คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 14
ภูวนัยกับอภิวัฒน์รีบวิ่งมาที่หน้าห้องของสมสุข โดยมีตำรวจนอกเครื่องแบบเดินตามมา สองคนมองเข้าไปในห้องแล้วก็เห็นตำรวจนอกเครื่องแบบนายหนึ่งนอนคว่ำหน้าสลบอยู่กลางห้อง ภูวนัยหันไปถามตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้น
“ตามรถพยาบาลหรือยัง”
“กำลังมาครับหมวด”
“เห็นหรือเปล่าว่าไอ้สมสุขมันไปทางไหน” ตำรวจส่ายหน้า
“ผมรู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่ในห้องแล้วครับ”
“ผมว่ามันยังอยู่ในตึกนี้แหละ” ภูวนัยมองอย่างแปลกใจว่าอภิวัฒน์รู้ได้ยังไง “ผมให้ตำรวจเฝ้าทางเข้าออกทุกประตูเอาไว้แล้ว ถ้ามันออกไป ต้องมีคนรายงานผม”
“ถ้าอย่างนั้นเรารีบตามหามันดีกว่าครับ”
ทั้งหมดรีบวิ่งออกไป เหลือเพียงตำรวจนอกเครื่องแบบนายนั่นนอนสลบอยู่ภายในห้อง
ด้านไผ่พญาเดินเข้ามาที่ล้อบบี้เห็นตำรวจนอกเครื่องแบบยืนอยู่
“ขึ้นไปหาหมวดภูคะ”
“เชิญครับ”
ตำรวจคนที่ยืนเฝ้าอยู่พยักหน้าให้ไผ่พญาเพราะเคยเห็นหน้าไผ่พญามาก่อน ไผ่พญาได้แต่ยิ้มแหย แล้วเดินเข้ามากดลิฟต์ ไผ่พญามองลิฟต์อย่างใจจดใจจ่อ
“เร็วซิ จะราดแล้วนะ”
ลิฟต์มาถึง ประตูลิฟต์เปิดออกไผ่พญารีบก้าวเข้าไป พอลิฟต์ปิด ตำรวจคนนั้นก็ได้ยินเสียงวิทยุสื่อสารดังขึ้น
“ข้างล่างได้ยินมั้ย”
ตำรวจ รีบหยิบวิทยุขึ้นตอบ
“ครับผม”
ภูวนัย อภิวัฒน์ และตำรวจนอกเครื่องแบบอีกคนยืนอยู่หน้าประตูบันไดหนีไฟ
“สมสุขลงไปข้างหรือเปล่า”
“ไม่ครับ”
“เกิดเหตุคนร้ายหลบหนี ห้ามใครใช้ทางเข้าออกทุกทาง ถ้าเห็นให้จับกุมได้ทันที” ภูวนัยสั่งการเสร็จก็หันไปคุยกับอภิวัฒน์ “เซฟเฮาส์ที่นี่เข้าออกได้ข้างล่างอย่างเดียวใช่มั้ยครับ” อภิวัฒน์พยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นผมว่ามันต้องใช้บันไดหนีไฟนี่แหละ” ภูวนัยหันไปบอกกับตำรวจนอกเครื่องแบบ “นายขึ้นไปข้างบน”
ภูวนัยกับอภิวัฒน์รีบวิ่งเข้าประตูหนีไฟ แยกย้ายกันตามหาสมสุขทันที
ภายในห้อง ตำรวจนอกเครื่องแบบคนที่นอนคว่ำหน้าอยู่ค่อยๆ ขยับตัว พอตำรวจคนนั้นลุกขึ้นแล้วหันหน้ามาจึงเห็นว่าเป็นสมสุขนั่นเอง สมสุขยิ้มเจ้าเล่ห์ชอบใจที่หลอกภูวนัยกับอภิวัฒน์ได้ สมสุขเดินไปหลังโซฟาจึงเห็นตำรวจนอกเครื่องแบบคนที่สมสุขทำให้สลบนอนเปลือยเปล่าอยู่ เพราะสมสุขเอาเสื้อผ้ามาใส่ สมสุขเดินไปหยิบการ์ดเข้าในกระเป๋าที่อยู่ที่กางเกงของตำรวจคนนั้นก่อนจะยิ้มเจ้าเล่ห์
ลิฟต์มาถึง ประตูลิฟต์เปิดออก ไผ่พญาก้าวออกมาจากลิฟต์ แล้วตรงเข้าไปที่ห้องของอภิวัฒน์ทันที ขณะนั้นสมสุขกำลังใช้คอมพิวเตอร์ของอภิวัฒน์เพื่อดูข้อมูลที่เขาต้องการ
“ไหนๆ อยู่ไหน”
ไผ่พญาเดินมาตามทางเดิน จนมาถึงหน้าห้องของเซฟเฮาส์อภิวัฒน์
สมสุขกำลังคลิ๊กเข้าไปดูในแฟ้มภาพเพื่อหาคลิปวิดีโอของวศินที่วศินกลัวนักกลัวหนา สมสุขกำลังจะคลิ๊กดู แต่แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น สมสุขหันขวับไปทางหน้าห้องทันที ที่หน้าห้องไผ่พญากำลังเคาะประตูอยู่ ไผ่พญายืนกระมิดกระเมี้ยน
“เปิดซะทีซิ”
ไผ่พญาเคาะประตูอีก แล้วประตูก็ค่อยๆ เปิดออกตามแรงเคาะ ภายในห้องสมสุขยืนพิงผนังหลังประตูที่ไผ่พญากำลังเปิดเข้ามา
“ขอโทษคะ”
ไผ่พญาแปลกใจเมื่อไม่เห็นใครอยู่ในห้อง สมสุขยืนอยู่ด้านหลัง พอเห็นว่าเป็นหญิงสาวก็แปลกใจ
“เธอเป็นใคร”
ไผ่พญาได้ยินเสียงสมสุขก็หันขวับไปด้วยความตกใจ แต่แล้วไผ่พญาก็ยิ่งตกใจมากขึ้นเมื่อเห็นสมสุขยืนอยู่ตรงหน้าเช่นเดียวกับสมสุขเมื่อเห็นไผ่พญาก็ตกใจเช่นกัน
“กรี้ดดดด”
ภูวนัยกำลังวิ่งลงไปชั้นล่างในมือถือปืนคอยระวังสมสุขจะโผล่มา โดยมีอภิวัฒน์วิ่งตามมาด้านหลัง ระหว่างนั้นเหมือนภูวนัยนึกบางอย่างขึ้นมาได้
“ท่านครับ ทำไมสมสุขเพิ่งมาคิดหนีตอนนี้ครับ ในเมื่อสมสุขอยู่ที่นี่มาตั้งนาน ผมสงสัยว่าทำไมเพิ่งมาคิดหนีตอนนี้ครับ”
“อาจเป็นเพราะการตายของกำนันเต่า” ภูวนัยแปลกใจ “ในเมื่อกำนันเต่าตายไป ความแข็งแกร่งของกลุ่มห้าเสือก็ลดลง ฉันคิดว่าอาจจะใช้ข้ออ้างนี่กำจัดพายัพ ที่ไม่สามารถให้หลักประกันความปลอดภัยของพวกมันได้”
“แต่การจะกลับไปหาห้าเสือ ผมว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างต่อรอง”
“เช่นข้อมูลของพวกเรา”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นฉุกคิดขึ้นมาทันที ภูวนัยรีบวิ่งกลับขึ้นไปที่เซฟเฮาส์ของอภิวัฒน์ทันที
ที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ไผ่พญาวิ่งไปหลบหลังโซฟาขณะที่สมสุขพยายามวิ่งเข้าหา
“เสี่ยไม่ใช่ผี เสี่ยยังไม่ตายจริงๆ น้องไผ่”
“ฉันไม่เชื่อ แก...แกตายไปแล้ว”
“จริงๆ ไม่เชื่อลองฟังเสียงหัวใจเสี่ยดูซิ”
สมสุขจะปรี่เข้าหาไผ่พญา ไผ่พญาร้องกรี้ดลั่น
“ไม่...ไม่...อย่าเข้ามานะไอ้บ้า”
ไผ่พญาจะวิ่งไปที่ประตูที่เปิดเอาไว้ แต่สมสุขวิ่งปราดเข้ามาขวางเอาไว้ ไผ่พญาตกใจหน้าซีด เมื่อเห็นสมสุขยิ้มหื่นแล้วค่อยๆ เดินเข้ามา
“เรามาสานต่อจากเรื่องคืนนั้นมั้ย”
“ไม่” ไผ่พญาจะวิ่งหนีอีก แต่สมสุขก็จับมือเอาไว้ หมับ! “ปล่อย...ปล่อยฉัน”
ทันใดนั้นก็มีปืนเข้ามาจี้ที่ท้ายทอยของสมสุข
“ปล่อยเธอเดี๋ยวนี้”
สมสุขชะงักไป แล้วปล่อยมือไผ่พญา ไผ่พญาหันกลับมาแล้วก็เห็นภูวนัยยืนอยู่กับอภิวัฒน์
“ภู”
ไผ่พญารีบวิ่งเข้าไปหาภูวนัยทันที สร้างความแปลกใจให้กับสมสุข
“คุณไม่เป็นไรนะ” ไผ่พญาพยักหน้า มองสมสุขกลัวๆ
“หมวดรู้จักน้องไผ่ของผมได้ยังไง”
ภูวนัยกับอภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจไม่ต่างจากสมสุข ภูวนัยหันมองไผ่พญา
“คุณรู้จักเสี่ยสมสุขเหรอ”
“เอ่อ...”
“ทำไมจะไม่รู้จัก ผมเนี่ยลูกค้ากิตติมศักดิ์ที่ดิออร์แกนนะหมวด”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็มองไผ่พญาด้วยความสงสัย ไผ่พญารู้ว่าวันนี้ต้องมาถึงจึงมองหน้าภูวนัยแล้วตัดสินใจบอกความจริง
“ฉันไม่ได้เป็นครู...แต่ฉันเป็นโคโยตี้”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
ภูวนัยเดินก้าวฉับๆ มาที่ลานจอดรถ ไผ่พญาเดินตามมาด้านหลังมองภูวนัยด้วยความรู้สึกผิด
“ฉันขอโทษ” ภูวนัยชะงัก หยุดกึก “เรื่องที่ฉันกำลังจะบอกนายคือเรื่องนี้แหละ” ไผ่พญารอดูท่าทีของภูวนัยที่ไม่ยอมหันมาซะที ภูวนัยไม่พูดอะไรแล้วจะเดินต่อ ไผ่พญาเลยพูดขึ้นอีก “แต่ฉันไม่กล้า ฉันไม่กล้าบอกนาย”
“ขึ้นรถเถอะ”
ภูวนัยเดินไปที่รถโดยไม่หันมามองไผ่พญา ไผ่พญาเห็นความเย็นชาของภูวนัยก็ยิ่งทำให้เธอรู้สึกไม่ดี
ภายในห้องเซฟเฮาส์สมสุข ตำรวจนอกเครื่องแบบคนที่สมสุขเปลี่ยนเสื้อไป ได้เปลี่ยนกลับคืนแล้วพร้อมทั้งเช็คสภาพทุกอย่างโดยมีอภิวัฒน์ยืนอยู่ด้วย
“ไม่เป็นไรนะ” ตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้นพยักหน้า “งั้นไปพักผ่อนแล้วกัน เดี๋ยวทางนี้ฉันจัดการเอง”
“มันไม่อันตรายไปหน่อยเหรอครับ”
“สภาพอย่างนั้นคงทำอะไรผมไม่ได้หรอก”
สมสุขถูกจับใส่เสื้อผู้ป่วยโรคจิตที่ถูกพันธนาการแขนเอาไว้กับตัว แถมยังโดนจับมัดเอาไว้ที่กลางห้อง สมสุข
ยิ้มกวนตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้น
“โทษที่หนักมือไปหน่อยนะ”
อภิวัฒน์ตบไหล่ตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้น ตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้นชี้หน้าสมสุขก่อนจะเดินออกไป
อภิวัฒน์หันมาคุยกับสมสุข
“มีโอกาสแล้วทำไมไม่หนีละ”
“โธ่ท่าน ก็บอกแล้วไงว่าผมแค่อยากแสดงให้ดูว่าคนของท่านมัน อืม...เอาพูดแบบถนอมน้ำใจนะ ว่าคนของท่านต้องฝึกอีกเยอะ”
“แต่ฉันว่าที่นายไม่หนี เพราะนายยังไม่ได้สิ่งที่ต้องการมากกว่า”
“แล้วท่านรู้เหรอว่าผมต้องการอะไร”
“ไม่ว่าอะไรที่นายต้องการหรือไม่ต้องการ ฉันไม่มีทางที่จะเก็บเอาไว้ในนี้เด็ดขาด”
สมสุขอมยิ้มกวนๆ
“ตอนนี้ผมมีสิ่งที่ต้องการเพียงอย่างเดียว...น้องไผ่ไง...ถ้าท่านให้น้องไผ่กับผม ผมสัญญาว่าผมจะช่วยงานตำรวจอย่างเต็มที่ ครับผม”
อภิวัฒน์เดินเข้ามาจ้องหน้าสมสุขเอาจริง
“อยากให้ฉันอ่านสิทธิ์ของแกให้ฟังมั้ย แต่เท่าที่จำได้ข้อนึง แกไม่มีสิทธิต่อรองใดๆ”
อภิวัฒน์พูดจบก็จะเดินออกไปสมสุขพูดขึ้น
“ท่านก็คิดมาก ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องนั้น ผมแค่อยากรู้ว่าใครเป็นคนยิงผม” อภิวัฒน์หันมา “คืนนั้นเธออยู่กับผม ผมว่าเธอต้องรู้แน่ๆ ว่าใครเป็นคนที่ยิงผม”
อภิวัฒน์ครุ่นคิดตามคำพูดของสมสุข
ภูวนัยเดินเข้ามาในบ้าน ไผ่พญาหน้าสลดเดินตามเข้ามา ภูวนัยไปจัดแจงที่หลับที่นอนที่โซฟา ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็จะเดินผ่านขึ้นไปบนห้อง ไผ่พญาทนไม่ไหวหันมาถามภูวนัย
“โกรธฉันก็ด่าฉันซิ อย่าเอาแต่เงียบอย่างนี้ได้มั้ย”
“วันนี้ผมเหนื่อยแล้ว”
ไผ่พญาเจอภูวนัยตัดบทอย่างนั้นก็อึ้งไปจึงเดินจากไปเงียบๆ ภูวนัยทรุดตัวลงกับโซฟา เหนื่อยกับทุกสิ่ง
คืนนั้นไผ่พญานอนไม่หลับอยู่ในห้อง ภูวนัยเองก็นอนไม่หลับอยู่ที่โซฟาเช่นกัน ระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยสงสัยว่าใครโทรมาตอนนี้ ภูวนัยหยิบมันขึ้นมาดูแล้วทำหน้าสงสัยที่เห็นอภิวัฒน์โทรมา
วันต่อมาที่บ้านวศิน วศินตบโต๊ะด้วยความโมโห
“แค่ดูแลพวกมันแค่นี้ ลื้อทำไม่ได้หรือไง”
พายัพนั่งหน้าเซ็งอยู่ที่โซฟา มีชาติกล้ายืนอยู่ในห้องด้วย
“ไอ้เสี่ยแคนมันว่าไง”
“ถึงเรารู้ว่าเสี่ยแคนมันเป็นคนฆ่ากำนันเต่าจริงๆ แล้วท่านจะทำยังไง”
วศินปรายตามองพายัพอย่างไม่พอใจ
“คำถามนี้ อั้วต้องเป็นคนถามลื้อ”
“ถ้าท่านถามผม ผมก็จัดการด้วยวิธีของผม”
วศินได้ยินพายัพพูดอย่างนั้นก็ชักสีหน้ามีอารมณ์ทันที
“จัดการยังไง ลื้อจะเก็บไอ้เสี่ยแคนเหรอ แค่ไอ้กำนันเต่าตายไป เงินอั้วก็หายไปเท่าไหร่แล้ว บ้าหรือเปล่าห๊ะ”
“ผมยังไม่ได้บอกนี่ว่าจะเก็บมัน ผมแค่จะแนะนำวิธีที่ท่านจะได้เงินจำนวนเท่าเดิมเท่านั้นครับ”
“ยังไง”
พายัพยิ้มเย็นอย่างเจ้าเล่ห์
ที่เซฟเฮาส์ภูวนัย ขิงกับกระดังงากำลังใช้ไฟฉายกับแว่นขยายส่องหาบางอย่างที่โซฟาแล้วกระดังงาก็หัวเราะขึ้นมา
“ไงละ ไม่มี...ฉันบอกแล้วว่าไอ้ไผ่กับคุณภูไม่ได้ไปสวนสนุกกัน จ่ายมาเลยไอ้ขิง”
ขิงเงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับแว่นขยาย ด้านหลังเห็นไผ่พญาเดินลงมาด้วยสีหน้าไม่ค่อยสบาย
“ไม่ ก็เมื่อคืนแกก็ได้ยินแล้วนี่ว่าสองคนนั่นเขาไปเล่นกันที่อื่น แล้วแกจะมาหาร่องรอยที่นี่ได้ไง” กระดังงาเห็นไผ่พญาอยู่ข้างหลังก็พยายามขยิบตาให้ขิง “ทำไม...ไม่ต้องทำมาเป็นขยิบตาปิ๊งปั๊งหรอก ยังไงฉันก็ไม่จ่าย”
“จ่ายอะไร”
ขิงได้ยินอย่างนั้นพอหันไปเห็นไผ่พญายืนอยู่ก็ตกใจ
“เฮ้ย”
“อ๋อ ไม่มีอะไรหรอก ไอ้ขิงมันก็แค่เล่นอะไรพิเรนทร์ๆ น่ะ”
ไผ่พญามองไปรอบๆ แล้วไม่เห็นภูวนัย
“คุณภูละ”
“ไม่รู้ซิ พวกเราลงมาก็ไม่เห็นแล้ว”
ไผ่พญาหน้าเศร้าลง ขิงพยายามสังเกตอาการ เห็นตาไผ่พญาดำคล้ำ
“นี่ไง ไอ้งา...แกเห็นมั้ย” ขิงเข้าไปจับหน้าไผ่พญาชี้ไปที่เบ้าตา “ขอบตาดำคล้ำ แสดงว่าไม่ได้นอนมาทั้งคืนแถมพอลงมาก็ยังถามหาคุณภูคนแรกอีก ถ้าไม่ใช่แล้วจะอะไร”
ไผ่พญาปัดมือขิงออกอย่างรำคาญ
“อะไรของแกไอ้ขิง ที่ฉันถามหาคุณภูพวกแกอยากรู้ใช่มั้ยว่าทำไม” ขิงกับกระดังงาพยักหน้าหงึกๆ “เพราะเขารู้แล้วไงว่าฉันเป็นโคโยตี้”
ขิงเคลิ้ม หันไปสะใจใส่กระดังงา
“เห็นมั้ย”
แล้วขิงก็นึกได้ ขิงกับกระดังงาถึงกับอุทานออกมาอย่างตกใจ "ห๊า!"
