มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 8
ปัทม์เหวี่ยงรจนาไฉนที่มุมหนึ่งบริเวณหน้าผาสวยงาม แล้วตะคอกถาม
"มายุ่งเรื่องของฉันทำไม เธอต้องการอะไร"
"ฉันอยากเห็นคุณมีความสุข"
ปัทม์อึ้ง จ้องตรงไปยังดวงตาของเธอ ราวต้องการค้นหาความจริงใจ
"ฉันอยากเห็นภาพของคุณยิ้ม อยากเห็นคุณอิ่มใจเหมือนตอนที่คุณมองใบชาของคุณ"
"สาระแนไม่เข้าเรื่อง"
"ฉันขอโทษที่ถือวิสาสะแอบตามคุณมา แต่มันทำให้ฉันรู้ว่าคุณสู้เพื่ออะไร คุณสู้เพื่อชาวดอยทุกคนบนเขาลูกนี้ ฉันขอละ...ฉันไม่รู้หรอกนะว่าอดีตของคุณเลวร้ายแค่ไหน แต่ลืมมันไปเถอะค่ะ"
"มาพูดดีกับฉัน เธอต้องการอะไร ต้องการให้ฉันรักเธองั้นเหรอ"
"เปล่าค่ะ ไม่ต้องรักฉัน เพราะมันคงเป็นไปไม่ได้ ฉันแค่อยากให้คุณเป็นคนใหม่ แค่คุณเปลี่ยนวิธีคิด ที่นี่จะน่าอยู่ไม่ต่างจากสวรรค์"
ปัทม์นิ่ง เหมือนคิดตาม แต่ยังไม่ยอมรับออกมาเป็นคำพูด เขาชี้หน้า
"อย่ามาที่นี่อีก ! นี่คือคำสั่ง"
ปัทม์หันหลังจะเดินออกไป
"เดี๋ยวก่อนค่ะ ขอบคุณนะคะที่ดูแลฉันเมื่อคืนนี้"
"ไปขอบคุณชิกับจันทร์ ฉันไม่ได้ทำอะไรให้"
รจนาไฉนยิ้ม
"แต่ฉันอยากขอบคุณคุณ อย่างน้อยคุณไม่ทิ้งฉันไว้"
"อย่าคิดนะว่าฉันจะสงสารหรือเห็นใจ ฉันทำไปเพราะไม่อยากให้คนงานต้องเหนื่อยมาขุดหลุมฝังศพเธอ"
ปัทม์เดินออกไปเลยโดยไม่สนใจรจนาไฉนที่มองตามพร้อมๆกับรำพึงว่า
"คนอย่างคุณเข้าใจยากจริง ๆ ถ้าถอดหน้ากากมัจจุราชออก คุณจะเป็นสุภาพบุรุษที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ปวุฒิ กับพ่อเลี้ยงพูนทวีเลยนะคะ"
รจนาไฉนมองตามปัทม์ที่เดินออกไปไกลแล้ว
แปลงผักผลไม้ในไร่ชา เวลากลางวันในวันเดียวกัน พูนทวีเดินเข้ามาในชุดคนงานยิ้มร่ากับชิ
"พ่อเลี้ยงพูนทวี ทำไมแต่งตัวยังกะคนงาน"
"ก็ฉันมาทำงาน นี่...ฉันเอาต้นสตรอเบอรี่สายพันธุ์ใหม่มาให้ลองปลูก ทนแดด ทนฝน ทนหนาว ทนได้ทุกอย่าง"
"จริงเหรอพ่อเลี้ยง"
"ไม่รู้ !"
"เอ๊า!"
"ก็ฉันเอามาให้แกลองปลูกดูก่อน ถ้าสำเร็จฉันจะได้เอาไปลงในไร่ฉัน"
"เห็นชิเป็นหนูทดลอง"
"ไม่ใช่หนู แต่หมูทดลอง"
พ่อเลี้ยงพูนทวีแกล้งแหย่ชิ ทั้งสองหัวเราะถูกคอ แล้วลงมือปลูกต้นสตรอเบอรี่
โลมฤทัยเดินตามหาปัทม์ที่บริเวณแปลงผักผลไม้
"คุณปัทม์อยู่ไหนนะ นี่ถ้าไม่เห็นว่ารวย ฉันไม่ยอมลำบากหรอก"
โลมฤทัยมองไปเห็นชิกำลังก้มหน้าก้มตาปลูกต้นสตรอเบอรี่ และเห็นด้านหลังพ่อเลี้ยงพูนทวีที่เธอคิดว่าเป็นปัทม์
"คุณปัทม์"
โลมฤทัยคิดแผนการในการเข้าหาปัทม์ จู่ๆ เธอก็ร้องเสียงดัง
"โอ๊ย ร้อนเหลือเกิน โอย"
โลมฤทัยทำท่าทีจะเป็นลมแดด
พูนทวีและชิหันไปตามเสียง เห็นภาพโลมฤทัยเป็นลมล้มลง
"คุณพบ!" ชิเรียก
พูนทวีตกใจ
"คนเป็นลม ชิไปเอายามา เดี๋ยวฉันไปช่วยปฐมพยาบาลก่อน"
"ไม่ต้องไปหรอกพ่อเลี้ยง อย่าไปยุ่งดีกว่า!" ชิเตือน
"เฮ้ย...ผู้หญิงเป็นลมจะปล่อยให้นอนตากแดดตายรึไง"
พูนทวีรีบวิ่งไปดูแลโลมฤทัยทันที
"เชื่อหัวไอ้ชิเหอะ มุขแบบนี้ชิเจอมาเยอะแล้ว"
โลมฤทัยนอนอยู่กับพื้น เธอไม่พอใจที่ยังไม่มีคนมาช่วย
"มัวทำอะไรอยู่นะ รีบมาช่วยสิ ร้อนจะตายอยู่แล้ว"
"เป็นอะไรรึเปล่าครับ"
โลมฤทัยแสร้งหลับตาเป็นลม พูนทวีวิ่งเข้ามา
"คุณ คุณเป็นอะไรรึเปล่า สงสัยเป็นลมแดด"
พูนทวีตัดสินใจอุ้มขึ้น โลมฤทัยแอบยิ้มดีใจ โดยยังไม่ได้มองหน้าพูนทวี
พูนทวีอุ้มโลมฤทัย เธอค่อยๆเอามือมาโอบเอวพูนทวีแล้วแสร้งว่าเริ่มได้สติ
"ช่วยพบด้วยค่ะคุณปัทม์"
โลมฤทัยมองหน้าเห็นพูนทวียิ้มให้
"คุณฟื้นแล้ว"
"ว้าย แกเป็นใคร! ไอ้คนงานสกปรก ปล่อยตัวฉันนะ"
"แต่คุณเป็นลม"
"ปล่อยฉันลง ไอ้คนโสโครก!"
พ่อเลี้ยงพูนทวีตัดสินใจปล่อยทันที โลมฤทัยตกพื้น
"โอย...ไอ้บ้า ปล่อยฉันทำไม"
"ก็คุณให้ผมปล่อย" พูนทวีบอกแล้วเข้ามาจับหน้าผากถาม
"คุณหายดีแล้วเหรอ"
"ว้าย อย่ามาถูกตัวฉัน ยี๊... ขยะแขยง ไอ้พวกคนงานบ้านไร่ ออกไป"
"ก็ผมเห็นคุณเป็นลม คุณหายดีแล้วเหรอ"
พูนทวีเข้าไปดูอาการ แต่สะดุดพื้นล้มทับโลมฤทัย
"ว้าย ช่วยด้วย"
ชิวิ่งเข้ามาเห็นพูนทวีทับโลมฤทัย
"โอ้ว...พ่อเลี้ยงไวไฟกว่าที่คิด กลางวันแสกๆก็ไม่เว้น"
"เฮ้ย ไม่ใช่อย่างที่แกคิด ช่วยดึงตัวหน่อย"
ชิเข้ามาดึงตัวพ่อเลี้ยงพูนทวี ลำเพาเข้ามาเห็นภาพผู้ชายสองคนรุมโลมฤทัย
"ออกไปนะ ช่วยด้วย!"
"ไอ้พวกบ้ากาม!"
ลำเพาคว้าไม้ขึ้นมาฟาดชิกับพูนทวี
"ทำร้ายลูกสาวฉัน ฉันจะฆ่าแก!"
ลำเพาจะฟาดพูนทวี แต่รจนาไฉนวิ่งเข้ามาห้ามไว้
"หยุดค่ะคุณแม่"
"พี่เพื่อนไปเข้าข้างไอ้ขี้ข้าทำไม"
"เขาไม่ได้เป็นคนงาน แต่เขาเป็นเพื่อนสนิทคุณปัทม์"
โลมฤทัยและลำเพาตกใจ
"อะไรนะ"
พ่อเลี้ยงพูนทวียิ้มร่าไหว้ลำเพา พูนทวีแสร้งพูดไม่ชัด
"สวัสดีครับคุณแม่ ผมชื่อพูนทวีครับ"
รจนาไฉนตีพูนทวี
"คุณนี่ยังจะมาเล่นอีก พ่อเลี้ยงพูนทวีเป็นเจ้าของไร่ผลไม้ที่นี่ค่ะ"
ลำเพาตื่นเต้นราวกับเจอเหยื่อรายใหม่
"พ่อเลี้ยงเหรอ ก็ดูจากชุดแล้วคิดว่าเป็น..."
"คนงาน!" พูนทวีพูดต่อให้
"ขอทาน! เอ่อ...แค่ชุดนะคะ แต่หน้าตาดูดีสมกับเป็นพ่อเลี้ยง ฉันต้องขอโทษอีกครั้งนะคะ" ลำเพาบอก
"คุณแม่ไม่เห็นต้องขอโทษเลย"
โลมฤทัยหันมาบอกพูนทวี
"คุณต่างหากที่ต้องขอโทษที่ทำให้พวกฉันเข้าใจผิด"
พูนทวีอึ้ง...ยกมือไหว้โลมฤทัย
"ผมผิดไปแล้ว...ขอโทษนะก๊า"
"ว้าย...ไหว้ฉันทำไม"
"แหม...พ่อเลี้ยงนี่ขี้เล่นนะคะ" ลำเพาว่า
"ไม่ใช่แค่ขี้เล่นนะคะ เชื่องด้วยค่ะ"
พูนทวีแกล้งทำท่าเห่าแล้วยกสองมือ
"พอแล้วค่ะคุณพูนทวี ดูทำเข้า พอค่ะ เลิก ๆ" รจนาไฉนบอก
"ดูคุณกับลูกเพื่อนสนิทสนมกันนะคะ เป็นเพื่อนสนิทกันเหรอ"
"ไม่ใช่ครับ ผมไม่ใช่เพื่อนคุณรจนาไฉน แต่ผมเป็นแฟน!"
