คู่กรรม ตอนที่ 19
ส่วนอีกฟากหนึ่ง ห้วงเวลาเดียวกัน ที่ศาลาวัดในหมู่บ้านชายทุ่งแห่งหนึ่ง ของจังหวัดนครสวรรค์
ข้าวของชิ้นแล้วชิ้นเล่าในเป้ของ 3 คน ถูกรื้อค้นออกมาวาง กลางพื้นบนศาลาวัด เห็นว่ามีทั้งแผนที่ เสื้อผ้า มีดพก ปืนสั้น และอื่นๆ อีกมากมาย
“ของดีทั้งนั้น” คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
ชายชาวบ้านชื่อยกขึ้นดู “นี่มันของฝรั่งทั้งนั้นนี่หว่า มีแต่ภาษาต่างชาติ”
พระครู เณร และชาวบ้านชายฉกรรจ์อีก 3-4 คน เดินมาดูด้วย
ท่านพระครูหันไปทาง วนัส คุณชาย และอรุณ ที่ต่างอยู่ในสภาพสะบักสะบอม มีร่องรอยฟกช้ำ ถลอก เป็นแผลที่หน้าเห็นได้ชัด ถูกจับมัดรวมกันไว้อยู่บนพื้นศาลาใกล้ๆ
“สงสัยเป็นพวกทหารต่างชาติส่งมาแน่ แต่หน้าก็คลับคล้ายคนไทยเหมือนกันนะ” พระครูบอก
“ถ้าเป็นคนไทยก็ต้องพูดต้องตอบมาแล้วสิพระครู นี่ฟังรู้เรื่องหรือเปล่าก็ไม่รู้” ชายชื่อแก้วว่า
ชาวบ้านคนหนึ่งในกลุ่ม ค้นหยิบกล่องเหล็กกล่องหนึ่งอยู่ก้นเป้ของวนัสขึ้นมา
“โหพี่แก้ว....นี่อะไรเนี่ย”
แก้วหันขวับไปดู “เฮ้ยๆ กล่องไรวะ ไหนเปิดสิ”
“เปิดไงละพี่...เอ”
ชาวบ้านมอง จับๆ ดู กำลังจะเปิดปลดล็อค วนัสเหลียวขวับไปเห็นจะร้องห้าม แต่คุณชายรีบกระแทกยั้งห้ามวนัสเอาไว้ก่อน เพราะ 3 คน ได้ตกลงกันไว้ว่า หากถูกจับจะไม่ยอมปริปากพูดใดๆ
“เฮ้ย เดี๋ยว มันใช่ระเบิดหรือเปล่าวะ” แก้วร้องขึ้น
ชายอีกคนตกใจรีบวางทิ้งลง “หา..ดีนะไม่เปิด”
วนัสฮึดฮัดแทบลุกขึ้นไปใส่ คุณชายห้ามไม่ทัน แก้วหันมาเห็นพอดี
“เฮ้ยๆ จะทำอะไรเว้ย”
แก้วเดินรี่เข้ามาถีบยันวนัสจนล้มหงายตึง
“ทำไมวะ กล่องนี้มันมีอะไร ไอ้พวกโจร ศัตรูประเทศ”
วนัสถูกคนไทยด้วยกันด่ายิ่งฉุน จ้องมองหน้าชายชื่อแก้วเขม็ง
“ทำไม เอ็งฟังข้ารู้เรื่องใช่ไหม ใช่ไหม บอกมาสิ พูดมา”
แก้วเข้ามากระชากคอเสื้อวนัส กำลังง้างหมัดจะซัดใส่ เสียงผู้ใหญ่บ้านตะโกนห้าม
“เฮ้ย”
ผู้ใหญ่บ้าน เดินเข้ามาพร้อมกับกำนัน
“พอๆ หยุด ไหนข้าดูสิ”
กำนันเดินอาดๆ เข้ามาใกล้พวกวนัส มาหยุดเพ่งดูใกล้ๆ จนไปเห็นแถบเครื่องหมาย Free Thai ที่ต้นแขนของวนัส กำนันมองอย่างจับสังเกตครุ่นคิดไปมา
ไม่นานต่อมา ล้อเกวียนแล่นมาบนทางลูกรังระหว่างตำบล กลางแสงแดดแผดจ้า วนัส คุณชายวิชญา และอรุณ ถูกมัดมือมัดเท้า ติดเข้าไว้ด้วยกันแน่นหนาอยู่บนเกวียนที่กำลังวิ่งไป เห็นทิวเขาขนาดกลางอยู่ไกลๆ
ชายชื่อแก้ว และชายฉกรรจ์อีก 2 คน ยืนบ้างนั่งบ้าง ต่างคนต่างถือไม้ตะพด พกมีดสั้น ยาวคุมแจมีผู้ใหญ่ยืนอยู่ที่หัวเกวียน
แก้วยื่นไม้ตะพดมาเขี่ยที่หน้าวนัส
“เฮ้ย ข้าว่าเอ็งฟังข้ารู้เรื่อง..ชื่ออะไรวะ ไหนบอกข้าสิ”
“ไม่พูดเดี๋ยวพวกข้าจับส่งไอ้ยุ่นนะโว้ย รู้จักมั้ยไอ้ยุ่นนะ” อีกคนขู่
ชายฉกรรจ์ที่ยืนคุมกันอยู่พากันหัวเราะชอบใจ
วนัส อรุณ เต็มกลืนตาเขียวมองกราด ท่านชายวิชญาฉุนไม่แพ้กัน แต่ก็ต้องขยับสะกิดเตือนกันไว้
“เออ ที่จริงพาไปส่งไอ้ยุ่นก็สิ้นเรื่องสิ้นราว เผื่อได้เงินมากินเหล้ากันด้วย ไม่รู้ทำไมต้องเอาไปส่งไกลถึงอำเภอด้วย จริงมั้ยผู้ใหญ่” ชายชื่อแก้วเอ่ยขึ้น หารือกัน
“นั่นสิ จากเนินขี้เหล็กนี่กว่าจะเข้าอำเภอก็ค่ำแล้ว” อีกคนบอก
วนัสนิ่งฟังอย่างสนใจ ว่าตอนนี้พวกเขากำลังอยู่ที่ไหน พลางมองกวาดตาสังเกตสภาพโดยรอบ
“เฮ้ย...พวกเอ็งนี่ ทำคะนองกันไป กำนันกำชับนักกำชับหนาว่าต้องพาไปส่งผู้ว่าฯ อย่ามาหาเรื่องคอขาดกันละมึง” ผู้ใหญ่กำชับ
“หิหิ..ก็พูดไปเผื่อมันจะกลัวกันเท่านั้นละจ๊ะผู้ใหญ่ เกิดมันเป็นพวกหาข่าวของพวกต่างชาติจริง” แก้วบอก
“กำนันก็ว่าน่าจะเป็นพวกเดียวกับที่โดนจับได้ที่ชัยนาทเดือนก่อน ไอ้พวกนั้นก็มากันสามคนอย่างนี้เหมือนกัน” ผู้ใหญ่ว่าอีก
วนัส คุณชาย อรุณ เหลียวขวับ ฟังอย่างสนใจ
“แล้วตำรวจก็พาไปเข้าคุกที่พระนครเลย” ผู้ใหญ่บอกต่อ
“อ้อ งั้นไอ้สามตัวนี่ก็ต้อง...”
ชายคนนั้น หันมามองวนัสและพวก วนัสเหลียวชำเลืองมองคุณชาย และอรุณ เป็นเชิงหารือว่าเอาไงดี
ขณะเดียวกัน ธงอาทิตย์อุทัยปลิวไสวเหนือลานรวมพลของอู่ต่อเรือ ในธนบุรี ทหารญี่ปุ่น และพวกกุลีรับจ้าง กำลังแบกของไปมาเร่งสร้างที่พักใหม่อย่างเร่งรีบ เห็นโครงอาคารเป็นรูปร่างชัดเจนขึ้นแล้ว
ส่วนที่เต็นท์พยาบาลชั่วคราว มีทหารเจ็บบ้าง ป่วยบ้าง เดินเข้าออกไปมา ฝีเท้าใครคนหนึ่งเดินเร่งรีบมาหยุดยืนหน้าเต็นท์ ทหารต่างหยุดทำความเคารพพรึบพรับ
ที่แท้เป็นโกโบริรับความเคารพ แล้วชะเง้อมองหาเข้าไปภายในเต็นท์
ในเต็นท์ยามนั้น มีแต่ผู้ช่วยหมอกำลังวุ่นวายอยู่ และพลทหารเคสุเกะกำลังมาล้างพันแผลอยู่ที่เตียง
“เคสุเกะ..หมอทาเคดะละ เขาไปไหน” โกโบริถาม
เคสุเกะหันมา “อา ผู้กอง..หมอเอ่อ” พลางกวาดตามองหา “น่าจะแถวๆ นี้ครับ” เคสุเกะยิ้มๆ ไม่มีเหตุผล
สีหน้าโกโบริร้อนรน ปนหงุดหงิดว่าทำไมหมอไม่อยู่
อีกมุมหนึ่ง ในอู่เรือญี่ปุ่น กระเป๋าพยาบาลแกว่งไปมา ก่อนจะเห็นว่าเป็นโกโบริกกำลังเดินลิ่วๆสะพายกระเป๋าพยาบาลของหมอทาเคดะ เหลียวมองรอบตลอดทางที่เดินผ่าน
โกโบริเดินมาหยุดที่จุดหนึ่ง สีหน้าเซ็งสุดๆ ถอนใจหนักหน่วงพลางส่ายหน้า หมอทาเคดะยื่นมือมาตบเข้าที่บ่าโกโบริเต็มแรง โกโบริหันขวับมาร้องเสียงดัง
“หมอ”
หมอทาเคดะมีสีหน้าตกใจ เรียกทำไมซะดัง
“อะไรโกโบริซัง คุณ..คุณเป็นอะไรหรือเปล่า แล้วคุณหิ้วกระเป๋ายาผมมาทำไม”
“ไม่ต้องถามอะไรแล้วหมอ มานี่”
โกโบริมีท่าทีขึงขังดึงหมอเดินตามมาทันที
หมอทาเคดะงงหนัก “เฮ้..เดี๋ยว อะไร”
“มากับผม”
“ผะ ผม..ทำอะไร”
โกโบริไม่พูดพร่ำกึ่งดึงกึ่งลากตัวหมอทาเคดะไปทันที บรรดาทหารมองตามกันงงๆ
ไม่นานต่อมา ขณะที่ยายกำลังคัดลูกมะละกออยู่ตรงนอกชานนั้น ยินเสียงฝีเท้าย่ำพรวดๆ ขึ้นเรือนมา ยายศรเงยหน้าขึ้นมอง
“อา พ่อดอกมะลิ”
โกโบริที่ยังหน้าขมึงลากหมอทาเคดะลิ่วผ่านไป หมอหันไปยิ้มทัก
“คุณยายซัง”
แม่อรกำลังถือกระจาดเปล่าเดินมา โกโบริลากทาเคดะผ่านหน้าไปอีก
“อ้าว คุณหมอ...”
