คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 19 อวสาน
ภายในห้องประชุม พิธีกรกำลังพูดอยู่บนเวที ระหว่างนั้นไผ่พญาที่แต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่เดินเข้ามาในห้อง วศินหันมองไผ่พญาเพียงแว้บเดียว ไผ่พญารีบก้มหน้างุดๆ เดินไป
“สำหรับนักศึกษาที่กำลังตั้งใจว่าจบปริญญาตรีแล้วอยากจะเป็นตำรวจ ต้องฟังให้ดีๆ นะคะ เพราะท่านที่จะมาบรรยายพิเศษให้ในวันนี้ ถือเป็นตำรวจตัวอย่างที่ใครๆ ก็พูดถึง”
ไผ่พญารีบวิ่งขึ้นมาที่ห้องควบคุม
“ใครอีกเนี่ย” เจ้าหน้าที่เห็นไผ่พญาก็ถึงกับตะลึงในความงาม “เอ่อ...มีอะไรให้ช่วยครับ”
“อ๋อ...ฉันเป็นทีมงานของท่านวศินน่ะค่ะ”
เจ้าหน้าที่กระตือรือร้นขึ้นมาทันที
“อ๋อเหรอครับ มีอะไรให้ช่วยครับ”
“คือ...ท่านวศินอยากให้เปิดวีดิทัศน์ประกอบการบรรยายให้หน่อยน่ะค่ะ”
ไผ่พญายื่นแฟลชไดรฟ์ให้กับเจ้าหน้าที่คนนั้น
“ได้เลยครับ”
ไผ่พญานั่งลงแล้วมองไปบนเวทีที่พิธีกรกำลังเชิญวศินขึ้นมาพอดี
“คนที่ดิฉันพูดถึง จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากท่านพันตำรวจโทวศิน สหสกุลค่ะ”
วศินลุกขึ้นแล้วเดินขึ้นมาบนเวที จังหวะนั้นเจ้าหน้าที่เสียบแฟลชไดรฟ์เข้ากับซีพียูพลางถามไผ่พญา
“จะให้เปิดตอนไหนบอกได้เลยครับ”
“ค่ะ”
ไผ่พญามองไปที่วศินอย่างลุ้นระทึก
อีกมุมหนึ่ง ภูวนัยกำลังต่อสู้อยู่กับตำรวจอีกสองคนสุดท้าย แม้ว่าภูวนัยจะมีศิลปะการต่อสู้ดีกว่าแต่เมื่อสองรุมหนึ่ง รวมทั้งผ่านการต่อสู้มาแล้วสี่คน ทำให้ภูวนัยโรยแรงเต็มที ถูกตำรวจพวกนั้นตอบโต้เหมือนกัน
ภูวนัยใช้พลังฮึดอีกครั้งก่อนจะเข้ามาต่อสู้กับตำรวจทั้งสอง โดยมีชาติกล้ายืนคุมเชิงอยู่และแล้วภูวนัยก็สามารถจัดการกับตำรวจทั้งสองจนทั้งสองสลบเหมือด
ภูวนัยหันมาทางชาติกล้าแล้วทันใดนั้นชาติกล้าก็หยิบปืนออกมาเล็งไปที่ภูวนัย
“อยากเป็นพระเอกมากหรือไง...ห๊า”
ภูวนัยสบตากับชาติกล้าไม่กระพริบ
“ไอ้ชาติ...ถ้าวันนี้ฉันฆ่าแกไม่ได้ ฉันก็จะตายอยู่ที่นี่”
“งั้น...ฉันจะทำให้แกได้ตายสมใจ”
แล้วชาติกล้าก็โยนปืนทิ้ง ภูวนัยหันมอง ชาติกล้าวิ่งเข้ามาเช่นเดียวกับภูวนัยเองก็วิ่งเข้าใส่เหมือนกัน
“ย้ากกกก”
วศินกำลังปราศัยอยู่บนเวที ภายในห้องประชุม
“การเป็นตำรวจที่ดี ไม่ใช่แค่การจับผู้ร้ายที่ภายนอกที่อยู่ตามท้องถนนหรือบ้านเรือนทั่วไป แต่ตำรวจที่ดีต้องจับผู้ร้ายที่อยู่ในจิตใจของเราให้ได้ด้วย”
ไผ่พญานั่งอยู่ในห้องควบคุมพอได้ยินวศินพูดอย่างนั้นก็หน้ายี้
“พูดออกมาได้...ไอ้เลว”
“ว่าไงนะครับ” เจ้าหน้าที่ได้ยินแว่วๆ
“อ๋อ...เปล่าค่ะ ตอนนี้พร้อมเปิดวีดิทัศน์หรือยังคะ”
“พร้อมครับ จะเปิดหรือยังครับ”
ไผ่พญามองไปที่วศินที่กำลังพูดก็ตัดสินใจ
“ค่ะ”
วศินกำลังพูดอย่างกินใจอยู่บนเวที
“เคยมีคนถามผมว่า ทำยังไงถึงได้เป็นตำรวจที่ดี ผมอยากจะบอกทุกคนว่าทุกอย่างมันเริ่มมาจากความอยาก”
แล้วทุกคนในห้องก็เริ่มฮือฮาเมื่อเห็นจอมอนิเตอร์ด้านหลังของวศินมีภาพขึ้น “ถ้าเราขจัดความอยากได้อยากมีอยากเป็นในใจเราได้แล้วละก็ การคอร์รัปชั่นก็จะไม่เกิดขึ้น”
รัฐมนตรี นักการเมืองและนักศึกษาภายในห้องประชุมต่างอ้าปากค้างเมื่อเห็นภาพวศินกำลังนั่งคุยกับสมสุข โดยมีชาติกล้าอยู่ด้วย วศินแปลกใจว่าเกิดอะไรขึ้นจึงหันไปมองด้านหลังตัวเองแล้ววศินก็อึ้งไป
“ว่าแต่ท่านทำยังไง ท่านสุทินถึงได้หัวใจวายในวันที่ท่านกำลังจะถูกพักราชการครับ ผมอยากรู้จริงๆ
ภาพสมสุขถามวศิน
“ลื้อไม่คิดบ้างเหรอว่า ฟ้ากำลังจะให้อั้วยิ่งใหญ่”
วศินหน้าซีดเผือด
ไผ่พญานั่งลุ้นอยู่ในห้องเต็มไปด้วยความดีใจที่งานกำลังจะสำเร็จ
ขณะนั้นภูวนัยกำลังถูกชาติกล้าไล่ถลุง ภูวนัยบาดเจ็บถูกชาติกล้าต่อยจนน่วมไปทั้งตัว ภูวนัยพยายามจะลุกขึ้นสู้ แต่ก็โดนชาติกล้าต่อยอีกหมัดจนล้มลงไปนอน ชาติกล้าหันมองปืนที่พื้นแล้วเดินไปหยิบมาจ่อที่ภูวนัย
“พอได้แล้วไอ้ภู มันจบแล้ว” ภูวนัยพลิกตัวกลับ ก่อนจะยิ้มออกมา “ยิ้มอะไรของแก บ้าไปแล้วหรือไง”
“แกต่างหากที่จบ”
“พูดอะไรแกวะ”
“ตอนนี้ ในห้องประชุมคงได้เห็นธาตุแท้ของพวกแกหมดแล้ว”
“อะไรนะ”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป ชาติกล้ารีบวิ่งกลับไปที่ห้องประชุมทันที ภูวนัยพยายามลุกขึ้นด้วยแววตามุ่งมั่นอีกครั้ง
ภายในห้องประชุม วศินตกใจเมื่อเห็นคลิปของตัวเอง
“ปิด ปิดซิเว้ย”
ที่ห้องควบคุม เจ้าหน้าที่ควบคุมตกใจกำลังจะกดปิด แต่ไผ่พญาเอื้อมมือมาจับมือเอาไว้
“นี่มันเรื่องอะไรกันครับ”
“ท่านกำลังยกตัวอย่างของการคอร์รัปชั่นให้เราดูค่ะ”
วศินเริ่มคุมสติไม่อยู่แล้วภาพก็เล่นไปถึงตอนที่คุยกันเรื่องผลประโยชน์
“เอาละ งั้นเรามาคุยในสิ่งที่ลื้อสมควรทำกันดีกว่า ตอนนี้อั้วอยากได้เพิ่มขึ้นอีกเท่านึง”
“แหม...นี่ท่านใช้อำนาจของผู้รักษาการกับผมเป็นคนแรกเลยเหรอครับ”
“นี่ไม่ใช่การขอร้อง แต่เป็นคำสั่ง”
รัฐมนตรีลุกขึ้นยืนทันที
“นี่มันเรื่องอะไรวศิน ผมต้องการคำอธิบาย”
“ท่านครับ ผมโดนแกล้ง ต้องมีคนแกล้งผมแน่ๆ”
ทุกคนเริ่มฮือฮาจนเสียงอื้ออึงไปทั้งห้องประชุม ระหว่างนั้นชาติกล้าวิ่งเข้ามาในห้องประชุมพอเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นบนเวทีก็ถึงกับช็อก