ลำเพาและโลมฤทัยแปลกใจ รจนาไฉนตกใจ
"คุณพูนทวี"
"แฟนที่แปลว่าพัดลมไงครับ ถ้าคุณเพื่อนร้อนใจ ผมก็จะคอยพัดนำพาลมแห่งความสุขมาเป่าให้คุณเพื่อนคลายทุกข์"
โลมฤทัยเห็นอาการก็พอจับได้ว่าพูนทวีชอบรจนาไฉน
"คุณพูนทวีเป็นคนอารมณ์ขันอย่างนี้นี่เอง พบไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพี่เพื่อนถึงไม่เหงา"
โลมฤทัยมองความสัมพันธ์ระหว่างรจนาไฉนกับพูนทวีด้วยสายตาค้นหา
รจนาไฉนกำลังเดินตามกลุ่มของพูนทวีกับชิและคนงานส่วนหนึ่งไป โลมฤทัยเข้ามาคุยด้วย
"พี่เพื่อนชอบคุณพูนทวีมั้ย"
"ทำไมน้องพบถามอย่างนั้น"
"ฉันถามก็ตอบ อย่ายอกย้อน"
"คุณพูนทวีเป็นคนดี เราสองคนเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน"
"แต่ฉันดูออกนะว่าเขารักพี่ แต่ช่างเถอะ...พี่จะรักใครชอบใครก็ได้ แต่อย่ารักคุณปัทม์ ! จำไว้…คุณปัทม์และไร่ปัทมกุลเป็นของฉัน"
โลมฤทัยพูดจบก็เดินออกไป รจนาไฉนมองตามด้วยสายตาอ่อนแรง และเบื่อกับพฤติกรรมเอาแต่ใจของน้องสาว
บริเวณไร่ชาที่มีอาณาบริเวณกว้างขว้าง ชิและคนงานกำลังเตรียมจัดสถานที่จัดงาน
"จัดงานอะไรกันเหรอ" รจนาไฉนถาม
"นายยังไม่ได้บอกคุณรจนาไฉนอีกเหรอ...คืองี้ครับ"ชิว่า
"ชิไม่ต้องเล่า ไปทำงานเถอะ ฉันเสียสละเล่าให้ฟังเอง"
ชิจำต้องออกไปทำงานต่อ พูนทวีเดินนำรจนาไฉนแล้วเล่าให้ฟัง
"พรุ่งนี้จะเป็นการส่งชาล็อตใหญ่ เป็นธรรมเนียมว่าจะมีการจัดงานเลี้ยงฉลองผลผลิตใบชาครับ"
"น่าสนุกนะคะ"
"สนุกครับ ของกินเพียบแล้วมีการละเล่นของชาวดอยด้วย รับรองว่าสนุกไม่แพ้เที่ยวงานวัดเลย"
พูนทวีหยุดแล้วส่งมอบห่อผ้าให้รจนาไฉน
"อะไรคะ"
"ชุดของคุณเพื่อนในวันพรุ่งนี้"
รจนาไฉนจะเปิด แต่เขาเอามือมาจับมือรจนาไฉนไว้
"ห้ามเปิดครับ เดี๋ยวโดนแดดสีมันจะจาง"
รจนาไฉนยิ้มขำในมุกของพูนทวี
ที่มุมระเบียงบ้านพัก ปัทม์ยืนมองเห็นภาพที่พูนทวีจับอยู่ที่มือรจนาไฉน
รจนาไฉนเดินเข้ามาในบ้าน ปัทม์ยืนกอดอกด้วยอารมณ์หึงโดยไม่รู้ตัวเอง ในขณะ
ที่รจนาไฉนอยู่ในอารมณ์แกล้งยั่วกวนใจแบบเอ็นดูผู้ชายปากแข็งคนนี้
"คุยอะไรกับพูนทวี"
"แอบมองฉันเหรอ"
"ฉันถามว่าคุยอะไรกัน"
"อยากรู้ก็ไปถามคุณพูนทวีสิคะ"
"อย่ายั่วโมโหฉันนะ"
"เปล่านี่คะ"
"พูนทวีเอาอะไรมาให้"
"เสื้อผ้าที่เขาตั้งใจเตรียมไว้ให้ฉันใส่ในงานพรุ่งนี้ โดยคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีฉันไม่เคยเตรียมการอะไรให้ ไม่แม้แต่บอกสักคำว่าจะเกิดอะไรขึ้น"
"อย่ามาประชดฉัน จะบอกรึไม่บอกมันไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ทำไมต้องจับมือกันด้วย"
รจนาไฉนยิ้มๆ แกล้งยั่วแบบเอ็นดู
"อุ๊ย... ช่างสังเกต ฉันก็แค่ขอบคุณในน้ำใจของเขา มันก็แค่นั้น"
ปัทม์ไม่พอใจที่เธอคอยประชดประชัน รจนาไฉนจะเดินหนี แต่เขาเข้ามาจับตัวไว้
"อย่าให้ฉันรู้นะว่าเธอสนิทสนมกับพูนทวีมากเกินเพื่อน จะทำอะไรก็ให้ระลึกไว้ด้วยว่าเป็นเมียใคร"
รจนาไฉนแกล้งถอนสายบัว
"เจ้าค่ะ คุณปัทม์ ปัทมกุล สามีของฉัน"
รจนาไฉนตอบยิ้ม ๆ แล้วเดินออกไปปล่อยให้ปัทม์ไม่พอใจอยู่ตรงนั้น
วันใหม่ ท้องฟ้าสดใส บริเวณจัดงานเลี้ยงฉลองผลผลิตใบชา เสียงดนตรีชาวดอยดังขึ้น บรรยากาศงานเลี้ยงกลางไร่ชาตกแต่งแบบทางเหนือผสมผสานวัฒธรรมชาวดอย กลุ่มคนงานแต่งตัวเป็นชาวดอยพื้นเมือง เดินเข้ามาร่วมงาน
ชิ จันทร์เจ้าและปยงค์เดินเข้ามาในงาน
"อุแม่เจ้า งามแต้งามว่า นี่มันสวรรค์ชั้นฟ้ามหาวิมานใด ถึงได้งามตระการตาเหนือคำพรรณา" ปยงค์ว่า
จันทร์เจ้าบอก
"งานปีนี้จัดใหญ่กว่าทุกปี เพราะเป็นครั้งแรกที่ชาของเราส่งออกไปไกลถึงอังกิด"
"ไม่ได้ส่งไปอังกิด ส่งไปที่เมืองลิเวอร์พูล" ชิบอก
"ไอ้โง่ ก็นั่นแหละเป็นเมืองของประเทศอังกิด เมืองผู้ดี"
ปยงค์ว่า ก่อนหันไปเห็นพวกโลมฤทัยและลำเพาเดินเข้ามาพอดี
"ว๊าย...พูดถึงผู้ดี ผู้ดีก็มา ขี้ข้าเตรียมตัวตั้งรับ"
"นี่เหรองานเลี้ยงใหญ่ประจำปี จัดยังกะงานวัด"
ลำเพารีบขัด
"อย่าพูดมากไปค่ะลูกขา คนเยอะ...เก็บอาการไว้"
ลำเพาเห็นกลุ่มคนที่กำลังเดินเข้างานมา
"นั่นใครมา...กะเซเล็บไฮโซ"
พ่อเลี้ยงเจงและปลัดวราห์เดินผ่านมาบริเวณทางเข้างานเลี้ยง บรรดาคนงานต่างยกมือไหว้ มีจ่าและตำรวจในเครื่องแบบเข้าไปไหว้ นงนุชประกาศเสียงดังได้ยินกันทั่ว
"คุณอุรารัตน์มาแล้วจ้ะ ไม่ต้องรุมถ่ายภาพนะคะ ขอทางด้วยค่ะ"
มีกลุ่มคนถือกล้องกรูเข้ามาแย่งถ่ายภาพอุรารัตน์ เธอยิ้มร่าแล้วหันไปถามนงนุช
"สื่อมาจากไหนเหรอ ทำไมหน้าตาคุ้นๆ"
"พวกคนงานในรีสอร์ทเราค่ะ"
อุรารัตน์ชักสีหน้าไม่พอใจ
"แล้วทำไมไม่เชิญสื่อมาล่ะ"
"สื่อบอกว่าเรายังไม่ดังพอค่ะ นงนุชก็เลยจ้างให้พวกคนงานแต่งตัวเป็นช่างภาพมาสร้างกระแส"
"ไม่เอา! ไม่ต้องถ่ายแล้ว"
"ไม่ได้ค่ะ...ต้องสร้างภาพไว้ เราต้องทำตัวให้มีค่ามีราคา คุณปัทม์จะได้ทิ้งเมีย หันมาซบอกคุณแอรี่นะคะ"
อุรารัตน์จำต้องฉีกยิ้มให้พวกคนงานถ่ายภาพ
คนงานสำเนียงพูดไม่ชัด
"ยิ้มหน่อยนะคับ"
คนงานหญิงอีกคน พูดไม่ชัดเหมือนกัน
"อีกภาพนะคะ"
"โน่น คุณปัทม์อยู่โน่น รีบไปเสนอหน้าค่ะคุณแอรี่ขา"
อุรารัตน์มองไปในงาน เห็นปัทม์ก็ยิ้มดีใจ
มุมหนึ่งในงานเลี้ยง พูนทวีเข้ามาจับมือปัทม์
"ยินดีด้วยนะเพื่อน"
"มาทำไม ไม่ได้เชิญ"
"เพื่อนกันไม่ต้องพิธีรีตอง"
"มาทั้งทีไม่มีดอกไม้หรือกระเช้ามาเลยเหรอ"
"ก็บอกแล้วไง...เพื่อนกันไม่ต้องพิธีรีตอง"
พูนทวีหันไปมุมหนึ่งเรียก
"คุณแม่ครับ"
"อะไรของแก"
"แม่ฉันมาแล้ว"
พูนทวีเดินออกไปหาเปรม ปัทม์มองไปตามพูนทวีที่เข้าไปไหว้และกอดเปรม ปัทมกุล
"สวัสดีครับคุณแม่ คิดถึงคุณแม่ที่สุดเลยครับ"
พูนทวีหอมแก้มเปรมประหนึ่งว่าเป็นลูกชาย
"เฮ้ย...นี่แม่ของฉัน" ปัทม์บอก
"ก็ลูกแม่ทั้งสองคนนั่นล่ะ" เปรมบอก
"ผมนึกว่าคุณแม่จะไม่มางาน"
"งานสำคัญอย่างนี้แม่ไม่มาได้ไง กลับมาคราวนี้คงจะอยู่ยาวให้หายคิดถึงเลย"
ลำเพาและโลมฤทัยเข้ามา
"คุณเปรมขา กราบสวัสดีค่ะ"
"คุณลำเพา สวัสดีค่ะ เพิ่งทราบจากเด็กๆว่าคุณลำเพามา ขอโทษด้วยนะคะที่ไม่ได้มาต้อนรับ"
"ดิฉันสิคะที่ต้องขอโทษ ไม่ได้บอกล่วงหน้า ลูกพบกราบคุณป้าสิจ้ะลูก"
"กราบสวัสดีคุณป้าค่ะ คุณแม่พูดถึงคุณป้าอยู่บ่อย ๆ ชื่นชมว่าคุณป้าชอบปฎิบัติธรรม โอกาสหน้าพบขอไปวิปัสนาธรรมด้วยนะคะ"
พูนทวีดักคอ
"ผมว่าแค่รักษาศีลห้าให้ได้ก่อนเถอะ"
โลมฤทัยและลำเพาหันมา พูนทวีรีบแก้ตัว
"ผมหมายถึงไอ้ปัทม์นะครับ"
"นี่...ลูกพบไม่ต้องเรียกคุณป้าหรอกต้องเรียกว่าคุณแม่ เพราะเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว" ลำเพาบอก
ทันใดนั้น อุรารัตน์แจ๋นเข้ามาเสนอหน้าไหว้เปรม
"สวัสดีค่ะคุณแม่ขา"
อุรารัตน์เอาช่อดอกไม้ให้ปัทม์
"Congratulation นะคะปัทม์ ถ่ายภาพค่ะ"
พ่อเลี้ยงเจงและปลัดวราห์เอากระเช้ามาให้ปัทม์
"ขอแสดงความยินดีด้วยนะครับ ปีนี้จัดยิ่งใหญ่สมกับเป็นพ่อเลี้ยงปัทม์"
"ขอบคุณครับพ่อเลี้ยง"
ปัทม์หันไปมองวราห์ ทั้งคู่จ้องหน้ากันด้วยแววตาไม่ค่อยถูกกันนัก ลำเพาเห็นว่า อยู่กันเยอะ จึงคิดจะเปิดตัวโลมฤทัย
"ลูกพบ งานนี้ลูกต้องช่วยคุณแม่เปรมดูแลแขกนะคะ"
"ได้ค่ะ พบยินดีช่วยคุณปัทม์ต้อนรับแขก"
"ไม่ต้อง ! ฉันเป็นคนที่นี่ ฉันรู้ดีว่าใครเป็นใคร ฉันช่วยปัทม์เอง"
ลำเพาถาม
"เออ...ไม่ทราบว่าหนูเป็นประชาสัมพันธ์ท้องถิ่นเหรอจ้ะ ถึงรู้ทุกเรื่อง"
"ฉันอุรารัตน์ลูกสาวพ่อเลี้ยงเจง เพื่อนสนิ๊ทสนิทของปัทม์"
อุรารัตน์พูดพลางควงแขนปัทม์แน่น โลมฤทัยเห็นแล้วไม่พอใจ เปรมไม่พอใจที่อุรารัตน์เข้ามาแสดงความเป็นเจ้าของ เปรมเข้ามากันอุรารัตน์ออก
"ปัทม์… หนูรจนาไฉนอยู่ไหนล่ะลูก"
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 8 (ต่อ)
บริเวณงานเลี้ยงกลุ่มสาวชาวเขาเดินผ่านไปมา รจนาไฉนแต่งชุดชาวดอยเดินเข้างานมาอย่างสวยงาม ปัทม์มองตะลึงมองเคลิ้ม กลุ่มหนุ่มสาวชาวดอยภายในงาน มองรจนาไฉนด้วยความชื่นชม
พ่อเลี้ยงพูนทวีมองเคลิ้ม เปรมมองด้วยความพอใจ ปลัดวราห์หลงใหลในความสวย
ลำเพาและโลมฤทัยหมั่นไส้ อุรารัตน์อยากจะกรี๊ดแต่พ่อเลี้ยงเจงมองดุ ไม่ให้แสดงอารมณ์ออกมา
ปัทม์มองนิ่ง พอเห็นว่ารจนาไฉนเข้ามาใกล้ก็รีบเก็บอาการ รจนาไฉนเดินเข้ามาไหว้เปรมและแขกผู้ใหญ่
"สวัสดีค่ะคุณแม่ พ่อเลี้ยงเจง เพื่อนขอโทษทุกคนนะคะที่ให้รอ"
"มัวโอ้เอ้แต่งตัวบ้าบออยู่ได้" ปัทม์บอก
"อะไรกันตาปัทม์ ชุดนี้สวยแปลกตาดี" เปรมว่า
"ผมหามาให้คุณเพื่อนครับ แต่เอ...มันไม่เหมือนที่ผมให้เท่าไหร่" พูนทวีบอก
"เพื่อนเอาลายผ้าพื้นเมืองมาเย็บเพิ่มนะคะ"
"สวยมากครับ" พูนทวีบอก
"มาสายเพราะสนใจแต่เรื่องของตัวเอง เสียมารยาท"
รจนาไฉนรีบบอกเปรมและทุกคน
"ที่เพื่อนมาสายเพราะเพื่อนทำขนมจีนน้ำเงี้ยวมาให้ทุกคนได้ลองทานนะคะ"
"ดูสิ...หนูเพื่อนของแม่น่ารักเสมอ เอาล่ะ พร้อมหน้ากันแล้วเริ่มพิธีเปิดได้แล้วล่ะปัทม์" เปรมบอก
ปัทม์จะเดินไปคนเดียว แต่เปรมมองดุ เขาเลยหันไปจับมือรจนาไฉนเดินไปยังบริเวณเปิดงาน
ปัทม์เดินจูงมือรจนาไฉน เธอสงสัย
"คุณจะพาฉันไปไหน"
"ไม่ต้องดีใจจนมือไม้สั่น ถ้าฉันไม่เห็นแก่คุณแม่อย่าหวังเลยว่าฉันจะควงเธอออกงาน"
ปัทม์ยิ้มให้กับกลุ่มคนงานที่เดินผ่าน คนงานต่างปรบมือชอบใจ ชื่นชมในคู่รัก
ชิดื่มเหล้าข้าวโพดในกระบอกไม้ไผ่
"งานนี้ต้องมีอะไรสนุกแน่"
"เลิกกินเหล้าข้าวโพดได้แล้ว ไปเตรียมของให้นาย" จันทร์เจ้าบอก
ชินึกได้รีบวิ่งออกไป จันทร์เจ้ามองรจนาไฉนกับปัทม์
"คุณรจนาไฉนงามลำ..ช่างเหมาะสมกับนายเหลือเกิน"
ปัทม์เดินมาถึงจุดที่จะกล่าวเปิดงาน บริเวณนั้นมีขบวนรถบรรทุกชาหลายคันจอดอยู่พร้อมเคลื่อนขบวนออกไปส่งชา เขาเดินมาที่ตำแหน่งการพูดเปิดงานซึ่งตกแต่งด้วยดอกไม้สวยงามมาก...