หมอทาเคดะหันมาก้มศีรษะให้เล็กน้อย ก่อนโดนโกโบริลากตรงไปที่ห้องอังศุมาลิน แม่อร กะยายศร มองตามไปงงๆ
ฝ่ายอังศุมาลินนอนหันตะแคงอยู่ โกโบริเรียกกระซิบๆ
“ฮิเดโกะ...”
โกโบริโน้มตัวมาเรียกใกล้ มีหมอทาเคดะนั่งมองอยู่ข้างหลัง
“ฮิเดโกะ คุณหลับหรือเปล่า” โกโบริเรียกอีก
“เปล่าค่ะ”
“ค่อยยังชั่วบ้างไหม”
“ไม่เป็นไรแล้วล่ะค่ะ”
“นี่ผมพาหมอมาแล้ว”
อังศุมาลินค่อยพลิกตัวหันมายิ้มท่าทีอิดโรยอ่อนเพลีย
“อา คุณหมอ สบายดีเหรอคะ ไม่เจอเสียนาน”
“อังศุมาลินซัง ผมสบายดีครับ ไหนขอผมดูคุณหน่อย”
โกโบริหลีกทางให้หมอทาเคดะตรวจอาการ
ครู่ต่อมายอดไม้ริมหน้าต่างพลิ้วไหวตามแรงลม ส่วนในห้องสำลีเช็ดแอลกอฮอล์ไปมา หลังจากถอนปลายเข็มฉีดยาเสร็จออก อังศุมาลินที่นอนตะแคงหลับตาหยี ทำจมูกฟุดฟิดเหม็นกลิ่นแอลกอฮอล์ จนต้องกลั้นหายใจ
หมอทาเคดะถอนตัวขึ้นจากการฉีดยาให้เสร็จ
“ไม่เป็นไรนะ ฉีดยาแล้วนอนพักจะดีขึ้น อาการอย่างนี้เป็นสักพักก็หาย” เสร็จแล้วจึงเหลียวมามองโกโบริแวบหนึ่ง “แล้วผมจะฝากยามาให้กินด้วย”
หมอทาเคดะสาละวนเก็บของเข้ากระเป๋าไปมา โกโบริสีหน้ายังกังวลไม่คลายจนถามย้ำเป็นญี่ปุ่น
“ไม่เป็นอะไรแน่นะ”
“ตอนนี้ยัง แต่...อีกไม่เท่าไหร่ต้องมาดูกันอีกที” หมอบอก
โกโบริยิ่งงง “อ้าว ไหนว่าไม่เป็นไร”
หมอทาเคดะพูดแกมหัวเราะ “เถอะน่า ไม่เป็นไรก็ไม่เป็นไรซิ” หมอเตรียมจะลุก แล้วบอกโกโบริ “นะผมต้องขอตัว มีงานค้างที่อู่อีกเยอะ”
“ขอบคุณมากนะคะหมอ ว่างๆ แวะมาทานข้าวนะคะ” อังศุมาลินว่า
“มาแน่ เพราะโกโบริ...ต้องเลี้ยงผม”
หมอทาเคดะพูดไปยิ้มไป พลางหันมองโกโบริ แล้วทำหน้าทะเล้นใส่โกโบริ ที่สีหน้างวยงงสุดๆ
ประตูห้องอังศุมาลินแง้มเปิดออกมา เห็นหมอทาเคดะสีหน้ายิ้มแย้ม เดินนำออกมา แต่ผงะเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าแม่อร และยายศร มายืนรอฟังอยู่ที่หน้าประตู แถมยิ้มแฉ่งให้
“เป็นยังไงคะหมอ” แม่อรถาม
หมอทาเคดะออกมายืนยิ้มๆ รอ จนโกโบริแง้มปิดประตูห้องเสร็จ แม่อร กะยายศร ลุ้นรอฟังความ
“โกโบริซัง คุณแม่ คุณยาย...”
“อะไรหมอ รีบว่ามา” โกโบริเร่ง
“ผมดีใจด้วย อังศุมาลินซังกำลังตั้งท้อง”
โกโบริที่มีสีหน้ากังวลๆ อยู่เหมือนเพิ่งตื่น เปลี่ยนเป็นดีใจตื่นเต้นขึ้นมาทันที
พลันโกโบริจับตัวหมอเขย่าไปมา “จริงหรือหมอ”
หมอทาเคดะพยักหน้าอย่างมั่นใจ แม่อร กะยายศร พลางถอนใจ กึ่งโล่งที่รู้แน่ซะที กึ่งดีใจกันเงียบๆ
ส่วนโกโบริเหมือนทำอะไรไม่ถูกชั่วขณะ
“แล้ว..แล้วผม ต้องทำยังไง ทำยังไงๆ”
โกโบริดีใจมาก ตื่นเต้นสุดๆ ไม่รู้จะทำไง จับตัวหมอเขย่าๆๆๆๆ
แม่กะยายหัวเราะขำ
ทางด้านอังศุมาลินพยายามยันตัวจนมาถึงหน้าต่าง สีหน้าคลื่นเหียนกลิ่นแอลกอฮอล์จากเมื่อครู่ เหงื่อแตกซิก มาหยุดยืนค้ำขอบหน้าต่างก้มซบหน้ากับท่อนแขนหายใจระรวย โกโบริเปิดประตูเข้ามา หันมาเห็นสีหน้าตกใจ รีบพรวดเข้ามา
“ฮิเดโกะ คุณลุกมาทำไม”
โกโบริเข้ามาประคองอย่างทะนุถนอม
“ไม่มีอะไรหรอกค่ะ ทีแรกเหมือนจะอาเจียน แต่ท้องมันคงไม่มีอะไรเหลือจะออกมาแล้ว”
โกโบริฟังแล้วถอนใจ
“ต่อไป คุณจะลุกจะเอาอะไรต้องเรียกผมนะ อย่าทำเองอย่างนี้เด็ดขาด”
“ทำไมละคะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก”
“ทำไมจะไม่เป็น”
อังศุมาลินงงหนัก “แล้วจะเป็นอะไรคะ”
“ก็คุณเกิดล้มไปจะว่าไง”
“ไม่ล้มหรอกคะ แต่ถ้าล้มก็ไม่เห็นเป็นไร”
โกโบริพูดด้วยน้ำเสียงตกใจ “เป็นซิ ไม่ได้เด็ดขาด ลูกเราทั้งคนนะ”
“คะ”
อังศุมาลินอุทาน ผงะ แทบหายเป็นปลิดทิ้ง
“คุณว่าอะไรนะคะ”
โกโบริดึงร่างอังศุมาลินเข้ามากระชับกอดอย่างแนบแน่น รักท่วมท้นล้นอก
โกโบริก้มลงกระซิบเบา “ลูก ลูกของเรา ยอดรัก..สุดที่รัก หมอบอกผมเมื่อกี้”
อังศุมาลินอึ้งฟังนิ่ง คิดไม่ออก สมองว่างไป
“ลูกของเรา คุณดีใจไหม..ลูกของเราฮิเดโกะ”
อังศุมาลินรู้สึกช็อค สับสน งวยงง
โกโบริบอกอีก "ลูกของเรา ไม่ว่าเขาจะเป็นหญิงหรือชาย ผมก็อยากให้เขาเหมือนคุณ อยากให้เขาถอดแบบจำลองตัวคุณไว้เพราะผมรักแม่เขามากเหลือเกิน..คุณอยากให้เขาเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย.."
