มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 5
หลายวันต่อมา รจนาไฉนเดินมาหยุดมองไร่ชาที่เขียวขจี ที่เต็มไปด้วยหมอกขาวที่สวยงามยามเช้า แต่เธอกลับน้ำตาซึม
“ฉันควรจะยืนอยู่ที่นี่อย่างสมศักดิ์ศรี ในฐานะภรรยาของคุณปัทม์ เจ้าของไร่ชาปัทมกุล แต่นี่มันเกิดอะไรขึ้น ทำไมฉันต้องมาตกอยู่ในฐานะคนใช้ ทำไมเขาต้องกลั่นแกล้งฉันด้วย ไม่สิ...มันไม่ใช่ความผิดของเขา
ฉันผิดเองที่เกิดมามีกรรม เกิดมาไม่มีใครรัก เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ถูกทอดทิ้ง”
รจนาไฉนยืนมองดวงอาทิตย์ที่กำลังขึ้น น้ำตาคลอ
“นี่เป็นบทลงโทษจากสวรรค์ใช่มั้ย ฉันถึงต้องตกขุมนรกตายทั้งเป็นแบบนี้ ได้โปรดเถอะ ใครก็ได้ โปรดเมตตาพาฉันขึ้นไปจากขุมอเวจีแห่งนี้เสียที”
รจนาไฉนร้องไห้น้ำตาไหลพราก และแล้วก็มีเสียงดังขึ้นทางด้านหลัง
“คุณเพื่อน”
รจนาไฉนแปลกใจ...หันกลับไปมองทางด้านหลัง สายตาอันพร่าเลือนด้วยหยดน้ำตาค่อยๆกระจ่างชัดขึ้น ท่ามกลางไอหมอกยามเช้า ผู้ชายตรงหน้าที่ยืนอยู่คือ พ.ต.ท.ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะ เขาเหมือนเทพบุตรที่จะมาฉุดช่วยชีวิตเธอ
“คุณปวุฒิ”
รจนาไฉนดีใจวิ่งไปหาปวุฒิ แต่แล้ว...มโนสำนึกแห่งความผิดชอบชั่วดี ทำให้หยุดตัวเองไว้ตรงนั้น ปวุฒิแปลกใจ เขาเดินตรงเข้ามาหาเธอ
“คุณเพื่อน ผมคิดถึงคุณมากรู้มั้ย”
ปวุฒิจะเข้ามาหากอด แต่เธอรีบห้ามไว้ ปวุฒิหยุดทันที
“คุณไม่ควรมาที่นี่ กลับไปเถอะค่ะ”
“ทำไมล่ะ... ผมเป็นห่วงคุณมากนะ คุณเป็นยังไงบ้าง”
“เพื่อนสบายดี เพื่อนมีความสุขมากค่ะ”
“แต่สีหน้าคุณไม่เป็นเหมือนคำพูด”
รจนาไฉนฝืนยิ้ม
“คิดจะจับพิรุธเพื่อนเหรอ งานนี้คุณพลาดแล้วล่ะ เพื่อนมีความสุข ได้ใช้ชีวิตในไร่ชาที่สวยงาม ชีวิตเพื่อนเหมือนเจ้าหญิงในเทพนิยายเลยนะคะ”
รจนาไฉนเดินไปมาท่ามกลางไร่ชาที่โอบล้อมไปด้วยทุ่งดอกไม้ ปวุฒิเดินตาม
รจนาไฉนกำลังเดินนำปวุฒิไปตามไร่ชาที่วิวทิวทัศน์สวยงาม
“ทุก ๆ เช้า เพื่อนจะออกมาเดินเล่นชมดอกไม้ ท่ามกลางหมอกขาว มันเป็นสิ่งที่เพื่อนใฝ่ฝันมาทั้งชีวิต”
รจนาไฉนน้ำตาไหลหันหลังหลบเพื่อปาดน้ำตา...
“คุณแน่ใจนะ”
“ใกล้เวลาทานของว่าง คุณปัทม์กำลังรอทานน้ำชา เพื่อนไปก่อนนะคะ”
“ผมไม่เชื่อหรอกว่าคุณสบายดี ไม่ใช่ว่าเพราะผมจับผิดคนเก่ง แต่เพราะผมรู้จักคุณดีต่างหาก”
ปวุฒิเดินเข้ามาหา รจนาไฉนหลบหน้าไม่อยากให้ปวุฒิเห็นคราบน้ำตา
“รจนาไฉนของผมไม่เคยหลบสายตาใคร และที่สำคัญ...ผมสัมผัสได้ถึงความรู้สึกเบื้องลึกในหัวใจคุณ มันคือสัมผัสทางใจ”
รจนาไฉนไม่อาจทนฟังคำพูดได้อีก รีบเดินหนี
“หยุดเถอะ ได้โปรดหยุดพูดซะทีได้มั้ย”
“ใจของคุณบอกผมว่า...คุณยังคิดถึงผม คุณยังรักผม ต่อให้เราห่างไกลกันแค่ไหน แต่สายใยความรักที่เรามีให้กันไม่เคยเลือนหายไป”
“เพื่อนบอกให้หยุด”
ปวุฒิหยุดพูด เธอมองปวุฒิและไม่อาจปกปิดความรู้สึกได้อีกต่อไป
“เพื่อนก็คิดถึงคุณค่ะ”
รจนาไฉนโผเข้ากอดปวุฒิ ทั้งสองกอดกันแนบแน่น ด้วยความรักที่มีให้กันไม่จางหาย
ปัทม์เข้ามานั่งในห้องอาหาร จันทร์เจ้าเอาอาหารมาเสิร์ฟ ปัทม์มองหารจนาไฉน
“คุณปัทม์ต้องการอะไรเพิ่มเจ้า”
“เปล่า”
ปัทม์ตักอาหารทาน แต่ในใจยังเป็นห่วงรจนาไฉน
“ถ้าอยากเรียกใช้รจนาไฉน จันทร์ไปเรียกให้นะเจ้า”
“ไม่ต้อง แล้วนี่เค้าไปไหน”
“ออกไปที่ไร่ชาแต่เช้าแล้วเจ้า”
ปัทม์ตัดสินใจวางช้อน แล้วลุกออกไปทันที
บริเวณไร่ชา ปวุฒิเช็ดน้ำตาให้รจนาไฉน
“วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายที่คุณจะเสียน้ำตาให้กับความทุกข์ที่นี่”
“คุณหมายความว่าไง”
“หนีไปกับผม เราจะกลับกรุงเทพฯด้วยกัน”
“ไม่ได้นะคะ เพื่อนทำอย่างนั้นไม่ได้”
รจนาไฉนไม่ทันได้ปฎิเสธ แต่ปวุฒิพาเธอออกไป
มุมหนึ่งที่ไร่ชา ปัทม์ควบม้ามาที่ไร่ชา มองหารจนาไฉน ชิเสนอหน้าเข้ามา
“นายตามหาชิเหรอ”
ปัทม์ไม่สบอารมณ์ ขี่ม้าไปดูอีกมุมหนึ่ง....แต่ไม่เจอ ชิเข้ามา
“นายตามหาใคร รึว่าตามหาคุณรจนาไฉน”
“อยู่ไหน”
“ใครล่ะนาย”
“ไอ้ชิ”
“ชิเห็นคุณรจนาไฉนอยู่ทางด้านโน้นนะนาย”
ชิพูดไม่ทันจบ ปัทม์ก็ควบม้าออกไปทันที
ปวุฒิพารจนาไฉนมาที่รถ
“คุณปวุฒิ เพื่อนไปกับคุณไม่ได้”
“คุณจะทนอยู่กับคนที่ไม่ได้รักคุณอีกทำไม”
“แต่เพื่อนก็ได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของเขา”
“มันก็เป็นแค่หัวโขนที่สร้างขึ้นมาทั้ง ๆ ที่คุณไม่ได้รักเขาเลย ผมจะพาคุณกลับกรุงเทพฯ แล้วให้คุณพ่อคุณแม่คุณทำเรื่องขอหย่า”
ปวุฒิขับรถออกไปทันที
รจนาไฉนนั่งอยู่ในรถ รจนาไฉนขอร้องปวุฒิ
“คุณปวุฒิ เพื่อนขอร้องล่ะ...หยุดรถเถอะค่ะ”
“ผมไม่ยอมให้คนรักต้องเจ็บปวดหรือเสียใจเป็นอันขาด คุณถูกรังแกจิตใจมากเกินไปแล้ว”
“เพื่อนบอกคุณแล้วไงคะ เพื่อนเป็นภรรยาของเขาโดยถูกต้องตามกฎหมาย”
“แต่เขาไม่มีสิทธิ์ทำร้ายจิตใจภรรยาเหมือนทาส คุณมีสิทธิ์ที่ฟ้องหย่า ผมจะช่วยเหลือคุณเอง”
รจนาไฉนมองเห็นปัทม์ควบม้าสวนมาแต่ไกลก็ตกใจ
“คุณปัทม์”
ปัทม์ควบม้าตรงมายังรถปวุฒิ ปวุฒิตัดสินใจเบรกรถกะทันหัน ม้าของปัทม์ยกขาขึ้น ร้องเสียงดังลั่น
ปวุฒิลงจากรถ ตามด้วยรจนาไฉน ปัทม์ยังคงนั่งอยู่บนหลังม้า
“ยินดีที่ได้เจอกันอีกครั้งครับคุณปวุฒิ นึกไม่ถึงเลยว่า รสรักรสสวาทจะรุนแรง ถึงขั้นข้ามดอยมาแย่งเมียคนอื่น !”
“พูดดี ๆ นะ... คุณปวุฒิไม่ได้ทำอะไรอย่างที่คุณพูด”
“เลิกเข้าข้างชู้ซะทีได้มั้ย ! อย่าคิดว่าฉันจะโง่และตาบอดเหมือนผู้ชายคนอื่น เธอไม่รู้บ้างเลยรึไงว่าการเป็นภรรยาที่ดีควรทำตัวยังไง คบชู้สู่ชายในไร่ของผัวตัวเอง ทุเรศสิ้นดี”
“หยุดก้าวร้าวคุณเพื่อนเดี๋ยวนี้”
ปัทม์กระโดดลงจากหลังม้า มองหน้าปวุฒิ
“คุณไม่มีสิทธิ์สั่ง !! เพราะแผ่นดินที่คุณเหยียบ มันคืออาณาเขตของไร่ปัทมกุล ออกไปจากไร่ผมเดี๋ยวนี้ !!”
“คุณปวุฒิกลับไปเถอะค่ะ”
ปวุฒิบอกปัทม์
“ไม่”
ปัทม์ชักปืนออกจากด้านหลังขึ้นมาจ่อปวุฒิ...
รจนาไฉนบอกปัทม์
“อย่าทำอะไรบ้า ๆ นะ ปวุฒิ คุณกลับไปเถอะ เพื่อนขอร้อง”
“คุณไม่ต้องห่วง เขาไม่กล้าหรอก”
ปัทม์กระชากลูกเลื่อนขึ้นลำกล้องทันที
“คุณปวุฒิกลับไปเถอะค่ะ”
“ยิงสิ...ผมเจอคนจริงมาก็เยอะ แค่ดูแววตา ผมก็รู้ว่ามันก็แค่ไอ้ขี้ขลาด !”