“นี่แหละคำว่าอำนาจ ตอนแรกอั้วก็สงสัยว่าคนเราแย่งชิงอำนาจกันทำไม จนตอนนี้อั้วถึงได้รู้ ว่าคนที่มีอำนาจในประเทศนี้ จะทำอะไรก็ได้ โลกนี้มันมีคนอยู่แค่สองประเภท...คนที่ใช้อำนาจ...กับคนที่เป็นเหยื่อของอำนาจนั่น” วศินเดินเข้ามาตบไหล่สมสุข “เข้าใจแล้วใช่มั้ย ว่าคนอย่างลื้อหรือไอ้พวกชาวบ้านที่อยู่ข้างนอก มันก็เป็นแค่เหยื่อให้อั้ว”
ภาพยังฉายต่อ วศินหันไปบอกชาติกล้า
“ยืนบื้ออะไรอยู่ ไปหาทางปิดซิวะ”
ชาติกล้ามองไปที่ห้องควบคุม
อ่านต่อหน้า 2
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 19 อวสาน (ต่อ)
ไผ่พญาเห็นชาติกล้ามองมาก็ตกใจ
“แย่แล้ว” ไผ่พญาหันไปบอกกับเจ้าหน้าที่ “ขอบคุณมากน่ะค่ะ”
ไผ่พญาพูดเสร็จก็รีบเดินออกมาจากห้องเลย เจ้าหน้าที่คนนั้นมองตามงงๆ ไผ่พญารีบหยิบหมวกใส่ปิดหน้าปิดตาแล้วรีบเดินออกจากห้องขณะที่ชาติกล้ากำลังเดินขึ้นมา
ระหว่างนั้นภูวนัยเดินเข้ามาในห้องจึงเห็นเหตุการณ์ที่คลิปวิดีโอเล่นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
“ท่านแพ้แล้ว มอบตัวเถอะ” ภูวนัยบอกกับวศิน
“แกพูดอะไรของแก”
“ยังจะให้ผมบอกอีกเหรอครับ ผมว่าทุกคนในห้องนี้ที่ได้ดูคงจะให้คำตอบท่านได้”
วศินหันไปบอกกับรัฐมนตรี
“นี่ไงครับท่าน มันนี่แหละที่แกล้งผม”
ภูวนัยเดินขึ้นมาบนเวที เดินรุกเข้ามาหาวศินด้วยความอัดอั้น
“พวกแกทำให้ฉันสูญเสียทุกอย่าง แกล้งฉันให้โดนออกจากราชการ...” วศินถอยเมื่อเห็นภูวนัยก้าวเข้ามา ไผ่พญามองว่าภูวนัยจะทำอะไรเช่นเดียวกับชาติกล้าก็ดูสถานการณ์ “พวกแกฆ่าพ่อฉัน...ฆ่าเพื่อนฉัน...แกทำให้ฉันต้องสูญเสียทุกอย่าง”
วศินเดินถอยหลังมาเรื่อยก่อนจะสะดุดขาตัวเองล้มลง วศินตะเกียกตะกายหนี
“ช่วยด้วย...จับมันซิ...จับมัน”
วีระกับราชัยที่ยืนอยู่ข้างล่างไม่รู้จะทำยังไงเหมือนกัน
“จับเขาไว้ซิ” รัฐมนตรีสั่ง
วีระ ราชัยได้รับคำสั่งก็รีบวิ่งขึ้นไปบนเวทีก่อนจะจับกุมภูวนัยเอาไว้ ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ
“เฮ้ย จับเขาได้ยังไง”
เพราะความลืมตัวของไผ่พญา ทำให้ชาติกล้าหันมามองแล้วไผ่พญาก็ตกใจ ภูวนัยเองก็อึ้งเหมือนกันพยายามจะดิ้นให้หลุดจากการจับกุม
“จับฉันทำไม ปล่อย”
รัฐมนตรีพูดกับวีระ ราชัย
“พวกคุณทำอะไร ผมให้จับวศิน”
ภูวนัยอึ้งไปด้วยความดีใจ วีระ ราชัยรีบเข้ามาจับวศินทันที
“ไอ้บ้า นี่แกมาจับฉันได้ยังไง...ปล่อย...ฉันเป็นนายพวกแกนะ”
“ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว” รัฐมนตรีบอก
วศินได้ยินอย่างนั้นก็หน้าซีดเผือดทันที ชาติกล้าเห็นท่าทีของสถานการณ์แล้วเห็นว่าท่าไม่ดีแน่จึงหันไปมองไผ่พญา ไผ่พญาเองก็ตกใจ
ภูวนัยหลับตาลงไม่คิดไม่ฝันว่าเรื่องจะจบแล้ว แต่แล้วเสียงร้องของไผ่พญาก็ดังขึ้น
“ช่วยด้วย”
ภูวนัยและทุกคนที่อยู่ในนั้นต่างตกใจ และเมื่อหันไปก็เห็นชาติกล้ากำลังจับตัวไผ่พญาเป็นตัวประกัน
“หลีกไป หลีก”
“ไอ้ชาติ แกจะทำอะไร ปล่อยตัวไผ่เดี๋ยวนี้”
“แกอย่าคิดว่าชนะแล้วนะไอ้ภู ถอยไป”
ชาติกล้าลากไผ่พญาลงมาทางบันไดก่อนจะตรงไปที่ประตู
“ไอ้ชาติ” ภูวนัยปรี่เข้าไป ชาติกล้าเอาปืนจี้หัวไผ่พญา
“เอาซิ เข้ามา อยากเห็นนังนี่ตายก็เข้ามา” ชาติกล้าหันไปบอกตำรวจที่ยืนเฝ้าประตูอยู่ “ถอยไป” ตำรวจถอย ชาติกล้ากวาดปืนแล้วออกคำสั่ง “ถ้ากูเห็นว่าใครเดินพ้นประตูนี่ไปแม้แต่คนเดียว...อีนี่ตาย”
แล้วชาติกล้าก็ลากไผ่พญาออกไป ภูวนัยครุ่นคิดว่าจะทำยังไงดี
ชาติกล้าลากไผ่พญามาตามทางเดิน
“ว้าย...ปล่อยฉันนะ” ไผ่พญาร้องโวยวาย
“หุบปาก อยากตายหรือไง”
“แกจะพาฉันไปไหน”
“ก็เป็นตัวประกันให้ฉันหนีไง แล้วพอฉันหนีได้ ฉันก็จะฆ่าแกให้สมกับที่แกทำลายทุกอย่างของฉัน”
“แกคิดว่าแกจะหนีพ้นเหรอ ยังไงคุณภูต้องมาช่วยฉัน”
“ดีเลย ฉันจะได้ฆ่ามันด้วย”
ชาติกล้าลากไผ่พญามาถึงหน้าประตูใหญ่ แต่แล้วชาติกล้าก็ต้องชะงักเมื่อเห็นตำรวจคอมมานโดกำลังลงจากรถ
“อะไรนักหนาวะ”
“ทางนี้...ช่วยฉันด้วย” ไผ่พญาตะโกน
“ปากดีนักใช่มั้ย”
ชาติกล้าตบหน้าไผ่พญาเต็มแรง เผียะ! จนไผ่พญาเลือดกบปากแล้วชาติกล้าก็มองหาทางหนีทีไล่ ชาติกล้าดึงไผ่พญาขึ้นบันไดข้างๆ ไปทันที
ภูวนัยจะตามชาติกล้าออกไป วีระเข้ามาห้ามเอาไว้
“หมวดจะไปไหนครับ”
“ผมต้องไปช่วยเธอ”
ภูวนัยจะวิ่งออกไป วีระเรียกภูวนัยเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนครับหมวด” ภูวนัยหันมาก็เห็นวีระยื่นปืนให้ “ระวังตัวด้วยนะครับ”
ภูวนัยพยักหน้าก่อนจะรีบวิ่งออกไปทันที
ภูวนัยวิ่งมาตามทางเดิน แล้วมองไปรอบๆ แต่ก็ไม่เห็นชาติกล้ากับไผ่พญา ระหว่างนั้นภูวนัยได้ยินเสียงร้องของไผ่พญาดังมาจากทางบันไดซึ่งชาติกล้ากำลังลากไผ่พญาขึ้นบันได
“ขึ้นไปเร็วๆ ซิวะ”
“โอ๊ย...ฉันเจ็บนะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็รีบวิ่งตามเสียงของไผ่พญาขึ้นบันไดไปทันที
วีระกับราชัยกำลังคุมตัววศินเอาไว้ วศินยังพยศไม่เลิกไม่ยอมให้ใส่กุญแจมือ
“นี่พวกแกถือดียังไงจะใส่กุญแจมืออั้ว”
“นี่มันเกิดอะไรขึ้น” อภิวัฒน์เดินเข้ามาพร้อมกับตำรวจคอมมานโด ตำรวจทุกคนเห็นอย่างนั้นก็ทำความเคารพ อภิวัฒน์เข้ามาทำความเคารพกับรัฐมนตรี “มีเรื่องอะไรกันครับ”
“คุณมาก็ดีแล้ว ช่วยจับตำรวจนอกแถวคนนี้ไปดำเนินคดีด้วย”
อภิวัฒน์ทำหน้าแปลกใจ วีระกับราชัยจึงเข้ามาอธิบาย
“หมวดภูแกเปิดคลิปที่ท่านวศินกับหัวหน้าชาติกล้าคุยกับเสี่ยสมสุข เลยทำให้พวกเรารู้ความจริงว่าท่านวศินกับหัวหน้าชาติกล้าร่วมมือกับไอ้สมสุข”
