเตียง บุรุษพยาบาลเข็นรถนำเขาไปยังห้องฉุกเฉิน รจนาไฉนเดินตามด้วยความเป็นห่วง
“คุณปวุฒิคะ คุณมาถึงโรงพยาบาลแล้ว .คุณไม่เป็นอะไรแล้ว”
รถเข็นนำปวุฒิไป รจนาไฉนยังคงเดินตามรถ พร่ำเป็นห่วงเขาตลอดเวลา
“คุณปวุฒิไม่ต้องกลัวนะคะ เพื่อนจะอยู่เคียงข้างคุณ เพื่อนจะเป็นกำลังใจให้คุณ เจ้าหญิงคนนี้จะไม่ทิ้งคุณไปไหน”
ปัทม์ ปัทมกุลยืนมองรจนาไฉนที่ห่วงใยในตัวปวุฒิมาก พอจะเดาได้ว่า ทั้งสองเป็นแฟนกัน
จ่าเดินเข้ามาหาปัทม์
“คู่นี้ท่าจะรักกันมากนะครับ”
“เขาเป็นตำรวจเหรอ ผมไม่คุ้นหน้าเลย”
“สารวัตรปวุฒิไม่ได้ประจำที่นี่หรอก พาแฟนมาเที่ยว แต่พอรู้ข่าวก็อยากไปช่วย ตำรวจดีๆรักในหน้าที่อย่างนี้หายาก”
“ตกลงพวกที่ค้ายาเป็นพวกไหน”
“เบื้องต้นยังสาวไม่ถึงตัวการใหญ่ พวกที่ถูกยิงตายก็เป็นพวกต่างด้าว ไม่มีสัญชาติ”
“เมื่อไหร่พวกมันจะเลิกหากินกับคนด้อยโอกาสสักที” ปัทม์บอก
“ขอบคุณคุณปัทม์มาก ต้องมาบาดเจ็บไปด้วย ผมว่าคุณปัทม์ไปทำแผลก่อนเถอะ”
จ่าเห็นปัทม์มีรอยแผลถลอกจึงรีบพาไปทำแผล
ปัทม์หันไปมองรจนาไฉนยืนส่งปวุฒิที่หน้าห้องฉุกเฉินอีกครั้ง แววตาของเธอเต็มไปด้วยความกังวลใจ และห่วงใยปวุฒิมาก
ภายในบ้านพ่อเลี้ยงเจง ศักด์ลูกน้องมือขวารายงานเหตุการณ์ พ่อเลี้ยงเจงโกรธมาก
“ทำงานประสาอะไร ล้อมไว้แล้วแต่กลับเก็บพวกมันไม่ได้”
“มีกำลังเสริมมาสมทบ ไอ้พ่อเลี้ยงปัทม์มันไปช่วยด้วย” ศักดิ์บอก
“ไอ้ปัทม์อีกแล้ว ทำตัวเป็นพลเมืองดี แส่ไม่เข้าเรื่อง สักวันเถอะจะไม่ตายดี”
“แล้วจะให้ทำยังไงกับพวกที่โดนยิงครับ”
พ่อเลี้ยงหันไปมองลูกน้องที่ถูกยิงที่ขาจนได้รับบาดเจ็บ
“รีบพามันไปรักษาซะ”
ศักดิ์รู้ว่าควรทำยังไง เขาพาคนที่บาดเจ็บเดินออกไป
พ่อเลี้ยงยืนยิ้ม เสียงปืนดังเปรี้ยง!!
“ลูกน้องพ่อเลี้ยงเจง ต้องไม่มีคำว่าพลาด”
บริเวณหน้าห้องผู้ป่วย ปัทม์ ปัทมกุลทำแผลเสร็จ เขาเดินผ่านห้องที่ พ.ต.ท.ปวุฒิพักรักษาตัว เขาอยากรู้อาการของนายตำรวจหนุ่ม เมื่อมองเข้าไปในห้อง เห็นรจนาไฉนจับมือปวุฒิไว้แน่น
ภายในห้อง รจนาไฉนจับมือปวุฒิไว้ และร้องไห้ด้วยความเป็นห่วง
“คุณปวุฒิ...คุณรู้มั้ยว่าเพื่อนเป็นห่วงคุณมาก เพื่อนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าคำว่า รัก มันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน จนกระทั่งวันนี้ ณ เวลานี้ เพื่อนรู้ซึ้งแล้วว่าคำว่ารัก มีความหมายกับเพื่อนมากและมันเป็นยิ่งกว่าชีวิต”
ปัทม์มองเธอพร่ำพรรณนาความในใจ เห็นเธอเอามือลูบหน้าคนรัก
“คุณอย่าทิ้งเพื่อนไปนะคะ เพื่อนคงไม่มีชีวิตอยู่ได้ ถ้าไม่มีคุณ”
รจนาไฉนร้องไห้ฟูมฟาย
ปัทม์มองเธอแล้วรู้สึกสะเทือนใจในอก ไม่คิดเลยว่าคนเราจะรักกันมากได้ถึงเพียงนี้ เธอปาดน้ำตา พยายามทำใจให้เข้มแข็ง
“ตื่นสิคะ เพื่อนสัญญานะคะว่าต่อไปนี้เพื่อนจะไม่ขัดใจคุณอีก คุณจะให้เพื่อนทำอะไร เพื่อนจะยอมทุกอย่าง”
เธอเอาหน้ามาแนบกับมือของปวุฒิ
“สัญญาแล้วห้ามคืนคำนะครับ”
รจนาไฉนแปลกใจเงยหน้าเห็นปวุฒิยิ้มให้
“คุณฟื้นแล้ว”
“ผมไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่กระสุนถากที่ชายโครง”
“คุณใจร้าย แกล้งให้เพื่อนพูดเพ้อเจ้ออะไรก็ไม่รู้”
“ผมไม่รู้ล่ะ ผมถือว่าคุณสัญญากับผมแล้ว อย่างแรกเลย ผมขอร้องไม่ให้คุณเอาเรื่องนี้ไปบอกคุณพ่อคุณแม่คุณนะครับ”
“ทำไมละคะ”
“ผมกลัวท่านจะคิดว่าผมไม่เก่งพอจะดูแลลูกสาวของท่านได้”
“ค่ะ ฉันจะไม่บอกเรื่องนี้กับใคร”
“แล้วสิ่งที่ผมจะขอต่อไปก็คือ...”
นายตำรวจหนุ่มยิ้มหวาน มองหน้าเธอ
“ผมขอ...ให้คุณหอมแก้มผม”
รจนาไฉนก้มลงหอมปวุฒิ..
ปัทม์ยืนมองเห็นว่าทั้งสองรักกันมาก ปัทม์เดินออกไป
“ต่อไปก็ขอให้คุณ...”
“พอแล้วค่ะ...ขอพรได้วันละไม่เกินสองข้อเท่านั้น”
ปวุฒิยิ้มให้รจนาไฉน แล้วนึกถึงเหตุการณ์การต่อสู้
“เออ...แล้วคุณเจอคนที่ช่วยชีวิตผมไว้รึเปล่า”
“ใครคะ”
“ผมไม่รู้จักเขาหรอก แต่ถ้าไม่ได้เขา ผมก็คงไม่รอด ผมอยากขอบคุณเขา”
“ถ้ามีโอกาส เพื่อนจะถามให้นะคะ”
อ่านต่อหน้า 2
มัจจุราชสีน้ำผึ้งตอนที่ 1 (ต่อ)
ถนนที่พาดผ่านแนวเชิงเขาสลับซับซ้อนสวยงามด้วยธรรมชาติสร้าง ปัทม์ขับรถจะกลับไร่ชา เขายังคงคิดถึงคำพูดและภาพระหว่างรจนาไฉนกับ พ.ต.ท. ปวุฒิ
“คุณปวุฒิคะ คุณรู้มั้ยว่าเพื่อนเป็นห่วงคุณมากแค่ไหน เพื่อนไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่า คำว่ารักมันยิ่งใหญ่มากแค่ไหน”
ปัทม์ ปัทมกุลคิดถึงเรื่องราวในอดีตของตัวเอง
ในอดีต ภายในห้องนอน แสงจันทร์นอนซบและมองปัทม์ด้วยความรัก
“วันนี้...ฉันรู้แล้วว่าคำว่ารัก มีความหมายกับฉันมาก เพราะมันเป็นยิ่งกว่าชีวิต”
ลม้ายคำพูดของรจนาไฉนที่เขาได้ยิน
“คุณอย่าทิ้งเพื่อนไปนะคะ”
คำพูดของแสงจันทร์ที่พูดต่อปัทม์ในวันนั้น
“ฉันคงไม่มีชีวิตอยู่ได้ ถ้าไม่มีคุณ”
ภาพรจนาไฉนร้องไห้ฟูมฟายกับปวุฒิที่ปัทม์เห็น
ระหว่างที่ปัทม์ ปัทมกุลอยู่บนถนนที่จะกลับไร่ชา เขานึกถึงเรื่องราวของรจนาไฉน ก็แปลกใจความคิดตัวเอง จึงเบรกหยุดรถเอี๊ยด! เขาพูดขึ้นมาอย่างไม่สบอารมณ์
“ทำไมฉันต้องคิดถึงเธอด้วย ความรักน้ำเน่า!”
ปัทม์กลับมาเป็นคนเดิมที่ไม่แยแสต่อความรัก ขับรถออกไปด้วยความเร็ว...
บริเวณหน้าห้องพักผู้ป่วย รจนาไฉนเปิดประตูออกมาไม่เจอใคร เธอมองหาที่มุมหนึ่ง ตะโกนเรียก
“คุณคะ...”
จ่าเดินเข้ามาหารจนาไฉน
“มีอะไรเหรอครับ”
“คุณปวุฒิฟื้นแล้วค่ะ คุณปวุฒิอยากพบตำรวจที่ช่วยชีวิตเขาไว้”
“อ๋อ ไม่ใช่ตำรวจหรอกครับ เค้าเป็นพ่อเลี้ยง เจ้าของไร่ชาที่นี่” จ่าบอก
“แล้วเค้าอยู่ไหนคะ”
จ่ายิ้ม ๆ ให้เธออย่างเป็นมิตร
“กลับไปไร่แล้วล่ะครับ เห็นคนงานเอารถมาส่งให้ที่นี่เมื่อกี้”
“แล้วผู้ชายที่ช่วยแบกคุณปวุฒิมาส่งล่ะคะ”
“อ๋อ...คนเดียวกันแหละครับ”
“คนเดียวกัน”
บ้านปัทม์ที่อยู่ภายในไร่ชาปัทมกุล วิวทิวทัศน์สวยงาม เสียงเปรมตกใจดังเข้ามา ลำเพา วิชนี มาทวงสัญญาการแต่งงานจากคุณเปรม
“แต่งงาน !”
“คุณเปรมก็รู้ว่าดิฉันเป็นคนตรง ขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน คงจะจำได้ว่า สามีคุณเปรมเคยให้สัญญาว่าจะให้ลูกของเราแต่งงานกัน”
เปรมอึกอักเล็กน้อย
“จำได้ดีค่ะ แต่ฉันเป็นความห่วงความรู้สึกของเด็ก ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกสาวคุณลำเพา”
ลำเพาพูดข่มลูกสาว
“ลูกสาวดิฉันอยู่ในโอวาท แม่ว่ายังไงแกก็ว่าตาม แล้วดิฉันก็หวังว่าลูกชายคุณเปรมก็คงเป็นเหมือนกัน”
ปัทม์กำลังเดินจะกลับเข้ามาบ้าน แอบได้ยินการสนทนามาช่วงนึงแล้ว ชักสีหน้าไม่พอใจ
“พอร่ำรวยแล้ว... คุณเปรมคงไม่ลืมความยากลำบากแต่หนหลังนะคะ ยังจำได้อยู่ใช่มั้ยว่าใครยื่นมาเข้ามาช่วย จนทำให้ครอบครัวของคุณรอดพ้นจากหายนะมาได้... ไร่ปัทมกุลเกิดขึ้นมาได้เพราะใคร” ลำเพาว่า
เปรม ปัทมกุลมีสีหน้ากระอักกระอ่วนใจอย่างเห็นได้ชัด
“เราไม่เคยลืม แต่น่าจะให้เด็ก ๆ ได้ทำความรู้จักกันก่อนดีมั้ยคะ”
นพรัตน์ วิชนีสามีของลำเพาเห็นด้วยทันที เพราะลึกๆแล้ว เขามีความเกรงใจเปรมอยู่มาก
“ดีครับ”
ลำเพาสวนขึ้นทันที
“ไม่ดีค่ะ ดิฉันต้องการคำตอบวันนี้”
ปัทม์ไม่พอใจที่ลำเพาเอาแต่ใจ และข่มขู่แม่เขาตลอดเวลา
นพรัตน์พูดกับลำเพา
“คุณ... ไม่เร่งรัดคุณเปรมไปหน่อยเหรอ”
“เงียบ ๆ น่า...คนเราจะเจริญได้ท ถ้าไม่ลืมกำพืดตัวเอง เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ถ้าไม่ได้คุณนพรัตน์ยื่นมือเข้ามาช่วย ลำพังคุณกับลูกชายไม่มีทางก้าวมาจนถึงวันนี้ได้หรอก”
ปัทม์เลือดขึ้นหน้าที่เห็นลำเพาลำเลิกบุญคุณอย่างไร้มารยาท
“คุณเปรมคงไม่ติดขัดอะไรแล้ว ดิฉันขอเดินหน้าสู่ขั้นเรียกร้องสินสอดเลยก็แล้วกัน ดิฉันขอ 100 ล้าน”
“เอ้อ...”
ลำเพารวบรัดอีก
“ตกลงตามนี้นะคะ”
“ไม่ตกลงครับ !” เสียงปัทม์ดังสวนเข้ามาทันควัน
ลำเพาตกใจ หันไปเจอปัทม์เข้ามายืนกลางห้อง
“พ่อปัทม์ !”