ปัทม์มองปวุฒิด้วยความเกลียดชังมากขึ้น รจนาไฉนรู้นิสัยปัทม์ดีว่าไม่ชอบให้ใครมาท้าทายเธอ รีบเข้าไปห้ามปวุฒิ
“หยุดเถอะ อย่าไปท้าทายเขาเลย”
ปวุฒิมองเย้ยและท้าทายปัทม์มากขึ้นไปอีก
“ผู้ชายคนนี้ทำได้แค่ใช้อำนาจข่มขู่คนอื่นไปวัน ๆ พอทุกคนกลัวก็เลยได้ใจ คิดว่าตัวเองยิ่งใหญ่ที่สุด แต่ความเป็นจริงแล้ว ในใจของเขากลับกลวง ไม่มีความกล้า”
ปัทม์ยิงปืนใส่ปวุฒิทันที ปวุฒิหลบได้ ปืนเฉี่ยวไปโดนรถ...
“คุณรู้จักผมน้อยเกินไป”
ปัทม์จะยิงซ้ำ รจนาไฉนตกใจ ปวุฒิตัดสินใจพุ่งเข้าไปชาร์ต ทั้งสองแย่งปืนกันจนปืนตกอยู่ที่พื้นใกล้กับที่รจนาไฉนยืนอยู่ ปัทม์ตะโกนบอก
“ส่งปืนมาให้ฉัน”
รจนาไฉนลังเล หยิบปืนขึ้นมา
“ฉันบอกส่งปืนมา”
รจนาไฉนตัดสินใจโยนปืนทิ้ง ปวุฒิเข้าต่อยและเตะปัทม์ ทั้งสองต่อสู้กันด้วยมือเปล่า ทั้งสองก็กลิ้งลงไปยังทางลาดชันด้านล่าง รจนาไฉนตกใจ
“คุณปวุฒิ”
ทั้งสองกลิ้งลงมาด้านล่าง ปัทม์ลุกขึ้นต่อย ปวุฒิพยายามป้องกันตัวเอง ปัทม์จะเข้าไปซ้ำอีก แต่รจนาไฉนเข้ามาคว้าแขนไว้
“หยุดเถอะ”
“ฉันบอกให้ปล่อย”
ปัทม์ผลักรจนาไฉนล้มลงไปกระแทกกับต้นไม้
“โอ๊ย”
ปัทม์ตกใจหันไปมองรจนาไฉนด้วยความเป็นห่วง แต่แล้วปวุฒิเข้ามาต่อยปัทม์ ทำให้ปัทม์พลาดท่า เสียที ปัทม์ลุกขึ้นมาตั้งหลักต่อสู้ต่อจนกลายเป็นฝ่ายเหนือกว่า ปัทม์ทำท่าจะเข้าไปซ้ำอีก แต่รจนาไฉนดึงตัวปัทม์ไว้
“พอแล้ว หยุดเถอะ”
ปัทม์เสียหลัก ปวุฒิเข้ามาต่อยแล้วจับปัทม์ไพล่หลัง คว้ากุญแจมือมาคล้องข้อมือปัทม์ทั้งสองข้าง ปัทม์ตกใจที่เสียทีให้ปวุฒิ
“ก่อนหน้านี้ผมตกเป็นจำเลยในข้อหาบุกรุก แต่ตอนนี้คุณตกเป็นจำเลยในข้อหาพยายามฆ่า !”
รจนาไฉนตกใจ ไม่คิดว่าจะปวุฒิจะเอาเรื่อง
โรงพักชนบทเชียงรายในเวลาต่อมา ตำรวจพาปัทม์เข้าห้องขัง ตำรวจเดินสวนกับปวุฒิที่เดินเข้ามาพอดี
“ในเกมที่มีรจนาไฉนเป็นเดิมพัน ถ้าแข่งด้วยฐานะทางสังคม ผมอาจจะแพ้คุณขาดลอย แต่ถ้าแข่งกันด้วยวุฒิภาวะทางอารมณ์ ผมชนะขาด”
“จะแจ้งข้อหาอะไรก็ว่ามา ฉันจะสู้คดีให้ถึงที่สุด”
“ถ้ายังควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้...คุณไม่มีวันชนะ”
ปวุฒิมองเย้ยเดินออกไปอย่างผู้ชนะ ยิ่งทำให้ปัทม์เจ็บใจมากยิ่งขึ้น...
ปวุฒิเดินออกจากบริเวณห้องขัง .รจนาไฉนยืนอยู่ที่มุมหนึ่ง เธอคิดตัดสินใจ
ผ่านเวลาเล็กน้อย ปัทม์เครียดและหงุดหงิดอยู่ในห้องขัง เขาเงยหน้ามอง รจนาไฉนเดินเข้ามาเยี่ยมพร้อมกับเบือนหน้าหนี
“คุณเป็นยังไงบ้าง”
“สะใจเธอรึยัง พาชู้เข้ามาเล่นงานฉันถึงบ้าน ตั้งใจจะให้ฉันโดนจับแล้วเธอจะได้ทำเรื่องหย่าไปเสวยสุขกับมันใช่มั้ย”
“ฉันไม่เคยคิดอย่างนั้นเลยนะ”
“เธอจงใจช่วยมัน ทำให้ฉันพลาดท่าโดนจับ ยังกล้ามาตีหน้าเศร้า เธอมันแพศยา ไร้ยางอาย”
รจนาไฉนเสียใจที่ปัทม์มองเธอในแง่ร้าย แต่ก็อดทนอดกลั้น
“ฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าฉันไม่ได้ร่วมมือกับปวุฒิทำร้ายคุณ”
“ออกไปได้แล้ว....ฉันไม่อยากฟังคำแก้ตัวของกากี ! ออกไป”
รจนาไฉนเดินหน้าเศร้า น้ำตาตกในที่ถูกปัทม์ด่าอย่างหยาบคาย ปัทม์มองอย่างเชื่อมั่นว่า รจนาไฉนวางแผนร่วมกับปวุฒิ
มุมหนึ่งบริเวณโรงพัก พ.ต.ท. ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะนั่งอยู่ รจนาไฉนเดินเข้ามาหา ปวุฒิรู้ดีว่าเธอจะพูดอะไร
“ถอนแจ้งความได้มั้ย เขาไม่ได้ตั้งใจ”
“คุณก็เห็นว่าเขาคิดฆ่าผม”
“เขาวู่วามจนขาดสติ ถ้ามีสติเขาคงไม่ทำอย่างนั้น ปวุฒิคะ ฉันขอร้องล่ะ ” รจนาไฉนพูดพลางจับมือปวุฒ
“ทำไมคุณถึงต้องดีกับเขานัก ทั้ง ๆ ที่เขาใจร้ายกับคุณ...รึว่าคุณรักเขา”
ปวุฒิมองอย่างค้นหา รจนาไฉนสะอึกเก็บความรู้สึกสับสนไว้ภายใน
“ฉันจำเป็นต้องช่วย...เพราะเขาได้ชื่อว่าเป็นสามีของฉัน”
ปวุฒิมองหน้ารจนาไฉน
“ผมจะพยายามยอมรับและเข้าใจว่านี่คือหน้าที่ของภรรยา”
ปวุฒิเสียงแข็งขึ้นบอก
“แต่ตัวผมกำลังทำหน้าที่ผู้รักษากฎหมาย !”
ปวุฒิยังแข็งขันในความคิด รจนาไฉนจะเข้าไปอ้อนวอนอีกครั้ง
“พ่อเลี้ยงปัทม์จะถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่าเจ้าพนักงาน คุณกลับบ้านไปเตรียมของใช้ให้เขาเถอะ เพราะเขาคงต้องอยู่ที่นี่อีกหลายวัน ถ้าไม่ได้ประกันตัว”
ปวุฒิเดินออกไป รจนาไฉนเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหลือปัทม์ได้
ปัทม์นั่งนิ่งในห้องขัง เครียดกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น รจนาไฉนเดินเข้ามามองด้วยความสงสารที่มุมหนึ่ง
เสียงการสนทนาของรจนาไฉนกับปวุฒิดังซ้อนเข้ามา
“ทำไมคุณถึงต้องดีกับเขานัก ทั้ง ๆ ที่เขาใจร้ายกับคุณ... รึว่าคุณรักเขา”
รจนาไฉนมองปัทม์ในห้องขัง
“ฉันเพียงแต่ทำตามหน้าที่ของฉัน... ก็เท่านั้นเอง”
ในเวลาต่อมา รจนาไฉนจะเดินเข้าบ้าน พวกชิกรูวิ่งเข้ามา
“นายเป็นไงบ้างครับ”
“คุณปัทม์จะถูกยิงเป้ารึเปล่าเจ้า”
ชิและปยงค์หันไปดุจันทร์เจ้า
“นังจันทร์!!”
จันทร์เจ้าขานรับเสียงอ่อย
“เจ้า...”
ชิชิงถาม
“แล้วแฟนเก่าคุณรจนาไฉนยอมช่วยมั้ยครับ”
ปยงค์และจันทร์เจ้าหันควับไปทางชิทันที
“แฟนเก่า”
“ฉันขอตัวก่อนนะ ต้องรีบไปเก็บของให้คุณปัทม์”
รจนาไฉนเดินเข้าบ้านไป ชิจะตามไป แต่ปยงค์และจันทร์เจ้ากระชากเสื้อไว้
“มานี่!”
“เมื่อกี้แกพูดว่าแฟนเก่าใคร!” ปยงค์ถาม
“แล้วทำไมเรียกรจนาไฉนว่าคุณ!” จันทร์เจ้าถามบ้าง
“ก็..ก็....อ๋อ...ต้องไปเตรียมรถ พารจนาไฉนไปโรงพัก ไปก่อน!”
ชิรีบชิ่งวิ่งหนีไป ปยงค์และจันทร์เจ้ามองหน้ากันด้วยความสงสัยแล้ววิ่งตามไป
รจนาไฉนเดินมาเก็บของใช้จำเป็นในห้องนอนปัทม์ เธอเปิดตู้หยิบเอาเสื้อ เปิดลิ้นชักหยิบกางเกง...แต่เจอภาพถ่ายใส่กรอบรูปซุกอยู่ รจนาไฉนหยิบภาพแสงจันทร์ที่ถ่ายเดี่ยวขึ้นมาดูด้วยความแปลกใจว่า เป็นภาพของใคร
มุมหนึ่งบริเวณมุมรถ ชิจะวิ่งหนี แต่โดนปยงค์และจันทร์เจ้ากระชากคอเสื้อกลับมา
“ทำไมต้องเรียกนังเพื่อน ว่าคุณรจนาไฉน” ปยงค์ถาม
“แล้วพูดถึงแฟนเก่า แฟนเก่าใคร” จันทร์เจ้าถาม
“ชิพูดไม่ได้ นายสั่งไว้”
ชิตัดสินใจจะบอกความจริงทั้งหมด แต่แล้วเปรมเข้ามา
“ทำอะไรกันอยู่”
ทุกคนหันควับไป...