"ฝีมือเธอล่ะสิ"
รจนาไฉนยิ้มรับด้วยความภาคภูมิใจ
"ไม่ได้เรื่อง !"
รจนาไฉนเก็บอาการไม่พอใจไว้ ปัทม์เข้าไปยืนพูดเปิดงาน
"วันนี้ถือเป็นวันเกียรติยศ แต่ไม่ใช่ของผม ไม่ใช่ของไร่ปัทมกุล แต่เป็นวันเกียรติยศของพวกเราทุกคน
กลุ่มคนงานปรบมือดีใจ
"วันนี้ เรากำลังจะส่งใบชาที่ปลูกในประเทศไทยไปยังทวีปยุโรป ใบชาสัญชาติไทยแท้กำลังจะเข้าไปสู่ดินแดนแห่งตำนานการดื่มชา พวกเรากำลังจะพิสูจน์ให้ฝรั่งเห็นว่า ใบชาของไทย..ไม่ได้เป็นเพียงแค่หนึ่งในใบชาชั้นนำ แต่เราเป็นใบชาที่หนึ่งในโลก"
เหล่าบรรดาคนงานต่างเฮอย่างฮึกเหิม
"พี่น้องชาวไร่ปัทมกุล ผมขอปรบมือให้กับทุกคนที่ร่วมสร้างความสำเร็จนี้ร่วมกัน พวกคุณคือที่หนึ่งในโลก !"
ปัทม์ยืนปรบมือให้กับคนงาน รจนาไฉนร่วมปรบมือด้วย คนงานยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ ที่ด้านข้างพวกหน่อเอฟังอยู่ที่มุมหนึ่ง
"พูดหลอกให้เราตายใจ แต่สุดท้ายก็โกยผลประโยชน์เข้าตัวเอง"
หน่อเอไม่สนใจฟัง เดินออกไปอีกมุมหนึ่งของงาน
ปัทม์พูดต่อ
"ความสำเร็จครั้งนี้ ผมต้องขอขอบคุณบุคคลที่สำคัญในชีวิต คุณแม่...”
ทุกคนปรบมือให้เปรม ปัทมกุล
"และผู้หญิงอีกคนที่ทำให้ผมก้าวมาถึงวันนี้ ผู้หญิงผู้เป็นแรงผลักดันทำให้ผมทำเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ให้เป็นไปได้"
รจนาไฉนแปลกใจว่า ปัทม์จะพูดชื่นชมใคร
อุรารัตน์ยิ้มเสนอหน้า โลมฤทัยและลำเพามองอุรารัตน์ด้วยความหมั่นไส้ จันทร์เจ้ากอดชิด้วยความตื่นเต้น
"ต้องชมคุณรจนาไฉนแน่ น่ารักอะ ชมเมียต่อหน้าคนอื่น" จันทร์เจ้าบอก
รจนาไฉนสนใจฟังว่า ปัทม์จะชื่นชมใคร
"ผู้หญิงคนนั้นคือ.. แสงจันทร์ !"
ทุกคนฮือฮาที่ปัทม์พูดชื่อภรรยาเก่าที่ตายจากไป
"ใครกันคะคุณเปรม" ลำเพาถาม
"ภรรยาเก่าของตาปัทม์ เธอเสียชีวิตไปแล้ว"
ลำเพาและโลมฤทัยเพิ่งรู้ความจริง
"ถึงแม้ว่าเธอจะเสียชีวิตไปตั้งแต่แผ่นดินผืนนี้ยังไม่มีอะไรเลย แต่แสงจันทร์ก็เป็นแรงผลักดันสำคัญ ที่ทำให้ผมอดทน มุมานะ ต่อสู้ พลิกฟื้นผืนแผ่นดินนี้ให้เป็นทองคำสำหรับพวกเราทุกคน"
รจนาไฉนมองหน้าปัทม์ นึกไม่ถึงว่าปัทม์จะกล่าวถึงแสงจันทร์ด้วยน้ำเสียงไม่โกรธแค้นเหมือนเคย
"ต่อไป...คุณปัทม์จะทำพิธีปล่อยขบวนรถส่งชาครับ" ชิบอก
ทุกคนปรบมือ ชิเอาหน้าไม้ใส่พานให้ปัทม์
"เอามาทำอะไร"
รจนาไฉนอธิบาย
"คุณยิงลูกดอกไปที่ลูกโป่งยักษ์"
ปัทม์ถาม
"หัวคิดเธอใช่มั้ย"
รจนาไฉนไม่ตอบ เพียงแต่ยิ้ม ๆ
"ยุ่งไม่เข้าเรื่อง"
ปัทม์มองไปเห็นลูกโป่งยักษ์แขวนอยู่หน้าขบวนรถ มีลูกโป่งสีเล็ก ๆ อยู่ภายในลูกโป่งยักษ์
ทุกคนปรบมือรอปัทม์ทำพิธีเปิด ปัทม์จำต้องยิงหน้าไม้ไปที่ลูกโป่งยักษ์จนแตก ลูกโป่งหลากสีลอยสู่ท้องฟ้า ทุกคนปรบมือด้วยความชื่นชม
"นังจันทร์ แกดูสิ...ยิ่งใหญ่อลังการงานสร้างยิ่งกว่ากีฬาประจำจังหวัดอีก" ปยงค์บอก"ฝีมือคุณรจนาไฉนคิดเองเลยนะเนี่ย" จันทร์เจ้าบอก
ทุกคนปรบมือ ถือว่าการเปิดงานได้เริ่มต้นขึ้น...
ปัทม์ที่กำลังเดินกลับไปยังกลุ่มของเปรม แล้วหันไปต่อว่ารจนาไฉนที่เดินอยู่ทางด้านข้าง
"ทีหลังอย่าทำอะไรบ้าบอแบบนี้อีก...ไม่เข้าท่า !"
รจนาไฉนยิ้ม ๆ เพราะรู้จักอาการปากอย่างใจอย่างของปัทม์เป็นอย่างดี เด็กชาวดอยคนหนึ่งเดินมาพร้อมกับพานใส่หมวกชาวดอย เธอหยิบหมวกชาวดอยส่งให้ปัทม์
"อะไรของเธออีก"
"หมวกชาวดอย"
"คิดว่าฉันโง่รึไง ฉันอยู่ที่นี่มานาน ฉันรู้ดีว่าไม่ใช่ลายของชนเผ่าที่นี่"
"ฉันเอาลวดลายของทุกเผ่ามาประยุกต์ เป็นหมวกชาวดอยตามสไตล์ฉันเอง คุณควรจะใส่เพื่อเป็นเกียรติกับพวกเขา"
"ฉันไม่ยอมบ้าบอ เป็นตัวตลกของเธอหรอก"
ปัทม์ยื่นคืนให้รจนาไฉนแต่เธอไม่รับ ปัทม์จะทิ้ง แต่เห็นเด็กชาวดอยมองตาแป๋ว ปัทม์ก็จำต้องใส่ รจนาไฉนยิ้มดีใจเดินออกไป
"อย่าคิดว่าเธอชนะฉันนะ แล้วขอย้ำ อย่ามาจุ้นจ้านคิดทำโน่นทำนี่เพื่อฉันอีก"
"ฉันไม่ได้ทำเพื่อคุณ แต่ทำเพื่อคุณเปรมและทุกคนที่นี่"
พูนทวีเข้ามาชื่นชมรจนาไฉน
"ไอเดียพิธีเปิดขบวนรถเจ๋งมากครับ สร้างสรรค์สุดๆ ผมขอลิขสิทธิ์เอาไปใช้ในพิธีเปิดกีฬาชาวดอยประจำปีนะครับ"
"ได้เลยค่ะ เพื่อนขอตัวไปดูแลแขกก่อนนะคะ"
รจนาไฉนเดินไปอีกทางซึ่งไม่ใช่ทางไปดูแลแขกผู้ใหญ่คนสำคัญ พูนทวีแปลกใจ
"คุณเพื่อน...แขกผู้ใหญ่อยู่ด้านโน้นนะครับ"
"ทางโน้นมีน้องพบและคุณอุรารัตน์ช่วยดูแลแล้ว แต่แขกคนสำคัญของเพื่อนอยู่ทางนี้ค่ะ"
รจนาไฉนมองไปที่กลุ่มเด็ก ๆ ชาวดอยที่วิ่งเล่นกันอยู่ พูนทวีถึงกับเคลิ้ม
"รักเด็กด้วย เทพธิดาดอยของผม"
"สร้างภาพ!"
รจนาไฉนหันมาสั่งปัทม์
"คุณปัทม์ควรไปช่วยน้องพบรับแขกนะคะ"
รจนาไฉนเดินออกไป พูนทวีคิดตามเพื่อนไป แล้วหันมาบอกปัทม์
"คุณเพื่อนเปิดทางให้แล้ว แกไปโลด ส่วนฉันจะเป็นองครักษ์พิทักษ์เทพธิดาดอย"
พูนทวีตามรจนาไฉนไป ปัทม์ไม่พอใจจะหันเดินไปทางด้านแขกผู้ใหญ่ แต่สายตาเห็นโลมฤทัย และอุรารัตน์ที่ชะเง้อมองหาเขาอยู่ก็เปลี่ยนใจ
มุมหนึ่งในงาน รจนาไฉนแจกไอศกรีม
"ไอศกรีมหวานเย็นอร่อยๆจ้ะ"
เด็กชายบอก
"ขอบคุณครับ"
รจนาไฉนตักไอศกรีมแจก พูนทวีเข้ามาช่วยตักและยื่นแจกเด็กๆ
"ผมช่วยครับ... เอ้านี่ อร่อยที่สุด"
"ขอบคุณค่ะคุณลุง"
"โห...เรียกซะแก่เลย ไม่ให้ดีกว่า"
รจนาไฉนเข้าไปกระซิบบอกเด็กหญิง
"หนูอยากทานไอศกรีมของคุณพี่ค่ะ" เด็กผู้หญิงเปลี่ยนคำพูด
"น่ารักที่สุดเลย แถมให้อีกถ้วย"
พูนทวียื่นให้เด็กสองอัน เด็กยิ้มไหว้แล้ววิ่งไป...
"ขอบคุณค่ะคุณปู่!"