“คุณแม่ครับ เรามีเรื่องต้องคุยกัน”
ปัทม์เข้ามาจูงมือเปรมออกไปต่อหน้าลำเพาโดยไม่รักษามารยาทใดๆ
มุมหนึ่งภายในบ้าน เปรม ปัทมกุลต่อว่าปัทม์ผู้เป็นลูกชาย
“ทำไมลูกเสียมารยาทกับคุณลำเพาคุณนพรัตน์อย่างนั้น”
“ผมให้เกียรติก็แต่เฉพาะคนที่ให้เกียรติคนอื่นเท่านั้นครับคุณแม่ แต่นี่อะไร...ข่มขู่เหมือนคุณแม่เป็นลูกจ้างในบ้าน บังคับให้ผมแต่งงาน เรียกสินสอดเป็นร้อยล้าน ขายลูกกินชัดๆ” ปัทม์ว่า
“ปัทม์ ลูกพูดอย่างนั้นไม่ได้นะ”
“รึไม่จริงครับแม่ ลูกสาวก็คงใช่ย่อย รู้ว่าเรามีธุรกิจใหญ่โต คงหิวเงิน หวังรวยทางลัด...ชีวิตจะได้อยู่สุขสบาย”
“เมื่อไหร่ลูกจะเลิกดูถูกผู้หญิงซะที”
“ผมเชื่อในสิ่งที่เห็น เชื่อในสิ่งที่เคยพบมาครับคุณแม่”
เปรมอึ้ง เพราะรู้ดีว่าปัทม์ยังเจ็บปวดกับความรักในอดีต
“ความรักมันไม่มีอยู่จริงหรอก มันเป็นแค่คำพูดสวยหรูที่ผู้หญิงเอาไว้หลอกผู้ชายโง่ ๆ เพื่อผลประโยชน์”
“ลูกปิดกั้นตัวเองมากเกินไป ลูกควรจะให้โอกาสตัวเองบ้าง เชื่อแม่เถอะ ลูกสาวคุณลำเพาอาจจะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่ลูกคิดก็ได้”
“พอเถอะครับแม่ มันเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะเกิดรักแท้จากการบังคับแต่งงาน”
“พ่อกับแม่ไง”
ปัทม์ชะงักนิดหนึ่งแล้วหันมามองเปรม
“เราแต่งงานกันโดยที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แต่ความรักและความเข้าใจทำให้ชีวิตเรามีความสุขได้ ผู้หญิงทุกคนไม่ได้เป็นอย่างที่ลูกคิดหรอก”
ปัทม์เถียงไม่ขึ้น แต่ไม่ยอมรับการแต่งงานแบบคลุมถุงชน
“ยังไงผมก็ไม่แต่งกับลูกสาวพวกหิวเงิน”
ปัทม์จะเดินหนีออกไปจากห้อง
“ทำเพื่อพ่อกับแม่ได้มั้ย”
ปัทม์หันมาเห็นเปรมสีหน้าเครียด แววตาคิดมาก น้ำตาคลอ ปัทม์เห็นแล้วตกใจเป็นห่วงแม่
“คุณแม่”
เปรมเดินมาที่กรอบภาพถ่ายของพ่อปัทม์
“พ่อเคยทำธุรกิจที่ดินทำให้เราหมดตัว เพราะคุณนพรัตน์ยื่นมือเข้ามาช่วยเราถึงมีทุนทำไร่ชา ครอบครัวเราตั้งตัวและมีวันนี้ได้ก็เพราะคุณนพรัตน์ แล้วลูกจะผิดสัญญากับคุณนพรัตน์ได้ยังไง”
ปัทม์สงสารแม่มาก เข้าใจความรู้สึกแม่
“ในชีวิตของคุณพ่อให้ความสำคัญกับคำมั่นสัญญามากที่สุด ปัทม์...ทำเพื่อพ่อกับแม่ได้มั้ย” เปรมน้ำเสียงวิงวอนลูกชาย
ปัทม์มองหน้าเปรม...คิดตัดสินใจ
ที่ปัทม์เดินตรงเข้ามาในห้องโถงของบ้าน
“ผมตกลงแต่งงานตามสัญญา”
ลำเพาสีหน้าดีใจอย่างเห็นได้ชัด แต่แววตายังคงความสูงศักดิ์และเหนือกว่าปัทม์อยู่เสมอ
“ดีจ้ะ การรักษาสัญญาและสำนึกในบุญคุณคนจะทำให้ชีวิตเจริญขึ้น... งั้นตกลงตามนี้นะ สินสอด 100 ล้าน” ลำเพาบอก
“จะไม่มีค่าสินสอดสักบาท !” ปัทม์บอก
“เอ๊ะ คุณปัทม์พูดอะไร การแต่งงานก็ต้องมีสินสอด มีค่าเลี้ยงดู อย่าหาว่าอาขายลูกกินเลย อาไม่ได้อยากให้ลูกแต่งงานหรอกนะ แต่มันเป็นสัญญา อาจำใจ”
“พ่อผมสัญญาแค่การแต่งงาน ไม่ได้ระบุจำนวนเงินค่าสินสอดใช่มั้ยครับ”
นพรัตน์รับคำ
“ใช่ครับ”
ลำเพาหันไปดุนพรัตน์ก่อนจะพูดกับปัทม์
“คุณอยู่เงียบๆ … แต่มันเป็นประเพณีนะจ๊ะ การแต่งงานต้องมีสินสอดทองหมั้น”
“งั้นผมก็จะจ่ายสินสอดในวันแต่งงาน”
“ได้จ้ะ จะจ่ายเป็นเช็คหรือเงินสดก็ได้ ดีใจจัง ทีนี้ตระกูลของเราก็จะได้เป็นทองแผ่นเดียวกัน รับรองเลยว่า ลูกสาวของอาจะเป็นภรรยาที่ดีของคุณปัทม์”
“ผมก็ตื่นเต้นครับ จะได้ภรรยามาเป็นแรงงานทำงานในไร่ชา ช่วงนี้หาคนงานยาก ได้ลูกสาวคุณอามาเพิ่มอีกคนคงจะได้งานเพิ่มขึ้นอีกเยอะ”
ลำเพาตกใจ
“คุณปัทม์ว่าอะไรนะ”
เปรมรีบแก้ตัวแทน
“เอ้อ..พ่อปัทม์พูดเล่นน่ะคะ แล้วนี่ลูกสาวคุณลำเพาอยู่ไหนคะ ไม่พามาด้วยจะได้แนะนำให้รู้จักกันไว้”
“พักอยู่ที่รีสอร์ทน่ะค่ะ... จะพามาให้ดูตัวก็อายเหมือนเอาลูกสาวมาขาย งั้นเดี๋ยวกลับไปพามาให้ดูตัวเลยนะคะ รับรองว่าแกต้องตื่นเต้นดีใจแน่ที่จะได้มาเป็นภรรยา พ่อเลี้ยงหนุ่มหล่ออย่างคุณปัทม์”
ภายนอกบ้านพักรีสอร์ตริมภูเขาสูง เวลากลางวัน รจนาไฉนกำลังเดินเข้าไปรับรับลำเพาและนพรัตน์ที่เพิ่งกลับมาจากไร่ปัทมกุล เธอเดินยิ้มเข้ามาหา นพรัตน์ยิ้มตอบลูกสาว ในขณะที่ลำเพาแสดงอาการไม่ปลื้ม
“กลับมาแล้วเหรอแม่ตัวดี มัวแต่ตะลอนออกเที่ยว ไม่สนใจจะดูแลน้องพบ ใครอนุญาตให้เธอไป”
ลำเพาโวยวายหาเรื่องรจนาไฉน นพรัตน์ออกรับแทน
“ผมเป็นคนอนุญาตเอง”
“ถ้าฉันไม่อนุญาต เธอไม่มีสิทธิ์ออกไปไหนทั้งนั้น ฉันเคยบอกแล้วใช่มั้ย จะทำอะไรต้องบอกฉันก่อน”
รจนาไฉนสลดลงทันที
“เพื่อนขอโทษค่ะคุณแม่”
“หุงข้าวทำกับข้าวรึยัง ฉันหิว !”
“คุณ…มาเที่ยวทั้งที ออกไปกินข้างนอกก็ได้”
“ไม่ได้ มันเปลือง ! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะหวังจะพึ่งเรื่องกับข้าวกับปลาละก็ อย่าหวังเลยว่าจะยอมให้มาด้วย ไป ไปทำกับข้าว เสร็จแล้วเอาเสื้อผ้าทุกคนไปซักด้วย”
“ค่ะคุณแม่”
รจนาไฉนเดินเข้าบ้านไปอย่างเจียมตัว นพรัตน์มองตามด้วยความสงสาร หันไปต่อว่าลำเพา
“คุณใช้งานลูกมากเกินไปนะ อยู่กรุงเทพก็ทำงานไม่ได้หยุด มาเที่ยวทั้งที น่าจะให้ลูกได้พักผ่อนบ้าง”
ลำเพาลดเสียงลงนิดหนึ่งบอก
“มันไม่ใช่ลูกฉัน !”
นพรัตน์ตกใจกลัวรจนาไฉนได้ยิน
“คุณลำเพา”
ภาพจำในอดีตผุดขึ้นมาหลอกหลอนทั้งสองคนอีกครา เหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นภายในบ้าน ลำเพาตกใจ โวยวายลั่น
“อะไรนะ โรงงานขนาดสภาพคล่อง แล้วจะผลิตสินค้าได้ยังไง งั้นคุณเทขายหุ้นให้หมด เอาเงินมาหมุนก่อน!”
“หุ้นที่เราซื้อไว้ตกหมด ขายไปก็แทบไม่เหลือเงิน” นพรัตน์บอก
ลำเพาตกใจ...หันขวับไปที่เตียงนอนของรจนาไฉนในวัยทารกที่นอนหลับอยู่
“เพราะนังเด็กนี่คนเดียว!”
“คุณอย่าไปลงที่ลูกสิ”
“มันไม่ใช่ลูกฉัน ตั้งแต่คุณรับมันมาเลี้ยง ชีวิตเรามีแต่ตกต่ำ มันเป็นตัวซวย ฉันเกลียดมัน!”
รจนาไฉนร้องไห้จ้าด้วยความตกใจ
CUT /
ภายนอกบ้านพักรีสอร์ตเวลากลางวัน วันเดียวกัน ลำเพายังคงเกลียดชังรจนาไฉน
“ไม่ว่าเวลาผ่านไปแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันรักมัน...ฉันมีลูกคนเดียว..คือลูกพบ ลูกที่เกิดจากฉัน ลูกที่จะทำให้ฉันสุขสบายได้เป็นแม่ยายคุณปัทม์ เศรษฐีไร่ชาปัทมกุล”
ภายในบ้านพักรีสอร์ต เวลาต่อเนื่องมา โลมฤทัย วิชนี กรีดร้องเสียงดังลั่น
“ไม่แต่ง ! ยังไงพบก็ไม่แต่งงานเด็ดขาด”
“ทำไมละคะลูกขา คุณปัทม์เป็นถึงเจ้าของไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดเลยนะคะ”
“คุณแม่จะให้พบแต่งงาน อยู่กินกับพ่อเลี้ยงไร่ชาไร้การศึกษางั้นรึคะ”
“แม่ดูแล้ว คุณปัทม์ก็น่าจะจบมาสูงนะ แต่ไม่รู้ว่าจบอะไรมา”
“นั่นไงคะ ไม่รู้แม้กระทั่งจบอะไรมา..อาจจะไม่ได้เรียนหนังสือ ออกมาทำไร่ไถนาตั้งแต่เด็กก็ได้ อี๋..หน้าคงดำยิ่งกว่าใบชาตากแห้ง”
“ไม่ใช่เลยจ้ะ คุณปัทม์เป็นหนุ่มหล่อ หน้าคม ผิวพรรณดี”
“โกหก ! คุณแม่คิดว่าพบโง่เหรอคะ ยังไงพบก็ไม่ยอมเป็นเมียพ่อเลี้ยง หน้าดำเดินเก็บใบตั้งแต่เช้ายันค่ำ...พบไม่เอาด้วยหรอก”
“ลูกพบขา..เป็นภรรยาเจ้าของไร่ ลูกพบไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น แค่นั่งเก็บเงินนับเงินอย่างเดียว คุณปัทม์เขาสัญญาว่าจะดูแลหนูอย่างดี ยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม ไม่ให้ทำงานอะไรทั้งสิ้น”
นพรัตน์แย้ง
“เขาไม่ได้พูดอย่างนี้นี่”
ลำเพาหันมาเอ็ดนพรัตน์ก่อนหว่านล้อมโลมฤทัยต่อ
“เงียบน่า … ลูกพบขา...เชื่อแม่เถอะจ้ะ เป็นภรรยาคุณปัทม์ ลูกจะสบายไปทั้งชาติ”
โลมฤทัยยังโวยวายและยืนกราน
“พบต้องตายไปตลอดชาติมากกว่า ยังไงพบก็ไม่แต่ง”
ลำเพาเริ่มหมดความอดทน
“พบ...ลูกก็รู้ว่าเรากำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน”
“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับพบ ! มีปัญหา..คุณแม่ก็แก้เอาเองสิคะ”
“ลูกพบขา นี่เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้เราปลดหนี้ได้”
“คุณแม่เห็นพบเป็นตัวอะไรคะ จะขายพบเพื่อปลดหนี้ ฟังแล้วน่าสะอิดสะเอียนสิ้นดี ถ้าใครเขารู้เข้า คุณแม่ไม่อายเขาบ้างรึคะ”
“ไม่มีใครรู้เรื่องนี้หรอกลูก ถ้าแต่งงานแล้ว...ลูกก็จะสุขสบาย” ลำเพาหว่านล้อม
“หยุดได้แล้ว พบไม่อยากฟัง ยังไงพบก็ไม่แต่ง ได้ยินมั้ย ไม่แต่ง !”
โลมฤทัยตะคอกใส่ลำเพา....ลำเพาอดทนต่อไปไม่ไหว ระเบิดอารมณ์ออกมา
“แต่แกต้องแต่ง แกเป็นลูก ต้องทำตามคำสั่งฉัน ฉันจะจัดงานแต่งให้เร็วที่สุด เรากำลังจะหมดตัว
แกเข้าใจคำว่าหมดตัวมั้ย ยังไงแกก็ต้องแต่งงานกับคุณปัทม์ !”
โลมฤทัยตกใจที่ลำเพาขัดใจและหน้าตาเอาเรื่อง โลมฤทัยมองหน้าแม่นิ่ง....แล้วกรี๊ดลั่น
“แอร๊ย...”
โลมฤทัยล้มลงชักกับพื้น กรีดเสียงร้องลั่นไม่หยุด ลำเพาตกใจ เป็นห่วงโลมฤทัยขึ้นมาทันที
“ลูกพบ แม่ขอโทษ นังเพื่อน...นังเพื่อนไปไหน ทำไมไม่ออกมาช่วยน้อง นังเพื่อน”
รจนาไฉนวิ่งเข้ามา
“เกิดอะไรขึ้นคะคุณแม่”
“ไม่เห็นรึไงว่าน้องชัก มัวไปทำอะไรอยู่ ไม่สนใจดูน้อง ไม่ได้เรื่อง”
รจนาไฉนเข้าไปดูแลโลมฤทัยทันที
ลำเพาเครียดไม่รู้จะทำอย่างไร
รจนาไฉนเดินเข้ามาในห้องพักผู้ป่วย ภายในโรงพยาบาลที่เชียงราย โลมฤทัยฟื้นขึ้นมา ลืมตาเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“น้องพบ ไม่เป็นอะไรแล้วใช่มั้ย”
“คนอย่างพบไม่ตายง่าย ๆ หรอก”
“น้องพบไม่สบายใจเรื่องอะไร...บอกพี่ได้นะ”
โลมฤทัยคาดคั้น
“พี่เพื่อนไปไหนมา ออกไปเที่ยวกับคุณปวุฒิใช่มั้ย”
“เอ้อ...คือ”
“พบถามว่าใช่มั้ย !”