“ท่านครับ...เสี่ยสมสุขยังไม่ตายเหรอครับ”
“เรื่องนั้นเดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังอีกที” อภิวัฒน์เดินเข้าไปหาวศิน
“แกมาทำไม”
“พอดีผมได้รับคลิปที่สมสุขส่งมาให้ คิดว่าน่าจะเป็นคลิปเดียวกับที่ท่านได้เห็นไปแล้ว แล้วผมก็นำเรื่องนี้แจ้งให้ท่านผบ.ทราบ ท่านผบ.จึงมีคำสั่งให้ผมมาจับกุมท่าน”
“ว่าไงนะ”
อภิวัฒน์ยื่นจดหมายให้วศินดู
“ผมขอแจ้งข้อหาท่านว่าใช้อำนาจหน้าที่ในทางมิชอบ และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมอีกหลายคดี”
“แกพูดอะไร ฉันต้องการทนาย”
“ใส่กุญแจมือ” อภิวัฒน์หันไปบอกวีระกับราชัย
วีระกับราชัยเข้ามาใส่กุญแจมือวศิน เสียงตบมือดังก้องไปทั่วห้องประชุม ราชัยคุมตัววศินออกไป
“แล้วหมวดภูล่ะ”
อภิวัฒน์หันไปถามวีระ
ชาติกล้าพาไผ่พญาเดินขึ้นมาตามบันไดจนถึงชั้นหนึ่ง ไผ่พญารั้งตัวไว้ชาติกล้าดึงให้เดินตาม
“แกจะพาฉันไปไหน”
“ก็หาทางหนีซิวะ”
ชาติกล้าดึงไผ่พญาออกจากบันไดก่อนจะตรงมาตามทางเดิน แต่แล้วระหว่างนั้นชาติกล้าก็ได้ยินเสียงบางอย่าง ชาติกล้ารีบดึงไผ่พญาหลบก่อนที่ตัวเขาจะแอบมองไปทางเสียงนั่นแล้วชาติกล้าก็เห็นหน่วยคอมมานโดกำลังยกกำลังขึ้นมา
“ปัดโธ่เว้ย”
“ตอนนี้นายไม่มีทางหนีแล้ว มอบตัวเถอะ”
เผียะ! ชาติกล้าหันไปตบไผ่พญาอีก
“คนอย่างกูไม่มีทางจนตรอกเว้ย มันต้องมีทางหนีซิวะ”
ชาติกล้าหันมองไปรอบๆ แล้วดึงไผ่พญาขึ้นบันไดไปอีก ภูวนัยเดินตามขึ้นมาก่อนจะชะโงกหน้าขึ้นมองมาทางข้างบนแล้วก็เห็นชาติกล้ากำลังพาไผ่พญาเดินขึ้นไป ภูวนัยรีบตามขึ้นไปทันที
ชาติกล้าจี้ตัวไผ่พญาขึ้นมาบนดาดฟ้าของตึก
“นี่มันดาดฟ้าแล้วนะ นายจะหนีไปไหนอีก”
ชาติกล้ามองไปรอบๆ อย่างหงุดหงิด
“อยู่เฉยๆ ล่ะ ถ้าคิดจะวิ่งหนีล่ะก็แกได้ตายบนนี่แน่” ชาติกล้าเดินไปชะโงกลงมามองด้านนอกอาคาร จึงเห็นตำรวจคอมมานโดเริ่มล้อมที่นี่ไว้แล้ว “ปัดโธ่เว้ย”
ชาติกล้าเดินไปมาบนดาดฟ้าอย่างครุ่นคิด ใกล้สติแตกเต็มที
ภูวนัยเดินขึ้นมาหยุดที่หน้าประตูที่จะเปิดออกไปเป็นดาดฟ้า ขณะนั้นไผ่พญาพยายามพูดเกลี่ยกล่อมขาติกล้า
“นี่...นายมอบตัวเถอะ ข้อหานายก็ไม่ได้ร้ายแรงอะไรมากนะ แค่ร่วมมือกับโจร...ฆ่าคน...แล้วก็...”
“หุบปากเลย” ชาติกล้าเดินปรี่เข้ามาหาไผ่พญาจ่อปืนด้วยความหงุดหงิด ระหว่างนั้นชาติกล้าก็เหลือบไปเห็นภูวนัยเดินเข้ามา “ไอ้ภู”
ชาติกล้ายิงปืนใส่ภูวนัยทันที ปัง! ภูวนัยกระโดดหลบเข้าที่กำบัง ชาติกล้ารีบตรงเข้าไปคว้าคอไผ่พญาเอาไว้
“ไอ้ชาติ วางอาวุธแล้วมอบตัวซะ แกอย่าทำให้เรื่องยุ่งยากไปกว่านี้เลย”
“ยุ่งยากเหรอ ที่มันเป็นอย่างนี้ก็เพราะแกต่างหาก แกทำให้ทุกอย่างมันยุ่งยากเอง ทำไมแกไม่อยู่ส่วนของแกวะ...ห๊า” ภูวนัยนั่งหลบอยู่ในกำบัง ครุ่นคิดจะช่วยไผ่พญายังไง “เดินออกมาไอ้ภู”
“อย่านะ ถ้านายออกมา...” ไผ่พญาตะโกนบอก
“ใครให้แกพูด” ชาติกล้าตวาดไผ่พญาแล้วพูดกับภูวนัย “บอกให้ออกมา ไม่งั้นกูจะยิงขานังนี่”
“อย่าเชื่อมัน ฉันไม่เป็นไร”
ทันใดนั้นชาติกล้าก็ยิงปืนมาตรงที่กำบังของที่ภูวนัยหลบอยู่
“เร็ว”
ภูวนัยจำยอมต้องตัดสินใจเดินออกมาจากที่กำบังเพื่อความปลอดภัยของไผ่พญา
ภูวนัยกับชาติกล้าเผชิญหน้ากัน
อ่านต่อหน้า 3
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 19 อวสาน (ต่อ)
อภิวัฒน์เดินมาตามทาง เห็นตำรวจคอมมานโดกระจายกำลังอยู่เต็มพื้นที่ อภิวัฒน์ได้ยินเสียงปืนก็ชะงักไปแล้วใช้ความคิด วีระกับราชัยวิ่งเข้ามาหา
“ท่านครับ...เมื่อกี้เสียงปืนนี่ครับ”
“ดูเหมือนจะดังมาจากชั้นบน...” อภิวัฒน์หันไปสั่งตำรวจคอมมานโด “ทิ้งกำลังบางส่วนปิดล้อมชั้นนี่เอาไว้อย่าให้ใครเข้าออก ที่เหลือตามผมมา”
อภิวัฒน์สั่งการเสร็จก็รีบเดินออกไปกับวีระและ ราชัย พร้อมด้วยตำรวจคอมมานโดบางส่วน
บนดาดฟ้า ชาติกล้าเล็งปืนมาที่ภูวนัย
“ไอ้ชาติ มอบตัวซะโทษหนักจะได้เป็นเบา”
“หุบปากเลยไอ้ภู ถ้าแกพูดอีกคำเดียว กูจะยิงหัวนังนี่ทิ้งซะ”
“อย่าเชื่อมัน ยิงมันเลย”
“ฮึ่ยย์”
ชาติกล้าตบไผ่พญาเพื่อให้เงียบ
“ไอ้ชาติ”
“รักกันจังนะ อยากรู้จริงๆ ถ้าแกเห็นนังนี่ตายต่อหน้าต่อตาแกจะเป็นยังไง” ภูวนัยยังเล็งปืนมาที่ชาติกล้าไม่ละสายตา “โยนปืนมา”
“อย่านะ...อย่าให้มัน”
“เร็วซิวะ”
ภูวนัยเห็นชาติกล้าเอาจริง จึงตัดสินใจโยนปืนลงไปที่พื้นก่อนจะเตะไปให้ชาติกล้า ชาติกล้ายิ้มร้าย แล้วทันใดนั้นชาติกล้าก็วาดปืนมาเล็งที่หน้าภูวนัย
“ไม่อยากจะเชื่อว่าแกจะเสียสละได้ขนาดนี้”
“ปล่อยตัวเธอซะ แล้วจับฉันเป็นตัวประกันแทน”
“ปล่อยเหรอ ฉันจะฆ่าแกทั้งสองคนต่างหาก”
ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็อึ้งไป ชาติกล้ากำลังจะเหนี่ยวไกไผ่พญามองปืนในมือชาติกล้าก่อนจะนึกไปถึงตอนที่ภูวนัยสอนบิดข้อมือที่สวนสาธารณะ ไผ่พญาตัดสินใจปัดปืนในมือของชาติกล้าก่อนที่ชาติกล้าจะเหนี่ยวไก แล้วไผ่พญาก็จับข้อมือของชาติกล้าแล้วบิดทันที ปืนของชาติกล้าหลุดมือเพราะความเจ็บ ไผ่พญาอาศัยจังหวะนั้นวิ่งเข้ามาหาภูวนัย ภูวนัยมองผ่านไผ่พญาไปที่ชาติกล้าที่พุ่งเข้าไปหยิบปืนที่หยิบอยู่
“ระวัง”
ชาติกล้าพุ่งเข้าไปหยิบปืนได้แล้ววาดปืนมาที่ไผ่พญาที่กำลังวิ่งอยู่ ภูวนัยมองไผ่พญาที่กำลังวิ่งเข้ามาแล้วตัดสินใจพุ่งตัวออกไป ทันใดนั้นชาติกล้าก็เหนี่ยวไก เสียงปืนดังขึ้น...ปัง!