อังศุมาลินฟังนิ่ง เบลอ ท่าทีเลื่อนลอย
"สำหรับผมนะ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมก็จะรักเหมือนกับที่ผมรักแม่เขา..ฮิเดโกะ ถ้าผมเป็นอะไรไปตอนนี้ ผมก็จะไม่เสียดายชีวิตผมเลย เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าความสุขที่สุดของชีวิตนั้นมันเป็นอย่างไร" โกโบริกอดอังศุมาลินแนบอก พร่ำเพ้อ หัวใจพองโตสุดๆ
อังศุมาลิน ทิ้งตัวในอ้อมกอดโกโบริ น้ำตาค่อยๆ เอ่อออกมา สุขปนทุกข์ประดังกันอยู่ในหัว
คู่กรรม ตอนที่ 19 (ต่อ)
ที่อู่ต่อเรือเวลาต่อมาเคสุเกะและทหารคนอื่นๆ กำลังทำงานอยู่ หมอทาเคดะเดินกลับมาถึง คันปากยิบๆ อยากเม้าท์มอยมากๆ
“เคสุเกะๆ มีอะไรจะบอก”
“อะไร ผู้กองโกโบริ เป็นอะไรหรือครับ” เคสุเกะสงสัย
“คือ..อย่าไปบอกใครนะ” หมอกำชับ
“ไม่บอกครับ”
“สัญญานะ”
“สัญญาครับ”
หมอทาเคดะกระซิบเคสุเกะ ว่าโกโบริจะมีลูก เคสุเกะนิ่งฟังๆๆ แล้วค่อยๆ ตาโตเท่าไข่ห่าน
ก่อนจะแหกปากร้องลั่น
“สุดยอดๆๆๆ”
เคสุเกะวิ่งเตลิดไป หมอทาเคดะมองตาม งงๆ
ครู่ต่อมาเคสุเกะอยู่ในหมู่ทหารที่กำลังทำงานกัน
“พวกเราทุกคน มีอะไรจะบอก”
“อะไร” ทุกคนประสานเสียง วางงานในมือหันมา
“แต่ห้ามทุกคนไปบอกใครนะ”
“ไม่บอกๆๆ” ทุกคนบอกพร้อมกัน
“สัญญานะ”
“สัญญาครับๆๆ”
เคสุเกะวิ่งกระซิบบอกทีละคนๆ ทุกคนตื่นเต้นดีใจ ร้อง เย้ๆๆ
ความลับที่หมอทาเคดะกำชับเคสุเกะ เหมือนจะไม่เป็นความลับอีกต่อไปแล้ว
ส่วนที่บ้านอังศุมาลิน สัปปะรดในจาน วางลงมาตรงหน้า อังศุมาลินเอาเกลือสมุทรเม็ดๆ เล็กๆ โรยๆ แล้วกินอย่างหิวโหย
“คุณแม่บอกว่า..คุณชอบ แต่ต้องใส่เกลือด้วยหรือ”
“ใส่เกลือแล้วอร่อยกว่าเดิมนี่คะ คุณชิมไหม”
โกโบริส่ายหน้า มองอังศุมาลินกินเอาๆ สายตาสนุกๆ ตื่นเต้นตามเมีย
สักพัก โกโบริมองรอบๆ แล้วเดินไปมา เล็งตรงนั้น ตรงนี้ วุ่นวาย
อังศุมาลินมองแล้วงงๆ “คุณจะทำอะไร?”
“ก็..กำลังคิด..ว่าจะเอาปลาตะเพียนมาแขวนไว้หน้าบ้าน” โกโบริบอก
อังศุมาลินฉงน “อะไรนะคะ เอาปลาตะเพียนมาทำไม”
โกโบริกระดี๊กระด๊าสุดๆ ขณะบอก
“เป็นธรรมเนียมของญี่ปุ่น คนที่มีลูกชายจะต้องเอาปลาตะเพียนสานมาแขวนไว้หน้าบ้าน มีหนึ่งคนก็แขวนหนึ่งตัว คนโตก็จะแขวนตัวใหญ่สุด มีคนต่อไปก็จะแขวนอีกตัวต่อไปที่เล็กลงมา..แล้วคุณว่า เราจะได้แขวนปลาตะเพียนสักกี่ตัวนะ”
อังศุมาลินอึ้งนิ่งงัน หยุดกิน
“ผมน่ะ อยากแขวนไว้อย่างน้อย” โกโบริบอกอย่างมั่นใจ “สักห้าตัวเลยนะ..แล้วอย่างมากสุดละคุณว่า กี่ตัวดี”
อังศุมาลินยังคงเงียบ โกโบริเล็งไปตรงบันได
“ทีแรก..แขวนตัวใหญ่ๆ..แค่ไหนดี คุณว่าเอาตัวแค่นี้ดีไหม...” โกโบริทำมือกว้าง กะจุดที่จะแขวน แต่รู้สึกว่าอังศุมาลินเงียบไป งง หันมา “ฮิเดโกะ คุณดีใจไหม...” โกโบริเข้ามาคุกเข่าตรงหน้า มองหน้าชัดๆ แล้วอึ้ง หน้าหุบ “คุณไม่ดีใจเลยเหรอ”
อังศุมาลินกระพริบตา อยากร้องไห้บอกไม่ถูก
โกโบริเห็นหน้าอังศุมาลิน แขนตกลงข้างตัว ท้อใจขึ้นมาวูบหนึ่ง
“อย่าตอบเลยฮิเดโกะ ผมกลัวว่ามันจะทำให้ผมเสียใจ ปล่อยให้ผมมีความสุขไปกับฝันลมๆแล้งๆอย่างนี้ดีกว่า ผมลืมไปว่าผมสัญญากับคุณไว้ยังไง ขอบคุณ..ฮิเดโกะ กับความสุขที่ผมมีมาตลอด จนผมเกือบลืมเรื่องที่เราพูดกันไว้” โกโบริก้มโค้งลง “ถ้าเช่นนั้น..กรุณาให้ผมได้เห็นหน้าลูกของผมเสียก่อน แล้วผมจะเลี้ยงของผมเอง ถ้าคุณไม่ต้องการเขา เพราะถึงยังไงผมก็จะรักเขามากที่สุด เหมือนอย่างที่ผมรักแม่เขามากที่สุดในชีวิต”
อังศุมาลินพลันปล่อยสะอื้นออกมา
โกโบริมองแล้วดึงอังศุมาลินมากอดไว้
อังศุมาลินส่ายศีรษะไปมาเชิงปฏิเสธ “หยุดพูดๆ...พอที”
โกโบริถอนใจยาว เสยผมอังศุมาลินที่ยุ่งให้เข้าเป็นระเบียบ ก่อนปลอบ
“ฮิเดโกะอย่าร้องเลย ลืมสิ่งที่ผมถามคุณนี้ไปเสีย...พรุ่งนี้ผมจะเอายามาให้ หมอบอกว่าอาการแบบนี้คงจะเป็นไปสักเดือนสองเดือน แล้วต่อไปอย่าให้คุณหกล้ม หรือทำอะไรหนักๆ”
อังศุมาลินคลายสะอื้นลง ถอนใจยาว อารมณ์ดีขึ้น
“ฉีดยาแล้วดีขึ้นไหม”
“เพิ่งจะฉีดไปเดี๋ยวเดียวเอง จะรู้ได้ไงคะ”
“นั่นซินะ..อย่างน้อย ก็ทำให้คุณลุกมา..กินอะไรได้บ้าง”
อังศุมาลินรู้สึกกังวลปนห่วง “แล้ว..แม่รู้หรือยังคะ
“รู้แล้ว พร้อมผมนี่ละ..ไม่ซิ ท่านกับคุณยายบอกหมอว่า ก็คิดอยู่เหมือนกัน” โกโบริหัวเราะเบาๆ “ก็มีผมซินะที่ไม่รู้ คิดไปว่าคุณปวดท้อง เป็นกระเพาะ หรือลำไส้ ตอนวิ่งไปตามหมอ...ผมละใจไม่ดี ใจสั่น... กลัวว่าคุณจะเป็นอะไร”
อังศุมาลินพูดขัดคอ “ถ้าเผื่อ...ตายละคะ”
“ไม่ ผมจะไม่ยอมให้คุณเป็นอะไรเป็นอันขาด เป็นผมตายก่อนเถอะ”
โกโบริเข้ามาสวมกอดอังศุมาลิน กอดไว้แนบแน่น อังศุมาลินใจสั่น อึ้งอยู่อย่างนั้น