"เอ้า...แก่กว่าเดิมอีก"
รจนาไฉนและพูนทวีหัวเราะชอบใจแล้วช่วยกันตักไอศกรีมจนหน้าชิดกัน พูนทวียิ้มและมองค้าง รจนาไฉนรีบเอาตัวออกห่าง แล้วตักไอศกรีมแจกเด็กๆ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เด็ก ๆ ถือไอศกรีมวิ่งออกไป และสวนกับปัทม์ที่เดินเข้ามา
"แต่งตัวเป็นชาวดอย ทำเป็นรักเด็ก คิดสร้างภาพให้พวกเขาประทับใจ ทำได้แค่นี้เองเหรอ"
รจนาไฉนพูดกับเด็กเป็นภาษาม้ง
"ไอศรีมอร่อยมั้ยคะ"
เด็กตอบเป็นภาษาม้ง
"อร่อยมากค่ะ"
"ถ้าอยากกินอีก ต้องเป็นเด็กดีนะคะ"
"ค่ะ พี่คนสวยพาหนูไปดูเขาเต้นรำหน่อย"
"ได้ค่ะ"
รจนาไฉนกับเด็กต่างพูดภาษาม้งตอบกันไปมา แลเเธอก็อุ้มเด็กพาไปที่มีการแสดงของชาวดอย ปัทม์อึ้งไม่คิดว่ารจนาไฉนจะพูดภาษาม้งได้
ปัทม์ถามพูนทวี
"เขาพูดอะไรกัน"
พูนทวีทำเป็นพูดแบบไม่ชัด
"คุณเพื่อนถามว่าอร่อยมั้ย แล้วก็สอนว่าถ้าอยากกินอีกต้องเป็นเด็กดี เด็กขอให้พี่คนสวยพาหนูไปดูเขาเต้นรำหน่อย คุณเพื่อนก็ตอบว่า ได้ค่ะ"
"ทำไมแกรู้"
"เรามาอยู่ในดินแดนเขา เราก็ต้องศึกษาภาษาเจ้าบ้าน อย่าบอกนะว่าแกพูดไม่ได้สักคำ"
ปัทม์ทำหน้างง ๆ พลางส่ายหัว
"เฮ้อ...แย่จริงๆ แกเชื่อรึยังว่าคุณเพื่อนของฉัน เหมาะสมที่จะได้รับตำแหน่งเทพธิดาดอย"
พูนทวีมองด้วยความปลื้มใจ ปัทม์เดินออกไป
มุมการแสดงชาวดอย มีการแสดงเต้นรำเก็บใบชา รจนาไฉนอุ้มเด็ก มองการแสดงด้วยความประทับใจ เมื่อการแสดงจบลง เธอวางเด็กลง เด็กไหว้ลาวิ่งไปหาพี่สาวที่เพิ่งเต้นรำจบ
กลุ่มชาวดอยเข้ามาเต้นรำเป็นวงกลม ปัทม์เข้ามาหารจนาไฉน
"เก่งนักใช่ไหม มานี่"
"คุณจะทำอะไร"
ปัทม์ดึงรจนาไฉนมากลางลานการแสดง
"คุณรจนาไฉนอยากเต้นรำด้วย เอาสิ แสดงให้ดูหน่อยว่าวัฒนธรรมพวกเขาเต้นรำยังไง ร้องเพลงอะไร"
รจนาไฉนยืนนิ่งที่กลางวง พูนทวีวิ่งเข้ามาหาปัทม์
"แกทำอะไรของแกวะ คุณเพื่อนออกมาเถอะครับ"
"ว่าไง หมดมุขสร้างภาพแล้วสิ เก่งนักก็ร้องเพลงให้ฟังหน่อย"
"คุณเพื่อนจะร้องได้ไง ฉันอยู่มาเกือบทั้งชีวิตยังร้องไม่เป็นเลย"
ทันใดนั้นเสียงร้องเพลงชาวม้งดังขึ้น ปัทม์แปลกใจหันไปมอง รจนาไฉนยืนร้องเพลงอยู่กลางวง
ทุกคนอึ้งและประทับใจมาก ชาวเขาเป่าแคนม้ง ทุกคนเริ่มตบมือเป็นจังหวะ เธอร้องเพลงท่อนสั้น ๆ จนจบ ทุกคนปรบมือแล้วเริ่มเต้นรำ
รจนาไฉนร่วมเต้นรำกับชาวม้ง พูนทวีนึกสนุกลากปัทม์ไปกลางวง
"เฮ้ย..ฉันเต้นไม่เป็น!"
"ไม่เป็นก็ต้องเต้น"
พูนทวีลากปัทม์มากลางวงที่รจนาไฉนยืนอยู่ ปัทม์ไม่อยากเต้นจะเดินหนี แต่หมวกชาวดอยที่รจนาไฉนให้ปัทม์ร่วงตกพื้น รจนาไฉนหยิบขึ้นมาให้ปัทม์
"ใส่หมวกสิคะ"
"ไม่ใส่"
ปัทม์จะปัดออกแต่รจนาไฉนไม่ยอม สวมหมวกให้ปัทม์ ทำให้ทั้งสองหน้าชิดติดกัน ทั้งสองต่างมองอึ้ง ปัทม์ได้สติจะปัดออก
"พ่อเลี้ยงหล่อจัง" ชาวดอยคนหนึ่งบอก แล้วทุกคนปรบมือชื่นชมปัทม์
"ถ้าคุณเอาออก ก็เท่ากับไม่ให้เกียรติพวกเขา"
ปัทม์จำยอมใส่หมวกชาวดอย รจนาไฉนลากเข้าไปยืนในวง
รจนาไฉนเต้นอยู่ตรงกลาง ด้านซ้ายเป็นปัทม์ ด้านขวาเป็นพูนทวี ทุกคนล้อมจับมือเป็นวงกลมกับชาวเขา เต้นระบำไปรอบ ๆ แรก ๆ เขาไม่พอใจนัก แต่เมื่อเต้นรำไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มสนุกสนานและเห็นในความน่ารักของรจนาไฉน
ระหว่างเต้นรำ มือของรจนาไฉนจะหลุดออก แต่ปัทม์คว้าแล้วจับมือไว้แน่น เธอมองหน้าเขาอย่างรู้สึกดี แต่พอปัทม์ได้สติก็กลบเกลื่อน ไม่มองหน้า จับมือแค่หลวม ๆ เต้นรำต่อไป เธอยิ้มมีรู้สึกดีขึ้น
มุมหนึ่งในงาน เปรม ปัทมกุลมองภาพลูกชายเต้นรำกับรจนาไฉนก็ยิ้มพอใจ
“ลูกสาวคุณลำเพาน่ารักนะคะ เก่งไปทุกเรื่อง” เปรมว่า
“เอ่อ...คุณเปรมคะ ดิฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกคุณเปรม” ลำเพาบอก
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
“ดิฉันต้องขอโทษด้วยที่แกคงทำให้คุณเปรมลำบากใจ เพราะแกดื้อมาก มั่นใจในตัวเองสูง เจ้าอารมณ์ ชอบสร้างปัญหาให้ไม่หยุดหย่อน"
“ขอโทษนะคะที่พูดอยู่นี่หมายถึงลูกสาวคนเล็กเหรอคะ”
“ไม่ใช่ค่ะ ดิฉันหมายถึงลูกเพื่อน”
“เหรอคะ ดิฉันคิดว่าเป็นหนูโลมฤทัยซะอีก เพราะเท่าที่ฉันรู้จักหนูเพื่อน แกไม่มีนิสัยอย่างที่คุณลำเพาพูดเลย ขอตัวนะคะจะไปทานอาหารที่หนูเพื่อนเตรียมไว้"
เปรมเดินออกไป ลำเพามองตามไม่พอใจ ยังคงคิดกำจัดรจนาไฉนออกจากชีวิตปัทม์
โลมฤทัยเดินแหวกกลุ่มคนเข้ามาดูการเต้นรำ มองรจนาไฉนที่เต้นรำกับปัทม์อย่างไม่พอใจ
ฝ่ายรจนาไฉนหันมาเจอโลมฤทัยยืนมอง ก็รู้ว่า น้องสาวไม่พอใจ เธอจึงตัดสินใจปล่อยมือปัทม์และเดินออกมาจากวง ปัทม์และพูนทวีต่างแปลกใจ แต่ยังเต้นรำกันต่อไป
รจนาไฉนเข้ามาหาโลมฤทัย
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยให้อยู่ห่างคุณปัทม์”
“คุณปัทม์เขาอยากเต้นกับน้องพบ”
รจนาไฉนจูงมือโลมฤทัยเข้าไปในวงเต้นรำแล้วให้ยืนแทนตำแหน่งเธอ ปัทม์ไม่อาจปฎิเสธได้แล้วรจนาไฉนก็ทำเนียนๆ ปรบมือ แล้วค่อยๆถอยห่างออกมาจากวง
อุรารัตน์และนงนุชเข้ามาหารจนาไฉน
“เป็นบ้าอะไร ทำไมปล่อยให้น้องสาวไปเต้นกับผัวตัวเอง”
“ก็คงจะดีกว่าให้เต้นกับผู้หญิงคนอื่น” รจนาไฉนบอก
“มันหลอกด่าคุณแอรี่อีกแล้วค่ะ” นงนุชสาระแนส่งท้าย
“ฉันจะไม่ตอบโต้ ไม่ตบ เพราะฉันรู้ดีว่างานนี้ฉันควรทำตัวยังไง”
“คุณอุรารัตน์น่าจะทำใจ เลิกตอแยคุณปัทม์เถอะค่ะ...ชีวิตจะได้มีความสุข”
“แก”
“อย่าค่ะ นงนุชคิดออกแล้วค่ะ ด้านได้อายอดค่ะ”
นงนุชลากอุรารัตน์เข้าไปกลางวงแล้วดันโลมฤทัยออก อุรารัตน์เข้าไปจับมือปัทม์เต้นรำด้วยแบบหน้าด้านๆ ลมฤทัยไม่พอใจหาจังหวะแกล้งคืน ด้วยการเต้นแล้วเหยียบเท้าอุรารัตน์ จนอุรารัตน์โกรธจะตบ แต่ปัทม์อยู่ด้วยจำต้องยิ้มสู้
ปัทม์เริ่มรำคาญหนีออกไปจากวงเต้นรำ อุรารัตน์จะตามปัทม์ไป แต่โลมฤทัยจับไว้ พูนทวีเห็นแล้วขำในศึกครั้งนี้
รจนาไฉนกำลังเดินอยู่มุมหนึ่งในงาน
“ทำไมต้องออกมา”
“ฉันเต้นเหนื่อยแล้ว”
“เหนื่อยหรือว่าเป็นแผนประเคนน้องสาวให้ฉัน”
“ฉันก็แค่อยากให้น้องพบได้เต้นรำพื้นเมืองบ้าง”
“อย่าคิดว่าฉันไม่รู้แผนตื้น ๆ ของเธอนะ เธอต้องการยัดเยียดน้องสาวเธอให้ฉัน”
“แล้วแต่จะคิดค่ะ”
รจนาไฉนเดินหนี ปัทม์จะตามไปรังควาญ แต่หันไปเจอหน่อเอและพวกกำลังเสิร์ฟน้ำและเดินไปหาพ่อเลี้ยงเจง ปัทม์มีสีหน้าสงสัย
หน่อเอและลูกน้องถือถาดใส่แก้วน้ำไม้ไผ่มาเสิร์ฟน้ำพ่อเลี้ยงเจง
“พ่อเลี้ยงเจง เหล้าข้าวโพดครับ”
พ่อเลี้ยงเจงปัดถาดแก้วตกพื้นหมด
“ใส่แก้วไม้สกปรก ไปหาแก้วสะอาดมาให้ฉัน”
“พ่อเลี้ยงพูดดี ๆ ก็ได้ไม่ต้องทำอย่างนี้”
“ยังมีหน้ามาเถียงอีก บอกให้ออกไปไอ้พวกสวะ”
ปัทม์เข้ามาหาพ่อเลี้ยงเจง
“ไปเปลี่ยนแก้วใหม่ให้พ่อเลี้ยงเจง”
หน่อเอและพวกเดินออกไป ปัทม์ปกป้องลูกน้อง
“อย่าทำอย่างนี้กับคนงานของผมอีก”
“ไปสนใจมันทำไม...มันไม่ใช่คนไทย บัตรประชาชนยังไม่มีเลย”
“เขาเกิดบนแผ่นดินไทย บรรพบุรุษเขาก็เป็นเจ้าของพื้นที่...เราต่างหากที่เข้ามาในพื้นที่ของเขา”
“เลิกใส่ใจพวกมันเถอะ คุณปัทม์เอาเวลามาช่วยผมทำงานดีกว่า”
“งานอะไร”
“ทำไร่ชามันเหนื่อย ขนชาไปหนึ่งคันรถ.. ได้เงินกลับมาไม่ถึงลัง แต่ถ้าช่วยผมทำงาน ขนของไปแค่ลังเดียวได้เงินกลับมาเป็นคันรถ คนฉลาด รู้ว่าควรจะทำอะไร”
“ถ้าคนฉลาดของพ่อเลี้ยง หมายถึงคนที่ทำลายประเทศชาติ ความหมายของคำว่าฉลาดของเราต่างกัน !”
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 8 (ต่อ)
พ่อเลี้ยงเจงไม่พอใจแต่เก็บอาการไว้
“สำหรับผม... คนฉลาดคือคนที่ทำงานอย่างสุจริต รักแผ่นดินเกิด แต่คนที่ค้ายาทำลายประเทศชาติคือคนเลวที่โง่ ! โง่จนไม่รู้ตัวว่าสิ่งที่ทำเป็นกรรมชั่ว กรรมชั่วที่พร้อมดึงลงนรกทุกวินาที”
“แล้วคุณอยากเป็นคนฉลาดหรือคนโง่”
“ผมคงไม่จำเป็นต้องตอบพ่อเลี้ยง”
“ในเมื่อคุณเลือกที่จะยืนอยู่คนละฝั่ง ก็เท่ากับว่าเราเป็นคนๆ ละจำพวก ผมไม่จำเป็นต้องแคร์ความรู้สึกคุณ เพราะฉะนั้น ต่อไปนี้ถ้าจะเกิดอะไรขึ้น ตัวใครตัวมัน !”