“จ้ะ...พี่ตั้งใจจะชวนไปเที่ยวด้วยกัน แต่เห็นว่าน้องพบยังไม่ตื่น พี่ก็ไม่กล้าปลุก”
“หนีไปเที่ยวกับคุณปวุฒิสองคน เห็นแก่ตัว ต่อไปนี้อย่าทำอย่างนี้กับพบอีกนะ”
รจนาไฉนจ๋อยสนิท
“พี่ขอโทษจ้ะ ต่อไปนี้พี่จะไปไหนกับคุณปวุฒิ พี่จะชวนน้องพบไปด้วยทุกครั้ง”
รจนาไฉนเข้ามาจับมือปลอบใจ โลมฤทัยจ้องเขม็งเห็นสร้อยที่ปวุฒิให้รจนาไฉน โลมฤทัยไม่พอใจ“สร้อยของใคร ! คุณปวุฒิ...นี่ถึงกับซื้อสร้อยคอให้กันเลยเหรอ”
“เอ่อ... มันไม่ใช่อย่างที่น้องพบคิดนะจ๊ะ เราแค่เป็น...เพื่อนกัน”
โลมฤทัยจ้องอย่างจะเอาชนะ
“ก็ดี...ฉันขอสร้อยเส้นนี้”
“แต่คุณปวุฒิเค้าซื้อให้พี่”
“พบอยากได้!”
“เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน พี่จะหาซื้อเส้นใหม่ให้”
“ถ้าไม่มีอะไรลึกซึ้ง...พี่เพื่อนก็ต้องให้พบได้”
โลมฤทัยจะดึงสร้อยคอ รจนาไฉนตกใจ ปัดป้อง
“น้องพบ”
“ฉันบอกว่าฉันอยากได้เส้นนี้ เอามาให้ฉัน”
โลมฤทัยพยายามจะดึงสร้อย แต่รจนาไฉนถอยหนีออกมา โลมฤทัยโกรธมาก...คว้าของใกล้ตัวปาใส่รจนาไฉน
“สร้อยเส้นนี้ต้องเป็นของฉัน”
“แต่พี่ให้ไม่ได้”
โลมฤทัยยิ่งไม่พอใจ กรี๊ดลั่น
“แอร๊ย...”
“น้องพบ”
“พี่ก็รู้ว่าถ้าฉันไม่สบายใจ ฉันก็จะชัก พี่ไม่รักฉัน พี่ไม่รักฉัน! แอร๊ย...”
โลมฤทัยกรี๊ดเสียงดังทำท่าจะชักใส่ รจนาไฉนสงสารน้องมาก
“พี่ให้แล้วจ้ะ”
รจนาไฉนตัดใจถอดสร้อยยื่นมอบให้ โลมฤทัยแย่งเอามาจากมือ แล้วมองสร้อยด้วยความพอใจ
“สร้อยของคุณปวุฒิเหมาะกับฉันมากกว่าพี่”
โลมฤทัยสวมสร้อย มองจี้ด้วยความสุข รจนาไฉนมองด้วยความเสียดาย เพราะเป็นของสำคัญที่เธอรักและหวงแหน
“พี่เพื่อน...ฉันไม่สบายตัว”
“พี่เช็ดตัวให้นะ”
“ไม่ต้อง...เช็ดเท้าก็พอ”
รจนาไฉนอึ้ง โลมฤทัยมองรจนาไฉนด้วยความเกลียดชัง
ในวัยเด็กของทั้งคู่ ที่บ้านวิชนี รจนาไฉนกำลังถูพื้นด้วยความเหนื่อย เพราะทำงานมาทั้งวัน โลมฤทัยถือไม้ขนไก่เข้ามาหารจนาไฉน
“พบช่วยค่ะ”
โลมฤทัยปัดฝุ่นช่วยทำงาน รจนาไฉนเข้ามาแย่งไม้ขนไก่
“อย่าเลย เดี๋ยวคุณแม่ดุพี่อีก”
ทันใดนั้นลำเพาเข้ามา
“นังเพื่อน! ฉันสั่งให้แกทำงาน แกยังมีหน้าไปใช้น้องทำงาน”
“เพื่อนขอโทษค่ะ”
“คุณแม่คะ พบอยากช่วย”
ลำเพาสั่งรจนาไฉน
“รีบถูพื้นปัดกวาดให้เสร็จ แล้วไปซักผ้าล้างจาน รดน้ำต้นไม้!”
“ค่ะ”
โลมฤทัยแปลกใจที่ลำเพาไม่ยอมให้เธอช่วยเหลือรจนาไฉน
มุมหนึ่งของบ้านวิชนี โลมฤทัยมีสีหน้าไม่เข้าใจ ลำเพาก้มลงพูดกับลูกสาวด้วยใบหน้าจริงจัง
“ฟังนะลูกพบ...นังเพื่อนไม่ใช่พี่ของลูก มันเป็นเด็กกำพร้าที่พ่อเก็บมาเลี้ยง และที่สำคัญมันเป็นตัวซวย ตั้งแต่มีมันในครอบครัว ครอบครัวเราก็ตกต่ำลงเรื่อยๆ”
โลมฤทัยตั้งใจฟังอย่างแปลกใจ
“ลูกพบเป็นลูกของแม่ ...ลูกคือเจ้าของบ้าน ลูกเป็นนายมัน ลูกมีหน้าที่ออกคำสั่งจิกหัวใช้มันได้ทุกอย่าง มันเป็นขี้ข้าของลูกอย่าไปคลุกคลีเมตตามัน มันจะทำให้ลูกเดือดร้อน”
ลำเพาสอนโลมฤทัยที่พยักหน้ารับรู้ โลมฤทัยมองไปยังรจนาไฉนที่ยังถูพื้นห้องอยู่
“ค่ะ...มันเป็นคนใช้ พบจะเชื่อฟังคุณแม่ค่ะ”
โลมฤทัยเชื่อฟังคำสอนของลำเพาทุกอย่าง
ป้าขวัญเอาขนมสอดใส้มาให้รจนาไฉน
“หนูเพื่อน ป้าเอาขนมมาฝากจ้ะ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าเก็บไว้ขายเถอะ”
“ไม่ได้ เมื่อวานป้าไม่สบาย หนูเพื่อนอุตส่าห์ไปช่วยขาย ถ้าไม่ได้หนูเพื่อน ป้าเจ๊งแน่”
“เพื่อนเต็มใจช่วยจ้ะ เดี๋ยวเพื่อนเอาขนมไปแบ่งให้น้องพบทานด้วย”
ป้าขวัญประทับใจ เข้ามาลูบหัวด้วยความเอ็นดู
“โถแม่คุณ มีอะไรก็คิดถึงคนอื่น หนูนี่เป็นนางฟ้ามาเกิดจริงๆ ถ้าน้องหนูมีน้ำใจได้ครึ่งของหนู คุณพ่อคุณแม่คงปลื้มใจ”
ป้าขวัญชื่นชมรจนาไฉนมาก
ที่มุมหนึ่ง...โลมฤทัยแอบฟัง ได้ยินคำพูดทั้งหมดก็ยิ่งทวีความเกลียดชังรจนาไฉน..
ภายในห้องพักผู้ป่วย โลมฤทัยมองข่มรจนาไฉน
“ชอบทำดีเอาหน้าไม่ใช่เหรอ ทำสิ...เช็ดเท้าให้ฉัน”
รจนาไฉนมองแล้วหยิบผ้ามาเช็ดเท้าให้โลมฤทัยด้วยความตั้งใจ โลมฤทัยมองอย่างพอใจ ที่สามารถข่มรจนาไฉนได้
พระอาทิตย์ใกล้ตกดินท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อนดูสวยงาม ที่คอกม้าในไร่ชาปุทมกุล ปัทม์กำลังอาบน้ำให้ม้า เปรมเข้ามาบอกลูกชาย
“ปัทม์...คุณลำเพาโทรมาบอกว่า ว่าที่คู่หมั้นลูกไม่สบายมาก แม่อยากให้ลูกไปเยี่ยมสักหน่อย”
“มารยา”
ปัทม์หิ้วถังน้ำเดินไปอีกมุมหนึ่งเพื่ออาบน้ำให้ม้า ท่าทางไม่สนใจคำพูดของแม่ เปรมเดินตามไปพูดกับปัทม์
“ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะลูก เธอป่วยจริง ๆ ตอนนี้พักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”
ปัทม์หัวเราะออกมา
“ฮึ ๆ ๆ พอรู้ข่าวว่าจะได้เป็นเมียเจ้าของไร่ชา...ก็คงดีใจจนช็อก ความจริงน่าจะช็อกตายไปเลยนะครับ”
ปัทม์เดินหนีไปเช็ดขนม้าอีกมุมหนึ่ง เปรมเดินตาม
“พูดอะไรอย่างนั้น...ไม่เป็นสุภาพบุรุษซะเลย ไม่น่ารักเลยลูก”
“คุณแม่ก็รู้ว่าผมเกลียดผู้หญิงแบบนี้”
ปัทม์เดินไปเช็ดขนม้าอีกมุมหนึ่ง เปรมต้องเดินตามอีก
“ไม่เอาน่าปัทม์ ลูกอย่าตั้งแง่รังเกียจเธอเลย เธออาจไม่ได้เป็นอย่างที่ลูกคิดก็ได้”
“คุณแม่ก็เห็นว่าคุณลำเพาต้องการเงินมากกว่าต้องการลูกเขย แม่เป็นยังไง ลูกก็ต้องเป็นอย่างนั้น”
“ไม่เอา... แม่ไม่คุยด้วยแล้ว แต่แม่ขอสั่งให้ลูกไปเยี่ยมลูกสาวคุณลำเพา”
เปรม ปัทมกุลมองแกมบังคับ ปัทม์ไม่สนใจเดินหนีไปแปรงขนม้าอีกมุม... เปรมแย่งไม้แปรง มองหน้าปัทม์ ปัทม์คิดตัดสินใจ
“ผมจะไปเยี่ยมก็ได้ ลูกสาวของคุณลำเพาจะได้รู้จักกับพ่อเลี้ยงปัทม์ เจ้าของไร่ชาปัทมกุล”
เปรมยิ้มดีใจ ในขณะที่ปัทม์ยิ้มเจ้าเล่ห์ ภายในใจคิดอะไรบางอย่าง
อ่านต่อหน้า 2
มัจจุราชสีน้ำผึ้งตอนที่ 1 (ต่อ)
วันใหม่ ช่วงตอนกลางวัน รถของปัทม์มาจอดที่หน้าโรงพยาบาล ปัทม์ ปัทมกุลก้าวลงจากรถ ในชุดสูทดูหล่อมาก ชิ ชาวเขาหัวหน้าคนงาน ผู้เป็นลูกน้องของเขาลงจากรถ มองปัทม์ด้วยความแปลกใจ
“ไหนบอกว่าเกลียดผู้หญิงคนนี้ แล้วเจ้านายมาทำไม”
ปัทม์พูดน้ำเสียงนิ่ง หน้าขรึม
“เกี่ยวอะไรกับแก”
“ก็เพราะผมเป็นเลขาคนสนิทสุดเลิฟ”
ปัทม์จ้องชิด้วยสายตาปราม ๆ ชิสะดุ้งเมื่อเห็นสายตานั้น
“ขอโทษครับนาย”
“ดอกไม้ที่สั่ง”
ชินึกได้ รีบหยิบช่อดอกไม้มาส่งให้ปัทม์
“นี่ครับ”
ปัทม์รับช่อดอกไม้สีชมพูสวยงาม ชิแปลกใจ
“ไม่นึกเลยว่านายจะโรแมนติกกับเขาเหมือนกัน”
ปัทม์หันมามองชิ เลขาคนสนิทหุบปากทันที ปัทม์มองไปยังโรงพยาบาล ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ภายในห้องพักผู้ป่วย รจนาไฉนกำลังปอกแอปเปิลป้อนโลมฤทัย
“ปอกเปลือกให้มันเกลี้ยง ๆ หน่อยสิพี่เพื่อน พี่ก็รู้ว่าฉันไม่ชอบกินเปลือก”
รจนาไฉนรีบปลอกเปลือกให้โลมฤทัยใหม่ ลำเพาและนพรัตน์เข้ามาในห้องพัก ลำเพาพูดกับเพื่อน “ออกไปข้างนอกก่อน”
“ทำไมล่ะคะ เพื่อนกำลัง...”
“ออกไป ! คุณเปรมโทรมาบอกว่าคุณปัทม์กำลังจะมาเยี่ยมลูกพบ”
รจนาไฉนแปลกใจและยิ้มยินดี
“คุณปัทม์ว่าที่คู่หมั้นของน้องพบเหรอคะ”
โลมฤทัยตวาด
“หยุดพูดเลยนะ ! มันไม่ได้เป็นคู่หมั้นพบ ถ้าโง่ไม่รู้เรื่องรู้ราวก็อย่าทำตัวสู่รู้ พบเกลียด !”