“คุณเปรม”
“ตาปัทม์อยู่ไหน”
ทุกคนอึกอัก ไม่กล้าบอกความจริง
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 5 (ต่อ)
ภายในห้องนอน รจนาไฉนยืนมองภาพแสงจันทร์...
“ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร”
รจนาไฉนแปลกใจ คุณเปรมเดินเข้ามา
“ทำอะไรอยู่จ๊ะหนูเพื่อน”
รจนาไฉนหันไปเจอเปรมก็แปลกใจ...รีบวางรูปภาพไว้ที่มุมหนึ่งของห้อง แล้วไหว้คุณเปรม
“สวัสดีค่ะคุณเปรม”
“ทำไมเรียกอย่างนั้นล่ะ หนูเพื่อนต้องเรียกฉันว่าแม่ถึงจะถูก”
“ค่ะ คุณแม่”
“ขอโทษที่ไม่ได้อยู่ดูแลหนูเลย ช่วงนี้ต้องไปวิปัสสนา ประสานงานกับอาจารย์บ่อยครั้ง นี่ก็แค่แวะมาเอาเอกสารที่ดินท้ายไร่ เพราะจะสร้างสถานปฎิบัติธรรมอีกแห่ง หนูอยู่ที่นี่เป็นยังไงบ้าง ตาปัทม์ดูแลหนูดีมั้ย”
“ดีค่ะ คุณปัทม์ดูแลเพื่อนอย่างดีทุกอย่าง”
เปรมเห็นกระเป๋าที่รจนาไฉนจัดเตรียมไว้ก็แปลกใจ
“เก็บกระเป๋าให้ตาปัทม์ จะไปไหนเหรอ”
รจนาไฉนอึกอัก
“คุณปัทม์จะพาเพื่อนไปเที่ยวแม่ฮ่องสอนค่ะ”
“เห็นรักกันแบบนี้ฉันก็สบายใจ เออ...ว่าแต่ว่าตาปัทม์อยู่ไหนล่ะ ถามพวกชิ ก็ชิงไปทำงานซะก่อน ไม่ทันได้ตอบ”
รจนาไฉนอึกอักไม่กล้าบอกความจริงเกี่ยวกับปัทม์
“ว่าไงจ้ะ ตาปัทม์อยู่ไหน”
ตำรวจเข้ามาไขประตูห้องขัง ปัทม์แปลกใจ
“ไปเซ็นรับทราบ ก่อนจะดำเนินคดีตามกฎหมาย”
ปัทม์เดินออกไปจากห้องขัง ตามตำรวจไป
มุมหนึ่งของห้องปัทม์ เปรมรอคำตอบจากรจนาไฉน
“คุณปัทม์ออกไปตรวจงานที่ท้ายไร่ค่ะ ต้องไปเที่ยวหลายวัน เลยออกไปสั่งงาน”
“เหรอจ๊ะ....คิดไม่ถึงเลยว่าตาปัทม์จะโรแมนติกถึงกับพาแฟนไปเที่ยว”
“คุณปัทม์น่ารักออกค่ะ เป็นคนเอาใจเก่ง”
“คงเป็นเพราะหนูที่ทำให้ลูกชายฉันเปลี่ยนไป”
เปรมเดินเข้ามาจับมือรจนาไฉน...ฝากฝังเรื่องปัทม์
“ฝากดูแลปัทม์ด้วยนะ อาจจะดื้อหัวรั้นไปบ้างเพราะชีวิตเขาแห้งแล้งมานาน ดินเมื่อขาดปุ๋ยขาดน้ำ...เราจะเรียกหาความชุ่มฉ่ำได้ยังไง คงต้องขอให้หนูทำตัวเป็นสายฝน พรมหัวใจตาปัทม์ให้กลับมาชุ่มชื่น
อีกครั้งนะจ๊ะ” เปรมพูดพลางยิ้มเอ็นดู
“ค่ะ...คุณแม่”
รจนาไฉนรับปากเปรม รับรู้ได้ถึงความสนิทสนมและผูกพันระหว่างแม่ลูกคู่นี้
ปัทม์เดินเข้ามาในห้องร้อยเวร
“เซ็นรับทราบข้อกล่าวหาด้วยครับ”
“ผมไม่เซ็นอะไรทั้งนั้น ผมต้องการติดต่อทนาย”
“แค่คดีทะเลาะวิวาท ปรับไม่เกินสามร้อย คงไม่จำเป็นต้องใช้ทนายมั้งครับ”
ปัทม์แปลกใจ ตำรวจส่งเอกสารให้ดู ปัทม์เห็นว่าเป็นคดีทะเลาะวิวาท เขาแปลกใจที่ปวุฒิไม่แจ้งข้อกล่าวหาพยายามฆ่า!
“คดีทะเลาะวิวาท ไม่ใช่พยายามฆ่า”
ปัทม์เดินออกจากห้องร้อยเวร เจอกับปวุฒิ ทั้งสองมองหน้ากัน...
“ไม่ต้องขอบใจหรอก เพราะผมไม่ใช่คนดี ผมไม่มีวันให้อภัยกับสิ่งที่คุณทำ”
“ถ้าอย่างนั้นช่วยทำไม”
“เพราะผู้หญิงที่ผมรัก... รจนาไฉน”
พอปัทม์รู้ความจริงก็ไม่พอใจ ปวุฒิพูดเน้นย้ำ
“ต่อให้เกลียดชังอยากขังลืมคุณมากแค่ไหน แต่ผมต้องยอมหลับหูหลับตาให้อภัย เพราะผมยอมทำทุกอย่างเพื่อผู้หญิงที่ผมรัก”
ปัทม์จะเดินหนีไป เพราะไม่อาจทนฟังต่อไปได้ ปวุฒิพูดตามหลัง
“คุณควรจะสำนึกบุญคุณเธอด้วย...คุณมีชีวิตได้อีกครั้งเพราะผู้หญิงที่ชื่อ รจนาไฉน”
ปวุฒิพูดแล้วเดินออกไปยิ่งทำให้ปัทม์เจ็บใจมาก
รจนาไฉนเดินเข้ามา...ปัทม์มองอย่างไม่พอใจ เพราะเสียเหลี่ยมที่เธอมาช่วยเขาไว้ ปัทม์รีบเดินออกไปทันที ชิเดินเข้ามาทีหลังและรีบวิ่งตามปัทม์ไป
อ่านต่อเวลา 17.00น.
หน้าโรงพัก ปัทม์ขึ้นรถ ชิวิ่งเข้ามาคุยด้วย
“เป็นเพราะคุณรจนาไฉนคนเดียวเลย ที่ทำให้นายไม่ต้องติดคุก”
ชิพูดไม่ทันจบ ปัทม์ก็ขับรถออกไปด้วยความเร็ว
“นาย รับคุณรจนาไฉนกลับไปด้วยสิครับ นาย!”
ชิวิ่งไล่ตามรถของปัทม์ไป
รจนาไฉนเดินมาหาปวุฒิ
“ปวุฒิ... เพื่อนขอบใจคุณมากนะคะ”
“ผมทำทุกอย่างได้เพื่อคุณ”
“การให้อภัยเป็นสิ่งประเสริฐที่สุดค่ะ”
“ผมยอมครั้งนี้แค่ครั้งเดียว แต่ถ้าเขายังไม่เลิกทำร้ายคนอื่น ผมไม่เอาไว้แน่”
ปวุฒิเปลี่ยนเรื่องพูด
“ต่อไปนี้คุณไม่ต้องห่วงนะ ผมทำเรื่องย้ายมาประจำที่นี่แล้ว ผมจะอยู่ข้างคุณเสมอ ไป.. ผมไปส่งคุณเอง”
“ขอบคุณค่ะ แต่อย่าดีกว่า”
“แต่ว่า...”
“อย่าทำให้เพื่อนลำบากใจเลยค่ะ เพื่อนเอารถมา เพื่อนไปก่อนนะคะ”
ปวุฒิมองตามด้วยสีหน้าและแววตาอาลัยอาวรณ์
พระอาทิตย์ตกดินลับขุนเขา ฟ้ามืดมิด รจนาไฉนเดินเข้ามาในบ้าน เจอปัทม์ยืนอยู่ รังสีแห่งความอำมหิตแผ่ปกคลุม...อีกครั้ง
“เลิกยุ่งกับชีวิตฉันซะที”
“อะไรของคุณอีก”
“หักหน้าทำให้ฉันเป็นตัวตลกอยู่ในห้องขังยังไม่พอ ยังเล่นบทนางเอก มารยาไปกราบวิงวอนให้ชู้รักเห็นใจผัว ทำแบบนี้จะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”
รจนาไฉนอึ้งเพราะไม่เคยคิดอย่างนี้เลย และไม่เคยคิดว่าปัทม์จะมองโลกแง่ร้ายตลอดเวลา
“คนใจแคบ ฉันอุตส่าห์ช่วยคุณด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่คุณกลับเห็นว่าฉันทำให้เสียศักดิ์ศรี ชีวิตคุณเนี่ย..เคยสำนึกบุญคุณคนอื่นบ้างมั้ย ปวุฒิช่วยเหลือคุณก็เพราะอยากให้โอกาส”
“เลิกสรรเสริญเยินยอ ยกชู้รัก เหนือฉันซะที !”
“ปวุฒิไม่ได้ทำตัวเหนือคุณ แต่คุณต่างหากที่กำลังทำตัวต่ำกว่าปวุฒิ”
รจนาไฉนตัดสินใจพูดระบายความรู้สึกออกมา ปัทม์ถึงกับชะงักไป
ฉันขอโทษ....ที่ทำให้คุณรู้สึกผิด แต่ถึงเวลาที่ฉันควรจะพูดความจริง”
“คนอย่างเธอไม่มีสิทธิ์มาสอนฉัน เธอไม่ใช่แม่ฉัน”
“เป็นเพราะคุณแม่ของคุณไง ฉันถึงต้องพูด”
ปัทม์แปลกใจที่รจนาไฉนพูดถึงเปรม ปัทมกุล แม่ของเขา
“วันนี้ท่านกลับมาธุระ ฉันไม่อยากให้ท่านเสียใจ เลยต้องสร้างเรื่องโกหกว่าคุณออกไปทำงาน ท่านฝากฝังให้ฉันดูแลคุณ”
“มาบอกทำไม ต้องการคำขอบคุณเหรอ ไม่มีทาง ! ลืมไปแล้วเหรอว่าเธออยู่บ้านนี้ในฐานะอะไร เธอมีหน้าที่ทำตามคำสั่งและรองรับอารมณ์ฉัน ไม่มีสิทธิ์ก้าวก่าย ฉันจะเป็นยังไง..มันก็ชีวิตฉัน”
รจนาไฉนเห็นว่าปัทม์ยังคงก้าวร้าว ไม่สำนึกผิด ก็จำยอม..ไม่อยากต่อปากต่อคำอีก
“ก็ได้ ที่ช่วยคุณ..ฉันไม่ได้นึกพิศวาสหรือทำในฐานะภรรยาหรอกนะ เพราะเราสองคนไม่มีความผูกพันใด ๆ ต่อกัน ฉันทำไปตามหน้าที่ของคนรับใช้ที่ต้องดูแลเจ้านาย !”