พ่อเลี้ยงเจงเดินออกไป ปัทม์มองตามกังวลใจเล็กน้อยว่าพ่อเลี้ยงเจงจะทำอะไร
หน่อเอเดินมาที่ซุ้มเครื่องดื่ม ลูกน้องถือถาดตามมา เจอปลัดวราห์ยืนอยู่ยื่นแก้วเนื้อดีให้หน่อเอ
“คิดเสิร์ฟของให้พ่อเลี้ยงเจงต้องใช้แก้วเนื้อดีราคาสูง ไปทำงานของแกได้แล้ว”
หน่อเอรับแก้วมาจะตักเหล้าข้าวโพดใส่ แต่มองเห็นเงินและกระดาษคำสั่งงานในแก้ว วราห์ยิ้มให้แล้วเดินออกไป
ปัทม์กลับมาในบริเวณงาน มองหารจนาไฉน
“คุณปัทม์หายไปไหนคะ กำลังเต้นรำสนุกเชียว” โลมฤทัยบอก
ปัทม์รำคาญจะเดินหนีไป
“ผมขอตัว ผมจะไปดูแลแขก”
โลมฤทัยคว้าแขนไว้ ปัทม์มองนิ่ง เธอจึงยอมปล่อย
“คิดว่าพบเป็นน้องคนนึง มีอะไรให้พบช่วยก็บอกได้นะคะ”
อุรารัตน์แจ๋นเข้ามาขวาง
“ปัทม์บอกไปสิคะว่าช่วยออกไปห่างๆ”
ปัทม์ปราม
“อุรารัตน์”
“ปัทม์ก็รู้นี่คะว่าแอรี่เป็นคนตรงไม่อ้อมค้อม แอรี่เตือนปัทม์ไว้ ยายนี่คิดอ่อยปัทม์ค่ะ เชื่อแอรี่เถอะ"
“คุณอุรารัตน์คงเข้าใจผิด คุณปัทม์เป็นสามีของพี่สาวฉัน ฉันไม่ทำอย่างนั้นหรอกค่ะ เพราะการแย่งสามีของคนอื่นเป็นพฤติกรรมที่เลวมาก” โลมฤทัยบอก
“นังนี่! แกหลอกด่าฉัน”
ปัทม์รำคาญแอบเดินหนีไป
“ถ้าร้อนตัว แสดงว่าคุณคิดแย่งสามีคนอื่นจริง”
“พี่สาวแกหน้าด้านมาแย่งแฟนฉัน แกก็เหมือนกัน อย่าริคิดแย่งปัทม์ของฉัน” อุรารัตน์พูดพลางชี้หน้าโลมฤทัย
อุรารัตน์จะเดินเชิดออกไป แต่โลมฤทัยถลาออกไปยืนขวางหน้า
“ขวางทำไม รึอยากโดนตบ”
โลมฤทัยไม่พูด แต่กระชากลากตัวอุรารัตน์ออกไปทันที
“ว้าย...แกจะพาฉันไปไหน”
โลมฤทัยลากอุรารัตน์ออกไปทางหนึ่ง นงนุชถือน้ำเข้ามาหา
“คุณแอรี่ขาน้ำได้แล้วค่ะ... อ้าว หายไปไหนแล้ว”
นงนุชมองหาอุรารัตน์ผ่านชาวดอยที่เดินไปมา...
มุมหนึ่งของงานในที่ลับตาคน โลมฤทัยเหวี่ยงอุรารัตน์ไปชนกับฝาบ้าน...
“แกจะทำอะไรฉัน”
โลมฤทัยไม่พูด แต่ตบอุรารัตน์ทันที
“แกตบฉัน!”
โลมฤทัยตบอีก..สองสามครั้ง อุรารัตน์ตกใจ
“แก”
“ฉันจะสอนให้แกรู้ว่าคนเราร้ายไม่เท่ากัน”
โลมฤทัยจับหัวอุรารัตน์โขกกับเสาไม้ไม่ยั้งมือ
“โอ๊ย...ฉันกลัวแล้ว ฉันกลัวแล้ว”
โลมฤทัยเอามือถือมาถ่ายคลิปไว้ด้วย...แล้วกระชากอุรารัตน์นั่งลงกองกับพื้น
“ฉันจะฟ้องพ่อฉันให้ฆ่าแก”
“ไปฟ้องสิ...คลิปนี้จะได้ว่อนทั่วอินเตอร์เนต คนอย่างแกหน้าไม่หนาพอที่จะทนเห็นตัวเองหน้าเยินออกสื่อหรอก จำไว้... อย่ามายุ่งกับปัทม์!”
โลมฤทัยเดินออกไปสวนกับนงนุชที่เดินเข้ามา อุรารัตน์ลุกขึ้นยืน พยายามปกปิดหน้าตา
“คุณแอรี่ลากมันมาขู่ใช่มั้ยคะ นงนุชว่าคุณแอรี่น่าจะตบสั่งสอนให้หน้ายับไปเลย”
อุรารัตน์หันหน้ามา
“ว้าย...เยิน”
“ฉันจะกลับบ้าน”
นงนุชประคองอุรารัตน์ออกไป
บริเวณซุ้มอาหาร รจนาไฉนกำลังช่วยตักอาหารให้ชาวดอย พ่อเลี้ยงพูนทวีเข้ามาจับมือ รจนาไฉนแปลกใจ รีบปล่อยที่ตักอาหาร
“ให้คนอื่นทำบ้างเถอะครับ มีงานเลี้ยงทั้งที... คุณควรหาความสุขให้ตัวเองบ้าง”
“ความสุขของคนเราไม่เหมือนกันนี่คะ ความสุขของเพื่อนคือการได้เห็นคนอื่นมีความสุข"
“งั้นคุณเพื่อนต้องทำให้ผมมีความสุขมาก ๆ”
พูนทวีลากรจนาไฉนออกไปจากซุ้มอาหารมาที่ลานกิจกรรม ในบริเวณลานลูกช่วง ซึ่งคู่หนุ่มสาวชาวดอยโยนลูกช่วงกันอยู่
“การโยนลูกช่วงของชาวดอย ถือเป็นกิจกรรมพบปะของหนุ่มสาว ทำให้ได้รู้จักพูดคุยกัน และหลายคู่พัฒนาเป็นคนรัก มาโยนเล่นกัน” พูนทวีจับมือรจนาไฉนพาไป
“เค้าห้ามผู้หญิงที่แต่งงานแล้วเล่นนะคะ”
“คุณยังไม่ได้แต่งงาน เพราะผมไม่เคยไปงานแต่งของคุณ และผมก็ไม่เห็นป้ายแขวนคอว่า คุณมีสามี เพราะฉะนั้น ถือว่าคุณโสด”
พูนทวีเอาลูกช่วงยัดใส่มือรจนาไฉน
“ตามธรรมเนียม ผู้หญิงต้องเอาลูกช่วงไปให้ผู้ชายถึงจะเริ่มโยนได้ ถ้าคุณไม่ไป ผมจะยืนรออยู่ที่นั่นจนตาย"
พูนทวีวิ่งไป แล้วไปยืนรอรจนาไฉนที่จุดเล่นโยนลูกช่วง รจนาไฉนมองลูกช่วงในมืออย่างตัดสินใจ ในที่สุดจึงเดินเอาลูกช่วงไปส่งให้พูนทวี เขารับลูกช่วงพร้อมจับมือรจราไฉนไว้
“ขอบคุณที่ให้โอกาสผม”
รจนาไฉนถอยกลับไปประจำตำแหน่ง พูนทวีโยนลูกช่วงให้รจนาไฉน
“คุณชื่ออะไรครับ”
“เล่นมุกอะไรอีกคะเนี่ย ก็รู้อยู่ว่าฉันชื่ออะไร”
รจนาไฉนโยนลูกข่วงกลับ
“สมมุติว่าเราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนสิครับ ผมกำลังจีบคุณนะ”
รจนาไฉนอึ้ง
“ผมชื่อพูนทวีครับ”
พูนทวีโยนลูกช่วงไปให้รจนาไฉน
“ฉันชื่อรจนาไฉนค่ะ เรียกเพื่อนก็ได้ค่ะ”
รจนาไฉนโยนลูกข่วงกลับ
“ผมเป็นเจ้าของไร่ผลไม้ครับ”
พูนทวีโยนลูกช่วงไปให้รจนาไฉน
“บอกทำไมคะ ฉันไม่อยากรู้สักหน่อย”
รจนาไฉนโยนลูกข่วงกลับ
“ผมบอกเพราะอยากได้คุณไปช่วยดูแลไร่ของผม”
พูนทวีโยนลูกช่วงไปให้ รจนาไฉนอึ้ง ถือลูกข่วงค้างไว้
“โยนมาสิครับ”
“ฉันมีแฟนแล้วนะคะ”
พูนทวีอึ้ง รจนาไฉนโยนกลับ พูนทวีรับลูกช่วงมา
“สมมติว่าย้อนเวลากลับไปได้ ถ้าคุณไม่มีแฟน คุณจะรักผมไหม”
รจนาไฉนอึ้ง....พูนทวีไม่โยนลูกช่วง
“ไม่โยนมาล่ะคะ”
“ผมไม่โยน จนกว่าจะได้ฟังคำตอบจากคุณ”
“คุณพูนทวี คุณเป็นผู้ชายที่น่ารักมาก”
อีกด้านหนึ่ง ปัทม์เดินตามหารจนาไฉน ได้เห็นภาพเมียที่กำลังคุยกับพูนทวี
“ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้ฉันยิ้มได้ หัวเราะได้เหมือนกับคุณ ใครที่ได้เป็นแฟนกับคุณ จะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุด”
พูนทวียิ้มมีความสุข
“ผมเองก็อยากทำให้ผู้หญิงคนนั้นมีความสุขที่สุด”
พูนทวีมองรจนาไฉนและกำลังจะโยนลูกช่วงให้ แต่ปัทม์เดินเข้ามาขวางหน้า
“คุณปัทม์”
“แกมาขวางทำไมวะ กำลังสนุกเลย ออกไป”
“เล่นลูกช่วงกับเขาได้ไง ในเมื่อฉันเป็นสามีของผู้หญิงคนนี้” ปัทม์บอก
พูนทวีรีบยิ้มกลบเกลื่อน
“เอ้า...พระเอกตัวจริงมาแล้ว งั้นถึงเวลาพระรองต้องลาก่อน”
พูนทวียิ้มร่าเอาลูกช่วงมาส่งให้ปัทม์ มองหน้ารจนาไฉนแวบหนึ่งก่อนหันหลังกลับ เขาเดินออกไปด้วยอาการน้ำตาตกใน รู้ดีว่าเป็นได้แค่คนแอบรัก
พูนทวีมาหลบอยู่ที่มุมสวยอีกมุมหนึ่ง รอยยิ้มที่แสร้งฝืนทำกลายเป็นสลดลง ถอนใจออกมาเบา ๆ
ปัทม์หันหน้ามามองรจนาไฉน แล้วเดินไปที่เส้นฝ่ายชาย เพื่อเตรียมจะเล่นโยนลูกช่วง รจนาไฉนจะเดินหนีออกไป
“จะไปไหน ทำไมไม่โยนลูกช่วงกับฉัน”
“ฉันรู้ว่าคุณไม่อยากโยนกับฉันหรอก”
รจนาไฉนเดินออกไป ปัทม์โยนลูกช่วงใส่หลัง เธอหันกลับอย่างไม่พอใจ ปัทม์ยิ้มเย้ย
ที่มุมหนึ่ง ชิและจันทร์,เจ้าและปยงค์ยืนมองอยู่
“เอ้า...ศึกภายในเริ่มต้นอีกแล้ว” ชิบอก
จันทร์เจ้าเชียร์รจนาไฉน
“เป็นฉัน ฉันจะปากลับให้สาสม”
ปยงค์บอก
“คนเรียบร้อยอ้อยอิ่งอย่างนั้นไม่กล้าหรอก”
รจนาไฉนปาลูกช่วงใส่ ปัทม์ตกใจแต่รับไว้ได้ เธอจะเดินไป ปัทม์ปาใส่หลังอีก
“คนบ้า”
เธอปาใส่ปัทม์อีก
“อย่าอ่อยให้มากนัก ฉันเตือนแล้วไงให้รักษาเกียรติของฉันด้วย”
ปัทม์ปาใส่ รจนาไฉนรับได้ แล้วเดินตรงมาหาปัทม์
“ถ้าคุณไม่เคยให้เกียรติคนอื่น ก็อย่าหวังว่าคนอื่นจะให้เกียรติคุณ”
รจนาไฉนปาใส่ปัทม์ บรรดาหนุ่มสาวที่โยนลูกช่วงอยู่ เริ่มถอยออกห่างเพราะเห็นว่าปัทม์และรจนาไฉนเริ่มมีอารมณ์รุนแรง พูนทวีหันมามอง โลมฤทัยอยู่ที่มุมหนึ่งมองคนทั้งสอง ลำเพาเข้ามาหาลูกสาว
“นังเพื่อนมันเรียกร้องความสนใจอะไรอีก”
ปัทม์กับรจนาไฉนอยู่ที่ลานกิจกรรม ทั้งคู่ยังคงปาลูกข่วงใส่กันแล้วเถียงกัน
“อย่ามาสอนฉัน”
“เพราะไม่มีใครสอนไง คุณถึงได้มีกิริยาหยาบคายอย่างนี้”
“เธอจะมากไปแล้วนะ”
“ฉันไม่แปลกใจเลยที่คุณอยู่เป็นโสดมาได้ตั้งนาน เพราะนิสัยแย่ ๆ ถึงไม่มีใครเอา ไม่เคยรักตัวเองแล้วใครจะรักคุณ”
ปัทม์อึ้ง ที่รจนาไฉนพูดแทงใจดำ เธอปาใส่ แต่ปัทม์ไม่ทันตั้งรับ ลูกช่วงโดนเข้าที่เบ้าตาปัทม์พอดี
“โอ๊ย”
รจนาไฉนตกใจ
“คุณปัทม์!”