“ลูกพบ…ทำไมพูดกับพี่เพื่อนอย่างนั้น ไม่น่ารักเลย” นพรัตน์บอก
โลมฤทัยโกรธ
“คุณพ่อไม่ต้องยุ่งได้มั้ย คุณพ่อก็เข้าข้างพี่เพื่อนตลอด ไม่รักพบก็ไม่ต้องมาสนใจเรื่องของพบ”
“พ่อไม่ได้คิดอย่างนั้นนะ”
“คุณหยุดเถอะ มันก็จริงอย่างที่ลูกพูด เอาอกเอาใจเข้าข้างยายเพื่อนตลอด”
แล้วลำเพาหันมาเล่นงานรจนาไฉน
“เพราะแกคนเดียว ทั้ง ๆ ที่เห็นว่าน้องไม่สบายยังพูดจาทำให้น้องไม่สบายใจ ใช้ไม่ได้”
“เพื่อนขอโทษค่ะ”
“ออกไปได้แล้ว...ลูกพบจะได้คุยกับคุณปัทม์สองต่อสอง”
“ไม่นะคะ พบไม่อยากเห็นหน้าพ่อเลี้ยงชาวดอยนั่น”
“ลูกพบ... แม่ขอร้องนะคะลูกขา ขอให้ลูกได้เจอหน้าเขาแค่ครั้งเดียว.. ถ้าลูกไม่ชอบไม่พอใจ ต่อไปนี้แม่จะไม่บังคับลูกอีกแล้ว นะคะ”
โลมฤทัยคิดนิดหนึ่ง
“แค่ครั้งเดียวเท่านั้นนะคะ”
โลมฤทัยตั้งป้อมรังเกียจพ่อเลี้ยงปัทม์
ภายในร้านกาแฟในโรงพยาบาล ลำเพาจิบกาแฟคุยกับคุณนพรัตน์ แล้วพูดเย้ยรจนาไฉน
“ฉันมั่นใจ ถ้าลูกพบได้เห็นหน้าคุณปัทม์ ทุกอย่างต้องลงเอยด้วยดี”
“คุณปัทม์ท่าทางจะเป็นคนดีนะคะ”
“สมบูรณ์แบบทุกอย่าง ทั้งหน้าตา การศึกษาและฐานะ คุณปัทม์ร่ำรวยมาก ดีกว่าคู่รักของเธอเป็นสิบ ๆ เท่า นายปวุฒิมีดีก็แค่นามสกุล” ลำเพาพูดเย้ยรจนาไฉน
“ไม่เล่าเรื่องกริยามารยาทด้วยล่ะ”
นพรัตน์พูดแทรกดักคอ หวังให้ลำเพาหยุดโม้เสียที ลำเพาชำเลืองมองค้อนนพรัตน์ รจนาไฉนแปลกใจ
“คุณปัทม์เป็นยังไงเหรอคะ”
ลำเพาโกหกใส่สีตีไข่ โอ้อวด
“ถึงจะไม่ได้สืบเชื้อสายตระกูลผู้ดีเก่า แต่กริยามารยาท การวางตัว สุภาพอ่อนน้อม มีความสัมมาคารวะ คำพูดคำจาไพเราะ ไม่ต่างจากผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว”
นพรัตน์แทบสำลักกาแฟ ที่ลำเพาโกหกหน้าด้าน ๆ ลำเพาหันมาแหวใส่รจนาไฉน
“ถามทำไม คิดว่าน้องจะได้แฟนแย่กว่ารึไง”
นพรัตน์ได้แต่ส่ายหน้าในความลำพองของเมีย...และเห็นใจรจนาไฉนที่ถูกกดขี่ตลอดเวลา
“ฉันเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกพบเสมอ ไม่อยากคิดเลย ป่านนี้ทั้งสองคนจะคุยกันถูกคอแค่ไหน”
ภายในห้องพักผู้ป่วย โลมฤทัยนอนอยู่บนเตียง คิดเรื่องของปัทม์
“จะเป็นไปได้ยังไงที่ชาวไร่ชาวดอยจะหน้าตาดี รึจะเป็นช้างเผือก”
โลมฤทัยแอบลุ้นเล็กน้อย หยิบกระจกขึ้นมาส่อง เติมหน้าตาให้สะสวยด้วยเครื่องสำอาง
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น.....
“เชิญค่ะ”
โลมฤทัยนอนรอ ตื่นเต้นเล็กน้อยที่จะได้เจอหน้าปัทม์ ชายคนหนึ่งแต่งชุดสูทดูดีเดินเข้ามาในห้อง โลมฤทัยตื่นเต้นเงยหน้าหันไปมอง แล้วหุบยิ้มทันที
ชิแต่งชุดสูทถือช่อดอกไม้มายืน จงใจแกล้งโลมฤทัย พูดสำเนียงชาวเขาแบบไม่ชัด
“อย่าบอกนะว่าคุณ....”
“ใช่ครับ ผมพ่อเลี้ยงปัทม์ ปัทมกุล” ชิบอก
ชิยิ้มฉีกฟัน เห็นยาสูบเหน็บที่ฟัน ทำให้ฟันดำ โลมฤทัยรับไม่ได้ ไม่อยากจะเชื่อสายตา
“นี่ครับ นามบัตรผม”
มือดำสกปรกของชิยื่นส่งนามบัตรมาให้
โลมฤทัยรับมาดูนามบัตรก็ตกใจ ด้วยคิดว่าชิคือ ปัทม์ ปัทมกุล เจ้าของไร่ชาตัวจริง
“ดอกไม้สวยๆ สำหรับเมียจ้ะ”
โลมฤทัยรับดอกไม้แล้วปาใส่หน้าชิ
“ฉันไม่ใช่เมียแก ออกไป!”
“ไม่ต้องอายครับ ต่อไปเราเป็นผัวเมียกัน ไม่ต้องเขิน”
ชิมองเห็นจานแอปเปิ้ลเลยกระเซ้า
“อืม..ปอกแอปเปิ้ลไว้รอผัวเหรอ น่ารักที่สุด”
ชิหยิบมากินอย่างมูมมาม ก่อนนึกได้ หันไปมองโลมฤทัย
“หิวมั้ย มาม๊ะ..ผัวป้อนให้”
มือสกปรกของชิส่งชิ้นแอปเปิ้ลให้โลมฤทัย เธอรับไม่ได้
“ไม่กิน”
“อ๋อ...ชอบแบบพระเอกละครโรแมนติก ได้ ๆ”
โลมฤทัยแปลกใจว่าชิจะทำอะไร ชิหยิบชิ้นแอปเปิ้ลมาคาบ แล้วชิก็ยื่นหน้ามาให้เพื่อกัดกินด้วยกัน ชิยื่นหน้ามาใกล้ โลมฤทัยตกใจเอามือดันหน้าชิ ยัดแอปเปิ้ลใส่ปากชิ...ผลักชิออกไป
“ออกไป ออกไป!”
“ไม่เอา ไม่ร้องนะครับเมีย”
ชิเข้ามาจะถูกเนื้อต้องตัวโลมฤทัย เธอยิ่งเกลียด ขยะแขยง
“อย่ามายุ่งกับฉัน ออกไป!”
โลมฤทัยกรี๊ดลั่น คว้าข้าวของใกล้ตัวปาไล่ชิ
“ชอบความรุนแรงก็ไม่บอก ชอบแบบตบจูบใช่มั้ย... ผัวจะจัดให้หนักๆเลย”
โลมฤทัยตกใจ คว้ามีดปอกผลไม้มาขู่ชิ
“แกเข้ามาฉันฆ่าแกแน่ ออกไป...ออกไป แอร๊ย...”
โลมฤทัยออกอาการจะชักใส่....
“แอร๊ย...”
ชิวิ่งออกไปจากห้อง เพราะทนเสียงกรีดร้องไม่ไหว
ชิวิ่งออกจากห้องออกไปแล้วบ่นๆ
“ผู้หญิงอะไรกรี๊ดยังกะลำโพงสิบแปดหลอด”
ชิวิ่งออกไปทางซ้าย ทางด้านทางขวา ลำเพา,นพรัตน์และรจนาไฉนวิ่งเข้ามาที่หน้าห้องเมื่อได้ยินเสียงกรีดร้องอันดังของลูกสาว
“ลูกพบ เกิดอะไรขึ้นคะลูกขา”
ทุกคนรีบวิ่งเข้าไปในห้อง
ภายในห้องพักคนป่วย โลมฤทัยกรีดเสียงร้องจนเหนื่อยหอบ ลำเพานำหน้ารจนาไฉนและนพรัตน์เข้ามาหา
“เป็นไงคะได้เจอคุณปัทม์แล้ว เซอร์ไพรส์กรี๊ดในความหล่อใช่มั้ยลูกจ๋า”
“หล่อบ้าบออะไร หน้าตาอัปลักษณ์น่าเกลียดที่สุด”
“เป็นไปไม่ได้...แม่ว่าคงเกิดการเข้าใจผิด”
โลมฤทัยส่งนามบัตรให้
“ไม่ผิดแน่ค่ะ ดูสิคะ นามบัตรของมัน”
ลำเพารับนามบัตรมาดู ก็เห็นชื่อปัทม์ ปัทมกุล
“เป็นอย่างที่พบคิดไว้ไม่มีผิด ปากเหม็นฟันดำ มือสกปรกดำปี๊ดปี๋ มารยาทต่ำ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเห็นใครน่าเกลียดอย่างมันมาก่อนเลย”
ลำเพาแปลกใจ
“เป็นไปได้ยังไง เอางี้...พรุ่งนี้เราไปหาคุณปัทม์ที่ไร่ชาดีกว่า” ลำเพาบอก
“ไม่ พบไม่เจอหน้ามันอีกแล้ว พบเกลียดมัน”
“เชื่อแม่นะ ถ้าลูกพบเห็นไร่ชา ลูกพบจะรู้ว่าคุณปัทม์เป็นมหาเศรษฐี”
“พบไม่ไป... แล้วก็ไม่แต่งงานด้วย”
“ใจเย็นก่อนคะลูกพบขา”
“คุณแม่สัญญาแล้วไงคะ ถ้าพบไม่ชอบ จะไม่บังคับพบอีก”
“แต่ว่า”
โลมฤทัยตวาด
“พบจะกลับกรุงเทพ กลับวันนี้ กลับเดี๋ยวนี้ !”
โลมฤทัยจะออกอาการจะชัก
“ค่ะ กลับก็กลับ”
ลำเพาสั่งรจนาไฉน
“เพื่อน ! รีบเก็บข้าวของให้น้อง เราจะกลับกรุงเทพวันนี้”
ลำเพาเข้าไปปลอบใจโลมฤทัยอย่างเอาใจ.... นพรัตน์ส่ายหัวที่เมียเอาใจลูกสาวคนโปรดตลอดเวลา และเครียดที่โลมฤทัยปฏิเสธการแต่งงาน!!
มุมหนึ่งในโรงพยาบาลนพรัตน์ถามลำเพา
“ในเมื่อลูกพบไม่ยอมแต่งงาน คุณจะทำยังไง”
“มาถามอะไรฉันตอนนี้ เครียด...เข้าใจมั้ยว่าเครียด ถ้าลูกพบไม่ยอมแต่งงาน แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนมาใช้หนี้”
รจนาไฉนถือกระเป๋าของโลมฤทัย เดินเข้ามาหาลำเพา
“เพื่อนเก็บกระเป๋าน้องพบเสร็จแล้วค่ะคุณแม่”
“ไปเคลียร์ค่าใช้จ่ายด้วย จะได้พาน้องกลับ”
“ค่ะ”
รจนาไฉนเดินออกไป ลำเพามองตามหลัง คิดอะไรบางอย่าง นพรัตน์สังเกตเห็นอาการของเมียอยู่ตลอดเวลา
“คุณ...ฉันคิดออกแล้วว่าจะแก้ปัญหาเรื่องการแต่งงานยังไง”
นพรัตน์มองแล้วนึกรู้
“คิดอะไรของคุณ แม่เพื่อนมีคู่รักแล้วนะ”
“มีแล้วไง... หรือคุณอยากโดนฟ้องล้มละลาย”
นพรัตน์เครียด ไม่รู้จะหาทางออกยังไง
ในห้องพักคนไข้ พ.ต.ท. ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะแปลกใจที่รจนาไฉนต้องกลับกรุงเทพฯก่อน
“ต้องกลับวันนี้เลยเหรอ”
“ค่ะ เพื่อนขอโทษนะคะที่ไม่ได้อยู่ดูแลคุณ”
“ไม่เป็นไรหรอก พรุ่งนี้เช้าผมก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว เราไปเจอกันที่กรุงเทพฯ ก็ได้”
ปวุฒิคิดนิดหนึ่งแล้วถามเธอ
“ เออ...แล้วคุณได้เจอคนที่ช่วยผมมั้ย”
“ยังไม่เจออีกเลยค่ะ…รู้แค่ชื่อ คุณปัทม์”
“ผมหวังว่า สักวันคงมีโอกาสได้ตอบแทนความดีของเขา”
“ไม่นึกเลยว่า คนป่าเถื่อนอย่างนายนั่น จะมีน้ำใจช่วยชีวิตคุณไว้”
“คุณรู้จักเขาด้วยเหรอ”
“ก็แค่เจอหน้ากันตอนเขาพาคุณมาส่งโรงพยาบาล ไม่มีอะไรหรอกค่ะ”
ปวุฒิทวนคำ
“คุณปัทม์...เขาชื่อปัทม์เหรอ”
รจนาไฉนตัดบท แต่ในใจไม่คาดคิดว่า คนเถื่อนถ่อยอย่างปัทม์จะเป็นคนดี
เวลาเย็นใกล้ค่ำ มุมหนึ่งภายในไร่ชา ปัทม์สีหน้าเข้มดูเครียดและจริงจัง เหม่อมองไร่เบื้องหน้าที่ไกลสุดตา วิวสวยงาม ชิกำลังเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ปัทม์ฟัง
“คุณโลมฤทัยกรี๊ดลั่นจนหูผมแทบแตก ท่าทางเธอรังเกียจผมมาก... ทำยังกะผมเป็นแมลงสาบ”
เหตุการณ์ในอดีตผุดขึ้นในความคิดปัทม์ เวลากลางวัน แดดเปรี้ยง ภายในไร่ชาปัทมกุลยุคบุกเบิก ที่มีแต่ความรกร้างและแห้งแล้ง ปัทม์กำลังชุดดินเหงื่อไหลหน้าดำคร่ำเครียด
เสียงชิบอกปัทม์ต่อไป
“น่าเสียดาย หน้าตาก็สวยสมเป็นคนกรุงเทพฯ ดูเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว”
ปัทม์นึกไปถึงแสงจันทร์ที่เดินถือกระเป๋าใบเล็ก ๆ เข้ามาในไร่ด้วยสีหน้ารังเกียจพื้นที่โดยรอบ เหล่าคนงานมองชื่นชมในความงามของแสงจันทร์
“ไม่น่าเชื่อว่านิสัยจะแย่...ต่างจากหน้าตา” ชิบอก
แสงจันทร์ส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามคนงานทุกคน เธอมองไปทางมุมหนึ่งของไร่ เห็นกระต๊อบผุ ๆ หลังหนึ่ง
“อย่าบอกนะคะ...ว่าเราต้องนอนในนั้น”
ปัทม์ได้ฟังเรื่องที่ชิเล่าให้ฟังก็เกิดความรู้สึกชิงชังขึ้นทันใด สายตามองเหม่อไปยังเบื้องหน้า
“เป็นเหมือนกันหมด! พวกผู้หญิงสวยแต่รูป หัวสูงเห็นแก่เงิน มองไม่เห็นหัวคน บูชาเงินเป็นพระเจ้า !”
ปัทม์หันกลับมาคุยกับชิด้วยใบหน้าและแววตาจริงจัง
“ถ้าเดาไม่ผิด...หลังจากนั้น เธอก็หยิบข้าวของปาไล่แกออกจากห้อง”
“โฮ...คุณปัทม์พูดยังกะตาเห็น เขาทำยังกะผมเป็นเชื้อโรคแน่ะ”
ปัทม์ระบายความรู้สึกที่มีต่อผู้หญิงออกมา...