ภูวนัยอยู่ที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ดูแฟ้มประวัติของไผ่พญาแล้วปิดลง ก่อนจะยื่นคืนให้กับอภิวัฒน์
“ท่านเรียกผมมาเพราะเรื่องนี้เหรอครับ”
“ก็ไม่เชิง” ภูวนัยสงสัย “เมื่อคืน สมสุขบอกผมว่า ไผ่พญาคือผู้หญิงที่อยู่กับสมสุขตอนที่เขาถูกยิง”
ภูวนัยชะงัก อึ้งไป
“ผมไม่เชื่อ ถ้าท่านจะเชื่อไอ้งูพิษอย่างมันก็ตามใจ”
“ผมไม่ได้เชื่อที่สมสุขบอก แต่ผมเชื่อจากสิ่งที่ไผ่พญาเธอแสดงออกเมื่อคืน” ภูวนัยนิ่งไปเพราะมันจริงอย่างที่อภิวัฒน์ว่า “หมวดภู...ผมรู้ว่าคุณรู้สึกยังไง แต่ผมอยากให้หมวดลองถามเธอดู เพราะถ้าเรารู้ว่าใครเป็นคนยิงสมสุขบางทีเราอาจจะคลี่คลายเรื่องต่างๆ ได้”
ภูวนัยนิ่งไปอย่างหนักใจ
ไผ่พญานั่งเศร้าอยู่ที่โซฟา ขิงกับกระดังงาถึงกับนั่งไม่ติด
“แล้วคุณภูเขาไม่พูดอะไรเลยเหรอ” ไผ่พญาส่ายหน้า “ไม่ดุไม่ด่า ไม่ตบไม่ตีเลยเหรอ”
กระดังงาเลยหันไปตบขิงแทน
“ไอ้ไผ่มันก็บอกอยู่ว่าคุณภูเขาไม่พูดอะไร แล้วแกยังจะถามหาอะไรอีก” ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็ค่อยๆ ลุกขึ้นพร้อมกับหยิบกระเป๋าเสื้อผ้าขึ้นมาด้วย “แล้วแกจะไปไหน”
“ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่...ถึงเขาไม่พูดอะไร แต่ฉันก็รู้ว่าเขาคงจะโกรธที่ฉันโกหกเขามาตลอด”
“ไอ้ไผ่ แกอย่าไปเลย” ไผ่พญากับกระดังงาหันไปหาขิงที่ยื้อเอาไว้ก็แอบซึ้งใจที่ขิงมีจิตใจเป็นห่วงเพื่อน แต่ขิงกลับพูดขึ้นว่า “ถ้าแกไป แล้วใครจะปกป้องพวกเราละ”
ไผ่พญากับกระดังงาทำหน้าเซ็ง
“ไม่รู้ซิ แต่ฉันว่าเขาคงไม่โกรธพวกแกหรอก แล้วฉันจะติดต่อมานะ”
ไผ่พญาถือกระเป๋าเสื้อผ้าเดินออกไปอย่างหมดอาลัยตายอยาก
“ไอ้ไผ่ ไอ้ไผ่” กระดังงาเรียกเอาไว้แต่ไผ่พญาก็ไม่หันกลับมา กระดังงาหันไปถามขิง “แล้วเราจะเอาไงดี”
ขิงทำหน้าครุ่นคิด
ขิงกำลังเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าเหมือนกัน กระดังงาพยายามห้ามเอาไว้
“แล้วเราจะไปไหน”
“ไม่รู้ แต่ไปจากที่นี่อย่างไอ้ไผ่ไง”
“แต่ไอ้ไผ่ก็บอกเองว่าคุณภูเขาคงไม่โกรธพวกเราหรอก”
“แล้วแกเชื่อไอ้ไผ่หรือไง คุณภูเขามีปืนน่ะเว้ย แล้วความผิดเราก็สองกระทงตั้งแต่ตอนที่ขโมยเงินพ่อเขามาแล้ว”
กระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็เริ่มใจไม่ดี ก่อนจะสงสัยเมื่อเห็นขิงกำลังยัดหมอนใส่กระเป๋าเสื้อผ้าให้ได้
“แล้วแกเอาหมอนไปด้วยทำไม”
“เอ้า...เผื่อบางทีต้องนอนป้ายรถเมล์อย่างน้อยก็ยังมีหมอน ส่วนแกน่ะเอาผ้าห่มไปแล้วกัน”
กระดังงาพยักหน้าก่อนจะรีบเก็บของ ระหว่างนั้นภูวนัยเดินเข้ามาในห้อง
“จะไปไหนกัน”
ขิงเคลิ้มคิดว่ากระดังงาถาม
“ถามอีกแล้ว ก็บอกว่าไปไหนก็ได้”
แล้วขิงกับกระดังงาก็นึกขึ้นได้ พอหันไปมองตามเสียงก็เห็นภูวนัยยืนอยู่
“คุณภู” ขิงกับกระดังงาหันมองหน้ากันก่อนจะพร้อมใจคุกเข่าลงพนมมือ “ขอโทษครับ/คะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็...ก็เรื่องเดียวกับที่คุณภูรู้เรื่องไอ้ไผ่มันน่ะครับ”
ภูวนัยนิ่งไปก่อนจะถามขึ้น
“แล้วไผ่ไปไหน เมื่อกี้ผมเข้าไปดูในห้องแล้วไม่เห็นเลย”
“ไอ้ไผ่มันรู้สึกไม่ดีที่คุณภูโกรธมัน มันก็เลยเก็บกระเป๋าไปจากที่นี่แล้วคะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
ไผ่พญากำลังยืนรอรออยู่ที่ริมถนน ไผ่พญาตัดใจก่อนจะหันไปโบกแท็กซี่คันนึงที่แล่นเข้ามา รถแท็กซี่เข้ามาจอดเทียบไผ่พญาเปิดประตูแล้วกำลังจะก้าวขึ้นรถ แต่ทันใดนั้นก็มีมือนึงมาจับมือไผ่พญาเอาไว้ ไผ่พญาหันไปมองก็ตกใจ
“คุณภู”
“คุณจะไปไหน” ไผ่พญาชะงัก
“ถามทำไม”
“เอ้า จะไปมั้ยคุณ แก๊สมันแพงนะ”
คนขับแท็กซี่ถาม ภูวนัยหยิบแบงค์ร้อยส่งให้กับแท็กซี่
“ไม่ไปแล้ว โทษที”
ภูวนัยปิดประตูแท็กซี่ แท็กซี่ขับออกไป ไผ่พญาหันมามองภูวนัยอย่างไม่เข้าใจ
“นายจะเอายังไงกันแน่ ตอนที่ฉันอยู่นายก็ไม่พูดด้วย พอฉันจะไปนายก็ไม่ให้ไป”
“แล้วคุณจะไปไหน”
“ไปไหนก็ได้ ฉันไม่อยู่นายจะได้สบายใจไง ทำไมเหรอการเป็นโคโยตี้มันต่ำมากหรือไง...ปล่อย”
ไผ่พญาสะบัดมือภูวนัยออกก่อนจะเดินไป ภูวนัยพูดขึ้น
“ผมรู้อยู่แล้วว่าคุณไม่ได้เป็นครู”
ไผ่พญาถึงกับชะงักแล้วหันมองภูวนัยอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“อะไรนะ”
“คุณคิดเหรอว่าการที่ผมจะจ้างใครซักคนให้มาสอนหลานผม ผมจะไม่เช็คอะไรเลย”
“นายรู้มาตลอด”
“ใช่...แต่ที่ผมไม่พูดอะไร เพราะผมเห็นว่าตั้งแต่คุณเข้ามาอยู่ในบ้านของผม ทุกอย่างมันเริ่มดีขึ้น ทั้งพ่อผม...เมฆ...แล้วก็หมอก”
“แล้วนายโกรธฉันเรื่องอะไร” ภูวนัยอ้ำอึ้ง
“ผมไม่ได้โกรธ แต่ผมไม่รู้ว่าเมื่อความจริงเปิดเผยแล้ว คุณจะรู้สึกยังไง”
“รู้สึกยังไง ก็รู้สึกว่าตัวเองโดนหลอกไง ตอนแรกฉันรู้สึกผิดที่โกหกนายแต่ตอนนี้ฉันอยากทำอะไรรู้มั้ย”
ภูวนัยสงสัย อยากรู้ ไผ่พญาเดินเข้ามาหาภูวนัยก่อนจะกระทืบลงไปที่เท้าของภูวนัย ป้าป ! ภูวนัยชักเท้าร้องลั่น “โอ๊ย” ไผ่พญามองภูวนัยอย่างหมั่นไส้ก่อนจะเดินออกไป
“จะไปไหนน่ะคุณ”
ไผ่พญาเดินไปด้วยความโกรธ ไม่หันมามองด้วย
“กลับบ้าน”
ภูวนัยมองตาม แม้จะเจ็บเท้าแต่ก็อมยิ้มที่ไผ่พญาไม่ไปไหนแล้ว
อีกด้านหนึ่งที่โรงพยาบาล พรรษานั่งลงตรงโต๊ะภายในห้องตรวจของปลายฟ้า
“ไม่รบกวนหรอกคะ”
“ป้าสัญญานะคะ ว่าคราวนี้ป้าจะไม่ให้คุณเผ่าแกลืมยาไว้ที่ไหนอีก”
“เดี๋ยวฟ้าไปเอายามาให้ใหม่นะคะ”
ปลายฟ้าออกจากห้องไป ปล่อยให้พรรษานั่งรอ ระหว่างนั้นก็ยกกระเป๋าขึ้นวางบนโต๊ะแต่กระเป๋าของพรรษาก็ไปชนเข้ากับกองเอกสารของปลายฟ้าจนตกลงกับพื้น พรรษาก้มลงเก็บเอกสารที่พื้นแล้วพรรษาก็ชะงักเมื่อเห็นเอกสาร “แจ้งเรื่องการอนุมัติศึกษาต่อทางแพทย์เฉพาะทาง” ตกอยู่พื้น พรรษาหยิบมันขึ้นมาดู พออ่านก็แปลกใจ ระหว่างนั้นปลายฟ้าเข้ามาในห้อง
“ได้แล้วคะ”
ปลายฟ้าชะงักไปเมื่อเห็นพรรษากำลังอ่านจดหมายเรื่องการอนุมัติศึกษาต่อ
“หมอฟ้าจะไปอเมริกาเหรอคะ”
“เอ่อ...คะ ฟ้าทำเรื่องศึกษาต่อทางโรคใจไว้นะคะ”
“แล้วนี่ คุณภูรู้หรือยังคะ”
ปลายฟ้านิ่งไปเมื่อนึกถึงภูวนัย
คืนนั้นที่เซฟเฮ้าส์ภูวนัย ทุกคนนั่งล้อมวงกินข้าวกัน ขิงกับกระดังงาทำหน้าไม่ถูกเพราะภูวนัยกับไผ่พญาต่างหน้าบึ้งใส่กัน กระดังงาส่งสัญญาณให้ขิง ขิงเลยต้องเปิดประเด็นขึ้น
“แหม...ถือว่ามื้อนี้เรากินเพื่อฉลองให้กับความเข้าใจของเราทุกคนแล้วกัน เอ้า...ชน”
มีเพียงกระดังงาที่ทำเป็นดี๊ด๊าชนแก้วกับขิงแค่สองคน ส่วนภูวนัยกับไผ่พญาต่างนั่งหน้าบึ้งไม่มองกัน กระดังงาเลยต้องรีบกระทุ้งต่อโดยการตักยำทะเลให้กับไผ่พญา
“นี่ยำทะเลของชอบของแกไงไผ่ คุณภูเขาสั่งซื้อให้แกเลยนะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ถึงกับงงว่าไปสั่งซื้อตอนไหน
“เดี๋ยว”
ภูวนัยยังไม่ทันที่จะพูด ขิงก็ตักปลาทูให้กับภูวนัย
“นี่เลยครับปลาทู ไผ่เขาสั่งผมซื้อมาให้คุณภูเลยนะครับ”
ไผ่พญาเหล่มองขิงกับกระดังงา
“พวกแกสองคนไม่ต้องทำอย่างนี้เลย ฉันไม่ยอมยกโทษให้คนที่หลอกฉันง่ายๆ หรอก”
“อ้าว...แต่คุณหลอกผมก่อนนะ”
“ฉันหลอกนายก็จริง แต่ฉันทำไปเพราะความจำเป็น”
“ผมก็จำเป็นเหมือนกัน”
“แต่ของฉันจำเป็นกว่า”
ขิงกับกระดังงาต่างหันมองภูวนัยที ไผ่พญาที ทั้งสองต่อปากต่อคำกันไม่หยุด
“นี่คุณ...คนที่ควรจะโกรธต้องเป็นผมไม่ใช่เหรอ” ขิงรีบขัดขึ้น
“แฮ่ม...เอาน่า ผมว่าน่าจะเสมอกันนะครับ ไผ่หลอกคุณภูแล้วคุณภูก็หลอกไผ่ น่าจะหายกันแล้วนะครับ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็กระแทกช้อนก่อนจะลุกออกไป
“ไผ่...เดี๋ยวฉันไปดูไผ่ก่อนนะคะ”
กระดังงารีบลุกตามไผ่พญาไป ภูวนัยทำหน้าเซ็ง
ไผ่พญาเดินออกมาที่สนามหน้าบ้านเพื่อสงบสติอารมณ์ กระดังงาตามเข้ามา
“ไอ้ไผ่ แกเป็นไรของแกเนี่ย”
“งา แกไม่ต้องมาพูดเพื่อให้ฉันยกโทษให้เขาเลยนะ”
“เอ้า...แต่พวกเราน่ะผิดเต็มๆ นะ นี่ดีแค่ไหนแล้วที่คุณภูเขาไม่เอาเรื่องเรา”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็เถียงไม่ออก หันหลังกลับไป
“เรื่องนั้นฉันไม่เถียง” กระดังงายืนอยู่ ระหว่างนั้นภูวนัยเข้ามาสะกิดกระดังงาทางด้านหลัง กระดังงาหันไปกำลังจะพูดขึ้นแต่ภูวนัยทำมือประมาณให้เงียบเข้าไว้ แล้วพยักหน้าเชิงบอกให้รู้ว่าเดี๋ยวเขาคุยกับไผ่พญาเอง “แต่การที่เขารู้ความจริงมาตลอดแล้วไม่บอกพวกเรา มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่มีตัวตน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า”
ไผ่พญาพูดจบก็หันกลับมาเพราะคิดว่าเป็นกระดังงา แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องชะงักไปเพราะกลายเป็นภูวนัยยืนอยู่
“ผมขอโทษที่ทำให้คุณรู้สึกอย่างนั้น” ไผ่พญาถึงกับไปไม่ถูก เพราะดันพูดความจริงไปซะแล้ว ภูวนัยเดินเข้ามาหาไผ่พญา แล้วสบตาอย่างจริงจังเพื่อให้เห็นความจริงใจ “แต่ที่ผมไม่กล้าบอกคุณ เพราะผมเป็นห่วงความรู้สึกของคุณจริงๆ”
ไผ่พญาถึงกับชะงักไป ไผ่พญาใจอ่อนแล้วแต่ต้องทำเป็นรักษาฟอร์มเข้าไว้
“ชิ...คิดว่าฉันจะยกโทษให้นายง่ายๆ หรือไง”
“แล้วจะให้ผมทำยังไง”
“สัญญากับฉันก่อน ต่อไปนี้ไม่ว่าเรื่องอะไร นายจะต้องไม่โกหกฉัน”
ภูวนัยคิดแล้วจึงบอกออกไป
“ผมว่าคุณต้องสัญญาข้อนี้ด้วย”
“นี่”
“อ้ะๆ สัญญาๆ”
“สอง...นายจะยอมทำตามที่ฉันบอกทุกอย่างใช่มั้ย” ภูวนัยพยักหน้า “ฉันอยากเห็นนายเต้นโคโยตี้”
“เฮ้ย! จะบ้าหรือไงคุณ”
“ถ้านายไม่เต้น ฉันก็ไม่หายโกรธ”
“ไม่มีทาง ยังไงผมก็ไม่เต้น”
ไผ่พญาทำท่าจะเดินไป ภูวนัยดึงมือไว้ ไผ่พญาแอบอมยิ้มก่อนจะหันกลับมาแล้วเห็นสีหน้าภูวนัยเขินสุดฤทธิ์
แล้วไผ่พญาก็ทำเสียงเพลงแนวโคโยตี้เต้นดังขึ้นแต่ภูวนัยก็ยังไม่กล้าเต้น
“เร็วซิ”
ไผ่พญาฮัมทำนองต่อ แล้วก็เห็นภูวนัยเต้นโคโยตี้แบบเคอะๆ เขินๆ ไผ่พญาเห็นก็ขำ
“ขำอะไร พอได้ยังเล่า”
“นายนี่ ถ้าใส่วิกไปเต้นที่ดิออร์แกน รับรองว่าฉันต้องตกงานแน่เลย”
“หือ...มานี่เลย”
ภูวนัยวิ่งไล่จับไผ่พญาที่กวนใส่เขา ไผ่พญาร้องวี้ดว้ายวิ่งหนี ไผ่พญาวิ่งมาชนรั้วบ้านภูวนัยวิ่งตามเข้ามาจับมือเอาไว้ทั้งสองข้าง
“กวนนักใช่มั้ย” แล้วภูวนัยกับไผ่พญาต่างก็ชะงักกันไป ตาสบตา ภูวนัยค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าหาใบหน้าของไผ่พญา ไผ่พญาหลับตารอการจุมพิตของภูวนัย แต่ภูวนัยกลับชะงักเอาไว้เหมือนตั้งสติได้ “เอ่อ...ผมขอโทษ”