จากบ่ายกลายเป็นเย็น เห็นดวงอาทิตย์คล้อยลอยตัวลงต่ำ ฟ้าเริ่มเป็นสีแดง แลเห็นฝูงนกบินกลับรัง เกวียนของพวกวนัสแล่นมาถึงทางแยกเข้าตัวเมืองนครสวรรค์
“จะเข้าเมืองละ ถึงจวนผู้ว่าก็มืดพอดี” ผู้ใหญ่ว่า
ระหว่างนั้นเกวียนของชาวเมืองอีก 2-3 คน วิ่งสวนทางใกล้เข้ามา ยินเสียงบ่นดังมา
“ไอ้พวกนี้ จะมืดจะค่ำ ยังจะมาตรวจอะไรกันนักกันหนา คิดว่าเป็นประเทศพวกมันรึไงวะ”
วนัสนั่งนิ่งไม่ยอมหลับ หันไปมอง คุณชายวิชญากับอรุณที่เผลอหลับไปนานและเพิ่งตื่น วนัสและพวก ถูกเปลี่ยนชุดให้เป็นชาวบ้านธรรมดาแล้ว เกวียนชาวบ้านวิ่งสวน
“มีอะไรหรือลุง” ชายชื่อแก้วสงสัย
“โอ้ย ก็พวกไอ้ยุ่นนะสิ” ชาวบ้านอีกฝ่ายบอก
วนัส คุณชายวิชญาและอรุณ ถึงกับหูผึ่ง ผู้ใหญ่ และคนที่เหลือก็สีหน้าไม่สู้ดีกันขึ้นมา
เกวียนบรรทุกพวกวนัสแล่นมาถึงตรงทางอำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์ ช่วงค่ำ
จู่ๆ มีด่านชั่วคราวของกองทัพญี่ปุ่นตั้งขวางทางอยู่มีทหารประจำการอยู่ราว 4-5 คน
“ผู้ใหญ่” แก้วพยักเพยิดบอก
“เฮ่ย..เอ็งเฉยไว้ไอ้แก้ว” ผู้ใหญ่พยักหน้าอย่างรู้กัน
พลันลำไฟฉายดวงโตหันส่องจี้มาที่บนเกวียน
“หยุด”
เกวียนของพวกวนัสจอดนิ่งลง ทหาร 2-3 นาย เดินตรงเข้ามา เดินล้อมดูรอบคันเกวียนไปมา
“จะ-ไปไหน” ทหารญี่ปุ่นคนหนึ่งถามขึ้น
“เข้าไปจวนผู้ว่า” ผู้ใหญ่บ้านบอก
“ไปผู้ว่า...ออ งั้น...ขอตรวจหน่อย”
ทหารนายนั้นเดินส่องไฟไปทั่วเกวียนมาหยุดที่หน้าวนัส วนัสเพ่งจ้องตาเขม็ง เป็นครั้งแรกที่เขาได้เผชิญหน้ากับศัตรู
“มองทำไม มีอะไร” ทหารถาม ไม่พอใจนัก
ลำแสงไฟฉายในมือทหาร ส่องจี้ไปที่ใบหน้าวนัส แล้วเปลี่ยนมากวาดส่องตามตัว ก่อนที่ทหารจะสั่ง
“ยืนขึ้น ยืน..แกสามคนนี่ ยืน”
ผู้ใหญ่ และชาวบ้านบนเกวียนต่างตกอกตกใจ ผู้ใหญ่ถาม
“เดี๋ยวๆ มีอะไรหรือ”
“ไม่..สามคนนี่ เป็นคนร้ายหรือ ทำไมถูกจับมัด ยืนขึ้นๆ”
วนัส คุณชายวิชญากับอรุณมองกันไปมา แล้วค่อยๆ ยืนขึ้นช้าๆ ทั้งสามถูกมัดมือไพล่หลังชนกันอยู่
ทหารอีกนายคว้าเป้สัมภาระขึ้นมาได้ ยกชูขึ้น
“มีของนี่ด้วยครับ”
ทหารคนแรกกวาดไฟฉายมาที่เป้
“เปิดดูซิ”
วนัส คุณชายวิชญากับอรุณเหงื่อกาฬแตก ลุ้นสุดตัวว่าจะออกหัวก้อยยังไง ทหารลูกน้อง รับคำสั่ง แล้วรีบเปิดค้น เป้ของทั้ง 3 ถูกรื้อค้นออกกระจาย วนัสมองลุ้น และเครียด เป้ถูกรื้อจนไปเจอเข้ากับวิทยุสื่อสาร
“เจอวิทยุสื่อสารครับ”
ทหารคนที่ค้น รีบยกเครื่องวิทยุชูขึ้นมา ทหารคนแรก หันขวับไปดูทันที
“ของใคร”
คุณชายวิชญากับอรุณพยายามหันมาดู จนเมื่อเห็นอะไรเป็นอะไรแล้วแทบทรุด ผู้ใหญ่และชาวบ้านที่เหลือทำอะไรกันไม่ถูก
“บอกมา ของใคร” ทหารถามอีก
วนัส กัดฟันแน่นเหงื่อแตกพลั่ก
คู่กรรม ตอนที่ 19 (ต่อ)
วิทยุสื่อสารกำลังสูงของ 3 เสรีไทย ถูกทหารญี่ปุ่นที่ค้นเจอ ยกชูสูงขึ้น
“ได้ยินมั้ย...” ทหารอีกคนถามย้ำ
วนัสจ้องเขม็ง ชาวบ้านบนเกวียนขยับๆ อึกอักๆ ค่อยๆ เหลือบมองไปทางผู้ใหญ่บ้าน ผู้ใหญ่เองก็คิดทำอะไรไม่ถูก สถานการณ์ตึงเครียดไปหมด ไม่มีใครยอมพูดสักแอะ
“วิทยุนี่-ของใคร..ทำไม-ไม่ตอบ” ทหารญี่ปุ่นคนเดิมถามคาดคั้น
วนัสเริ่มเดือด หายใจฟึดฟัด กัดฟันแน่น วิชญาสังเกตรีบเตือน
“Calm. Guy.”
วนัสเอี้ยวหน้าพูดเบาไม่ขยับปาก
“But, Sam.”
อรุณหน้านิ่งกำลังจดจ่อสมาธิกับอะไรบางอย่าง เหงื่อแตกซิก
มือของอรุณกำลังใช้มีดพกอันเล็กตัดเชือกที่มัดมือทั้งสามไว้ด้วยกันออก วนัสเห็นทหารญี่ปุ่นอีกคนกำลังค้นเป้ที่เหลือ
คราวนี้ทหารค้นเป้อีกใบเจอแผนที่ และปืนพก จึงรีบส่งให้ทหารคนที่ถือวิทยุแรงสูงอยู่พลางบอกเป็นคำญี่ปุ่น
“มีนี่ด้วยครับ ของพวกทหารยุโรป”
ทหารที่ถือวิทยุ ชูแผนที่กับปืนพกขึ้นมาด้วย ทหารอีกคนสาดขวับกวาดไฟฉายส่องไปเห็น ตาลุกวาว ควักปืนพกขึ้นมาทันที
“ของทั้งหมด-เป็นของใคร“ เงียบกริบ ตวาดดังลั่น “ถามว่าของใคร”
ทันใดนั้นทหารคนดังกล่าวก็ยิงปืนขึ้นฟ้าลั่นเปรี้ยงหนึ่งนัด ชาวบ้านทุกคนบนเกวียนตกใจ หน้าซีด
ทหารคนนั้นหันปืนขวับเล็งมาที่วนัสทันที
“งั้นแก-ตอบมา-ว่าของใคร”
วนัสจ้องเขม็งเดือดดาลเต็มที่ ท่านชายวิชญารีบขยับมอง จนทำให้มีดในมืออรุณที่กำลังแอบเฉือนตัดเชือกหล่นจากมือ
“ตอบมา...เร็ว”
วนัสกัดฟันแน่น
“สะ สามคนนี่เป็นขโมย”
ผู้ใหญ่บ้านละล่ำละลัก รีบอธิบาย
“มันไปขโมยของพวกนี้มา ระ..เรา จับพวกมันได้ จะเอาไปส่งตำรวจ”
“อ้อ..งั้นก็...” ทหารญี่ปุ่นที่เป็นหัวหน้าหันสั่งลูกน้อง “ยึดของพวกนี้ไปทั้งหมด”
“ไฮ้” ทหารญี่ปุ่นอีก 2 คน รับคำเสียงดัง ก่อนกวาดเป้และของทั้งหมดลงไปจากเกวียน
วนัส ท่านชาย และอรุณหน้าตึงขึ้นมาทันที
วนัสพูดโดยไม่ขยับปาก จะลุยแล้ว “It’s time, Sam.”
