xs
xsm
sm
md
lg

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 11

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 11

ชาติกล้าวิ่งมาตามทางที่พรรณรายบอก โดยมีทุกคนวิ่งตามมา ชาติกล้าหยิบปืนออกมาเตรียมพร้อม ปลายฟ้าดึงชาติกล้าเอาไว้

“ชาติ...เอาปืนออกมาทำไม”
“เราต้องเตรียมพร้อม”
“ให้ลุงคุยกับมันก่อน อย่าเพิ่งยิงมันเลย”
“ผมก็ไม่อยากทำอย่างนั้น แต่ถ้าภูเกิดต่อสู้ขึ้นมา ผมก็จำเป็น” ชาติกล้าหันไปถามพรรณราย “เมื่อกี้คุณบอกว่าภูไปทางไหน”
“ทางโน้นคะ ฉันหนีจากเขามาได้ตรงโน้น ดูซิ...คิดแล้วยังกลัวไม่หายเลย ภูนะภูทำไมถึงได้เปลี่ยนไปขนาดนี้”
ทุกคนได้ยินที่พรรณรายพูดอย่างนั้นรู้สึกอึ้งไปเพราะคิดภูวนัยคือผู้ร้ายจริงๆ ชาติกล้าได้ข้อมูลจากพรรณรายแล้วบอกกับทุกคน
“ทุกคนรออยู่ตรงนี้จะดีกว่าครับ ตอนนี้ภูเป็นคนอันตรายไปแล้วทุกคนอยู่ตรงนี้จะปลอดภัยกว่า”
ชาติกล้ารีบวิ่งออกไป ทุกคนมองตามชาติกล้าไปอย่างหวั่นใจ

วีระกับราชัยกำลังนำตัวไผ่พญาเข้าไปในรถ ไผ่พญาพยายามต่อสู้
“ฉันไม่ได้เป็นคนร้ายนะคุณตำรวจ”
“รู้แล้วๆ ค่อยไปคุยกัน ระวังหัว”
ตะวันฉายกับม่านหมอกเดินเข้ามา
“คุณตำรวจครับ ผมขอคุยกับเธอก่อนได้มั้ยครับ”
“คุณตะวัน...ช่วยฉันด้วย”
“คุณไผ่ไม่ต้องกลัวนะครับ เดี๋ยวผมพยายามช่วยคุณเอง”
“พูดอะไรของคุณ คุณเป็นใครถึงจะช่วยผู้ต้องหาได้”
ระหว่างนั้นราชัยที่ยืนอยู่อีกมุมหน้าตาตกใจเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
“หมวด”
วีระเข้าใจผิดคิดว่าราชัยเรียกเขา
“อะไร หมู่เว้ย ยังไม่ขึ้นหมวด”
“หมวดภู”
ทุกคนได้ยินอย่างนั้นก็หันมองไปตามสายตาของราชัย แล้ววีระก็อึ้งไปอีกคนเมื่อเห็นภูวนัยเดินเข้ามา

ทุกคนยืนรอลุ้นสถานการณ์ที่กำลังวุ่นวาย
“ตาครับ พ่อภูจะโดนยิงมั้ยครับ”
เผ่าพงศ์สะอึกก่อนจะพยายามพูดเพื่อไม่ให้ม่านเมฆกังวล
“ไม่หรอกหลาน พ่อภูเป็นคนดีจะโดนยิงได้ยังไง”
“ใช่พ่อเราน่ะเป็นคนดี ดีจนตำรวจต้องไล่จับเลย” เสกสรรบอก
“คุณเสกคะ”
พรรษาปรามเสียงเข้ม เสกสรรเงียบแล้วทำหน้าตาย ปลายฟ้าเข้ามาถามพรรณราย
“พั้นซ์ ภูเขาจะทำร้ายเธอจริงเหรอ”
“ไม่จริง”
“อ้าว”
“แล้วทำไมคุณพั้นซ์ถึงบอกว่าโดนคุณภูทำร้ายละครับ”
พรรณรายยิ้มแทนคำตอบ ทุกคนสงสัยว่าพรรณรายยิ้มทำไม

ชาติกล้าวิ่งมาตามทางสอดส่องสายตาไปรอบและกระชับปืนอย่างระมัดระวัง ชาติกล้าเดินดูทั่วบริเวณแต่ก็ไม่เห็นภูวนัย ชาติกล้าเริ่มเอะใจก่อนจะรีบหยิบวิทยุสื่อสารขึ้นมา
“หมู่...” เงียบไม่มีใครตอบ “หมู่ได้ยินผมมั้ย” ชาติกล้าคิดได้ทันทีว่าตัวเองโดนหลอกเข้าซะแล้ว ชาติกล้าพูดผ่านทางวิทยุสื่อสาร “ภู! แกได้ยินฉันใช่มั้ย”
ชาติกล้ารีบวิ่งออกไปทันที

วีระกับราชัยสื่อสารไม่ได้เพราะโดนภูวนัยเอาปืนจี้ตัวอยู่นั่นเอง เสียงชาติกล้าผ่านมาทางวิทยุสื่อสาร
“อย่าหนีเลยภู แกหนีกฎหมายไม่พ้นหรอก”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งเจ็บใจแต่รู้ว่าชาติกล้ารู้ตัวแล้วที่โดนหลอก ภูวนัยจึงรีบบอกกับวีระ
“ถอดกุญแจมือให้เธอ”
“หมวดภู หมวดอย่าทำอย่างนี้เลยครับ”
“มอบตัวเถอะหมวด”
“เร็ว”
วีระจึงจำเป็นต้องถอดกุญแจมือให้กับไผ่พญา ไผ่พญารีบวิ่งเข้ามาหาภูวนัยตะวันฉายรีบเข้ามาไผ่พญาด้วยความเป็นห่วง
“เจ็บมั้ยครับ”
“นิดหน่อยคะ”
“คุณภูใจเย็นแล้ววางปืนก่อนดีกว่าครับ เดี๋ยวสถานการณ์จะยิ่งแย่ไปกว่านี้นะครับ”
ภูวนัยมองทุกคนแล้วพูดขึ้น
“ทุกคนคิดว่าผมเป็นคนเลวจริงๆ เหรอ”
ทุกคนแปลกใจที่ภูวนัยพูดอย่างนั้น ไผ่พญาหันมองไปทางรีสอร์ตอย่างร้อนใจ
“รีบไปเถอะ”
ภูวนัยได้สติ หันไปบอกกับวีระและราชัย
“ผมขอโทษ”
“หมวดขอโทษพวกผมทำไมครั...”
ยังไม่ทันที่ราชัยจะพูดจบ ภูวนัยก็ซัดกำปั้นใส่จนสลบกลางอากาศก่อนจะซัดวีระสลบไปอีกคน

ชาติกล้าวิ่งมาตามทาง เขาพยายามเร่งฝีเท้าเพื่อให้ทันการ ภูวนัยรีบดึงกุญแจรถของวีระออกมาเพื่อไม่ให้ตามได้ ก่อนที่ภูวนัยจะหันมาหาม่านหมอก
“หมอก อาฝากดูแลทุกคนด้วย”
ทันใดนั้นม่านหมอกก็โผเข้ากอดภูวนัย
“อาก็ดูแลตัวเองเหมือนกันนะคะ”
ภูวนัยดึงม่านหมอกออกก่อนจะยิ้มให้ ไผ่พญาเข้ามาล่ำลากับตะวันฉาย
“ขอบคุณนะคะคุณตะวัน ที่ช่วยฉันมาตลอด”
“เราจะได้เจอกันอีกมั้ยครับ” ไผ่พญาคิดแล้วยิ้มให้
“แน่นอนคะ”
ภูวนัยกับไผ่พญารีบวิ่งออกไปก่อนจะไปขึ้นรถของชาติกล้าที่เสียบกุญแจอยู่ที่รถ ชาติกล้าวิ่งออกมาที่หน้ารีสอร์ตพอดี
“ภู”
ภูวนัยหันมองชาติกล้าที่วิ่งตามมา ทั้งสองสบตากันชั่ววินาทีก่อนที่ภูวนัยจะรีบขับรถออกไป ชาติกล้าวิ่งเข้ามาก็เห็นรถตัวเองถูกภูวนัยขโมยหนีไปก็เจ็บใจ

รถของชาติกล้าแล่นมาตามถนน ภายในรถภูวนัยกำลังใช้ความคิดสีหน้าเครียด
“ทำไมนายไม่เปิดโปงไอ้เพื่อนชั่วให้ทุกคนเขารู้ความจริงละ”
“คิดว่าจะมีคนเชื่อผมเหรอ ตอนนี้มันคือผู้ใช้กฎหมาย คุณไม่รู้หรอกว่ามันมีอำนาจแค่ไหน”
“แต่ยังไงเราก็รอดมาได้” ไผ่พญาเป่าปากโล่งอก
“ยังดีใจเร็วไป” ไผ่พญามองภูวนัยอย่างไม่เข้าใจ “คุณคิดว่ามันจะยอมแค่นี้เหรอ”
ไผ่พญาเริ่มกลัว
“แล้ว...แล้วเราต้องทำจะยังไง”
ภูวนัยนิ่งไปอย่างใช้ความคิด

ชาติกล้ากำลังสื่อสารทางวิทยุอยู่ที่รีสอร์ตเสกสรรโดยมีวีระกับราชัยนั่งกุมโหนกแก้มกัน
“ติดต่อตำรวจพื้นที่ ให้ตั้งด่านสกัดจับเดี๋ยวนี้ ทวนอีกครั้ง...รถ...ทะเบียน...คนร้ายเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง ถ้าพวกเขาต่อสู้ อนุญาตให้จับตายได้ทันที”
วีระกับราชัยได้ยินอย่างนั้นก็ตกใจ
“ถึงกับจับตายเลยเหรอครับหัวหน้า”
“แล้วคุณไม่เห็นเหรอว่าหมวดภู อันตรายแค่ไหน”
“แต่พวกเราคิดว่าหมวดภูไม่น่าจะคิดทำอันตรายพวกเรานะครับ เพราะไม่อย่างนั้นหมวดภูคงจะยิงพวกเราไปแล้ว”
“ใช่ครับ แล้วก่อนที่หมวดภูจะไป หมวดภูเหมือนว่าตัวเองโดนใส่ร้ายด้วยนะครับ”
ชาติกล้าได้ยินอย่างนั้นพยายามตัดบทเพื่อตัดความสงสัยของทั้งสองคน
“คุณสองคนลืมไปแล้วเหรอไงว่าหมวดภูเป็นตำรวจมือดีที่สุดคนหนึ่งในหน่วยเรา ผมจะบอกให้ว่าที่หมวดภูพูดอย่างนั้นก็เพื่อสร้างความสับสนให้กับพวกคุณ ข้อนึงในยุทธวิถีของเราจำได้มั้ย”

วีระกับราชัยได้ยินอย่างนั้นก็เอนเอียงไปทางชาติกล้า

ภูวนัยเลี้ยวรถเข้ามาจอดภายในปั้ม ไผ่พญานึกสงสัย

“เข้ามาทำไม ทำไมไม่รีบหนีละหรือว่านายปวดห้องน้ำ”
“เราต้องเปลี่ยนรถ รถคันนี้เด่นเกินไป”
ระหว่างนั้นตำรวจสองนายเดินออกมาจากร้านค้าภายในปั้มภูวนัยเห็นตำรวจก็พยายามนิ่งไม่แสดงออกอะไร แต่ไผ่พญากลับตกใจ
“ตำรวจ ตำรวจ! ทำไงดี...เฮ้ย! เขามองมาด้วย”
ภูวนัยแอบชำเลืองไป แล้วก็เห็นตำรวจมองมาที่รถอย่างที่ไผ่พญาพูด
“อยู่เฉยๆ”
ตำรวจค่อยๆ เดินผ่านรถของภูวนัยแล้วมองด้วยความสงสัย ภูวนัยแอบสังเกตผ่านกระจกข้าง ภูวนัยหันไปมองไผ่พญา ก็เห็นไผ่พญานั่งตัวตรงแข็งเป็นหินทำตาโต
“ผมบอกให้อยู่เฉยๆ คือให้ทำตัวปกติ ทำอย่างนี้เขาก็ยิ่งสงสัย”
ภูวนัยชะงักไปเมื่อหันไปมองแล้วเห็นตำรวจสองนายหยุด ตำรวจสองนายที่หยุดเพราะสงสัยภูวนัยกับไผ่พญาจริงๆ
“ผู้หญิงคนนั้นเหมือนโดนจี้มายังไงชอบกล”
“ผมก็ว่าอย่างนั้น เข้าไปดูหน่อยก็ดี”
ตำรวจทั้งสองนายตัดสินใจเดินกลับมาที่รถของภูวนัย ภูวนัยแอบมองผ่านกระจกข้าง
“ตำรวจกลับมาแล้ว ทำไง...ทำไงดี”
ทันใดนั้นไผ่พญาก็ต้องอึ้งไปเมื่อจู่ๆ ภูวนัยจับเธอเข้ามาจูบ ตึ่ง ! จากอาการตระหนกตกใจเมื่อครู่ก็เห็นไผ่พญาค่อยๆ สงบลง ตำรวจเดินมาถึงรถกำลังจะเคาะเรียก แต่แล้วตำรวจก็ต้องชะงักเมื่อเห็นภูวนัยกำลังจูบกับไผ่พญาอยู่
“สงสัยจะคิดไปเอง ไปเถอะ”
“ดูทำ คนสมัยนี้...ไม่อายมั้งหรือไง”
แล้วตำรวจทั้งสองนายก็เดินออกไป ภูวนัยค่อยๆ ถอนจูบออกจากไผ่พญา ไผ่พญานิ่งอึ้งไป ภูวนัยหันมองแล้วก็โล่งใจเมื่อเห็นตำรวจไปแล้ว แล้วภูวนัยก็นึกเรื่องจูบขึ้นมาได้
“เอ่อ...” ภูวนัยหันไปมองก็เห็นไผ่พญาตัวแข็ง “คุณ...คุณ” ไผ่พญาหันมาอย่างไร้สติ “เป็นอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า”
“ผมว่าเราต้องรีบแล้ว”
ตำรวจทั้งสองนายกำลังเดินขึ้นรถ ระหว่างนั้นมีคำสั่งมาจากวิทยุสื่อสาร
“ขอให้ทุกหน่วยสกัดจับรถต้องสงสัย...เป็นรถ...ทะเบียน...ผู้ต้องหาเป็นชายหนึ่งหญิงหนึ่ง”
“เอ รูปพรรณคุ้นๆ นะพี่ ว่ามั้ย”
ตำรวจทั้งสองพยายามนึก แล้วก็นึกออก
“รถคันเมื่อกี้นี่หว่า”
ทั้งสองรีบวิ่งกลับไปที่รถของชาติกล้าที่จอดอยู่ทันที ตำรวจทั้งสองค่อยๆ ย่องเข้ามาดูด้วยความระวังตัว แต่แล้วทั้งสองก็เห็นว่าภูวนัยกับไผ่พญาไม่อยู่ในรถซะแล้ว

รถของวีระแล่นมาบนถนนด้วยความเร็ว โดยมีชาติกล้าเป็นคนขับและพยายามมองหาสอดส่องสายตาหารถของตัวเอง
“โห ไม่นึกออกซะพรุ่งนี้เลยละ”
“อะไร แทนที่แกจะชมว่าฉันมีความรอบคอบพกกุญแจรถสำรองติดตัวเอาไว้ กลับมาด่าอีกรู้งี้ไม่บอกหรอก”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของชาติกล้าดังขึ้น
“เจอหรือยัง...ได้...ฉันจะรีบไป”
ชาติกล้าวางสาย วีระกับราชัยอยากรู้
“ตำรวจท้องที่เหรอครับ”
ชาติกล้าพยักหน้า
“เจอพวกนั้นแล้ว”
ชาติกล้าสายตาเหี้ยมขึ้นมาทันที

ชาติกล้า วีระ ราชัยยืนอยู่หน้ารถของชาติกล้าพร้อมกับตำรวจท้องที่สองนาย
“ตรวจดูทุกซอกทุกมุมหรือยั”ง
“พวกเราดูหมดแล้วครับ ทั้งในห้องน้ำ ร้านค้าหรือบริเวณรอบๆ แต่ก็ไม่พบผู้ต้องหาอย่างที่แจ้งมา”
“เพิ่งรู้ว่าหมวดภูมีวิชาหายตัวกับเขาด้วย” วีระคุยกับราชัย
“เฮ้ย! หมวดเขาไม่ใช่ตี๋ใหญ่ จะได้คาบหญ้าคาเสกคาถาหายตัวได้”
ชาติกล้าทุบรถด้วยความเจ็บใจ ทำเอาทุกคนตกใจ
“ใช่...มันก็คนธรรมดาเนี่ยแหละ แต่เราต้องรู้ว่ามันหนีไปยังไง”
ชาติกล้าใช้ความคิดหนัก ระหว่างนั้นชาติกล้าเหลือบไปเห็นกล้องวงจรปิดที่อยู่หน้าร้าน ชาติกล้าหันไปถามตำรวจ
“ตรวจภาพจากกล้องวงจรปิดหรือยัง”
ตำรวจทั้งสองนายถึงกับสะอึกเพราะเพิ่งนึกได้

ภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นภูวนัยและไผ่พญาลงจากรถก่อนจะวิ่งไปที่ท้ายรถกะบะ ชาติกล้ากำลังดูทุกการเคลื่อนไหวภายในภาพอย่างตั้งใจ หลังจากภูวนัยกับไผ่พญาหายตัวไปท้ายกระบะก็เห็นตำรวจทั้งสองนายเดินกลับมาที่รถ ไม่นานก็เห็นคนขับรถกระบะเดินมาขึ้นแล้วถอยรถออก ระหว่างที่รถกระบะถอยรถ ชาติกล้าเพ่งมองแล้วก็เหมือนเห็นอะไรบางอย่าง
“หยุด...นั่นไง”
ชาติกล้าชี้ให้ทุกคนดูก็เห็นภูวนัยกับไผ่พญานั่งอยู่ท้ายกระบะที่อัดแน่นไปด้วยเงาะ
“โห หัวหน้านี่ตาเหยี่ยวจริงๆ ครับ”
“รีบบอกให้ตำรวจท้องที่สกัดจับรถกะบะคันนี้ด่วน”
“ครับ”
วีระกับราชัยวิ่งออกไป ชาติกล้ายังเจ็บใจไม่หาย
“ไอ้ภู...คิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ”