ไผ่พญาชะงักลืมตาขึ้นแล้วก็ทำหน้าไม่ถูกเช่นกัน
“เอ่อ...งั้นฉันไปนอนก่อนนะ”
ไผ่พญารีบเบี่ยงตัวหลบภูวนัยแล้วรีบเดินกลับเข้าไปในบ้านด้วยความเขิน ภูวนัยมองตามไผ่พญารู้สึกว่าหัวใจเขากลับเต้นแรงอีกครั้ง
ภูวนัยนอนอมยิ้มอยู่ที่โซฟา เพิ่งเห็นรอยยิ้มของภูวนัยอย่างมีความสุขเป็นครั้งแรก
อ่านต่อหน้า 2
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ขณะเดียวกันนั้นไผ่พญาก็นอนคิดถึงภูวนัยอยู่บนห้องเช่นกัน ไผ่พญาจับริมฝีปากตัวเองก่อนจะตีหมอนด้วยความเขิน
“คิดอะไรของเราเนี่ย”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของไผ่พญาดังขึ้น ไผ่พญาหยิบมือถือขึ้นมาท่าทางเขินแล้วกระแอมเก็กเสียงเข้ม
“มีอะไร” ไผ่พญาฟัง แล้วตกใจ “อุ้ย! หมอปลายฟ้าเหรอคะ”
ปลายฟ้ายืนโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งของโรงพยาบาล
“เออ ฉันโทรมากวนครูไผ่หรือเปล่าคะ”
ไผ่พญาลุกขึ้นนั่งบนเตียง สงสัยที่ปลายฟ้าโทรหาตน
“เปล่าคะ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
ปลายฟ้าคิด แล้วตัดใจถาม
“ภูอยู่กับครูไผ่หรือเปล่าคะ”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็มีหึงโดยไม่รู้ตัว
“ไม่คะ”
“ดีแล้ว ฉันไม่อยากให้เขารู้เรื่องนี้”
ไผ่พญาผิดคาดเพราะคิดว่าปลายฟ้าอยากจะเจอกับภูวนัย
“หือ”
“พรุ่งนี้ครูไผ่ว่างหรือเปล่าคะ”
ไผ่พญาแปลกใจว่าปลายฟ้ามีอะไร
วันต่อมาที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด เสี่ยแคนอยู่ภายในห้องสอบสวน วีระกำลังสอบสวนอยู่ เสี่ยแคนดูนาฬิกาทำหน้าเซ็งๆ หาวหวอดๆ
“ผมไปได้หรือยัง”
“ยัง...ตกลงเสี่ยจะไม่ยอมรับใช่มั้ยว่าเสี่ยเป็นคนฆ่ากำนันเต่าๆ”
ระหว่างนั้นชาติกล้าเปิดประตูเข้ามา วีระเห็นก็รีบยืนขึ้นทำความเคารพ เสี่ยแคนมองชาติกล้าแต่ชาติกล้าไม่สบตาเพราะต้องการทำตัวให้เนียนที่สุด วีระเข้ามาพูดกับชาติกล้าเบาๆ
“เสี่ยแคนไม่ยอมพูดอะไรเลยครับ”
ชาติกล้ายกมือขึ้นประมาณว่าให้วีระไม่ต้องพูดอะไร
“เดี๋ยวผมจัดการเอง”
วีระหันมองเสี่ยแคนอย่างหมั่นไส้ก่อนจะทำความเคารพชาติกล้าแล้วเดินออกจากห้องไป ชาติกล้าปิดประตูแล้วเดินเข้ามานั่ง
“เสี่ยรู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้เสี่ยอยู่ในสถานะไหน”
เสี่ยแคนมองหน้าชาติกล้ารู้ว่าชาติกล้าส่งซิกมาว่าให้เสี่ยแคนอย่าเผยตัวว่ารู้จักกับเขา
“ก็...ผู้ต้องสงสัยจ้างวานฆ่ากำนันเต่า”
“คดีนี้...เบื้องบน” ชาติกล้าส่งซิกให้รู้ว่าหมายถึงวศิน “ให้ความสำคัญมาก จึงส่งให้ผมลงมาคุยกับเสี่ย”
“จะคุยอะไรก็ว่ามาเลย”
“หลังจากกำนันเต่าตายไป เสี่ยคงบริหารจัดการพื้นที่แถวปราจีนสระแก้วได้ง่ายหน่อยใช่มั้ยครับ”
“มันก็คงต้องทำ เพราะกำนันเต่ากับผมมันเป็นเพื่อนกันมานาน ในเมื่อเพื่อนไม่อยู่ผมก็ต้องดูแลแทน”
“ตอนนี้เสี่ยยังเป็นแค่ผู้ต้องสงสัย เพราะเราไม่มีหลักฐานที่จะเชื่อมโยงไปถึงเสี่ยได้ แต่...ทางเบื้องบน อยากให้เสี่ยเพิ่มข้อมูล (หมายถึงส่วย) ในส่วนของกำนันเต่าได้มั้ยครับ”
เสี่ยแคนชะงักมองหน้าชาติกล้าเพราะรู้ว่าชาติกล้ากำลังหมายถึงจะขอเงินปันผลเพิ่มนั่นเอง ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขัดจังหวะขึ้น วีระเปิดประตูเข้ามา
“ขออนุญาตครับหัวหน้า”
“มีอะไร”
วีระเข้ามากระซิบบอกกับชาติกล้า สีหน้าของชาติกล้าเปลี่ยนไป วีระบอกเสร็จก็เดินออกไป ชาติกล้าลุกขึ้น
“ขอบคุณเสี่ยที่มาให้ปากคำกับเราในวันนี้นะครับ ส่วนเรื่องการขอข้อมูลเพิ่มเสี่ยลองกลับไปคิดดูแล้วกัน ผมขอตัวก่อน”
ชาติกล้าเดินออกไป เสี่ยแคนมองตามสีหน้าเครียดขึ้น
ชาติกล้าเปิดประตูเข้ามาในห้อง สีหน้าของชาติกล้าขรึมลง
“ฟ้า”
ปลายฟ้านั่งอยู่ในห้องทำงานของชาติกล้า
“ชาติ เรามากวนเวลาทำงานหรือเปล่า”
“ไม่หรอก” ชาติกล้ามองปลายฟ้าอย่างสงสัย ปลายฟ้ารู้ว่าชาติกล้ากำลังสงสัย
“เรามาลาชาติ”
“ลา...ฟ้าจะไปไหน”
“อเมริกา เราจะไปเรียนต่อแพทย์เฉพาะทางที่นั่น”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
“แล้ว...ฟ้าจะกลับมาเมื่อไหร่”
“เรายังไม่รู้อะไรเลย บางทีเราอาจจะไม่กลับมาอีกแล้วก็ได้”
ชาติกล้าเหมือนใจหายวูบ
“แล้วฟ้าบอกไอ้ภูหรือยัง”
ปลายฟ้าชะงักไปจนชาติกล้าจับสังเกตได้
“เรามาหาชาติเรื่องนี้แหละ” ชาติกล้ารู้ พยายามสะกดกลั้นอารมณ์ “เราอยากจะขอชาติเรื่องนึงก่อนที่เราจะ
ไป”
“ถ้าฟ้าจะมาขอให้เราปล่อยมัน เราคงทำไม่ได้”
ปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป ตัดสินถาม
“ชาติ...เราอยากรู้เรื่องนึง” ชาติกล้าพยักหน้า เตรียมฟัง “ที่ชาติไล่ล่าภูอย่างนี้ไม่ใช่เพราะเราชอบภูใช่มั้ย”
คำถามของปลายฟ้าเสียดแทงเข้ากลางใจชาติกล้า ชาติกล้าไม่ยอมรับ ไม่ปฏิเสธแต่ตอบเบี่ยงประเด็น
“ที่เราไล่ล่าภู เพราะมันเป็นผู้ร้ายแต่เราเป็นตำรวจ”
ปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็ลุกขึ้น
“งั้นเราไม่กวนเวลาทำงานชาติแล้ว”
ปลายฟ้ากำลังจะเดินออกประตู ชาติกล้าถามขึ้น
“ฟ้าจะเดินทางวันไหน เราจะไปส่ง”
“ไม่ต้องหรอก เราจากกันตรงนี้เลยแล้วกัน”
ปลายฟ้าเดินออกจากห้องไป ชาติกล้าปัดข้าวของระบายอารมณ์ ชาติกล้าสำรวจใจตัวเองก่อนที่จะตัดสินใจตามปลายฟ้าออกไป
ชาติกล้าวิ่งตามปลายฟ้ามาตามทาง ชาติกล้าวิ่งตามมาทันเห็นปลายฟ้ากำลังเดินคุยโทรศัพท์อยู่พอดี ชาติกล้ากำลังตามมาแล้วก็ชาติกล้าก็ได้ยิน
“ฉันใกล้จะถึงแล้วนะคะ...เจอกันคะ”
ปลายฟ้าวางสายแล้วรีบเดินออกไป ชาติกล้ามองตามสงสัยว่าปลายฟ้านัดใคร
ไผ่พญาย่องลงมาจากบันได แล้วมองหาภูวนัย
“ไม่อยู่ พอดีเลย” พอเห็นว่าภูวนัยไม่อยู่ ไผ่พญารีบวิ่งจะไปที่ประตู แต่แล้วไผ่พญาก็ได้ยินเสียงคนเดินมาที่หน้าบ้าน “คุณภู”
ไผ่พญาหันรีหันขวางก่อนจะวิ่งไปที่ห้องน้ำแล้วรีบหลบอยู่ในห้องน้ำ แต่พอไผ่พญาหันกลับมาก็ต้องตกใจเพราะเห็นภูวนัยในชุดเปลือยครึ่งท่อน ถอดเสื้อโชว์มัดกล้ามกำลังจะใส่เสื้อ
“กรี้ดดดด!”
ที่หน้าประตูไม่ใช่ภูวนัยเดินเข้ามาอย่างที่ไผ่พญาคิด แต่เป็นขิงกับกระดังงาหิ้วตะกร้าผ้ามานั่นเองทั้งคู่ก็ตกใจเมื่อได้ยินเสียงไผ่พญาร้องโวยวายพร้อมกับวิ่งออกมาจากห้องน้ำ
“เป็นไร”
แล้วขิงกับกระดังงาก็ได้คำตอบเมื่อเห็นภูวนัยเดินใส่เสื้อออกมา
“ร้องซะดังอย่างนี้เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจผิดหรอก” ภูวนัยต่อว่า
“เอ้า...ก็ใครจะไปรู้ว่านายอยู่ในห้องน้ำละ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกคะคุณภู ไผ่น่ะเขาไม่ได้เพราะตกใจแต่ร้องเพราะชอบ”
กระดังงาบอก
ไผ่พญาเท้าสะเอว เอาเรื่อง “นี่”
ขิงมองชุดของไผ่พญาก็แปลกใจ
“แล้วแกแต่งตัวอย่างนี้จะไปไหนเนี่ย”
ไผ่พญาชะงัก รีบกลบเกลื่อน
“ไปไหน๊...เปล๊า! นี่ชุดอยู่บ้าน”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็เลยสบโอกาส
“ถ้าอย่างนั้นวันนี้เราไปสวนสนุกกันดีมั้ย”
“จริงเหรอ” ไผ่พญาดีใจแล้วนึกขึ้นได้ “เออ...แต่ฉันนึกขึ้นได้ว่าฉันมีนัดแล้ว”
“นัด”
“นัดอะไรไอ้ไผ่ หรือว่าแกมีกิ๊ก”
ไผ่พญาตกใจ กลัวภูวนัยเข้าใจผิด
“จะบ้าเหรอไง เอ่อ...ฉันนัดหมอฟันเอาไว้ เนี่ยพักนี้เป็นไรไม่รู้ปากเหม่นเหม็นไม่เชื่อพวกแกลองดมดูซิ”
แล้วไผ่พญาก็ทำเสียงฮ้าพ่นลมหายใจใส่ขิงกับกระดังงา ฮ้า...ฮ้า! ขิงเอามือปิดจมูก
“หุบปากเดี๋ยวนี้เลย อากาศเป็นพิษกันพอดี”
“เห็นมั้ยฉันบอกแล้ว ถ้างั้นฉันไปละนะ เนี่ยทนเหม็นกลิ่นปากตัวเองไม่ไหวแล้ว” ไผ่พญาหันมองภูวนัย “เอ่อ...ไปละนะ”
ไผ่พญารีบเดินออกไป จนทุกคนสงสัยในความรีบร้อนของไผ่พญา
“ฉันว่าท่าทางมีความลับอย่างนี้ นัดกิ๊กชัวร์” กระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็กระทืบเท้าขิงให้รู้ตัว “โอ๊ย” ขิงหันมาเห็นกระดังงาบอกว่าอย่าพูดเดี๋ยวภูวนัยจะคิดมาก
ภูวนัยมองตามด้วยความสงสัยเช่นกัน
ไผ่พญานัดเจอกับปลายฟ้าที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ไผ่พญาเดินมาตามทางมองไปรอบๆ ห้างเหมือนกำลังหาที่ที่นัดเอาไว้กับปลายฟ้า พอไผ่พญาเดินไปก็เห็นภูวนัยเดินตามมาด้านหลัง ภูวนัยจะเดินตามแล้วเหมือนชะงักไป
“จะตามมาทำไมเนี่ย เขาจะนัดใครทำไมต้องสนด้วย” ภูวนัยหันหลังจะกลับ แล้วชะงัก “แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว”
ภูวนัยทำท่าจะเดินตามไผ่พญาต่อ ระหว่างที่เดินไปก็มีพนักงานของพวกซุ้มขายโปรตีนสารสกัดเข้ามาขวางภูวนัยเอาไว้
“สวัสดีคะ ดูจากรูปร่างของคุณแล้วต้องเป็นคนที่ใส่ใจสุขภาพใช่มั้ยคะ”
“โทษนะครับ ผมมีธุระ” ภูวนัยพยายามมองตามไผ่พญา พนักงานอีกคนรีบเข้ามาช่วยกัน
“เดี๋ยวซิคะ” พนักงานโชว์ผลิตภัณฑ์ “นี่คะ...โปรตีนสกัด...รับรองว่าสามารถเพิ่มกล้ามเนื้อได้มากกว่ายี่ห้ออื่นถึงสามเท่า”
“นี่คุณ ผมบอกว่าผมรีบจริงๆ”
“แหม...ถ้าไม่สนใจสินค้าเราไม่เป็นไรครับ แต่พี่อยากเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับเรามั้ยคะ นะคะ...มาทางนี้ดีกว่าคะ”
แล้วภูวนัยก็โดนพนักงานขายกลุ่มนั่นดึงตัวไปทำให้คลาดกับไผ่พญา
ปลายฟ้านั่งรออยู่ในร้านกาแฟ ระหว่างนั้นเสียงของไผ่พญาดังขึ้น
“หมอฟ้า ขอโทษคะที่มาสาย”
“ครูไผ่ ไม่เป็นไรคะ ฉันก็เพิ่งมาเหมือนกัน”
“เอ่อ...แล้วหมอฟ้าอยากเจอฉันทำไมเหรอคะ”
ปลายฟ้านิ่งไป ที่ด้านนอกร้านกาแฟมีสายตาใครบางคนกำลังมองไปที่ปลายฟ้าและไผ่พญาซึ่งก็คือชาติกล้านั่นเอง
ไผ่พญาอึ้งไปเมื่อรู้ว่าปลายฟ้าจะไปต่างประเทศ
“ไปอเมริกาเหรอคะ” ปลายฟ้ายิ้ม “เอ่อ...คุณฟ้า คงไม่ให้ฉันไปบอกคุณภู เพื่อให้คุณภูไปอเมริกาด้วยใช่มั้ยคะ”
ปลายฟ้านิ่งไปก่อนจะตอบว่า
“แล้วถ้าใช่ละ” ไผ่พญากำลังยกน้ำกินก็ถึงกับสำลัก แค่กๆ “เป็นอะไรหรือเปล่าคะ”
“เอ่อ...เปล่าหรอกคะ แค่สำลักนิดหน่อย เอ่อ...หมอจะพาคุณภูไปด้วยจริงๆ เหรอคะ”
“ฉันอยากให้เป็นอย่างนั้น แต่คงเป็นไปไม่ได้” ไผ่พญาแปลกใจ “ภูเขาไม่ได้ชอบฉันนี่” ไผ่พญารู้สึกเศร้าไปตามความรู้สึกของปลายฟ้า แต่แล้วปลายฟ้าก็ถามไผ่พญาขึ้น “เธอละ ชอบภูเขาหรือเปล่า”
“ห๊า” เสียงร้องของไผ่พญาทำเอาคนภายในร้านตกใจ ไผ่พญารีบแก้ตัวด้วยความเขิน “เอ่อ ไม่หรอกคะ เขาไม่ใช่สเปคฉันหรอก”
“แต่ฉันว่าภูเขาชอบเธอนะ”
“เฮ้ย”
เสียงร้องของไผ่พญาทำให้คนภายในร้านหันมามองอีก ไผ่พญาไม่สนใจแต่รีบถามปลายฟ้า
“ทำไมหมอคิดอย่างนั้นละ”
