สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 11
วันรุ่งขึ้น วรรณรสาซึ่งแต่งตัวในชุดใหม่ที่บัวนำมาให้ เดินออกมาจากห้องพักแขกของโรงพยาบาล แต่เพราะยังเช้าอยู่มาก ตรงโถงทางเดินจึงไม่มีผู้คน
วรรณรสาชะงักเมื่อมองไปที่เก้าอี้หน้าห้องแล้วเห็นปวรรุจนั่งหลับอยู่ วรรณรสาสงสัย บัวเดินตามออกมาจากห้อง
“บัว คุณชายนั่งหลับอยู่หน้าห้องทั้งคืนเลยหรือ”
“เพคะ”
“ทำไมล่ะ”
“คุณชายเฝ้าไข้คุณย่าอ่อนน่ะเพคะ แต่อันที่จริงเข้าไปในห้องคุณย่าก็ได้ แต่คุณชายเลือกเฝ้าหน้าห้อง หม่อมฉันว่าที่คุณชายนั่งตรงนี้เพราะห่วงท่านหญิงมากกว่าเพคะ”
“ห่วงฉัน”
“เพคะ”
วรรณรสาเดินเข้ามาใกล้ปวรรุจ แล้วทรุดตัวลงนั่งข้างๆ มองใบหน้าคมคายที่หลับอยู่นั้นพลางทอดถอนใจ
ปวรรุจขยับร่าง วรรณรสารีบลุกขึ้น แล้วเดินกลับเข้าห้องไป บัวรีบตาม
ปวรรุจค่อยๆ ลืมตาขึ้น รู้สึกตัวตลอดเวลาที่ท่านหญิงรสามานั่งข้าง ๆ
เวลาเดียวกัน ธราธรนั่งอยู่กับหม่อมเอียดที่เรือนเล็ก หม่อมเอียดหน้าซีดเผือด และดูอ่อนเพลียเพราะไม่ได้นอนทั้งคืน ธราธรเลื่อนชามข้าวต้มให้ หญิงชราส่ายหน้า
“ย่าทานอะไรไม่ลงหรอกชายใหญ่ คิดแต่เรื่องท่านหญิงแต้วกับชายรุจ เฮ้อ....นึกย้อนไปที่ท่านหญิงเด็จมาที่วังของเรา เพราะทรงมีพระทัยกับชายรุจแท้ๆ”
“หม่อมย่าอย่าวิตกเกินไปเลยครับ ชายรุจคงแก้ปัญหาของเขาได้”
“ยังไงย่าก็ต้องห่วง เพราะเรื่องนี้ต้องไปถึงพระเนตรพระกรรณของพระองค์ฉัตรแน่ๆ แล้วถ้าเสด็จท่านทรงเอาเรื่องเอาราวขึ้นมา มันจะเป็นผลเสียกับงานราชการของชายรุจนะ” หญิงชรากังวล
“คงไม่ถึงขนาดนั้นหรอกครับหม่อมย่า ยังไงตอนนี้ทางผู้ใหญ่ ท่านอธิบดีก็ยังไม่รู้เรื่องอะไร อีกอย่างทั้งชายรุจและท่านหญิงก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย”
“เฮ้อ ย่าก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี แล้วนี่แม่อ่อนเป็นอย่างไรแล้ว”
รัชชานนท์และรณพีร์ในชุดทำงานเข้ามาพอดี
“หม่อมย่าครับ พี่ชายภัทรโทร.มาบอกแล้วว่าย่าอ่อนอาการดีขึ้นมากแล้วไม่มีอะไรน่าห่วงแล้วครับ”
“โล่งอกไป ย่าจะไปเยี่ยมแม่อ่อนเขาดีไหม”
“ไม่ดีครับหม่อมย่า ตอนนี้กำลังมีประท้วงที่หน้าสถานทูตแถวบ้านเรา ทางผ่านบ้านเราพอดีด้วยครับ” รณพีร์บอก
“ประท้วงเรื่องอะไรเหรอ”