รจนาไฉนจะเดินออกไป แต่ปัทม์เรียกไว้
“อย่าเพิ่งไป”
ปัทม์เดินไปเปิดลิ้นชักหยิบเงินขึ้นมา...
“ค่าจ้างที่เธอช่วยฉัน เราจะได้ไม่มีหนี้บุญคุณต่อกัน”
รจนาไฉนมองปัทม์ด้วยสายตาดูถูกเป็นอย่างยิ่ง
“ฉันไม่แปลกใจเลยว่าทำไมชีวิตคุณถึงไม่มีใคร”
“นี่เป็นสิ่งที่เธอต้องการไม่ใช่เหรอ เอาไปสิ”
ปัทม์เอาเงินฟาดใส่หน้ารจนาไฉน...เงินปลิวว่อน...
“เงินพวกนี้จะทำให้เธอมีความสุข เอาไปปรนเปรอครอบครัวเธอ ถ้าอยากพิสูจน์ว่าทำไปด้วยใจ ไม่ได้ต้องการเงิน ก็เดินออกไปจากห้องนี้ ไม่ต้องหยิบเงินออกไปแม้แต่บาทเดียว”
ปัทม์มองท้าทายว่ารจนาไฉนจะตัดสินใจอย่างไร
รจนาไฉนมองปัทม์แล้วก้มลงเก็บเงิน ปัทม์เสียใจที่รจนาไฉนเห็นเงินเป็นสำคัญ
“เงินนี้อาจเป็นเศษเงินที่ไม่มีค่าสำหรับคุณ แต่มันมีค่าสำหรับชีวิตของคนบางคน”
รจนาไฉนก้มเก็บเงินที่ใต้เท้าปัทม์...ปัทม์ยิ่งทรมานใจ เจ็บใจและเดินหนีออกไป เขาออกไปจากห้องไปแล้ว รจนาไฉนได้แต่กอดเงินไว้แล้วร้องไห้...
“พ่อจ๋า...เพื่อนจะยอมทำทุกอย่างเพื่อพ่อ ต่อให้เขาทำร้ายศักดิ์ศรีเพื่อนยังไง เพื่อนก็จะทน”
รจนาไฉนร้องไห้น่าสงสารเป็นที่สุด
ปัทม์ยืนอยู่ที่ผาทรนง
“รจนาไฉน...ฉันพยายามคิดว่าเธอทำดีเพื่อฉัน เธอทำด้วยหัวใจบริสุทธิ์ แต่เธอพิสูจน์ให้ฉันเห็นแล้วว่า เธอเป็นแค่ผู้หญิงที่หิวเงิน เธอไม่ได้ต้องการอะไรมากกว่าเงิน”
ปัทม์มองไปยังหลุมฝังศพ แล้วตะโกนระบายออกถึงความในใจทั้งหมด
“แสงจันทร์...ผู้หญิงคนนี้หิวเงินไม่ต่างอะไรจากเธอ !”
ปัทม์สีหน้าเต็มไปด้วยความแค้นที่มีต่อผู้หญิง
วันใหม่ บ้านอุรารัตน์ นงนุชเข้ามาเร่งอุรารัตน์ที่นั่งอยู่หน้ากระจกแต่งหน้า
“เร็วสิคะ คุณแอรี่รีบไปได้แล้ว”
“ไปไหน”
“ไปจัดการนังรจนาไฉน”
“จะให้คนระดับลูกสาวพ่อเลี้ยงเจง ไปยุ่งกับคนใช้ แกใช้อะไรคิด”
“ถึงมันจะเป็นระดับล่างเรี่ยเตี้ยดิน แต่มันเป็นตัวอันตราย คิดดูสิคะ”
อุรารัตน์พยายามคิดแต่คิดไม่ออก
“ไม่คิด ปวดหัว”
อุรารัตน์แต่งหน้าต่อไป
“งั้นก็ฟังค่ะ...สาวใช้หน้าตาสวยสดหมดจด วัยขบเผาะอยู่ใกล้พ่อหม้ายหนุ่มเนื้อหอม จะเกิดอะไรขึ้น”
อุรารัตน์แต่งหน้ามองตัวเองในกระจก พอนงนุชถามสุดท้ายก็หยุดแต่ง
“ไม่เกิด...เพราะปัทม์รังเกลียดมันยังกะอะไรดี”
“คุณแอรี่ตกหลุมพรางมันแล้วค่ะ ยิ่งคุณปัทม์เกลียดนังรจนาไฉน ยิ่งน่ากลัวยกกำลังสอง ไม่เคยได้ยินเหรอคะ ยิ่งเกลียดยิ่งรัก”
อุรารัตน์เริ่มมโนภาพคิดตาม
“คุณแอรี่ไม่เห็นแววตามันเหรอคะ แววตาที่ซ่อนไว้ด้วยเล่ห์มารยา มันคิดจะฮุบทั้งไร่ชาและเขมือบคุณปัทม์”
“ไม่นะ ไม่”
“เราต้องกำจัดมันออกไปจากไร่ปัทมกุล”
อุรารัตน์คล้อยตามมุ่งมั่นฉายแววริษยา
“เราต้องกำจัดนังรจนาไฉน !”
ปยงค์เชื้อเชิญอุรารัตน์เข้าบ้าน
“เชิญค่ะ ...คุณปัทม์ออกไปโรงอบชาแต่เช้า กว่าจะกลับก็เย็น...จัดการได้ตามสบาย ปยงค์ล่ะเกลี๊ยดเกลียดมัน มันคอยออดอ้อนออเซาะ ฉอเลาะเกาะแกะ คุณปัทม์พยายามหนีตีตัวออกห่าง มันก็ยังตามตื๊อไม่เลิก น่าด้านมาก” ปยงค์พูดกระแทกเสียง
อุรารัตน์ร้อนตัวเพราะพูด ๆ ไปเหมือนตัวเองยังไงไม่รู้
“แกด่ามันใช่มั้ย”
“ค่ะ ด่าพวกไม่มียางอาย”
อุรารัตน์สะดุ้ง
“ระบุชื่อด้วย”
“นังรจนาไฉนค่ะ”
“แล้วตอนนี้มันอยู่ไหน”
“นั่นสิ เอ... อยู่ไหนน้า เอ...คิดไม่ออก อยู่ในบ้าน รึอยู่ที่ไร่”
ปยงค์เล่นแง่เพื่อต่อรองขอเงิน อุรารัตน์ควักเงินให้ทันที ปยงค์รีบตะครุบเงินแล้วพูดทันที
“อยู่คอกม้าค่ะ เชิญค่ะ”
ปยงค์รีบนำทางไปทันที
อ่านต่อพรุ่งนี้เวลา 09.30น.
รจนาไฉนกำลังล้างคอกม้า...จันทร์เจ้าเข้ามาช่วย
“ฉันช่วย”
“คุณปัทม์สั่งให้ฉันทำคนเดียว ถ้าคุณปัทม์มาเห็นเธอจะเดือดร้อน”
“ไม่เป็นไรหรอก ตอนนี้คุณปัทม์ไม่อยู่ ไม่รู้ไม่เห็น”
จันทร์เจ้าเข้าไปช่วยล้างคอกม้า แล้วก็บ่น
“คุณปัทม์ก็ช่างกระไร คอกม้าใหญ่โตแทนที่จะให้คนงานชายมาล้าง กลับให้เธอมาทำคนเดียว”
อุรารัตน์เดินตรงเข้ามาอย่างใช้อำนาจ
“คุณปัทม์สั่งให้มันทำคนเดียว ออกไปซะ...เพราะคุณปัทม์สั่งให้ฉันมาคุมมันทำงาน”
รจนาไฉนหันไปเจออุรารัตน์ก็แปลกใจ
“จริงเหรอคะ”
นงนุชสวนจันทร์เจ้าทันที
“แกไม่มีสิทธิ์มาตั้งคำถามแบบนี้กับคุณแอรี่”
“ใช่...ถึงคุณปัทม์ไม่ได้สั่ง แต่มันเป็นหน้าที่ที่คุณแอรี่ต้องทำในอนาคต คือการคุมคนใช้ในบ้านนี้” ปยงค์บอก
“อ๋อ...ป้าเป็นพวกหยั่งรู้ฟ้าดิน”
“ใช่ ฉันรู้ ฉันเห็น”
“ป้าก็เลยเริ่มต้นประจบสอพลอเอาใจนายใหม่”
“ใช่” ปยงค์นึกได้
“นังจันทร์ !”
“เจ้า”
“ไป...ไปช่วยฉันทำงานที่บ้าน”
ปยงค์พูดแล้วหันไปกระซิบบอกอุรารัตน์
“เต็มที่เลยนะคะ เอาให้เจ็บช้ำน้ำตาตก หัวใจแตกสลายมลายแดดิ้นไปเลยค่ะ”
ปยงค์รีบออกไป...บังคับให้จันทร์เจ้าออกไปด้วย
จังหวะนี้...รจนาไฉนหิ้วถังน้ำเดินหนีออกไปอีกมุม แต่อุรารัตน์และนงนุชไม่ทันสังเกต อุรารัตน์ดีใจ...ที่จะได้ข่มเหงรังแกรจนาไฉน
“หล่อนไม่ต้องล้างคอกม้าแล้ว ไปล้างม้าตัวโน้นให้ด้วย ฉันอยากขี่ม้า”
อุรารัตน์หยิ่งผยอง รอฟังคำตอบ
“คุณแอรี่สั่ง ทำไมไม่ตอบรับ”
อุรารัตน์และนงนุชหันไปไม่เจอรจนาไฉน
“ว้าย..มันหายตัวได้”
ปัทม์กำลังตรวจงานในโรงอบชา ชิวิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาปัทม์
“นายเกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
“อะไร”
“คุณอุรารัตน์บุกไปที่คอกม้า ไปข่มเหงรังแกคุณรจนาไฉน!”