“ผู้หญิงพวกนี้ตีค่าคนแค่ภายนอก ไม่เคยมองเข้าไปในจิตใจหรอก”
วันหนึ่งในเวลากลางคืน ณ กระต๊อบหลังเก่า แสงจันทร์เกรี้ยวกราด อาละวาด ขว้างปาข้าวของอยู่คนเดียว เพราะทนทำงานบ้านที่ลำบากไม่ไหว
“ผู้หญิงพรรค์นี้... ไม่เคยรักใครด้วยหัวใจ ชีวิตกลัวความลำบาก หวังแต่จะรวยทางลัด”
แสงจันทร์เกรี้ยวกราดขว้างข้าวของจนคนงานแก่ ๆ ที่มาช่วยงานกระเจิงไป ปัทม์เดินเข้ามาในกระต๊อบพอดีก็ โดนแสงจันทร์ขว้างของเข้าใส่อีกแบบเต็ม ๆ และเธอไม่รู้สึกผิดอีกด้วย
ปัทม์ยืนหันหลังให้ชิ คิดเรื่องราวเก่า ๆ
“เงิน... เงินเท่านั้นที่ผู้หญิงพวกนี้ต้องการ”
ปัทม์พูดจบก็เดินออกไป
ปัทม์เดินมาที่หน้าผา แล้วมองไปยังหลุมศพ
“แสงจันทร์ ฉันเจอผู้หญิงจำพวกเดียวกับเธอแล้ว ผู้หญิงที่หิวกระหายเงิน ต้องการแต่เงินมาปรนเปรอความสุขความสบาย แต่ในที่สุด มัจจุราชก็พาคนอย่างเธอไปพบกับจุดจบของความโลภ !”
ปัทม์คิดอะไรบางอย่าง แล้วฉายสีหน้าและแววตาเหี้ยมมากขึ้น
“สำหรับผู้หญิงที่หิวเงินคนนี้ ฉันจะเป็นพญามัจจุราช...พาไปลงนรก ด้วยน้ำมือของฉันเอง !”
ปัทม์มีความคิดอยากจะสั่งสอนจัดการกับผู้หญิงที่หิวเงินคนนั้น...
เสียงฟ้าร้องคำรามดังขึ้น...เสมือนจะเป็นสัญญาณของพญามัจจุราชที่ออกปฎิบัติการ นำพาความทุกข์มาสู่มนุษย์โลก
ในอดีต พระจันทร์ยามค่ำสาดแสงทอสวยงาม แสงจันทร์นอนซบ มองปัทม์ด้วยความรักอยู่ภายในห้องนอนของบ้านในเมือง
“วันนี้...ฉันรู้แล้วว่าคำว่ารัก มีความหมายกับฉันมาก เพราะมันเป็นยิ่งกว่าชีวิตไ
ปัทม์ก้มลงจูบที่หน้าผากของแสงจันทร์ โอบกอดด้วยความรัก
“ฉันคงมีชีวิตอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีคุณ”
ทั้งสองคนมองกันด้วยความรักเป็นอย่างยิ่ง
จนเมื่อวันหนึ่ง ปัทม์พาแสงจันทร์เข้ามาในไร่ในยุคบุกเบิก ธาตุแท้ของเธอก็เริ่มฉายแววให้เขาเห็น
แสงจันทร์ลงจากรถปัทม์มองไร่ชาที่กว้างใหญ่ ที่มีแต่ความแห้งแล้งและธุรกันดาร เธอมองไปอย่างอึ้ง ๆ รับไม่ค่อยได้ ปัทม์ยิ้มแย้มเดินตามลงมาจากรถ
“คุณตามผมไปทางโน้นนะ ผมต้องรีบไปเตรียมหน้าดินให้คนงานเดี๋ยวจะช้าเกินไป”
ปัทม์เดินออกไป แสงจันทร์มองเห็นแต่ความแห้งแล้งแล้วนึกรังเกียจมาก
ปัทม์กำลังชุดดินเหงื่อไหลหน้าดำคร่ำเครียด แสงจันทร์เดินถือกระเป๋าใบเล็ก ๆ เข้ามาด้วยสีหน้ารังเกียจพื้นที่โดยรอบ เหล่าคนงานมองชื่นชมในความงามของแสงจันทร์ เธอส่งสายตาดูถูกเหยียดหยามคนงานทุกคน มุมหนึ่งของไร่ เธอเห็นกระต๊อบผุ ๆหลังหนึ่ง
“อย่าบอกนะคะ...ว่าเราต้องนอนในนั้น”
หลายเดือนผ่านมา ปัทม์เหนื่อยอ่อนจากการทำงาน แสงจันทร์เกรี้ยวกราดใส่
“ไม่มีเงิน ! แล้วเงินสดที่คุณเพิ่งไปถอนออกมาจากธนาคารล่ะ”
“ผมต้องเอาไปจ่ายค่าแรงคนงานพรุ่งนี้”
“แล้วฉันล่ะ ฉันเป็นเมียคุณนะ จะไม่ดูแลเลยรึไง”
“ผมเพิ่งให้คุณไป”
“แค่เศษเงิน ! ไม่พอหรอก...ฉันต้องซื้อโน่นซื้อนี่”
“คุณก็เห็นว่าตอนนี้เราลำบาก เศรษฐกิจทรุดแบบนี้ทุกคนก็ต้องปรับตัว คุณจะใช้เงินคล่องมือเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้นะ รอหน่อยแล้วกัน อีกไม่นาน...”
แสงจันทร์แทรกขึ้นทันที
“ พอเหอะ ฉันเบื่อจะฟังแล้ว จะให้ลำบากรอถึงชาติหน้ารึไง ฉันไม่รอหรอก ไม่มีก็ไม่เอา”
แสงจันทร์กระแทกส้นเท้าออกไป ทำให้ปัทม์เครียดมาก
อีกหลายวันต่อมา ถนนภายในไร่ชา ท่ามกลางเทือกเขาสลับซับซ้อนสวยงาม ปัทม์มีสีหน้าโกรธจัด กำลังควบม้าไล่ตามรถกระบะคันหนึ่งอย่างรวดเร็ว จนตีคู่กันมา
ปัทม์ยกปืนในมือขึ้นเล็ง ยิงเปรี้ยงไปที่ยางรถ จนรถเสียหลักต้องหักเลี้ยวเกยที่ข้างทาง
ปัทม์ควบม้าไปตรงมาที่หน้ารถ แล้วโดดลงจากม้าอย่างรวดเร็ว ถือปืนเล็งไปที่รถกระบะที่จอดอยู่ เขาตะโกนลั่น
“ลงมา !”
แสงจันทร์และชายชู้ค่อย ๆ เปิดประตูรถลงมา แสงจันทร์ยังกอดกระเป๋าไว้แน่น
“อยากจะไปก็ไปแต่ตัว เธอไม่มีสิทธิ์เอาเงินไปจากไร่ของฉัน”
“ฉันเป็นเมียคุณ ฉันมีสิทธิ์ !”
ปัทม์ยิ้มเยาะ
“เมียฉันเหรอ ! ที่เธอรักมีอยู่อย่างเดียวคือเงิน ฉันจะให้โอกาสอีกครั้ง ถ้าจะไปก็ไปแต่ตัว หรือไม่ก็เข้าคุก”
แสงจันทร์โกรธแค้น ปากระเป๋าทิ้ง วิ่งเข้ามาทุบตีปัทม์ทันที
“แกมันใจดำ ฉันเกลียดแก รู้มั้ยว่าฉันไม่เคยรักแกเลย ฉันเกลียดแก”
ปัทม์ร้าวรานใจที่ได้ยินแสงจันทร์ด่าทอ เธอยังคงทุบตีปัทม์และด่าไม่หยุด
ภายในห้องนอนปัทม์ ในไร่ปัทมกุล เขาสะดุ้งตัวตื่นจากความฝัน ลุกขึ้นนั่งทันที หายใจหอบถี่เหมือนเพิ่งผ่านเหตุการณ์มาสดๆร้อนๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความแค้นใจ
เช้าวันใหม่ คนงานกำลังทำงานกันอยู่ท่ามกลางทิวทัศน์สวยงามของไร่ปัทมกุล ทุกคนมีสีหน้ายิ้มแย้ม
ปัทม์แบกเป้กระเป๋าเดินทางมาที่รถ แล้วโยนขึ้นท้ายรถกะบะ เตรียมจะออกรถ เปรมรีบเดินออกมาหาร้องเรียกไว้
“ปัทม์...จะไปไหนลูก”
“กรุงเทพฯ ครับ”
“ไปกรุงเทพฯ”
“ผมตัดสินใจได้แล้ว ผมจะไปจัดการเรื่องที่คาราคาซังให้เรียบร้อย”
“เรื่องอะไรเหรอลูก”
ปัทม์ไม่ตอบคำถามแม่ แต่ขึ้นรถแล้วสตาร์ทเครื่อง ขับรถออกไปทันที
“เดี๋ยวก่อน ปัทม์”
อีกมุมหนึ่งชิแบกถุงผ้าวิ่งไล่ตามรถปัทม์ไปติด ๆ
“นาย... นาย.. รอด้วย ชิไปด้วย !”
ปัทม์ชะลอรถ ชิตะกายขึ้นกระบะท้ายไปจนได้ เปรมส่ายหัวหนักใจกับความใจร้อนของลูกชาย
ห้องนอนโลมฤทัย บ้านวิชนี เวลากลางวัน โลมฤทัยหยิบรูปถ่ายในสมัยมัธยมมาดู ภาพใบนั้นเป็นรูปถ่ายของโลมฤทัยในสมัยมัธยมปลาย, รจนาไฉนในชุดปกติ และปวุฒิในชุดตำรวจแบบครึ่งท่อน ใส่เสื้อยืดกางเกงสีกากี เธอยิ้มแตะที่ภาพของปวุฒิแบบชื่นชอบ
ในอดีต โลมฤทัยยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ที่บริเวณถนนแห่งหนึ่ง หน้าโรงเรียนมัธยมฯ เธอยกนาฬิกาขึ้นดูด้วยแววตาไม่พอใจรจนาไฉนที่ไม่มารับ ทันทีที่รจนาไฉนมาถึง เธอก็แหวเข้าใส่ทันที
“พี่เพื่อนทำมามารับพบช้าอย่างนี้ บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าให้พบต้องรอ”
“พี่ขอโทษจ้ะ พอดีมีเรื่องนิดหน่อย”
“เรื่องอะไร”
“ที่บ้านเราถูกขโมยขึ้น”
“ช่วงกลางวันแสกๆ แบบนี้น่ะเหรอ”
“ใช่... โชคดีที่ได้คุณปวุฒิมาช่วยจับคนร้ายได้ทันเวลา”
“คุณปวุฒิ”
“พี่ผู้ชายที่เคยอยู่บ้านติดๆ กับเราไงจ๊ะ ตอนนี้คุณปวุฒิเรียนจบตำรวจ มาทำงานกองปราบแถวๆ บ้านเราแล้ว”
ปวุฒิเดินยิ้มเข้ามาหา โลมฤทัยหันไปมองแล้ว ก็ชะงักไปนิดหนึ่ง เธอชื่นชอบปวุฒิเป็นเหมือนรักแรกพบ
“สวัสดีจ้ะ... ไปกันรึยัง ผมหาที่จอดรถได้ตรงนี้เอง”
โลมฤทัยสวัสดีปวุฒิแล้วมองอย่างชื่นชอบ
“คุณปวุฒินอกจากจับคนร้ายได้แล้ว ยังอาสาขับรถมารับน้องพบด้วยนะจ๊ะ เพราะกลัวว่าพี่จะผิดเวลามากเกินไป”
โลมฤทัยจ้องรูปถ่ายใบนั้น หยิบกรรไกรมาตัดรูปส่วนของรจนาไฉนออกไป เหลือแต่เพียงรูปถ่ายระหว่างตัวเองกับ ปวุฒิเพียงสองคนเท่านั้น เธอมองดูภาพตัวเองกับปวุฒิขึ้นมองอย่างพอใจ
ในวันเดียวกัน รจนาไฉนเปิดประตูรั้วเข้ามาในบ้าน มองซ้ายมองขวาหา
“ปวุฒิ ปวุฒิคะ”
รจนาไฉนเดินไปตามทางเดิน แล้วอมยิ้มเล็กน้อยเมื่อมองไปที่ระเบียง เธอเห็นกลีบกุหลาบถูกโรยไว้เป็นทางเดินนำไปสู่ประตูเข้าบ้าน รจนาไฉนยิ้ม ๆ เดินตรงเข้าไป และตัดสินใจเปิดประตูเดินเข้าไปภายในบ้าน
ภายในบ้านปวุฒิถูกตกแต่งให้บรรยากาศอบอุ่น ดูดี และ โรแมนติก รอบตัวบ้าน ปิดผ้าม่านบังแสงสว่างจากภายนอก ภายในบ้านแสงส่องสว่างด้วยเทียนหอมที่จุดวางอยู่เป็นทิวยาวตามทางเดินเข้าไปด้านใน
“ปวุฒิคะ เพื่อนมาแล้วค่ะ”
รจนาไฉนเดินตรงเข้าไป ผ่านกำแพง เห็นรูปถ่ายอันหวานชื่นระหว่างเธอและปวุฒิในที่ต่าง ๆ เธอมองภาพเหล่านั้นแล้วยิ้มอย่างมีความสุขที่ได้คิดถึงเหตุการณ์ที่แสนประทับใจ
รจนาไฉนหันไปทางหนึ่ง แต่มีมือแข็งแรงมาปิดตาเธอเอาไว้
“ปวุฒิ”
ปวุฒิเข้ามากระซิบที่ข้างเธอ แต่มือยังปิดตารจนาไฉนอยู่
“ไม่ใช่ปวุฒิ ทายใหม่สิครับ”
“เจ้าชายของเพื่อนค่ะ”
ปวุฒิเอามือออก รจนาไฉนหันหน้ามา เขาจับมือของเธอไว้พร้อม ๆ กับมองด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก
“หลังจากรอดตาย ทำให้ผมรู้ว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรแน่นอน เราควรจะให้ความสำคัญกับคนที่เรารัก และรักเรามากที่สุด”
ปวุฒิเชยคางเธอขึ้นมองดวงตา
“นับจากวันนี้...และทุกวินาทีที่เหลืออยู่ ผมอยากเห็นคุณอยู่ข้างผมตลอดไป เพื่อน...คุณเป็นผู้หญิงที่มีความหมายที่สุดในชีวิตผม”
รจนาไฉนยิ้มอาย
“เพื่อนภูมิใจมากที่ได้เป็นคนรักของคุณค่ะ”
“ผมก็ภูมิใจที่มีเจ้าหญิงแสนดีคอยเป็นกำลังใจให้เสมอ”
พ.ต.ท. ปวุฒิหยิบแหวนขึ้นมา สบตารจนาไฉนลึกซึ้ง
“ปราสาทหลังน้อยของผมรอคอยเจ้าหญิงแสนดีมานานแล้ว เจ้าหญิงคนนี้กรุณาให้เกียรติผม ได้ปกป้องและดูแลคุณ จากวันนี้และตลอดไปได้มั้ยครับ”
รจนาไฉนซาบซึ้งมาก จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
“ค่ะ...ฉันจะเป็นเจ้าหญิงของคุณ เราสองคนจะดูแลซึ่งกันและกันตลอดไปค่ะ”
ปวุฒิค่อยๆ บรรจงสวมแหวนที่นิ้วนางข้างซ้ายของรจนาไฉน จุมพิตที่มือแผ่วเบา เขารั้งตัวเธอมากอดด้วยความรัก
เธอกอดตอบด้วยความอบอุ่นและซาบซึ้งใจ
มัจจุราชสีน้ำผึ้งตอนที่ 1 (ต่อ)
ภายในห้องโถงบ้านวิชชนี ตอนกลางวันในวันเดียวกัน ลำเพาสั่งด้วยน้ำเสียงและท่าทางเด็ดขาด
“ไม่ได้! แกจะแต่งงานกับนายปวุฒิไม่ได้”
รจนาไฉนมีท่าทางตกใจและประหลาดใจแกมกัน
“ทำไมล่ะคะ คุณแม่ก็รู้ว่าเรารักกัน ที่ผ่านมาคุณพ่อคุณแม่ก็ไม่ได้ขัดขวางอะไรนี่คะ”
“นั่นมันเมื่อก่อน...แต่วันนี้เดี๋ยวนี้ ยังไงก็ไม่ได้”
“คุณแม่...เพื่อนไม่เข้าใจค่ะ คุณพ่อคะนี่มันเกิดอะไรขึ้น”
รจนาไฉนหันไปหานพรัตน์ด้วยสายตาไม่เข้าใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้น ฝ่ายพ่อได้แต่ถอนหายใจอย่างหนักใจ ไม่กล้าสบตารจนาไฉน
“ฉันกับพ่อคุยกันแล้ว แกต้องแต่งงานกับคุณปัทม์แทนลูกพบ”
“คุณแม่”
รจนาไฉนตกใจ น้ำตารื้น น้อยใจและไม่เข้าใจ
“เพื่อนรักคุณปวุฒิ... เพื่อนทำไม่ได้ค่ะ”
โลมฤทัยเดินเข้ามา มองหน้ารจนาไฉนอย่างไม่พอใจ
“ต้องได้ ! ไหนเคยบอกพบว่าไม่ได้คิดอะไรกับคุณปวุฒิไง แล้วจู่ ๆ จะไปแต่งงานกันได้ยังไง”
รจนาไฉนอึกอัก พูดไม่ออก
“เอ้อ...คือ...พี่”
“ที่ผ่านมาพี่เพื่อนโกหกพบมาตลอดใช่มั้ย”
โลมฤทัยคาดคั้น
“พบถามว่าใช่มั้ย”
รจนาไฉนเปลี่ยนเรื่องพูดหันไปทางลำเพา
“คุณแม่ คุณแม่ตั้งใจจะให้น้องพบแต่งงานกับคุณปัทม์ไม่ใช่เหรอคะ”
โลมฤทัยเน้นย้ำ
“ฉันไม่มีวันแต่งงานกับผู้ชายต่ำ ๆ พรรณนั้นหรอก”
“แล้วทำไมพี่ถึงต้องแต่ง”
“อ้อ... เดี๋ยวนี้กล้าย้อนฉันเหรอพี่เพื่อน”
“เรื่องอื่นพี่ยอมเธอได้ทุกเรื่อง แต่เรื่องแต่งงาน...”