รถกระบะขนเงาะแล่นมาตามถนน ภูวนัยและไผ่พญานั่งพิงเงาะกันอยู่ท้ายรถภูวนัยแกะเงาะแล้วส่งให้กับไผ่พญา
“หวานนะ”
“ตอนแรกนายนะเป็นผู้บริสุทธ์ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว”
“อะไร”
“เอ้า ก็ที่นายทำอยู่เขาเรียกว่าขโมย เนี่ย...ขโมยเงาะคนอื่นกิน”
“เป็นอะไรหรือเปล่า ดูคุณหงุดหงิดนะ”
“ทำไม หรือฉันต้องดีใจที่นายจูบฉัน”
ภูวนัยเพิ่งถึงบางอ้อว่าไผ่พญาหน้าง้ำมาตลอดทางเพราะเรื่องอะไร
“ผมขอโทษ ตอนนั้นผมคิดได้แค่นั้น”
“ขอโทษแล้วมันหายหรือไง”
“อ้าว...แล้วตอนนั้นทีคุณจูบผม ผมยังไม่เห็นโกรธเลย”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็หน้าแดงก่อนจะปาเงาะใส่ภูวนัย
“อะไร ตอนนั้นมันเป็นอุบัติเหตุ แล้วเราก็ตกลงกันแล้วด้วยว่าเราไม่เคยจูบกัน”
“งั้นครั้งนี้เราก็ตกลงกันอีกซิ”
“บ้า! คิดได้ไง”
ไผ่พญาปาเงาะใส่ภูวนัยไม่ยั้ง ภูวนัยปัดป้องแต่แล้วระหว่างนั้นก็มีรถตำรวจขับเข้ามาพร้อมกับเปิดไซเรน ก่อนที่รถตำรวจจะเข้ามาปาดหน้ารถกระบะภูวนัยกับไผ่พญาเบรกแทบหัวทิ่ม ตำรวจสองนายเดินลงมาจากรถ คนนึงเดินไปที่คนขับ
“ขอโทษครับ ขอตรวจรถด้วยครับ”
ภูวนัยกับไผ่พญาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แล้วทั้งสองคนก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นตำรวจนายนึงเดินเข้ามาพร้อมกับจ่ออาวุธปืนเตรียมพร้อม ภูวนัยกับไผ่พญาอึ้งทันที

ชาติกล้า วีระและราชัยกำลังรอรายงานจากทางตำรวจท้องที่อยู่ที่ปั้มน้ำมัน
“พวกคุณกลับไปเฝ้าที่รีสอร์ตดีกว่า บางทีหมวดภูอาจจะย้อนกลับไป”
“แล้วหัวหน้าละครับ”
“ผมอยู่ตรงนี้ น่าจะเคลื่อนที่ได้คล่องตัวกว่า”
วีระกับราชัยพยักหน้าก่อนจะลุกขึ้นยืน
“ระวังตัวด้วยนะครับ”
วีระกับราชัยกำลังจะไป แต่แล้วเสียงมือถือของชาติกล้าก็ดังขึ้น
“ครับ...เจอรถแล้วเหรอครับ แล้วผู้ต้องหา...ไม่เจอ”
ชาติกล้าวางสาย มือกำลังโทรศัพท์ด้วยความโกรธ

อภิวัฒน์กำลังทำงานอยู่ภายในเซฟเฮ้าส์ ก่อนจะหันไปที่กระดานหมากรุกที่วางอยู่ข้างๆ อภิวัฒน์มองกระดานแล้ววางหมากลงก่อนจะหันกลับมาทำงานต่อ ระหว่างนั้นภูวนัยเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับไผ่พญา
“สวัสดีครับท่าน”
“สวัสดีค่ะ”
อภิวัฒน์เห็นการมาเยือนของภูวนัยกับไผ่พญาก็ลุกออกจากโต๊ะทำงาน
“หวังว่าคนของผมคงไม่ทำให้คุณตกใจนะ”
“นิดหน่อยแหละคะ ฉันน่ะนึกว่าต้องตายแน่ๆ ทีหลังถ้าท่านจะทำอย่างนี้อีก บอกกันก่อนนะคะ”
“เพราะผมไม่สามารถรับรองความปลอดภัยคนของท่านได้”
อภิวัฒน์ได้ยินอย่างนั้นก็อมยิ้ม
“ผมรู้ว่าหมวดไม่ยิงตำรวจที่กำลังปฏิบัติหน้าที่หรอก”
“แต่ก็ไม่แน่ ถ้าผมต้องป้องกันตัว”
“แล้วทำไมเมื่อกี้หมวดไม่ยิงคนของผมแล้วหนีไปละ” ภูวนัยพยายามไตร่ตรองความรู้สึกตัวเอง “เพราะหมวดไม่ใช่คนอย่างวศินหรือหมวดชาติกล้าไง”
อภิวัฒน์ยิ้มเย็นเหมือนอ่านภูวนัยออกจนทะลุ
“แล้วท่านทราบการเคลื่อนไหวของผมได้ยังไง”
“หมวดอย่าลืมซิว่าผมเป็นผู้บังคับบัญชาของหน่วยงานพิเศษนี่ เรื่องหูตามันเป็นเรื่องธรรมดาแล้วกลับไปเยี่ยมบ้านเป็นยังไง”
“โห ฉันไม่คิดเลยนะคะว่าพวกนั้นจะดึงคนแก่กับเด็กที่ไม่รู้เรื่องเข้ามาเกี่ยวข้อง” ภูวนัยยกมือห้ามไผ่พญา
“ผมว่าท่านคงรู้เรื่องจากหูตาของท่านแล้วละครับ”
“เฮ้ย! นายนี่ พูดอย่างนี้ได้ยังไง ไม่รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่”
“ไม่เป็นไร เราเพิ่งเจอกันเลยยังไม่สนิทกันเท่าไหร่”
“หลังจากที่ผมโดนเพื่อนสนิทผมหักหลัง มันทำให้ผมไม่อยากสนิทกับใครทั้งนั้น”
อภิวัฒน์ไม่พูดอะไรภายใต้ใบหน้าที่เรียบเฉย ก่อนที่อภิวัฒน์จะยิงคำถามเข้ากลางประตู
“แล้วคุณยังคิดจะทำงานกับผมมั้ย”
ภูวนัยนิ่งไปอย่างไตร่ตรอง ขณะที่ไผ่พญามองดูภูวนัยด้วยความสงสัยว่างานที่อภิวัฒน์ว่าคืองานอะไร

ไผ่พญาออกมารอด้านนอก
“อะไร แค่นี้ทำเป็นมีความลับด้วย หึ...คิดว่าฉันอยากรู้เหรอว่านายกำลังจะทำอะไร”
ระหว่างนั้นไผ่พญาก็ต้องสะดุ้งเพราะได้ยินเสียงใครร้องดังขึ้นอย่างทรมาน
“อ้ากกกก”
สิ้นเสียงร้องก็ตามมาด้วยเสียงปาข้าวของแตกกระจาย ไผ่พญาอยากรู้ทันทีว่าเป็นเสียงอะไร ไผ่พญาค่อยๆเดินไปตามเสียง แต่แล้วก็มีตำรวจนอกเครื่องแบบคนนึงมาจับไหล่ไผ่พญาเอาไว้
“ไปไหน”
“เอ่อ ห้องน้ำคะ”
“ทางโน้น”
ตำรวจชี้ไปอีกทางให้ไผ่พญาดู

ไผ่พญาเดินกลับไปทางที่ตำรวจนอกเครื่องแบบคนนั้นบอก ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจว่าเสียงที่ได้ยินเสียงเป็นเสียงอะไร

ภูวนัยกับไผ่พญาเดินกลับมาที่บ้านเช่า ไผ่พญาแอบสังเกตภูวนัยที่มีสีหน้าเคร่งเครียดตลอดเวลาหลังจากออกจากห้องอภิวัฒน์ ไผ่พญาตัดสินใจเลียบๆ เคียงๆ ถาม

“เอ่อ ท่านอภิวัฒน์ เขาชวนนายกลับไปเป็นตำรวจเหรอ” ภูวนัยเหล่มองไผ่พญา ไผ่พญาเห็นหน้าดุของภูวนัยเลยเฉไป “ไม่มีอะไร ฉันแค่อยากรู้น่ะ แต่นายไม่ต้องบอกก็ได้ ฉันแค่คิดว่าถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ จะได้ฉลองที่นายได้กลับไปเป็นตำรวจอีกครั้งไง”
“ก็ดีที่คุณพูดขึ้นมา” ระหว่างนั้นทั้งคู่เดินมาถึงหน้าบ้านเช่าพอดี ไผ่พญามองเข้าไปในบ้านแล้วตกใจเหมือนเห็นอะไรบางอย่าง “ผมเองก็อยากคุยเรื่องนี้กับคุณอยู่เหมือนกัน”
“หยุดก่อน”
ไผ่พญาตกใจแล้วรีบดึงภูวนัยเอาไว้ก่อนที่ไผ่พญาจะหลบหลังรั้วแล้วมองเข้าไปในบ้าน ภูวนัยสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
“มีอะไร”
“นั่นไง นายไม่เห็นว่ามีใครมาเขียนอะไรติดไว้ที่หน้าประตูน่ะ”
ภูวนัยมองไปก็เห็นกระดาษแผ่นนึงติดเอาไว้ที่หน้าประตูอย่างที่ไผ่พญาว่า ภูวนัยมองไปรอบๆ ก่อนจะเดินเข้าไป ไผ่พญาพยายามเรียกเอาไว้
“จะทำอะไร พวกมันอาจหลบอยู่แถวนี้ก็ได้” ภูวนัยเดินไปที่หน้าบ้านอย่างระแวดระวัง ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นนั้นมาอ่าน “ไง...จดหมายขู่ใช่มั้ย”
“มาเถอะ จดหมายของแม่บ้านคุณน่ะ”
ไผ่พญาที่หลบอยู่พอได้ยินอย่างนั้นก็รีบเดินเข้ามาอย่างแปลกใจว่าลำไยเขียนอะไรเอาไว้ ไผ่พญารับจดหมายมาอ่าน
“ไม่ต้องตามหานะ ช่วงนี้คงไปล่องเรือซักพัก” ไผ่พญาเสียใจที่ลำไยทิ้งกันไป “อะไรเนี่ย ทิ้งไปไม่บอกอีกแล้ว” ไผ่พญาอ่านจดหมายต่อ “ส่วนเรื่องแกกับคุณภู ฉันอยากให้แกเลิกซะ ก่อนที่แกจะชอบเขาไปมากกว่านี้ เฮ้ย”
ไผ่พญาตกใจแล้วหันมองภูวนัยที่ยืนมองอยู่ ไผ่พญาแทบม้วนแผ่นดินหนี
“คุณชอบผมเหรอ”
ไผ่พญาอ้าปากหวอ หน้าชาตัวแข็งก่อนที่จะตั้งสติได้
“ใคร ใครชอบนาย”
“ก็นั่นไง คุณลำไยเขาเขียนเอาไว้ว่าคุณชอบผม”
“ลำไยนะลำไย” ไผ่พญาหันไปกลบเกลื่อนกับภูวนัย “ไม่มีอะไรหรอก คือตอนที่นายไม่ค่อยสบาย ฉันก็ดูแลนาย แล้วลำไยเขาก็คิดว่าฉันชอบนาย เท่านั้นเอง เข้าบ้านเถอะ”
ไผ่พญารีบเดินเข้าบ้านเพราะอายสุดจะอาย ภูวนัยมองตามสีหน้าเครียดขึ้นอีกเพราะสิ่งที่เขากำลังจะบอกไผ่พญานั่นเอง

ไผ่พญาเดินบ่นพึมพำเข้ามาในบ้าน
“แม่นะแม่ ทำกันอย่างนี้แล้วฉันจะมองหน้าเขายังไงเนี่ย”
ภูวนัยเดินตามเข้ามา
“ถ้าคุณไม่ได้ชอบผมก็ดีแล้ว”
ไผ่พญาหันมาแล้วแปลกใจที่ภูวนัยพูดขึ้นอย่างนั้น
“ใช่...ฉันไม่ได้ชอบนาย” ไผ่พญาบอกอย่างฝืนความรู้สึกตัวเอง
“งั้นต่อไปเราคงไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกันอีก”
ไผ่พญาแปลกใจกับคำพูดของภูวนัย
“อะไรของนาย”
“ผมอยากให้คุณกลับไปมีชีวิตของคุณ กลับไปสอนแล้วมีชีวิตที่ดี”
“นี่นายเป็นอะไร”
“เลิกยุ่งกับผมซะทีได้มั้ย” ไผ่พญาถึงกับอึ้ง
“อ๋อ นายคิดว่าฉันอยากยุ่งกับนายมากหรือไง การที่นายจะโกรธใครซักคนก็ช่วยบอกเขาด้วยว่าเขาทำอะไรผิดฉันไม่อยากตกเป็นจำเลยโดยไม่รู้ตัว”
ภูวนัยชะงักนิ่งไป
“อยากรู้แค่นี้ใช่มั้ย”
“ก็ใช่น่ะซิ ฉันไม่รู้ว่านายโกรธฉันเรื่องอะไร ทั้งๆ ที่ฉันช่วยนายมาตลอด”
“ผมไม่เคยขอร้องให้คุณทำอย่างนั้น”
ไผ่พญาอึ้งอีกรอบเมื่อได้ยินคำพูดนี้จากภูวนัย
“เหรอ แล้วฉันเคยขอร้องให้นายจูบฉันมั้ย นายเห็นฉันเป็นอะไรคิดอยากจะจูบก็จูบ คิดอยากจะด่าก็ด่า”
“ก็นี่ไง ผมจะไปจากชีวิตคุณ คุณจะได้สบายใจ”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็หมายความว่า ตอนนี้เราไม่มีอะไรต้องเกี่ยวข้องกันอีก”
ไผ่พญารู้สึกหน้าชาใจสั่นพิกล ไผ่พญาเดินไปเปิดประตูบ้าน
“งั้นนายก็ออกไปจากที่นี่ซะ” ภูวนัยค่อยๆ เดินมาที่ประตู ไผ่พญาแอบใจหายที่ภูวนัยจะไปจริงๆ “เดี๋ยว”
ภูวนัยหยุดหันมา
“หวังว่าคงไม่ได้เจอกันอีก”
ภูวนัยเดินออกจากประตูไป ไผ่พญาเหมือนลอยเคว้งอยู่ในอากาศยังไงชอบกล

ไผ่พญาเข้ามาในห้องโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง
“คนบ้า” ไผ่พญายิ่งพูดก็ยิ่งโมโหจนลุกขึ้นจากเตียงแล้วปาหมอนใส่ผนังระบายอารมณ์ “นี่! ไปไหนก็ไปเลยไป”
ภูวนัยยืนอยู่หน้าบ้านเช่า เขามองไปที่หน้าต่างห้องของไผ่พญาก่อนจะหยิบปืนขึ้นมาดู แล้วครุ่นคิดถึงเรื่องเมื่อตอนกลางวันตอนที่อยู่ในห้องทำงานอภิวัฒน์ อภิวัฒน์เดินเข้ามาที่กระดานหมากรุกแล้วมองเหมือนกำลังอ่านเกมส์อยู่
“ตอนนี้หมวดก็เหมือนเบี้ยตัวนึงที่กำลังสู้กับคนที่มีพลังและอำนาจอย่างวศิน”
ภูวนัยยืนอยู่ข้างๆ อภิวัฒน์
“ถึงสู้ไม่ได้ ผมก็จะสู้”
อภิวัฒน์วางเบี้ยตัวนึงลงในกระดานหมากรุก ก่อนที่อภิวัฒน์จะเปลี่ยนมาเป็นผู้เล่นอีกคนแล้วจับเอาขุนเข้ามากินเบี้ยตัวนั่น
“ยังไงก็ไม่มีทางที่จะสู้พวกมันได้อยู่แล้ว”
“ท่านจะบอกอะไรผม”
“หมวด ผมรู้ว่าตอนนี้หมวดเจอเรื่องหนักหนาสาหัสมาหลายเรื่อง แต่หมวดต้องตั้งสติแล้วรู้ว่าตอนนี้หมวดกำลังสู้อยู่กับใคร” อภิวัฒน์เดินหมากอีกตัวที่เสมือนเป็นฝั่งของเบี้ยตัวเมื่อกี้ แต่อภิวัฒน์หยิบม้าเข้าไปรุกตัวขุนฝั่งตรงข้าม “ทำไมเราไม่มาสู้ด้วยกันละ” อภิวัฒน์หยิบขุนหลบม้าที่รุกมาเมื่อกี้ ก่อนที่อภิวัฒน์จะหยิบเบี้ยที่เป็นตัวแทนภูวนัย กินขุนทันที “ถ้าหมวดอยากจะโค่นพวกมัน หมวดต้องรู้ว่าเกมส์นี้ต้องเล่นยังไง”
ภูวนัยมองไปที่กระดานหมากรุก ช่องที่เบี้ยกินขุนจนขุนล้มคว่ำไปกับกระดาน ภูวนัยใช้ความคิดอย่างหนัก

เช้าวันรุ่งขึ้น ไผ่พญาเดินลงมาที่บันได
“นายจะไปไหนได้ คงกลับมาตอนฉันนอนแล้วละซิ” ไผ่พญาลังเลจะเดินกลับขึ้นห้องดีมั้ย “จะหนีทำไม เราไม่ได้เป็นฝ่ายผิดซะหน่อย คนที่ต้องรู้สึกผิดคือนายต่างหาก” ไผ่พญาหันมองไปทางภูวนัยที่คิดว่าอยู่ชั้นล่างแล้วเหยียดปากหมั่นเขี้ยว “เอ้า”
ไผ่พญาหันกลับมาแล้วทำหน้าตึงวางฟอร์ม ค่อยๆ เดินลงบันไดมา
“นี่ ฉันจะยอมให้นายอยู่ที่นี่ถ้านายยอมขอโทษฉัน” ไม่มีเสียงตอบรับจากภูวนัย ไผ่พญายิ่งหมั่นไส้ “นี่...ได้ยินมั้ย” ไผ่พญาสงสัยว่าทำไมภูวนัยไม่ตอบเลยเดินเข้าไปที่โซฟาแล้วก็แปลกใจเมื่อไม่เห็นภูวนัย “ไม่ได้กลับมาเหรอ”