ปัทม์เอามือกุมตาไว้ รจนาไฉนเข้ามาหาปัทม์
“อย่าเอามือขยี้ตาสิ ฝุ่นเข้าตา”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
“อย่าดื้อสิ”
รจนาไฉนดันมือปัทม์ออกแล้วเพ่งมอง ก่อนเป่าลมเข้าตาปัทม์เพื่อไล่ฝุ่น ทั้งสองมองหน้ากันด้วยท่าทางและอาการดูเหมือนจะแพ้ใจตัวเอง ต่างส่งสายตาที่ดีต่อกันมากยิ่งขึ้น
โลมฤทัยเข้ามาหาปัทม์
“คุณปัทม์คะ ลูกช่วงนี้เค้าเล่นยังไงคะ”
รจนาไฉน มอบลูกช่วงให้โลมฤทัย
“คุณปัทม์ช่วยสอนน้องพบด้วยนะคะ เอาลูกช่วงนี้ให้คุณปัทม์ แล้วคุณปัทม์ก็จะโยนให้น้องพบเป็นวัฒนธรรมการทำความรู้จักและพบปะของคู่รักจ้ะ"
รจนาไฉนเดินออกไป ปัทม์ได้แต่มองตาม โลมฤทัยเอาลูกช่วงไปส่งให้ปัทม์
“เราเริ่มกันเลยนะคะ”
“กิจกรรมนี้...เอาไว้เล่นเฉพาะกับคนที่รักกัน”
ปัทม์โยนลูกช่วงทิ้งแล้วเดินออกไป โลมฤทัยยืนมองลูกช่วงด้วยความโกรธและเสียหน้ามาก
ปัทม์เดินเข้ามาด่ารจนาไฉน
“เธอไม่มีสิทธิ์จับคู่ฉันกับใครทั้งนั้น”
“คุณจะทรมานใจตัวเองทำไม ในเมื่อคุณไม่ได้รักฉัน แล้วคุณก็เคยแสดงไมตรีกับน้องพบ"
“ฉันจะรักใครชอบใครก็เรื่องของฉัน อย่ามายุ่ง! แล้วเธอเองก็ห้ามไปยุ่งกับใคร”
“ฉันมีค่าเพียงแค่หุ่นเชิดของคุณใช่มั้ยคะ”
“ใช่...เพราะเธอเป็นสมบัติของฉัน เธอเป็นแค่สิ่งของที่ไม่มีหัวใจ”
ปัทม์เดินออกไป รจนาไฉนยืนนิ่งด้วยความเสียใจที่ถูกปัทม์ทำร้ายใจตลอดเวลา เธอจะเดินออกไป แต่เจอโลมฤทัยยืนขวางอยู่ โลมฤทัยเข้ามาตบหน้ารจนาไฉน
“สั่งแล้วใช่มั้ยว่าเปิดทางให้ฉัน”
“พี่พยายามแล้ว”
โลมฤทัยตบหน้ารจนาไฉนอีกครั้ง
“พยายามด้วยการเริงร่าเต้นรำ โยนลูกช่วงน่ะเหรอ ถ้าคิดทำเพื่อฉัน...พี่ต้องทำให้คุณปัทม์เกลียดพี่”
รจนาไฉนตกใจที่โลมฤทัยต้องการตัวปัทม์มากถึงเพียงนี้ !
“ทำให้เขาขยะแขยงไม่อยากเข้าใกล้ อย่าทำให้ฉันต้องเสียหน้าอีก”
โลมฤทัยเดินออกไป รจนาไฉนรู้สึกสะเทือนใจ
รจนาไฉนเดินมาในที่ลับตาคน น้ำตาคลอเพราะความกดดันที่เกิดขึ้นจากปัทม์และโลมฤทัย
“ฉันพยายามทำทุกอย่างให้ดีที่สุดแล้ว แต่มันยังไม่ดีพอใช่มั้ย”
รจนาไฉนร้องไห้ พูนทวีเข้ามา รจนาไฉนรีบเช็ดน้ำตา
“คุณเพื่อน”
รจนาไฉนรีบปาดน้ำตา
“อย่าบอกนะว่าฝุ่นเข้าตา เพราะผมไม่เชื่อ”
รจนาไฉนไม่อาจเก็บอาการได้ โผเข้ากอดพูนทวีด้วยความเสียใจ
“คุณพูนทวี”
พูนทวีดีใจที่เพื่อนไว้ใจ รจนาไฉนนึกได้ว่าไม่ควรทำจึงถอยออกห่าง พูนทวีเช็ดน้ำตาให้
“คุณเพื่อน... ไม่ต้องถามว่าผมรู้สึกยังไงกับคุณ แต่เมื่อไหร่ที่คุณมีความทุกข์ ผมจะอยู่เคียงข้างคุณเสมอ”
พูนทวีเข้ามาสวมกอดปลอบใจ
“คุณพูนทวีเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของเพื่อนค่ะ”
พูนทวียิ้มรับทั้งน้ำตาเพราะเขาไม่ได้ต้องการเป็นแค่เพื่อน
ปัทม์ยืนดื่มน้ำอยู่ที่มุมหนึ่งของงาน แล้วคิดถึงเหตุการณ์ที่รจนาไฉนโยนลูกช่วงกับพูนทวี
“ไม่เคยมีผู้ชายคนไหนทำให้ฉันยิ้มได้ หัวเราะได้เหมือนกับคุณใครที่ได้เป็นแฟนคุณจะเป็นผู้หญิงที่มีความสุขที่สุด”
“ผมเองก็อยากทำให้ผู้หญิงคนนั้นมีความสุขที่สุด”
ปัทม์หัวเสียโยนแก้วน้ำทิ้งที่พื้น โลมฤทัยก้าวเข้ามา
“อารมณ์เสียเรื่องพี่เพื่อนเหรอคะ”
ปัทม์ไม่อยากคุยด้วย จะเดินหนี
“หนีพบไม่ยากหรอกค่ะ แต่คุณปัทม์หนีความจริงไม่ได้แน่ พบรู้ว่าคุณรู้สึกยังไงกับพี่เพื่อน”
“คุณเป็นผู้หญิง..จะมารู้อะไรใจผม”
“ผู้ชายกับผู้หญิงมีหัวใจไม่ต่างกันหรอก เราจะเจ็บปวดที่สุดเมื่อคนที่เรารักปันใจให้คนอื่น”
ปัทม์คิดถึงความสัมพันธ์ของรจนาไฉนกับพูนทวี
“ถ้าคุณเป็นคนช่างสังเกตและยอมรับความจริงได้ คุณจะรู้ว่าพี่เพื่อนไม่เคยหัวเราะสักครั้งเมื่ออยู่กับคุณ แต่พี่เพื่อนจะหัวเราะอย่างมีความสุขทุกครั้งเมื่ออยู่ใกล้คุณพูนทวี”
ปัทม์นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่รจนาไฉนเต้นรำกับพูนทวีอย่างมีความสุข
“ในฐานะผู้หญิงคนนึง พบบอกได้เลยว่า...ผู้ชายอย่างคุณพูนทวีเอาชนะพี่เพื่อนได้ไม่ยาก นี่ยังไม่นับคุณปวุฒิที่เป็นเบอร์หนึ่งในใจพี่เพื่อนอีกนะคะ”
“นิทานของเธอสนุกดี แต่เก็บไว้หลอกเด็กดีกว่า ฉันโตพอจะแยกแยะได้ว่าเรื่องไหนจริง เรื่องไหนเท็จ”
ปัทม์จะเดินหนีออกไป แต่โลมฤทัยเรียกไว้
“คุณยังไม่ได้ฟังคติสอนใจของนิทานเลยนะคะ”
ปัทม์หยุด โลมฤทัยเดินเข้ามาหาปัทม์
“นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ในใจของรจนาไฉน...ไม่เคยมีพ่อเลี้ยงปัทม์อยู่เลย !”
ปัทม์เดินออกไป...โลมฤทัยมั่นใจว่า คำพูดของเธอจะทำให้ปัทม์สั่นคลอนได้อย่างแน่นอน...
ปัทม์เดินหนีออกมาจากโลมฤทัยมายังลานกิจกรรม เขามองหนุ่มสาวที่กำลังสนุกสนานด้วยกัน...เขาเดินผ่านกลุ่มหนุ่มสาวและคู่รักที่กำลังจับมือเต้นรำด้วยกัน แล้วมองอย่างปวดใจ
“ในใจของรจนาไฉน...ไม่เคยมีพ่อเลี้ยงปัทม์อยู่เลย !”
ปัทม์รู้สึกเสียใจมาก รีบเดินผ่านไปและหยุดมองไปที่มุมหนึ่ง..
พูนทวีเช็ดน้ำตาให้รจนาไฉน เธอรู้สึกว่ามากเกินไปจึงรีบถอยออกห่าง
“ขอบคุณคุณมากนะคะ ฉันเป็นเจ้าภาพที่แย่จริง หนีออกมาตั้งนานแล้ว ฉันควรกลับเข้าไปดูแลแขก”
รจนาไฉนจะเดินออกไป แต่พูนทวีจับมือไว้
“อย่าลืมนะครับ เมื่อไหร่ที่คุณเพื่อนมีความทุกข์ ขอให้นึกถึงผมคนแรก”
ปัทม์มองภาพนั้นด้วยความปวดใจ รจนาไฉนจะเดินออกไป เห็นปัมท์ยืนมองอยู่...ก็ตกใจเล็กน้อย
“คุณปัทม์”
รจนาไฉนรีบเดินสวนปัทม์ออกไป พูนทวีมองปัทม์ กลัวปัทม์จะโวยวาย
“คือว่าฉัน”
“ผู้หญิงคนนั้นต่างหากที่ควรถูกตำหนิ ไม่ใช่ความผิดของแก”
“แกพูดอะไร...ฉันไม่ได้รู้สึกผิดอะไรเลย เพราะฉันกำลังทำสิ่งที่ถูก”
“การจับมือเมียคนอื่นในที่ลับตานี่เหรอที่ไม่ผิด”
“จำได้ไหม... แกเคยบอกฉันว่าแกเกลียดไม่รักเขา แกเคยยกคุณเพื่อนให้ฉัน แต่ฉันทำไม่ได้..เพราะมันเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง”
“คิดได้ก็อย่างนั้นก็ดีแล้ว คนภายนอกรับรู้แล้วว่า ฉันกับรจนาไฉนเป็นอะไรกัน”
“ฟังฉันให้จบก่อน... เมื่อก่อนฉันอาจทำไม่ได้ แต่ตอนนี้ฉันจะไม่ปฎิเสธความรู้สึกตัวเองอีกแล้ว ฉันรักคุณรจนาไฉน”
ปัทม์อึ้ง ไม่คิดว่าพูนทวีจะพูดออกมาตรงๆ
“ฉันมีสิทธิ์อันชอบธรรมในการเอาชนะใจผู้หญิงคนนี้ เพราะพ่อเลี้ยงปัทม์สามีของเธออนุญาตแล้ว แกคงไม่กลืนน้ำลายตัวเองใช่มั้ย"
“ใช่...ฉันไม่ได้รักเขา แล้วเขารักแกเหรอ”
“ฉันตอบแทนคุณรจนาไฉนไม่ได้... แต่ฉันจะทำให้เขารักฉัน”
พูนทวีเดินออกไป ปัทม์ยืนนิ่งอึ้ง
กลางไร่ชาที่กว้างใหญ่ ปัทม์เดินเข้ามายืนมองไร่ชาด้วยความรู้สึกที่เศร้าหม่นหมอง
“วันนี้ควรเป็นวันที่ฉันมีความสุขที่สุด แต่ทำไมฉันต้องรู้สึกเจ็บปวดอย่างนี้ จะมีใครสักคนไหมที่จะมาฉลองความสำเร็จร่วมกับฉัน”
ชิถือแก้วไม้ไผ่ใส่เหล้าเข้ามากอดคอปัทม์...ชิออกอาการเมาได้ที่ ส่งแก้วให้ปัทม์
“ถึงไม่มีใคร แต่นายยังมีชิ หมดแก้ว”
ปัทม์ชนแก้วกับชิ แล้วพูดพร่ำออกมา
“ทำไมฉันถึงไม่มีความสุขเลย...”
“นายก็เลิกหลอกตัวเองดิ”
ปัทม์ตะคอก
“ไม่ได้ถาม!”
ชิเสียงแข็ง
“อยากบอก!”
“แกอย่ามาขึ้นเสียงกับฉัน!”
“เงียบ...ชิฟังนายมานานแล้ว วันนี้นายต้องฟังชิ”
ปัทม์อึ้ง แต่เห็นว่าชิเมาก็ยอมชิบ้าง..