“เอาเป็นว่า ความรู้สึกฉันมันบอกก็แล้วกัน”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ทำหน้าไม่ถูก แม้ว่าจะแอบดีใจอยู่ภายในแต่ก็แสดงออกไม่ได้เพราะจะยิ่งทำให้ปลายฟ้าเศร้า
ไผ่พญากับปลายฟ้าเดินออกมาหยุดที่หน้าร้านกาแฟ
“ครูไผ่คะ”
ไผ่พญายังคิดถึงเรื่องที่ปลายฟ้าบอกแล้วดีใจไม่หาย
“คะ”
“ช่วยบอกเรื่องที่ฉันไปอเมริกากับภู หลังจากที่ฉันไปแล้วได้มั้ยคะ”
“ทำไมละคะ”
“ภูเขาเป็นคนเดียวที่ทำให้ฉันอยากอยู่เมืองไทย ฉันกลัวทำใจไม่ได้น่ะคะ”
“เอ่อ...ได้คะ”
ปลายฟ้านิ่งไปเหมือนอยากจะพูดอะไร
“แล้วก็อีกเรื่อง” ไผ่พญารอฟัง แต่แล้วปลายฟ้าก็ตัดสินใจไม่พูดดีกว่า “ไม่มีอะไรหรอกคะ ให้ฉันไปส่งมั้ยคะ”
“ไม่ต้องหรอกคะ เดี๋ยวฉันจะไปธุระต่ออีก แล้วถ้าฉันเจอคุณภูจะบอกเขาให้นะคะ”
ชาติกล้ามองปลายฟ้ากับไผ่พญายืนคุยกันอยู่หน้าร้านก่อนจะเห็นทั้งสองคนแยกย้ายกันไปกันคนละทาง ชาติกล้าครุ่นคิดว่าจะตามใครดี
ไผ่พญาเดินมาตามทางเพียงลำพัง
“ตานั่นชอบเราจริงๆ เหรอ”
ไผ่พญาอมยิ้มเขินก่อนจะเห็นคนที่เดินสวนไปมองไผ่พญาแปลกๆ เลยทำให้ไผ่พญาต้องหุบยิ้มแล้วเก็กหน้าเดินต่อ
โดยไม่รู้ว่าชาติกล้าแอบสะกดรอยตามมา
ปลายฟ้านั่งอยู่มุมหนึ่งของห้าง ปลายฟ้าเปิดกระเป๋าถือออกมาก่อนจะหยิบซองเอกสารซองนึงขึ้นมาดู ปลายฟ้าครุ่นคิดอยู่ครู่ก่อนจะตัดสินใจลุกขึ้นแล้ววิ่งกลับไปหาไผ่พญาอีกครั้ง
พอปลายฟ้าไปได้สักพัก ก็เห็นภูวนัยเดินเข้ามาแล้วมองหา
“ไปไหนนะยัยตัวแสบ”
ภูวนัยมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินไปอีกมุมทำให้คลาดกับปลายฟ้าเพียงนิดเดียว
ไผ่พญายังเดินมาตามทาง แล้วมองนาฬิกา
“นานๆ ได้ออกมาที เดินเล่นหน่อยดีกว่า” ไผ่พญาหันรีหันขวางก่อนจะหันไปเห็นเสื้อผ้าร้านนึงเตะตาเข้าเต็ม
“โห” ไผ่พญารีบเดินเข้าไป แต่แล้วกลับชนกลับชายคนนึง “อุ้ย...ขอโทษคะ”
ไผ่พญาเงยหน้าขึ้นมองชายคนนั้น ทันใดนั้นไผ่พญาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นชาติกล้า
ปลายฟ้าเดินกลับมาแล้วมองหาไผ่พญาแต่ก็ไม่เจอ ปลายฟ้าหยิบมือถือขึ้นมาจะโทรหาแต่แล้วปลายฟ้าก็เหลือบไปเห็นไผ่พญากำลังเดินอยู่ แต่ปลายฟ้าก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชาติกล้าด้วย
ชาติกล้าล๊อคตัวไผ่พญาเดินมาตามทางในห้าง แต่คนไม่สงสัยเพราะคิดว่าไผ่พญากับชาติกล้าเป็นแฟนกัน
“ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนจริงๆ ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
“เหรอ...แต่ทำไมเวลาที่ฉันเห็นมันทีไร ฉันต้องเห็นเธอทุกที เดินไป...อย่าตุกติกละ”
ชาติกล้าผลักไผ่พญาให้เดินต่อ ไผ่พญาครุ่นคิดหาทางเอาตัวรอด ปลายฟ้าวิ่งตามมา แต่ก็ยังห่างกันอยู่ดี
ไผ่พญาคิดหนักว่าจะแก้ไขสถานการณ์ยังไง ระหว่างนั้นไผ่พญาเหลือบไปเห็นชายหญิงคู่นึงเดินถือแก้วน้ำมา ไผ่พญาจ้องไปที่หนุ่มสาวคู่นั้นตาเขม็ง
พอไผ่พญาที่ถูกชาติกล้าล๊อคตัวอยู่กำลังจะเดินสวนกับหนุ่มสาวคู่นั้น ไผ่พญาก็ตีแก้วน้ำในมือหญิงสาวใส่ตัวของหญิงสาวจนเลอะเปรอะเปื้อนไปทั้งหญิงและชาย
“เฮ้ย! อะไรวะ” ไผ่พญาอาศัยความวุ่นวายสะบัดแขนของชาติกล้าออกแล้ววิ่งฝ่าฝูงชนไปทันที ชาติกล้าจะวิ่งตาม แต่ถูกชายคนนั้นดึงเอาไว้ “จะหนีไปไหน มาเคลียร์ก่อน”
ชาติกล้าไม่สน หันไปต่อยชายคนนั้นจนล้มคว่ำไปท่ามกลางเสียงร้องวี้ดว้ายตกใจของคนบริเวณนั่น ชาติกล้ารีบวิ่งตามไผ่พญาไปทันที ปลายฟ้าวิ่งตามชาติกล้าและไผ่พญาไปอีกคน
ไผ่พญาวิ่งมาตามทางก่อนจะผลักถังขยะล้มขวางชาติกล้าเอาไว้ ผู้คนร้องขึ้นอย่างตกใจจนวุ่นวายไปทั้งห้าง
ภูวนัยกำลังเดินอยู่มุมหนึ่งพอเห็นความวุ่นวายก็หันไปมอง และแล้วภูวนัยก็เห็นไผ่พญากำลังวิ่งอยู่
“ไผ่”
ภูวนัยสงสัยว่าไผ่พญาวิ่งหนีอะไรจึงหันไปมองทางด้านหลังก็เห็นชาติกล้าวิ่งตาม ภูวนัยตกใจ รีบวิ่งไปหาไผ่พญาด้วยอีกคน
ไผ่พญาวิ่งมาถึงบันไดเลื่อน ชาติกล้าวิ่งตามมาอย่างไม่ลดละ ไผ่พญาตัดสินใจวิ่งลงบันไดเลื่อนไปจนชนกับคนที่อยู่บันไดเลื่อนล้มระเนระนาด ชาติกล้าวิ่งตามลงบันไดเลื่อนลงมาแล้วเห็นไผ่พญาวิ่งออกประตูไป ไม่นานก็เห็นปลายฟ้าวิ่งตามมาอีกคน
ไผ่พญาวิ่งหนีมาตามทางในลานจอดรถ ชาติกล้าวิ่งตามมาติด ภูวนัยวิ่งตามเข้ามาอีกมุม เช่นเดียวกับปลายฟ้าที่วิ่งตามมาแต่ปลายฟ้ายังไม่เห็นภูวนัย
ไผ่พญาวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ชาติกล้าวิ่งตามมาเห็นอย่างนั้นก็ตัดสินใจหยิบปืนออกมาแล้วเล็งไปที่ไผ่พญา ภูวนัยที่วิ่งเข้ามาทันพอดี พอเห็นชาติกล้ายกปืนขึ้นมาเล็งก็พยายามร้องเตือนไผ่พญา
“ไผ่...ระวัง”
ไผ่พญาหันกลับมา เป็นจังหวะที่ชาติกล้าเหนี่ยวไกพอดี ปัง! แต่แล้วทันใดนั้นปลายฟ้าก็วิ่งเข้ามาเพื่อจะมาห้ามชาติกล้าไม่ให้ยิงแต่ทุกอย่างสายไปเสียแล้ว
“หมอฟ้า”
ปลายฟ้าค่อยๆ หันกลับมาถามไผ่พญาอย่างเป็นห่วง
“ครูไผ่ไม่เป็นไรนะ”
ไผ่พญามองตามเนื้อตัว แล้วไผ่พญาก็เห็นว่ามีปลายฟ้าถูกยิงที่เนินอก ปลายฟ้าทรุดลงไปกองกับพื้น ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็ตกใจ
“ฟ้า”
ภูวนัยรีบวิ่งเข้ามาหาปลายฟ้าที่ทรุดลงไปกองกับพื้น ชาติกล้าถึงกับช็อคเมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น ภูวนัยกับไผ่พญาประคองร่างของปลายฟ้าไว้ในอ้อมกอด
“ฟ้า...ฟ้าทำใจดีๆ ไว้นะ”
ปลายฟ้าหายใจรวยริน
“ภู...ฟ้า...ฟ้าฝันไปหรือเปล่า”
“ไม่ เราอยู่นี่แล้วฟ้า...ใครก็ได้เรียกรถพยาบาลที” ภูวนัยตะโกนบอก
“หมอ...หมอมาช่วยฉันไว้ทำไม” ไผ่พญาถามอย่างตกใจ
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”
“ฟ้าทำใจดีๆ ไว้นะรถพยาบาลกำลังมาแล้ว... เรียกรถพยาบาลให้ผมที”
ปลายฟ้าจับมือภูวนัยเอาไว้แล้วพยายามพูด
“ไม่ต้องหรอกภู ฟ้าเป็นหมอ...ฟ้ารู้ดี”
“ไม่...ฟ้า...ฟ้าต้องไม่เป็นอะไร” ปลายฟ้าน้ำตาไหล
“ภู...ฟ้าอยากรู้มานานแล้ว” ภูวนัยพยักหน้าพร้อมคุย “ภูเคยรักฟ้าบ้างหรือเปล่า”
ไผ่พญามองหน้าภูวนัย อยากให้ภูวนัยโกหกแล้วภูวนัยก็พยักหน้าบอกกับฟ้า
“รักซิ...เรารักฟ้ามาตลอด” ปลายฟ้ายิ้ม
“ภู...โกหกไม่เก่งเลยนะ”
“ฟ้า...ฟ้าอย่าเป็นอะไรนะ”
“ฉัน...ฉันขอโทษ” ไผ่พญาบอก ปลายฟ้าหันไปยิ้มให้ไผ่พญาก่อนจะเอื้อมมือไปมือของไผ่พญามา
“ฉันฝากดูแลภูด้วยนะ”
“ไม่ ทำไมต้องเป็นฉัน หมอก็อยู่ดูแลเขาเองซิ...หมอ”
ปลายฟ้าหันมองภูวนัย พยายามพูดเป็นครั้งสุดท้าย
“ภู...เรารั...”
ปลายฟ้าพยายามจะสารภาพรักกับภูวนัย แต่แรงใจสุดท้ายของเธอได้หมดลง ปลายฟ้าสิ้นลมในอ้อมกอดของภูวนัย
“ฟ้า...ฟ้า”
ชาติกล้าถึงกับยืนช็อคทำอะไรไม่ถูก ระหว่างนั้นตำรวจวิ่งเข้ามาพอเห็นชาติกล้าถือปืนอยู่ก็เล็งปืนใส่ชาติกล้าทันที
“หยุด...ทิ้งอาวุธแล้วยกมือขึ้นเดี๋ยวนี้”
เสียงของตำรวจทำให้ไผ่พญาหันมาแล้วก็เห็นตำรวจมากันแล้ว ไผ่พญารีบดึงภูวนัยที่กอดศพของปลายฟ้าด้วยความเสียใจไม่ยอมห่าง
“ไปได้แล้ว”
“ไม่”
ชาติกล้าบอกกับตำรวจพวกนั้น
“ผมเป็นตำรวจ” ชาติกล้าชูบัตรให้ดู “กำลังตามจับคนร้ายพวกนั้น”
ไผ่พญาลากภูวนัยออกจากร่างที่ไร้ลมหายใจของปลายฟ้า ภูวนัยจำต้องแยกออกมา ภูวนัยหันไปสบตาชาติกล้าด้วยความแค้นที่เขาอยากจะฆ่าชาติกล้าตรงนั้นเลยถ้าทำได้
“ไปซิ...เราต้องหนีก่อนนะ”
ไผ่พญาต้องรีบลากภูวนัยหนีไปในที่สุด ขณะที่ตำรวจก็วิ่งตาม อีกส่วนก็เข้ามาดูร่างของปลายฟ้าก่อนจะวิทยุบอกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ชาติกล้ามองร่างปลายฟ้าที่ตายด้วยน้ำมือของเขา
ชาติกล้าถึงกับเข่าอ่อนทรุดลงกับพื้น
ภูวนัยยืนอยู่ริมน้ำ เนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือดของปลายฟ้า ไผ่พญาเดินเข้ามา ภูวนัยพูดขึ้น
“ตอนที่ฉัน...เหมือนฝัน...แล้วก็ปลายฟ้ายังเด็กๆ มีอยู่วันนึงพวกเราไปวิ่งเล่นที่ริมน้ำ ตอนนั้นพวกเราใกล้จะกลับกันแล้ว...แล้วจู่ๆ ฟ้าเขาชี้ให้พวกเราดูในน้ำ พอพวกเราหันไปดู ก็พบว่ามีลูกเจี๊ยบสี่ห้าตัวกำลังจะจมน้ำอยู่ เธอคิดว่าฉันจะทำยังไง” ไผ่พญานิ่งเพราะไม่รู้ว่าภูวนัยต้องการคำตอบจริงๆ หรือเปล่า “ฉันยืนนิ่งเพราะไม่รู้ว่าจะช่วยพวกมันยังไง แต่ฟ้า...กลับเป็นคนแรกที่กระโดดลงไปในน้ำแล้วช่วยพวกมันขึ้นมาทีละตัว ฟ้าเขาเป็นคนอย่างนี้แหละ คิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ”
“ฉันรู้”
ภูวนัยครุ่นคิดวกวนถึงเหตุการณ์ที่เมื่อครู่
“ถ้าฉันไปถึงเร็วกว่านี้ แค่ก้าวเดียว...แค่ก้าวเดียวเท่านั้น...ฟ้าคงไม่ตาย”
ไผ่พญาไม่รู้จะทำยังไงเลยเดินเข้าไปจับมือภูวนัยมากุมไว้
“ไม่ใช่ความผิดนาย นายอย่าโทษตัวเองซิ...คนที่ยิงฟ้าคือหมวดชาติ...ไม่ใช่นาย”
ภูวนัยดึงมือออกจากไผ่พญาแล้วเดินไปที่ริมน้ำ
“คุณกลับไปก่อน ผมอยากอยู่คนเดียว”
ไผ่พญามองภูวนัยด้วยความเป็นห่วง
อีกด้านหนึ่งที่คอนโดชาติกล้า ชาติกล้ายืนอยู่ริมหน้าต่างในห้องที่ปิดไฟมืดสนิท สายตาเหม่อมองออกไปยังเบื้องหน้าด้วยหัวใจที่เจ็บปวดจากการจากไปของปลายฟ้า ชาติกล้าหลับตาลงแล้วเห็นภาพที่เขาเหนี่ยวไก ปลายฟ้าวิ่งเข้ามารับกระสุนแทนไผ่พญา
ชาติกล้ากำหมัดแน่นอย่างปวดร้าว ชาติกล้าลืมตาขึ้นมาก่อนจะเดินไปที่หยิบขวดเหล้าจะยกดื่ม แต่แล้วชาติกล้าก็เห็นซองเอกสาร(ของปลายฟ้า) มีเลือดของปลายฟ้าเปรอะเปื้อนอยู่ ชาติกล้าหยิบซองขึ้นมาดูก่อนจะแกะมันออก แล้วชาติกล้าก็อึ้งไปเมื่อพบว่าข้างในเป็นรูปของปลายฟ้ากับภูวนัยตอนวัยรุ่นกำลังกอดคอใกล้ชิดกันในสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง ชาติกล้าเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งโมโห ชาติกล้าฉีกรูประบายอารมณ์รูปถูกฉีกกระจายเกลื่อนพื้น
“ทำไมเธอถึงได้โง่...โง่...โง่อย่างนี้”
ชาติกล้าฉีกรูปจนกระจายเกลื่อนห้อง ชาติกล้าทิ้งตัวลงอย่างหมดแรงก่อนจะเห็นใบหน้าของปลายฟ้าที่เป็นรูปที่ถูกฉีกอยู่กับพื้น ชาติกล้ามองรู้สึกผิด
“ฟ้า...เราขอโทษ...เราขอโทษ... อ้าอาอาอาอาอาอา”
ชาติกล้าร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง
ที่เซฟเฮาส์ภูวนัย ขิงกับกระดังงาถึงกับอึ้งพูดอะไรไม่ออกเมื่อรับรู้เรื่องของปลายฟ้า
“หมอฟ้า...ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย”
กระดังงาพูดไม่ออกเห็นน้ำตาคลอเบ้า ขิงก็โอบกอดเพื่อปลอบใจ
“ไอ้บ้านั่นมันชั่วจริงๆ ทำไมนะ...ทำไมคนเลวๆ อย่างมันไม่ตาย แต่คนดีอย่างหมอฟ้ากลับ...”