ไผ่พญาเดินมาที่ริมน้ำแล้วมองหาภูวนัยแต่ก็ไม่เห็น
“ไปไหนของเขา”
ไผ่พญาสงสัยว่าภูวนัยหายไปไหน ไผ่พญาใช้ความคิดแล้วเหมือนจะคิดได้ว่าภูวนัยจะไปที่ไหน
ไผ่พญามาที่เซฟเฮ้าส์อภิวัฒน์ ไผ่พญากำลังเดินดูข้าวของในเซฟเฮ้าส์ ระหว่างนั้นอภิวัฒน์เดินเข้ามา
“มีอะไรให้ผมรับใช้ครับ”
ไผ่พญาตกใจรีบหันมา พอเห็นอภิวัฒน์ก็รีบยกมือไหว้
“สวัสดีคะท่าน เอ่อ...หมวดภูเขามาที่นี่หรือเปล่าคะ”
“หมวดภู...ไม่นี่” ไผ่พญาแอบผิดหวังที่ไม่เจอภูวนัย “เขาหายตัวไปเหรอ”
“เอ่อ ตอนเช้าฉันลงมาก็ไม่เห็นเขาแล้วก็เลยคิดว่าเขาอาจจะมาที่นี่ แต่ก็...ไม่เป็นไรคะ บางทีเขาอาจจะซื้อโจ๊กอยู่แถวบ้านก็ได้ สวัสดีคะ”
ไผ่พญายกมือไหว้อภิวัฒน์อีกครั้งก่อนจะเดินออกไป อภิวัฒน์มองตามจนไผ่พญาเดินลับสายตาไป

อภิวัฒน์เดินเข้ามาในห้องทำงาน
“แน่ใจนะที่ตัดสินใจแบบนี้”
อภิวัฒน์ถามภูวนัยที่ยืนอยู่
“ครับ ผมไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเพราะผมอีก”
ภูวนัยพูดอย่างนั้นแต่ก็แอบเห็นความเสียใจในแววตาและน้ำเสียง
“ผมดีใจที่หมวดตัดสินใจมาช่วยงานผม”
อภิวัฒน์พูดจบ ก็ทำให้ภูวนัยเปลี่ยนความรู้สึกจากการตัดสินใจเรื่องไผ่พญามาเป็นความมุ่งมั่นที่จะแก้แค้น
“ท่านต้องการให้ผมทำอะไรครับ”
“ใจเย็นหมวด ก่อนที่เราจะเริ่มงานผมอยากให้หมวดเจอใครบางคนก่อน”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็อยากรู้ว่าอภิวัฒน์อยากให้เจอใคร

ไผ่พญาเดินมาตามถนนทั้งเหนื่อยและร้อน กระวนกระวายใจ เป็นห่วงและอยากเจอภูวนัย ไผ่พญาเดินมานั่งที่ป้ายรถเมล์อย่างท้อแท้
“นายหายไปไหนของนาย” ไผ่พญาหลับตาลง “ฉันอยากลืมตาขึ้นมาแล้วเห็นนายจัง”
ระหว่างนั้นเสียงนึงดังขึ้น
“คุณ”
ไผ่พญาดีใจรีบลืมตาเพราะคิดว่าเป็นภูวนัย
“นาย” แล้วก็เศร้าลงอีก “อ้าว”
เพราะเจ้าของเสียงเป็นชายจรจัดคนนึงยืนอยู่ตรงหน้า
“มีเงินสักสิบบาทมั้ย”
ไผ่พญาหันมองไปรอบๆ แล้วก็ไม่เห็นใครก็กลัวที่จะโดนชายจรจัดคนนั้นทำร้ายเลยหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา
ทันใดนั้นชายจรจัดก็คว้ากระเป๋าสตางค์ของไผ่พญาแล้ววิ่งออกไปทันที
“เฮ้ย! ไอ้บ้า หยุดนะ” ไผ่พญาพยายามวิ่งตามชายจรจัดคนนั้นแต่ก็ไม่ทัน “บ้า บ้าๆๆ”
ไผ่พญาแทบจะร้องไห้น้อยใจกับโชคชะตา

อภิวัฒน์เดินนำภูวนัยลึกเข้ามาในเซฟเฮ้าส์ ทางเดินวกวนและเป็นผนังปิดทึบรอบด้านมีตำรวจนอกเครื่องแบบหลายนายยืนเฝ้าตามจุดต่างๆ ตำรวจนอกเครื่องแบบต่างทำความเคารพอภิวัฒน์และภูวนัยที่เดินผ่าน จนกระทั่งอภิวัฒน์เดินมาหยุดที่หน้าห้องหนึ่งที่เป็นประตูเหล็กค่อนข้างแน่นหนา

อภิวัฒน์ให้สัญญาณกับตำรวจนอกเครื่องแบบที่ยืนเฝ้าอยู่หน้าประตู ตำรวจนอกเครื่องแบบจึงเปิดประตูออก อภิวัฒน์หันมองหน้าภูวนัยอีกครั้งก่อนจะเดินเข้าไป ภูวนัยเดินตามอภิวัฒน์เข้าไปอย่างระวังตัว
อภิวัฒน์เดินเข้ามาในห้องหนึ่ง ภูวนัยเดินตามเข้ามาแล้วภูวนัยก็เห็นชายคนนึงอยู่ในห้องกำลังนั่งเล่นหมากรุกเหมือนกัน ภูวนัยเห็นด้านหลังชายคนนั้นก็รู้สึกคุ้นขึ้นมาทันที ระหว่างนั้นชายคนนั้นก็หันหน้ามา

ภูวนัยถึงกับอึ้งไปเพราะคนที่ยืนตรงหน้าเขาคือสมสุขนั่นเอง

อ่านต่อหน้า 2

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 11 (ต่อ)

ภูวนัยอึ้งไปเมื่อเห็นสมสุขยืนอยู่ตรงหน้า

“แก...แกตายแล้วนี่”
สมสุขได้ยินอย่างนั้นเลยแลบลิ้นปลิ้นตาให้ดู
“ใช่ ฉันตายไปแล้ว ตอนนี้ฉันเป็นซอมบี้...แฮ่” สมสุขเล่นเป็นซอมบี้จะเข้ามาบีบคอภูวนัย แต่เจอภูวนัยไม่เล่นด้วยปัดมือออกแล้วชักปืนขึ้นมาเล็งไปที่สมสุขทันที “อะไรเนี่ยหมวด เล่นด้วยแค่นี้ทำซีเรียส”
“หมวดภู เก็บปืนเถอะเดี๋ยวผมจะเล่าทุกอย่างให้ฟัง”

ภูวนัยหันมองอภิวัฒน์และสมสุข ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

อภิวัฒน์เล่าเหตุการณ์ตอนที่สมสุขนอนอยู่ในห้องไอซียูของโรงพยาบาลให้ภูวนัยฟัง
เวลานั้นสมสุขนอนหายใจรวยรินอยู่ในห้องไอซียูมีเครื่องช่วยชีวิตระโยงระยางมากมายที่ตัวสมสุข อภิวัฒน์ยืนมองสมสุขอยู่หน้าห้องไอซียู ระหว่างนั้นคุณหมอเดินเข้ามาหาอภิวัฒน์
“เขาจะรอดมั้ยหมอ”
“น้อยเหลือเกินครับ”
หมอบอกอย่างหนักใจ เช่นเดียวกับอภิวัฒน์

สามคนอยู่ที่เซฟเฮ้าส์ สมสุขเดินเข้ามาหาภูวนัย
“แต่สงสัยว่าฉันจะเป็นคนดี นรกก็เลยไม่อยากรับฉันเอาไว้”
“แกมันเลวเกินกว่าจะอยู่ในนรกมากกว่า”
“แหม หมวดนี่รู้สึกจะจงเกลียดจงชังผมเหลือเกินนะ”
“คำว่าเกลียดมันคงน้อยไป”
“แหม มิน่าละเราถึงได้เจอกันอยู่เรื่อย หมวดเคยได้ยินมั้ยว่ายิ่งเกลียดก็ยิ่งเจอ...ฮ่าๆ”
สมสุขหัวเราะกวนภูวนัยจนภูวนัยเหลืออด ปรี่เข้าไปจะซัดสมสุข อภิวัฒน์รีบเข้ามาห้าม
“หมวด ใจเย็น”
“นั่นซิ เอาน่า อยู่ทีมเดียวกันแล้วก็หยวนๆ หน่อยน่า”
“ทีม” ภูวนัยหันไปทางอภิวัฒน์ “ท่านครับ สมสุขคือคนที่ท่านอยากให้ผมเจอเหรอครับ”
“ใช่” ภูวนัยได้ยินที่อภิวัฒน์พูดอย่างนั้นก็หันหลังเดินออกจากห้องไปทันที “หมวด”
“ความอดทนยังต่ำเหมือนเดิม”
อภิวัฒน์กำลังจะตามภูวนัยออกไป แต่หันกลับมาปรามสมสุขก่อน
“ถ้ายังอยากอยู่ที่นี่ ก็หัดหุบปากซะบ้าง”
สมสุขยักไหล่ไม่สนใจ อภิวัฒน์รีบเดินตามภูวนัยออกไป

ภูวนัยเดินออกมาอย่างหัวเสีย อภิวัฒน์เดินตามออกมา
“หยุดก่อนหมวด”
ภูวนัยชะงักหยุด อภิวัฒน์เดินตามเข้ามา
“ถ้าท่านบอกผมก่อนว่าเป็นมัน ผมจะไม่มาที่นี่อย่างเด็ดขาด”
“ผมรู้ว่าหมวดกับสมสุขต่างมีอดีตกันมาก่อน แต่จำไม่ได้หรือไง หมวดบอกว่ายอมทำทุกอย่างเพื่อที่จะจัดการคนที่ทำกับหมวด”
“ถ้าเราทำงานกับโจร เรายังมีเกียรติพอจะเรียกตัวเองว่าเป็นตำรวจได้เหรอครับท่าน”
“หมวดต้องแยกให้ออกระหว่างเกียรติกับการทำงาน หลายครั้งที่เราจับพวกโจรไม่ได้เพราะอะไร เพราะเรามัวคิดอย่างตำรวจไง แต่ถ้าเราอยากจะจับโจร เราก็ต้องรู้ว่าโจรมันคิดยังไง”
“ท่านกำลังจะบอกว่า”
“เราต้องใช้โจรจับโจร” ภูวนัยนิ่งไปยังไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่อภิวัฒน์บอก “ผมรู้ว่ามันฝืนความรู้สึกของหมวดแต่ถ้าหมวดต้องการกำจัดวศิน ชาติกล้าแล้วละก็ หมวดต้องใช้เขา”
ภูวนัยพยายามทำใจยอมรับ

ไผ่พญาเดินหมดอาลัยตายอยากมาถึงที่ตลาด ทั้งร้อนทั้งหิว
“แม่ก็ทิ้งฉันไป นายยังมาทิ้งฉันไปอีก ฉันจะทำยังไงดี” ระหว่างนั้นไผ่พญาเหลือบไปเห็นภูวนัยกำลังเดินอยู่ ไผ่พญาดีใจรีบวิ่งเข้าไปดึงเอาไว้ “นี่...” แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องชะงักไปเมื่อชายคนนั้นหันมาแล้วไม่ใช่ภูวนัย “เอ่อ...ขอโทษคะ”
ไผ่พญาเดินออกมาแล้วแปลกใจกับอาการของตัวเอง
“ทำไมเราต้องคิดถึงเขาด้วย”
ไผ่พญาเดินหมดอาลัยตายอยากมาตามทาง ไผ่พญาเดินผ่านรถคันนึงแล้วเห็นเงาตัวเองในกระจก ไผ่พญามองตัวเองแล้วเหมือนได้สติจึงพูดกับตัวเองกับกระจกหน้าต่างรถ
“ไผ่พญา แกทำบ้าอะไรอยู่ เลิกคิดถึงเขา เริ่มต้นชีวิตใหม่ได้แล้ว” กระจกรถลดลง ไผ่พญาสะดุ้งเพราะเห็นคุณป้าที่นั่งอยู่ในรถมองมาที่เธอแปลกๆ “อุ้ย ขอโทษคะ”
ไผ่พญารีบเดินออกไป ป้ามองตามไผ่พญาแล้วส่ายหน้า
“หน้าตาก็ดี ไม่น่าบ้าเลย”

อีกมุมของตลาดมีรถกระบะคันนึงจอดอยู่ ขิงกับกระดังงาอยู่ท้ายกระบะ กระดังงาแต่งเป็นพระอุมาเทวีถือสากกะเบือยืนอยู่ท้ายกระบะ โดยมีขิงกำลังเชื้อเชิญชวนผู้คนในตลาดที่เดินผ่านไปผ่านมา
“สวัสดีพ่อแม่พี่น้อง วันนี้เป็นบุญของพี่น้องแล้ว...พระอุมาเทวี ได้มาให้ทุกท่านได้ทำบุญกันถึงบ้าน จะสะเดาะเคราะห์ผูกดวงมาทางนี้ครับพี่น้อง” ขิงชี้มือชี้ไม้เรียกชาวบ้าน “อ้าว ป้าทำบุญกับพระอุมาเทวีมั้ย ท่าทางป้าจะมีเคราะห์นะ ดูๆ เคราะห์หนักจนหน้าเหี่ยวเลยป้า”
ผู้คนต่างเดินผ่านไปไม่สนใจ
ไผ่พญาเดินพ้นมุมมาตามทางพร้อมกับแรงฮึดสู้อีกครั้ง
“งาน...งาน...งาน...ตอนนี้เราต้องหางานทำให้ได้ก่อน”
ขิงทิ้งไมค์ก่อนจะลงจากรถอย่างหงุดหงิด
“อะไรวะ พระอุมาเทวีอุตส่าห์เสด็จมาจากสวรรค์เองอย่างนี้ไม่คิดจะทำบุญกันบ้างหรือไง เดี๋ยวให้พระอุมาปาสากใส่เลย” กระดังงาเอาสากเคาะหัวขิงเข้าให้ “โอ๊ย! อะไรของแกวะ”
“พูดจาให้มันดีหน่อย พูดอย่างนี้แล้วใครจะเข้ามาไหว้วะไอ้ขิง”
ขิงเลยต้องปรับอารมณ์ใหม่ก่อนจะคว้าไมค์ขึ้นมาประกาศอีก
“มาแว้ว...มาแว้ว...พระอุมาเทวีองค์นี้ของเราสามารถเนรมิตให้ได้ทุกอย่าง หวังสิ่งใดได้สิ่งนั้น แม้แต่ไอ้หวังตายแน่ยังทำให้รอดได้”
ไผ่พญาได้ยินเสียงประกาศของขิงก็หันไปมอง แต่ไผ่พญายังไม่ทันเห็นหน้าขิงเพราะขิงหันหน้าไปทางอื่น
“ไหว้พระเอาฤกษ์เอาชัยหน่อยดีกว่า”
ขิงเดินมาหน้ากระบะเพื่อบอกกล่าวให้ทั่วถึง
“น่าน...น้องๆ สาวๆ ใครอยากรวยใครอยากสวย มาทางนี้”
ไผ่พญาเดินเข้ามาที่ท้ายกระบะ ระหว่างนั้นขิงกำลังเดินไปเรียกลูกค้าอยู่หน้ากระบะ กระดังงาหันมองขิงแต่พอหันกลับมาเห็นไผ่พญาก็ดีใจ
“ไอ้ไผ่”
ไผ่พญาหยิบธูปกำลังจะจุด พอได้ยินเสียงกระดังงาก็หันมองไปที่พระอุมาเทวีแล้วไผ่พญาจึงจำได้
“ไอ้งา แกมาทำอะไรตรงนี้เนี่ย”
“แกเป็นไงมั้ง”
“ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แล้วไอ้ขิงละ”
ไผ่พญาถามถึงขิง ขิงก็เดินป่าวประกาศเข้ามา
“สองมือล้วงกระเป๋าสองเท้าก้าวเข้ามา ไม่ต้องมีอะไรมากแค่มีความศรัทธาแล้วเดินเข้ามาเลย เอ้า...มาเล๊ยมาเลย โชคดีมาถึงทุกท่านแล้ว” ขิงมองไปที่ท้ายรถเห็นว่ากระดังงาคุยกับใครก็มองไปแล้วขิงก็จำได้ “ไอ้ไผ่”
ขิงรีบวิ่งเข้ามาหาไผ่พญากับกระดังงา
“เฮ้ย! โอ้โห นึกว่าแกตายไปแล้วนะเนี่ย”
“ปากเหรอไอ้ขิง แล้วพวกแกมาทำอย่างนี้ได้ยังไง”
“เอ้า แกไม่รู้อะไร เล่นกับความศรัทธานี่ละเว้ย...รุ่ง แกไม่เห็นเหรอไงว่าเดี๋ยวนี้พวกหมอดูเขาร่ำรวยกันแค่ไหน”
“ใช่ นี่ไอ้ขิงมันคิดท่าของมันแล้วนะ ไอ้พวกจะดังมันต้องมีท่าเป็นของตัวเอง” กระดังงาหันไปทางขิง “โชว์ดิ”
“หมอขิง...ชัวร์”
ขิงทำท่าคล้ายกับท่าฟันธงของหมอลักษณ์ กระดังงาตบมือให้กำลังใจสามีสุดที่รัก ไผ่พญามองรถกระบะอย่างสงสัย
“แล้วแกเอาเงินที่ไหนไปออกกระบะมาเนี่ย”
“เอ้า...ก็เงินที่ขโมยมาจากฟาร์ม” ขิงบอกแล้วนึกได้ว่าเผลอพูด “อุ้ย”
ขิงกับกระดังงาค่อยๆ หันมองไผ่พญา ไผ่พญาจึงเพิ่งนึกออกชี้หน้าทันที
“อ๋อ...ฉันนึกออกแล้ว คุณภูเขาบอกว่าเงินของคุณเผ่าหายไป พวกแกนี่เอง” ขิงกับกระดังงาหันมองหน้ากันโดยที่ไม่ได้นัดหมาย ทั้งสองก็กระเด้งพรวดลงจากกระบะแล้ววิ่งหนีไผ่พญาทันที “เฮ้ย หยุดเลย”