“อยากตายนักใช่ไหม ไอ้หัวขโมย”
ทหารหัวหน้าตรงมาตบวนัสด้วยด้ามปืนไปหนึ่งฉาด
อรุณกับท่านชายวิชญาตกใจ “ลำพู”
วนัสถึงกับหน้าหัน พลันสะบัดกลับมามองจ้องตาขวางเขม็งใส่
“มองอีกใช่มั้ย”
ทหารคนนั้นเงื้อเหวี่ยงด้ามปืนตบเข้าไปที่หน้าวนัสอีกฉาด แต่พลันมีมือยกขึ้นมาจับปืนหมับไว้แน่น
ทหารคนดังกล่าวงงปนตกใจ
ที่แท้เป็นมือวนัส ที่กำลังมองอย่างเดือดดาล เคียดแค้นสุดๆ
วนัสตะโกนใส่หน้า “ไอ้ยุ่น”
ทหารคนนนั้นหน้าเหวอไป โดนวนัสกระชากดึงเข้ามาหาและถูกบิดมือจนปืนร่วง ก่อนโดนเหวี่ยงล้มหงายกับพื้น
ทหารสองนายที่ยืนคุมเชิง งง พยายามยกปืนเล็งขู่
“อย่านะ หยุด”
วนัสคว้าปืนพกขึ้นมาได้อย่างคล่องแคล่ว ก่อนจะพลิกตัวรวบล็อคคอและยกปืนจี้จ่อทหารหัวหน้า ได้ทันท่วงที
“วางปืน ไม่งั้นไอ้นี่ตาย”
พวกญี่ปุ่น และทุกคนซีดกันหมด พวกเสรีไทยเคลื่อนไหวตัวกัน เข้าแย่งของที่ถูกยึด เตรียมเผ่น
ตอนเช้าวันต่อมา ปลาทอดเอย กุ้งเผา หมูย่างหั่นพอคำ กับน้ำปลาพริก โดนอังศุมาลินผลักออกไป
“หนูไม่เอาเลยหรือ กัดฟันฝืนใจ..กินเนื้อสัตว์อะไรบ้างเถอะลูก..จะได้ช่วยบำรุงครรภ์” แม่อรว่า
“หนูขอเป็นข้าวเปล่าๆ เถอะนะคะ มันไม่ไหวจริงๆ ค่ะ”
“ก็อย่างนี้ละ ตอนแม่อรท้องยัยอัง ยังกินได้แต่มะม่วงจิ้มน้ำปลา น้ำปลาเปล่าๆ ด้วยนะ ไม่ใช่น้ำปลาหวาน” ยายศรที่นั่งอยู่ด้วยบอก
“แต่กินแต่ข้าวเปล่าๆ ขาวๆ แบบนี้อย่างเดียว...มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยนะลูก” แม่อรบอกอีกด้วยความเป็นห่วง
“หนูเหม็นกับข้าวน่ะค่ะ เหม็นจริงๆ ขออนุญาตเอาไปไกลๆ ด้วย..ได้ไหมคะ” อังศุมาลินทำหน้าแขยง เมื่อเลื่อนกับข้าวออกห่าง
“เฮ้อ..ตามใจๆ เอ้าๆๆ” แม่อรถอนใจ พร้อมกับช่วยเลื่อนกับข้าวออกให้
โกโบริอยู่ในชุดอยู่บ้าน เป็นกางเกงขาสั้นของทหาร กับเสื้อยูกาตะ คุกเข่า ทำอะไรเสียงแก๊กๆๆ อยู่ในครัว โดยกำลังเอาของจากขวดแก้วถนอมอาหารใส่ถ้วย
“พ่อดอกมะลิ มากินข้าวได้แล้ว” ยายตะโกนเรียกหลานเขย
“เดี๋ยวครับ เดี๋ยว” โกโบริลุกไปหาถ้วยเพิ่ม ค้นตามตู้ กุกกักๆ
“มัวทำอะไรของเค้านะ” ยายศรบ่น
“เห็นว่าไปเอาของมาจากโรงครัวที่อู่น่ะค่ะ ทานอาหารไทยทุกวันๆ คงคิดถึงอาหารที่บ้าน” อังศุมาลินว่า
“นั่นสินะ ไอ้เราก็ทำอาหารญี่ปุ่นไม่เป็นเสียด้วย” แม่อรว่า
“ก็ดีนะ อยากกินอะไร ก็ให้เขาทำเอง เดี๋ยวเราทำไม่ถูกปาก กินไม่ลง เลยจะผอมไปเสียเปล่าๆ” ยายบอก
ไม่นานนัก โกโบริยกถาดเล็กๆ ที่มีถ้วยเล็ก 3 ใบ ใบหนึ่งใส่บ๊วยญี่ปุ่นเล็กๆ สำหรับกินกับข้าว 4-5ลูก ใบหนึ่ง เป็นสาหร่ายชิ้นเล็ก หั่นฝอย และอีกใบเป็นผงปลา ใส่งา มีเครื่องปรุงรสมาด้วย และมีตะเกียบวางพร้อม
แม่อรฉงน “อะไรนี่”
โกโบริสาธยายเป็นอันๆ “นี่บ๊วย นี่สาหร่าย นี่ผงปลา-ปรุงรสครับ สำหรับกินกับข้าว อังศุมาลินเหม็นของที่มีกลิ่น ลองชิมของพวกนี้ดู มันรสอร่อย ไม่มีกลิ่น แล้วเป็นประโยชน์ คนญี่ปุ่นใช้กินกับข้าว ดีมากครับ เด็กก็กินได้ ผู้ใหญ่ก็กินได้”
ยายศรก้มลงมองใกล้ๆ “มันอะไรกันมั่ง..นี่มันคือ..ผลไม้อะไร…”
อังศุมาลินเห็นแล้วกลืนน้ำลายเอื้อก
“ลูกบ๊วยค่ะ...น่ากินมากเลย...ขอลองกินหน่อยนะคะ”
อังศุมาลินกลืนน้ำลายที่พุ่งปรี๊ดจนปวดแก้ม
โกโบริยิ้มกว้างแก้มแทบแตก ด้วยความดีใจ รีบเอาตะเกียบคีบ วางลงบนจานเมียรัก อังศุมาลินตักกินทันที รีบเคี้ยวอย่างมีความสุข
ทุกคนมองดูด้วยความดีใจ
คราวนี้อังศุมาลินเอามือหยิบอีกลูก ใส่ปากต่อเนื่อง
“ตักข้าวด้วยสิ ต้องกินกับข้าวนะ” โกโบริยิ้มบอก
อังศุมาลินส่ายหัว ทำหน้าขี้โกง ทะเล้น หยิบอีกเม็ดใส่ปากเฉย “ไม่เอา จะกินบ๊วยเปล่าๆ”
โกโบริหันมาฟ้องฉอดๆ หาแนวร่วมสุดฤทธิ์ “คุณแม่ คุณยาย ดูสิ อังศุมาลินขี้โกง..ไม่ยอมกินข้าว”
แม่อร กะยายศรทำหน้าระอา ขำสองผัวเมีย
อังศุมาลินทำหน้าอย่างผู้มีชัย ถือถ้วยนั้นมาเป็นของตนคนเดียว หยิบกินจริงจัง
โกโบริทำหน้าโมโห ฉุน แต่ทุกคนขำเพราะท่าทีตลกแลดูน่าขัน
ไม่นานต่อมา แลเห็นน้ำคลองไหลแรง สะอาดดี โกโบริใส่กางเกงขาสั้น กำลังเอาถังตักน้ำจากคลองขึ้นมา 2 ถัง โกโบริเอาคานสอดหูถังทั้งสอง แล้วเอาขึ้นบ่าหาบไป
แม่อรกะ ยายศร เดินผ่านมา มองๆ โกโบริหันมา ยิ้มแฉ่ง หาบน้ำขึ้นไปทางบ้าน
พอขึ้นมาบนบ้าน โกโบริเอาถังน้ำ เทลงตุ่มใหม่นอกชาน
แม่อร กะยายศร ตามมาย่องๆ โผล่ดู
“นี่ไปเอาตุ่มมาจากไหนพ่อ” ยายถาม
“มันคว่ำทิ้งอยู่ทางโน้นน่ะครับ” โกโบริชี้ไปทางหนึ่ง
“ตุ่มเก่าโบราณ ไม่รั่วนะพ่อคุณ” ยายถาม
“ดูดีแล้วครับ ไม่รั่วครับ”
แม่อรกับยายศรเดินกลับลงจากบ้านไป
“บ้านเรามันไม่มีห้องน้ำดีๆ”
ส่วนโกโบริยังคงพากเพียรตักน้ำต่อ โกโบริหาบน้ำขึ้นบันได ถึงตุ่มที่ตั้งอยู่ชานบ้าน โกโบริเทน้ำลงตุ่มตูมๆๆ
พอน้ำเต็ม โกโบริเอาสารส้มมากวนๆๆๆ จนน้ำใสขึ้น โกโบริดู ยิ้มอย่างพอใจ
เวลาต่อมาโกโบริเปลือยท่อนบน ไม่ใส่เสื้อ เขียนแบบเก้าอี้ม้านั่งแบบง่ายๆ ลงในกระดาษ ด้วยมือเป็นแบบที่ไม่ต้องใช้เครื่องมืออะไรมาก
อังศุมาลินเดินมา เมียงๆ มองๆ ท่าทีสงสัย ว่าเขาทำอะไรของเขา แล้วเดินจากไป
ไม่นานต่อมา โกโบริเอาไม้กระดาน เป็นไม้ท่อนๆ ขนาดต่างๆ หามาได้จากใต้ถุนบ้าน เอามาเทียบขนาด แล้วเอาดินสอขีดๆ
จากนั้นโกโบริเลื่อยไม้ต่างๆ ให้ได้ขนาดตามแบบ พอเสร็จโกโบริเอากระดาษทรายขัดๆ ถูๆ ลูบไม้ ว่าเนียนไร้เสี้ยน
โกโบริลงมือตอกตะปู ประกบเป็นเก้าอี้ม้านั่ง