ขิงเองก็พูดไม่ออกเช่นกัน ไผ่พญานั่งซึม ไม่อยากทำอะไร ไผ่พญาลุกขึ้นช้าๆ แล้วทำท่าจะเดินออกไป
“แกจะไปไหนไผ่”
“ไปดูคุณภูหน่อย ฉันไม่อยากปล่อยเขาไว้คนเดียว”
ไผ่พญากำลังจะเดินออกไปแต่แล้วบานประตูก็เปิดออก แล้วทุกคนก็ต้องแปลกใจเมื่อเห็นอภิวัฒน์เดินเข้ามา
“สวัสดีทุกคน” ทุกคนกล่าวสวัสดีอภิวัฒน์ “ผมรู้เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว ผมอยากคุยกับหมวดภู”
ไผ่พญาสงสัยว่าอภิวัฒน์อยากคุยกับภูวนัยเรื่องอะไร
ภูวนัยยังยืนนิ่งอยู่ที่ริมน้ำเช่นเดิม ระหว่างนั้นอภิวัฒน์เดินเข้ามาด้านหลัง
“ผมเสียใจด้วย”
ภูวนัยหันไปก็เห็นอภิวัฒน์ยืนอยู่
“ผมน่าจะเชื่อท่าน” อภิวัฒน์แปลกใจว่าเรื่องอะไร “ทุกคนที่ผมรัก...ต้องตายเพราะผม...ทุกคนต้องเดือดร้อนเพราะผม...เมื่อไรเรื่องพวกนี้มันจะจบ ผมไม่อยากให้ใครตายเพราะผมอีกแล้ว”
“ผมเข้าใจ แต่ผมไม่อยากให้หมวดโทษตัวเอง” อภิวัฒน์ตัดสินใจบอกธุระของตน “หมวดภู...คุณเป็นกำลังสำคัญของเรา ตอนนี้ผมอยากให้คุณเก็บตัวอยู่แต่ในเซฟเฮาส์ซักพัก”
“ทำไมครับ”
“สายของผมรายงานว่า ชาติกล้าให้ปากคำว่าหมวดเป็นคนยิงหมอปลายฟ้า”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งทวีความแค้นมากขึ้น
“ไอ้ชาติ”
อภิวัฒน์พยายามพูดเพื่อให้ภูวนัยตั้งสติ
“หมวด...ตอนนี้ผมรู้ว่าหมวดรู้สึกยังไง แต่ผมอยากให้หมวดหยุดเรื่องแก้แค้นเอาไว้ก่อน”
“หยุดเหรอครับ ผมจะไม่หยุดจนกว่าผมจะจัดการไอ้สารเลวอย่างมันได้”
“หมวดอยากให้คนรอบข้างหมวดตายอีกหรือไง” ภูวนัยถึงกับชะงัก “ขอโทษที่ผมต้องพูดอย่างนี้ แต่ถ้าตอนนี้หมวดทำอะไรลงไปโดยไม่คิด มันจะยิ่งยุ่งกันไปใหญ่...เชื่อผมนะหมวด...ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลา”
ภูวนัยกำหมัดด้วยความแค้นที่กำลังรอวันระเบิด
อ่านต่อหน้า 3
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ไผ่พญานั่งอยู่ที่สนามหญ้าหน้าบ้าน รอคอยการกลับมาของภูวนัยด้วยความเป็นห่วง ระหว่างนั้นภูวนัยเดินกลับเข้ามาจึงเห็นไผ่พญานั่งอยู่
ภูวนัยเดินต่อไปจะเข้าบ้านอย่างไม่สนใจไผ่พญา ทั้งๆ ที่รู้ว่าไผ่พญาต้องนั่งรอเขาแน่ๆ ไผ่พญาหันมาก็เห็นภูวนัยเดินเข้ามา ไผ่พญารีบลุกเข้าไปหาทันที
“เอ่อ...” ไผ่พญาไม่รู้จะพูดอะไรจึงพูดได้แค่นั้น แต่ภูวนัยกลับเดินผ่านไผ่พญาไปอย่างไม่สนใจ ไผ่พญาถึงกับงงเมื่อภูวนัยไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย “เดี๋ยวก่อนซิ” ไผ่พญาวิ่งไปดักหน้าภูวนัย “นายโอเคหรือเปล่า”
ภูวนัยมองไผ่พญาด้วยสายตาที่เย็นชา
“เพื่อนผมเพิ่งตาย ผมโอเคหรือเปล่าน่ะเหรอ”
“ฉันขอโทษ”
ภูวนัยจะเดินไป ไผ่พญาไม่อยากถามอะไรอีกเพราะคิดว่าภูวนัยคงไม่อยู่ในอารมณ์คุยแต่แล้วภูวนัยกลับหยุด ไผ่พญาแอบดีใจ ภูวนัยกลับหันมาถามไผ่พญา
“แล้วคุณนัดกับปลายฟ้าเรื่องอะไร”
“เอ่อ...หมอฟ้าเขานัดฉันเพื่อฝากบอกนายว่าเธอจะไปเรียนต่อเมืองนอก”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งอึ้ง
“แล้วทำไมคุณไม่บอกผม”
“ก็หมอฟ้าบอกว่าไม่ให้บอกนาย”
ภูวนัยชะงักไป รู้สึกผิด
“ถ้าคุณบอกผมซักคำ ฟ้าก็คงไม่ตาย”
“ว่าไงนะ นี่นายกำลังจะบอกว่าที่หมอฟ้าตายเป็นความผิดฉันเหรอ”
“หรือคุณจะบอกว่าไม่ใช่”
ไผ่พญาได้ยินที่ภูวนัยพูดอย่างนั้นก็อึ้งไป ภูวนัยพยายามห้ามอารมณ์แล้วจะเดินเข้าบ้าน
“นายคิดอย่างนั้นจริงๆ เหรอ” ไผ่พญาถามขึ้นมา ภูวนัยชะงักหยุด “นายคิดว่าฉันเป็นคนทำให้หมอฟ้าตายจริงๆ เหรอ”
“คุณไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดชื่อปลายฟ้าอีก”
ภูวนัยเดินเข้าบ้านไป ไผ่พญามองตามเครียดที่ทุกอย่างมันดูแย่ลงไปหมด
ภูวนัยอยู่ในห้องน้ำ ยืนสงบสติอารมณ์อยู่ที่อ่างล้างหน้า ระหว่างนั้นภูวนัยมองไปในกระจกแล้วก็ชะงักไปเมื่อเห็นเสื้อของเขาที่เปื้อนเลือดของปลายฟ้าอยู่ ภูวนัยเอามือจับตรงรอยเลือดนั่นก่อนจะนึกไปถึงเหตุการณ์ต่างๆ ตอนที่เหมือนฝันและครอบครัวโดนยิงที่หน้าร้านอาหาร ตอนที่เขาทำให้ทุกคนไม่มีบ้านอยู่ ตอนที่ปลายฟ้าถูกยิง
ภูวนัยนึกถึงเหตุการณ์ต่างๆ ก็นิ่งไปอย่างไตร่ตรอง
“ไผ่ ฉันขอโทษ แต่ฉันไม่อยากให้เธอเป็นอันตราย”
ภูวนัยตัดสินใจที่จะทำบางอย่าง
วันต่อมาที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ อภิวัฒน์นั่งลงที่เก้าอี้
“เรียกฉันมาแต่เช้าอย่างนี้. ถ้าไม่มีเรื่องสำคัญจริงๆ นายได้กลับไปใส่เสื้อตัวโปรดของนายแน่”
อภิวัฒน์บอกขณะที่สมสุขกำลังเทเกลือใส่กาแฟ อย่างไม่สะทกสะท้าน
“ถ้าท่านอยากรู้จริงๆ ท่านต้องสัญญาก่อนว่า...ผมจะได้อยู่กับน้องไผ่...สองต่อสอง” สมสุขยกกาแฟใส่เกลือขึ้นจิบแล้วทำหน้าสดชื่น “ฮ้า...”
“ฉันเคยบอกสิทธิ์ของนายให้ฟังแล้วนี่...ว่านายไม่สิทธิ์ต่อรองอะไร”
“นี่ท่านไม่สงสารผมบ้างหรือไง ตั้งแต่ผมรอดตายมา หมาตัวเมียผมก็ยังไม่เคยเห็น” อภิวัฒน์ไม่สนใจหันไปพยักหน้าให้กับตำรวจนอกเครื่องแบบที่ถือเสื้อสำหรับมัดคนบ้าเดินเข้ามา สมสุขเห็นอย่างนั้นก็ร้องห้าม “โว้ๆ ใจเย็นๆผมก็แค่อยากถามน้องไผ่เท่านั้นเองว่าใครเป็นคนยิงผม”
“เลิกลีลาได้แล้วสมสุข บอกมาว่ามีเรื่องอะไร”
สมสุขต้องจำใจบอก
“ตอนนี้ เป็นเวลาที่ท่านต้องรีบทำให้พวกห้าเสือกับไอ้วศินมันแตกกันได้แล้ว”
“ไม่เร็วไปหน่อยหรือไง ตอนนี้กำนันเต่าเพิ่งตาย ขืนเราทำอะไรไปฉันว่าพวกมันต้องรู้แน่ๆ ว่าเป็นฝีมือพวกเรา”
“ผมไม่ได้บอกนี่ว่าเราจะให้พวกห้าเสือฆ่ากัดเอง ผมว่าตอนนี้เราต้องทำให้พวกเสือที่เหลือกลับมากัดคนให้อาหารมันได้แล้ว”
สมสุขยิ้มเจ้าเล่ห์ อภิวัฒน์สงสัยว่าสมสุขมีแผนอะไร
พายัพ แม่เลี้ยงรัญญา นายหัวคึกเดินมาตามทาง โดยมีลูกน้องเดินตามกันมาเป็นขบวน
“พอจะรู้หรือยังว่าเป็นฝีมือใคร”
“จะใครอีกละ มันก็มีอยู่คนเดียว ถ้าเสี่ยแคนมันบริสุทธ์ใจจริงๆ ทำไมวันนี้มันไม่มา แต่ฉันเข้าใจหัวอกเสี่ยเขานะว่าการโดนหุ้นส่วนโกงมันเป็นยังไง”
แม่เลี้ยงรัญญาได้ยินอย่างนั้นก็หยุดแล้วหันไปเอาเรื่องกับนายหัวคึก
“พูดอย่างนี้หมายความว่าไง”
แม่เลี้ยงรัญญากับนายหัวคึกประจันหน้ากัน ลูกน้องของแต่ละฝ่ายก็เข้ามายืนข้างหลังเจ้านายตัวเอง
“จะกัดกันไปถึงไหน” พายัพโพล่งขึ้นมาทำให้แม่เลี้ยงรัญญากับนายหัวคึกต่างก็ต้องเงียบลง “ตอนนี้เราก็เหลือกันแค่นี้แล้ว ยังจะกัดกันอีกหรือไง”
“แล้วไอ้วศินว่าไง มันจะเอายังไงกับส่วนของกำนันเต่า”
ทั้งหมดเดินมาถึงหน้าห้อง ลูกน้องคนนึงเปิดประตูให้
“เข้าไปคุยข้างในดีกว่า”
พายัพ แม่เลี้ยงรัญญาและนายหัวคึกเข้ามาในห้องอาหารส่วนตัว แล้วทั้งสามก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นวศินนั่งอยู่ภายในห้อง
“ว่าไง”
พายัพ แม่เลี้ยงรัญญา และนายหัวคึกถึงกับมองหน้ากัน ก่อนที่ทั้งสามจะพากันเดินไปนั่งที่นั่งของตัวเอง
“จะมาทำไมไม่บอกก่อนละครับ ผมจะได้สั่งอาหารพิเศษไว้ให้”
“พิเศษแค่ไหน อั้วก็คงทานไม่ค่อยลงหรอก พอดีช่วงนี้ไอ้ธุรกิจที่อั้วลงทุนอยู่มันกำลังต้องการเงิน”
“ไม่ต้องห่วง พวกเราจ่ายตรงเวลากันอยู่แล้ว”
“ก็ดี...ถ้ากำนันเต่าได้ยินอย่างนี้คงจะสบายใจที่พวกลื้อสานงานต่อ”
“หมายความว่าไงคะ”
“ไม่เอาน่าแม่เลี้ยง โตๆ กันแล้ว น่าจะรู้เรื่องนะ”
“รู้เรื่องเหรอ ทำไมพวกเราต้องจ่ายในส่วนของกำนันเต่าด้วย”
วศินเหล่มองนายหัวคึก นายหัวคึกหลบตา วศินลุกขึ้นแล้วไปโอบไหล่นายหัวคึก
“ทำไมน่ะเหรอ ก็เพราะว่าลื้อทำสิ่งผิดกฎหมายไง เปิดซ่อง...ค้ามนุษย์...ค้าของเถื่อน...อั้วจะเอาพวกลื้อเข้าคุกเมื่อไหร่ก็ได้ แล้วที่อั้วมานี่...ไม่ได้มาขอร้อง...แต่พวกลื้อต้องทำตามที่อั้วบอก” พายัพ แม่เลี้ยงรัญญาและนายหัวคึกต่างนิ่งกันเหมือนยอมรับคำสั่งจากวศิน “ทีนี้เข้าใจกันแล้วนะ เอาละ...อั้วต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะเข้าประชุมสาย พวกลื้ออยากรู้มั้ยว่าหัวข้อการประชุมวันนี้คืออะไร เรื่องการปราบปรามผู้มีอิทธิพล”
วศินเดินมาตบไหล่พายัพก่อนจะเดินออกจากห้องไป ทันทีที่วศินออกจากห้องไปนายหัวคึกก็ตบโต๊ะด้วยความโมโห
“จะมากไปแล้วนะเว้ย...เฮ้ย” นายหัวคึกมองพายัพกับแม่เลี้ยงรัญญา “ตกลงจะเอากันอย่างนี้ใช่มั้ย จะยอมให้มันขึ้นไปเรื่อยๆ อย่างนี้เหรอ”
“ใจเย็นน่านายหัว”
“มึงไม่ต้องพูดเลย ที่พวกเราสนับสนุนให้แกขึ้นมาแทนสมสุข เพราะคิดว่าแกจะมีดีกว่านี้ แต่นี่ทุกอย่างมันแย่ลงตั้งแต่แกขึ้นมา”
“ในเมื่อนายหัวพูดอย่างนี้ ก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีก ผมยินดีที่จะจ่ายในส่วนของผม ส่วนใครจะไม่จ่ายก็ตามสบาย ผมเองก็อยากดูอยู่เหมือนกันว่า ถ้าไม่จ่ายจะเกิดอะไรขึ้น”
พายัพพูดหน้านิ่งไม่ได้รู้สึกอะไร ขณะที่แม่เลี้ยงรัญญาก็กำลังใช้ความคิดไตร่ตรอง ส่วนนายหัวคึกลงนั่งด้วยความหงุดหงิด
ชาติกล้านั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของโรงแรมกำลังมองรูปปลายฟ้าที่ฉีกขาด ระหว่างนั้นเสียงของปลายฟ้าดังขึ้น
“ไม่ต้องรู้สึกผิดหรอกชาติ...”
ชาติกล้าเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นปลายฟ้านั่งอยู่ตรงข้ามกับเขา
“ฟ้า...เรา...เราขอโทษ”
“ไม่เป็นไร เพราะฟ้าเลือกที่จะทำแบบนี้เอง” ปลายฟ้ายิ้มให้ชาติกล้า ชาติกล้ายิ่งรู้สึกผิด ปลายฟ้าเอื้อมมือมาจับมือชาติกล้าเอาไว้ “ทุกคนมีทางเลือกเสมอนะชาติ ตอนนี้...ยังไม่สายถ้าชาติจะเลือกอีกทาง”
“แต่เรามาไกลเกินไปแล้วฟ้า”
“ก็อย่าไปไกลกว่านี้ซิ”
ปลายฟ้ายิ้มให้ชาติกล้า ชาติกล้าเริ่มหวั่นไหว ระหว่างนั้นมีมือนึงเข้ามาตบที่ไหล่ของชาติกล้า ชาติกล้าหันไปก็เห็นวศินนั่นเอง
“เป็นไร อั้วเรียกตั้งนานแล้วไม่ได้ยินหรือไง”
ชาติกล้าหันไปมองที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามก็ไม่เห็นปลายฟ้าอยู่แล้ว
“ขอโทษครับ”
“มีอะไรหรือเปล่า วันนี้ลื้อดูเงียบๆ นะ”
“ไม่มีอะไรครับ พอดีช่วงนี้งานที่สำนักงานเยอะไปหน่อย”
“เยอะยังไงก็อย่าลืมว่างานของเรามันสำคัญกว่า ตอนนี้อั้วบอกพวกมันให้จ่ายในส่วนของกำนันเต่าแล้ว...หน้าที่ของลื้อคือการจับตาดูพวกมันเอาไว้ ถ้าเกิดพวกมันคิดจะตุกติกอะไรละก็...รีบรายงานอั้ว”
วศินจะเดินไป ชาติกล้าเรียกเอาไว้
“เอ่อ...ท่านครับ” วศินหันมา “เป็นไปได้มั้ยครับ ถ้าผมจะขอลาซักอาทิตย์นึง”
“ไว้ก่อน ตอนนี้การโยกย้ายใกล้เข้ามาแล้ว ลื้ออย่าลืมซิอั้วทำทุกอย่างมาก็เพื่อวันนี้ แล้วถ้าอั้วได้เป็น...ลื้อก็สบายไปทั้งชาติเหมือนกัน”
วศินพูดจบก็เดินออกไป ชาติกล้าครุ่นคิดตามคำพูดของวศินก่อนที่ชาติกล้าจะหยิบรูปของปลายฟ้าขึ้นมาดู แต่แล้วชาติกล้าก็โยนรูปของปลายฟ้าทิ้งลงพื้นก่อนจะเดินตามวศินไป เหมือนว่าชาติกล้าได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่หันหลังกลับอีก
ไผ่พญานั่งอยู่ภายในห้องยังอารมณ์ไม่ดีจากที่ภูวนัยคิดว่าการตายของปลายฟ้าเป็นความผิดของเธอ
“ถ้าคุณบอกผมซักคำ...ฟ้าก็คงไม่ตาย”
“ว่าไงนะ...นี่นายกำลังจะบอกว่าที่หมอฟ้าตายเป็นความผิดฉันเหรอ”
“หรือคุณจะบอกว่าไม่ใช่”
ไผ่พญาหน้าเครียด
“นายคิดว่าฉันอยากให้เป็นแบบนี้หรือไง ถ้าเลือกได้...ฉันเองก็อยากให้คนที่โดนยิงเป็นฉัน...ไม่ใช่เธอ”
ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้น ไผ่พญาหันไปมอง ไผ่พญานิ่งไปไม่อยากไปเปิดเพราะไม่อยากเจอหน้าภูวนัย แต่เสียงเคาะประตูยังดังขึ้นอีก ไผ่พญาสูดลมหายใจพร้อมเผชิญหน้าแล้วลุกไปเปิดประตู
“จะเอายังไงกับฉันอี(ก)...” ไผ่พญาอึ้งไปเพราะเห็นขิงกับกระดังงาไม่ใช่ภูวนัย “มีอะไร”
“ฉันต่างหากต้องถามแกว่าเมื่อคืนแกกับคุณภูทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า”
ไผ่พญานิ่งไป ไม่อยากบอก
“ทำไม”
“เอ้า แกลงไปดูดิ คุณภูเขาเก็บเสื้อผ้าไปจากที่นี่แล้ว”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป
ไผ่พญากำลังยืนอึ้งตรงโซฟา ขิงกับกระดังงาเดินเข้ามา
“ไม่มีวะไผ่ คุณภูเขาไม่ได้ทิ้งโน้ตอะไรไว้เลย”
กระดังงาเข้ามาถามไผ่พญาด้วยความอยากรู้
“ไผ่...แกไม่รู้เลยเหรอว่าทำไมอยู่ๆ คุณภูถึงได้หายไป”
ไผ่พญานิ่งไปก่อนจะพูดขึ้น
“เขาคิดว่าฉันเป็นคนทำให้หมอปลายฟ้าตาย”
ขิงกับกระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็นึกไม่ถึง
“เฮ้ย! ทำไมคุณภูเขาคิดอย่างนั้นวะ ก็หมอปลายฟ้าเขาวิ่งมารับกระสุนแทนแกเอง”
“พอเถอะไอ้ขิง ฉันไม่อยากฟังอะไรแล้ว” ไผ่พญาเศร้าไปเมื่อรู้ว่าภูวนัยจากไป แต่แล้วไผ่พญาก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้ก็ตกใจ “หรือว่า...”