ภูวนัยถึงตัวไผ่พญาก่อนจะจับตัวไผ่พญาพลิกแล้วเอาตัวเองบังกระสุนให้กับไผ่พญา สิ้นเสียงปืน...ภูวนัยจับตัวไผ่พญาดูด้วยความเป็นห่วง
“คุณไม่เป็นไรนะ”
“อืม” ทันใดนั้นภูวนัยก็ทรุดฮวบลงไปกับพื้น “ไม่”
ชาติกล้าเดินเข้ามาที่ไผ่พญาที่ล้มอยู่ ก่อนจะวาดปืนเล็งมาที่เธอกับภูวนัย
“อย่าไอ้ชาติ”
“แกคิดว่าตัวเองเป็นอะไรถึงได้ทำอย่างนี้ นังนี่มันมีค่ากับแกมากหรือไง”
“ไม่ใช่... ฉันพร้อมจะปกป้องทุกคน เพราะฉันเป็นตำรวจ”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับอึ้งไป ทันใดนั้นเสียงอภิวัฒน์ก็ดังขึ้น
“วางอาวุธแล้วมอบตัวเดี๋ยวนี้”
ไผ่พญาดีใจเมื่อเห็นอภิวัฒน์เข้ามาพร้อมกับตำรวจคอมมานโด
“วาง...วางทำไม...” ชาติกล้าชี้ไปที่ภูวนัย “มันต่างหาก ท่านต้องจับมัน....มันเป็นคนร้าย...มันเป็นสายให้กับโจร”
ทุกคนงงที่ชาติกล้าพูดออกมาอย่างนั้น
“ฉันเป็นตำรวจ”
“ตำรวจ...ตำรวจเหรอ...กูต่างหากที่เป็นตำรวจ” ชาติกล้าเหมือนหมดแรงทุกอย่างอื้ออึงไปหมด “กูเป็นตำรวจได้ยินมั้ย ...ใช่มั้ย...กูเป็นตำรวจ...มันพูดบ้าอะไรของมัน”
“ชาติ แกมอบตัวเถอะ”
ชาติกล้ามองไปเห็นวีระ ราชัยพร้อมตำรวจคอมมานโดทุกคนเล็งปืนมาที่ชาติกล้า ชาติกล้ามองที่ปืนตัวเองก่อนจะยกปืนขึ้น
“หมวดจะทำอะไร”
“ผมเป็นตำรวจ”
ทันใดนั้นชาติกล้าก็ยกปืนขึ้นก่อนจะยิงเข้าที่ขมับตัวเอง ปัง! ร่างของชาติกล้าทรุดฮวบลงกับพื้น ทุกคนถึงกับอึ้งที่ชาติกล้าตัดสินใจทำแบบนั้น ไผ่พญากอดภูวนัยเอาไว้แน่น
“จบแล้ว...มันจบแล้ว”
“ใช่ เราทำสำเร็จแล้ว”
ภูวนัยมองไผ่พญาด้วยสายตาพร่ามัวก่อนที่ภาพทุกอย่างจะดับวูบไป
บุรุษพยาบาลช่วยกันเข็นร่างของภูวนัยที่นอนไม่ได้สติมาตามทางโดยมีไผ่พญากับอภิวัฒน์วิ่งตามคอยเรียกภูวนัยอยู่ตลอดเวลา
“นายต้องเข็มแข็งไว้นะ”
พยาบาลเข็นร่างของภูวนัยมาจนถึงหน้าห้องผ่าตัดก่อนจะเข็นเข้าไปอย่างเร่งด่วน แล้วหันมาบอกกับไผ่พญา
“กรุณารอข้างนอกนะคะ”
ไผ่พญามองตามภูวนัยเข้าไปในห้องผ่าตัดด้วยความเป็นห่วง
“หมวดภูต้องไม่เป็นไร”
แม้ว่าอภิวัฒน์จะพูดอย่างนั้นแต่ไผ่พญาก็ยังไม่หายวิตก
หลายวันต่อมา ภูวนัยนอนไม่ได้สติอยู่ที่เตียง ไผ่พญานั่งอยู่ที่โซฟากำลังมองนาฬิกาเหมือนรออะไรบางอย่าง
นิ้วมือของภูวนัยเริ่มกระดิกก่อนที่เปลือกตาของภูวนัยจะค่อยๆ ลืมขึ้น ภูวนัยมองไปที่เพดานรอให้สติฟื้นตัวเต็มที่ก่อนจึงค่อยๆ หันมองไปรอบๆ แล้วจึงเห็นไผ่พญา
“คุณ”
ไผ่พญาหันไปเห็นภูวนัยฟื้นก็รีบเข้ามาหาด้วยความดีใจ
“เป็นยังไงบ้าง”
“ผมมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง”
“นายถูกยิงเพราะช่วยฉันไง”
ภูวนัยนิ่งไปเหมือนพยายามทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ
“ชาติตายแล้วใช่มั้ย”
“อืม...ส่วนวศินเองก็โดนจับ รู้สึกว่าจะโดนหลายคดีเหมือนกัน”
ระหว่างนั้นม่านเมฆ ม่านหมอกและพรรษาเปิดประตูเข้ามาในห้อง พอเห็นภูวนัยฟื้นแล้วก็ดีใจ
“อาภู อาภูฟื้นแล้ว”
ภูวนัยมองทุกคนอย่างงงๆ
“ทุกคนมาได้ยังไง”
“ก็มาตั้งแต่วันแรกที่คุณภูเข้าโรงพยาบาลเลยล่ะค่ะ”
“นี่ผมสลบไปหลายวันเหรอครับ”
“ไม่หลายวันหรอก...แค่สามวันเอง”
“อาภู...ครูไผ่บอกพวกเราว่า อาภูจะกลับมาอยู่กับพวกเราได้แล้วเหรอครับ” ภูวนัยพยักหน้า ม่านเมฆโผเข้าไปกอดภูวนัยทันที ภูวนัยร้องโอดโอย
“เบาๆ ซิ อาภูยังไม่หายนะ” ม่านหมอกเตือนน้องชาย
“รู้แล้วน่า เมฆแค่ดีใจ โตขึ้นเมฆจะเป็นอย่างอาภูให้ได้ครับ”
“เป็นยังไงคะคุณเมฆ”
“เอ้า...ก็เชื่อมั่นในการทำดีไงครับ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็เอามือลูบหัวม่านเมฆอย่างเอ็นดู ทุกคนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข ไผ่พญามองภาพนั่นก่อนจะพูดขึ้น
“เดี๋ยวฉันมานะ”
“จะไปไหนเหรอคุณ”
“แหม...ก็ครูไผ่เอาแต่เฝ้าอาภูไม่ได้ออกไปไหนเลย อาภูปล่อยครูไผ่ไปเดินเล่นบ้างเถอะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็แอบอมยิ้มมีความสุขที่ไผ่พญาเป็นห่วง ไผ่พญายิ้มเจื่อนเหมือนมีความนัยบางอย่างที่เก็บไว้ในใจ ไผ่พญาหันหลังจะเดินออกไประหว่างนั้นไผ่พญาแอบสบตากับพรรษาเหมือนสื่อความหมายบางอย่างให้
ภูวนัยมองตามไผ่พญา เขารู้แล้วว่าตอนนี้เขารู้สึกยังไง
ไผ่พญาเดินหน้าเศร้าๆ มาตามทาง ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ชายคนนึงที่ยืนหันหลังอยู่
“ไปกันหรือยังคะ”
ชายคนนั้นหันมา จึงเห็นว่าเป็นตะวันฉายนั่นเอง
“คุณไผ่แน่ใจนะครับ”
ไผ่พญาพยักหน้าเศร้าๆ
ที่ห้องพักภูวนัย ม่านหมอกกับม่านเมฆกำลังแย่งกันป้อนข้าวภูวนัย
“มานี่...เดี๋ยวเมฆป้อนเอง”
“ให้พี่ป้อนดีกว่า เราไปนั่งดูทีวีไป”
“อย่าทะเลาะกันซิคะ เดี๋ยวคุณภูก็เจ็บอีกหรอก”
ภูวนัยที่เป็นห่วงไผ่พญาก็ถามขึ้น
“น้าษาครับ”
“คะคุณภู”