“เกี่ยวกับโบราณวัตถุของชาติน่ะครับ หลังจากคดีปราสาทพนมธมก็มีการจับชาวต่างชาติที่เข้ามาปล้นวัตถุโบราณของเราได้อีกหลายกลุ่ม คนไทยก็เลยรวมตัวประท้วงกันขึ้น” ธราธรบอก
“เฮ้อ....มันจะวุ่นวายกันไปถึงไหน”
“หม่อมย่าพักผ่อนเถอะครับ ช่วงบ่ายๆ ผมจะให้ชายภัทรรับคุณย่าอ่อนกลับมา”
หม่อมเอียดพยักหน้า
สามหนุ่มเหลียวมองหน้ากัน รู้สึกคลายใจเรื่องหม่อมย่าเอียดที่ไม่ป่วยไข้ไปด้วยอีกคน
ธราธร รัชชานนท์และรณพีร์เดินคุยกันออกมาจากเรือนหม่อมเอียด
“พี่ชายใหญ่ก็ช่างใจร้ายเหลือเกิน จะบอกเราสองคนเรื่องพี่ชายรุจกับท่านหญิงแต้วสักหน่อยก็ไม่ได้” รัชชานนท์ตัดพ้อชายใหญ่
“นั่นซีครับ ผมน่ะสงสัยมานานแล้ว ท่าทีระหว่างของทั้งคู่ดูเคร่งเครียดพิกล แถมคุกกี้ไหม้ของท่านหญิง พี่ชายรุจยังทานเสียหมด”
“แสดงว่าพี่ชายรุจยังรักยังผูกพันมาก ใช่ไหมครับพี่ชายใหญ่” รัชชานนท์สงสัย
“ฉันว่าอาจจะรักมากกว่าครั้งคุณวาดดาวเสียด้วยซ้ำ งานนี้ชายรุจเจ็บหนักแน่ๆ”
รณพีร์งง “ทำไมครับ”
“ความรักครั้งนี้ มันยิ่งตอกย้ำเรื่องความต่ำต้อยของชายรุจ คนรักเป็นถึงหม่อมเจ้าหญิงที่สูงศักดิ์กว่า แถมยังมีเจ้าเข้าเจ้าของเป็นถึงหม่อมเจ้าด้วยกัน ชายรุจไม่มีทางต่อสู้เรียกร้องอะไรได้เลย”
รัชชานนท์ใจแป้ว “สงสารพี่ชายรุจ ต้องมาเจ็บซ้ำสอง”
“กำแพงแห่งฐานันดรมันสูงเกินไป เกินกว่าที่เขาทั้งสองจะทะลาย หรือปีนป่ายข้ามมาหากันได้”
รัชชานนท์ และรณพีร์เงียบงันกันไป สลดใจ ยินเสียงเอะอะมาจากที่โรงครัว ทั้งสามหันไปมอง
ที่โรงครัว ถนอม สมศรี และสาย ทั้งสามกำลังฟังวิทยุรายงานข่าวการประท้วง แล้ววิพากย์กันอย่างเมามัน
“ไอ้พวกปล้นสมบัติชาตินี่ ไม่ตายดีหรอกนะ มันต้องถูกธรณีสูบ” ถนอมเปิดประเด็น
“แหม...มันน่านัก ยิ่งไอ้คนไทยที่ร่วมมือกับไอ้ต่างชาติ ขโมยโบราณวัตถุ ไอ้พวกนี้ต้องขังลืมเจ็ดชั่วโคตร” สมศรีด่าว่า
“ประท้วงกันขนาดนี้ วิทยุเลยประกาศแต่ข่าว ข้าเลยไม่ได้ฟังละครวิทยุเลย แหม....เรื่องเจ้าหญิงวิมานดินกำลังสนุก” สายบอก
ถนอมและสมศรีโห่ฮาป้าสายเอา
“โธ่ เขากำลังรักชาติ ป้ามาฟังแต่ละครอยู่ได้”
ทั้งสามหันมาเห็นสามคุณชาย
“เป็นยังไงข่าวไปถึงไหนแล้ว” ธราธรสอบถามสถานการณ์
ถนอมรีบรายงาน “กำลังรวมพลกันอยู่หน้าประตูสถานทูตหลายร้อยคนเชียวครับ ถ้าคุณชายจะออกไปข้างนอก ผมจะขับรถเลี่ยงไปทางอื่นให้”