โลมฤทัยสวนทันที
“เรื่องนี้แหละที่เธอต้องยอม !”
“ทำไม”
“เพราะเธอคือรจนาไฉนยังไงล่ะ”
โลมฤทัยชี้หน้าพูดเสียงดังลั่น
“ถึงเวลาแล้ว...ที่นังเด็กกำพร้าไม่มีหัวนอนปลายตีน ต้องตอบแทนบุญคุณตระกูลวิชนีที่เลี้ยงมา !”
“ยายพบ! หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ”
โลมฤทัยชะงักนิดหนึ่งเมื่อเห็นนพรัตน์โกรธ แต่ลำเพากลับเข้าข้างลูกสาว
“ไม่จำเป็นต้องหยุด ! เพราะลูกพบพูดความจริง”
รจนาไฉนตกใจ
“อะไรนะคะ”
“ลำเพา… เราเคยตกลงกันแล้วนะว่าจะไม่พูดเรื่องนี้”
“มันถึงเวลาแล้วค่ะ ถึงเวลาที่เพื่อนต้องตอบแทนบุญคุณที่เราเลี้ยงมันมา ทั้ง ๆ ที่มันไม่ใช่ลูกแท้ ๆ”
“คุณลำเพา !”
“จริงเหรอคะคุณพ่อ... เพื่อนไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของคุณพ่อคุณแม่เหรอคะ”
นพรัตน์พูดไม่ออกเบือนหน้าหนี สงสารจับใจ รจนาไฉนยิ่งสะเทือนใจ
“พอเถอะลำเพา อย่าพูดอีกเลย”
“ฉันจะพูด ! เพื่อน...แกควรจะสำนึกเอาไว้นะ ถ้าไม่ได้พวกฉันชีวิตแกจะ เป็นไงบ้างก็ไม่รู้ ถ้าแกไม่ยอมแต่งงานแทนลูกพบ แกมันก็คนอกตัญญู เลี้ยงเสียข้าวสุก”
รจนาไฉนเสียใจหนัก ทนฟังไม่ได้อีกต่อไป วิ่งร้องไห้ออกไปทันที
“ลูกเพื่อน !”
นพรัตน์สงสารลูกสาวจับใจ เขาหันมามองลำเพาด้วยสายตาตำหนิ แต่ลำเพาไม่สนใจ สะบัดเดินออกไป ในขณะที่โลมฤทัยนึกสะใจในชะตากรรมของรจนาไฉน
ภายในห้องนอน รจนาไฉนทุ่มตัวลงบนเตียง ร้องไห้อย่างหนักด้วยความเสียใจและน้อยใจ เธอมองไปที่รูปถ่ายบนโต๊ะด้านหนึ่ง เห็นรูปถ่าย 2-3 ภาพในวัยเด็กของเธอที่ถ่ายกับครอบครัว แต่ละภาพแสดงให้เห็นชัดเจนว่า ลำเพารักโลมฤทัยมากกว่าเธอ ในภาพใบหนึ่ง ลำเพากอดโลมฤทัยไว้พร้อมถ้วยรางวัล ขณะที่รจนาไฉนยืนจ๋อยอยู่ในมุมภาพ
ในอดีต บริเวณสนามในบ้าน เวลากลางวัน ลำเพากำลังกอดโลมฤทัยในวัยเด็ก เธอหอมซ้ายหอมขวา ลูกสาวพร้อมกับถ้วยรางวัล ขณะที่รจนาไฉนยืนเก้ ๆ กัง ๆ อยู่มุมหนึ่งเหมือนเป็นส่วนเกิน นพรัตน์กำลังจะถ่ายรูปให้
“ลูกพบของแม่เก่งจริง ๆ ไอซ์สเก็ตเนี่ยไม่ได้ชนะกันง่าย ๆ นะ”
“มีคนแข่งอยู่แค่ 3 คน.. ดีใจยังกับได้แชมป์โลก”
ลำเพาหันมาแหวทันที
“รีบ ๆ ถ่ายเข้าเถอะน่า เร็ว ๆ”
นพรัตน์มองภาพในวิวฟายเดอร์ เพื่อนอยู่ขอบเฟรม แชะ.. ลำเพาหันไปเห็นรจนาไฉนแล้วตะคอกเข้าใส่
“อ้าว...แล้วเข้ามาถ่ายด้วยทำไม เกะกะ นี่ไม่ใช่เวลาของเรานะแม่เพื่อนออกไปหาน้ำหาท่าให้น้องพบกินสิ”
รจนาไฉนจ๋อยสนิท เดินตัวลีบออกไป นพรัตน์มองตามอย่างเห็นใจ
อดีตอีกวันหนึ่ง รจนาไฉนส่งสมุดพกให้ลำเพาดูด้วยความภาคภูมิใจ ลำเพารับมาดูแบบไม่ชื่นชมนัก
“เพื่อนสอบได้ที่ 1 ค่ะ”
“เออ..เก่งดีนี่ ดี ๆ ตั้งใจเรียนแบบนี้ก็ดีแล้ว”
พูดจบ ลำเพาหันไปทางโลมฤทัย
“ลูกพบแต่งตัวเสร็จแล้วใช่มั้ยคะ ไป ๆ เดี๋ยวครูเปียโนจะรอนะคะ”
ลำเพาวางสมุดพกของรจนาไฉนแบบไม่เห็นค่า เดินจูงโลมฤทัยออกไป รจนาไฉนเสียใจ แววตาเศร้าที่แม่ไม่รัก นพรัตน์เดินเข้ามาหาก้มลงคุยด้วย
“ลูกเพื่อนคนเก่งของพ่อ หนูไม่เคยทำให้พ่อผิดหวังเลย มา...ขอพ่อกอดทีนึงนะคะ”
นพรัตน์กอดรจนาไฉนด้วยความรัก เธอยิ้มดีใจ อบอุ่นที่อยู่กับนพรัตน์
“เดี๋ยวพ่อพาไปเลี้ยงไอติม วันนี้หนูอยากได้อะไร...พ่อจะซื้อให้นะคะ”
นพรัตน์เดินจูงมือลูกสาว รจนาไฉนยิ้มแฉ่งกอดแขนพ่อไว้
เรื่องราวในอดีตอีกเหตุการณ์เกิดขึ้นตอนกลางคืน รจนาไฉนนั่งซุกอยู่ที่ปลายระเบียงบ้านด้วยท่าทางหงอยเหงา นพรัตน์กำลังเดินตามหา ก็เห็นเธอที่ปลายระเบียงจึงรีบเดินเข้ามา
“ลูกเพื่อน...วันเกิดทำไมถึงมานั่งมืด ๆ คนเดียว น้อยใจที่แม่เขาจำวันเกิดไม่ได้เหรอ น่า...แม่เขาก็นิสัยแบบนี้แหละ พ่อมีของขวัญวันเกิดเตรียมไว้ให้หนูด้วยนะ”
รจนาไฉนชะงักไป หันมามองนพรัตน์ทันทีตามประสาเด็ก นพรัตน์ยิ้มเอาตุ๊กตาหมีที่ซ่อนไว้ออกมจากด้านหลัง
“แฮปปี้เบิร์ธเดย์จ้ะเพื่อน พ่อรักหนูมากนะคะ”
รจนาไฉนรับตุ๊กตาหมีมาจากนพรัตน์ ถลากระโดดเข้ากอดพ่อ
“เพื่อนรักคุณพ่อที่สุดในโลกเลยค่ะ”
สองพ่อลูกกอดกันด้วยความรัก
ภายในห้อง ดวงตาของรจนาไฉนเต็มไปด้วยน้ำตา เสียใจที่ได้รับรู้ความจริง นพรัตน์เดินเข้ามาหยุดมองอย่างเข้าใจจิตใจลูกสาว รจนาไฉนผวาเข้ากอดนพรัตน์ทั้งน้ำตา
“คุณพ่อ...เพื่อนเข้าใจแล้วว่า ทำไมตั้งแต่เล็กจนโต คุณแม่ถึงไม่เคยรักไม่เคยชื่นชมยินดีกับเพื่อนเลยแม้แต่ครั้งเดียว”
“อย่าคิดมากสิเพื่อน ทำไมแม่เขาจะไม่รักหนู”
รจนาไฉนน้ำตาคลอเบ้า เสียใจและคิดมาก
“คนเรามีวิธีการแสดงออกกับคนรักไม่เหมือนกันนะเพื่อน ถ้าแม่ไม่รัก เขาจะเลี้ยงเรามาจนโตถึงป่านนี้เหรอ”
รจนาไฉนร้องไห้ ปลอบยังไงก็ไม่รู้สึกดีขึ้น นพรัตน์นิ่วหน้า เหมือนกำลังมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกาย นพรัตน์พูดเสียงแผ่วลง
“หนูยังมีพ่ออยู่ทั้งคนนะลูก พ่อรักและหวังดีต่อหนู...ไม่ต่างอะไรจากพ่อแท้ ๆ เลยนะจ๊ะ”
“ค่ะ เพื่อนยังมีพ่อ”
นพรัตน์รู้สึกวิงเวียนหน้ามืด ใจหวิวทรุดลง รจนาไฉนเหลือบไปเห็นตกใจ
“คุณพ่อ !”
นพรัตน์หมดสติอยู่แทบพื้น รจนาไฉนตกใจตรงเข้าประคอง ร้องเรียกแต่นพรัตน์ไม่ได้สติ
ในโรงพยาบาล นพรัตน์นอนฟอกไตอยู่ในห้องด้วยอาการไม่สู้ดีนัก หมอกับพยาบาลกำลังดูแลอย่างใกล้ชิด รจนาไฉนยืนมองอยู่ห่าง ๆ ด้วยความเป็นห่วงเป็นอย่างมาก ก่อนจะค่อย ๆ เดินออกไป
รจนาไฉนสีหน้าไม่ดี ลำเพาเดินเข้ามากับโลมฤทัย สีหน้าบ่งบอกถึงความไม่สบายใจ
“คุณนพไตวาย ต่อไปนี้ต้องมาฟอกไตที่โรงพยาบาลทุกเดือน”
รจนาไฉนสงสารนพรัตน์
“คุณพ่อ...”
“ยังคิดว่าคนที่นอนพะงาบ ๆ จะเป็นจะตายอยู่ในนั้นเป็นพ่อแกอยู่อีกเหรอ”
“เพื่อนยังรักและเคารพคุณพ่อคุณแม่เสมอนะคะ”
“พี่เพื่อนไม่ต้องมาพูด ไม่ต้องมาสนใจพวกเราหรอก อยากจะไปไหนก็ไป”
ลำเพาบีบน้ำตาน้อยใจ
“ฉันมันมีเวรมีกรรม ทำบุญกับคนไม่ขึ้น ดูซิ...คุณนพยังจะมาป่วยอีก โรคไตใช้เงินไม่ใช่น้อย ๆ แล้วฉันจะเอาเงินที่ไหนมารักษา หรือจะต้องตายแบบอนาถา ฮือ ๆ”
รจนาไฉนจะเข้าไปปลอบใจลำเพา
“คุณแม่คะ”
โลมฤทัยเข้ามากันเอาไว้ แล้วผลักรจนาไฉนออกไป
“ไม่ต้องมายุ่ง ทำใจดี ๆ ไว้ค่ะ เราต้องมีทางออกสิคะ”
“ทางไหนล่ะ... หนี้ล้นพ้นตัวแบบนี้ จะให้แม่หันหน้าไปพึ่งใครได้ ไอ้คนที่หวังว่าจะได้พึ่ง มันก็ใจดำ ! ฮือๆ”
รจนาไฉนยืนฟังอย่างสะเทือนใจ
ภายในห้อพักผู้ป่วย พรัตน์นอนอยู่บนเตียง หน้าตาซูบซีด รจนาไฉนเดินเข้ามามองพ่อด้วยความสงสาร แล้วนั่งลงจับมือพ่อมาแนบแก้ม
“คุณพ่อขา.. เจ็บมากมั้ยคะ”
นพรัตน์เอื้อมมือออกไปลูบผมของรจนาไฉนอย่างแผ่วเบา
“พ่อขอโทษนะลูก”
“คุณพ่อ...”