“ผมรบกวนน้าษาไปดูไผ่ให้หน่อยได้มั้ยครับ ผมรู้สึกว่าเขาจะไปนานแล้วนะครับ” พรรษาทำหน้าอึกอัก ภูวนัย จับสังเกตออก “มีอะไรครับ”
“คือ...คุณไผ่ไปแล้วคะ”
“ไปแล้ว น้าษาพูดอะไรผมไม่เข้าใจ”
“คือ...วันนี้เป็นวันที่คุณไผ่ต้องเดินทางไปอเมริกากับคุณตะวันน่ะคะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
ภูวนัยเปลี่ยนเสื้อผ้ารีบออกมาจากห้อง ทั้งที่ยังไม่หายดีโดยมีพรรษาวิ่งตามออกมา
“คุณภู...อย่าตามไปเลยคะ”
“ทำไมครับ”
คือ...คุณไผ่ฝากบอกคุณภูนะคะ อย่าตามเธอไป” ภูวนัยอึ้งไปไม่เข้าใจ “เอ่อ...คือคุณไผ่บอกว่า ถ้าคุณไผ่เห็นคุณ เธอจะไม่สามารถไปจากที่นี่ได้”
ภูวนัยได้ยินก็ชะงักก่อนจะตัดสินใจวิ่งลงบันไดไป พรรษาจะวิ่งตาม ระหว่างนั้นม่านหมอกวิ่งตามออกมา
“คุณภู...คุณภู”
“น้าษา นี่มันเรื่องอะไรคะ”
“น้าคิดว่า คุณภูกับคุณไผ่ สองคนนั่นเขารักกัน”
“ว่าแล้วเชียว”
“อาภูกับครูไผ่เนี่ยนะคะ มันจะเป็นไปได้ยังไง”
“ในความรักไม่มีอะไรเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
พรรษาเป็นห่วงภูวนัยเช่นเดียวกับม่านเมฆและม่านหมอก
ไผ่พญากับตะวันฉายเข็นกระเป๋าเดินทางเข้ามายังสนามบินสุวรรณภูมิ ไผ่พญาหยุดมองทุกอย่างด้วยความรู้สึกอ้างว้าง
ระหว่างนั้นรถของภูวนัยแล่นมาตามถนนด้วยความเร็วสูง เดี๋ยวปาดซ้ายปาดขวาแซงรถคันหน้าไปคันแล้วคันเล่าท่ามกลางเสียงบีบแตรลั่นถนน
ภายในรถแผลของภูวนัยมีเลือดค่อยๆ ซึมออกมา แต่ภูวนัยกลับไม่สนใจเพราะตอนนี้ใจของเขาอยู่ที่ไผ่พญาเท่านั้น
“ไผ่...รอผมก่อนนะ”
เจ้าหน้าที่กำลังตรวจหนังสือเดินทางของไผ่พญาอยู่ที่ช่องตม. ไผ่พญายืนนิ่งอยู่กับตะวันฉาย เจ้าหน้าที่ยื่นหนังสือเดินทางให้กับไผ่พญาหลังจากตรวจเสร็จ
“เรียบร้อยคะ”
ไผ่พญายืนนิ่งจนตะวันฉายต้องสะกิด
“คุณไผ่ครับ”
“คะ”
“เจ้าหน้าที่เขาตรวจเสร็จแล้วครับ”
ไผ่พญาเพิ่งรู้สึกตัวหันไปรับหนังสือเดินทาง
“เอ่อ...ขอบคุณค่ะ”
ไผ่พญาหันมองไปที่ GATE ก่อนจะเดินออกไป ตะวันฉายมองตามด้วยความเป็นห่วง
ภูวนัยวิ่งเข้ามาภายในสนามบิน ก่อนจะมองไปที่บอร์ดตารางบิน ภูวนัยยกนาฬิกาขึ้นดูพอเห็นว่ายังทันเวลา ภูวนัยพยายามฝืนความเจ็บปวดแล้วรีบวิ่งออกไป ภูวนัยวิ่งตามหาไผ่พญาไปทั่ว แต่ก็ไม่เห็น ภูวนัยทรุดหมดแรง ระหว่างนั้นภูวนัยได้ยินเสียงประกาศสายการบินและเวลาทำให้ภูวนัยนึกบางอย่างขึ้นมาได้
เจ้าหน้าที่กำลังตรวจหนังสือเดินทางของตะวันฉายกับของไผ่พญาอยู่ที่ช่องตม. ไผ่พญายืนนิ่งครุ่นคิดเจ้าหน้าที่ยื่นหนังสือเดินทางให้กับตะวันฉายหลังจากตรวจเสร็จ
“เรียบร้อยแล้วครับ”
ตะวันฉายพยักหน้าให้ ไผ่พญาหันมองไปที่ GATE อย่างใจหาย ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยก็ดังผ่านลำโพงกระจายเสียงดังไปทั่วสุวรรณภูมิ
“ไผ่...ได้ยินฉันมั้ย”
ไผ่พญาถึงกับอึ้งไปเพราะจำได้ว่านั่นเป็นเสียงของภูวนัย
“นั่นมันเสียงคุณภูนี่ครับ”
ตะวันฉายบอก ไผ่พญาตะลึงงันมองไปรอบๆ ก่อนจะตั้งใจฟังสิ่งที่ภูวนัยพูดต่อ
“ผมรู้ว่าคุณต้องไป” ภูวนัยกำลังพูดออกไมค์ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ “แต่ก่อนที่คุณจะไป ขอผมเจอคุณอีกครั้งได้มั้ย”
ไผ่พญายืนนิ่งลังเลว่าจะเอายังไง ตะวันฉายเห็นไผ่พญาก็รู้ว่ากำลังคิดอะไร
“ยังพอมีเวลา คุณไปหาคุณภูเถอะครับ”
ไผ่พญามองตะวันฉายที่ส่งสายตาความเป็นห่วงมาให้เธอ
ที่เคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ภูวนัยกำลังพูดออกไมค์อย่างต่อเนื่อง
“ไผ่...คุณจะไปอย่างนี้โดยไม่ฟังผมบอกความรู้สึกของผมเลยหรือไง”
ทุกคนที่เดินผ่านไปมาต่างมองภูวนัยด้วยความแปลกใจ ระหว่างนั้นพนักงานประชาสัมพันธ์เห็นบางอย่างที่ด้านหลังภูวนัย จึงบอกกับเขา
“คุณคะ...คนนั้นใช่คนที่คุณตามหาอยู่หรือเปล่าค่ะ”
ภูวนัยค่อยๆ หันไป แล้วหัวใจของเขาก็พองโตขึ้นมาอีกครั้งเมื่อเห็นไผ่พญายืนอยู่
“ไผ่” ทั้งสองได้แต่ยืนมองหน้ากัน ภูวนัยแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเองเมื่อเห็นไผ่พญา “คุณจะไปอเมริกาจริงๆ เหรอ”
“คุณภู มาถึงขนาดนี้...ฉันต้องไป”
ทั้งสองได้แต่ยืนมองหน้ากัน ภูวนัยนิ่งไปเหมือนคนอกหัก
“คุณชอบคุณตะวันใช่มั้ย”
“ไม่...ไม่ใช่อย่างนั้น”
“แล้วทำไมคุณต้องไปอีก ถ้าคุณไม่ชอบเขาแล้วคุณไปทำไม”
“เพราะคุณตะวันต้องไปผ่าตัดเนื้อร้ายในสมองไง” ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ชะงัก “ฉันสัญญากับเขาไว้แล้ว แล้วถ้าฉันไม่ไปกับเขา...”
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไปเถอะ” ไผ่พญาชะงักมองภูวนัยอย่างสงสัย “ผมจะรอ ไม่ว่าคุณจะไปกี่วัน...กี่เดือน..เป็นปีหรือสิบปีผมก็จะรอ”
ไผ่พญายิ้มออกมา เมื่อเห็นภูวนัยเข้าใจเธอ
“แน่ใจนะ”
“อืม”
“แล้วถ้าฉันไปยี่สิบปี”
“ผมก็จะรอ”
“สามสิบ”
“ผมก็จะรอ”
“แล้วถ้าฉันไป...”