ปัทม์ผลุนผลันรีบเดินออกไปทันที ชิยิ้มดีใจ
“ในที่สุด...นายก็ทนเห็นใครรังแกเมียไม่ได้ นายช่างเป็นผัวที่ประเสริฐจริงๆ”
รจนาไฉนยังคงล้างคอกม้า อุรารัตน์และนงนุชตามเข้ามาราวี
“ฉันสั่งไม่ได้ยินรึไง ฉันบอกให้ไปล้างม้าตัวนั้น”
รจนาไฉนเดินหนี อุรารัตน์และนงนุชเดินตาม
“หูหนวกรึไง”
รจนาไฉนหันควับมาประจันหน้า จนอุรารัตน์ตกใจ นงนุชก็รีบหลบฉาก
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 5 (ต่อ)
“ฉันได้ยินค่ะ แต่ขอโทษที่ทำตามคำสั่งไม่ได้ เพราะฉันมีเจ้านายเพียงคนเดียวคือ คุณปัทม์”
“แต่ฉันกำลังจะได้เป็นเมียคุณปัทม์ แกควรจะก้มหัวสวามิภักดิ์กับฉันไว้”
“เพื่อความอยู่รอดของแก” นงนุชเสริม
“นั่นเป็นเรื่องของอนาคต ซึ่งอาจจะได้เป็น...หรือไม่ได้เป็น คนเราควรอยู่กับปัจจุบันนะคะ อย่าไปหวังกับอนาคตลม ๆ แล้ง ๆ”
รจนาไฉนจะเดินหนี แต่ปัทม์เข้ามาขวางแล้วสั่ง
“เธอต้องทำตามคำสั่งคุณอุรารัตน์”
รจนาไฉนตกใจ...ส่วนอุรารัตน์ดีใจมาก
“ปัทม์”
“ต่อไปนี้ให้ถือว่าคำสั่งของคุณอุรารัตน์ คือคำสั่งของฉัน “
รจนาไฉนมองหน้าปัทม์ นึกน้อยใจที่ถูกปัทม์มาข่มเหงซ้ำ....แต่เธอก็ฝืนทน หันไปถามอุรารัตน์
“จะให้ฉันล้างม้าตัวไหนให้คะ”
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว แดดแรงเดี๋ยวผิวฉันเสีย...ฉันอยากทำสปา เตรียมอุปกรณ์ให้ด้วย ฉันจะทำสปาเท้า”
รจนาไฉนตกใจที่อุรารัตน์จะให้เธอทำถึงขนาดนั้น เธอหันไปมองปัทม์ที่ไม่ห้ามใดๆ แต่กลับมองข่มให้รจนาไฉนทำตามคำสั่ง
“ค่ะ”
“ผมขอตัวไปทำงานต่อ...มีอะไรก็สั่งรจนาไฉนได้ทุกอย่าง”
“ค่ะปัทม์”
ปัทม์ออกไป รจนาไฉนมองตามด้วยความน้อยใจ อุรารัตน์หันมามองเย้ย
ปัทม์ทำงานในโรงชา ชิเดินเข้ามาโน้มน้าวให้ปัทม์ไปช่วยรจนาไฉน
“ขืนนายปล่อยให้คุณอุรารัตน์วางอำนาจบาตรใหญ่ คุณรจนาไฉนจะเดือนร้อดนะครับนาย”
“ยกลังชาตามมา”
ปัทม์สั่งให้ชิยกลังชาจะได้เลิกพูดเรื่องรจนาไฉน ปัทม์เดินไป... แต่ชิแบกลังเข้ามาพูดโน้มน้าวอีก“นายควรถนอมน้ำใจคุณรจนาไฉนบ้าง ยังไงเธอก็ได้ชื่อว่าเป็นเมียนาย”
“ยกลังนั้นไปด้วย”
ปัทม์สั่งชิ ชิยกลังสองกล่องเดินตาม ปัทม์เดินหนีไป
“นายลองคิดดู ถ้านายเป็นเมีย แล้วถูกผัวทำร้ายจิตใจแบบนี้ นายจะรู้สึกยังไง”
ปัทม์ทนไม่ไหวหันมามองชิ...
“ยกเพิ่มอีกสองลัง...แล้วบอกด้วยว่ารู้สึกยังไง”
ปัทม์เดินออกไป ชิตะโกนไล่หลัง
“ยกสี่ลังมันก็หนักสินาย”
ปัทม์เดินออกมาจากโรงชา..ยืนมองไปยังบ้านของตัวเอง
“ขอบใจนะอุรารัตน์ที่จะช่วยทำให้ผู้หญิงคนนั้นออกไปจากชีวิตฉัน”
ปัทม์สีหน้านิ่งขรึมคล้ายสับสนในอารมณ์ตัวเองอยู่ไม่น้อย ว่าทำตัวแบบนี้ถูกหรือไม่
อุรารัตน์โวยวายเสียงดังในบริเวณบ้านปัทม์
“นังรจนาไฉน...เร็ว ๆ สิ”
อุรารัตน์หันไปถามนงนุช
“ทำไมต้องให้มันมาล้างเท้าฉันด้วย ฉันไม่อยากให้มันมาแตะเนื้อต้องตัวฉัน"
“เป็นเคล็ดค่ะ ต่อไปมันจะได้ไม่กล้าหือคุณแอรี่ ตกเป็นขี้ข้ารับใช้คุณแอรี่ตลอดไป”
“ดี”
รจนาไฉนเดินเข้ามาแล้วนั่งลงที่พื้น... เตรียมอ่างใบใหญ่มารองรับน้ำ
“มัวแต่ทำอะไรอยู่ ปล่อยให้ฉันรอตั้งนาน ทำงานไม่ได้เรื่อง”
“ขอเท้าด้วยค่ะ”
อุรารัตน์ยื่นเท้ามาในอ่าง....
“ล้างเท้าให้สะอาดนะ ฉันเป็นคนรักความสะอาด”
รจนาไฉนยิ้ม
“ค่ะ สะอาดแน่ค่ะ”
อุรารัตน์และนงนุชยิ้ม... เย้ย
จันทร์เจ้าและปยงค์แอบมองที่มุมหนึ่ง จันทร์เจ้ามองไปที่เหยือก...เพิ่งสังเกตว่ามีควันลอย
“ทำไมมีควันลอยด้วย”
ปยงค์ตกใจ
“อย่าบอกนะว่า...”
รจนาไฉนราดน้ำลงใส่เท้า อุรารัตน์ตกใจร้องเสียงหลง
“ว้าย...ร้อน นังรจนาไฉนแกเอาน้ำร้อนราดฉัน แกคิดแกล้งฉันใช่มั้ย”
“เปล่านะคะ ก็คุณอุรารัตน์สั่งให้ล้างสะอาดๆ เพื่อนก็ใช้น้ำร้อนฆ่าเชื้อไงคะ”
จันทร์เจ้าและปยงค์หัวเราะออกมา แต่ปยงค์นึกได้ หันไปดุจันทร์เจ้า
“ก็จริงอย่างมันพูดนะคะ” นงนุชว่า
“นังนุช!”
“นังรจนาไฉน...หล่อนเคยทำสปาเท้ารึเปล่าจะล้างเท้าก็ต้องใช้น้ำเย็นเทใส่ก่อน แล้วค่อยเอาน้ำร้อนผสมลงไป” นงนุชบอก
“เหรอคะ เพื่อนเคยแต่ทำสปาหน้าไม่เคยทำสปาเท้า แล้วต้องทำยังไงคะเนี่ย”
“ไม่ได้เรื่อง มานี่ฉันจะทำให้ดู”
รจนาไฉนยิ้มดีใจที่นงนุชหลงกลเธอ
“ใช้แปรงขัดเบาๆที่เท้า”
“อ๋อ... อย่างนี้นี่เอง เอ แล้วตามซอกนิ้วเท้าทำไงคะ”
รจนาไฉนแกล้งถาม นงนุชก็ทำให้ แต่อุรารัตน์รู้ทัน
“พอแล้ว ให้มันทำได้แล้ว”
“กำลังเพลินเลยค่ะ” นงนุชบอก
นงนุชยื่นแปรงให้รจนาไฉนขัด...
“เอ้า...ขัดซะ”
นงนุชให้อุรารัตน์นอนลง แล้วเอาผ้ามาปิดตา
“คุณแอรี่นอนพักผ่อนคลายนะคะ หลับหูหลับตาอย่าไปมองสิ่งอุจาดตา”
“เพื่อนจะขัดให้สะอาดเลยนะคะ” รจนาไฉนบอก
“ไม่ต้องพูดมาก ขัดเท้าได้แล้ว”
รจนาไฉนเอาแปรงนุ่มๆวางลง แล้วหยิบแปรงขัดห้องน้ำอันใหญ่ขึ้นมา... จันทร์เจ้าเห็นก็อุทานชอบใจ
“รับรองว่าสะอาดเอี่ยมอ่อง”
รจนาไฉนลงมือขัดเท้าด้วยแปรง เธอขยี้เต็มแรง อุรารัตน์ร้องเสียงหลง
“ว้าย...เท้าฉัน”
“อย่าเพิ่งลุกค่ะ ยังขัดไม่สะอาด”
รจนาไฉนทำท่าจะขัดอีก
“พอแล้ว...แกทำอะไรของแก”
“ก็เท้ามันเปื้อน เชื้อโรคคงเยอะ เพื่อนก็เลยใช้แปรงขัดห้องน้ำมาขัด”
“นังขี้ข้า แกแกล้งฉัน !”
ปัทม์กำลังทำงานในโรงอบใบชา ชิวิ่งมารายงาน
“นาย...”
“เลิกพูดได้แล้ว รำคาญ ฉันจะทำงาน”
“ถ้านายมัวแต่ทำงาน บ้านพังแน่นาย !”
ปัทม์สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
อุรารัตน์วี๊ดแตกอยู่ในบริเวณบ้านปัทม์
“แกกล้าดียังไงมาแกล้งฉัน”
“เพื่อนไม่ได้แกล้งนะคะ เพื่อนทำตามคำสั่งคุณอุรารัตน์ทุกอย่าง อยากให้สะอาดมันก็ต้องขัดแรงๆ จริงมั้ยคะคุณอุรารัตน์"
“แกคิดลองดีกับฉัน”
อรารัตน์หันไปสั่ง
“นงนุช...เอาน้ำล้างเท้าของฉัน ล้างหน้ามัน !”
“แกเละแน่ !”
นงนุชพูดพลางก้มหยิบอ่างน้ำขึ้นมาตั้งท่าจะสาด แต่เหยียบน้ำที่เลอะพื้น ลื่น เซไปสาดอุรารัตน์แทน
“ว้าย...นังนงนุช”
“ขอโทษค่ะ”
“เกิดอะไรขึ้น”
อุรารัตน์และนงนุชเห็นปัทม์กำลังเดินเข้ามา...นงนุชรีบเอาอ่างยัดใส่มือรจนาไฉนแล้วผลักอุรารัตน์ล้มลงกับพื้น อุรารัตน์ด่านงนุช
“แกผลักฉันทำไม”
นงนุชบอกอุรารัตน์
“ร้องค่ะร้อง”
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย” อุรารัตน์กรีดเสียงร้องลั่น
“หยุดนะนังรจนาไฉน แกอย่าทำร้ายคุณอุรารัตน์อีกเลย” นงนุชผสมโรง
“รจนาไฉนเธอทำอะไร” ปัทม์ถาม
รจนาไฉนตกใจ
“ฉันเปล่านะ”
รจนาไฉนตกใจที่ถูกพวกอุรารัตน์ใส่ร้าย
อีกมุมบ้านปัทม์ เขามองหน้าและถามรจนาไฉน
“ฉันถามว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมคุณอุรารัตน์เป็นแบบนี้”
“คือว่าฉัน...”
อุรารัตน์รีบชิงตอบ และโยนลูกให้กับนงนุชในการสร้างเรื่องใส่ร้ายรจนาไฉน
“แอรี่แค่ใช้ให้ทำสปาเท้า นังคนรับใช้ของปัทม์สิคะ ไม่พอใจแอรี่”
“ใช่ค่ะ เสียงแข็งไม่อยากทำให้” นงนุชบอก
“แอรี่ก็เห็นใจ บอกว่าถ้าไม่อยากทำไม่ต้องก็ได้”
“แต่มันบอกว่าจะทำให้ แล้วมันทำไงรู้มั้ยคะ” นงนุชว่า
“มันเอาน้ำร้อนมาราดเท้าแอรี่”
“ยังไม่ใช่แค่นั้นนะคะ มันยัง...”