ไผ่พญารีบลุกขึ้นทำท่าจะออกไป ขิงกับกระดังงาแปลกใจ รั้งไผ่พญาเอาไว้
“แกจะไปไหนไอ้ไผ่”
“ฉันว่าคุณภูเขาอาจจะไปแก้แค้นหมวดชาติ”
ขิงกับกระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ แต่แล้วทั้งสามคนก็ต้องตกใจอีกเมื่อมีชายสองคนเดินเข้ามาในบ้าน
“เฮ้ย! พวกแกเป็นใคร”
“ไม่ต้องถามอะไรมาก ไปกับพวกเรา”
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาทั้งอึ้งทั้งงงว่านี่มันเรื่องอะไร
ส่วนที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ หลังเซ็นเอกสารเสร็จแล้วอภิวัฒน์ลุกขึ้นเดินเข้ามาหาภูวนัย
“ผมดีใจที่หมวดไม่หยิบปืนแล้วไปแก้แค้นหมวดชาติ”
ภูวนัยยืนอยู่ริมหน้าต่างหันมา
“ผมว่าการทำอย่างนั้น มันง่ายไปหน่อย...มันจะต้องชดใช้ในสิ่งที่มันทำเอาไว้”
อภิวัฒน์มองภูวนัยเหมือนกำลังอ่านความคิดของภูวนัย
“แล้วคุณมีเหตุผลอะไรอีกมั้ยที่อยากจะย้ายมาอยู่ที่นี่”
ภูวนัยชะงักไป ก่อนจะเก็บสีหน้าไม่ให้อภิวัฒน์อ่านออก
“ไม่ครับ การมาอยู่ที่นี่ บางทีมันอาจจะทำให้เรื่องที่ผมทำอยู่เสร็จเร็วขึ้น...ท่านสงสัยอะไรเหรอครับ”
“หมวด ผมรู้ว่าหมวดย้ายมาอยู่ที่นี่เพราะต้องการกันคุณไผ่พญาและเพื่อนๆ เธอออกไป เพราะหมวดไม่อยากให้พวกเขาเป็นอันตราย”
ภูวนัยนิ่งๆ ไปเพราะอภิวัฒน์อ่านทะลุหมด แต่พยายามปฏิเสธ
“งานที่พวกเราทำอยู่ ไม่ต้องการมือสมัครเล่นอย่างพวกเขา อย่างที่ผมเรียนกับท่าน ผมต้องการทำลายไอ้วศิน...ชาติกล้า...และพวกห้าเสือให้เร็วที่สุด”
“ผมเข้าใจละ แต่หมวดคงจะไม่ขัดข้องนะ ถ้าผมจะบอกว่าภารกิจต่อไปของเราต้องการมือสมัครเล่นอย่างพวกเขา”
ภูวนัยมองอภิวัฒน์อย่างแปลกใจ กำลังจะถามแต่แล้วก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะเห็นชายคนนึง(คนที่ไปบ้านไผ่พญาเดินเข้ามา) เดินเข้ามา
“มาแล้วครับท่าน”
ภูวนัยมองไปที่ประตูแล้วก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นไผ่พญาเดินเข้ามาพร้อมกับขิงและกระดังงา พอขิงเห็นภูวนัยก็ดีใจ
“อ้าว...คุณภูมาอยู่นี่เอง ไงละไอ้ไผ่ แกเดาผิดเห็นมั้ย ใครบอกว่าคุณภูเขาไปแก้แค้น”
ไผ่พญายืนนิ่งมองภูวนัยอย่างสังเกตทีท่าเพราะไม่รู้ว่าภูวนัยจะรู้สึกยังไง ภูวนัยเข้ามาหาไผ่พญาหน้าเครียด
“คุณมาทำอะไรที่นี่”
“ฉันเองก็อยากรู้เหมือนกัน”
ภูวนัยหันไปต้องการคำตอบจากอภิวัฒน์
“ท่านครับ...”
“หมวด งานนี้หมวดทำคนเดียวไม่ได้”
“แต่ถ้าให้ผมทำกับมือสมัครเล่นพวกนี้ ผมทำคนเดียวดีกว่าครับ พวกคุณกลับไปได้แล้ว”
ขิงกับกระดังงาถึงกับอุทานออกมา “อ้าว”
“ฉันไม่กลับ” ไผ่พญาบอก
“ผมบอกให้กลับไปไง”
ภูวนัยพูดเสร็จก็เข้าไปจับแขนของไผ่พญาจะดึงออกไป ไผ่พญาสะบัดมือภูวนัยออก
“ปล่อยฉันนะ” ภูวนัยชะงักไปเมื่อเห็นไผ่พญาเริ่มมีปากเสียง “ทำไมฉันต้องเชื่อนายด้วย ท่านอภิวัฒน์เป็นคนขอให้เราทำงานนี้...ไม่ใช่นาย...ใช่มั้ยคะท่าน”
ไผ่พญาหันไปขอเสียงอภิวัฒน์ ทำให้อภิวัฒน์ถึงกับทำหน้าไม่ถูก ภูวนัยมองไผ่พญาอย่างหมั่นเขี้ยว
เวลาต่อมา ทุกคนนั่งฟังภารกิจต่อไปจากอภิวัฒน์
“ตอนนี้ผมคิดว่าพวกห้าเสือ ไม่สิ แค่สี่เสือกำลังเกิดการระส่ำระส่ายอย่างหนัก”
“พวกนั้นกลัวพวกเราไปจัดการใช่มั้ยครับ”
“แกจะบ้าเหรอไง พวกนั้นรู้ว่าเป็นฝีมือพวกเราซะที่ไหน”
“ถูกต้อง ที่ผมบอกว่าพวกนั้นกำลังปั่นป่วนก็เพราะ เมื่อกำนันเต่าตายไปทุกคนคงจะคิดว่าคนที่เสียผลประโยชน์ที่สุดก็คือวศิน” อภิวัฒน์โยงเส้นบนกระดานให้กับทุกคนดู ก่อนจะอธิบายต่อ “แต่ที่จริงแล้ว คนที่โดนผลกระทบมากที่สุดก็คือพวกสี่เสือที่เหลือ” อภิวัฒน์วงกลมที่สี่เสือบนกระดาน “เพราะคนอย่างวศินมันไม่ยอมที่จะเสียรายได้จำนวนมากอย่างนั้นไปแน่นอน เพราะฉะนั้นสี่เสือที่เหลือจำเป็นต้องจ่ายในส่วนของกำนันเต่าด้วย”
“แล้วท่านทราบได้ยังไงว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ”
“สมสุขไง” ไผ่พญาชะงักนิดนึงเมื่อได้ยินชื่อของสมสุข “สมสุขเล่าว่า...มีอยู่ครั้งนึงที่นายหัวคึกไปทำธุรกิจที่ประเทศเพื่อนบ้าน แต่โดนคนในนั้นไม่ยอมให้ออกมาหลายเดือน แล้ววศินมันก็แก้ปัญหาโดยการเก็บส่วนของนายหัวคึกจากสี่เสือที่ยังอยู่”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็พูดขึ้นลอย
“ได้ยินกันแล้วใช่มั้ย ในเมื่อสิ่งที่พวกเราทำไปมันเปล่าประโยชน์ ผมว่าพวกคุณถอนตัวตอนนี้ยังทัน”
ไผ่พญาบ่นขึ้นให้ได้ยิน
“ใจเสาะ”
“อะไร”
“เปล่า ฉันแค่อยากจะบอกนายเหมือนกันว่า ถ้านายคิดจะถอนตัวตอนนี้ก็ยังทัน”
อภิวัฒน์เห็นภูวนัยกับไผ่พญาเริ่มจะเถียงกันก็กระแอมขัดขึ้น
“แฮ่ม” ภูวนัยกับไผ่พญาจึงยุติ ไผ่พญาเลิกสนใจภูวนัย หันมาถามอภิวัฒน์
“ท่านก็เลยคิดว่าวศินก็จะใช้วิธีเรียกเก็บเงินจากสี่เสือที่เหลือเหมือนเดิมใช่มั้ยคะ”
“แน่นอน” ภูวนัยคิดตาม
“ถ้าอย่างนั้น ไม่ว่าเราจะกำจัดพวกสี่เสือยังไง ไอ้วศินก็จะเรียกเก็บกับคนที่เหลือไปเรื่อยๆ” อภิวัฒน์พยักหน้า “แล้วอย่างนี้ก็เท่ากับเราอะไรไอ้วศินไม่ได้เลยซิครับ”
“ทำไมจะไม่ได้ “
ทุกคนมองอภิวัฒน์อย่างอยากรู้ว่าอภิวัฒน์จะมีแผนการอะไร
วันต่อมาขณะที่วศินกำลังเดินออกมาจากบ้าน มีแม่บ้านและคนขับรถเดินถือกระเป๋าเอกสารตามมา เหตุการณ์เมื่อคืนนี้อภิวัฒน์บอกถึงแผนการที่จะจัดการวศินกับกลุ่มของภูวนัย ภูวนัยถึงกับตกใจ
“เราจะปล้นเงินวศินเหรอครับ”
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาต่างก็ตกใจไม่แพ้ภูวนัย อภิวัฒน์พยักหน้า
“ฉันคาดว่า เงินที่วศินได้จากพวกห้าเสือ ต้องไม่ต่ำกว่าร้อยล้าน”
“ร้อยล้าน”
“คิดดูซิ ถ้าเงินจำนวนนั่นหายไป ถึงวศินจะไปเรียกเก็บกับพวกห้าเสือ ก็คงไม่มีใครยอมจ่ายเงินจำนวนนั่นแน่ๆ...ผมว่า นี่เป็นวิธีที่จะเล่นงานวศินได้โดยตรง”
“นี่ท่านจะให้พวกเราปล้นธนาคารเหรอคะ”
“ไม่หรอก เงินที่มันได้มาจากห้าเสือ มันเป็นเงินที่ไร้ที่มาที่ไป เกิดวันนึงปปช.ตรวจสอบขึ้นมา มันก็คงตอบคำถามไม่ได้ เพราะฉะนั้นวศินไม่ได้เก็บเงินที่ธนาคารอย่างแน่นอน”
“ถ้าไม่ได้เก็บไว้ที่ธนาคารแล้วจะเก็บไว้ที่ไหนครับ”
ภูวนัยถามจบ อภิวัฒน์ก็หันไปเปิดภาพขึ้นจอให้ทุกคนดู เป็นภาพวศินกำลังเดินออกจากโรงแรม โดยมีชาติกล้าหิ้วกระเป๋าเดินตามแล้วไปขึ้นรถ
“จากการตามสืบของเรามาตั้งแต่ต้น สิ่งที่เราเห็นก็คือเมื่อวศินรับเงินจากพวกห้าเสือเสร็จมันก็จะตรงกลับบ้านทันที”
อภิวัฒน์กดเปลี่ยนภาพไปเรื่อยก่อนจะเห็นภาพแอบถ่ายที่เห็นชาติกล้าเดินถือกระเป๋าเงินเข้าบ้านวศินไป
“มันเก็บเงินไว้ในบ้าน”
อภิวัฒน์พยักหน้า ทุกคนถึงกับอึ้งไป
ภูวนัยกำลังใช้กล้องส่องทางไกลดูความเคลื่อนไหวของวศินอยู่ภายในรถตู้ ไผ่พญาเองก็ลดกล้องลงเหมือนกัน
“บ้านใหญ่อย่างนั้น จะรู้มั้ยเนี่ยว่ามันเก็บเงินไว้ที่ไหน” ไผ่พญาพูดจบก็หันมาเห็นภูวนัยจ้องหน้าเธออยู่ “อะไร”
“ผมอยากให้คุณทำงานนี้เป็นชิ้นสุดท้าย”
“แล้วถ้าฉันบอกว่าไม่ละ” ภูวนัยทำหน้าเซ็ง “ทำไม กลัวว่าฉันจะทำให้ใครตายอีกหรือไง”
“ผมไม่อยากต่อล้อต่อเถียงกับคุณ ผมพูดจริงๆ ผมอยากให้คุณทำงานนี้เป็นครั้งสุดท้าย แล้วคุณก็ควรเริ่มต้นชีวิตใหม่ซะ” ไผ่พญาแค่นยิ้ม
“นี่นายพูดง่ายดีนี่ นายอยากให้ฉันไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทั้งๆ ที่หมวดชาติ พายัพก็ยังอยู่เนี่ยนะ แล้วชีวิตฉันจะปลอดภัยได้ยังไง ที่ฉันทำอย่างนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของฉันเอง ฉันก็ไม่ได้อยากอยู่กับนายนักหรอก...ชิ”
ไผ่พญาทำหน้าหมั่นไส้ภูวนัย ก่อนจะหันไปใช้กล้องส่องดูที่บ้านวศินต่อ ภายในกล้องส่องทางไกลเห็นวศินขึ้นรถก่อนจะเห็นรถของวศินขับออกไป
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว เราจะได้เข้าใจตรงกันว่าผมกับคุณ...ไม่ได้อยากอยู่ใกล้กัน”
“วศินออกไปแล้ว”
ภูวนัยรีบยกกล้องมองตามที่ไผ่พญาบอก แล้วรีบเก็บกล้อง รีบเตรียมตัว
“เมื่อกี้คุณได้ยินที่ผมพูดมั้ย”
“นายพูดอะไร” ภูวนัยเซ็ง “ตกลงนายจะรอให้วศินกลับมาเลยดีมั้ย”
ภูวนัยชี้หน้าไผ่พญาอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะรีบลงจากรถตู้ไป ไผ่พญาเองก็ทำหน้าทำตาไม่ยอมแพ้ภูวนัยเหมือนกัน ก่อนที่ไผ่พญาจะนึกขึ้นได้จึงรีบหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออก
ขิงกับกระดังงานั่งอยู่ที่รถกระบะของตน กระดังงาสะดุ้งเมื่อเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น
“ว่าไงไอ้ไผ่...ออกมาแล้วเหรอ” ระหว่างนั้นเห็นรถของวศินขับผ่านไป “โอเค ฉันเห็นแล้ว ถ้ามีอะไรเดี๋ยวฉันโทรไป” กระดังงาวางสายก่อนจะหันไปบอกขิง “ไปเร็ว”
ขิงกับกระดังงารีบวิ่งไปขึ้นรถก่อนจะรีบขับตามรถของวศินไป
เสียงกริ่งประตูดังขึ้นที่หน้าบ้านวศิน แม่บ้านออกมาจากประตูบ้าน เดินมาที่ประตูรั้วแล้วก็แปลกใจ
“มีอะไรคะ”
ภูวนัยในชุดพนักงานกำจัดปลวกหันมา
“สวัสดีครับ มากำจัดปลวกครับ”
“กำจัดปลวก เพิ่งมาเมื่ออาทิตย์ที่แล้วเองนี่”
“อ๋อ อาทิตย์ที่แล้วเป็นการเติมน้ำยา อาทิตย์นี่เป็นการฉีดเล็กครับ”
แม่บ้านมองภูวนัยอย่างสงสัย
“แล้วทำไมมาไม่บอกก่อน” ภูวนัยทำเป็นสงสัย
“เอ...เห็นที่ออฟฟิศบอกว่าโทรมานัดแล้วนี่ครับ”
“ถ้านัดฉันก็ต้องรู้เรื่องซิ รออยู่นี่แหละเดี๋ยวฉันขอโทรเช็คก่อน”
ถ้าให้โทรก็ความแตกแน่ ภูวนัยจึงรีบแก้สถานการณ์
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมโทรเองจะว่าด้วยว่าทำไมไม่นัดลูกค้าก่อน” ภูวนัยหยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดโทรออกทันที
“ฮัลโหล...นี่น้องจิ๊ดตกลงยังไง ทำไมลูกค้าบอกว่าไม่ได้นัดไว้”
ไผ่พญาถึงกับสะดุ้งเอาหูออกจากโทรศัพท์
“จะตะโกนทำไมเนี่ย”
ภูวนัยเหล่มองแม่บ้านแล้วเล่นละครต่อ
“เอายังไง เดี๋ยวคุยกับลูกค้านะ”
ภูวนัยส่งมือถือให้แม่บ้าน แม่บ้านรับไปคุย
“ฮัลโหล...ทำไมวันนี้มาไม่ได้นัดก่อนละคุณ”
ไผ่พญาเขย่ากระเดือกก่อนจะตอบเสียงสวยแบบพนักงานตอบรับ
“โทรนัดแล้วนะคะ ขอดูเอกสารซักครู่นะคะ”
ไผ่พญาแกล้งทำโน่นทำนี่เพื่อทำเป็นค้นเอกสารก่อนจะพูดโทรศัพท์ต่อ
“ผู้นัดชื่อคุณวศินคะ”
“ท่านวศินเนี่ยนะ”
“คะ...ลองโทรหาคุณวศินมั้ยคะ จะได้ยืนยันการนัด”
แม่บ้านพอได้ยินอย่างนั้นก็ลังเล
“ไม่ต้องหรอก” แม่บ้านยื่นมือถือคืนให้กับภูวนัย “มาๆ เข้ามา”
ภูวนัยรับมือถือไป ก่อนจะพูดเป็นการส่งสัญญาณให้ไผ่พญารู้
“เรียบร้อยแล้ว...แค่นี้นะ...จะทำงานแล้ว”
ไผ่พญาถือโอกาสว่าภูวนัย เพราะรู้ว่าภูวนัยตอบโต้ไม่ได้
“นี่...ทีหลังน่ะเตี๊ยมกันก่อนนะ” แต่ภูวนัยวางหูไปแล้ว “ตาบ้านี่...ขอบคุณซักคำน่ะมีมั้ย”
ไผ่พญาวางสายไปอย่างหมั่นไส้ ก่อนจะหยิบกล้องส่องทางไกลขึ้นมาดูที่บ้านของวศิน
อ่านต่อหน้า 4
คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 14 (ต่อ)
ภูวนัยเดินเข้ามาในบ้าน ค่อยๆ เอามือกดปากกาที่เหน็บอยู่ที่กระเป๋าเสื้อ ก่อนจะเอามือแตะไปที่วิทยุสื่อสาร
“สัญญาณเป็นยังไง”
ไผ่พญากำลังดูภาพในจอคอมพิวเตอร์ที่ถ่ายมาจากกล้องปากกา