ตกตอนเย็น ต้นไม้หน้าบ้านออกผลงดงาม ลำคลองยามเย็น เห็นเด็กๆ วิ่งมากระโดดน้ำตูมๆๆ
อังศุมาลินใส่กระโจมอก ในมือถือผ้าผลัด และมีผ้าเช็ดตัวคลุมไหล่ อีกมือถือขันใส่อุปกรณ์อาบน้ำ เดินออกจากห้องมา
โกโบริอยู่ในชุดกางเกงขาสั้นตัวเดียว ไม่สวมเสื้อ นอนพังพาบ เล่นบางอย่างอยู่ตรงมุมห้อง เอาอะไรโปรยๆ ลงในโหลแก้วขอบสูงทรงกระบอก
อังศุมาลินสงสัย เดินมาชะโงกดู
เห็นในโหลแก้วทรงกระบอก มีน้ำครึ่งหนึ่ง ในนั้น มีปลาเล็กๆ ที่จับมาจากในคลอง เป็นปลาเข็ม ประมาณ 4-5 ตัว
โกโบริเอาข้าวสุกเล็กๆ ให้ปลากิน
“ทำอะไรน่ะ”
โกโบริยิ้มแฉ่งลุกมานั่ง พูดอวด “ให้อาหารปลา”
อังศุมาลินฟังแล้วขำ “เลี้ยงปลา”
“ใช่แล้ว เลี้ยงปลา”
อังศุมาลินนั่งคุกเข่าลง จำได้ “ตายล่ะ นี่ไปเอาโหลทำมะม่วงดองมาเล่นเหรอ แล้วนี่มันปลาในคลอง จับมาทำไม”
“เอามาเป็นสัตว์เลี้ยงของเรา”
“อยากเลี้ยงปลาหรือคะ ไว้ฉันจะไปซื้อปลาทองมาให้ ปลาทอง ปลาทอง น่ะ” ตอนท้ายอังศุมาลินพูด ปลาทอง เป็นคำญี่ปุ่น
“อย่าเลย ไม่ต้องปลาทองหรอก เอาปลาธรรมดานี่แหละ ปลานี้ก็น่ารักดี”
“ที่บ้าน..คุณคงเลี้ยงปลาล่ะสิ” อังศุมาลินถาม
“ครับ..เรามีปลาทอง...ปลาทองในสวนหลังบ้าน ผมเป็นคนทำหน้าที่ให้อาหาร แต่เวลานี้..ไม่รู้ว่าใครดูแล” โกโบริหันมายิ้มให้ตาเป็นประกาย “ตอนเด็กๆ ผมมีปลาของผมเองเยอะแยะ ผมตั้งชื่อให้มันด้วย”
“ตอนเด็กๆ..ชั้นก็ชอบจับกุ้งตัวเล็กๆ ปลาเข็ม ปลากระดี่ มาเลี้ยงเหมือนกัน แต่คุณยายให้เอาไปเทลงคลองตามเดิม ระวังเถอะ เดี๋ยวคุณยายมาเห็น ต้องดุว่าบาป แล้วให้คุณไปเททิ้ง”
“เด็กๆ ชอบเลี้ยงสัตว์ทุกคน...ถ้าลูกเราชอบเลี้ยงอะไร ผมจะให้เขาเลี้ยง ไม่ว่าแมว..หรือหมา”
อังศุมาลินรีบบอก “แต่ชั้นแพ้ขนแมวนะ”
“แพ้..แพ้..ชนะ นี่เหรอ” โกโบริงง
“แพ้..คือ..จะจาม คันจมูก..ไม่สบาย น้ำมูกไหล เหมือนเป็นหวัด”
“อ๋อ..งั้น..ลูกเราก็ไม่เลี้ยงแมว..แต่ลูกเราจะเลี้ยงสัตว์ที่ไม่มีขน...เช่น...งูตัวเล็กๆ หรือเต่า”
ฟังชื่อสัตว์เลี้ยงแต่ละอย่างอังศุมาลินนึกสยอง “อื๊ย ไม่เอานะ ลูกจะไม่เลี้ยงอะไรที่มันแปลกประหลาด”
“เต่ากับงู...แปลกประหลาดตรงไหน”
“ไม่รู้ล่ะ ลูกจะไม่เลี้ยงเต่า หรืองู” อังศุมาลินบอกเด็ดขาด วางอำนาจมาก
“โห...จะเลี้ยงอะไรๆ ก็ไม่ได้ แบบนี้ลูกต้องเสียใจมากๆ แน่ๆ”
อังศุมาลินทำหน้าหมั่นไส้ เดินหนีบ่นงุบงิบ “สงสัย ว่าคนที่อยากเลี้ยงคือลูกหรือพ่อกันแน่”
โกโบริหัวเราะชอบใจ เดินตาม “จะไปอาบน้ำหรือครับ
“ใช่...”
“มา..งั้นมาทางนี้เลย” โกโบริฉวยขันน้ำใส่อุปกรณ์อาบน้ำจากมืออังศุมาลินเดินนำไป อังศุมาลินตามแบบงงๆ
โกโบริเดินนำมา ที่นอกชานบ้าน บริเวณตุ่มน้ำที่ลงทุนหาบขึ้นมาจนเต็ม แถมกวนสารส้มใสแหนว และเอาเก้าอี้ม้านั่งไม้ ที่ทำเองกับมือมาวางลงหน้าตุ่ม
อังศุมาลินตามมา ยืนงง
“คุณไม่ควรขึ้นๆ ลงๆ บันไดนั้น ไปอาบน้ำที่ท่าน้ำอีกแล้วนะ”
อังศุมาลินชะงัก “อะไรนะ”
“บันไดบ้านนี้ หรือบันไดท่าน้ำ หรือพื้นกระดานท่าน้ำ..เวลาเท้าเปียก ตัวเปียก หรือรองเท้าลื่นๆ มันอันตราย”
อังศุมาลินท้วง “แต่ว่า...”
โกโบริสวนออกมา “ไม่มีแต่…”
“ชั้นเดินขึ้นๆ ลงๆ ที่นี่ แล้วก็อาบน้ำในคลองมาตั้งแต่จำความได้จนเดี๋ยวนี้”
“แต่ตอนนี้..คุณต้องเปลี่ยนความเคยชินบางอย่างไปบ้าง”
“คุณนี่...ยุ่ง…”
“นั่งลง...”
“ยืนอาบก็ได้” อังศุมาลินดื้อ
“นั่งดีกว่า เก้าอี้นี่แข็งแรงมาก” โกโบริตบโชว์ และกดน้ำหนักให้ดู “คุณจะได้ไม่ลำบาก..เวลาที่..ตัวโตกว่านี้..นั่งลง ขอร้องล่ะ”
อังศุมาลินถอนใจ นั่งแบบจำยอม โกโบริรับผ้าต่างๆ มาแขวนข้างๆ แล้วก็เอาขันตักน้ำขึ้นมา
“เอามือมา ล้างมือก่อน”
อังศุมาลินงงๆ แต่ก็ยอมยื่นมือออกไป
โกโบริเทน้ำใส่มือพลางอธิบาย “ล้างมือให้สะอาด...แล้วเอาน้ำลูบหน้า ให้ร่างกายค่อยๆ ปรับตัว...กับความเย็นของน้ำ
อังศุมาลินมองแล้วรู้สึกขำๆ แต่ก็ทำตาม
โกโบริหน้าตาจริงจัง ตักน้ำราดตัวอังศุมาลินช้าๆ ย่างตั้งใจ ที่ไหล ที่หลัง ที่ตัว เบาๆ
ทีแรกอังศุมาลินมองๆ โกโบริแบบมีคำถาม ประหลาดใจ โกโบริก็ยังทำต่อไป แบบบรรจง ประณีต พิถีพิถัน
แววตาอังศุมาลินอ่อนโยนลง รู้สึกซึ้งใจ
พอราดทั่วตัวโกโบริหยิบสบู่มาให้ อังศุมาลินรับไป ฟอกมือ ฟอกแขน หันไปมองหน้า โกโบริยิ้มแป้นแล้นให้
อังศุมาลินชี้ว่าให้ไปได้แล้ว ไล่ๆ โกโบริทำหน้าเข้าใจๆ วางขันให้หยิบสะดวก แล้วเดินไพล่หลัง เดินชมนกชมไม้บนชานเรือนนั่นเอง
อังศุมาลินขำๆ ถูสบู่ตัวเองต่อไปแววตาเปี่ยมสุข
คู่กรรม ตอนที่ 19 (ต่อ)
บ้านอังศุมาลินตกอยู่ในความมืด แสงสว่างจะตะเกียงเรื่อเรืองบนเสามุมประจำ เสียงขิมดังกังวานขึ้น เป็นเพลงลาวเสี่ยงเทียนด้วยอารมณ์ค่อนข้างหวานร่าเริง
ยายศรนั่งตำหมากเบาๆ มองดู หลานสาวตีขิมยิ้มๆ ส่วนแม่อรนั่งพับผ้า มองดู อย่างสุขใจ
อีกด้านหนึ่ง อังศุมาลินนั่งเล่นขิม มีความสุข มีโกโบรินอนหนุนหมอนเหลี่ยม พลางโบกพัดใบลาน พัดให้อังศุมาลินเบาๆ ไปมาตลอดๆ
อังศุมาลินก้มหน้าก้มตา ตีเพลงไป โกโบริตะแคงมอง ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ แสนสุขใจ
มองจากภายนอก เห็นบ้านเรือนทรงไทยที่มีแสงสาดส่องออกมา อบอุ่นด้วยเสียงเพลงดังอ่อนหวานคลุมบรรยากาศ พระจันทร์บนฟ้ากลมโต
อีกฟากหนึ่งแสงเทียนริบหรี่ หน้าพระประธาน เทียนน้อยวูบไหวไปตามแรงลม