นงนุชจะพูดใส่ไฟต่อ อุรารัตน์รับลูกจะตอบ แต่ปัทม์ห้ามไว้และถามกลับรจนาไฉน
“พอแล้ว... ฉันอยากรู้ว่าคุณอุรารัตน์เปียกปอนอย่างนี้ได้ยังไง”
“ฉันไม่ได้...”
รจนาไฉนพูดยังไม่จบประโยค อุรารัตน์ก็ชิงตอบ
“ไฮไลท์เลยค่ะปัทม์ มันเกลียดแอรี่ มันคว้าเอาน้ำล้างเท้ามาสาดแอรี่”
“เท่านั้นยังไม่พอ มันยังเข้ามาตบตีคุณแอรี่อีก ไล่ให้ออกไปเลยค่ะ”นงนุชบอก
ปัทม์รู้ดีว่า ทั้งสองสร้างเรื่องโกหก แต่เขาต้องการแกล้งรจนาไฉน
“พอแล้ว รจนาไฉน...ทำไมทำอย่างนี้”
“คุณไม่คิดจะถามฉันสักคำรึว่าความจริงเป็นยังไง”
ปัทม์แกล้งย้ำ
“ไม่จำเป็น ถ้าเป็นเธอ เธอจะเชื่อใคร ระหว่างลูกพ่อเลี้ยงเจงกับคนใช้ในบ้าน"
รจนาไฉนมองปัทม์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ ทั้งที่ปัทม์รู้ความจริงว่าเป็นยังไง
“ถ้าคุณต้องการแบบนั้นก็ได้ ฉันเป็นคนทำร้ายคุณอุรารัตน์เอง เพราะฉันไม่พอใจที่เธอวางอำนาจใส่ฉัน”
“มันยอมรับแล้ว ลงโทษมันเลยค่ะปัทม์ เลี้ยงไว้ไม่ได้นะคะต้องไล่ออก” อุรารัตน์ได้ที
“ค่ะ ไล่ออกไปเลย”
รจนาไฉนเย้ยปัทม์เพราะเข้าทางที่ตัวเองต้องการ
“ทำอย่างที่คุณอุรารัตน์เสนอสิคะ ไล่ฉันออกไปซะ !”
ปัทม์จ้องหน้ารจนาไฉน รู้ว่าเธอกำลังเล่นเกมกับเขาอยู่ เขายิ้มและหันไปเล่นเกมใหม่บอกอุรารัตน์
“เปียกแบบนี้...ขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่ห้องนอนผมดีกว่า”
“แล้วนังคนใช้เนี่ย”
“ผมจะจัดการกับคนของผมเอง”
ปัทม์หันไปเรียกปยงค์
“ปยงค์... ดูแลคุณอุรารัตน์ด้วย”
ปยงค์เดินนำจะพาอุรารัตน์และนงนุชที่ยิ้มเย้ยรจนาไฉนออกไป
รจนาไฉนจะเดินออกไป แต่ปัทม์เรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
ปยงค์พาอุรารัตน์มาส่งที่หน้าห้องนอนปัทม์
“นี่ค่ะห้องคุณปัทม์”
ปยงค์รีบออกไป...นงนุชเข้าไปเมาท์กับอุรารัตน์
“คุณปัทม์เชื่อคุณแอรี่ แสดงว่าคุณปัทม์รักคุณแอรี่มาก”
“สมน้ำหน้านังนั่น พูดอะไรไม่ออก”
ภายในห้องทำงาน รจนาไฉนจ้องหน้าปัทม์ที่มีสีหน้าราบเรียบ เขาถามด้วยน้ำเสียงลุ่มลึก
“ทำไมเธอไม่เล่าความจริง”
“ความจริงจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อใจคุณมีอคติ...”
“อย่ามาเล่นสำนวนกับฉัน”
“รึไม่จริง... ถึงฉันบอกความจริง คุณก็ต้องบอกว่าฉันเสแสร้งเรียกคะแนนสงสาร ซึ่งฉันไม่เคยคิดจะทำ...เหมือนคนบางคน”
“อย่าใส่ร้ายอุรารัตน์”
“ขอโทษค่ะ...ถ้าคำพูดของฉันไปพาดพิงถึงคนรักของคุณ”
“ใช่... ฉันไม่ชอบให้ใครกล่าวหาคนรักของฉัน โดยเฉพาะภรรยานอกสมรส นอกหัวใจอย่างเธอ"
“หมดเรื่องเยอะเย้ยถากถางฉันรึยังคะ ฉันจะกลับห้อง”
“เธอไปไหนไม่ได้ จนกว่าจะเช็ดน้ำล้างเท้าของคนรักฉันให้สะอาด”
ปัทม์จะเดินออกไปจากห้อง แต่หันมาย้ำรจนาไฉน
“เลิกแกล้งทำตัวเป็นคนดีซะที มันไม่ช่วยให้ฉันสงสารหรือเห็นใจเธอ เพราะฉันรู้ดีว่านั่นคือมารยาที่เธอเสแสร้งแกล้งทำ มันน่าสมเพช !”
ปัทม์เดินออกไป รจนาไฉนเจ็บใจและน้อยใจที่เธอทำอะไรไม่เคยดีในสายตาปัทม์
อุรารัตน์ใส่เสื้อคลุมมิดชิดออกจากห้องน้ำ
“นงนุช ไหนเสื้อผ้าจะให้ฉันเปลี่ยนล่ะ แกไม่ได้เตรียมไว้เหรอ”
“เปลี่ยนไม่ได้ค่ะ แผนไล่นังรจนาไฉนไม่ได้ผล ก็ต้องใช้แผนสอง รวบรัดตัดตอน !”
“อะไรของแก”
นงนุชเข้ามาซุบซิบบอก อุรารัตน์ตื่นเต้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงปัทม์
“คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จรึยัง”
อุรารัตน์ยิ้มดีใจที่จะได้ทำตามแผนของนงนุช
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 5 (ต่อ)
นงนุชเปิดประตูห้องนอนออกมา เจอกับปัทม์พอดี
“คุณอุรารัตน์ล่ะ”
“เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว รอคุยธุระกับคุณปัทม์ค่ะ”
นงนุชไม่อธิบายมาก รีบชิ่งออกไป ปัทม์ลังเล... แต่สุดท้ายก็เดินเข้าไปในห้อง
ปัทม์เดินเข้ามา เจออุรารัตน์นุ่งผ้าขนหนูผืนเดียว
“ผมขอโทษ..ผมจะออกไปรอข้างล่าง”
ปัทม์จะเดินออกไป แต่อุรารัตน์โผเข้ามากอดทางด้านหลัง
“จะรีบไปไหนคะปัทม์”
“คุณรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”
“ก็เสื้อผ้าของปัทม์มันใหญ่ใส่ไม่ได้เลย...แอรี่หนาวค่ะปัทม์”
อุรารัตน์กอดปัทม์ไว้แน่น
“ผมจะไปหาชุดมาให้เปลี่ยน”
“อย่าเพิ่งไปค่ะ แอรี่หนาว หนาวถึงขั้วหัวใจเลย”
อุรารัตน์พยายามกอดเล้าโลม แต่ปัทม์พยายามดึงตัวออก
“อย่าทำอย่างนี้ครับ มันไม่เหมาะ”
อุรารัตน์กอดรัดจนปัทม์ล้มลงบนเตียงนอน
“อย่าครับ”
“คุณปฎิเสธแอรี่ทุกครั้งเลย แต่ครั้งนี้ ถูกที่ถูกเวลาแล้วค่ะ อย่าปิดตัวปิดใจอีกเลย”
ปัทม์พยายามกันไม่ให้อุรารัตน์เข้ามาจูบ แต่แล้วรจนาไฉนก็ส่งเสียงเข้ามาก่อน
“ฉันเข้ามาเอาเสื้อผ้าคุณอุรารัตน์ไปซักค่ะ”
รจนาไฉนเห็นปัทม์กับอุรารัตน์กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่บนเตียงก็ตกใจ
“ขอโทษค่ะ”
อุรารัตน์ไม่พอใจ
“ออกไปสิ !”
รจนาไฉนกำลังจะเดินออกไป แต่ปัทม์เรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน”
ปัทม์ค่อยๆประคองอุรารัตน์และทำดีด้วย แต่หันไปต่อว่ารจนาไฉน
“ใจเย็น ๆ นะครับ บอกกี่ครั้งแล้วว่า อย่าเข้ามาในห้องส่วนตัวของฉัน ต้องเป็นคนพิเศษเท่านั้นถึงจะเข้ามาได้”
“ฉันขอโทษค่ะ คุณปยงค์บอกให้ฉันมาเก็บเสื้อผ้าของคุณอุรารัตน์ไปซัก”
“มาทำไมตอนนี้ ออกไป” อุรารัตน์บอก
“เดี๋ยวก่อน...เข้าไปเก็บสิ” ปัทม์บอก
“ฉันไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัว ฉันค่อยมาเก็บก็ได้”
“ไม่ได้...ต้องเอาไปซักเดี๋ยวนี้ !”
รจนาไฉนเดินเข้ามาในบริเวณห้อง มองหาชุดของอุรารัตน์ ปัทม์ทำทีคลอเคลียเอาใจอุรารัตน์ เพื่อยั่วรจนาไฉน
“ผมจะให้เด็กซักเสื้อผ้าแล้วรีดให้คุณนะครับ เก็บไว้ที่นี่ ต่อไปถ้าคุณมาค้างที่นี่จะได้มีเสื้อผ้าเปลี่ยน"
อุรารัตน์ดีใจมาก
“ค้างที่นี่ ค่ะ ปัทม์”
“หนาวมั้ย” ปัทม์ถาม
“หน๊าวหนาวค่ะ”
“กอดผมแน่น ๆ สิครับ ผมจะช่วยทำให้คุณหายหนาว”
ปัทม์มองเย้ยรจนาไฉน อุรารัตน์เนื้อเต้นโผเข้ากอดปัทม์อย่างเต็มอิ่ม เธอมองภาพปัทม์คลอเคลียด้วยความเจ็บช้ำน้ำใจ หยิบเสื้อผ้าของอุรารัตน์ใส่ตะกร้าแล้วจะเดินออกไป อุรารัตน์สั่ง“เอาชุดชั้นในชั้นไปซักด้วย”
รจนาไฉนตกใจ ปัทม์บอก
“ทำตามที่คุณอุรารัตน์สั่ง”
รจนาไฉนมองอย่างไม่พอใจปัทม์ที่ทำร้ายจิตใจเธอ รจนาไฉนไม่ทำตามคำสั่ง เดินออกจากห้องไป
“กลับมาเดี๋ยวนี้”
รจนาไฉนไม่สนใจ!