ขิงกับกระดังงาวิ่งหนีไผ่พญามาตามถนนอย่างสุดชีวิต
“เฮ้ย! ไอ้ไผ่...แกจะตามมาทำไม”
ไผ่พญาวิ่งตามมาติดๆ
“แกก็อย่าหนีซิ ฉันจะได้ไม่ตาม”
“แกก็อย่าตามซิไอ้ไผ่ พวกเราจะได้ไม่หนี”
ไผ่พญาไม่พูดพร่ำทำเพลงคว้ามะระที่อยู่ข้างๆ แล้วปาใส่ขิงกับกระดังงาทันที ขิงกับกระดังงาหันมาพอดีก่อนจะรีบหลบวูบได้ทัน
ขิงกับกระดังงาวิ่งมาอีกมุมของตลาด
“เอาไงดีไอ้ขิง”
กระดังงาถามขิง ขิงหันมองไปรอบๆ คิดหาทาง ไผ่พญาวิ่งตามเข้ามา
“ไปไหนแล้ว...ออกมาเลยนะไอ้ขิงไอ้งา”
ระหว่างนั้นมีเสียงดังออกมาสุ่มไก่ชนที่มีผ้าปิดสุ่มเอาไว้ ไผ่พญาชะงักมองไปที่สุ่มไก่ก่อนจะหยิบไม้แถวนั้นขึ้นมา ภายในสุ่มไก่เห็นขิงกับกระดังงากำลังถูกไก่ชนทั้งจิกทั้งตี ทั้งสองพยายามจับเอาไว้
“ไอ้งา แกไปสุ่มอื่นซิวะ”
สุ่มไก่เปิดออก ขิงกับกระดังงาหันไปมองก็เห็นไผ่พญายืนจ้องอยู่ ไผ่พญาไม่พูดพร่ำทำเพลงเงื้อไม้ขึ้นสุดมือ
ขิงกับกระดังงาคุกเข่าพนมมือ
“พวกเราขอโทษ”
ไผ่พญาฟาดผัวะลงไป แต่ขิงกับกระดังงากระโดดหนีราวกับไก่ชน
“ไอ้ไผ่ จะตีพวกฉันจริงๆ เหรอเนี่ย”
“เออ พวกแกรู้มั้ยว่าพวกแกทำอะไรลงไป ไอ้เงินที่แกขโมยมาน่ะทำให้ครอบครัวคุณภูต้องเดือดร้อน”
“แต่ตอนนั้นพวกเราคิดอะไรไม่ออกจริงๆ พวกเรารู้แต่ว่าต้องหนีตำรวจแล้วพวกเราก็ไม่มีเงินติดตัว”
ไผ่พญาตบปาก...เผียะ ขิงถึงกับอึ้ง
“แล้วทำไมไม่หยิบมาแค่พอเอาตัวรอดได้...ห๊า”
ขิงกับกระดังงาถึงกับอึ้งไปเพราะถูกไผ่พญาไล่จนมุม พูดไม่ออก
“พวกเราขอโทษ แต่พวกเราไม่ได้คิดไปแล้วไปลับนะนี่พวกเรากะว่าถ้าเงินได้ก็จะเอาเงินไปคืนให้คุณภู”
“จะให้ฉันเชื่อปลาไหลตัวแม่อย่างพวกแกเนี่ยนะ”
“จริงจริง” ขบิงกับกระดังงาบอกพร้อมกัน ไผ่พญาสวนกลับทันที
“แล้วแกจะหาเงินยังไง คงไม่ใช่จะเป็นพระอุมาเทวีหลอกเอาเงินคนอื่นอีกใช่มั้ย”
“โห...พอได้อยู่กับตำรวจแล้วดูมีศีลธรรมขึ้นมาเลยนะ”
“พูดอะไร”
“เปล่าจ้ะ คือ...ไอ้เรื่องพระอุมาเนี่ยเป็นแค่งานอดิเรก แกจำพี่ชัยที่เคยอยู่ที่ดิออร์แกนได้มั้ย” ไผ่พญาพยักหน้า “เขาชวนพวกเราไปทำงานด้วย เนี่ยพวกเราก็มาเงินฆ่าเวลารอพี่เขาโทรมาเท่านั้นแหละ”
ระหว่างนั้นโทรศัพท์กระดังงาดังขึ้นเหมือนนัดกันไว้
“ว้าย...โทรมาแล้ว ตายยากจริงๆ” กระดังงารับสาย “สวัสดีคะพี่ชัย อ๋อ...พร้อมคะ ให้ไปหาวันนี้เหรอคะ ได้คะ...เจอกันคะพี่”
ไผ่พญาลองเลียบๆ เคียงๆ ถามกระดังงาเพราะกำลังหางานทำอยู่พอดี
“งาน...แล้วงานอะไร”
“พี่เขาไม่ได้บอก แต่บอกว่าเงินดีมากเลยนะแก”

ไผ่พญาได้ยินก็สนใจขึ้นมาทันที

อีกด้านหนึ่ง ขณะนั้นภูวนัยกับอภิวัฒน์นั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าวในห้องเซฟเฮ้าส์ของสมสุข สมสุขยกสเต๊คเข้ามาสองจาน

“อยู่ที่นี่ไม่ได้ทำอะไรก็หัดทำอาหารไปเรื่อย เดี๋ยวหมวดกับท่านอภิวัฒน์ช่วยชิมหน่อยแล้วกันว่ามันเป็นยังไง”
สมสุขวางจานไว้ตรงหน้าภูวนัยกับอภิวัฒน์ ภูวนัยเลื่อนจานออกทันที
“ฉันไม่มีเวลา ช่วยเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”
สมสุขนั่งลงตรงหัวโต๊ะแล้วดึงจานสเต๊คเข้ามาทำหน้าเสียดาย
“หมวดลองหน่อยซิ”
ภูวนัยไม่สนใจ แล้วถามสมสุข
“ท่านบอกว่าถ้าเราจะล้มวศินต้องใช้นาย หมายความว่าไง”
สมสุขกำลังเหยาะเกลือลงในสเต๊คพูดขึ้นด้วยท่าทางนิ่งๆ
“เพราะพวกเราเป็นคนส่งส่วยให้กับมันไง”
“พวกเรา”
“หมวดคงรู้จักกลุ่มห้าเสือใช่มั้ย”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็แปลกใจ
“ผู้มีอิทธิพลทั้งห้าภาคในเมืองไทยน่ะเหรอครับ”
“ถูกต้อง ถ้าหมวดอยากกำจัดวศินก็ไม่มีอะไรมาก หมวดก็แค่ตัดท่อน้ำเลี้ยงที่ส่งให้มันก็เท่ากับว่ามันก็จะไม่มีเงินซื้อเส้นสายตำแหน่งอะไร เท่านี้มันก็เหมือนตายทั้งเป็นแล้ว”
“แต่การจะล้มห้าเสือได้มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าเราต้องใช้เสี่ยสมสุข”
“ถูกต้อง เพราะฉันเป็นหนึ่งในห้าคนนั่น” ทันใดนั้นสมสุขก็กระแทกขวดพริกลงที่โต๊ะด้วยความแรง จนภูวนัยกับอภิวัฒน์หันไปมอง “โทษที พอดี นึกเรื่องเก่าๆ แล้วมันเลยมีอารมณ์นิดหน่อย”
“ท่านครับ พวกข้อมูลห้าเสือทางตำรวจก็มีอยู่แล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้อง...”
สมสุขพูดแทรกขึ้นทันที
“ไม่มีใครรู้จักพวกห้าเสือดีไปกว่าฉัน พวกตำรวจอาจจะมีข้อมูลว่าพวกนั้นทำเรื่องผิดกฎหมายอะไรบ้าง แต่พวกตำรวจคงไม่มีเส้นทางการลำเลียง หรือวิธีที่จะหลบหลีกการจับกุมของพวกตำรวจ...ใช่มั้ย”
“แล้วที่พวกเราจับแกได้บ่อยๆ ละ”
“เพราะพวกเราอยากให้จับไง” ภูวนัยแปลกใจ “แหม...เราเข้าใจว่าพวกตำรวจมันก็ต้องสร้างผลงาน พวกเราก็แค่ขับรถเข้าไปในด่านที่ตั้งขึ้น แล้วก็ให้โดนจับเพื่อให้คนอย่างวศินมันได้เลื่อนตำแหน่ง เพราะสุดท้ายยาที่โดนจับ มันก็ส่งกลับมาที่พวกเราอยู่ดี”
“แกกำลังดูถูกตำรวจ”
ภูวนัยรับไม่ได้กับความจริงที่สมสุขบอก
“หมวด...ตำรวจไม่ได้เป็นคนดีทุกคนแบบหมวดนะ”
“เอาละ ผมว่าเรารีบเข้าเรื่องห้าเสือกันได้แล้ว”
อภิวัฒน์ตัดบท สมสุขหยิบแฟ้มภาพออกมาก่อนจะหยิบรูปใบแรกให้กับสมสุขดู สมสุขที่ยังปรุงสเต๊คไม่เสร็จซะทีก็หยิบขึ้นมาดู
“แม่เลี้ยงรัญญา เธอเป็นเมียคนที่ห้าของโกเหลียง แรกๆ เธอก็แค่ช่วยโกเหลียงดูเรื่องหวยใต้ดิน แต่เดี๋ยวนี้ธุรกิจหลักคงเป็นเรื่องส่งเนื้อสดกับยา รู้มั้ยทำไมแม่เลี้ยงรัญญาถึงได้เป็นหนึ่งในห้าเสือ”
ภูวนัยกับอภิวัฒน์อยากรู้

แม่เลี้ยงรัญญานั่งอยู่ที่โต๊ะจีนในห้องอาหารแห่งหนึ่งพร้อมกับเสียงของสมสุขแทรกเข้ามา
“เพราะความกล้าได้กล้าเสียของเธอไง เรื่องความใจถึง...บางทีฉันยังต้องหลบให้เธอ”
แม่เลี้ยงรัญญาพูดขึ้นอย่างไม่รู้สึกอะไร
“ยี่สิบเปอร์เซ็นต์เหรอ ได้...สำหรับฉันไม่มีปัญหา ขอกันกินมากกว่านี้หรือนายหัวว่าไง”
นายหัวคึกนั่งหน้าเครียด
“ยี่สิบเปอร์เซ็นต์ รู้มั้ยว่ามันเพิ่มมาอีกเท่าไหร่ นึกอยากจะเพิ่มก็เพิ่ม ถามกันบ้างหรือเปล่า”

ที่เซฟเฮ้าส์สมสุข สมสุขกำลังดูรูปคึกแล้วบอกกับภูวนัยและอภิวัฒน์
“นายหัวคึก ไอ้นี่มันเห็นแก่เงิน อะไรที่มันเห็นแล้วว่ามันเสียเปรียบ หัวเด็ดตีนขาดยังไงมันก็ไม่ยอมเห็นจะมีก็แต่แม่เลี้ยงคนเดียวที่พอจะคุยกับมันได้”
“ทำไม นายคึกมีอิทธิพลทางภาคใต้ แต่แม่เลี้ยงอยู่ทางเหนือ สองคนนี้ไม่น่าจะคุยกันได้”
“เอ้า...ผิดแล้วหมวด ที่สองคนนั่นคุยกันถูกคอเพราะอะไร ก็เพราะว่าคนหนึ่งเหนืออีกคนใต้ พื้นที่ทำกินมันไม่ได้ทับซ้อนกันไง”
“แล้วพวกห้าเสือมีใครไม่ถูกกับใครหรือเปล่า”
“ไม่ค่อยมีหรอก ต่างคนต่างก็ทำมาหากิน พื้นที่ใครพื้นที่มัน แต่โบราณเขาว่าเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้แล้วนี่มันตั้งห้าตัวนะหมวด มันก็ต้องมีบ้าง” สมสุขตักสเต๊คเข้าปาก ก่อนจะหยิบรูปของกำนันเต่าและเสี่ยแคนขึ้นมา
“สองคนนี่ไง กำนันเต่ากับเสี่ยแคน”

ห้องวีไอพีที่โรงแรมแห่งหนึ่ง กำนันเต่าทุบโต๊ะไม่พอใจ เสียงสมสุขบรรยายแทรกเข้ามา
“กำนันเต่าคุมพื้นที่ทั้งหมดทางภาคตะวันออก ไอ้นี่มันอารมณ์ร้อน เอะอะก็จะฆ่าลูกเดียว”
กำนันเต่าพูดกับเสี่ยแคน
“แล้วยังไงเดี๋ยวพอสิ้นปีจะเพิ่มอีกหรือเปล่า ไม่ไหวนะมันไม่รู้หรือไงว่าคนอื่นเขาทำมาหากินมันลำบากนะเว้ย”
“ใจเย็นซิกำนัน น้ำมันก็กำลังเชี่ยวก็อย่าเอาเรือไปขวาง ตอนนี้เราต้องทำตัวเป็นปลาแล้วไหลไปกับน้ำไม่ดีกว่าเหรอ”
เสียงสมสุขแทรกเข้ามา
“ภายนอกอาจจะเห็นว่าเสี่ยแคนกับกำนันเต่าไม่มีอะไรกัน”
สมสุขวางรูปทั้งสองคนคืนให้กับอภิวัฒน์แล้วกินสเต๊คต่อ ภูวนัยกับอภิวัฒน์ต่างมองจานของสมสุขที่เต็มไปด้วยซอสมะเขือ ออริกาโน่ พริกไทยดำ จนแทบจะมองไม่เห็นเนื้อสเต๊คก็แปลกใจว่าสมสุขกินเข้าไปได้ยังไง
“แต่ลึกๆ แล้วสองคนนี่ก็ไม่ค่อยจะกินเส้นกันเท่าไหร่ เพราะเสี่ยแคนแกมีพื้นที่ทับซ้อนกับกำนันเต่า แถวๆ ปราจีน สระแก้วพวกนั้น”
อภิวัฒน์เลื่อนรูปของกำนันเต่ากับเสี่ยแคนออกไป ก่อนจะหยิบรูปอีกใบลงวาง
“แต่ทั้งหมดทั้งปวง ที่พวกนั้นยังรวมกันอยู่ได้ก็เพราะเสือตัวสุดท้าย”
อภิวัฒน์วางรูปของพายัพลงบนโต๊ะ ทันทีที่สมสุขเห็นรูปพายัพก็ถึงเอามีดกระแทกจานจนแตกเป็นสองเสี่ยง
“ไอ้นี่มันเป็นหมา ไม่ใช่เสือ” สมสุขมองรูปพายัพอย่างแค้นๆ “ไอ้หมาลอบกัด”
ภูวนัยมองสมสุขไม่เข้าใจว่าทำไมสมสุขถึงได้โกรธ อภิวัฒน์เห็นสีหน้าของภูวนัยก็รู้ว่าภูวนัยสงสัย อภิวัฒน์จึงอธิบายให้ฟัง
“สมสุขเขาคิดว่าพายัพเป็นคนบุกเข้าไปยิงเขาคืนนั้น”
“ผมไม่ได้คิด ต้องเป็นมันแน่นอน ถ้าไม่ใช่มันแล้วจะเป็นใคร หมวดเห็นสิ่งที่ผมกินมั้ยคนธรรมดาคงคิดว่าผมบ้า แต่เปล่าลิ้นของผมไม่รับรสอะไร แม้ว่าผมจะปรุงมันยังไง แต่ผมก็ไม่รู้ว่ารสชาติมันเป็นยังไง” ภูวนัยเพิ่งเห็นสมสุขโมโหก็ยิ่งอยากรู้ “เพราะอะไรรู้มั้ย” สมสุขเปิดเสื้อออกเผยให้เห็นรอยแผลเป็นจากรอยกระสุน “กระสุนตัดเส้นประสาทการรับรสของผมไป” สมสุขมองรูปพายัพก็ยิ่งแค้น “หมวดจะจัดการพวกนั้นยังไงผมไม่รู้ แต่ไอ้พายัพผมขอเป็นคนจัดการเอง”

พายัพกินเค้กอย่างสบายอารมณ์ หลับตาพริ้มรับรสความอร่อยอย่างเต็มที่ ห้าเสือทั้งหมดอยู่ในห้องอาหารวีไอพี รัญญาเป็นฝ่ายถามขึ้น
“จะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอพายัพ”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยลืมตา แล้วมองทั้งสี่เสือที่นั่งอยู่ร่วมโต๊ะจีน
“เค้กนี่อร่อยนะ”
“เฮ้ย! พายัพ ช่วยจริงจังหน่อยไม่ได้หรือไง พวกเรากำลังคุยถึงรายได้ที่จะหายไปอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์นะ”
พายัพค่อยๆ วางช้อน เช็ดปากอย่างใจเย็น
“เท่าที่ผมฟัง คนที่ไม่เห็นด้วยก็จะมีนายหัวกับกำนัน ส่วนแม่เลี้ยงกับเสี่ยแคนไม่ขัดข้องกับการจ่ายยี่สิบเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นก็คงจะเป็นผมที่จะเลือกว่าจะอยู่ข้างไหน”
พายัพมองทุกคนก่อนจะบอกคำตอบที่คิดมาแล้ว
“ผมยอมจ่าย”
“เฮ้ย นี่แกอยู่ข้างไอ้วศินเหรอ” กำนันเต่าถาม พายัพสวนกลับทันที
“ผมไม่ได้อยู่ข้างไหน ผมอยู่ข้างที่มีผลกระทบกับพวกเราน้อยที่สุด แล้วที่จริงที่ผมนัดทุกคนมาวันนี้ ไม่ใช่เพราะมาเพื่อขอความเห็น แต่ผมแค่เป็นตัวประสานมาบอกให้รู้เท่านั้น เพราะไม่ว่าเราจะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย ยังไงเราก็ต้องจ่าย” ทุกคนถึงกับนิ่งไป เพราะมันคือความจริงที่ต้องเป็นอย่างนั้น “หรือใครจะไม่จ่ายก็ได้ แต่ผมขอเตือนไว้ก่อนว่าเราไม่ใช่คนที่ตัวใหญ่ที่สุดในประเทศนี้” พายัพพูดจบก็สงบสติอารมณ์แล้วยิ้มให้กับทุกคน “ถ้าเข้าใจกันแล้ว ผมว่าเราสั่งอาหารกันดีมั้ย”
พายัพพูดเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ขณะที่ทั้งสี่เสือต่างก็จำนนที่ต้องทำตามสิ่งที่วศินเรียกมา