“พ่อทำตามสัญญาที่เคยให้กับลูกไว้ไม่ได้”
ในอดีต นพรัตน์ยิ้มให้กับรจนาไฉนที่เพิ่งเป่าเค้กวันเกิดตัวเอง พ่อตัดเค้กกับลูกสาวด้วยความรัก
“พ่อสัญญาว่าจะดูแลและปกป้องหนูเอง เป็นเด็กดีของพ่อกับแม่นะจ๊ะ ลูกเพื่อน”
นพรัตน์มองหน้ากับรจนาไฉนด้วยความรัก
นพรัตน์น้ำตาคลอเอามือลูบหัวรจนาไฉน
“พ่อดูแลปกป้องลูกไม่ได้ตามสัญญา พ่อมันอ่อนแอจริง ๆ”
“คุณพ่อดูแลและปกป้องหนูมาตลอด คุณพ่อไม่ได้ผิดสัญญาอะไรเลยค่ะ”
“แต่พ่อทำให้ลูกเสียใจ...”
นพรัตน์สะเทือนใจและสงสารรจนาไฉนมาก
ประตูห้องเปิดออก ลำเพากับโลมฤทัยเดินเข้ามาเบา ๆ แต่ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนกำลังพูดกันอยู่
“ไม่ว่าความจริงจะเป็นยังไง จำไว้นะลูก...พ่อยังรักหนูเหมือนเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อเอง”
รจนาไฉนคิดนิดหนึ่งเหมือนตัดสินใจได้แล้ว
“คุณพ่อเมตตาเพื่อนมาตลอด เพื่อนสัญญาว่าต่อไปนี้เพื่อนจะดูแลคุณพ่อให้ดีที่สุด... เพื่อนยินดีทำทุกอย่าง เพื่อให้คุณพ่อมีความสุขค่ะ”
รจนาไฉนเด็ดเดี่ยว จนนพรัตน์รู้สึกละอายแก่ใจ
ลำเพากับโลมฤทัยเข้ามาได้ยินพอดี ทั้งสองยิ้มกันด้วยความลิงโลด นึกรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองต้องการน่าจะเป็นความจริงแล้ว
เวลาเย็นใกล้ค่ำ ที่โถงบ้านปวุฒิ เขากำลังเปิดแคตตาล็อกเวทดิ้งสตูดิโอเตรียมจะจัดงานแต่งงานกับรจนาไฉน สีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีมีความสุข แม่ปวุฒิกำลังทำความสะอาดบ้าน ถือไม้ขนไก่เดินเข้ามา
“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างนี้ แม่ว่าลูกแต่งงานกับหนูเพื่อนพรุ่งนี้เลยดีไหม”
“เป็นอย่างนั้นก็ดีสิครับ....ผมรักเธอมาก อยากให้เธอมาอยู่กับผม”
แม่ปวุฒิแหย่ลูกชาย
“ไม่ได้นะ ที่แม่สนับสนุนให้ลูกแต่งงานกับหนูเพื่อน ก็เพราะแม่อยากให้หนูเพื่อนไปอยู่บ้านแม่ต่างหาก”
ปวุฒิเข้ามาอ้อนแม่
“ถ้าผมแต่งงานแล้ว คุณแม่ก็ย้ายมาอยู่กับผมที่นี่สิครับ ผมจะได้ดูแลแม่ได้เต็มที่ แค่นี้ก็รู้สึกผิดจะแย่อยู่แล้วที่แม่ต้องมาช่วยผม ดูแลที่นี่ทุกอาทิตย์”
“อีกหน่อยลูกมีภรรยาแสนดีอย่างหนูเพื่อนดูแล แม่ก็ไม่ต้องมาหรอก แม่เชื่อว่าคนเก่งคนดีอย่างหนูเพื่อน จะดูแลลูกแม่ได้ดี”
ปวุฒิกอดแม่
“ครับคุณแม่”
“หมดเวลาอ้อนแล้ว เดี๋ยวแม่ขึ้นไปเก็บผ้าที่ด้านบนก่อน ฝนทำท่าจะตกแล้วสิ”
“ขอบคุณครับ”
แม่ปวุฒิเดินไปที่ห้องนอน ปวุฒิคิดถึงรจนาไฉนขึ้นมา
ปวุฒิออกมาที่มุมหนึ่งในบ้าน กดเบอร์โทร.หารจนาไฉนแล้วรอสาย แต่ไม่มีคนรับสาย เขามีสีหน้าแปลกใจ ตัดสินใจกดเบอร์ใหม่อีกครั้ง แล้วรอสาย
เวลาเย็นใกล้ค่ำ รจนาไฉนอยู่ที่มุมหนึ่งในบ้านวิชนี มองมือถือของตัวเองที่มีเสียงเรียกเข้า โทรศัพท์โชว์เบอร์ของปวุฒิ หญิงสาวนั่งมองนิ่งๆ ไม่คิดจะรับ ในใจเหมือนกำลังตัดสินใจเรื่องสำคัญ
ปวุฒิเริ่มกระวนกระวายใจที่รจนาไฉนไม่รับโทรศัพท์ กลับปล่อยให้โทรศัพท์เรียกเข้าจนตัดไป เขากดโทรศัพท์มือถืออีกครั้ง โทร.เข้าที่บ้านวิชนี
โถงบ้านวิชนี โทรศัพท์บ้านที่วางอยู่มุมหนึ่งดังขึ้นต่อเนื่อง แต่ไม่มีคนมารับ โลมฤทัยเดินเข้ามาอารมณ์เสีย
“ทำไมไม่มีใครรับโทรศัพท์ ! ฮัลโหล ! จะคุยกับใครคะ”
“ผมปวุฒิครับ”
โลมฤทัยดีใจ
“คุณปวุฒิ... ตั้งแต่กลับมาจากเชียงรายไม่ได้เจอกันเลยนะคะ เป็นยังไงบ้าง หายดีแล้วใช่มั้ยคะ”
“คุณพบ... คุณเพื่อนเป็นอะไรรึเปล่า ผมพยายามโทรไปตั้งหลายครั้ง แต่ทำไมคุณเพื่อนไม่รับสายก็ไม่รู้ครับ”
โลมฤทัยหงุดหงิดทันที
“นี่ไม่คิดจะคุยอะไรกับพบบ้างเลยเหรอคะ”
“ให้พี่พูดกับคุณปวุฒิเองดีกว่าน้องพบ”
โลมฤทัยหันไปเห็นรจนาไฉนยืนสีหน้านิ่งอยู่ โลมฤทัยยื่นโทรศัพท์ให้เธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ แต่ตัวเองยังไม่เดินไปไหน รจนาไฉนมองส่งสายตาเชิงขอความเป็นส่วนตัว
“พี่เพื่อนไม่จำเป็นต้องมีความลับกับเจ้าของบ้าน”
รจนาไฉนชะงักด้วยความสะเทือนใจ โลมฤทัยยิ้มสะใจ
“ปวุฒิคะ”
“คุณเพื่อนเป็นอะไรรึเปล่า...ทำไมไม่รับสายผม ผมกำลังดูแค็ตตาล็อกเวดดิ้งสตูดิโอฯ เลือกชุดแต่งงานของเราอยู่”
รจนาไฉนเสียงเรียบเย็นชา
“เหรอคะ”
“คุณเพื่อนเล่าเรื่องของเราให้คุณพ่อคุณแม่ฟังรึยัง ผมบอกคุณแม่ผมแล้วนะ พอรู้เรื่องปุ๊บ... ท่านรีบไปหาฤกษ์แต่งเลยล่ะ”
รจนาไฉนมีสีหน้าเศร้าและเรียบเฉย เย็นชาและเก็บความรู้สึกเศร้าเป็นอย่างมาก
“ปวุฒิคะ...เพื่อนมีเรื่องสำคัญจะคุยกับคุณ” เธอเว้นนิดหนึ่งเหมือนกำลังพยายามทำใจก่อนพูดต่อ
“เรื่องการแต่งงานของเราน่ะค่ะ... ค่ำนี้คุณออกมาพบเพื่อนหน่อยได้มั้ยคะ”
โลมฤทัยยิ้มเยาะ สะใจ อารมณ์ดีขึ้นมาทันที รจนาไฉนกำหูโทรศัพท์แน่นมือสั่นไปหมด
ภายในห้องนอน เวลาต่อมา รจนาไฉนกำลังนั่งอยู่ที่หน้ากระจก มองเข้าไปเห็นใบหน้าที่เศร้าสร้อยของตัวเอง สีหน้าเครียด เรียบเฉยเหมือนกำลังพยายามสะกดความเศร้ากลืนลงไปในอก
“การแต่งงานของเราจะไม่มีวันเกิดขึ้นค่ะปวุฒิ... เพราะฉันไม่ใช่เจ้าหญิงแสนดีของเจ้าชายอย่างคุณอีกแล้ว”
รจนาไฉนเด็ดเดี่ยวและมุ่งมั่น ค่อย ๆ หยิบแป้งพัฟขึ้นมาแต่งเติมหน้าจนสีเข้มและแรงจัดมาก ต่างจากปกติที่เคยเป็น เธอหมุนตัวเองหน้ากระจกในชุดเปรี้ยวเฉี่ยวเซ็กซี่ บอกตัวเองในกระจก
“ฉัน... รจนาไฉน กำลังจะแต่งงานกับ คุณปัทม์ ปัทมกุล เจ้าของไร่ชาผู้ร่ำรวย!”
พ.ต.ท.ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะ นั่งอยู่ในผับ มีเพียงแก้วน้ำส้มวางอยู่ เขารู้สึกแปลกใจที่รจนาไฉนนัดพบที่ผับแห่งนี้
“ทำไมคุณเพื่อนถึงนัดที่นี่ รึว่าอยากจะเปลี่ยนบรรยากาศ”
ปวุฒิยิ้มให้กับตัวเอง พลางหยิบช่อดอกกุหลาบที่เตรียมมอบให้เพื่อนขึ้นมา
เสียงชายที่นั่งข้างๆ ชี้ชวนให้เพื่อนดูสาวเปรี้ยวที่เดินเข้ามาในผับ
“เฮ้ย ดูโน่นสิวะ เด็ดสุดแล้วในคืนนี้”
ปวุฒิได้ยินก็หันไปมองที่ทางเข้า ปวุฒิรู้สึกแปลกใจมาก
“คุณเพื่อน!”
แสงไฟจากมิลเลอร์บอล รับร่างรจนาไฉนที่แต่งตัวเซ็กซี่เดินเฉิดฉายเข้ามา ปวุฒิมองด้วยความแปลกใจมาก รจนาไฉนเดินเข้ามาด้วยความมั่นใจ ผู้คนในผับต่างจ้องมองรจนาไฉนเป็นตาเดียว รจนาไฉนเดินผ่านไป
ปัทม์เดินเข้ามาในผับ มองเห็นรจนาไฉนก็จำได้....เขามองไปเห็นรจนาไฉนเดินตรงไปหาปวุฒิ เขาจำทั้งสองได้เป็นอย่างดี ปัทม์คิดอะไรบางอย่าง
ปวุฒิยืนรอรจนาไฉนอยู่ที่โต๊ะ...
“วันนี้คุณเพื่อนแต่งตัว...” ปวุฒิไม่กล้าพูดต่อ
รจนาไฉนสวนขึ้นทันควัน
“เซ็กซี่ ! ดูแปลกตาใช่มั้ยล่ะคะ คุณปวุฒิไม่ชอบเหรอคะ”
“ชอบครับ...ถึงจะแปลกตายังไงแต่คุณเพื่อนของผมก็น่ารักเสมอ”
ปวุฒิหยิบช่อดอกกุหลาบส่งให้รจนาไฉน
“สำหรับคุณเพื่อนครับ”
“แค่ช่อดอกกุหลาบเล็ก ๆ เองเหรอคะ เพื่อนนึกว่าจะได้แหวนเพชรเม็ดโตซะอีก”
รจนาไฉนรับช่อดอกกุหลาบมาแล้ววางลงบนโต๊ะไม่แยแสนัก ปวุฒิแปลกใจ รจนาไฉนลงนั่งแล้วสั่งบริกร
“ฉันขอวิสกี้ !”