ภูวนัยยกนิ้วขึ้นแตะที่ริมฝีปากของไผ่พญา
“ผมบอกคุณแล้วไง ไม่ว่าคุณจะไปกี่ปีผมก็จะรอ”
ไผ่พญาสบตาภูวนัยอย่างซึ้งๆ
“บางทีฉันไปอย่างนี้มันอาจจะทำให้เรารู้จักตัวเราเองมากขึ้น เราจะได้รู้ว่าฉันอยู่โดยไม่มีนายได้มั้ย และนายก็อยู่โดยไม่มีฉันได้หรือเปล่า” ภูวนัยพยักหน้าให้ไผ่พญาอย่างเข้าใจ “ฉันไปนะ”
ไผ่พญาพูดแล้วเดินจากไป ภูวนัยมองตามไผ่พญาจนลับสายตา
เครื่องบินลำหนึ่งบินผ่านตึกไป ภูวนัยยืนมองเครื่องบินลำนั้นผ่านไป
แม้ว่ายังเสียใจมากเพียงใด แต่เขาก็ตั้งใจที่จะพิสูจน์ความรักของตัวเองที่มีต่อไผ่พญา
อ่านต่อหน้า 4
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 19 อวสาน (ต่อ)
1 ปี ผ่านไป ค่ำคืนนี้ วีระ ราชัยและตำรวจอื่นๆ พากันมาเลี้ยงฉลองให้กับภูวนัย ที่ดิออร์แกน
“เอ้า...ดื่มหน่อยครับหมวด ดื่มเพื่อวันเก่าๆ ของเรา”
แล้ววีระกับราชัยก็แปลกใจเมื่อเห็นภูวนัยเอาแต่จ้องโคโยตี้ที่เต้นอยู่บนเวที
“หมวด” ภูวนัยยังไม่รู้สึกตัว “หมวดครับ”
ภูวนัยชะงัก หันมา
“ว่าไง”
“แหม...ท่าทางหมวดจะชอบอะไรพวกนี้ใช่มั้ยครับ”
“เปล่า ผมแค่คิดถึงใครบางคนเท่านั้นแหละ”
วีระกับราชัยมองหน้ากัน
“แหม ไม่ต้องเขินน่าหมวด เดี๋ยวผมจัดให้”
“ไม่ต้อง ผมไม่ได้ต้องการอย่างนั้น” ภูวนัยรีบปฎิเสธ
“น่าหมวด รับรองว่าคนนี้หมวดต้องการแน่ๆ”
ราชัยหันไปกวักมือเรียกใครบางคน ภูวนัยหันไปแล้วภูวนัยก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นไผ่พญาในชุดเซ็กซี่สุดๆ เดินเข้ามา
“ไผ่”
ไผ่พญาเดินเข้ามา ภูวนัยกำลังอึ้งตะลึงเหมือนตกอยู่ในอารมณ์รักแต่แล้วอารมณ์รักก็ต้องดับวูบเมื่อจู่ๆ ไผ่พญาก็เต้นตรงหน้าเขาซะเต็มเหนี่ยว ภูวนัยรีบเข้าไปดึงแขนไผ่พญา
“ทำอะไรของคุณ”
“เอ้า...ก็พวกจ่าเขาจ้างฉันมาเต้นส่วนตัวให้นายดู ฉันก็ทำตามหน้าที่ไง”
“ผมไม่ได้ต้องการอย่างนั้น แล้วนี่คุณกลับมาเมื่อไหร่”
“ฉันไม่ได้ไป”
“อะไรนะ”
“ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ฉันไม่สามารถไปจากเมืองไทยได้”
“เพราะผมใช่มั้ย เพราะคุณรักผมใช่มั้ย” ภูวนัยถามอย่างดีใจ
“เปล่า...ฉันรักการเป็นโคโยตี้” ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งๆ ไป “นายยังรักฉันอยู่หรือเปล่า” ภูวนัยพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นก็พิสูจน์ซิ”
“พิสูจน์อะไร”
“เต้นโคโยตี้ ถ้านายยอมเต้น ฉันจะรับรักนาย”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไปแล้วภูวนัยก็ได้ยินเสียงเชียร์จากคนรอบข้าง เต้นเลย...เต้นเลย...เต้นเลย ภูวนัยถึงกับร้องออกมาอย่างตกใจ
วันต่อมาภูวนัยสะดุ้งตื่นขึ้นจากเตียง
“ไม่”
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น
“อาภู...ตื่นยัง”
ภูวนัยมองไปทางประตูแล้วอมยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะตะโกนตอบ
“ยัง”
ม่านหมอกกับม่านเมฆเปิดประตูเข้ามา
“อาภูอ่ะ ยังไม่ตื่นแล้วตอบได้ยังไง ลุกเดี๋ยวนี้เลยนะ”
ภูวนัยแกล้งนอนคลุมโปง
“ขออีกหน่อยนะ”
ม่านเมฆกระโดดขึ้นไปขย่มเตียงแล้วเอาผ้าห่มออก
“ไม่ได้ ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้เลยอาภู วันนี้พี่หมอกเข้าครัวเองเลยนะ” ภูวนัยลุกขึ้นนั่ง
“ว้า...อย่างนี้ต้องรีบลงไปชิมฝีมือคนเก่งแล้วละซิ”
“อยู่แล้ว”
ภูวนัยยีหัวม่านหมอกและม่านเมฆอย่างเอ็นดู
“งั้นเดี๋ยวอาอาบน้ำแล้วตามลงไปนะ”
“ทำไม จะแอบร้องไห้คิดถึงครูไผ่อีกแล้วละซิ”
ม่านหมอกพูดเสร็จก็วิ่งจู๊ดออกไปจากห้อง
“เดี๋ยวจะโดน”
ภูวนัยมองตามขำๆ ก่อนจะนิ่งไปเพราะเขาคิดถึงไผ่พญาจริงๆ
ภูวนัยเดินเข้าที่โต๊ะอาหาร ขณะนั้นม่านหมอกกำลังตักข้าวต้มให้ภูวนัย
“ไหนดูซิ อื้อฮือ...นี่แอบให้น้าษาช่วยหรือเปล่าเนี่ย”
“โห...ไม่เชื่อใจกันบ้างเลย”
“จ้า หลานอาเก่งอยู่แล้ว”
“อาภูชวนพี่หมอกคุยเพราะไม่กล้าชิมฝีมือพี่หมอกใช่มั้ยอา”
“เห็นมั้ย รู้ทันอีกแหละ”
“อาภูอ่ะ”
“ล้อเล่น” ภูวนัยตักข้าวต้มเข้าปาก “อืม”
“เป็นไงคะ”
“สงสังต้องให้รางวัลซะแล้วมั้ง”
“งั้นวันนี้อาต้องไปกับหมอกนะ” ภูวนัยทำหน้าสงสัย
“ไปไหน”
“เอ้า...ก็วันนี้หมอกต้องไปลงทะเบียนที่มหาวิทยาลัยไง”
“รู้แล้ว อาล้อเล่น”
ระหว่างนั้นพรรษาเดินเข้ามา
“ว่าไงคะคุณหมอก พร้อมจะไปมหาวิทยาลัยหรือยังคะ”
“ยังไม่พร้อมหรอกครับน้าษา เมฆเห็นใส่ชุดนักศึกษานอนตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว”
“เดี๋ยวจะโดนตาเมฆ” ภูวนัยมองม่านหมอกยิ้มดีใจที่ม่านหมอกกลับมาร่าเริงเหมือนเดิม “งั้นหมอกขึ้นไปแต่งตัวก่อนนะคะ”
ม่านหมอกวิ่งออกไปด้วยความดีใจ
“เสาร์นี้คุณภูว่างมั้ยคะ” พรรษาถามภูวนัย
“มีอะไรเหรอครับ”
พรรษามองภูวนัยอย่างเข้าใจ
“คุณภูรู้มั้ยคะ เดี๋ยวนี้คุณภูทำงานยิ่งกว่าคุณเผ่าตอนหนุ่มๆ ซะอีก จะเจอคุณภูแต่ละทีก็โน่น ตอนที่คุณภูนอนแล้ว”
“แล้วไม่ดีหรือไงครับ”
“มันก็ดีคะ ถ้างานมันทำให้คุณภูมีความสุขจริงๆ ไม่ใช่ว่าทำงานเพราะต้องการลืมใครบางคน” ภูวนัยนิ่งไม่พูดอะไร “น้ารู้นะคะว่าที่คุณภูทำอย่างนี้เพราะไม่อยากคิดถึงคุณไผ่ใช่มั้ย” ภูวนัยชะงัก “ปีนึงแล้วนะคะที่คุณไผ่ไม่ติดต่อมาเลย คุณภูยังจะรออีกเหรอคะ”
“ไม่ว่าจะกี่ปีผมก็จะรอ”
ระหว่างนั้นเด็กรับใช้เข้ามา