“ไม่มีปัญหา”
ภาพภายในกล้องแลเห็นกล้องค่อยๆ หมุนเพื่อเก็บภาพทั้ง 360 องศา ก่อนจะหันกลับมาแล้วตกใจเพราะเห็นแม่บ้านยืนอยู่
“เฮ้ย”
แม่บ้านมองภูวนัยด้วยความสงสัย
“มีอะไร”
“เอ่อ...ผมกำลังดูว่าจะเริ่มจากตรงไหนก่อนดีน่ะครับ อืม...ผมว่าเริ่มจากชั้นสองดีกว่าครับ”
แม่บ้านเดินนำออกไป ภูวนัยเดินตาม สายตาก็สอดส่องเก็บรายละเอียดภายในบ้าน
รถของวศินขับมาตามถนน โดยมีรถกระบะของขิงขับตามมาอย่างเว้นระยะ ภายในรถของวศิน วศินกำลังคุยโทรศัพท์
“ท่านนายพลใจเย็นๆ ซิครับ ตอนนี้ทุนผมน่ะพร้อมแล้ว จะเหลือก็แต่ให้ท่านนายพลเคลียร์ทางท่านให้เสร็จเท่านั้น...ไม่มีปัญหาครับ...เดี๋ยวขอดูแปลนก่อน” วศินเอื้อมมือไปเปิดกระเป๋าเอกสารแล้วดู ก่อนที่วศินจะทำหน้าสงสัย
“สงสัยจะไม่ได้เอามาด้วย ถ้างั้นเดี๋ยวผมมีแปลนแล้ว...จะโทรหาอีกทีแล้วกัน” วศินวางสายไปก่อนจะบอกกับคนขับ
“กลับบ้านก่อน...อั้วลืมเอกสารเอาไว้”
ภายในรถของขิงกับกระดังงา
“ฉันว่าเราขับปาดหน้ามันดีมั้ย จะได้มีอะไรตื่นเต้นๆ หน่อย”
“อยากตื่นเต้นเหรอไอ้ขิง ให้ฉันขับแทนมั้ย”
“พอเลย นั่งรถไฟเหาะยังเสียวน้อยกว่าให้แกขับ”
“ไม่ต้องบ่น หน้าที่เราแค่ตามมันไปให้แน่ใจว่ามันไม่ย้อนกลับไปบ้านเท่านั้น”
“แล้วมันจะย้อนกลับไปทำไม ฉันว่าท่านอภิวัฒน์ก็กังวลเกินไป”
แต่แล้วทันใดนั้นกระดังงาก็เห็นรถของวศินกลับรถ
“เฮ้ย! มันกลับรถ”
ขิงเองก็ตกใจเหมือนกันก่อนจะรีบหักหลบปาดหน้าคนที่กำลังจะกลับรถแล้วรีบขับตามวศินไป
ภูวนัยกำลังวางอุปกรณ์เครื่องมือลงกับพื้นห้องพร้อมทั้งหยิบชุดสวมเหมือนหน่วยวัดกัมมันตรังสีออกมา
“นี่...ทำไมมีชุดอะไรพวกนี้ด้วย ชุดก่อนไม่เห็นต้องมีขนาดนี้นี่”
“ไม่มีได้ยังไงครับ แล้วคนก่อนเขาไม่บอกถึงอันตรายหากได้รับยาพวกนี้เข้าไปเหรอครับ” แม่บ้านส่ายหน้า “โว้...แย่จริงๆ เพราะไอ้ยาพวกนี้ ถ้าคนที่ได้รับไม่ว่าจะเป็นทางไหนก็แล้วแต่มีโอกาสที่จะเป็นมะเร็งทันที”
“ห๊า! ทำไมฉันไม่รู้เลย”
“บอกไปบริษัทผมก็แย่ซิครับ แต่ตอนนี้คุณป้ารู้แล้วผมอยากให้คุณป้าพาคนที่อยู่ในบ้านหลังนี้ออกจากบ้านให้หมด ได้มั้ยครับ”
แม่บ้านพยักหน้าก่อนจะเดินออกจากห้องไป ภูวนัยมองตามก่อนจะเดินไปแอบมองให้แน่ใจว่าแม่บ้านไปแล้ว ภูวนัยจึงผลุบออกจากห้องนั่นทันที
ภูวนัยเดินมาตามทางแล้วเปิดห้องต่างๆ ออกดู ไผ่พญากำลังดูภาพจากกล้องปากกาเช่นกัน
“นี่...เดินช้าๆ หน่อย ฉันเวียนหัว”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็สวนกลับด้วยคำพูดของไผ่พญา
“ช้าจนให้วศินมันกลับมาเลยมั้ย”
ไผ่พญาสะอึกที่โดนย้อน
“นายยังไม่ทันได้ค้นเลยว่าในห้องนั่นมีที่ซ่อนเงินหรือเปล่า แล้วอย่างนี้นายจะรู้ได้ยังไง”
“ผมเป็นตำรวจ ผมรู้น่าว่าห้องไหนมันผิดสังเกต”
แล้วภูวนัยก็เดินมาถึงห้องนึง พอภูวนัยเปิดออกก็เห็นว่าเป็นห้องทำงานของวศิน
แม่บ้านกับพวกคนงานต่างก็เดินออกจากบ้าน
“เออน่า เขาบอกให้ออกก็ออกไปซิ”
แม่บ้านเท้าสะเอวดูคนงานกำลังออกจากบ้าน ระหว่างนั้นเสียงมือถือของแม่บ้านดังขึ้น แม่บ้านมองเบอร์แล้วตกใจรีบรับสาย
“คะท่าน...ได้ค่ะ...เดี๋ยวขึ้นไปดูให้คะ”
ขิงกับกระดังงาขับรถตามวศินด้วยความสงสัย
“มันจะไปไหนของมันเนี่ย”
ขิงมองไปรอบๆ แล้วสงสัย
“แกว่าทางตรงนี้มันคุ้นๆ มั้ย”
“นั่นซิ”
ระหว่างนั้นเห็นรถของวศินเลี้ยวเข้าซอยไป ขิงเลี้ยวตาม
“ซอยนี้ก็คุ้นๆ วะ เหมือนเพิ่งออกมาเมื่อกี้เลย”
สิ้นคำพูดของขิง ขิงกับกระดังงาก็ตกใจ
“เฮ้ย”
ภูวนัยยืนอยู่หน้าประตูห้องเก็บเงินของวศิน ภูวนัยพยายามจะเปิดแต่ก็พบว่าลูกบิดล็อค! บิงโก ! ต้องใช่ห้องนี้แน่นอน ขณะนั้นแม่บ้านกำลังเดินมาตามทางตรงมาที่ห้องทำงานของวศิน ภูวนัยเปิดประตูออกมาพอเห็นแม่บ้านก็ต้องชะงัก ภูวนัยผลุบหายเข้าไปในห้อง คิดว่าจะทำไงดี
แม่บ้านเดินมาใกล้จะถึงห้องทำงานของวศิน ระหว่างนั้นภูวนัยเปิดประตูออกมาแล้ว
“คุณเข้าไปทำอะไรในห้องนี้”
“อ้าว...ผมก็ต้องดูซิว่าฉีดตรงไหนบ้าง”
“ได้ทุกที่ยกเว้นห้องนี้”
ภูวนัยยิ่งได้ยินแม่บ้านบอกอย่างนั้นก็ยิ่งมั่นใจว่าวศินต้องเก็บเงินไว้หลังประตูห้องบานนั่นแน่นอน ระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยรีบรับสาย
“มีอะไร”
ไผ่พญารีบรายงานภูวนัย
“นายรีบออกมาจากที่นั่นเลย วศินกำลังกลับมาที่บ้าน”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นแต่ก็พูดเหมือนกำลังคุยกับออฟฟิศ
“อ้าว...แล้วทำไมไม่บอก...ได้ๆ...เดี๋ยวผมไปเดี๋ยวนี้แหละ (วางสาย)สงสัยผมคงต้องกลับแล้วละครับ...ออฟฟิศเพิ่งโทรมาบอกว่าน้ำยาที่ผมเอามามันหมดอายุแล้ว แล้วเดี๋ยวผมจะรีบกลับมานะครับ”
ภูวนัยพูดจบก็รีบเดินออกมาเลย แม่บ้านมองตามงงๆ
คืนนั้นที่เซฟเฮาส์อภิวัฒน์ อภิวัฒน์กำลังชี้แปลนบนจอภาพ
“ผมได้ให้คนทำแปลนจากภาพที่พวกคุณถ่ายมา ซึ่งหมวดภูบอกว่าวศินเก็บเงินไว้ภายในห้องนี้”
อภิวัฒน์ชี้ไปในห้องนึงในแปลน ไผ่พญาที่นั่งอยู่กับขิงและกระดังงาถามขึ้น
“แล้วมันจะอยู่ในนั่นจริงๆ เหรอคะ ไม่ใช่ว่าพอเปิดเข้าไปกลายเป็นห้องอะไรก็ไม่รู้”
“นี่คุณ คุณก็ได้ยินที่แม่บ้านนั่นบอกแล้วนี่ ถ้าห้องนั่นมันไม่สำคัญจะห้ามคนอื่นเข้าได้ยังไง”
“เอ้า...ฉันก็แค่ทักเอาไว้ก่อน เพราะถ้ามันไม่อยู่จริงๆ ก็เท่ากับเราเสียแรงเปล่า”
“ผมมั่นใจว่ามันเก็บเงินไว้ในห้องนั่น”
อภิวัฒน์เห็นไผ่พญากับภูวนัยจะชักเถียงกันแรงขึ้นจึงรีบขัด
“เอาละ...พอได้แล้วทั้งสองคน ถึงเราจะไม่แน่ใจว่าในห้องนั่นมีเงินอยู่จริงหรือเปล่า แต่ผมมั่นใจว่าเงินต้องอยู่ในบ้านของมันแน่นอน ซึ่งในวันที่เราลงมือเรามีเวลาสี่ชั่วโมงในการหาว่าเงินอยู่ที่ไหน”
“อ้าว...เราไม่ได้ลงมือวันนี้เหรอคะ”
“นั่นซิครับ ผมอยากเห็นแล้วว่าเงินร้อยล้านนี่มันมากขนาดไหน”
“ใจเย็นๆ ผมเองก็อยากเห็นเงินสกปรกพวกนั่นเหมือนกัน”
“แล้วเราจะลงมือเมื่อไหร่ครับ”
อภิวัฒน์นิ่งไปอย่างครุ่นคิดแผนในใจ ทุกคนจ้องมองอภิวัฒน์ด้วยความอยากรู้
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาเดินมาที่รถกระบะของขิง
“เอาเว้ย จะรวยก็คราวนี้แหละเว้ยไอ้ขิง...เมียจ๋า...เมียอยากได้บ้านกี่ชั้นดี”
“กี่ชั้นก็ได้ แต่ฉันอยากมีลิฟต์ในบ้านด้วย”
ไผ่พญาได้ยินที่ขิงกับกระดังงาคุยกันก็ทำหน้าเซ็ง
“บ้า มีลิฟต์น่ะมันธรรมดาไป มันต้องบันไดเลื่อน คิดดูซิมีบันไดเลื่อนในบ้านโคตรเท่ห์เลยอ่ะ...บ่องตง”
“อยากเปลี่ยนจากบ่องตงเป็นโดนบ้องหูมั้ยไอ้ขิง นี่พวกแกคิดอะไรกันอยู่”
“เอ้า...ก็คิดว่าถ้าเราปล้นเงินมาได้ จะเอาไปทำอะไรบ้างไง แกละไอ้ไผ่จะเอาไปทำอะไร”
“เฮ้ยนี่พวกเราไม่ใช่โจรนะ ทำอย่างนั้นเราจะต่างจากไอ้วศินตรงไหน”
“โห...ไอ้ไผ่ แกนี่เปลี่ยนไปมากนะ”
“อะไร”
“เอ้า นี่แกไม่รู้ตัวเหรอว่าถ้าเป็นแต่ก่อน...”
“หยุดเลย ฉันไม่เคยอยากได้ของคนอื่นมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”
“ก็จริง แต่แกก็ไม่ถึงขนาดนี้ เดี๋ยวนี้ละก็อะไรผิดศีลธรรมนิดหน่อยไม่ได้เลยนะ แม่ไผ่รักโลก”
“เอ...หรือว่าอยู่ใกล้ตำรวจมากไป ก็เลยอยากเป็นเมียตำรวจ เอ๊ย...เป็นตำรวจ”
“พูดอะไรของพวกแก”
ขิงกับกระดังงาชะงักไปเมื่อเห็นภูวนัยเดินเข้ามา
“คุณภู”
“อย่าพูดชื่อเขาได้มั้ย ได้ยินแล้วหงุดหงิด”
แล้วไผ่พญาก็สังเกตสีหน้าของขิงกับกระดังงาแล้วก็ชะงักไปที่ทั้งสองคนมองไปด้านหลังตน ไผ่พญาหันไปก็เห็นภูวนัยยืนอยู่
“ผมอยากคุยกับคุณหน่อย”
ไผ่พญาชะงักไป ขิงกับกระดังงาก็สงสัยว่าเรื่องอะไร
ภูวนัยยืนอยู่ที่มุมหนึ่งของเซฟเฮาส์อภิวัฒน์ ไผ่พญาเดินเข้ามา
“ฉันไม่คิดว่านายจะอยากคุยกับฉัน”
ทันใดนั้นภูวนัยก็เข้าไปแล้วจับแขนของไผ่พญาอย่างรุนแรงก้าวร้าวจนไผ่พญาตกใจ
“ผมจะพูดให้คุณได้ยินชัดๆ อีกที อย่ามายุ่งกับสิ่งที่ผมทำ” ไผ่พญามองหน้าภูวนัย ไม่คิดว่าภูวนัยจะทำรุนแรงได้กับเธออย่างนี้ “ไม่ว่าคุณจะคิดอะไรอยู่ ผมอยากให้คุณหยุดความคิดนั่นซะ”
“นายคิดว่าฉันคิดอะไร”
ภูวนัยจ้องหน้าไผ่พญาก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“คุณชอบผมใช่มั้ย” ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป “เพราะคุณชอบผม คุณก็เลยต้องการมาทำภารกิจนี่ เพราะจะได้คอยช่วยผม คุณคิดว่าผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างคุณจะทำอะไรได้ นอกจากจะเป็นตัวถ่วงให้คนอื่น”
ไผ่พญานิ่งงันไปก่อนจะเห็นน้ำตาไผ่พญาคลอเบ้า
“นายคิดอย่างนี้เอง” ภูวนัยพยายามฝืนความรู้สึกตัวเอง “นายต้องการจะพูดแค่นี้ใช่มั้ย”
ไผ่พญาสะบัดมือภูวนัยออกก่อนจะเดินออกไป ภูวนัยนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจทำตัวให้น่ารังเกียจถึงที่สุด
“ตกลงคุณรู้เรื่องที่ผมพูดแล้วใช่มั้ย”
ไผ่พญาชะงัก หันมา
“ฉันไม่ได้ทำภารกิจเพื่อที่จะได้อยู่ใกล้นาย แต่ที่ฉันทำ...เพราะฉันรู้ว่านายเกลียดฉัน แล้วคงมีสักครั้งที่ฉันอยากเอาตัวรับกระสุนแทนนาย” ภูวนัยถึงกับอึ้ง
“คุณบ้าไปแล้วหรือไง”
“ก็นายคิดว่าการตายของหมอปลายฟ้าเป็นเพราะฉัน ฉันก็จะตายเพื่อชดใช้ความผิดไง”
ภูวนัยเห็นไผ่พญาน้ำตาคลอก็ทั้งอึ้งทั้งรู้สึกผิด ไผ่พญาสะบัดมือของภูวนัยออกแล้วเดินออกไป
ภูวนัยยืนอยู่ภายในเซฟเฮาส์อภิวัฒน์ท่ามกลางความมืด ภูวนัยครุ่นคิดถึงคำพูดของไผ่พญา
“ยัยโง่...ทำไมต้องทำอย่างนี้”
ภูวนัยระบายลมหายใจออกมาอย่างหนักใจ ส่วนไผ่พญาอยู่ในห้องนอน เธอนอนน้ำตาคลอเบ้าอยู่ที่เตียง
วันต่อมาที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด ตำรวจคนนึงนั่งที่โต๊ะยาวพร้อมด้วยนายตำรวจคนอื่นๆ ภายในห้องสอบสวน นายตำรวจคนนั้นเปิดแฟ้มดูรายละเอียดก่อนจะพูดขึ้น
“จากที่อ่านรายงานของคุณ...คุณบอกว่า หมวดภูวนัยเป็นคนยิงนางสาวปลายฟ้าใช่มั้ย”
ชาติกล้านั่งอยู่ภายในห้องกำลังโดนกรรมการตำรวจสอบสวนเรื่องการตายของปลายฟ้า
“ครับผม”
มือนึงปิดแฟ้ม อภิวัฒน์เป็นหนึ่งในคณะกรรมการนั่งอยู่ภายในห้องด้วย
“ก่อนอื่น ผมคงต้องแสดงความเสียใจ เพราะผมทราบมาว่าคุณ...กับนางสาวปลายฟ้าเป็นเพื่อนกัน” ชาติกล้านิ่ง “เอาละ เรามาว่าเรื่องคดีต่อ จากการตรวจสอบเราพบว่าปืนที่ใช้ยิงเป็นปืนคุณ”
“ถูกต้องครับ ผมกับหมวดภูวนัยเกิดการต่อสู้กัน ก่อนที่หมวดภูวนัยจะแย่งปืนจากผมไป”
“แล้วหมวดภูวนัยก็เป็นคนยิงนางสาวปลายฟ้าเหรอ”
“ใช่ครับ”
อภิวัฒน์พยักหน้ารับทราบ
“ผมมีภาพจากกล้องซีซีทีวีให้คุณดู” อภิวัฒน์กดเปิดภาพจากกล้องวงจรปิด แล้วทุกคนก็ต้องแปลกใจเพราะบนจอกลายเป็นภาพดำสนิท “นี่คือภาพที่ได้จากกล้องวงจรปิด ซึ่งที่จริงแล้วเรามีภาพก่อนหน้านั่นที่คุณวิ่งไล่ตามผู้หญิงคนนึงที่คุณบอกว่าเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดกับหมวดภูวนัย แต่พอคุณวิ่งมาถึงจุดเกิดเหตุกล้องซีซีทีวีที่ติดตรงจุดเกิดเหตุก็เสียพอดี”
“ท่านกำลังจะถามอะไรผมครับ”