“ไม่เป็นไรเดี๋ยวพวกเราขับกันไปเองดีกว่า” รัชชานนท์บอก
ฟากย่าอ่อนฟื้นแล้ว ครึ่งนั่งครึ่งนอนอยู่บนเตียง หน้าตายังซีดเซียว แจ๋วกำลังป้อนข้าวต้มให้ วรรณรสาเดินเข้ามาด้วยอาการยิ้มแย้ม บัวตามเข้ามาด้วย
ย่าอ่อนทักด้วยน้ำเสียงอ่อนระโหยโรยแรง
“ท่านหญิงเด็จมาแล้ว พอก่อน”
แจ๋วเอาชามข้าวต้มไปวาง แล้วเดินไปสมทบกับบัว
“ท่านหญิงเพคะ ทูนหัวของหม่อมฉัน อุตส่าห์เฝ้าไข้หม่อมฉันทั้งคืน เป็นพระกรุณาเหลือเกิน”
ย่าอ่อนยกมือไหว้ ท่านหญิงรสารีบเข้ามาห้าม
“อย่าค่ะคุณย่า หญิงทำให้คุณย่าไม่สบาย มันเป็นหน้าที่ของหญิงที่ต้องดูแลคุณย่าต่างหาก”
วรรณรสาจับมือของย่าอ่อนไว้ บัวและแจ๋วหลบออกไปนอกห้อง
บัวและแจ๋วออกมาหน้าห้อง แต่ต้องชะงักเมื่อเห็นชายรุจเดินตรงมา สองสาวค้อมตัวผ่านไป ปวรรุจตรงมาที่ประตูที่แง้มอยู่ ทอดสายตามองเข้ามา
“เรื่องมันเกิดขึ้นได้ยังไงกันเพคะ...ทำไมชายรุจถึงอาจหาญไปรักท่านหญิง ทำไมมันไม่เจียมตัวของมัน”
“ไม่ค่ะย่าอ่อน ไม่ใช่ความผิดของคุณชาย คุณชายไม่รู้หรอกค่ะ ว่าคนที่เขารักคือใคร เพราะหญิงไม่ได้แสดงตัว....หญิงเองเป็นคนหลอกเขา อภัยให้หญิงด้วย”
วรรณรสากุมมือของย่าอ่อนไว้ แล้วยกขึ้นมาแนบแก้ม ถอนสะอื้นเบาๆ
ย่าอ่อนนิ่งงันไป ไม่นึกว่าเรื่องราวจะเป็นเช่นนั้น น้ำตาพลอยรื้นขึ้นมาด้วย
ปวรรุจแยกตัวเดินจากหน้าห้องไป
ไม่นานต่อมาวรรณรสาออกมาจากห้องย่าอ่อนแล้ว ยืนเช็ดน้ำตาอยู่หน้าห้อง แล้วมองไปที่โถงทางเดิน เห็นปวรรุจยืนรออยู่
“รถวังอรุณรัศมิ์มารอแล้วกระหม่อม ท่านหญิงควรจะเด็จกลับได้แล้ว”
“คุณชาย ทำไมคุณชายใจร้ายขนาดนี้ คุณชายยังไม่ยอมให้อภัยฉันอีกหรือ”
“กระหม่อมไม่บังอาจตำหนิ หรือให้อภัยท่านหญิงได้หรอก กระหม่อมต้อยต่ำเกินกว่าจะทำเช่นนั้น”
“แล้วใครกันที่เคยบอกฉัน...เราจะมองที่ชาติกำเนิดที่ต่างกันหรือว่า...หัวใจที่ตรงกัน”
ท่านหญิงยกเอามั่นที่สวิตมาพูดอีก ปวรรุจนิ่งงัน
วรรณรสาถอนสะอื้น ครวญคร่ำรำพันตัดพ้อต่อว่าอีก “แล้วใครกันที่เคยพูดว่า...บอกฉันหน่อยเถิด ว่าหัวใจเธอตรงกับฉันรึเปล่า...คุณชายลืมทุกอย่างที่เคยพูดกับฉันที่กระท่อมกลางหิมะนั่นแล้วหรือคะ”
ปวรรุจผินหน้าหนีไปทางอื่นทันที ไม่ต้องการให้ท่านหญิงรสาเห็นความสะเทือนใจ
“มองหน้าฉันสิ แล้วบอกว่าคุณชายลืมเรื่องทั้งหมดแล้ว”
“หม่อมยังไม่ลืม...”