กระดังงา ขิงและไผ่พญายืนอยู่ด้านหลังอาบอบนวดแห่งหนึ่ง กระดังงากำลังคุยมือถือกับชัย
“คะ...พี่ชัยหนูถึงแล้วคะ...ไม่เป็นไรคะ...คะ...ให้เข้าไปเลยใช่มั้ยคะ...ได้คะ” กระดังงาวางสาย “ไป พี่เขาบอกให้เข้าไปได้เลย”
กระดังงาพูดเสร็จก็จะเดินเข้าไป แต่ขิงกับไผ่พญารีบเข้ามาคว้ากระดังงาเอาไว้
“หยุดเลย”
“อะไรของแกไอ้ขิง”
“เอ้า แกไม่เห็นหรือไงว่าที่นี่มันคืออะไร”
“ใช่ ฉันไม่น่าเชื่อแกเลย ถึงว่าไอ้งานที่เงินดีๆ มันมีอยู่ไม่กี่อย่างหรอก”
ไผ่พญาพูดจบก็จะเดินออกไป กระดังงารีบดึงแขนเอาไว้
“เฮ้ย! จะไปไหนไอ้ไผ่”
“ก็ไปหางานอื่นทำดิ”
“แกจะไม่รอฟังข้อเสนอพี่เขาหน่อยหรือไง”
“โห ยังต้องฟังอะไรอีก กลับเลยฉันไม่ยอมให้แกเป็นของสาธารณะเลย”
ระหว่างนั้นเห็นชัยเดินออกมา
“เอ้า มายืนทำอะไรตรงนี้ ก็บอกให้เข้าไปหาไง” ทั้งหมดหันไปเห็นก็ยกมือสวัสดีชัยอย่างคนคุ้นเคย
“อ้าวเฮ้ย! ไผ่มาด้วยเหรอ โห...รับรองว่าคราวนี้ลูกค้าตรึมแน่ๆ”
“เอ่อ หนูมาเป็นเพื่อนไอ้งามันน่ะพี่ หนูไม่ทำหรอก”
“ไอ้งามันก็ไม่ทำพี่ นี่พี่...ผมไม่นึกเลยนะว่าพี่จะให้เมียผมแบบ...แบบ” ขิงพูดไม่ออก “ฮึ่ยย์”
“ทำไม เป็นเด็กเสิร์ฟมันไม่ดีตรงไหนวะไอ้ขิง”
“ก็ตรงที่ต้องเสิร์ฟ...เด็กเสิร์ฟ”
“เออซิวะ ฉันชวนไอ้งามาทำเด็กเสิร์ฟ ไม่ได้ให้มานั่งตู้เว้ย”
ขิง กระดังงาและไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็ค่อยใจชื่นขึ้นมาหน่อย ระหว่างนั้นชัยเหลือบไปเห็นบางอย่างทางด้านหลังของพวกไผ่พญาก็หน้าตาตื่น รีบไล่พวกไผ่พญา
“เอ้า...หลบๆๆ”
พวกไผ่พญางงว่าชัยไล่ทำไม แล้วทั้งหมดก็เข้าใจเมื่อหันไปแล้วเห็นนายหัวคึกเดินมาพร้อมกับแม่เลี้ยงรัญญาและเหล่าบอร์ดี้การ์ดที่เดินตามทั้งสองมาเป็นพรวน
“สวัสดีครับท่าน”
นายหัวคึกแค่ยกมือรับไหว้แล้วเดินเข้าด้านหลังพร้อมกับแม่เลี้ยงรัญญา พอนายหัวคึกและแม่เลี้ยงรัญญาเข้าไป ไผ่พญาก็เข้ามาถามอย่างอยากรุ้
“โห พาเมียมาเที่ยวอย่างนี้ด้วย”
“ปากเสียไอ้ไผ่ เมียเมออะไรนั่นนายหัวคึกเป็นเจ้าของที่นี่ แล้วคุณผู้หญิงคือแม่เลี้ยงรัญญาเป็นเพื่อนกับนายหัวเว้ย ปากแกนี่พาตกงานตั้งแต่ยังไม่เริ่มซะแล้ว”
“เอ้า ก็ฉันไม่รู้นี่”
“แล้วเอาไง ตกลงจะทำไม่ทำ”
“ทำค่ะ" / "ครับ”
ไผ่พญา กระดังงา ขิงตอบรับพร้อมกัน ชัยจึงเดินนำไป ไผ่พญา ขิงและกระดังงารีบเดินตาม ไม่นานหลังจากที่ทั้งหมดเข้าไปในร้านก็เห็นภูวนัยเดินเข้ามาพร้อมกับเสียงของสมสุขดังแทรกเข้ามา

“ถ้าหมวดคิดจะล้มไอ้พวกห้าเสือ ผมว่าต้องเริ่มที่นายหัวคึกก่อน”

อ่านต่อหน้า 2 (ต่อ) 17.00 น.

เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ ตอนที่ภูวนัย สมสุขและอภิวัฒน์นั่งคุยกันภายในห้องของสมสุข ภูวนัยแปลกใจที่สมสุขบอกให้เริ่มที่นายหัวคึก

“ทำไมต้องเป็นนายหัวคึก”
“เพราะขั้วที่แข็งแรงที่สุดในกลุ่มห้าเสือคือนายหัวคึกกับแม่เลี้ยงรัญญา ถ้าน้ำแข็งมันมีรอยร้าวเมื่อไหร่ เรื่องทำให้แตกก็ไม่ยาก”
“แผนของนายคืออะไร”
“ในเมื่อนายหัวคึกเป็นคนเห็นแก่เงิน เราก็ต้องทำให้มันแตกกันเรื่องเงินเพราะสองคนนี้ทำธุรกิจร่วมกันอยู่”
“ธุรกิจอะไร”
“ค้ามนุษย์”

ภูวนัยยืนมองอาบอบนวดของนายหัวคึกด้วยแววตามุ่งมั่นกับก้าวแรกในการเอาคืน
นายหัวคึกเดินเข้ามากับแม่เลี้ยงรัญญาที่โถงกลาง พนักงานต่างพากันยกมือไหว้
“กิจการเจริญรุ่งเรืองดีนี่”
“จะดีกว่านี้ถ้าไม่ต้องเสียเพิ่มให้ไอ้วศิน”
“ฉันน่ะไม่มีปัญหานะ ถ้าไอ้การเสียเพิ่มอีกยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วเราจะทำงานสะดวกขึ้น”
นายหัวคึกหน้ายังเครียด แต่เปลี่ยนเรื่อง
“แม่เลี้ยงนั่งรอก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมมา”
แม่เลี้ยงรัญญานั่งรอนายหัวคึกที่โซฟา มีเหล่าลูกน้องยืนห้อมล้อมทำให้แม่เลี้ยงรัญญาราวกับเป็นนางพญายังไงอย่างงั้น
ภูวนัยยืนอยู่ที่มุมหนึ่งแอบมองการเคลื่อนไหวทั้งหมดของทั้งสองคน

ที่ห้องพักพนักงาน ไผ่พญาและกระดังงาแต่งตัวเป็นพนักงานเสร็จเรียบร้อย
“ดีนะ ตอนแรกนึกว่าแกจะมานั่งตู้ อย่างนี้ค่อยยังชั่ว”
“โห ไอ้ไผ่ พูดเหมือนแกไม่รู้จักไอ้ขิง ขนาดตอนอยู่ดิออร์แกน แค่ฉันหยิบมือถือขึ้นมาจะส่องขี้ฟัน ไอ้ขิงมันยังหาว่าฉันจะให้เบอร์ลูกค้าเลย ขี้หึงอย่างไอ้ขิงแกว่ามันจะให้ฉันหรือไง”
พูดถึงขิง ขิงก็เดินเข้ามาในห้องในชุดของเด็กเสิร์ฟ
“เสร็จแล้วครับสาวๆ”
“ท่าทางแกจะดีใจนะไอ้ขิง”
“อ้ะ แน่นอน แกไม่รู้หรือไงว่าตลอดสิบเจ็ดปีที่ฉันเริ่มทำงานจนถึงตอนนี้ ฉันเป็นเด็กเสิร์ฟมาตลอด แล้วเมื่อไหร่ที่ฉันใส่ชุดเด็กเสิร์ฟ ฉันรู้สึกอุ่นใจยังไงชอบกล”
“ฉันว่าแกคงเป็นคนเดียวในประเทศไทยแล้วละที่เป็นเด็กเสิร์ฟมาสิบเจ็ดปี”
ขิงยิ้มอย่างภูมิใจ แล้วค่อยๆ ทะแม่งๆ
“ตกลงนี่แกชมหรือด่าฉันวะเนี่ยไอ้งา”
ชัยเปิดประตูเข้ามาในห้อง
“ว่าไง เสร็จหรือยัง”
“เรียบร้อยคะ”
“ไป วันนี้นายหัวเข้ามาพอดี ฉันจะพาพวกไปไหว้นายหัวก่อนเริ่มงานแล้วกัน
ชัยกำลังจะเดินไป แต่ไผ่พญาดึงเอาไว้
“เดี๋ยวก่อนซิพี่ชัย”
“อะไร”
“ฉันยังไม่รู้เลยว่าฉันจะได้เงินเดือนเท่าไหร่”
“หกพัน”
“หกพัน! ได้ไงพี่ชัย เขาประกาศค่าแรงสามร้อยบาททั่วประเทศแล้วนะ”
“โห ไอ้ขิง เดี๋ยวบ้องเลย เงินเดือนน่ะหกพันแต่รวมทิปรวมเบี้ยเลี้ยงแล้วเนี่ยฉันว่าบางทีพวกแกอาจจะได้มากกว่าฉันอีก ไป...เดี๋ยวนายหัวแกจะไปซะก่อน”
ชัยเดินนำออกไป ไผ่พญา ขิงและกระดังงาจึงเดินตามไป

ภูวนัยยังแอบมองการเคลื่อนไหวของแม่เลี้ยงรัญญาและนายหัวคึกอยู่ที่มุมเดิม นายหัวคึกเดินเข้ามาที่แม่เลี้ยงรัญญาก่อนจะนั่งลง
“เรียบร้อยมั้ย จะได้รีบคุยธุรกิจของเราซะที”
“ใจเย็นแม่เลี้ยง” นายหัวคึกพูดจบก็หันไปพยักหน้าเรียกลูกน้องคนสนิทเข้ามา “ขึ้นไปดูที่ห้อง ตรวจดูให้แน่ใจว่าปลอดภัย” ลูกน้องจะเดินไป “เฮ้ย!” ลูกน้องหยุด “ดูห้องอื่นด้วย ฉันอยากคุยกับแม่เลี้ยงเป็นการส่วนตัว”
ลูกน้องนายหัวคึกเดินออกไปสองคนก่อนที่นายหัวคึกจะหันมาทางแม่เลี้ยงรัญญา
“รอได้ใช่มั้ยแม่เลี้ยง”
“ปลอดภัยไว้ก่อนก็ดี”
ภูวนัยแอบมองนายหัวคึกกับแม่เลี้ยงรัญญาอย่างตั้งใจ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีเสียงนึงดังขึ้นด้านหลังของภูวนัย
“อ้าว...” ภูวนัยหันไปมองก็เห็นคนเชียร์แขกยืนอยู่ “มาทำอะไรตรงนี้พี่”
ภูวนัยกำลังจะหาข้อแก้ตัว
“เอ่อ”
“เอ...ครั้งแรกใช่มั้ยพี่”
“หื๊อ”
“มานี่เลยพี่ ไม่ต้องอายเดี๋ยวผมพาไป”
เด็กเชียร์แขกพาภูวนัยเดินตรงเข้าไปที่ตู้เป็นจังหวะเดียวกับที่ชัยพาไผ่พญา ขิงและกระดังงาเดินเข้ามา

ภูวนัยถูกคนเชียร์แขกพามาหน้าตู้
“เลือกเลยพี่ ถูกใจคนไหนบอกผม” ภูวนัยพยายามจะชำเลืองมองไปที่โต๊ะของนายหัวคึก แต่ก็ยังถูกคนเชียร์แขกคะยั้นคะยอ “เบอร์สิบหกมั้ยพี่ น้องแมวอ้อนเหมือนชื่อเลยพี่”
“ไม่ดีกว่า ผมแพ้แมว”
“ถ้าอย่างนั้นเบอร์ยี่สิบสามมั้ยพี่ บริการดุจญาติมิตรเลยนะครับ”
ภูวนัยส่ายหน้า
“ผมไม่ชอบญาติกันเอง”
คนเชียร์แขกชักออกสีหน้า ภูวนัยหันไปมองที่โต๊ะของนายหัวคึกกับแม่เลี้ยงรัญญา แล้วสงสัยเมื่อเห็นกลุ่มของไผ่พญาเดินเข้ามา แต่ภูวนัยยังไม่รู้ว่าเป็นไผ่พญา
ชัยพาไผ่พญา ขิงและกระดังงาเข้ามาหานายหัวคึกที่นั่งอยู่กับแม่เลี้ยงรัญญา
“เอ้าๆ สวัสดีนายหัวกับแม่เลี้ยงซะ”
ไผ่พญา ขิงและกระดังงาต่างยกมือไหว้นายหัวคึกและแม่เลี้ยงรัญญา นายหัวคึกพอเห็นไผ่พญาก็ถูกใจขึ้นมาทันที
“มาใหม่เหรอ”
“คะ”
“ชื่ออะไรน่ะเรา”
ไผ่พญางงที่นายหัวคึกถามเธอคนเดียว
“เอ่อ ไผ่คะ”
“มานี่”
ไผ่พญาเดินเข้ามาหานายหัวคึก งงไม่รู้ว่านายหัวคึกเรียกทำไม แต่พอไผ่พญาเดินเข้าไปหานายหัวคึกก็เปลี่ยนมุมทำให้ภูวนัยเห็นหน้าไผ่พญา
“เฮ้ย”
ภูวนัยร้องอย่างตกใจ
นายหัวคึกหยิบแบงค์พันออกมานับๆ ขิงกับกระดังงานับตามในใจ แล้วนายหัวคึกก็หยิบแบงค์พันสามใบให้กับไผ่พญา
“เอ่อ”
“รับไป แล้วตั้งใจทำงานละ ไปได้แล้ว”
ไผ่พญายกมือไหว้นายหัวคึกเช่นเดียวกับขิงและกระดังงา ภูวนัยมองตามก็ยิ่งตกใจเมื่อเห็นขิงและกระดังงาอีกสองคน
“ครูขิง...ครูงา” ภูวนัยพึมพำออกมา
“อะไรนะครับ เพิ่งมาขึ้นครูเหรอครับ” คนเชียร์แขกถามเพราะได้ยินไม่ชัด
“เปล่าๆ”
ภูวนัยมองตามไผ่พญาออกไป ก่อนจะหันมองไปทางโต๊ะของนายหัวคึก
“คิดจะกินไก่วัดหรือไง” แม่เลี้ยงรัญญาถามอย่างรู้ทัน
“ทำไม ฉันไม่กิน คนอื่นก็กิน”
ลูกน้องของนายหัวคึกเดินกลับมา
“เรียบร้อยครับนาย”
“เชิญครับแม่เลี้ยง”
นายหัวคึกกับแม่เลี้ยงรัญญาลุกขึ้น ภูวนัยลังเลจะตามนายหัวคึกกับแม่เลี้ยงรัญญาหรือจะตามไผ่พญาดี แล้วภูวนัยก็ตัดสินใจ
“เอ่อ...ผมขอไปเข้าห้องน้ำก่อนแล้วกัน”
ภูวนัยบอกกับคนเชียร์แขกแล้วแอบเดินตามนายหัวคึกกับแม่เลี้ยงรัญญาไปทันที

นายหัวคึกกับแม่เลี้ยงรัญญาและลูกน้องเดินเข้าไปในลิฟต์ ภูวนัยแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง จนทั้งหมดเข้าไปในลิฟต์แล้วภูวนัยจึงเดินออกมาหยุดที่หน้าลิฟต์ ภูวนัยมองไปที่เลขลิฟต์ที่ไปหยุด ภูวนัยครุ่นคิดแผนการในหัวทันที

ไผ่พญา ขิงและกระดังงายืนเม้าท์กันอยู่ที่มุมหนึ่ง
“เอาแล้วไอ้ไผ่ คราวนี้ยิ่งกว่าตกถังข้าวสารอีกแก”
“เงียบไปเลยไอ้งา ฉันรู้ว่าแกคิดอะไร นายหัวน่ะรุ่นพ่อเลยนะเว้ย”
“แล้วไงวะ ก็พ่อแกตายตั้งแต่เด็กก็ถือโอกาสมีพ่อซะก็คราวนี้ไง ผู้หญิงจะต้องการอะไรแค่มีเงินให้ใช้ คุ้มครองเราได้ แค่นี้ก็ดีแล้ว”
“ใช่ ซึ่งคุณสมบัติที่ไอ้ขิงมันว่า ไม่เคยมีในตัวไอ้ขิงเลย”
“อ้าว...ไอ้ไผ่ ฉันเห็นว่านายหัวเขาให้แกมาสามพันใช่มั้ย”
“ทำไม”
“เปล่า ก็นี่ไง” ขิงนับตัวเองแล้วนับกระดังงา “หนึ่ง...สอง...แล้วตัวแกก็เป็นสามไง แหม นายหัวนี่ช่างมีเมตตาจริงๆ”
“น้อยๆ หน่อย นายหัวเขาให้ฉัน”
“เฮ้ย! นี่แกจะไม่ให้ค่านายหน้าที่ฉันพาแกมาทำงานหน่อยหรือไง”
ระหว่างนั้นชัยเดินเข้ามา
“ไผ่”
“คะพี่”
“เดี๋ยวเอาอาหารเครื่องดื่มขึ้นไปให้นายหัวแกหน่อย ท่าทางนายหัวจะชอบแกวะ รีบๆ ละ”
ชัยสั่งแล้วก็เดินออกไป ไผ่พญาไม่อยากไป
“ทำไมต้องเป็นฉันวะเนี่ย”
“แกไม่อยากไปใช่มั้ย งั้นฉันไปเอง” ขิงบอก
“เฮ้ย! จะดีเหรอไอ้ขิง ฉันว่านายหัวเขาอยากเจอไอ้ไผ่มากกว่าแกนะ”
“เอาน่า ไอ้ไผ่มันรับทรัพย์ไปแล้ว คราวนี้ตาฉันบ้าง”
ขิงพูดแล้วก็เดินออกไป ไผ่พญาโล่งอกที่ไม่ต้องขึ้นไป