“เปล่าหรอก พอดีผมติดต่อไปที่เจ้าหน้าที่ที่ดูแลเรื่องซีซีทีวีของห้างสรรพสินค้านั่น แล้วผมก็เพิ่งรู้มาว่าทางห้างเพิ่งตรวจเช็คระบบซีซีทีวีทั้งหมดก่อนหน้านั่นแค่วันเดียว” ชาติกล้านิ่ง “แล้วหลังจากที่ผมตรวจดูกล้องซีซีทีวีทั้งหมดภายในห้างก็พบว่าทุกตัวทำงานได้ตามปกติ แต่กลับมีปัญหาเพียงตัวเดียวคือตัวที่จุดที่นางสาวปลายฟ้าถูกยิง”
อภิวัฒน์สบตากับชาติกล้า กรรมการตำรวจท่านอื่นๆ ก็มองไปที่ชาติกล้าเช่นกัน
“ที่จริง...ผมกับฟ้าไม่ใช่เพื่อนกัน” ทุกคนแปลกใจเมื่อชาติกล้าพูดอย่างนั้น “ผมแอบรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมเห็นเธอ...รักเธอมาตลอด” ชาติกล้ามองกรรมการทุกคน “ทุกท่านคิดว่า ผมจะยิงคนที่ผมรักเหรอครับ”
ทุกคนนิ่งไปกับคำพูดของชาติกล้า อภิวัฒน์มองชาติกล้าที่กำลังเล่นละครด้วยความหนักใจ
ชาติกล้าเปิดประตูเข้ามาในห้องทำงาน ระหว่างนั้นเสียงของวศินดังขึ้น
“มีปัญหาอะไรมั้ย”
ชาติกล้าตกใจเมื่อหันไปแล้วเห็นวศินนั่งอยู่ที่โซฟา
“ไม่มีครับ”
“แน่ใจนะ”
“ครับ เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุในการจับกุมคนร้าย ไม่มีอะไรเชื่อมโยงถึงท่านแน่นอนครับ”
วศินรับรู้ สบายใจขึ้น แล้วจึงบอกธุระตน
“เดี๋ยวคืนนี้ ลื้อไปกับอั้ว”
“ไปไหนครับ”
“อั้วนัดคุยกับหุ้นส่วนไว้ อยากให้ลื้อไปคอยดูต้นทาง” ชาติกล้าทำหน้าสงสัย “พักนี้อั้วรู้สึกว่ากำลังมีใครจับตามองเราอยู่”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกระวังตัวขึ้นทันที
วศินเดินมาตามทางระหว่างนั้นวศินก็เห็นอภิวัฒน์เดินสวนเข้ามาพอดี ทั้งสองต่างพยักหน้าให้กันเชิงทักทาย
อภิวัฒน์เหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้จึงเรียกวศินเอาไว้
“เออ ตกลงวันนี้ท่านไปหรือเปล่าครับ”
“ไปไหน”
อภิวัฒน์ทำหน้าสงสัย
“ก็งานเลี้ยงรุ่นไงครับ”
“ไหนบอกว่าเป็นอาทิตย์หน้าไง”
“เห็นว่าอาทิตย์หน้าหลายคนไม่ว่าง ก็เลยเปลี่ยนมาวันนี้แทน เห็นเพื่อนๆ บอกว่าแจ้งท่านแล้วนี่”
“ไม่เห็นมี แต่ถ้าเป็นวันนี้ผมคงไปไม่ได้”
“อ้าวเหรอครับ น่าเสียดาย ไม่เป็นไรครับ เดี๋ยวผมบอกเพื่อนๆ ให้ว่าท่านติดธุรกิจ เออ...พูดผิดไป...ติดภารกิจแล้วกัน”
วศินชะงักมองหน้าอภิวัฒน์ อภิวัฒน์ยิ้มให้ก่อนที่วศินจะเดินออกไป
อภิวัฒน์มองตามกำลังวางแผนบางอย่างขึ้นมาทันที
ภูวนัยกำลังนั่งพนมมืออยู่บนศาลา หลวงพ่อที่นั่งอยู่ก็ถามขึ้น
“มาทำบุญเนื่องในโอกาสอะไรเหรอโยม”
“ผมมาทำบุญให้กับเพื่อนที่เพิ่งเสียไปน่ะครับ” หลวงพ่อพยักหน้า
“แล้วโยมทำใจได้หรือยัง”
“ครับ” ภูวนัยตอบรับอย่างเศร้าๆ
“เกิด...แก่...เจ็บ...ตาย...เป็นธรรมดานะโยม...ยังไงทุกคนต้องไปถึงวันนั้นทุกคน...ไหน...เอาชื่อมาซิ เดี๋ยวอาตมาสวดให้” ภูวนัยส่งกระดาษให้กับหลวงพ่อ หลวงพ่อรับไปแล้วก็ทำหน้าสงสัย “เออ...พักนี้คนชื่อปลายฟ้าตายกันบ่อยนะ”
“หมายความว่าไงครับหลวงพ่อ”
“อ๋อ...เปล่าหรอก พอดีเมื่อกี้ก็มีโยมผู้หญิง เพิ่งมาทำบุญให้กับคนชื่อปลายฟ้าเหมือนกัน”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
ไผ่พญานั่งอยู่ริมน้ำ มองสายตาน้ำด้วยอาการเหม่อลอย ด้านหลังเห็นภูวนัยยืนอยู่หลังต้นไม้แอบมองไผ่พญาอย่างรู้สึกผิดที่ตัวเองต้องทำอย่างนั้น ภูวนัยตัดใจที่จะเดินกลับแต่แล้วระหว่างนั้นภูวนัยเหยียบกิ่งไม้จนเกิดเสียงดังขึ้น
ภูวนัยชะงักก่อนจะหันไปดูก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ไผ่พญาหันมามองแหล่งที่มาของเสียงพอดี ไผ่พญาเห็นภูวนัยยืนอยู่ก็ชะงักไป ภูวนัยยืนนิ่งรอดูท่าทีของไผ่พญา ไผ่พญาเดินเข้ามาด้วยสีหน้านิ่งก่อนจะทำท่าเดินผ่านภูวนัยไป แต่แล้วทันใดนั้นภูวนัยก็ตัดสินใจคว้ามือของไผ่พญาเอาไว้ ไผ่พญาชะงักหยุดแล้วมองภูวนัย
“ผม...”
ภายในใจของภูวนัยกำลังต่อสู้อย่างหนักว่าจะยอมทำตามความรู้สึกตัวเองหรือว่าจะยอมโดนเกลียดเพื่อให้ไผ่พญาปลอดภัย
“ผมรู้ว่า...การตายของฟ้า ไม่ใช่ความผิดของคุณ ผมแค่...” ยังไม่ทันที่ภูวนัยจะพูดความจริง เสียงมือถือของภูวนัยก็ดังขึ้น ภูวนัยปล่อยมือไผ่พญาก่อนจะหยิบมือถือขึ้นมารับ “ครับท่าน”
สีหน้าภูวนัยเปลี่ยนไปหลังจากรับโทรศัพท์
ไผ่พญาเดินมาตามทางในเซฟเฮาส์ของอภิวัฒน์ โดยมีภูวนัยเดินตามมาติดๆ
“ไผ่” ไผ่พญาหยุดก่อนจะหันมา “ไม่ว่าท่านอภิวัฒน์จะให้เราภารกิจอะไรก็ตาม ผมอยากให้คุณสัญญากับผมเรื่องนึง”
“พูดมาซิ ถ้าทำได้ฉันก็จะทำ”
“คุณต้องไม่ทำในสิ่งที่คุณบอกผมเมื่อคืน”
ไผ่พญาชะงักไปก่อนจะแค่นยิ้มออกมา
“นี่นายเชื่อฉันเหรอ” ภูวนัยแปลกใจจากท่าทีของไผ่พญา “ฉันมันเด็กเลี้ยงแกะมืออาชีพ นายลืมไปแล้วหรือไง”
ไผ่พญาพูดจบก็จะเดินต่อ แต่ภูวนัยกลับจับไผ่พญาหันมา
“ไผ่”
ภูวนัยสบตาไผ่พญา
“ท่านอภิวัฒน์รอเราอยู่”
ไผ่พญาจับมือของภูวนัยออกก่อนจะเดินออกไป ภูวนัยมองตามอย่างเป็นห่วง
ภูวนัย ไผ่พญา ขิง กระดังงานั่งอยู่ภายในเซฟเฮาส์อภิวัฒน์ อภิวัฒน์เดินเข้ามาก่อนจะกดไปที่จอภาพภายในห้องประชุม ภาพบนจอปรากฏภาพของสปาแห่งหนึ่ง
“นี่คือสปาที่วศินจะไปนวดทุกวันพุธ”
“คืนนี้เหรอคะ”
“ถูกต้อง จากที่ติดตามการเคลื่อนไหวของวศินมาตลอด เวลาที่เป้าหมายไปคือหนึ่งทุ่มจนถึงสี่ทุ่ม...เพราะฉะนั้นเราจะมีเวลาสามชั่วโมงในการหาห้องเก็บเงิน และขนเงินออกมาจากบ้าน หมวดคิดว่าทำได้มั้ย”
ภูวนัยมองไปที่ไผ่พญา ขิงและกระดังงา
“ได้ครับ...ทีมเรามีอยู่สี่ขน...น่าจะทันเวลา”
“ไม่ งานนี้มีหมวดกับนายขิงเท่านั้นที่จะเข้าไปในบ้านของวศิน”
ไผ่พญากับกระดังงาทำหน้างง
“อ้าว แล้วฉันกับงาละคะ”
อภิวัฒน์นิ่งไม่ตอบ ทำให้ภูวนัยเป็นห่วงว่าอภิวัฒน์จะให้ไผ่พญาทำภารกิจอะไร
คืนนั้นที่สปา พนักงานคนนึงเพิ่งเลิกงานกำลังถือชุดพนักงานของตนมาที่ล๊อคเกอร์เพื่อจะเก็บชุด ระหว่างนั้นไผ่พญากับกระดังงาเดินเข้ามาขณะที่พนักงานคนนั้นยังไม่ได้ปิดล๊อคเกอร์
“พี่”
พนักงานหันมา
“อะไร”
“อ๋อ...พอดีพี่กุ้งให้มาเรียกพี่ไปรับทิปจากแขกเพิ่มนะคะ”
“เหรอ ขอบใจนะ”
พนักงานคนนั้นรีบเดินออกไป กระดังงามองตามจนพนักงานคนนั้นไปแล้วจึงรีบส่งซิกให้ไผ่พญา
“ไปแล้ว”
ไผ่พญาเปิดล๊อคเกอร์ของพนักงานคนนั้นออกแล้วก็หยิบชุดของพนักงานสปาออกมา
“มีสองชุดพอดีเลย”
ทันใดนั้นเสียงของพนักงานคนเดิมก็ดังขึ้น
“เออ...แล้วพวกเธอเป็นใคร” ไผ่พญากับกระดังงาหันไปก็เห็นพนักงานคนนั้นเดินกลับมายืนอยู่ พนักงานคนนั้นก็อึ้งไปเมื่อเห็นไผ่พญากับกระดังงากำลังรื้อค้นล๊อคเกอร์ของเธอ “เฮ้ย! ขโมย ช่วยด้วยคะ”
ไผ่พญากับกระดังงาตกใจที่พนักงานคนนั้นร้องโวยวาย ไผ่พญากับกระดังงารีบเข้าไปกอดรัดฟัดเหวี่ยงเอามือปิดปากพนักงานคนนั้น
ก่อนจะลากหายไปตรงมุมหนึ่งของห้อง
ขณะที่อภิวัฒน์กำลังบัญชาการแผนงานอยู่ภายในเซฟเฮาส์ พอได้ยินเสียงโวยวายของไผ่พญาก็ตกใจ
“หน่วยบีมีอะไรหรือเปล่า”
ไผ่พญากับกระดังงาเดินออกมาจากห้องแต่งตัวในชุดพนักงานสปา
“พอดีผิดจังหวะนิดหน่อยคะ แต่พวกเราจัดการเรียบร้อยแล้ว”
“แล้วเป้าหมายมาหาหรือยัง”
ไผ่พญากับกระดังงาเดินออกมาบริเวณโถงกลางพอดี
“ยังคะ”
กระดังงาเหลือบไปเห็นวศินเดินเข้ามาก็รีบสะกิดไผ่พญา
“นั่นๆ มาแล้ว”
ไผ่พญามองตามแล้วก็เห็นวศิน
“เป้าหมายมาแล้วคะท่าน” แต่แล้วไผ่พญากับกระดังงาก็เห็นชาติกล้าเดินตามวศินเข้ามา “เฮ้ย”
ไผ่พญากับกระดังงาหันหลังพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย
“มีอะไร”
“เอ่อ...ไอ้เพื่อนจอมโฉดของคุณภูอยู่ที่นี่ด้วยคะ”
อภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นก็หน้าเครียดขึ้นมาทันที
“พวกคุณคิดจะทำต่อหรือจะยกเลิกภารกิจนี้ ผมให้สิทธิพวกคุณตัดสินใจ”
กระดังงาหันไปมองไผ่พญาที่กำลังนิ่งใช้ความคิด ก่อนจะเห็นแววตาของไผ่พญาฮึดสู้ขึ้นมา
“พวกเราจะทำต่อคะ”
กระดังงากลืนน้ำลายเอื้อกกับการตัดสินใจของไผ่พญาที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
หน้าบ้านวศิน ภูวนัยกับขิงในชุดสีดำมีหน้ากากไหมพรมเลิกขึ้นอยู่บนหัวกำลังนั่งรอคำสั่งอยู่ภายในรถตู้ ขิงกำลังนั่งเขย่าขาท่าทางตื่นเต้น ทันใดนั้นภูวนัยก็เอื้อมมือมาตะปบที่ขาของขิง ขิงหันมองภูวนัย
“งานนี้ง่ายกว่าทุกครั้ง ไม่มีอะไรหรอก”
ขิงได้ยินภูวนัยพูดอย่างนั้นก็เหมือนคลายความตื่นเต้นลง ระหว่างนั้นอภิวัฒน์ก็ติดต่อเข้ามาทางวิทยุสื่อสาร ภูวนัยกับขิงรีบกดฟังทันที
“ครับท่าน”
อภิวัฒน์สั่งการอยู่ที่เซฟเฮ้าส์
“ตอนนี้เป้าหมายไปถึงเรียบร้อยแล้ว ลงมือได้”
ภูวนัยเป็นห่วงไผ่พญา
“เอ่อ...ทางนั่นไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยครับ”
“นิดหน่อย” ภูวนัยกับขิงหน้าเครียดขึ้นมา “หมวดชาติกล้ามากับวศินด้วย”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อึ้งไป ผิดกับขิงที่โวยขึ้นมาทันที
“ซวยแล้ว ท่านครับผมว่ายกเลิกภารกิจของเมียผมกับไผ่ดีกว่าครับ ท่านคิดดูซิครับขนาดหมอปลายฟ้าที่มันรักมันยังฆ่าได้ลงคอ ถ้ามันเจองากับไผ่ ฮือๆ ไม่อยากจะคิดเลย”
ภูวนัยได้ยินที่ขิงพูดอย่างนั้นก็ทำให้หนักใจขึ้นมาเช่นกัน
“ผมถามแล้ว แต่พวกเธออยากจะทำต่อ” ภูวนัยชะงัก “ถ้าพวกคุณอยากให้ไผ่พญากับกระดังงาปลอดภัย ต้องรีบแล้วละ”
ภูวนัยสีหน้าจริงจังเตรียมพร้อมปฏิบัติภารกิจ
วศินกำลังนั่งคุยกับหุ้นส่วนชาวพม่า โดยมีชาติกล้ายืนอยู่ห่างออกไปวศินกำลังดูรูปการก่อสร้างอยู่อย่างพอใจ
“ก่อสร้างเร็วอย่างนี้ ผมว่าเราน่าจะเปิดได้ก่อนปลายปีใช่มั้ยท่านซาหม่อง”
“ก็คิดว่าจะเป็นอย่างนั้น”
ระหว่างนั้นวศิน ซาหม่องต่างก็ชะงักไปเพราะเห็นกระดังงายกน้ำเข้ามาเสิร์ฟ
“น้ำผลไม้เย็นๆ ชื่นใจคะท่าน”
ชาติกล้ามองกระดังงาอย่างคลับคล้ายคลับคลา กระดังงาเสิร์ฟเสร็จก็ลุกเดินออกไป กระดังงาเดินมาตามทางแล้วเป่าปากโล่งอก แต่แล้วชาติกล้าก็เรียกเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน”
กระดังงาสะดุ้งเฮือกก่อนจะหันกลับมาแล้วเห็นชาติกล้าเดินเข้ามา
“คะท่าน”
“เตรียมห้องให้ท่านวศินได้แล้ว”
กระดังงาแอบโล่งอก
“ได้คะท่าน”
กระดังงาพูดเสร็จก็เดินออกไป ชาติกล้ามองตามด้วยความแปลกใจ
ไผ่พญารออย่างกระวนกระวายอยู่ที่มุมหนึ่ง กระดังงาเดินเข้ามาด้วยสีหน้าที่ยังตื่นเต้นไม่หาย
“เป็นไง”
“โอย...หัวใจจะวาย อยู่ๆ หมวดชาติก็เรียกเอาไว้ ฉันก็ตกใจคิดว่ามันจะรู้อะไรซะอีก”
ไผ่พญากับกระดังงาก็ต้องตกใจอีกเมื่อได้ยินเสียงแหววขึ้น
“มายืนทำอะไรตรงนี้” ไผ่พญากับกระดังงาหันไปก็เห็นผู้จัดการเดินเข้ามา “เธอสองคนเป็นใคร”
“เอ่อ...อ๋อ เราเป็นพนักงานใหม่น่ะคะ พี่ลำดวนไม่ได้บอกเหรอคะ” ผู้จัดการมองไปที่ป้ายชื่อที่ติดอยู่แล้วเห็นว่าเป็นชื่อลำดวน ไผ่พญารีบแก้ตัว “พอดีพี่ลำดวนแกบอกว่ามีธุระสำคัญจริงๆ ก็เลยกลับไปก่อน แล้วให้พวกเราบริการท่านวศินน่ะคะ”
“อ๋อเหรอ ลำดวนฝากไว้แล้วก็จะได้หายห่วง” ไผ่พญากับกระดังงายิ้ม “ไปเตรียมข้าวของให้พร้อมละ ท่านวศินเป็นลูกค้าวีไอพีของที่นี่ อย่าทำอะไรพลาดเป็นอันขาด”
“ค่ะ”
ผู้จัดการเดินออกไป ไผ่พญากับกระดังงาเป่าปากโล่งอก
อ่านต่อตอน 15