“คุณภูคะ มีคนมาพบคะ”
ภูวนัยกับพรรษาแปลกใจว่าใครกัน
ภูวนัยกับพรรษาเดินออกมาที่ห้องรับแขก แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นชายหญิงคู่หนึ่งยืนหันหลังรออยู่สองคน
“สวัสดีครับ”
ชายหญิงคู่นั้นหันมา แล้วภูวนัยกับพรรษาก็ตกใจเมื่อเห็นว่าขิงกับกระดังงานั่นเอง
“สวัสดีครับคุณภู...น้าษา”
“คุณขิงคุณงา มาได้ไงคะเนี่ย”
ขิงกับกระดังงามองหน้ากัน ก่อนจะสะกิดกันให้แต่ละฝ่ายพูด
“คือ...เราสองคนถูกรางวัลใกล้เคียงรางวัลที่หนึ่งน่ะค่ะ พวกเราก็เลย” กระดังงาสะกิดขิง
“เลย เอาเงินที่เมียผมขโมยไปจากคุณเผ่าเอามาคืนน่ะครับ”
“ไอ้ขิง...แกต่างหากที่ขโมย”
“เอ้า...แต่มันเป็นความคิดแกนี่”
ทั้งคู่เริ่มจะเถียงกัน ภูวนัยจึงพูดขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอกครับ คุณพ่อผมคงดีใจที่เงินของท่านได้มีโอกาสช่วยคุณสองคน”
“ไม่ได้หรอกคะ” ภูวนัยกับพรรษางง “คือ...ฉันฝันทุกคืนเลยนะคะว่าคุณเผ่าแกมาทวงเงินของแก แกบอกว่าถ้าไม่เอามาคืน จะมาหักคอ”
“แต่ผมว่างมงายมากกว่าครับ จริงมั้ยครับคุณภู” ขิงคุยกับภูวนัย
“หนอยไอ้ขิง แกอยากให้ฉันโดนหักคอจะได้หาเมียใหม่ใช่มั้ย”
“ใช่...เอ๊ย...โถเมียจ๋า...ใครจะไปคิดอย่างนั้น”
“ถ้าคุณสองคนอยากสบายใจ ผมว่าเงินนั่นไม่ต้องเอามาคืนผมหรอกครับ ผมว่าคุณพ่อคงอยากให้คุณสองคนเอาเงินนั่นไปทำบุญแล้วอุทิศส่วนกุศลให้ท่านมากกว่า”
ขิงกับกระดังงามองหน้ากันก่อนที่กระดังงาจะยื่นถุงบางอย่างให้กับภูวนัย
“พวกเราคิดไว้อยู่แล้วว่าคุณภูต้องไม่รับ ถ้าอย่างนั้นช่วยเราของนี่ไว้ได้มั้ยคะ ถือว่าเป็นคำขอโทษจากพวกเรา”
ภูวนัยยื่นมือไปรับ ขิงกับกระดังงายิ้มร่า พรรษาจึงถามขึ้น
“แล้วคุณทั้งสองแต่งตัวอย่างนี้จะไปไหนเหรอคะ”
“อ๋อ...โทษทีครับผมลืมบอกไป พอดีผมกับงาเปิดสำนักงานนักสืบอยู่น่ะครับ”
“นักสืบเหรอคะ”
“ค่ะ...หลังจากที่ได้ปฏิบัติภารกิจกับคุณภู พวกเราก็คิดว่าเราสองคนเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ ใช่มั้ยจอร์จ”
“ถูกแล้วซาร่า”
ภูวนัยนิ่งไปก่อนจะถามขึ้นอย่างจริงจัง
“ไผ่ติดต่อมาบ้างหรือเปล่าครับ”
ขิงกับกระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็ชะงักไป
“เอ่อ...ไผ่มันบอกว่าตอนนี้ที่มอสโคว์หนาวมากค่ะ”
“จะบ้าเหรอไง มอสโคว์อยู่รัสเซีย”
“อ๋อ จริงๆ ฉันจะบอกว่าอยู่กรุงโซลน่ะค่ะ”
“นั่นอยู่เกาหลีใต้”
“อ๋อ...จริงๆ”
“พอเถอะ” ขิงขัดขึ้นกระดังงาหน้ามุ่ย “พวกเราไปก่อนนะครับคุณภู พอดีเราต้องรีบไปปฏิบัติภารกิจต่อน่ะครับ ลาแล้วนะครับ”
ขิงกับกระดังงารีบยกมือสวัสดีภูวนัยกับพรรษาก่อนที่ทั้งคู่จะรีบเดินออกไป ภูวนัยกลับมาคิดถึงถึงไผ่พญาอีกครั้ง
ภูวนัยกับม่านหมอกเดินเข้ามาที่ห้องลงทะเบียนของมหาวิทยาลัย ม่านหมอกกำลังจะไป ภูวนัยเรียกเอาไว้
“ต้องให้อาเข้าไปเป็นเพื่อนมั้ย”
“หมอกโตแล้วน่ะค่ะ เพื่อนหมอกเยอะแยะไม่ต้องหรอกค่ะ” ภูวนัยยิ้มให้ ม่านหมอกโบกมือแล้ววิ่งออกไปอย่างร่าเริง ภูวนัยอมยิ้มก่อนจะได้ยินเสียงมือถือ ภูวนัยมองเบอร์แล้วรับสาย
“ครับท่าน”
อภิวัฒน์นัดเจอกับภูวนัยที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง อภิวัฒน์วางแก้วกาแฟลง
“ผมเพิ่งได้รับรายงานว่า สมสุขตายแล้ว”
“อะไรนะครับ”
“ตกใจขนาดนั้นเลยเหรอหมวด”
“ผมไม่คิดว่า เจ้าพ่อใหญ่อย่างมันจะมีวันนี้”
“สมสุขมันเป็นคนฉลาด ที่มันให้เราเปิดโปงวศินก็เพราะตัวมันเป็นคนที่ได้อานิสงส์ไปเต็มๆ”
“ครับ...เพราะหลังจากที่วศินโดนจับ ผมได้ข่าวว่าอิทธิพลของมันแทบจะแผ่ไปทุกพื้นที่แล้ว...เอ่อ...สมสุขตายยังไงครับ”
อภิวัฒน์นิ่งไป
เหตุการณ์ก่อนที่สมสุขจะเสียชีวิต สมสุขเดินโอบสาวสวยออกมาจากผับ มีลูกน้องเดินตามเป็นโขยง
“เอากุญแจมา วันนี้ฉันจะขับเอง”
“จะดีเหรอครับนาย”
สมสุขไม่พูดแต่จ้องหน้าเอาเรื่อง ลูกน้องรีบยื่นกุญแจรถให้ สมสุขหันไปโอบสาวเดินออกไป
“มามะ เดี๋ยวเสี่ยพาไปนั่งรถไฟเหาะนะ”
สมสุขเดินมาที่ลานจอดรถพร้อมกับสาวๆ ระหว่างที่สมสุขเดินมาถึงรถตัวเองก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นชายคนนึงกำลังงัดรถเขาอยู่
“เฮ้ย! ทำอะไรวะ” ชายท่าทางขี้ยาคนนั้นตกใจ สมสุขปรี่เข้าไปเอาเรื่อง “จะขโมยรถฉันเหรอ แกรู้มั้ยว่าฉันเป็นใคร”
ทันทีที่สมสุขพูดจบก็ต้องชะงักไป สมสุขค่อยๆ ก้มมองลงไปที่ท้องของตัวเองจึงเห็นไขควงที่ขี้ยาคนนั้นแทงเพราะความตกใจ
“แก”
ชายขี้ยาคนนั้นดึงไขควงออก ก่อนจะกระซวกสมสุขซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผู้หญิงที่มากับสมสุขต่างหวีดร้องด้วยความตกใจ สมสุขล้มลงสิ้นใจตายอยู่ข้างรถ ชายขี้ยาคนนั้นรีบวิ่งหนีไปทิ้งให้สมสุขนอนตายอย่างอนาถ
ภูวนัยรู้สึกละเหี่ยใจหลังจากที่อภิวัฒน์เล่าให้ฟัง
“ก็อย่างนี่แหละ คนเป็นเจ้าพ่อก็เหมือนขาข้างนึงก้าวลงในโลงศพแล้ว ถึงสมสุขจะไม่ตายวันนี้ ยังไงก็ต้องมีคนที่คิดจะล้มเพื่อมายืนอยู่ตำแหน่งนั่นอยู่แล้ว” อภิวัฒน์นิ่งไปก่อนจะเปลี่ยนเรื่อง “หมวดจะไม่เปลี่ยนใจจริงๆ เหรอ”
“เรื่องอะไรครับ”
“ก็เรื่องที่ผมชวนหมวดกลับเข้ามาเป็นตำรวจอีกครั้งไง”
“ครับท่าน ผมตัดสินใจแล้ว”
“แต่ตำรวจเราต้องการคนดีอย่างหมวดนะ”
ภูวนัยนิ่งไปอย่างครุ่นคิด