ภูวนัยเดินออกมาจากลิฟต์ ภูวนัยมองไปที่บันไดหนีไฟที่อยู่ตรงหน้า ภูวนัยเดินไปที่บันไดหนีไฟแล้ววิ่งลงบันไดหนีไฟเพื่อลงไปชั้นที่นายหัวคึกอยู่
ภูวนัยค่อยๆ เปิดประตูหนีไฟออกมา แล้วภูวนัยก็ชะงักไปเพราะเห็นลูกน้องของนายหัวคึกสองคนยืนเฝ้าอยู่ที่ลิฟต์ เพื่อไม่ให้ใครมาที่ชั้นนี้
“อะไรวะ”
ทันใดนั้นภูวนัยก็พุ่งออกจากประตูบันไดหนีไฟก่อนจะเข้าไปจัดการกับลูกน้องทั้งสองคนของนายหัวคึก ภูวนัยจัดการคว่ำลูกน้องทั้งสองคนของนายหัวคึกจนสลบเหมือดได้ในพริบตา ภูวนัยลากทั้งสองคนเข้าไปซ่อนหลังประตูหนีไฟ ภูวนัยกำลังเดินออกมาระหว่างนั้นเสียงสัญญาณลิฟต์มาถึงก็ดังขึ้นภูวนัยรีบหลบเข้าไปหลังประตูหนีไฟ
ประตูลิฟต์เปิดออกขิงยกถาดเครื่องดื่มออกมา ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็ใช้ความคิดทันที ขิงเดินเลี้ยวกำลังจะไปห้องนายหัวคึก ทันใดนั้นภูวนัยก็เข้ามาจับขิงเอาไว้ ขิงหันไปก็ตกใจเมื่อเห็นภูวนัยยืนอยู่
“คุณภู เอ่อ คุณภูมาทำอะไรที่นี่ครับ”
“ผมต้องถามครูมากกว่า คนเป็นครูอย่างนายมาทำอะไรที่นี่”
ขิงได้ยินอย่างนั้นก็เพิ่งจำได้ว่าตัวเองเป็นครูเลยเฉหาคำตอบเอาตัวรอด
“ก็หลังจากที่คุณภูมีข่าวพัวพันกับเรื่องยาเสพติด ทางโรงเรียนต้นสังกัดของพวกเราก็คิดว่าพวกเรามีส่วนร่วมด้วยก็เลยไล่พวกเราออกครับ”
“ครูเลยขโมยเงินพ่อผม แล้วหนีออกมาจากฟาร์ม”
ขิงได้ยินอย่างนั้นก็รีบคุกเข่าลงอย่างสำนึกผิด
“ผมขอโทษ ผมผิดแล้ว ตอนนั้นผมสิ้นคิดยกโทษให้ผมนะครับ”
ภูวนัยมองขิงก่อนจะเอื้อมมือไปจับถาดที่ขิงถือไว้อยู่แล้วประคองให้ขิงลุกขึ้น จังหวะนั้นภูวนัยแอบติดเครื่องดักฟังเอาไว้ใต้ถาดโดยที่ขิงไม่รู้ตัว
“ลุกขึ้นเถอะ”
“เอ่อ...คุณภูไม่โกรธผมเหรอครับ”
“เรื่องมันผ่านไปแล้ว ก็ให้มันแล้วไป”
“ถ้าอย่างนั้นผมไปได้แล้วใช่มั้ยครับ”
ภูวนัยพยักหน้า ขิงรีบลุกขึ้นแล้วจะเดินไปทันที แต่ภูวนัยเรียกเอาไว้
“ครูขิง”
ขิงรีบหันขวับด้วยความตกใจ
“ครับ”
“อย่าบอกใครนะว่าเจอผม”
“เอ่อ ครับ” แล้วขิงก็หันหลังเดินไปทางห้องนายหัวคึก ระหว่างนั้นขิงนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “เออ” ขิงหันไปแต่ไม่เจอภูวนัยแล้ว “อ้าว”
ขิงรีบเดินต่อไปทางห้องนายหัวคึก ด้านหลังบันไดหนีไฟ ภูวนัยกำลังเปิดเครื่องดักฟังเพื่อเตรียมพร้อม

ภายในห้องวีไอพีนายหัวคึกยื่นกระเป๋าใบนึงให้แม่เลี้ยงรัญญา
“นี่ ของล๊อตที่แล้ว”
แม่เลี้ยงรัญญารับมาแล้วเปิดดูเห็นเงินจำนวนมากอัดแน่นอยู่ข้างใน แม่เลี้ยงรัญญาปิดกระเป๋าแล้วหันไปส่งให้กับลูกน้องของเธอที่ยืนอยู่ข้างหลัง
“เอาไปเก็บไว้ในรถ แล้วรออยู่ข้างล่างนั่นแหละ”
นายหัวคึกเห็นแม่เลี้ยงรัญญาส่งสัญญาณ ตัวเองเลยหันไปบอกลูกน้องตัวเองบ้าง
“พวกแกก็ออกไปได้แล้ว มีอะไรเดี๋ยวฉันเรียกเอง”
พวกลูกน้องต่างรับคำสั่งแล้วกำลังจะเดินออก ระหว่างนั้นเสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนจะเห็นขิงเดินเข้ามา

“เครื่องดื่มมาแล้วครับ”

อ่านต่อหน้า 3

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 11 (ต่อ)

ขิงเข้ามาวางเครื่องดื่มที่โต๊ะของนายหัวคึกกับแม่เลี้ยงรัญญาอย่างถึงเนื้อตัวถึงตัวเพราะต้องการให้เห็นว่าเขาทำงาน

“นายหัวผสมอะไรดีครับ”
“วางไว้นั่นแหละ”
“ไม่ได้ครับ พี่ชัยบอกมาให้ผมบริการนายหัวกับแม่เลี้ยงอย่างดีที่สุด” แล้วขิงก็เริ่มบรรยายสรรพคุณตัวเองเพราะหวังทิป “แต่นายหัวไม่ต้องกลัวนะครับ ถึงพี่ชัยไม่บอกผมก็บริการทุกระดับประทับใจอยู่แล้ว”
“ไม่ต้อง เดี๋ยวฉันทำเอง”
“อย่าเลยครับ เดี๋ยวข้ากระผมนายขิงจะ...”
“ออกไป”
นายหัวคึกตวาดอย่างเหลือดอด ขิงถึงกับสะดุ้งเฮือกรีบวางถาดแล้วลุกขึ้นยืนทันที
“ครับ อะไรวะไม่ได้ทิปเลยกู”
ขิงบ่นแล้วกำลังจะเดินออก แต่นายหัวคึกเรียกเอาไว้
“เดี๋ยว”
ขิงยิ้ม คิดว่าจะเรียกมาให้ทิปเลยหันกลับมาพร้อมแบมือ
“ครับนายหัว”
“แกลงไปแล้ว เดี๋ยวเรียกเพื่อนแกที่ชื่อไผ่ขึ้นมาหาฉัน”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นผ่านเครื่องดักฟังก็อยากรู้ว่านายหัวคึกเรียกไผ่พญาขึ้นมาทำไม ขิงถึงกับแบมือเก้อ ก่อนจะยิ้มหน้าเจื่อนแล้วเดินออกจากห้องไป พอนายหัวคึกเห็นขิงออกจากห้องไปแล้วจึงหันมาคุยกับแม่เลี้ยงรัญญา
“ล๊อตต่อไป ขอต่ำกว่าสิบสองแล้วกัน”
“ต่ำกว่าสิบสองเหรอ นายหัวคงรู้นะว่าอายุยิ่งน้อย ของมันก็ยิ่งแพง”
ภูวนัยแอบฟังอย่างตั้งใจ
นายหัวคึกกับแม่เลี้ยงรัญญาคุยกันต่อ
“ทำไงได้ ตอนนี้ไอ้วศินมันขอเพิ่ม มันก็ต้องมีอะไรดึงดูดคนหน่อย”
“แล้วจะเอาของเมื่อไหร่”

อีกด้านหนึ่งชาติกล้าอยู่ที่บ้านวศินและกำลังคุยมือถือกับแม่เลี้ยงรัญญา
“อีกสามวันเหรอ...ได้...แล้วเรื่องเส้นทางไม่มีอะไรเปลี่ยนใช่มั้ย ได้ครับ เดี๋ยวผมจะบอกท่านวศินให้”
ชาติกล้าวางสายไปแล้วหันมาหาวศินที่กำลังใส่เงินเข้าเครื่องนับแบงค์อยู่ “ท่านครับ อีกสามวันแม่เลี้ยงรัญญาจะส่งของครับ”
วศินนับเงินเสร็จก็หันมา
“อืม งั้นก็ทำเหมือนเดิม”
“ทำยังไงครับ”
“ก็ไม่ต้องทำอะไรไง เดี๋ยวลื้อไปดูว่าเส้นทางที่มันขนของผ่านพื้นที่อะไรบ้างก็ไปบอกพวกนั้นว่าอีกสามวันห้ามตั้งด่าน”
“ด้วยเหตุผลอะไรครับ”
“เยอะแยะก็บอกว่าประชาชนร้องเรียนมาว่าเราตั้งด่านถี่เกินไปอะไรก็ว่าไป”
“ได้ครับ”
ชาติกล้าทำความเคารพวศินก่อนจะเดินออกจากห้อง แต่วศินเรียกเอาไว้
“เดี๋ยว” ชาติกล้าหันมาวศินโยนเงินให้ชาติกล้าปึกนึง “ค่าเหนื่อยลื้อ ออกไปได้แล้ว”
ชาติกล้ามองเงินในมือก่อนจะทำความเคารพวศินอีกครั้งแล้วเดินออกจากห้องไป พอชาติกล้าออกไป วศินก็เดินไปเปิดเซฟเห็นเงินสดจำนวนมากอัดแน่นเต็มพื้นที่

แม่เลี้ยงรัญญากำลังเก็บโทรศัพท์หลังจากคุยกับชาติกล้าเสร็จ
“เรียบร้อยมั้ย”
“ก็ไม่มีปัญหาอะไร อีกสามวันของจะส่งให้ที่เดิม”
ภูวนัยได้ยินข้อมูลทุกอย่าง
“อีกสามวัน”

แม่เลี้ยงรัญญาเดินออกมาจากห้องวีไอพี โดยมีนายหัวคึกตามออกมา
“ไม่เป็นไร นายหัวรอกินไก่วัดนั่นแหละแค่นี้ฉันลงไปเองได้”
“ได้ยังไง เกิดระหว่างทางแม่เลี้ยงเป็นอะไรไปแล้วใครจะส่งของให้ผมละ” นายหัวคึกหันไปบอกลูกน้อง “ลงไปส่งแม่เลี้ยงให้ถึงรถละ”
แม่เลี้ยงรัญญาเดินออกไป โดยมีลูกน้องนายหัวคึกเดินตามไปส่ง

ไผ่พญากับกระดังงาคุยกันอยู่ที่มุมหนึ่ง
“นี่แกไม่รู้เรื่องคุณภูเลยเหรอ”
“ทำไม”
“เอ้า ก็คุณภูน่ะเป็นสายให้พวกค้ายาซะเองไง”
ไผ่พญาเป็นเดือดเป็นร้อนแทน
“ใครบอกแก คุณภูเขาไม่ได้ทำซะหน่อย”
“แล้วแกรู้ได้ยังไง” กระดังงาแปลกใจ
“เอ่อ...เปล่า คือฉันไม่อยากปรักปรำใคร โดยคิดว่าต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ไง”
“แต่แกไม่ได้อยู่กับคุณภูก็ดีแล้ว ไม่อย่างนั้นได้โดนหางเลขเต็มๆ เอ แกว่าไอ้ขิงมันไปนานเกินไปป่ะหรือว่าไอ้ขิงมันจะโดนนายหัวปู้ยี้ปู้ยำอยู่”
ระหว่างนั้นขิงเดินเข้ามาหาสองสาวอย่างหงุดหงิด
“ไอ้ไผ่”
“อะไรของแกไอ้ขิง”
“เจ็บใจเว้ย”
ไผ่พญากับกระดังงางงว่าขิงเจ็บใจอะไรแล้วกระดังงาก็คิดไปเอง
“เจ็บใจ...หรือว่านายหัวทำอะไรแก”
“ใช่”
“ห๊า”
ไผ่พญากับกระดังงาตกใจ ร้องออกมาพร้อมกัน
“นายหัวเขาไม่ให้ทิปฉัน” ไผ่พญากับกระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็โล่งอกพร้อมกัน เฮ้อ... “ไปเลยไอ้ไผ่ นายหัวเขาเรียกแก”
“เฮ้ย!แล้วเขาจะเรียกฉันทำไม”
“คงอยากให้แกไปอ่านนิทานให้ฟังก่อนนอนมั้ง ฉันจะรู้ได้ไงเล่า”
“ไม่เอา ฉันไม่ไปอ่ะ”
“เฮ้ย ไม่ไปได้ไง เดี๋ยวพวกเราก็ซวยกันหมดหรอก เอาน่าไม่มีอะไรหรอกใช่มั้ยไอ้ขิง”
“เออ ใช่ ข้างบนน่ะคนอยู่เยอะแยะเลย นายหัวเขาคงแค่อยากเห็นหน้าแกเฉยๆ แหละ”
กระดังงากับขิงรบเร้าหว่านล้อมไผ่พญา จนไผ่พญาใจอ่อน
“คอยดูนะ ถ้าฉันเป็นอะไรละก็พวกแกตาย”
ขิงกับกระดังงาเงียบไม่กล้าพูดอะไร ไผ่พญาชี้หน้าทั้งสองคนก่อนจะเดินออกไป พอไผ่พญาไปแล้วขิงก็นึกขึ้นมาได้
“เฮ้ย ฉันลืมบอกไป”
“อะไรของแกอีก”
“ให้ทายว่าฉันเจอใครมา”
กระดังงาสงสัยว่าขิงไปเจอใครมา

ภูวนัยออกมาจากประตูหนีไฟก่อนจะมองซ้ายมองขวาเพื่อความปลอดภัย ภูวนัยเดินมาที่ลิฟต์ระหว่างนั้นเห็นลิฟต์ขึ้นมาพอดี ภูวนัยตกใจรีบวิ่งเข้าไปหลบที่มุม ประตูลิฟต์เปิดออกแล้วภูวนัยก็ชะงักไปเมื่อเห็นไผ่พญาเดินออกมาจากลิฟต์ ภูวนัยมองตามด้านหลังไผ่พญาครุ่นคิดว่าจะเอายังไงดี
ไผ่พญาเดินมาที่หน้าห้องวีไอพีที่นายหัวคึกอยู่ ไผ่พญาหยุดที่หน้าห้องวีไอพี
“ไหนคนเยอะแยะของแกวะไอ้ขิง”
ภูวนัยชะโงกหน้ามาแอบมองไผ่พญา ไผ่พญาสำรวจตัวเองก่อนจะรีบติดกระดุมคอเสื้อเม็ดบนสุดอย่างป้องกันตัวเองไว้ก่อน แล้วไผ่พญาก็เคาะประตูเรียก
“ฉันมาแล้วคะ”
นายหัวคึกส่งเสียงเรียกให้ไผ่พญาเข้าไปในห้อง ไผ่พญาจึงเปิดประตูเข้าไป พอไผ่พญาเข้าไปในห้องภูวนัยก็เดินออกมาจากมุม
“จะสนทำไมวะเรา”
แล้วภูวนัยก็ตัดใจหันหลังเดินออกไป

เมื่อเข้ามาในห้องไผ่พญาระวังตัวเพราะเห็นนายหัวคึกอยู่ในชุดคลุมอาบน้ำ
“เห็นเพื่อนฉันบอกว่านายหัวเรียกฉันเหรอคะ”
“มานี่ซิ”
“เอ่อ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ฉันบอกให้มานี่ก็มานี่”
นายหัวคึกเสียงดัง ไผ่พญาเลยต้องเข้ามาหานายหัวคึกอย่างระวังตัว นายหัวคึกเดินเข้ามาแล้วเดินวนไผ่พญาเหมือนต้องการสำรวจทุกซอกทุกมุม
“ถอดเสื้อผ้าออก”
“ห๊า”
“ทำไม ฉันสั่งไม่ได้ยินหรือไง”
“เอ่อ ฉันว่านายหัวคงเข้าใจผิดแล้วละคะ ฉันมาเป็นเด็กเสิร์ฟ ไม่ได้มาทำอย่างที่นายหัวคิด”
“เล่นตัวหรือไง”
ทันใดนั้นนายหัวคึกก็เข้าไปดึงไผ่พญาเข้ามากอด ไผ่พญาตกใจร้องวี้ดว้าย เครื่องส่งสัญญาณที่ใต้ถาดยังทำงานอยู่

ภูวนัยกำลังรอลิฟต์ ระหว่างนั้นเสียงร้องโวยวายของไผ่พญาดังแทรกเข้ามาที่หูฟังของภูวนัย
“ว้าย ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยด้วย”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ตัดสินใจรีบวิ่งกลับไปที่ห้องวีไอพีทันที
ไผ่พญากำลังถูกนายหัวคึกปล้ำอยู่ที่โซฟา ไผ่พญาทั้งทุบทั้งตีนายหัวคึก
“ดิ้นเข้าไป ดิ้นอีก ยิ่งดิ้นฉันยิ่งชอบ”
“ไอ้บ้า...ไอ้โรคจิต...ปล่อยฉันนะ...ช่วยด้วย...ช่วยด้วยคะ”
“ร้องไปเถอะ ร้องให้ตายก็ไม่มีใครได้ยินหรอก”
ทันใดนั้นภูวนัยก็พังประตูเข้ามา ผัวะ! นายหัวคึกกับไผ่พญาหันไปมอง ไผ่พญาเห็นภูวนัยก็ดีใจจนอยากจะร้องไห้
“เฮ้ย! แกเป็นใครวะ”
นายหัวคึกหันมาจะเข้ามาหาภูวนัย แต่ภูวนัยก็พุ่งเข้ามาก่อนที่นายหัวคึกจะตั้งตัวได้ทัน ภูวนัยซัดใส่นายหัวคึก เปรี้ยง! นายหัวคึกถึงกับหน้าหงายสลบกลางอากาศทันที
“นายมาอยู่นี่ได้ยังไง” ไผ่พญาถามภูวนัย
“อย่าเพิ่งถามอะไรได้มั้ย”

ภูวนัยดึงไผ่พญาลุกขึ้นก่อนจะรีบพากันหนีออกจากห้องไป

ภูวนัยวิ่งพาไผ่พญาออกมาตรงทางเดิน

“นี่นายตามฉันมาเหรอ”
“ใครตามคุณ”
“ถ้านายไม่ได้ตามฉันมา แล้วนายมาอยู่นี่ได้ยังไง อ๋อ...หรือว่านาย...นายอัดอั้นมากใช่มั้ย”
ภูวนัยทำหน้าเซ็ง ส่ายหน้าแล้วเดินไป ระหว่างนั้นกลุ่มลูกน้องนายหัวคึกเดินเข้ามาทำเอาภูวนัยกับไผ่พญาถึงกับชะงัก
“นี่...ไม่รู้หรือไงว่าชั้นนี่เป็นชั้นส่วนตัวของนายหัว”
“เป็นความผิดหนูเองคะ หนูเพิ่งมาทำงานวันแรกเลยไม่รู้ว่าชั้นไหนเป็นชั้นไหน ขอโทษนะคะหนูกำลังจะพาพี่เขาไปแล้วคะ”
ไผ่พญารีบดึงภูวนัยออกไป กลุ่มลูกน้องนายหัวคึกเดินผ่านภูวนัยกับไผ่พญาไป พอพ้นมุมภูวนัยกับไผ่พญาก็รีบวิ่งไปที่ลิฟต์ทันที