“ต๊าย...ดูมันทำสิคะ จองหอง”
“ผมไปจัดการกับเด็กผมก่อน”
“แต่แอรี่ยังหนาวอยู่นะคะ”
ปัทม์หันไปหยิบผ้าห่มมาห่มให้หน้าตาเฉย
“หนาวก็ห่มผ้าครับ”
ปัทม์รีบออกไปจากห้อง อุรารัตน์ไม่พอใจ ตะโกนเรียก
“ปัทม์ ปัทม์ นงนุช กลับบ้าน”
มุมหนึ่งหลังบ้านปัทม์ ในเวลาต่อมา รจนาไฉนเอาตะกร้าผ้ามาวางไว้ แล้วนึกถึง เหตุการณ์ที่ได้พบเจอ ที่ปัทม์เข้าข้างอุรารัตน์
“ใช่ ฉันไม่ชอบให้ใครกล่าวหารักของฉัน โดยเฉพาะภรรยานอกสมรส นอกหัวใจอย่างเธอ"
เหตุการณ์ที่ปัทม์กอดรัดกับอุรารัตน์
“กอดผมแน่น ๆ สิครับ ผมจะช่วยทำให้คุณหายหนาว”
รจนาไฉนยืนน้ำตานองหน้า
“จะทำร้ายจิตใจฉันไปถึงไหน ฉันก็มีหัวใจนะ”
ปัทม์เดินเข้ามาต่อว่า โดยที่ไม่เห็นว่ารจนาไฉนกำลังเสียใจ ร้องไห้อยู่
“เธอกล้าขัดคำสั่งฉัน”
ปัทม์เข้ากระชากมาเห็นรจนาไฉนร้องไห้
“เธอ...”
“เอาสิคะ จะว่าจะทำร้ายจิตใจอะไรอีกก็เชิญ เอาให้สาสมกับความเกลียดชังของคุณ"
“ฉัน”
“ยืนนิ่งอยู่ทำไมล่ะคะ ฉันอยู่ในบ้านนี้ในฐานะคนใช้ ไม่ใช่สะใภ้ของบ้าน อยากจะกดขี่ข่มเหงยังไงก็ได้ ประชด เสียดสี ดูถูกความเป็นคน คุณทำมาหมดแล้ว เหลือเพียงอย่างเดียวที่ยังไม่ได้ทำคือทำร้ายร่างกาย จะตบตีอย่างไรก็เชิญ ตบฉันสิคะ ตบฉันเลย”
รจนาไฉนเข้ามาจับมือปัทม์ให้ทำร้ายเธอ
“หยุดเถอะ”
ปัทม์สงสารรจนาไฉนขึ้นมาจับใจ เขาจับเธอเข้ามาสวมกอด เธอตกใจที่อยู่ในอ้อมกอดปัทม์ แต่ทันทีที่เขาค่อยได้สติก็รีบผลักรจนาไฉนออกไป
“หยุดบ้ารึยัง ถ้ายังไม่หยุดจะได้เอาเชือกมามัดล่ามไว้”
ปัทม์เดินออกไป แล้วหันกลับมาสั่งรจนาไฉน
“ต่อไปอย่าขัดคำสั่งฉันอีก”
ปัทม์เดินออกไป เธอแปลกใจกับพฤติกรรมของเขา ตอนแรกเธอรู้สึกดีที่เห็นความอบอุ่นของปัทม์ แต่สุดท้ายก็เห็นด้านมืดของปัทม์เช่นเคย
ปัทม์เข้ามายังมุมหนึ่งในห้อง เขาเดินไปมาอย่างสับสนในความคิดของตัวเอง นึกถึงเหตุการณ์ที่เขากอดรจนาไฉน
“น้ำตาของเธอมันก็เป็นเพียงเหยื่อล่อให้ฉันไปติดกับ ฉันจะไม่มีวันใจอ่อนกับเธอเป็นอันขาด”
ปัทม์พยายามตั้งสติ ไม่ใจอ่อนกับรจนาไฉน
ดวงดาวยามค่ำคืน ส่องแสงระยิบระยับบนฟากฟ้า รจนาไฉนยืนมองดาวที่มุมหนึ่งของไร่ชา
“ดาวจ๋า ถึงแม้ฉันจะเจ็บปวดแค่ไหน ฉันก็ไม่มีวันยอมแพ้ ฉันจะใช้แสงแห่งความสุขของเธอ เป็นกำลังใจนำทางให้ฉันสู้ สู้เพื่อพ่อเพื่อครอบครัวของฉัน”
รจนาไฉนยิ้มอย่างมีกำลังใจ พร้อมจะสู้ต่อไป เธอหันหลังจะกลับไปบ้าน แต่เห็นเงาของคนสองสามคนกำลังแบกของ เงาของชายกลุ่มนั้นรีบวิ่งออกไป
รจนาไฉนเดินเข้ามา ลูกน้องหน่อเอรีบวิ่งหนีไป เธอเดินตามไปยืนมองอยู่ที่ด้านหน้า เห็นป้ายระบุ “โรงเก็บปุ๋ย ไร่ปัทมกุล” เธอแปลกใจ เดินต่อเข้าไปด้านในจนเห็นใครอยู่ที่มุมหนึ่ง เธอส่องไฟฉายเห็นหน่อเอ
“หน่อเอ”
เวลาเดียวกัน ปัทม์เดินออกมาทางหน้าบ้าน
“นาย...นายไม่นอนอีกเหรอครับ” ชิถาม
ปัทม์ไม่ตอบ แต่กำลังใช้ความคิด เดินต่อไปอย่างนิ่ง ๆ ชิพล่ามต่อ
“นอนไม่หลับใช่มั้ยล่ะ ฮึ ๆ ก็ไม่ยอมให้เมียมานอนด้วยนี่นา”
“ไอ้ชิ !”
ปัทม์เดินออกไปทางคอกม้า
“นายจะไปไหน”
ปัทม์ไม่ตอบ แต่เดินออกไป
มุมหนึ่งที่โรงปุ๋ย รจนาไฉนซักหน่อเอ
“หน่อเอจะขโมยปุ๋ยไปทำอะไร”
หน่อเอไม่พูด นั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น
“ถ้าไม่พูด ฉันจะไปบอกคุณปัทม์”
“อย่านะครับ ถ้าคุณปัทม์รู้ เล่นงานผมตายแน่”
“แล้วทำไมหน่อเอต้องขโมยปุ๋ย”
“ผมจะเอาปุ๋ยไปให้พี่น้องที่หมู่บ้านปลูกผักครับ”
“แต่การขโมยมันผิด หน่อเอน่าจะหาเงินไปซื้อ”
“ผมจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อ คุณก็รู้ว่าคุณปัทม์บังคับให้ผมทำงานใช้แรง ไม่ให้เงินค่าจ้าง”
“นายก็น่าจะขอปุ๋ยจากคุณปัทม์”
“ไม่ได้หรอกครับ คุณปัทม์คอยขัดขวางไม่ให้พวกเราทำการเกษตร เพราะต้องการให้พวกเรามาใช้แรงงานในไร่"
“เห็นแก่ตัวที่สุด”
“ผมต้องทำอย่างนี้เพราะอยากให้พี่น้องผมมีอาชีพที่มั่นคง เลี้ยงตัวเองได้”
เสียงม้าวิ่งเข้ามาใกล้...พร้อมกับเสียงของปัทม์
“ใครอยู่ตรงนั้น”
รจนาไฉนและหน่อเอตกใจ
“อย่าบอกคุณปัทม์นะครับ” หน่อเอกำชับ
ปัทม์ลงจากหลังม้า จะเข้าไปในโรงปุ๋ย รจนาไฉนออกมารับหน้า
“เธอ มาทำอะไรที่นี่”
“ฉัน”
ปัทม์ได้ยินเสียงคนอยู่ข้างใน เขาจะเข้าไปแต่เธอกันไว้
“ไม่มีใครอยู่หรอก”
ปัทม์ไม่เชื่อดันตัวรจนาไฉนออกแล้วเปิดประตูเข้าไป
ปัทม์เดินเข้ามาด้านใน และใช้ไฟฉายส่องมองดู รจนาไฉนเดินเข้ามาประกบ เพราะกลัวปัทม์จะจับหน่อเอได้ เมื่อเธอเห็นหน่อเอหลบที่มุมหนึ่ง จึงเดินเข้าบังสายตาปัทม์ เขาเดินไปผลักเธอออกไป
“ฉันบอกแล้วไง...ว่าไม่มีใคร”
แต่แล้วมีเสียงคนวิ่งอยู่ด้านนอกโรงปุ๋ย ปัทม์จะวิ่งตามไป แต่รจนาไฉนคิดหาทางช่วยหน่อเอด้วยการร้องขอความช่วยเหลือจากปัทม์ เพื่อเบนความสนใจ
“โอ๊ย..ช่วยด้วย งูกัด”
ปัทม์วิ่งกลับมาหารจนาไฉน
“เธอเป็นอะไรรึเปล่า”
ปัทม์เข้ามาส่องดู แต่ไม่เห็นร่องรอยใดๆ
“ไม่มีอะไรนี่”
“เอ้าเหรอ...คงโดนกิ่งไม้เกี่ยว”
“เมื่อกี้มีใครมาที่นี่”
“ก็บอกว่าไม่เห็นใคร”
“แล้วที่วิ่งไปทางโน้นล่ะ”
“คงเป็นหมาแมววิ่งนะ ฉันไปล่ะ”
รจนาไฉนรีบเดินหนีไปที่มุมหนึ่งของไร่ชา ปัทม์วิ่งเข้าขวาง
“ดึกดื่นแล้วออกมาทำอะไร รึจะออกมาหาเหยื่ออ่อยพวกคนงาน”
รจนาไฉนนึกหมั่นไส้กับคำพูดของปัทม์
“ใช่ค่ะ เพราะเห็นคุณอ่อยคู่รักของคุณแล้วทำให้ฉันเกิดอารมณ์”
“แล้วไง...หึงเหรอ”
“ถ้าหึง ฉันจะมาเดินอ่อยคนงานเหรอคะ”
“เธอมันไร้รสนิยมไม่รู้จักแยกแยะ ก็ไม่แปลกที่จะแยกไม่ออกว่าอะไรเป็นกิ่งไม้ อะไรเป็นงู”
“ความมืดอาจทำให้ฉันมองอะไรผิดพลาด แต่ใจที่มืดมนของคุณน่ะ มันทำให้คุณทำพลาดทั้งชีวิต”
“ไม่ต้องมาสั่งสอนฉัน เก็บความคิดไว้เตือนตัวเองดีกว่า เธอมันยังอ่อนต่อโลก จนแยกแยะดีเลวไม่เป็น”
ปัทม์กระโดดขึ้นขี่ม้าแล้วควบออกไป
“อย่างน้อยฉันก็แยกแยะออกว่าคุณไม่ใช่คนดี !”