“ไม่หรอกครับ ผมว่าสังคมต้องการคนดีต่างหากครับ”
“เอาละ” อภิวัฒน์ยืนขึ้นอย่างเข้าใจ “ขอบคุณสำหรับทุกเรื่องที่ผ่านมา ผมภูมิใจที่ได้ร่วมงานกับตำรวจที่ดีอย่างคุณ”
อภิวัฒน์วันทยาหัตให้ภูวนัย ภูวนัยยืนตรงก่อนจะวันทยาหัตตอบ อภิวัฒน์ยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป
ภูวนัยยิ้มบางๆ รู้สึกมีความสุขกับสิ่งที่เป็นอยู่
เวลาต่อมา รถของภูวนัยแล่นเข้ามาจอดที่ลานจอดรถ ภูวนัยลงจากรถแล้วเดินอ้อมมาเปิดประตูเพื่อหยิบขนมนมเนยที่ซื้อมาฝากม่านหมอก ขณะที่กำลังจะหยิบของภูวนัยก็เห็นถุงที่ขิงกับกระดังงาเอามาให้ ภูวนัยหยิบมันมาดูพอดึงขึ้นมาจึงพบว่าเป็นนวนิยาย
“คิดว่าเราชอบอ่านนิยายตั้งแต่เมื่อไหร่”
ภูวนัยมองไปที่หนังสือนวนิยายชื่อเรื่อง “คู่วุ่นลุ้นแผนรัก” ภูวนัยไล่สายตาลงไปที่คนเขียนแล้วภูวนัยก็ต้องชะงักไป
“เด็กเลี้ยงแกะ”
ภูวนัยชะงักไปกับนามปากกาทันที ภูวนัยเปิดอ่านดู
ภูวนัยกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่มุมหนึ่งของมหาวิทยาลัย ภูวนัยพลิกอ่านไปอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเองก่อนจะปิดหนังสือลงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ระหว่างนั้นสายตาของภูวนัยก็เหลือบไปเห็นโปสเตอร์ที่ติดอยู่ที่ผนังตึก “พบกับเด็กเลี้ยงแกะ ผู้เขียน”คู่วุ่นลุ้นแผนรัก” ที่จะมาบอกทุกขั้นตอน ทุกเรื่องราวได้ที่ห้องประชุม....ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินออกไป
ภายในห้องประชุมเล็กที่จัดเป็นงานสัมมนาพบคนเขียนนวนิยาย ผู้คนกำลังห้อมล้อมยืนต่อแถวขอลายเซ็นนักเขียนอยู่ที่หน้าเวที โดยมีพิธีกรกำลังพูดอยู่ด้วย
“เอาละค่ะ ต่อแถวกันอย่างมีระเบียบนะคะ...รับรองค่ะว่าได้ลายเซ็นของคุณเด็กเลี้ยงแกะกลับไปทุกคนอย่างแน่นอน”
นักเขียนคนนั้นก้มหน้าก้มตาเซ็นให้กับแฟนคลับที่มายืนต่อแถวก่อนที่นักเขียนคนนั้นจะเงยหน้าขึ้นจึงเห็นว่าเป็นไผ่พญานั่นเอง
“สนุกมากเลยคะพี่ หนูอยากรู้ว่าเรื่องที่พี่เขียนนี่เป็นเรื่องจริงหรือเปล่าคะ”
“ถ้าบอกเดี๋ยวมันจะไม่สนุกนะ...ขอบคุณค่ะ”
ไผ่พญายื่นหนังสือคืนให้กับแฟนคลับคนนั้นไป แฟนคลับคนที่สองเข้ามาแล้วยื่นหนังสือให้
“พี่...ทำไมนิยายพี่ไม่มีตอนจบละคะ หนูอยากรู้ว่าไผ่พญาจะได้กับคุณภูหรือเปล่า”
ไผ่พญาชะงักไป ระหว่างนั้นเสียงภูวนัยก็ดังขึ้น
“คุณภูออกตามหาไผ่พญาจนพบ...แล้วหลังจากนั้น...คุณภูก็พาไผ่พญาไปเที่ยวสวนสนุก...ตามที่เคยสัญญาเอาไว้กับเธอ”
ทุกคนหันไปตามเสียง รวมทั้งไผ่พญา แล้วไผ่พญาก็อึ้งไปเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่
“คุณภู”
“ใครให้คุณเอาเรื่องของเราไปเขียน”
ไผ่พญากำลังตกตะลึงอยู่ แฟนคลับที่เห็นก็พูดขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นคุณก็เป็นคุณภูในนิยายใช่มั้ยคะ”
“ใช่ครับ”
“ไม่ใช่คะ” ไผ่พญารีบบอก ภูวนัยหันมองไผ่พญา
“อ้าวคุณ ไปโกหกน้องเขาทำไม”
“ว้ายยย!”
เหล่าบรรดาแฟนคลับของไผ่พญาร้องด้วยความดีใจ
“ขอลายเซ็นหน่อยคะ ตัวจริงหล่อมากเลย...ว้ายยยย”
แฟนคลับที่อยู่ในห้องประชุมกรูเข้ามาที่ภูวนัย ภูวนัยตาโตด้วยความตกใจ
“เฮ้ย”
“วิ่ง”
ไผ่พญารีบคว้ามือภูวนัยวิ่งออกจากห้องประชุมไปทันที
ไผ่พญากับภูวนัยวิ่งหนีแฟนคลับมาตามทาง ก่อนที่ทั้งสองคนจะหลบมุมจนกระทั่งแฟนคลับทั้งกลุ่มวิ่งเลยผ่านไป
“คุณกลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่” ภูวนัยถามไผ่พญา
“เอ่อ...ก็พอสมควรแล้ว”
“แล้วทำไมคุณไม่ไปหาผม”
“ก็ฉันไม่รู้ว่านายยังรู้สึกเหมือนเดิมหรือเปล่า”
“ไม่แล้ว ตอนนี้ผมโกรธมากที่คุณเอาเรื่องของเราไปเขียน”
“โห...ฉันขอโทษ”
“คุณต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์มาก่อน ผมถึงจะหายโกรธ”
“โห...นายเป็นงกขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย นายจะเอาเท่าไหร่ล่ะ” ทันใดนั้นภูวนัยก็ขโมยหอมแก้มไผ่พญาทันที
“เฮ้ย! ทำอะไรน่ะ” ไผ่พญาถามอย่างตกใจ
“ค่าลิขสิทธิ์ผมไง” ไผ่พญาก้มหน้างุดด้วยความเขิน “ทีนี้รู้หรือยังว่าผมรู้สึกยังไง”
ไผ่พญาพยักหน้าเขินพูดไม่ออก แล้วภูวนัยก็เข้ามากอดไผ่พญาทันที
“จะทำอะไรน่ะ”
“เอ้า...ก็คุณไม่ตอบ ผมก็คิดว่าคุณไม่รู้นี่”
“โห...ไม่รู้ก็บ้าแล้ว ปล่อยฉันได้แล้ว”
ภูวนัยโอบเอวไผ่พญาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ภูวนัยกระซิบข้างหู
“ขอบคุณนะครับ” ไผ่พญาชะงัก
“เอ่อ...เรื่องอะไร”
“ก็ที่คุณทำให้ผม มีชีวิตกลับมาอีกครั้ง คุณรู้มั้ย ตั้งแต่คุณไป ผมเหมือนคนที่ตายทั้งเป็น” ไผ่พญารู้สึกอบอุ่นในอ้อมกอดของภูวนัย ภูวนัยเชยคางไผ่พญาขึ้น “ไผ่...ผมรักคุณนะ”
ภูวนัยค่อยๆ โน้มตัวลงจะจูบ
“อะไร คิดว่าฉันเป็นผู้หญิงประเภทไหน คิดจะจูบก็จูบง่ายๆ หรือไง”
ไผ่พญาจะเดินไป แต่ภูวนัยคว้ามือเอาไว้ ไผ่พญาชะงักแล้วหันมาสบตากับภูวนัย
“คุณให้ชีวิตใหม่กับผม แล้วคุณจะทำลายมันด้วยการเดินจากผมไปอีกเหรอ” ภูวนัยเดินเข้ามาหาไผ่พญา “ชีวิตและหัวใจของผมเป็นของคุณแล้ว ผมอยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับคุณ...ไผ่...ผมรักคุณ”
ภูวนัยโน้มหน้าก้มลงจุมพิตไผ่พญาอย่างแผ่วเบาด้วยความรักเต็มหัวใจ
จบบริบูรณ์