ลูกน้องเดินเข้ามาที่ห้องวีไอพีแล้วตกใจเมื่อเห็นนายหัวคึกนอนฟุบอยู่กับพื้นกำลังได้สติขึ้นมา
“นายหัว...นายหัว”
“อีเด็กเสิร์ฟกับผู้ชายนั่น ไปจับมันมา”
ลูกน้องนึกออก
“ไอ้สองคนนั่น ไอ้สองคนเมื่อกี้มันทำนายหัว...ไปจับมันมา”
กลุ่มลูกน้องนายหัวคึกรีบวิ่งออกไป

ขณะนั้นภูวนัยกับไผ่พญายืนรอลิฟต์อยู่อย่างกระวนกระวาย
“เร็วซิ”
กลุ่มลูกน้องนายหัวคึกวิ่งพ้นมุมออกมา
“เฮ้ย! หยุดนะเว้ย”
ภูวนัยมองลิฟต์ที่ไม่ขึ้นมาซะทีก็ตัดสินใจคว้ามือไผ่พญาแล้วรีบวิ่งลงบันไดหนีไฟทันที ไผ่พญาร้องวี้ดว้ายด้วยความตกใจ กลุ่มลูกน้องของนายหัวคึกวิ่งตามภูวนัยกับไผ่พญาไปติดๆ
ภูวนัยวิ่งนำไผ่พญาลงมาที่บันไดหนีไฟ ไผ่พญาวิ่งลงบันไดจนขาพันกันทำให้ไผ่พญาเสียหลัก
“ว้าย”
ภูวนัยหันไปตามเสียงร้องเห็นไผ่พญากำลังจะตกบันได
“ระวัง”
ภูวนัยรับร่างไผ่พญาเอาไว้ได้ทัน แต่ก็ทำให้เสียจังหวะจนทำให้กลุ่มลูกน้องนายหัวคึกตามมาทัน ภูวนัยเหวี่ยงร่างไผ่พญาลงไปยืนในที่ปลอดภัยก่อนที่ตัวเองจะโผเข้าไปสู้กับกลุ่มลูกน้องนายหัวคึก
ภูวนัยจัดการลูกน้องคนแรกแล้วผลักเข้าไปชนกับลูกน้องทั้งหลายที่วิ่งตามมาทำให้ทั้งหมดต่างชนกันล้มตกบันได้กันระเนระนาด ภูวนัยรีบวิ่งเข้าหาไผ่พญาแล้วดึงไผ่พญาวิ่งลงบันไดต่อ

ภูวนัยกับไผ่พญาวิ่งหนีลูกน้องนายหัวคึกออกมาที่ชั้นสาม ภูวนัยรีบบอกไผ่พญา
“คุณรีบหนีไปก่อน เดี๋ยวผมจะถ่วงเวลาพวกมันไว้เอง”
“ไม่...นายคนเดียวจะสู้กับพวกนั้นได้ยังไง”
กลุ่มลูกน้องนายหัวคึกวิ่งตามมาก็พยายามจะดึงประตู แต่ภูวนัยดึงประตูเอาไว้ ยื้อยุดกันสุดแรง
“ไปซิ ไม่ต้องห่วงผม” ไผ่พญาละล้าละลัง “ไป”
ไผ่พญารีบออกวิ่งไปทันที ภูวนัยพยายามดึงประตูสู้กับพวกนั้นแล้วภูวนัยก็เหลือบไปเห็นกริ่งไฟไหม้ที่อยู่ตรงหน้า ภูวนัยตัดสินใจทุบกริ่งสัญญาณไฟไหม้ทันที ทันใดนั้นเสียงกริ่งไฟไหม้ก็ดังลั่นไปทั่วอาบอบนวด
ผู้คนทั้งชายหญิงต่างนุ่งผ้าเช็ดตัวออกจากห้องเพื่อหนีเอาตัวรอด ภูวนัยรีบปล่อยประตูแล้ววิ่งฝ่าผู้คนตามไผ่พญาออกไป กลุ่มลูกน้องนายหัวคึกกำลังจะตามแต่ถูกชายและหญิงที่วิ่งหนีออกมาต่างวิ่งออกทางประตูหนีไฟจนทำให้พวกลูกน้องนายหัวคึกเกือบถูกเหยียบตาย

ภูวนัย ไผ่พญา ขิงและกระดังงาเดินกลับมาตามทางกลับบ้านเช่าของไผ่พญา
“ชั่วจริงๆ พวกเราทำงานให้ ยังคิดจะข่มเหงน้ำใจกันอีก ฮึ่ยย์...ทำไมไฟไม่ไหม้อาบอบนวดมันจริงๆ ว้า”
“ดีนะที่แกเจอคุณภู ถึงรอดมาได้ เออ...แล้วคุณภูไปทำอะไรที่นั่นคะ” กระดังงาถามอย่างสงสัย ภูวนัยชะงักไม่อยากบอกเรื่องภารกิจ
“ผมไปหาเพื่อนครับ”
“อ๋อ” ขิงกับกระดังงามองหน้ากันทำตามเยิ้มกรุ่มกริ่ม “เพื่อนแก้เหงา”
ภูวนัยทำหน้าเซ็ง แล้วหันมาเห็นไผ่พญามองมาที่เขาเหมือนอยากได้คำตอบเหมือนกัน ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็รีบตัดบท
“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ”
“เดี๋ยว”
ภูวนัยชะงักหันมา ไผ่พญาเดินไปที่ขิงก่อนจะคว้ากุญแจรถของขิงไปจากมือ
“อ้าวเฮ้ย! ไอ้ไผ่ จะทำอะไร”
ไผ่พญาเอากุญแจรถมาให้ภูวนัย
“รถคันนี้ ครูขิงกับครูงาเอาเงินของคุณลุงไปซื้อมา เพราะฉะนั้นมันก็สมควรเป็นของคุณ”
ภูวนัยมองกุญแจรถ แล้วพูดขึ้น
“พวกคุณเก็บไว้เถอะ ผมเองก็มีส่วนผิดที่ทำให้พวกคุณถูกไล่ออกจากโรงเรียน” ไผ่พญาได้ยินก็หันมองขิง ขิงหลบตา “ถือว่าเป็นค่าชดเชยแล้วกัน”
ภูวนัยยื่นกุญแจรถคืนให้กับไผ่พญา ไผ่พญาไม่อยากรับ
“แต่ว่า...”
ขิงเข้ามาคว้าหมับไปทันที
“ขอบคุณครับคุณภู” ขิงรีบเปลี่ยนเรื่องหันไปมองบ้านเช่า “โห...นี่บ้านเช่าครูไผ่เหรอ โหน่าอยู่จัง ไปเถอะครูงา” กระดังงาทำหน้างง ขิงเลยขยิบตาให้รีบชิ่ง “ไปซิ เดี๋ยวคุณภูก็เปลี่ยนใจหรอก”
กระดังงาเข้าใจ
“โห...น่าอยู่จริงๆ ด้วย”
ขิงกับกระดังงารีบเดินเข้าบ้านไป ปล่อยไผ่พญายืนอยู่กับภูวนัยสองคน
“เอ่อ ผมไปนะ”
“อืม”
แล้วภูวนัยก็เดินจากไป ไผ่พญามองตามด้านหลังของภูวนัยด้วยความอัดอั้นใจ

ภูวนัยเดินมาตามทาง ระหว่างนั้นเสียงไผ่พญาดังขึ้น
“ช่วยฉันไว้ทำไม” ภูวนัยชะงักเมื่อได้ยินเสียงไผ่พญา เขาค่อยๆ หันไปก็เห็นไผ่พญายืนอยู่ “ในเมื่อนายเกลียดฉัน แล้วช่วยฉันไว้ทำไม”
“ผมไม่อยากเป็นหนี้บุญคุณคุณมั้ง เห็นคุณชอบลำเลิกบุญคุณว่าช่วยผมไว้เยอะ ถือว่าครั้งนี้เราหายกัน” ไผ่พญาเจ็บจี๊ด
“ถ้านายคิดอย่างนี้. ต่อไปถ้าเราเจอกันแล้วฉันตกอยู่ในอันตรายก็ไม่ต้องช่วยฉันอีก”
ไผ่พญาพูดจบก็หันหลังจะเดินออกไป ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็เลยพูดขึ้น
“คุณก็รู้ว่าชีวิตผมมันอันตรายแค่ไหน” ไผ่พญาชะงัก “ผมไม่อยากให้คุณเป็นอะไร”
ไผ่พญาค่อยๆ หันมา ไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ตัวเองได้ยิน
“แต่ที่เรารอดมาได้ทุกครั้ง เพราะเราช่วยกันนะ”
“แต่ครั้งหน้าเราอาจจะไม่รอด”
“นายรู้ได้ยังไง”
ภูวนัยชะงักอึ้งไป ความรู้สึกของเขาตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากไผ่พญาที่หัวใจของทั้งคู่เริ่มสั่นไหว ภูวนัยพยายามสะกดกลั้นความรู้สึก
“ผมกลับก่อนดีกว่า”
“ฉันไม่รู้ว่านายกำลังจะทำอะไร นายถึงได้หนีไปอย่างนี้ถึงนายจะไม่เป็นห่วงฉันว่าฉันจะเป็นยังไง จะอยู่ยังไงแต่...” ไผ่พญาชะงักไป แล้วตัดสินใจพูด “แต่ขอฉันเป็นห่วงนายได้มั้ย”
ภูวนัยที่หันหลังให้ไผ่พญาถึงกับชะงัก ไผ่พญายืนนิ่งรอฟังคำตอบ แต่แล้วภูวนัยก็พูดขึ้น
“พรุ่งนี้คุณว่างมั้ย”
“หืม”
“ก็คุณไม่มีโทรศัพท์นี่ แล้วถ้าเมื่อไหร่คุณเป็นห่วงผมขึ้นมาผมจะรู้ได้ยังไง”
ภูวนัยพูดจบก็เดินออกไป ปล่อยให้ไผ่พญายืนอึ้งไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
เมื่อกลับเข้าห้องไผ่พญาทุบหมอนด้วยความอาย
“อ้ายๆๆๆ พูดออกไปได้ยังไง ไอ้ไผ่เอ๊ย” แล้วไผ่พญาก็หมดแรงทิ้งตัวลงนอนมองเพดาน “แต่ยังไงก็พูดไปแล้วนี่”
ไผ่พญาอมยิ้มอย่างมีความสุข
อีกด้านหนึ่ง ภูวนัยนั่งอยู่ที่มุมหนึ่งของเซฟเฮ้าส์ มองฟ้าก่อนจะยิ้มออกมาเช่นกัน

วันต่อมาอภิวัฒน์ฟังข้อมูลที่แม่เลี้ยงรัญญากับนายหัวคึกคุยกันที่อาบอบนวดเสร็จก็ปิด ภูวนัยและสมสุขนั่งอยู่ในห้องด้วย

“เท่าที่ได้ฟังข้อมูลจากที่หมวดภูได้มา เราทราบคร่าวๆ ว่าแม่เลี้ยงจะส่งเด็กสาวให้กับนายหัวคึกในอีกสามวันข้างหน้า สมสุขผมอยากฟังอะไรจากคุณหน่อย”
“ก็ตามนั่นนี่ ไม่เห็นมีอะไร”
“แค่นี้เนี่ยนะ ไหนบอกว่ารู้ทุกอย่าง...เส้นทาง...วิธีการขนย้าย...พาหนะ...วันและเวลา...นายไม่รู้อะไรบ้างเลยหรือไง”
“แหม ผมไม่ได้มีญาณหยั่งรู้ที่ฟังแค่เสียงแล้วจะรู้ทุกอย่างนะหมวด”
ภูวนัยตรงเข้าไปกระชากคอเสื้อสมสุข
“อย่าเล่นลิ้นสมสุข”
“หมวดภู”
ภูวนัยจ้องสมสุขคาดคั้น สมสุขเองก็สู้ตาไม่ถอย
“ฉันรู้ว่าแกรู้ ถ้าแกอยากเล่นงานไอ้พายัพก็บอกไอ้ที่แกรู้มาให้หมด”
“เมื่อก่อนแม่เลี้ยงจะเข้าไปใช้เส้นสายในพม่าแล้วลำเลียงเด็กสาวพวกนั้นผ่านตะเข็บชายแดนเข้ามาที่เมืองกาญจน์ แต่เดี๋ยวพอไอ้วศินมันเริ่มใหญ่โตก็ไม่จำเป็นต้องทำขนาดนั้น เดี๋ยวก็ตัดตรงเข้ากรุงเทพฯได้เลยเพราะไม่มีด่าน หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่สงขลา ที่นั่นนายหัวคึกมีซ่องอยู่หลายที่ แต่ละที่เปิดเป็นคาราโอเกะบังหน้า ไงหมวด...แค่นี้พอมั้ยครับ”
สมสุขลอยหน้าลอยตากวนภูวนัย ภูวนัยผลักสมสุขออกแล้วเดินออกจากห้องไป
“สมสุข แกจะไม่กวนหมวดเขาซักวันไม่ได้หรือไง”
“เอ้า...หรือจะให้ผมกวนท่านละ”

อภิวัฒน์ส่ายหน้าแล้วเดินออกไป สมสุขหัวเราะชอบใจ

ภูวนัยเดินมากดน้ำกินที่มุมหนึ่งของเซฟเฮ้าส์เพื่อสงบสติอารมณ์ อภิวัฒน์เดินเข้ามา

“เห็นหรือยังว่าสมสุขเขามีประโยชน์”
“เรื่องนั้นผมทราบครับ แล้วผมก็ทราบด้วยว่าผมจะต้องอัดมันซักวัน ท่านมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“พอดีผมได้ฟังเสียงที่คุณอัดมาต่อจนจบ แล้วผมก็ได้ยินเสียงของไผ่พญา”
ภูวนัยชะงักไป
“ผมบังเอิญเจอเธอที่นั่นครับ”
“บังเอิญเหรอ”
“ครับ ผมเองก็ตกใจเหมือนกันที่เจอเธอที่นั่น”
อภิวัฒน์ได้ฟังข้อมูลก็นิ่งไป ก่อนจะบอกกับภูวนัยอย่างเป็นห่วง
“ถ้าเป็นเรื่องบังเอิญก็ดีเพราะหมวดก็รู้ใช่มั้ยว่าภารกิจในครั้งนี้ มันอันตรายแค่ไหน”
อภิวัฒน์พูดอย่างนั้นทำให้ภูวนัยนึกไปถึงเรื่องเหมือนฝันที่โดนยิง
“ครับ”
“ไปพักเถอะ เดี๋ยวฉันจะวางแผนดูว่าจะจัดการเรื่องแม่เลี้ยงกับนายหัวคึกยังไง”
อภิวัฒน์จะเดินไป ระหว่างนั้นภูวนัยเรียกเอาไว้
“ท่านครับ” อภิวัฒน์หันมา “วันนั้นที่ผมเจอชาติกล้า มันบอกว่าวันนั้นที่ผมโดนลอบยิง ที่จริงพวกมันไม่ได้ตั้งใจมายิงผม...” ภูวนัยจุกในลำคอแต่ก็พูดต่อ “แต่พวกมันตั้งใจมายิงเหมือนฝัน ท่านพอจะทราบอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้บ้างครับ”
“แล้วหมวดรู้หรือเปล่าพ่อแม่ของเหมือนฝัน เกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติด”
“ว่าไงนะครับ ไม่จริง...ครอบครัวเหมือนฝันเป็นร้านก่อสร้างเล็กๆ เท่านั้น”
“หมวดแน่ใจนะที่จะยอมรับความจริงได้” ภูวนัยนิ่งไปเพื่อสำรวจความรู้สึกของตัวเองแล้วภูวนัยก็พยักหน้า
“พ่อแม่ของเหมือนฝันเป็นหนี้การพนันหลายสิบล้านบาท แล้วเจ้าของบ่อนพอเห็นว่าพ่อแม่ของเหมือนฝันทำธุรกิจก่อสร้างก็เลยใช้พวกเขาขนยาเพื่อแลกกับหนี้”
“แสดงว่าพวกเขาถูกบังคับ”
“แรกๆ ทั้งสองคนก็ทำเพื่อใช้หนี้อยู่แหละ แต่หลังๆ พอเห็นการค้ายามันเงินดี ทั้งสองก็เลยหันมาค้ายาเต็มตัวแล้วที่พวกนั้นยิงเหมือนฝัน ฉันว่าน่าจะมาจากเรื่องที่พ่อกับแม่เขาเชิดยาล๊อตใหญ่แล้วหายตัวไป”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ถึงยืนอึ้งไป

ไผ่พญาแต่งตัวสวย ค่อยๆ ย่องลงมาจากชั้นบน พอไม่เห็นขิงกับกระดังงาก็ค่อยๆ ลงมาอย่างไร้กังวลโดยไม่เห็นเลยว่าขิงกับกระดังงาเดินเข้ามาทางด้านหลัง
“แต่งตัวสวยไปไหนเนี่ย”
“เฮ้ย” ไผ่พญาสะดุ้งหันมาเห็นขิงกับกระดังงายืนอยู่ “พวกแกยังไม่ไปอีกเหรอเนี่ย”
“โห...ไรวะ เจอหน้าก็ไล่เลย ไม...กลัวพวกฉันเป็นก้างขวางคอแกกับคุณภูหรือไง”
ไผ่พญาตกใจ ปนเขิน
“อะไร พูดดีๆ นะไอ้ขิง”
ขิงกับกระดังงามองหน้ากันแล้วอมยิ้ม
“ไม่ต้องมาแกล้งโมโหกลบเกลื่อนเลยไอ้ไผ่ เมื่อวานพวกเราเห็นนะเว้ย”
“เห็นอะไร”
“เอ้า ก็เห็นสายตาที่แกมองคุณภู แล้วก็เห็นสายตาที่คุณภูเขามองแกไง”
“มอง...มองยังไง ฉันก็มองเขาเป็นนายจ้างเหมือนตอนที่อยู่ที่ฟาร์มนั่นแหละ”
“เหรอ” ขิงกับกระดังงาบอกออกมาพร้อมกันไผ่พญาถึงกับสะดุ้ง กระดังงาเอามือมาแตะที่ปากของไผ่พญา
“ฉันว่าแกแต่งตัวโอเคแล้ว แต่น่าจะใช้ครีมทาที่ปากหน่อยก็ดีนะ”
ไผ่พญากังวลกลัวไม่สวย
“ทำไมละ”
“ก็...แกน่ะ ปากแข็ง”
กระดังงากับขิงพูดเสร็จก็รีบวิ่งจู๊ดออกจากบ้านเช่าไปทันที
“เดี๋ยวพวกฉันไปหางานทำก่อน แล้วเจอกันตอนเย็นเว้ยไอ้ไผ่”
ไผ่พญาจะคว้ารองเท้าปาใส่เพื่อนแต่ก็ไม่ทัน ไผ่พญาแอบจับปากตัวเองแล้วทำปากมุบมิบ