พวกวนัสอยู่บนพื้นกลางโบสถ์ผุพังหลังนั้น ในแสงอันน้อยนิด 3 คนนั่งกินอาหารกระป๋องกัน มีกระติกน้ำ ใส่น้ำกินวางไว้ข้างๆ ทุกคน มีปืนประจำกาย เตรียมพร้อมตลอดเวลา
พอทานอิ่มท่านชายวิชญาวาดแผนที่ด้วยมือ บนพื้นสกปรก
“เวลานี้ เราอยู่ทางใกล้เมืองนครสวรรค์แล้ว.. ผมคิดว่า..เราต้องมุ่งสู่ปากน้ำโพให้เร็วที่สุด เพื่อเข้าพระนครทางเรือจะดีที่สุด”
“ฝ่าบาทคิดว่าทางเรือปลอดภัยหรือ” วนัสท้วง
“ไอ้ที่จะปลอดภัยหรือไม่นั้น...บอกได้เลย ไม่มีทางไหนปลอดภัยอีกแล้ว” อรุณออกความเห็น
“ใช่..ป่านนี้ทหารญี่ปุ่นพวกนั้นคงตามล่าพวกเราแบบปูพรมแล้ว” ท่านชายคาดการณ์
“มีทางเดียว..เราต้องทำตัวเราให้กลมกลืนกับชาวบ้านให้มากที่สุด” วนัสว่า
“เป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะทำตัวกลมกลืน หากเรายังงมโข่งอยู่ตามหมู่บ้านชนบทแบบนี้” ท่านชายวิชญาปรารภอย่างกังวล
อรุณเห็นด้วย “จริง..เพราะชาวบ้านหมู่บ้านเล็กๆ เขารู้จักกันหมด ใครแปลกหน้ามา เป็นรู้ทันที”
“แต่รอบๆ นี้มันมีแต่ป่ากับทุ่งนาเท่านั้น” วนัสบอก
“งั้น..รีบนอน ..ซัก 2 ชั่วโมง แล้วเดินไปให้ถึงในเมืองก่อนเช้าทั้งๆ มืดๆ ภายในคืนนี้นี่แหละ ไม่งั้น...เราหนีมันไม่พ้นแน่” ท่านชาญสรุป
“จากนั้น ค่อยคิดกัน ว่าไปพระนครทางไหนดี อย่าปักใจแค่จะไปด้วยทางเรืออย่างเดียว”
วนัสว่าพลางดื่มน้ำจากกระติก ดวงตามุ่งมั่น
ในความมืดของวัดร้างแห่งนั้น พระจันทร์ภายนอก ส่องสว่างกลมโต
วนัสนอนข้างหน้าต่างโบสถ์ มองออกไปนอกหน้าต่างพังๆ อรุณหลับอยู่อีกทางหนึ่ง
วนัสมองพระจันทร์ รำพึงเบาๆ
“เดือนเดินแดนดินนิลพราย เดือนฉายเวหาสน์ปราศนิล”
ท่านชายวิชญาได้ยินไม่ถนัด “อะไร..วนัส ละเมอหรือ”
“เปล่า กระหม่อม มองเห็นพระจันทร์ ทำให้คิดถึง...คนที่กระหม่อมจะรีบไปหา ถ้าเขารู้ ว่าอีกไม่นานเราจะได้พบกัน เขาคงตื่นเต้นดีใจ”
“นั่นสินะ..ที่บ้านฉัน ก็ไม่มีใครรู้เลย ถ้าจู่ๆโผล่ไป..คงเซอร์ไพร้ส์กันพิลึก”
“นั่นสิ ฝ่าบาท อังศุมาลิน...ต้องเซอร์ไพรส์มากๆ เลยล่ะ”
รุ่งเช้าโกโบริกำลังแต่งเครื่องแบบอยู่ด้านหนึ่ของห้อง ส่วนอังศุมาลินกำลังพับผ้าเก็บใส่ตู้
“เอ๊ะ..หายไปไหน”
อังศุมาลินเปิดหา ช่องนั้น ช่องนี้
โกโบริสนใจ ส่งเสียงถามมา “หาอะไรหรือครับ”
“ผ้าเช็ดหน้า...” อังศุมาลินหันมาทางโกโบริ “ผืนนั้นน่ะค่ะ”
“ผืนนั้น..อ๋อ...” โกโบริเดินออกไปจากห้อง
อังศุมาลินมองตามไปงงๆ แล้วก็หันมาสนใจการจัดตู้ต่อ สักพัก ขณะกำลังก้มๆ อยู่ มือโกโบริที่ถือผ้าเช็ดหน้าผืนที่โกโบริซื้อให้ ยื่นมาตรงหน้า
อังศุมาลินสะดุ้งนิดๆ หันมา
“อ่ะ..นี่ไง”
“อ้าว..ไปเจอที่ไหน”
“เห็นคุณแม่รีดอยู่เมื่อวาน เลยไปหาที่ตะกร้าผ้าที่รีดแล้ว”
อังศุมาลินมองอย่างฉงน “คุณนี่..เป็นคน...ตาไว...ช่างสังเกตจังนะคะ”
“ขอบคุณครับ”
โกโบริลุกไป แต่งตัวต่อ อังศุมาลินจัดของเสร็จ ลุกขึ้น เดินออกจากห้องไป
โกโบริแต่งตัวเสร็จ กลับหาของบางอย่างไม่เจอ หมุนหาตัวรอบๆ ไม่มี จึงเดินหา เปิดตู้ ค้น ก้ม เปิดลิ้นชัก
อังศุมาลิน กำลังกวาดบ้านแถวๆยกพื้น หน้าห้องนอน
โกโบริเดินมา เมียงมอง ท่าทีเกรงใจ อังศุมาลินมองงงๆ
โกโบริยิ้มแหยๆ เดินมาหา ลูบท้ายทอยเขินๆ “เอ่อ...คือ...ถุงเท้าผมอยู่ไหน”
อังศุมาลินมองอย่างงวยงง “ก็อยู่ที่ที่มันอยู่ตลอดเวลานั่นล่ะค่ะ”
“ที่ไหน..ผมหาดีแล้วนะ”
อังศุมาลินทำหน้าอนาถ แล้วเดินไปที่ห้อง โกโบริตามไป อังศุมาลินเดินมาหยุดที่มุมหนึ่ง ตรงนั้น มีกล่องไม้ใหญ่กล่องหนึ่ง อังศุมาลินนั่งลง เปิดกล่องนั้นออก ในนั้น คือถุงเท้าหลายคู่ของโกโบริ
โกโบริยืนดู ทำหน้าเอ๋อ
“อ้อ..จริงด้วย”
อังศุมาลินส่ายหน้า ขำๆ พลางหยิบถุงเท้าขึ้นมาส่งให้คู่หนึ่ง “ทีของๆ คนอื่นล่ะ รู้ดีนัก...แต่ของๆตัวเอง..หารู้ไม่” ทำหน้าเซ็งหยามนิดๆ
“ก็..ผมรู้แต่ของๆ คนที่ผมสนใจนี่นะ”
อังศุมาลินทำหน้าหมั่นไส้ โกโบริทำหน้าทะเล้น นั่งลงใส่ถุงเท้าที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงาน
อังศุมาลินส่ายหัว แล้วเดินออกไปกวาดบ้านต่อ โกโบริมองตาม ตาละห้อย เหมือนหมาน้อยมองตามเจ้าของ
อังศุมาลินกวาดผ่านหน้าห้อง มองเข้ามา โกโบริยิ้มให้
อังศุมาลินทำหน้าเมินใส่แล้วหันไปกวาดทางอื่น โกโบริหัวเราะขำ ยิ้มสุขใจ
ตอนสาย วนัส ท่านชายวิชญา และ อรุณ อยู่ใต้ต้นไม้นั้นกลางทุ่งนาแห่งหนึ่ง 3 เสรีไทย ช่วยกันขุดหลุมขนาดใหญ่ กันจนเสร็จ ทุกคนเหนื่อยหอบตามๆ กัน
“เอาของทุกอย่าง..ทั้งหมดเลยนะ ฝากไว้ที่นี่ก่อน หากถูกจับได้พร้อมของพวกนี้ ก็จบกัน” ท่านชายบอก
จากนั้นทุกคน เอาของพวกชุดทหาร วิทยุ และอุปกรณ์ทุกอย่าง ห่อด้วยผ้า แล้ววางลงไป
“แล้ว...ปืน” วนัสถาม
“ก็ต้องฝังด้วย” ท่านชายวิชญาบอกอีก
“แล้วถ้าเรา..ไปเจอพวกศัตรู” วนัสท้วง
“ก็ต้องไม่มีของพวกนี้ในตัว ไม่งั้น ก็จบ” ท่านชายว่า
“เราต้องเป็นชาวบ้านธรรมดาจริงๆ ให้ได้สิ วนัส ชาวบ้านธรรมดา ไม่มีใครจับไปทำอะไรหรอก” อรุณบอก
“หวังว่า...เราคงมีโอกาส กลับมาที่ต้นไม้ต้นนี้...มาขุดเอาของพวกนี้คืน..ให้เร็วที่สุด”
วนัสอึ้งนิดๆ ทิ้งปืนลงไป ทุกคนช่วยกันกลบหลุม
ไม่นานหลังจากนั้น ที่บริเวณหน้ากระท่อมหลังหนึ่ง เห็นชาวบ้าน ผัว-เมีย นับเงินในมือ แล้วมองหน้ากัน อย่างตื่นเต้น สักพัก จึงเห็นทั้งสามคนเดินออกมาจากกระท่อม แต่งตัวเป็นชาวบ้านและสภาพซอมซ่อมากกว่าเดิมขึ้นไปอีก มีผ้าขาวม้าคาดเอว สวมหมวกใส่ทำงาน ใส่รองเท้าแตะเก่าๆ ขาดๆ