“ครับ”
ปวุฒิแปลกใจ
“ไม่เคยรู้ว่าคุณเพื่อนดื่ม”
“เป็นเพราะคุณยังไม่รู้จักเพื่อนดีพอมั้งคะ”
“ใครบอกล่ะครับ...ผมรู้จักรจนาไฉนคนรักของผมดี เธอเป็นเจ้าหญิงแสนดีและแสนสวย..ไม่สิครับ วันนี้เธอเป็นเจ้าหญิงที่เซ็กซี่ที่สุดด้วย”
รจนาไฉนบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“คุณยังไม่รู้ความจริงอีกข้อหนึ่ง... ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกบ้านวิชนีขอมาเลี้ยง”
ปวุฒิแปลกใจ
“คุณเพื่อนพูดอะไรครับ”
ปัทม์นั่งอยู่โต๊ะด้านหลังของปวุฒิ ปัทม์สะดุดหูทันที
“วิชนี”
“คุณเพื่อนล้อผมเล่นรึเปล่า” ปวุฒิถาม
“คุณคิดว่าการเกิดมาเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกเก็บมาเลี้ยงน่าเอามาพูดเล่นเหรอคะ”
บ๋อยเอาวิสกี้มาแต่ไม่ทันได้เสิร์ฟ รจนาไฉนคว้ามาดื่มหมดแก้ว แล้วสั่งเพิ่ม
“เอามาอีก”
ปวุฒิพอจะตั้งตัวได้ และคิดว่าเป็นเรื่องจริง
“อย่าเสียใจเลยนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น...คุณยังมีผม ผมให้สัญญากับคุณแล้วว่า ผมจะดูแลคุณให้ดีที่สุด”
รจนาไฉนเย้ย
“เงินเดือนข้าราชการจะได้สักเท่าไหร่เชียว คุณดูแลเพื่อนไม่ได้หรอก”
“หมายความว่าไงครับ”
“ยิ่งฉันไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของบ้านวิชนี นั่นเท่ากับว่า ฉันจะไม่ได้อะไรจากพวกเขาเลย”
ปัทม์นั่งฟังเรื่องราวด้วยความตั้งใจ
“เพราะฉะนั้นถ้าฉันจะแต่งงาน ฉันต้องแต่งกับคนที่รวย คนที่จะสร้างความสุขสบายให้กับฉันได้”
รจนาไฉนส่งแหวนคืนให้ปวุฒิ แล้วจะลุกออกไป
“ตอนนี้ฉันเจอผู้ชายคนนั้นแล้ว เราเลิกกันเถอะค่ะ”
ปวุฒิคว้าแขนของรจนาไฉนเอาไว้
“ผมไม่เชื่อ คุณโกหกผม ผู้ชายคนนั้นไม่มีตัวตน”
“เขาชื่อปัทม์ ปัทมกุล เจ้าของไร่ชาที่ใหญ่ที่สุดในเชียงราย มีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน เป็นไงคะ...มีตัวตนหรือยังคะ”
ปัทม์เคียดแค้นที่รจนาไฉนคิดฉวยโอกาสให้เขาเป็นบันไดสู่ความสบาย... เขากำแก้วเหล้าแน่น
“คนที่เค้าจะต้องแต่งงานด้วยคือโลมฤทัย... ไม่ใช่คุณ”
“แค่เล่นละครอ้อนวอนให้คุณพ่อสงสาร ท่านก็เปลี่ยนตัวเจ้าสาวจากน้องพบมาเป็นฉันแล้ว ถึงฉันจะเป็นแค่ลูกเลี้ยง แต่ฉันก็ควรจะได้อะไรบ้างไม่ใช่เหรอ”
ปวุฒิอึ้ง
“แล้วความรักของเราล่ะ”
ปวุฒิยืนตัวสั่น รจนาไฉนเข้ามาหาปวุฒิ ทำทีเป็นปลอบใจ
“ความรักมันกินไม่ได้หรอก...ความรักของฉันขึ้นอยู่กับตัวเลขในบัญชีธนาคาร ลาก่อนค่ะ”
ปวุฒิตัวชา รจนาไฉนจะเดินออกไป แต่เขาคว้าตัวเอาไว้
“ผมไม่เชื่อ คนอย่างคุณไม่มีทางเป็นอย่างนั้น”
รจนาไฉนพูดท้าทาย
“วันนี้คุณจะรู้...ฉันทำได้มากกว่าที่คุณคิด !”
ขาดคำรจนาไฉนเดินตรงไปที่เวที ปวุฒิแปลกใจว่ารจนาไฉนจะทำอะไร
จังหวะเดียวกัน ปัทม์นั่งมองกระจกเงาที่สะท้อนภาพตรงเบื้องหน้า เห็นรจนาไฉนเดินตรงไปยังเวที ผ่านบ๋อยที่กำลังจะเอาเหล้าไปเสิร์ฟที่โต๊ะหนึ่ง รจนาไฉนคว้าขวดเหล้าเดินตรงไปยังเวที แล้วยกเหล้าขึ้นดื่ม เหล้าไหลรินจากปากรดลงทั่วร่างกายหญิงสาว
ปวุฒิเห็นก็ตกใจ
“คุณเพื่อน !”
ปัทม์นั่งมองด้วยความสมเพช... รจนาไฉนคว้าไมโครโฟนขึ้นมาประกาศ
“ท่านสุภาพบุรุษคะ ในค่ำคืนนี้ใครต้องการสาวเซ็กซี่เร่าร้อนใจไปร่วมโต๊ะบ้าง ขอเสียงหน่อย”
ผู้ชายต่างปรบมือ บ้างก็ยกมือเสนอตัว
“เรามาเปิดประมูลกันดีกว่า ใครรวยที่สุด... ฉันจะไปสนุกด้วย !”
ผู้ชายคนหนึ่งชูเงินฟ่อนใหญ่ เดินตรงเข้ามาหารจนาไฉน เธฮรับเงิน
“ไม่ดูถูกความสวยของฉันไปหน่อยเหรอคะ”
รจนาไฉนโปรยเงินว่อนไปทั่ว ชายคนนั้นรีบเก็บเงิน ปัทม์ยืนมองด้วยความเกลียดชังที่รจนาไฉนทำตัวแย่มาก... รจนาไฉนตะโกนถามเสียงดังลั่น
“ว่าไงคะ ใครคิดว่ารวยที่สุด มารับตัวฉันไปได้เลย”
ปวุฒิตะโกนถาม
“คุณอยากได้เท่าไหร่”
ทุกคนมองมายังปวุฒิ.....รจนาไฉนเดินลงจากเวทีเดินตรงมาหาปวุฒิ
“ผมจะหาให้คุณเอง!”
“ร้อยล้าน....วันนี้และเดี๋ยวนี้!”
ปวุฒิอึ้ง
“ผมจะพยายามหาให้คุณ ให้เวลาผมสักหน่อย”
ปวุฒิเอาแหวนยื่นให้รจนาไฉน
“แต่งงานกับผมนะ”
“น้ำหน้าอย่างคุณ ชาติหน้าคุณก็หาให้ฉันไม่ได้”
รจนาไฉนรับแหวนมา
“ถ้าไม่มีเงินอย่ามาเสนอหน้า!”
เธอขว้างแหวนใส่หน้าปวุฒิ แล้วเดินออกไป ปวุฒิเสียใจมาก รจนาไฉนเดินออกไปอย่างไม่แยแส เขาตัดสินใจวิ่งตาม
ปัทม์มองรจนาไฉนด้วยความเกลียดชัง
“คุณเพื่อน....กลับมาก่อน!”
ที่หน้าผับ ปวุฒิวิ่งออกมา ตะโกนตามหารจนาไฉน
“คุณเพื่อน คุณอยู่ไหน”
เสียงฟ้าร้อง ฝนก็ตกลงมา ปวุฒิวิ่งออกตามหารจนาไฉน... เธอยืนหลบอยู่ที่มุมหนึ่ง น้ำตาไหลออกมาด้วยความเสียใจกับสิ่งที่ทำกับปวุฒิ
ปวุฒิวิ่งตามหาเธอด้วยหัวใจที่แหลกสลาย ท่ามกลางสายฝน... รจนาไฉนออกจากที่ซ่อน ยืนมองเขาด้วยความเสียใจ ร้องไห้ออกมาด้วยหัวใจแทบสลายเช่นเดียวกันก่อนจะวิ่งออกไป
“คุณปวุฒิ ให้อภัยเพื่อนด้วย”
ปวุฒิทรุดตัวลงร้องไห้กลางสายฝน...
“คุณเพื่อน...”
ปัทม์ยืนมองที่มุมหนึ่ง บริเวณหน้าผับ เขายืนมองดูปวุฒิที่หัวใจแตกสลายจากคนรักที่ทิ้งไปเพราะเงิน เขาพูดกับตัวเอง
“ความรักไม่มีอยู่จริง ผู้หญิงทุกคนบูชาเงินเป็นพระเจ้า! โดยเฉพาะผู้หญิงหิวเงินคนนั้น”
ปัทม์มองดูปวุฒิด้วยความเห็นใจ และพาลคิดโกรธแค้นรจนาไฉน
“ฉันขอสัญญา ฉันจะเป็นพญามัจจุราชพาเธอไปสู่ห้วงนรกให้เร็วที่สุด”
เสียงฟ้าร้องดังขึ้น แสงฟ้าแลบสว่างทาบบนใบหน้าปัทม์ เสมือนพญามัจจุราชที่พร้อมออกคร่าวิญญาณ
สายฝนที่โปรยปรายลงมาอย่างต่อเนื่อง รจนาไฉนเดินอย่างเลื่อนลอยมาที่สะพาน ใบหน้าที่เคยแต่งแต้มเครื่องสำอางสีสันฉูดฉาด เลอะเปรอะเปื้อนใบหน้าเพราะสายฝนและน้ำตา เธอหมดแรงจะยืนทรุดตัวลงกับพื้น ร้องไห้ด้วยหัวใจแตกสลาย
“คุณปวุฒิคะ โปรดยกโทษให้กับเพื่อนด้วย คุณปวุฒิเป็นเจ้าชายที่แสนดี ไม่คู่ควรที่จะลดตัวมาใช้ชีวิตกับเพื่อน เพื่อนเป็นแค่เด็กกำพร้าที่ไม่มีอนาคต เพื่อน ไม่ใช่เจ้าหญิงแสนดีของคุณอีกต่อไป”
เช้าวันใหม่ ห้องโถงบ้านวิชนี รจนาไฉนกำลังถูพื้น สาวใช้เดินเข้ามาเห็นตกใจ รีบเข้ามาห้าม...
“คุณหนูเพื่อน คุณหนูมาถูพื้นไม่ได้นะคะ”
“เธอก็รู้แล้วไม่ใช่เหรอ ว่าฉันไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของบ้านนี้ ฉันเป็นแค่เด็กกำพร้าที่คุณพ่อ คุณแม่เมตตาเก็บมาเลี้ยง ตอนนี้สถานภาพของฉันก็ไม่ต่างจากเธอหรอก”
“แต่ว่าคุณหนู”
“ต่อไปนี้ไม่ต้องเรียกฉันว่าคุณหนู มีเพียงคุณพบคนเดียวเท่านั้นที่เป็นคุณหนูของบ้านนี้” รจนาไฉนบอก
โลมฤทัยเดินเข้ามาพอดี
“ใช่...ฉันเป็นลูกสาวคนเดียวของวิชนี!”
สาวใช้กลัวโลมฤทัยจึงรีบหลบไป
“พี่เพื่อนถูบ้านเสร็จ ขึ้นไปเก็บของในห้องพี่ด้วย”
รจนาไฉนแปลกใจ
“น้องพบหมายถึงอะไร”
“ฉันต้องการให้พี่เก็บข้าวของของพี่ออกไปจากห้องให้หมด เพราะฉันจะยุบเอาห้องพี่มารวมเป็นห้องฉัน...ฉันควรจะได้เป็นเจ้าของห้องใหญ่มานานแล้ว ถ้าคุณพ่อไม่เอาพี่มาเลี้ยงไว้”
ในอดีต วัยเด็ก โลมฤทัยถือจดหมายเข้ามาในบ้านโวยวายใส่ลำเพา
“คุณครูส่งจดหมายทวงค่าเทอมแล้ว คุณแม่ยังไม่จ่ายอีก พบอายเพื่อนทั้งห้องแล้ว!”
“แม่จะเอาเงินที่ไหนไปจ่ายล่ะ ก็พ่อเราเอาเงินไปรักษายายเพื่อนหมด”
ลำเพาหันไปมองรจนาไฉนที่นอนป่วย นพรัตน์คอยดูแลอยู่ไกลออกไป จึงไม่ได้ยินคำพูดระหว่างสองคนนี้
“เพราะแกคนเดียว ฉันถึงต้องอายเค้า”
“แม่เคยบอกลูกแล้วไง ว่านังนี่มันเป็นตัวซวย นังเด็กกำพร้าที่สร้างปัญหาให้เราไม่รู้จักจบสิ้น เราต้องหาทางเฉดหัวมันออกไปจากบ้าน!”
โลมฤทัยมองรจนาไฉนที่นอนป่วยด้วยสายตาเกลียดชัง
รจนาไฉนถึงกับอึ้งที่ได้ยินเรื่องให้เก็บข้าวของออกจากห้อง
“พี่คงไม่ว่าฉันใจร้ายใจดำหรอกนะ ฉันก็แค่ทวงสิทธิ์อันชอบธรรมของฉัน ในเมื่อฉันเป็นลูกแท้ ๆ ของคุณพ่อคุณแม่ ฉันก็ควรได้เป็นเจ้าของทุกอย่าง”
“ได้จ้ะ... พี่จะย้ายไปอยู่ที่เรือนคนใช้”
โลมฤทัยตวาดใส่
“ก็รีบไปสิ! หวังว่าฉันกลับเข้ามา ทุกอย่างจะเรียบร้อย”
รจนาไฉนกล้ำกลืนฝืนทน ยอมรับสภาพที่เปลี่ยนไป
“จ้ะ”
โลมฤทัยเดินออกไป รจนาไฉนน้อมรับชะตากรรมของตัวเอง เธอหันไปเห็นลำเพายืนอยู่ที่มุมหนึ่งของบ้าน ลำเพารับรู้เรื่องราวการคุยของทั้ง 2 คน
บนโต๊ะอาหารกลางวัน ลำเพานั่งอยู่ รจนาไฉนยกอาหารมาเสิร์ฟให้
“วันนี้เพื่อนทำข้าวต้มปลาที่คุณแม่ชอบค่ะ” .
ลำเพารับมาแต่ไม่สนใจ รจนาไฉนยืนอยู่จนทำให้ลำเพาอึดอัดเล็กน้อย
“เสร็จธุระแล้วก็รีบไปย้ายของออก อย่าให้น้องต้องโมโหอีก”
“คุณแม่คะ...เพื่อนยอมทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคุณแม่และน้องพบ เพื่อนขออะไรจากคุณแม่บ้างได้มั้ยคะ”
ลำเพาโกรธขึ้นเสียงใส่
“นี่แกคิดลำเลิกบุญคุณฉันเหรอ แค่ยอมแต่งงานแทนน้องมันลำบากมากรึไง ถึงจะมาทวงบุญคุณกับฉัน!”
“เพื่อนไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะคะคุณแม่”
“แล้วแกจะมาเรียกร้องหาสวรรค์วิมานอะไร”
รจนาไฉนรีบนั่งลง...พยายามอธิบายความจริงก่อนที่ลำเพาจะเข้าใจผิด
“เพื่อนแค่ขอความเมตตา จากคุณแม่” เธอยกมือไหว้ลำเพาแล้วร้องไห้ก่อนพูดต่อ
“คุณแม่คะ รักเพื่อนบ้างได้มั้ยคะ”
รจนาไฉนมองหน้าลำเพาที่รอคอยคำตอบ ลำเพายังคงหมั่นไส้และเกลียดชังรจนาไฉน
“เลิกทำสำออยบีบน้ำตา แกไปย้ายออกจากห้องได้แล้ว ไป๊”
ลำเพาไม่สนใจตอบ รจนาไฉนเสียใจลุกขึ้นออกไปทำตามคำสั่งของลำเพา ก่อนจะเดินออกไป ลำเพาพูดขึ้นมา
“ฉันจะพยายามรักแก ถ้าแกทำตามคำสั่งของฉัน”
รจนาไฉนหันมายิ้ม ถึงแม้ลำเพาจะไม่เปิดรับเธออย่างเต็มใจ แต่เธอเชื่อว่าสักวัน ความดีของเธอจะทำให้ลำเพารักเธอได้อย่างเต็มใจ
“เพื่อนสัญญาค่ะ เพื่อนจะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคุณแม่”
รจนาไฉนเดินออกไป ลำเพาเหยียดยิ้มขณะมองตาม แววตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
“ไม่มีวันที่ฉันจะรักแกหรอก...นังเด็กกำพร้า”
อ่านต่อตอนที่ 2