ที่เซฟเฮ้าส์ภูวนัย ภูวนัยกำลังค้นหาข้อมูลของเหมือนฝันหลังจากที่ได้ข้อมูลจากอภิวัฒน์ โดยลืมไปเลยว่านัดกับไผ่พญาเอาไว้
ไผ่พญาเดินออกมาหน้าบ้านเช่าอย่างมีความสุข เดี๋ยวก็เดินไปชะเง้อดูว่าภูวนัยมาหรือยังก่อนจะกลับมานั่งรอต่อพร้อมกับวาดฝันอันสวยหรู
เวลาผ่านไป ไผ่พญาเริ่มนั่งอยู่กับที่รอยยิ้มเริ่มหายไป
“จะมากี่โมงเนี่ย” ไผ่พญาพยายามอดทน “ไม่เป็นไร ไผ่พญา สู้”
รถเข็นส้มตำไก่ย่างเข็นผ่านหน้าบ้านเช่าไป
“ส้มตำ...ไก่ย่าง...มาแล้วค่า”
คนขายตะโกน พอรถเข็นผ่านหน้าบ้านเช่าไปก็เห็นไผ่พญานั่งหน้างออยู่ที่เดิม พร้อมกับเสียงท้องร้องดังไม่หยุด ไผ่พญาลุกขึ้นอย่างหมดความอดทนและโมโหหิว
“คิดว่านายเป็นใครถึงได้มาหลอกฉันให้รอแบบนี้ คิดว่าฉันจะง้อหรือไง”
ไผ่พญาเดินออกจากบ้านไปด้วยความโมโห

ไผ่พญามาเดินตลาดนัดยังโมโหที่ภูวนัยผิดนัด ไผ่พญากินลูกชิ้นปิ้งเต็มปากด้วยความหิว
“คอยดูนะ วันนี้ฉันจะซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าเลย” ไผ่พญาพูดไปเคี้ยวไปเลยทำให้ลูกชิ้นปิ้งติดคอ “แค่กๆ”
ไผ่พญาหันมองไปรอบๆ แล้วก็รีบพุ่งเข้าไปที่ร้านน้ำ “น้ำเปล่าขวด”
ไผ่พญารีบล้วงเงินออกจากกระเป๋ากางเกง ด้วยความรีบทำให้เศษเหรียญห้าหล่นลงกับพื้นก่อนจะเห็นเหรียญห้าไหลกลิ้งไปกับพื้น
“เฮ้ย”
ไผ่พญารีบวิ่งตาม แล้วไผ่พญาตกใจเพราะเห็นว่าเบื้องหน้าของทิศทางที่เหรียญวิ่งคือท่อน้ำ ไผ่พญารีบสาวเท้าจะวิ่งให้ทัน ทันใดนั้นเห็นชายคนนึงเดินพ้นซอยด้านข้างออกมาตัดหน้าไผ่พญา ไผ่พญาเบรกไม่ทันทำให้ชนเข้ากับชายคนนั้นจนกระเด็น โครม!
ไผ่พญาไม่เจ็บเท่าไหร่และยังยืนอยู่ได้เพราะเป็นฝ่ายวิ่งชน ไผ่พญารีบมองไปที่ชายคนนั้นแล้วไผ่พญาก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นว่าเป็นตะวันฉาย
“คุณตะวัน”
ตะวันฉายที่นอนอยู่กับพื้นพอได้ยินไผ่พญาเรียกก็หันมามองก่อนจะดีใจเมื่อได้เห็นไผ่พญา

ตะวันฉายเดินมากับไผ่พญาตามทางในตลาด
“คุณตะวันมาประชุมที่กรุงเทพฯเหรอคะ”
“ครับ” ตะวันฉายหันมองไผ่พญาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ไม่คิดว่าผมจะได้เจอคุณไผ่ที่นี่”
“เอ้า ก็ฉันบอกแล้วไงว่าเราต้องเจอกันอีก”
“แต่คราวหน้าผมขอเจอเบากว่านี้หน่อยแล้วกันนะครับ” ตะวันฉายบอกแล้วยิ้ม
“ขอโทษ”
ไผ่พญายกมือไหว้ท่วมหัวอย่างรู้สึกผิด ตะวันฉายอมยิ้มก่อนจะแกล้งไผ่พญา
“อืม จะให้คุณทำอะไรไถ่โทษดีน้า”
ไผ่พญาเริ่มหน้าบึ้ง
“โห...นี่จะกรรโชกทรัพย์ฉันเหรอ”
“ผมไม่ทำอะไรอย่างนั้นหรอกครับ ผมแค่อยากให้คุณไผ่เลี้ยงข้าวเท่านั้น”
“นึกว่าอะไร ไปซิ คุณอยากกินอะไรวันนี้ฉันเป็นเลี้ยงเต็มที่”
ตะวันฉายกับไผ่พญาต่างยิ้มให้กัน

ภูวนัยยังนั่งหาข้อมูลอยู่ที่เดิม ภูวนัยดูข้อมูลในคอมพิวเตอร์ที่บอกประวัติของพ่อและแม่ของเหมือนฝัน ภูวนัยกดปริ้นออกมา ระหว่างที่ภูวนัยรอการปริ้นท์ให้เสร็จก็เหลือบไปมองนาฬิกาที่อยู่บนผนังแล้วภูวนัยก็นึกขึ้นมาได้
“เฮ้ย”
ภูวนัยรีบลุกออกไปทันที

ภูวนัยมาที่ร้านขายมือถือ ภูวนัยยื่นโทรศัพท์มือถือเครื่องนึงส่งให้กับคนขาย
“ผมเอาเครื่องนี้แหละครับ”
“ได้พี่ งั้นพี่รอสักครึ่งชั่วโมงนะพี่ เดี๋ยวผมลงโปรแกรมให้”
ภูวนัยพยักหน้าแล้วยืนรอ ระหว่างนั้นภูวนัยเหลือบไปเห็นร้านฝั่งตรงข้ามมีเตาและกระทะที่ใช้ปิ้งหมูกระทะ ภูวนัยนึกบางอย่างขึ้นมา

ภูวนัยกำลังเลือกซื้อของในตลาด ทั้งหมู ผักต่างๆ ภูวนัยเดินถือข้าวของที่เป็นทั้งเนื้อหมู ผักต่างๆ เตาและกระทะมาที่บ้านเช่าไผ่พญา ภูวนัยหยุดยืนลังเลอยู่หน้าบ้าน
“จะโกรธมั้ยวะ” แล้วภูวนัยก็ตัดสินใจเดินเข้าไป “เอ่อ ผมมาแล้ว” ไม่มีเสียงตอบจากในบ้าน ภูวนัยตะโกนเรียกอีก “คุณ” ภูวนัยวางข้าวของลงก่อนจะเหลือบไปเห็นว่าประตูหน้าบ้านใส่แม่กุญแจเอาไว้ “ก็นัดกันแล้วยังจะไปไหนอีก”
ภูวนัยมองข้าวของที่ซื้อมาตั้งเยอะ คิดว่าจะเอาไงดี

ที่ร้านก๋วยเตี๋ยวเรือ บนโต๊ะเต็มไปด้วยชามก๋วยเตี๋ยวเรือที่เรียงเป็นตั้ง ไผ่พญากับตะวันฉายนั่งอยู่ในร้านก๋วยเตี๋ยวเรือไผ่พญาแอบเรอ
“โอย พุงจะแตกแล้ว” ระหว่างนั้นพนักงานยกก๋วยเตี๋ยวมาเสิร์ฟอีก “โห...ยังไม่อิ่มอีกเหรอคุณตะวัน”
ตะวันฉายพะอืดพะอมเหมือนกัน
“เอ่อ ก็อิ่มแล้วละครับ”
“อ้าว แล้วสั่งมาอีกทำไม”
“เอ่อ”
“ฉันรู้ละ” ตะวันฉายชะงักไป “คุณอยากได้น้ำอัดลมฟรีใช่มั้ย”
ตะวันฮายถึงกับงง
“หืม”
ไผ่พญาเลยชี้ไปที่ป้ายด้านหลังตะวันฉาย
“นั่นไง เขาบอกว่ากินครบยี่สิบชามได้น้ำอัดลมหนึ่งลิตร” ตะวันฉายอมยิ้ม
“ไม่ใช่หรอกครับ”
“ไม่ใช่...ถ้าอย่างนั้น คุณตะวันก็จะกินเพื่อแก้แค้นฉันใช่มั้ย”
“ไม่ต้องห่วงครับ มื้อนี้ผมเลี้ยงเอง”
“แหม...จะดีเหรอ แต่คุณพูดแล้วนะ แล้วตกลงคุณตะวันสั่งมาอีกทำไม” ไผ่พญาถามต่ออย่างสงสัย
“ผมอยากจะอยู่กับคุณไผ่นานๆ น่ะครับ” คำตอบนี้ทำให้ไผ่พญาถึงกับอึ้ง ตะวันฉายเห็นหน้าไผ่พญาอึ้งไปก็รีบแก้ “อ๋อ...คราวที่แล้วที่เจอกันที่รีสอร์ตคุณเสกสรร มันมีเรื่องวุ่นวายจนเรายังไม่ได้คุยอะไรกันเลยไงครับ”
“นึกว่าเรื่องอะไร”
ตะวันฉายนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงหยิบมือถือขึ้นมาแล้วส่งให้กับไผ่พญา
“อะไรคะ”
“เก็บเอาไว้ซิครับ ตอนแรกผมกะว่าจะเปลี่ยนโทรศัพท์ แต่พอเจอคุณไผ่ ผมเลยคิดว่าน่าจะให้คุณไผ่เอาไว้ใช้ดีกว่า”
“ห๊า! แล้วคุณตะวันให้ฉันทำไม ของไม่ใช่ถูกๆ นะ”
“ตอนที่คุณหนีออกมาจากรีสอร์ต ผมเป็นห่วงว่าคุณจะปลอดภัยมั้ย แต่ผมก็ติดต่อคุณไม่ได้” ตะวันฉายยื่นมือถือให้ “เก็บไว้เถอะครับ อย่างน้อยถ้าคุณต้องการความช่วยเหลือก็โทรหาผมได้”
ไผ่พญามองมือถือของตะวันฉายอย่างกระอักกระอ่วนใจ

ที่บ้านเช่าไผ่พญามีโต๊ะตั้งอยู่ที่หน้าบ้านหมูถูกเรียงใส่จานเรียบร้อย ข้างๆ มีตระกร้าผักสดอยู่เต็ม ภูวนัยกำลังจุดเตาถ่านอยู่ทั้งเป่าทั้งพัดจนเตาถ่านติดได้ที่ ภูวนัยเป่าปากด้วยความเหนื่อยที่กว่าจะจุดติดแล้วภูวนัยก็สงสัย
“ป่านนี้ทำไมยังไม่กลับเนี่ย”
ภูวนัยเดินออกมาที่หน้าบ้าน แล้วก็ชะงักเมื่อเห็นไผ่พญากำลังเดินมากับตะวันฉาย
ไผ่พญากับตะวันฉายเดินมาจนถึงหน้าบ้านเช่า
“ฉันอยู่ที่นี่แหละคะ” ไผ่พญาแนะนำบ้านให้ตะวันฉายดู แล้วไผ่พญาก็ตาโตเมื่อเห็นเซทหมูกระทะวางจัดเป็นปาร์ตี้บาร์บีคิวอยู่หน้าบ้าน “หมูกระทะ โห”
ภูวนัยยืนแอบมองอยู่ที่มุมหนึ่ง พอเห็นไผ่พญาทำท่าดีใจที่เห็นหมูกระทะก็มีแอบใจชื้น
“ของใครเหรอครับ”
“จะใครซะอีกละคะ”
ภูวนัยสงสัย
“รู้ว่าเราเหรอ”
ไผ่พญาพูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่า
“ก็ของครูขิงครูงาแหละคะ”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็แอบเคือง น้อยใจเล็กน้อย
“ไม่คิดว่าฉันจะซื้อมามั้งหรือไงเนี่ย”
ไผ่พญาชวนตะวันฉายอยู่ต่อ
“คุณตะวันอยู่ทานด้วยกันมั้ยคะ”
“ไม่ละครับ ตอนนี้ผมกินอีกไม่ได้แล้ว อย่าบอกนะครับว่าคุณไผ่ยังกินได้อีก”
“ฉันก็ไม่ไหวเหมือนกัน” ภูวนัยอึ้งไปที่ซื้อมาเสียเที่ยว “ครูขิงกับครูงาเนี่ยไม่ไหวเลย จะซื้ออะไรมาก็ไม่บอกกันก่อน”
ภูวนัยเริ่มจะหมดความอดทน ตะวันฉายเห็นว่าไผ่พญาถึงบ้านแล้วก็หายห่วง
“ผมกลับก่อนนะครับ แล้วพรุ่งนี้อย่าลืมนะครับ”
“คะ ไม่ลืมแน่นอน”
ตะวันฉายกับไผ่พญายิ้มให้กันก่อนที่ตะวันฉายจะเดินออกไป ไผ่พญาเห็นตะวันฉายไปแล้วก็เดินหยิบกุญแจมาจะไขแม่กุญแจที่ล๊อคอยู่ ระหว่างนั้นภูวนัยค่อยๆ ย่องจะออกไปจากบ้านแต่ภูวนัยมัวแต่มองไผ่พญาทางด้านหลังทำให้ไม่ได้มองทาง ภูวนัยเลยเดินชนเข้ากับข้าวของที่วางเอาไว้ ไผ่พญาหันขวับมาเพราะได้ยินเสียงโคร้งเคร้ง พอไผ่พญาเห็นว่าเป็นภูวนัยก็รีบเข้ามาเฉ่ง
“มาทำไมป่านนี้”
“เอ่อ พอดีผมมีธุระด่วน”
“ถ้างั้นนายก็ไปจัดการธุระด่วนของนายแล้วกัน”
“อ้าว แล้วเรื่องโทรศัพท์ละ”
ภูวนัยพยายามซ่อนมือถือไม่เห็นไผ่พญาเห็นก่อน
“เอามือถือนายมาซิ”
ภูวนัยสงสัยแต่ก็หยิบมือถือของตัวเองส่งให้ไผ่พญา ไผ่พญารับไปแล้วกดเบอร์ ไม่นานก็ได้ยินเสียงมือถือดังขึ้น ภูวนัยสงสัยว่าเสียงมือถือมาจากไหน ไผ่พญาหยิบมือถือที่ตะวันฉายให้มาขึ้นมาโชว์
“นี่เบอร์ฉัน”
“คุณไปซื้อมาเหรอ”
“เปล่า คุณตะวันเขาซื้อให้นายไม่โกรธนะ”
ภูวนัยอึ้งไป จำต้องเก็บโทรศัพท์ที่ซื้อมาเก็บไว้อย่างนั้น
“ทำไมต้องโกรธ ดีจะได้ไม่เปลือง”
“งก”
ไผ่พญาเดินเข้าบ้านไป ภูวนัยยืนอึ้งที่ทุกอย่างผิดแผนหมด
ไผ่พญายืนอยู่หลังประตูแอบมองอย่างหมั่นไส้
“คิดว่าฉันจะยกโทษให้ง่ายๆ เหรอ หึ”

ภูวนัยเดินหัวเสียมาตามทาง หยิบมือถือที่ตั้งใจซื้อให้ไผ่พญาขึ้นมาดู
“หึ...ก็ดี” ภูวนัยพูดประชดออกแนวน้อยใจ ระหว่างนั้นเสียงมือถือของภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยควานหามือถือของตัวเองก่อนจะมองเบอร์แล้วกดรับ “ครับท่าน”

ภูวนัยมาที่เซฟเฮ้าส์สมสุข สมสุขโยนภาพของรถบรรทุกที่มีแผ่นป้ายทะเบียนชัดเจนให้ภูวนัยดู
“นี่คือรถที่พวกมันใช้ขนเด็กผู้หญิงพวกนั้น”
“แล้วพวกมันจะไปพักเด็กไว้ที่ไหนครับ”
อภิวัฒน์ยื่นรูปคาราโอเกะแห่งหนึ่งให้ภูวนัยดู
“ขอแนะนำว่า ท่านควรมีกำลังไม่ต่ำกว่าร้อยนายพร้อมอาวุธครบมือ เพราะด้านหลังไอ้คาราโอเกะนี่เป็นที่ซ่องสุ่มของพวกมือปืนแล้วก็พวกที่หนีมาจากประเทศเพื่อนบ้านเราทั้งนั้น”
อภิวัฒน์ยื่นตั๋วเครื่องบินให้พร้อมกับข้อมูล
“หมวดมีเวลาเตรียมตัวก่อนเครื่องออกหนึ่งชั่วโมง”
“ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”
“ชี้เป้าและสนับสนุนการจับกุม”
ระหว่างนั้นสมสุขหัวเราะดังลั่น
“สนับสนุนการจับกุม ฮ่าๆ ประสาทหรือไงท่านอภิวัฒน์ ท่านก็รู้ว่าพวกตำรวจน่ะถูกสั่งงดตั้งด่านเพราะคำสั่งไอ้วศินอยู่ แล้วท่านจะเอากำลังที่ไหนไปบุกมัน”
“ประเทศไทยไม่ได้มีแค่ตำรวจที่จับกุมผู้กระทำผิดได้นี่”

สมสุขกับภูวนัยแปลกใจในคำพูดของอภิวัฒน์

อ่านต่อตอนที่ 12
กำลังโหลดความคิดเห็น