สองผัวเมียไหว้ปลกๆ
“อย่าลืมนะครับ..ถ้าเรื่องนี้..มีคนอื่นรู้..พวกคุณก็จะมีโทษเหมือนกัน” วนัสกำชับ
สองผัวเมียพยักหน้า ท่าทีเลิกลักๆ เหลียวมองซ้ายขวา
จากนั้นฝ่ายผัวไปจูงจักรยานเก่าๆ 2 คันมาให้
สามคน เอาจักรยานนั้นมา คันหนึ่ง วนัสให้ท่านชาย ท่านชายพยัก ขอบใจ แล้วขี่นำไป
ส่วนอีกคัน วนัสขี่ แล้วให้อรุณซ้อนท้าย
จักรยาน 2 คัน ของ 3 คน แล่นไปตามทางดินแคบๆ ถีบผ่านทุ่งนาไป วนัสหน้าตามุ่งมั่น
อีกสักพักก็มาถึงตรงบริเวณสามแพร่งเข้าหมู่บ้าน ซึ่งเริ่มมีคนเดินพลุกพล่าน บ้างขี่จักรยาน บางคนจูงวัวควาย เด็กวิ่งเล่น หญิงชาวบ้านบางคนถือตะกร้าไปตลาด
จักรยานทั้ง 2 เข้ามาจอด มองหน้ากัน แล้วตัดสินใจ ขี่ปะปนเข้าไป เบื้องแรกผู้คนพวกนั้นเมียงมองนิดๆ แล้วไม่มีใครสนใจ ต่างร่วมทาง สวนทางกันไป
ทั้งสามขี่จักรยาน 2 คัน เข้าไปในหมู่บ้าน ผ่านชาวบ้าน แต่คนมองแค่หน่อยๆ ตามปกติ ไม่ได้จับตามองมากมาย
ทั้งสามสบตากัน ท่าทีสบายอกสบายใจขึ้น
วนัสดูฮึกเหิม เปี่ยมพลังใจ
ขณะเดียวกันพระฉันเพลเสร็จแล้ว บรรดาลูกศิษย์วัดกำลังเอาปิ่นโตที่ล้างแล้วมาคืนอังศุมาลินที่ยืนรออยู่
“หนูล้างให้แล้วนะครับ พี่ สะอาดแล้วครับ”
“ขอบใจนะจ๊ะ”
พอดีหลวงพ่อเดินมาอีกด้านหนึ่ง พร้อมขวดน้ำมนตร์
“อ่ะ อังศุมาลิน นี่แหละๆ ของดีๆ โทษที ที่ต้องให้มารับเอง พ่อจะติดไปตอนเช้าเวลาบิณฑบาตรหลายวันแล้ว ตั้งแต่คุณยายแกบอกข่าว...แต่ลืมทุกที”
อังศุมาลินทรุดตัวนั่งย่อลงไป ไหว้ แล้วรับขวดมา “ขอบพระคุณค่ะ หลวงพ่อ”
“นี่ล่ะ เอาไปดื่มนะ ไม่มีเชื้อโรคหรอก ก่อนจะปลุกเสก หลวงพ่อต้มแล้ว”
อังศุมาลินยิ้มๆ “ค่ะ”
“รับรอง ว่าน้ำมนตร์คาถาองคุลีมาลนี่ มีพุทธคุณ...ทำให้คลอดง่าย เด็กแข็งแรงดี รักษาตัวให้ดี ขอให้มีความสุขความเจริญนะ”
อังศุมาลินไหว้ หลวงพ่อเดินจากไป อังศุมาลินเอาขวดน้ำมนตร์ใส่ตะกร้า อีกมือ ถือเถาปิ่นโต พอเดินมาจะผ่านหน้าโบสถ์ ก็ชะงัก
เมื่อเห็นแม่วัน เมียกำนัน เดินออกมาพอดี ต่างคน ต่างอึ้ง อังศุมาลินไหว้ แม่วันยิ้มทักทาย
“หนูอัง...ไม่เจอเลย ป้าไม่เห็นคุณแม่คุณยายหลายวันแล้ว หมู่นี้ยุ่งๆ หรือ”
“ก็...ค่ะ”
“หนูดูผอมๆ ซีดๆ ไปหรือเปล่า ไม่สบายหรือเปล่า” แม่วันถาม ยังไม่รู้เรื่องอังศุมาลินท้อง
“เปล่าค่ะ” อังศุมาลินปฏิเสธ
“เฮ้อ..หนูเอากับข้าวมาเพลหรือ..ป้ามาไหว้พระ..สวดมนตร์..ใจคอมันยังไงก็ไม่รู้ หมู่นี้ ฝันร้ายทุกคืน”
อังศุมาลินซีดลงไปอีก “คุณป้า...คงห่วงวนัสมากสินะคะ”
“ตั้งแต่ได้อ่านจดหมาย..ก็ยิ่ง..ใจคอหายๆวาบๆ ไม่ปกติเลย ยิ่งรู้ว่าลูกอยู่ใกล้ ยิ่งห่วงหนักเข้าไปอีก..กลัวว่า..จะเกิดอะไรไม่ดี..โอย..ไม่เอาล่ะ ไม่อยากจะคิด เออ..นี่...” แม่วันควักที่อก แล้วอยู่ๆ ก็หยิบจดหมายฉบับเดิมนั้นออกมา
อังศุมาลินเห็นชะงัก
“ป้าพกไว้กับตัว ตลอดเวลา เวลาอยู่คนเดียว..ก็ต้องหยิบออกมาอ่าน...จดหมายที่วนัสเขียนถึงหนู...”
อังศุมาลินมองๆ แล้วยิ่งซีด เหมือนจะเป็นลม รีบวางของลง แล้วทรุดนั่ง
แม่วันตกใจ “หนู...เป็นอะไรหรือเปล่า”
“หนู..หน้ามืดไปน่ะค่ะ”
แม่วันจับมือ “มือเย็นเจี๊ยบเลย ไม่สบายหรือเปล่า ไหวไหม นั่งพักเดี๋ยว.. เดี๋ยวป้าไปส่ง”
ไม่นานต่อมาแม่วันพาอังศุมาลินมาส่งที่เรือน แม่อรบ่นอุบ
“ไปเป็นลมที่วัดจนได้ แม่บอกก็ไม่เชื่อ ว่าไม่ให้ไป”
“หนูอยากไปทำบุญเองจริงๆ...หนูอยู่แต่ที่บ้านมาหลายวันแล้ว อยากไปไหนมาไหนบ้าง” อังศุมาลินโอด
“หนูอังเป็นอะไรหรือเปล่า” แม่วันถามด้วยความเป็นห่วง
ยายศรกะแม่อรเหลียว มองหน้ากัน
อังศุมาลินรีบกลบเกลื่อน “หนูไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ พอดีวันนี้แดดแรงมาก หนูก็เลยเป็นลมแดดเท่านั้นเอง”
แม่วันลูบผมอย่างเอ็นดูรักใคร่ “หนูยังไม่ได้กินข้าวกระมังนี่..จริงด้วย นี่ก็เลยเพลไปโขแล้ว ชั้นรีบกลับบ้านก่อนล่ะ ตานุ่มคงรอกินข้าวกลางวันแล้ว กินข้าวเยอะๆนะ หนูอัง..ผอมลงๆ..เฮ้อ..ป้าไปก่อนล่ะ” แม่วันหันไปไหว้ลายาย “ไปล่ะค่ะ คุณยาย แม่อร..ฉันไปนะ” แล้วรีบลุกเดินออกไป
แม่อรตามไปส่ง อังศุมาลินมองไป สะดุ้งนิดๆ เมื่อเห็นว่าตรงที่แม่วันนั่ง มีจม.วนัสตกอยู่
ยายศรมัวแต่หันไปชะเง้อ มองส่งแม่วัน อังศุมาลินรีบรวบจม.นั้น เอามาเก็บไว้ชายพก หน้าตาสับสนว้าวุ่นใจสุด
คืนนั้นอังศุมาลินนอนหงายมองเพดาน คิดหนัก โกโบริหลับอยู่ข้างหนึ่ง อังศุมาลินมองมาทางโกโบริ แววตาเศร้า
โกโบรินอนไม่สวมเสื้อ หลับสนิท เหมือนเด็ก ขดตัว ผ้าห่มหลุดไปอยู่ปลายเท้า
อังศุมาลินมองรู้สึกสงสาร ในที่สุดจึงลุกขึ้น แล้วคลี่ผ้าห่มออก คลุมตัวให้โกโบริ แต่อยู่ๆ โกโบริลืมตาขึ้นมา ตาแป๋ว
“อ้าว..ฉันเลยทำคุณตื่นเลย”
“ขอบคุณครับ”
อังศุมาลินฉงน “ขอบคุณเรื่องอะไรคะ”
“ขอบคุณ..ที่คอยห่มผ้าให้”
“ไม่ได้คอย..ซะหน่อย”
โกโบริอมยิ้ม
อังศุมาลินนอนหันหลังให้ ค่อยๆ ปิดตาลง
โกโบริขยับมากอดไว้
อังศุมาลินทำตัวแข็งทื่อ
“คุณนอนไม่หลับหรือ”
“เปล่า”
“ดี..คุณต้องนอนมากๆ นะ” โกโบริเอื้อมมือมากอดอังศุมาลินไว้อีกแล้วหลับต่อ
อังศุมาลินอึ้ง แล้วก็ค่อยผ่อนคลาย ในที่สุด ก็หลับลง
เวลาล่วงเลยไปทั้งสองพลิกตัวเปลี่ยนท่ากันไปมา
จนกลายเป็นว่าอังศุมาลินพลิกมานอนหนุนแขนโกโบริ หลับซุกที่อกโกโบริ จนฟ้าสาง ยินเสียงไก่ขันแว่วมา
โปรดติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 20