“ถ้าเลิกหลอกตัวเอง นายจะเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลก”
“ฉันไม่เคยหลอกตัวเอง”
“หลอกใครก็หลอกได้ แต่อย่าหลอกหัวใจตัวเอง” ชิชี้ที่อกปัทม์
ปัทม์ยังไม่ยอมรับความจริง
“เลิกพูดได้แล้ว... ไม่งั้นแกโดนต่อย” ชิพูดพลางชี้หน้า
“นายรักก็บอกว่ารัก อย่าทิฐิให้มากนัก เพราะสุดท้ายนายก็จะไม่เหลือใครอีกเลย!”
ปัทม์ไม่อาจทนฟังได้อีก ต่อยชิเต็มหมัด จนชิหงายหลังล้มตึง จันทร์เจ้าวิ่งเข้ามาเห็นก็ตกใจ
“ว้าย...พี่ชิเจ้า”
ปัทม์เดินออกไป
อ่านต่อเวลา 17.00น.
มัจจุราชสีน้ำผึ้ง ตอนที่ 8 (ต่อ)
มุมหนึ่งในบริเวณงานเลี้ยง ปัทม์เดินหนีชิเข้ามาในงาน จ่ากำลังคุยวิทยุสื่อสาร กับ พ.ต.ท. ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะ
“ได้ครับ...ผมจะรีบนำกำลังไปสมทบ”
ปัทม์ถาม
“เกิดอะไรขึ้นจ่า”
“พวกค้ายามันรู้ว่า ตำรวจมางานนี้กันเกือบหมด มันฉวยโอกาสขนยา”
“พวกมันใช้งานเลี้ยงของไร่ปัทมกุลเพื่อหลบหลีกสายตาตำรวจ ขอผมไปด้วย”
รจนาไฉนเดินมาเก็บหมวกชาวดอยที่ปัทม์ทิ้งไว้ที่พื้น เธอเห็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิ่งขึ้นรถ ปัทม์วิ่งตามผ่านไป รจนาไฉนมองอย่างสงสัย
มุมหนึ่งในป่า พ.ต.ท. ปวุฒิ ไตรพงษ์รัชตะ ดักเฝ้ารอขบวนการขนยานานมากแล้ว ปวุฒิว.ไปถามอีกจุด
“ทางโน้นมีการเคลื่อนไหวอะไรบ้าง”
“ไม่มีครับสารวัตร”
ปวุฒิแปลกใจ
“หรือพวกมันจะไปอีกทาง ทีมพวกคุณเฝ้าที่นี่”
ปวุฒิหันไปสั่งลูกน้อง
“ทุกคนตามผมมา”
ปวุฒินำกำลังของตัวเองเคลื่อนย้ายไปอีกจุด
มุมหนึ่งในป่า หน่อเอแบกก๋วยใส่ชา หันไปเร่งลูกน้อง
“เร่งหน่อย ใกล้จะถึงจุดส่งของแล้ว”
ลูกน้องบอก
“ข้ากลัวสารวัตรคนใหม่มันจะดักจับพวกเรา”
“พวกมันสนุกกันอยู่ในงาน ไม่ทันรู้ตัวหรอก”
“แต่สารวัตรนั่นไม่ได้ไปงานด้วย มันอาจมาดักจับพวกเราก็ได้”
พวกลูกน้องส่วนใหญ่กลัวถูกจับได้ แต่หน่อเอมั่นใจว่าจะทำสำเร็จ
“ยังไงมันก็ไม่มีทางจับพวกเราได้ รีบไปเร็ว”
หน่อเอและลูกน้องรีบขนชาเดินต่อไป ทุกฝีเท้าเร่งวิ่งไปในป่า
ตำรวจวิ่งเข้ามาในเชิงเขา ปวุฒิวิ่งมาไม่เจอร่องรอยการขนยา ลูกน้องวิ่งเข้ามารายงาน
“ไม่พบร่องรอยอะไรเลยครับสารวัตร”
“จะเป็นไปได้ยังไง ในเมื่อเส้นทางขนยามีเพียงสองเส้นทางเท่านั้น”
ปัทม์ ปัทมกุลและจ่าและทีมตำรวจสมทบเข้ามา
“ไปดูทางเชิงเขาด้านโน้นรึยัง” ปัทม์ถาม
ปวุฒิไม่พอใจ
“มาทำไม นี่เป็นหน้าที่ของตำรวจ”
“การปกป้องประเทศชาติให้รอดพ้นจากยาเสพติดเป็นหน้าที่ของประชาชนทุกคน ถ้าคุณยังคิดว่าตัวเองเก่งกว่าใคร คุณไม่มีวันทำสำเร็จหรอก"
“แล้วคุณเก่งนักเหรอ งั้นลองบอกผมสิว่าพวกมันขนยาไปทางไหน”
“ถ้ามันไม่ใช้เส้นทางนี้ก็ต้องเป็นเชิงเขาด้านโน้น”
“พวกผมเฝ้าทั้งสองจุดมาเป็นชั่วโมงแล้ว คุณไม่เก่งไปทุกเรื่องหรอกพ่อเลี้ยงปัทม์ !”
ปัทม์แปลกใจว่า พวกหน่อเอขนยาไปทางไหน เขายืนมองไปรอบ ๆ บริเวณนั้น ที่มีเพียงป่าและหน้าผาภูเขา
“ว่าไงประชาชนคนเก่ง รึว่าพวกมันเป็นขอมดำดิน..ลอดภูเขาไป”
ปัทม์นิ่งคิดตามคำพูดของปวุฒิ
ปัทม์พูดเสียงแผ่ว
“ลอดภูเขา”
ปัทม์นึกถึง ตอนที่เข้าไปตรวจในโรงปุ๋ย เพราะสงสัยว่ามีคนขโมยปุ๋ย พบถุงปุ๋ยอยู่หน้าบ้านหน่อเอ ในงานเลี้ยง เห็นว่าหน่อเอเข้าไปเสิร์ฟพ่อเลี้ยงเจง
“ผมรู้แล้วว่าพวกลักลอบขนยาไปทางไหน ตามผมมา”
ปัทม์เดินนำไป...ปวุฒิแปลกใจ
ที่ภูเขาที่มีหน้าผาใหญ่ ปัทม์เดินเข้ามา ปวุฒิเดินตามเข้ามา
“เล่นตลกอะไรของคุณ ก็เห็นอยู่ว่าเป็นหน้าผาใหญ่ มันจะข้ามไปได้ยังไง”
ปัทม์เดินตรงไปที่เชิงเขาแล้วรื้อเถาวัลย์กิ่งไม้ที่วางอยู่ เผยให้เห็นช่องอุโมงค์ที่ลอดเข้าไปได้...
“อุโมงค์” จ่าโพล่งขึ้น
“พวกมันใช้ปุ๋ยไปผสมทำระเบิด เจาะอุโมงค์ลอดเข้าไป.. ใช้เป็นเส้นทางขนยาที่พวกเราไม่มีวันจับได้"
ปวุฒิสั่งลูกน้อง
“ตามเข้าไปจับพวกมัน”
จ่านำทีมตำรวจลอดอุโมงค์เข้าไป ปัทม์จะตามเข้าไป ปวุฒิเข้าจับแขนปัทม์ ปัทม์คิดว่าปวุฒิจะหาเรื่อง
“ผมขอโทษที่ดูถูกคุณ คุณเก่งมาก.. ถ้าไม่ผิดใจกันเรื่องรจนาไฉน เราคงจะเป็นเพื่อนกันได้ไม่ยาก เอาไว้ป้องกันตัว” ปวุฒิพูดพลางส่งปืนให้ปัทม์
ปัทม์รับปืน ปวุฒิชักปืนอีกกระบอกออกมา...แล้วนำทางลอดอุโมงค์เข้าไป
หน่อเอและลูกน้องลอดออกจากอุโมงค์
“ข้ามลำธารข้างหน้าก็ถึงจุดส่งยาแล้ว” หน่อเอบอก
“ต่อไปเราก็ใช้ทางอุโมงค์ขนยาได้เรื่อย ๆ”
“ไม่.. เราจะทำงานนี้เป็นครั้งสุดท้าย ถ้าพวกเราได้บัตรประชาชนจากพ่อเลี้ยงเจง เราจะไม่ทำงานชั่วตกเป็นทาสของใครอีกแล้ว รีบไป!”
หน่อเอสั่งให้ลูกน้องรีบขนยาไป แต่แล้วเสียงปืนดังขึ้น...เปรี้ยง ! พวกหน่อเอตกใจหันไป...เจอพวกปัทม์และทีมตำรวจ
หน่อเอ,ลูกน้องโพล่ง
“นาย!”
“พวกแกเลวมากที่ยังคิดค้ายาอีก ฉันไม่ปล่อยแกไว้แน่”
ทีมตำรวจจะเข้าไปจับกุม...แต่แล้วเสียงปืนดังรัวขึ้น ปัง ๆ ๆ ทุกคนหันไป..เห็นศักดิ์และลูกน้องใส่หัวโม่งเข้ามายิ่งใส่พวกปัทม์และตำรวจ
“รีบไป !”
หน่อเอนำลูกน้องขนยาวิ่งหนีไป ปัทม์และปวุฒิจะตามไปจับ แต่ถูกพวกศักดิ์ยิงไล่ต้อน เปรี้ยง ๆ ๆ
ปัทม์และปวุฒิยิงตอบโต้ แต่อยู่ในจุดที่เป็นเป้า..ถูกไล่ยิง จนต้องถอยร่นหาที่กำบัง
ปัทม์และปวุฒิวิ่งหนีมาหลบหลังก้อนหินใหญ่
“เรากำลังตกเป็นเป้าของมัน”
ปัทม์มองไป เห็นว่าพวกศักดิ์และลูกน้องพ่อเลี้ยงเจงอยู่ในจุดที่สูงกว่า ล้อมยิงเข้ามา ปัทม์ตัดสินใจวิ่งออกจากที่ซ่อน พวกศักดิ์ยิงเข้ามา
“ออกไปทำไม...หาที่ตายชัดๆ”
ปวุฒิรีบยิงใส่พวกศักดิ์ เพื่อช่วยปัทม์ไว้ ปัทม์วิ่งหนีหายไป ปวุฒิกังวลใจเพราะถูกล้อมไว้
พวกศักดิ์สั่งให้ลูกน้องเคลื่อนเข้ามา ยิงไล่มาที่ก้อนหิน ปวุฒิยิงต่อสู้ แต่กระสุนหมด ปวุฒิรีบใส่กระสุน แต่พวกลูกน้องศักดิ์เข้ามายืนบนก้อนหิน
“เสียเวลาน่าสารวัตร” ลูกน้องศักดิ์บอก
ลูกน้องศักดิ์จะยิงปวุฒิ แต่แล้วเสียงปืนดังขึ้น ปัทม์ยิงลูกน้องล้มลงเสียชีวิตช่วยปวุฒิไว้
“ขอบคุณมาก”
ปัทม์เดินตรงเข้ามาหาปวุฒิ แต่แล้วปวุฒิกระชากตัวปัทม์หลบ แล้วจับมือปัทม์ยิงสวนไปทางด้านหลัง...โดนลูกน้องศักดิ์ล้มลงเสียชีวิต
“เราหายกัน”
ทีมตำรวจเป็นฝ่ายยิงรุกไล่พวกศักดิ์....พวกศักดิ์เห็นท่าไม่ดี รีบสั่งลูกน้องล่าถอยออกไป ปัทม์นึกได้
“ไอ้หน่อเอ”
ปัทม์รีบวิ่งไล่ตามพวกหน่อเอ ปวุฒิหันไปสั่งจ่า
“จ่าเคลียร์พื้นที่ทางนี้ด้วย”
ปวุฒิวิ่งตามปัทม์ไป
หน่อเอและลูกน้องกำลังขนยาข้ามลำธารไป แต่เจอปัทม์ขวางไว้
“นาย”
“ฉันเตือนแล้วใช่ไหมให้เลิกค้ายา ในเมื่อแกคิดทำลายแผ่นดินนี้ เราก็ไม่ควรอยู่
ร่วมแผ่นดินเดียวกัน!”
“ไม่ต้องพูดมาก..ยังไงพวกแกก็ไม่เห็นพวกเราเป็นพวกเดียวกันอยู่แล้ว หลอกใช้แรงงาน คิดว่าเราเป็นทาส”
“ไม่รู้รึไงว่าว่าฉันทำทุกอย่างก็เพื่อพวกชาวดอย”
“ข้าไม่เชื่อ!! พวกเราจำเป็นต้องรับจ้างขนยา เพราะเงินจะทำให้พวกเราได้ทุกอย่าง คนไทยนับถือกันที่เงินไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าคิดได้แค่นี้ ฉันก็ไม่เสียเวลากับแกอีกแล้ว”
“เอาสิ...ตายเป็นตาย”
“แกบังคับฉันเองนะ”
ปัทม์จะยิงหน่อเอ แต่แล้วพวกลูกน้องหน่อเอซึ่งอ้อมมาทางด้านหลัง ถือมีดล้อมจี้ปัทม์ไว้...
“ข้าตกเป็นทาสมานานแล้ว ขอข้าเป็นเจ้าชีวิตของแกบ้าง!”