วันใหม่ บรรยากาศงานเลี้ยงวันเกิดของอุรารัตน์ที่จัดขึ้นในสวนของบ้านพ่อเลี้ยงเจง มีแขกเหรื่อมาร่วมงานกันหลายคน งานเลี้ยงนั้นสมกับฐานะของพ่อเลี้ยง
พ่อเลี้ยงเจงกำลังยืนต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน ปลัดวราห์เดินประกบพ่อเลี้ยงเจงอยู่
“งานนี้จัดยิ่งใหญ่สมเกียรติคุณอุรารัตน์จริงๆครับ” วราห์บอก
“ก็ลูกสาวคนเดียวนี่ครับ พ่ออย่างผมก็ต้องทำให้เต็มที่”
“เจ้าภาพอยู่ไหนล่ะครับ ยังไม่เจอคุณอุรารัตน์เลย”
“เก็บตัวอยู่ข้างใน คงรอให้เจ้าชายมาถึงก่อน ค่อยออกมาเปิดตัว”
“ไม่ยักรู้ว่าคุณอุรารัตน์มีเจ้าชายในฝันแล้ว”
พ่อเลี้ยงเจงไม่ตอบอะไร แต่เดินออกไปต้อนรับแขกอีกทางหนึ่ง วราห์นิ่งคิด
บริเวณเรือนคนใช้ ในวันเดียวกัน จันทร์เจ้าและชิเข้ามาเรียกรจนาไฉนที่แต่งตัวแบบธรรมดาๆ
“เพื่อน ทำไมยังไม่แต่งตัวอีก”
รจนาไฉนแปลกใจ
“จะไปไหน”
“ไปงานวันเกิดคุณอุรารัตน์ไง เขามีการแต่งตัวแฟนซีด้วย”
“พวกเธอไปกันเถอะ ฉันไม่ไปหรอก”
“ไม่ได้...นายสั่งให้พวกเราทุกคนไปช่วยงานเลี้ยง นายคงลืมสั่งเพื่อนมั้ง รีบไปเปลี่ยนชุดได้แล้ว” ชิบอก
“เอาสวยๆเลยนะ คนงานบ้านโน้นหล่อล่ำทั้งนั้น” จันทร์เจ้าบอก
“สู้ชิไม่ได้หรอก”
“แหวะ”
เวลาเย็นใกล้ค่ำ จันทร์เจ้าพารจนาไฉนที่เปลี่ยนชุดเป็นชุดคนเมืองเข้ามา
“เพื่อน เธอใส่ชุดนี้แล้วสวยเหมือนผู้ดีเลย”
“ก็เขาเป็นผู้ดีนี่” ชิบอก
“พูดอะไรของแก...แล้วนี่อะไร ได้ออกงานแค่นี้แต่งตัวซะเว่อร์ ทำระริกระรี้ยังกะปลากระดี่ได้น้ำ”
จันทร์เจ้าและชิมองสำรวจปยงค์ ซึ่งแต่งตัวเต็มยศจนเว่อร์สุดในกลุ่ม
“แล้วอย่างป้าเค้าเรียกว่าอะไรล่ะ”
“งามจ๊าดนักไ ปยงค์บอก
“นึกว่าจ๊าดเง่า” ชิหยอก
“ปากเสีย ไปกันได้แล้ว ขึ้นรถ”
รจนาไฉนจะเดินไปขึ้นรถ แต่ปัทม์เข้ามา
“ใครสั่งให้เธอไป”
รจนาไฉนหันไปเจอปัทม์แต่งตัวในโทนดำ เหมือนพญามัจจุราช ชิพูดเบาๆ
“นั่น มัจจุราชมาแล้ว”
“ก็คุณสั่งให้พวกเราไปช่วยงาน”
“แต่ยกเว้นเธอ เมื่อกี้คุณแม่โทรมาบอกว่าจะกลับมาพรุ่งนี้ ห้องคุณแม่ยังไม่เรียบร้อย”
รจนาไฉนเดี๋ยวจัดการให้เอง ฉันก็ไม่อยากไปนักหรอก (จะเดินเลี่ยงออกไป)
จันทร์เจ้า ชิและปยงค์ขึ้นรถ ปัทม์หันมาสั่งรจนาไฉน
“เปลี่ยนเสื้อผ้าให้เข้ากับฐานะด้วย อย่าลืมว่าเธอเป็นใคร”
ปัทม์ขึ้นรถ ชิขับรถออกไป ปัทม์มองเย้ยเธอ...
มุมหนึ่งในงานเลี้ยง พ.ต.ท. ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะยืนดื่ม เขามองอาณาจักรที่กว้างใหญ่ไพศาลพ่อเลี้ยงเจงรู้ว่า ปวุฒิ เป็นตำรวจที่เพิ่งย้ายมาอยู่มาใหม่ จึงต้องการหว่านล้อมให้เป็นพวกเดียวกัน
ปลัดวราห์เดินประกบพ่อเลี้ยงเจงอยู่ไม่ห่าง
พ่อเลี้ยงเจงยิ้มภูมิใจในตัวเอง
“รีสอร์ตแห่งนี้มีพื้นที่มากที่สุดในจังหวัด บ้านหลังนั้นเป็นบ้านเก่าที่ผมสั่งให้ยกมาจากเชียงใหม่ คนเรา...ถ้ารู้จักทำงาน รู้ว่าควรทำตัวยังไง การจะได้บ้านแบบนี้สักหลัง มันก็ไม่ใช่เรื่องยากหรอกสารวัตร"
ปวุฒิหันมา
“สวัสดีครับพ่อเลี้ยง”
“คุณปวุฒิครับ นี่พ่อเลี้ยงเจง เจ้าของรีสอร์ตใหญ่ที่สุดของเชียงราย” ปลัดวราห์แนะนำ
“คงไม่ได้ทำรีสอร์ตอย่างเดียวมังครับ ถึงสามารถสร้างอาณาจักรและมีบริวารมากขนาดนี้”
ปวุฒิพูดเปรียบเปรยถึงวราห์ที่มาทำงานรับใช้พ่อเลี้ยงเจง ปลัดวราห์ชะงักไปนิดหนึ่ง พ่อเลี้ยงเจงมองปวุฒิอย่างค้นหา
“เก่งสมคำล่ำลือ มาอยู่ได้ไม่นาน รู้ข้อมูลในพื้นที่เป็นอย่างดี”
“ผมไม่ได้เก่งอะไรหรอกครับ แต่เป็นหน้าที่ เพราะหน้าที่ของผมคือการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด"
“ผมหนักใจจริง ๆ เดี๋ยวนี้ปัญหายาเสพติดระบาดหนัก จนผมอดเป็นห่วงอนาคตของชาติไม่ได้”
“น่าเป็นห่วงจริง ๆ แหละครับ เพราะทราบข่าวว่าที่นี่ อิทธิพลเจ้าพ่อครอบงำความถูกต้อง จนข้าราชการบางคนแยกแยะไม่ออกว่าอะไรถูกอะไรผิด"
“ถูกหรือผิด...ขึ้นอยู่กับนิยามของแต่ละคนครับสารวัตร” พ่อเลี้ยงเจงบอก
“แล้วนิยามของพ่อเลี้ยงล่ะครับ”
“ฮึ ๆ ถ้าจะคุยเรื่องนี้เราคงต้องใช้เวลากันพอสมควร”
“ผมคงประจำอยู่ที่นี่อีกนาน พ่อเลี้ยงมีเวลาคุยกับผมจนเข้าใจแจ่มแจ้งตรงกันแน่ ๆ ครับ”
ปลัดวราห์เห็นท่าไม่ดี รีบเข้ามาขวางเปลี่ยนบรรยากาศ
“แหม... งั้นเราเริ่มจากคืนนี้เลยมั้ย วันนี้น่าจะเป็นโอกาสดีที่รีสอร์ตของพ่อเลี้ยงเจงจะได้เลี้ยงต้อนรับนายตำรวจไฟแรงอย่างสารวัตรปวุฒิ”
“ดีเลย เราจะได้มีโอกาสทำความรู้จักกันมากกว่านี้” พ่อเลี้ยงเจงบอก
“ฮึ ๆ อย่าดีกว่าครับ ผมไม่นิยมทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่นอกเวลาทำงาน กลัวชาวบ้านเค้าจะหาว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนน่ะครับ”
สารวัตรปวุฒิปรายตามองปลัดวราห์ที่เริ่มไม่พอใจ
“เอาเป็นว่าวันนี้เรารู้จักกันแค่นี้ดีกว่า ขอบคุณปลัดวราห์มาก ที่ชวนผมมางานคืนนี้”
ปวุฒิหันไปพูดกับพ่อเลี้ยงเจง
“คงไม่เป็นการเสียมารยาทนะครับ ถ้าผมจะขอตัวกลับก่อน”
สารวัตรปวุฒิเดินออกไป ปลัดวราห์ไม่พอใจที่ปวุฒิไม่ให้เกียรติพ่อเลี้ยง
“ทำเป็นจองหอง”
พ่อเลี้ยงเจงยื่นยื่นซองให้ปลัดวราห์
“คนหนุ่มไฟแรงอย่างนี้ล่ะ ฉันชอบ... ฝากจัดการด้วย”
มุมหนึ่งที่งานเลี้ยง ปวุฒิจะเดินออกไป ปลัดวราห์เข้ามายื่นซองให้
“เดี๋ยวก่อนครับสารวัตรปวุฒิ คุณทำของตก”
ปลัดวราห์ยื่นซองให้ ปวุฒิรู้ดีว่าหมายถึงอะไร เขาเปิดซองหยิบเช็คออกมาดู
“หนึ่งแสนบาท เงินสำหรับอะไร”
“พ่อเลี้ยงให้กำลังใจสารวัตรคนใหม่ครับ”
สารวัตรปวุฒิมองดูเช็คเหมือนกำลังตัดสินใจ
“อุดมการณ์ไม่ทำให้คุณอิ่มท้องหรอก...เชื่อผมเถอะ”
“ปลัดคงลืมไปแล้วว่า ข้าราชการหมายถึง ข้าแห่งการรับใช้แผ่นดิน ถึงผมกินเงินหลวงไม่อิ่มท้องแต่ผมอิ่มใจ และนอนหลับอย่างมีความสุขต่างจากพวกที่คอรัปชั่น กินเงินบาป...ชีวิตก็จะมีบาปติดตัวไปจนตาย”
ปวุฒิฉีกเช็คทิ้งหยามวราห์ต่อหน้า
“แต่ผมว่า...คุณอาจต้องตายก่อนผม”
ปวุฒิหันมาหาวราห์
“ตอนเข้ามาบ้านนี้ผมแปลกใจที่บ้านพ่อเลี้ยงยิ่งใหญ่ ทำไมไม่เลี้ยงสุนัขสักตัว แต่ตอนนี้ผมรู้แล้วว่า พ่อเลี้ยงเจงเลี้ยงอะไรไว้แทน”
ปวุฒิมองไปเห็นปัทม์กำลังเดินเข้ามา จึงคิดว่าปัทม์คงเป็นพวกเดียวกับพ่อเลี้ยงเจง
“และก็มีหลายตัวด้วย”
สารวัตรปวุฒิเดินออกไป ปลัดวราห์เจ็บใจที่ปวุฒิไม่ยอมเป็นพวกเดียวกัน
จบตอนที่ 5
อ่านต่อตอนที่ 6 เวลา 17.00น.