หน่อเอพูดพลางริบเอาปืนของปัทม์มา หน่อเอเล็งปืนจะยิงปัทม์ แต่แล้ว...ปวุฒิยิงปืนใส่หน่อเอ เปรี้ยง...ปืนตกพื้น
ปวุฒิจะเข้ามาช่วย...แต่พวกลูกน้องหน่อเอปามีดใส่ ปวุฒิหลบทันควัน
ปัทม์จะหยิบปืนขึ้นมา แต่ถูกหน่อเอเตะปืน ทั้งสองจึงต่อสู้กัน
พวกลูกน้องหน่อเอเข้าไปรุมปวุฒิ ทำให้ปืนตกน้ำ ปวุฒิต้องสู้ด้วยมือกับพวกลูกน้องหน่อเอ
ปัทม์ต่อสู้กับหน่อเอที่มีมีด หน่อเอต่อสู้จนกระชากมีดปาดแขนปัทม์ เลือดออก!
บริเวณงานเลี้ยง รจนาไฉนกำลังปอกผลไม้...แต่ใจเหม่อลอยเป็นห่วงปัทม์
“ไปไหนของเขา”
รจนาไฉนเผลอทำมีดปาดนิ้ว เลือดหยดลงใส่หมวกชาวดอยของปัทม์
“คุณปัทม์”
บริเวณลำธาร ปัทม์เจ็บแขน หน่อเอจะเข้ามาซ้ำ แต่ปวุฒิเข้ามาช่วยไว้ ทั้งสองจึงหันหลังต่อสู้กับพวกหน่อเอที่ถือมีดเข้ามารุมแทง แต่ปัทม์และปวุฒิก็ช่วยกัน ต่อย เตะ... แล้วแย่งมีดมาได้...
ในที่สุดปัทม์แย่งชิงมีดจากหน่อเอมาจะเล่นงาน
“คุณปัทม์… พอเถอะ”
จ่านำทีมตำรวจเข้ามาสมทบ พวกหน่อเอถูกล้อมจับกุมได้
มุมหนึ่งที่งาน พูนทวีเข้ามาเห็นเลือดที่นิ้วรจนาไฉน
“คุณเพื่อน เจ็บมากรึเปล่า”
“เพื่อนไม่เป็นอะไรมากหรอกค่ะ”
“เลือดยังไหลอยู่เลย...ให้ผมทำแผลให้นะครับ”
พูนทวีพารจนาไฉนออกไปทำแผล
มุมลำธาร ปัทม์เข้าไปหาหน่อเอที่ถูกจับนั่งคุกเข่า
“ฉันพยายามช่วยเหลือ แต่เลี้ยงไม่เชื่อง... คราวนี้พวกแกต้องรับกรรมที่ทำไว้!”
ปวุฒิสั่งจ่า
“เทใบชาออกมา จะได้เก็บของกลาง”
จ่าเทก๋วยออกมา มีแต่ใบชาไม่มียาเสพติด
“ไม่พบยาเสพติดครับสารวัตร” จ่าบอก
ทั้งปวุฒิและปัทม์ต่างตกใจ...ปัทม์เข้าไปคว้าก๋วยอีกใบมาเทออกก็ไม่พบยาบ้า หน่อเอก็แปลกใจ
ปวุฒิคว้าก๋วยใบสุดท้ายเทออก ก็ไม่พบยาบ้า..
“ไม่มียา”
หน่อเอหาทางเอาตัวรอด ลุกขึ้น
“พวกข้าขนใบชา แต่พวกแกหาว่าขนยาบ้า ข้าถูกใส่ร้าย ตำรวจรังแกประชาชน!”
โทรศัพท์ของปัทม์ดังขึ้น!!
ปัทม์ตกใจ
“อะไรนะ...รถบรรทุกชาของไร่ปัทมกุลถูกจับ !”
ถนนเส้นทางเชียงราย ปัทม์มาถึงที่ด่านตรวจกับปวุฒิ ทั้งสองคนกำลังเดินมาที่บริเวณด่านที่มีรถบรรทุกขนใบชาของไร่ปัทมกุล ซึ่งปัทม์เป็นคนทำพิธีปล่อยออกมาจากไร่เมื่อเช้า
“เกิดอะไรขึ้น”
ปลัดวราห์บอก
“ทางตำรวจแจ้งว่า รถบรรทุกคันนี้ต้องสงสัยขนยาบ้า”
“เป็นไปไม่ได้ ในรถคันนี้มีแต่ใบชา”
คนขับรถมาหาปัทม์
“นาย... ผมไม่ได้ขนยา แล้วก็ไม่ได้ซื้อยาด้วย”
ตำรวจเข้ามารายงาน
“สารวัตรครับ ค้นตัวคนขับและบริเวณหน้ารถไม่มียาบ้าครับ”
“คนของผมไม่มีทางทำเรื่องผิดกฎหมาย คงเป็นการเข้าใจผิด” ปัทม์บอก
“แต่ยังไม่ได้ตรวจของในรถ... อาจมีการซ่อนยาเสพติดในกล่องชาก็ได้”
“เป็นไปไม่ได้ ในเมื่อคุณปัทม์เพิ่งไปช่วยผมจับพวกค้ายา คงไม่ค้ายาซะเอง” ปวุฒิบอก
“อย่าด่วนสรุปสิครับ กลลวงของพวกค้ายามีสารพัดวิธี” วราห์บอก
“เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย เอากล่องใบชาของผมออกมาตรวจค้นได้เลย ถ้าเกิดอะไรขึ้น ผมพร้อมรับผิดชอบ!”
ตำรวจเปิดส่วนบรรทุกหลังรถทางด้านหลัง ตำรวจยกกล่องใบชาลงมา
“ผมจะพิสูจน์ให้พวกคุณเห็นว่าใบชาของเราไม่มียาเสพติด”
ปัทม์เทชาออกมา แต่กลับพบว่ามียาบ้ามัดไว้เต็มกล่องชา ! ปัทม์ตกใจ ปวุฒิเข้ามาจับก้อนยา แล้วกรีดออกมาดู..
“ยาบ้า!”
“เป็นไปไม่ได้”
“สารวัตรปวุฒิ... แสดงให้ผมเห็นสิว่าคุณเป็นข้าราชการผู้ซื่อสัตย์ เงินซื้อคุณไม่ได้” วราห์บอก
ปวุฒิลำบากใจ..เพราะรู้ดีว่าปัทม์ไม่น่าเป็นคนค้ายา
“ทำตามหน้าที่เถอะ
ปวุฒิบอกปัทม์
“ผมต้องนำตัวคุณไปโรงพักในฐานะผู้ต้องหา”
ปัทม์ชูข้อมือทั้งสองข้างให้ปวุฒิที่ถอนหายใจยาว จำต้องสับกุญแจมือใส่ข้อมือปัทม์
ภายในบ้านปัทม์ พูนทวีดูที่นิ้วซึ่งปิดพลาสเตอร์พันแผลเรียบร้อย แล้วยิ้มกับรจนาไฉน
“เลือดหยุดไหลแล้วใช่มั้ยครับ”
รจนาไฉนยิ้ม ๆ
“ตั้งหลายชั่วโมงแล้ว ถ้าเลือดยังไหลอยู่เพื่อนคงแย่แล้วล่ะค่ะ ขอบคุณมากนะคะ เพื่อนไม่ได้เป็นอะไรมากหรอก”
พูนทวียิ้มอย่างมีความหมาย
“คุณเพื่อนเจ็บก็เท่ากับผมเจ็บด้วยนะครับ”
“แหม...สามีไม่อยู่ หนูออกจะร่าเริง”
โลมฤทัยเดินเข้ามาหาพร้อมกับลำเพา สีหน้าโลมฤทัยดูเยาะรจนาไฉนอยู่ในที
“แต่ถ้าเจ้าปัทม์อยู่... คุณพบก็คงร่าเริงแทนหนูใช่มั้ยครับ” พูนทวีแขวะ
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง”
“ลูกพบจะโกรธทำไมล่ะจ๊ะ พ่อเลี้ยงพูนทวีเค้าเย้าเล่น เอ...แล้วคุณปัทม์หายไปไหนคะเนี่ย”
เสียงโทรศัพท์ของพูนทวีดังขึ้นพอดี เมื่อเขารับสายก็ตกใจ
“ว่าไง อะไรนะ...ปัทม์ถูกจับ!”
เปรม ปัทมกุลเดินเข้ามาได้ยินเข้าพอดี
“เกิดอะไรขึ้นกับตาปัทม์”
“มีอะไรเหรอคะ” รจนาไฉนถาม
“ทุกคนใจเย็น ๆ นะครับ คือว่า...ตำรวจพบยาบ้าในรถบรรทุกใบชาของไร่ปัทมกุล ปัทม์ถูกจับ... กำลังถูกพาตัวไปที่โรงพัก”
“คุณปัทม์!”
เวลาต่อมา รจนาไฉนเดินออกมานอกบ้าน เปรมเดินตามมากับพูนทวี
“เดี๋ยวหนูไปดูคุณปัทม์ให้เองค่ะ คุณแม่อยู่ที่นี่ก่อนนะคะ ถ้าเผื่อขาดเหลืออะไรหนูจะได้โทรมาแจ้งคุณแม่ได้”
“ฝากตาปัทม์ด้วยนะจ๊ะ”
“ผมจะพาคุณเพื่อนไปสถานีตำรวจเองครับ”
“ขอบคุณค่ะ”
รจนาไฉนขึ้นรถไปกับพูนทวี เปรมมองตามออกไปด้วยสายตาไม่สบายใจนัก
ภายในห้องนอนลำเพาเธอรีบเก็บของ เก็บเสื้อผ้า...โลมฤทัยเข้ามามองอย่างงง ๆ
“คุณแม่จะเก็บเสื้อผ้าไปไหนคะ”
“จะอยู่ให้โง่เหรอ ขืนอยู่พวกเราอาจโดนสอบสวน พลอยซวยไปด้วย เราต้องรีบกลับกรุงเทพฯ”
“คนอย่างคุณปัทม์คงไม่ค้ายาหรอกค่ะ”
“จะไว้ใจได้ยังไง ก่อนหน้านี้พวกมันจ๊นจน แต่ไม่กี่ปีกลับรวยมหาศาล บางทีอาจจะทำไร่ชาบังหน้าเพื่อค้ายาก็ได้"
“พบยังไม่กลับค่ะ ในภาวะที่คุณปัทม์กำลังอ่อนแอ พบต้องแสดงให้เห็นว่าพบอยู่เคียงข้างเขา..พบจะไปเยี่ยมคุณปัทม์”
โลมฤทัยจะออกไปจากห้อง แต่โดนลำเพาดึงไว้อย่างแรง
“พอซะที... ตอนนี้เราต้องเอาตัวรอด”
“แต่นี่เป็นโอกาสที่เราจะเอาชนะใจเค้านะคะ”
“ได้ไม่คุ้มเสีย แม่ไม่เสี่ย”
“พี่เพื่อนไปแล้วนะคะ”
“อย่าทำตัวเป็นคนสมองกลวงเหมือนนังเพื่อน ถ้าอยู่เราจะเดือดร้อนไปด้วย... ไป กลับไปกรุงเทพฯ ไว้ทุกอย่างคลี่คลายไปในทางที่ดีแล้วค่อยว่ากันใหม่”
“แล้วพี่เพื่อน”
“จะโง่อยู่ก็ให้มันอยู่ไป แต่เราต้องไม่โง่เหมือนมัน”
ลำเพาจับโลมฤทัยมาจ้องหน้าอย่างจริงจัง
“พบเป็นลูกแท้ ๆ เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของแม่ ลูกต้องกลับไปกับแม่เดี๋ยวนี้ !”
เปรมยืนอยู่มุมหนึ่งของทางเดินหน้าห้อง เธอมองเข้าไปในห้องด้วยสายตาไม่ค่อยพอใจนัก
“แม่ไม่น่าพาลูกมาที่นี่ให้เสียเวลาเลย สุดท้ายไม่ได้เงินสักบาท อยู่ไม่ได้แล้ว...ช่วยแม่เก็บของเร็ว ไม่งั้นเดี๋ยวจะซวยกันไปหมด”
ลำเพากลับไปเก็บข้าวของจะกลับกรุงเทพฯ เปรมถอนใจและเดินออกไปเมื่อรู้ทาสแท้ของลำเพา
ภายในห้องพระ เปรมจุดธูปปักไว้แล้วนั่งสวดมนต์ พยายามสงบจิตใจ แผ่เมตตา
“อะหัง สุขิโต โหมิ นิททุกโข โหมิ อะเวโร โหมิ อัพยาปัชโฌ โหมิ”
ปัทม์ถูกนำตัวลงจากรถตำรวจและจะเดินเข้าไปยังสถานีตำรวจ ตำรวจคุมคนขับรถตามหลังมา
ปัทม์ส่งสายตามองออกไปทางลานหน้าสถานี เห็นรถบรรทุกใบชาของไร่ฯ จอดอยู่ ตำรวจลำเลียงลังใบชาลงมาจากรถ เขามีสีหน้าไม่ค่อยสบายใจนักเมื่อเห็นตำรวจกำลังตรวจรื้อลัง เทใบชาลงที่พื้นอย่างรุนแรง
ตำรวจเทใบชาออกมาจากกล่อง กระจายไปทั่วพื้นอย่างไม่ค่อยปรานีปราศัย
จบตอนที่ 8
อ่านต่อตอนที่ 9 เวลา 09.30น.