วรรณรสาใจชื้นขึ้นมาอีกนิดหนึ่ง
ปวรรุจแข็งใจพูดต่อ “แต่จะลืมได้หมดในไม่ช้า ถ้าหากท่านหญิงไม่ทรงมาทำให้เรื่องมันวุ่นวายขึ้นมาอีก”
วรรณรสาสลดไปอีก ปวรรุจกลั้นใจพูด
“ตั้งแต่เกิดมา หม่อมยังไม่เคยเจอหญิงคนไหนที่ทำให้ชีวิตหม่อมปั่นป่วนเท่านี้มาก่อน หม่อมว่า...” น้ำเสียงปวรรุจแหบแห้งเต็มที “ถ้าเราไม่ได้เจอกัน....ก็คงดี”
วรรณรสาปิดปากสะอื้น หัวใจสลายสิ้นแล้ว
“นั่นเป็นความต้องการแท้จริงของคุณชาย ใช่ไหม”
ปวรรุจยังหันหลังให้ ไม่ยอมตอบ
“ได้ ถ้านั่นเป็นความต้องการของคุณชาย ฉันจะไม่มาให้คุณชายเห็นหน้าอีก...เราจะทำเหมือนเราไม่เคยเจอกันมาก่อน...ฉันจะตายไปจากชีวิตคุณชายนับแต่วันนี้”
วรรณรสาค่อยๆ เดินจากมาในสภาพน้ำตาอาบแก้ม ปวรรุจน้ำตาไหลริน
เสียงจากอดีตดังแว่วมาในความคิดของท่านหญิง
เป็นเหตุการณ์ในสมัยวัยเยาว์ ที่เด็กหญิงวรรณรสาขี่หลังเด็กชายปวรรุจเล่นภายในวังอรุณรัศมิ์ หัวเราะร่าเริงกันทั้งคู่
“พี่ชายรุจ ขี่ไปทางนู้น แล้วขี่กลับด้วย”
ปวรรุจวิ่งไปสุดสนามแล้ววิ่งย้อนกลับมาอย่างสนุกสนาน
วรรณรสากำลังเดินแยกมา นึกถึงภาพอดีตแล้วยิ่งสะอื้นหนัก
ฟากปวรรุจกลั้นสะอื้น ภาพอดีตผุดขึ้นมาในภวังค์เช่นกัน
เป็นเหตุการณ์วันเดียวกัน ตอนที่เด็กชายปวรรุจกอดท่านหญิงรสาที่ขอร้องไม่ให้ย่าอ่อนเฆี่ยนตน
วรรณรสาเดินหัวใจสลาย ห่างจากปวรรุจไปทุกที จนร่างแบบบางเห็นเพียงหลังไวๆ อยู่ลิบตา ขณะที่ปวรรุจค่อยๆ หันกลับมามอง อย่างอาลัยอาวรณ์
มหาดเล็กนายหนุ่มรออยู่ที่รถ ด้วยท่าทางกระวนกระวาย วรรณรสาเดินลงมาจากตึก รีบเช็ดน้ำตาทำสีหน้าให้เป็นปรกติ แล้วเดินมาถึงรถ
“ท่านหญิง รีบเด็จเถิดกระหม่อม เหตุการณ์บ้านเมืองไม่สู้ดี พระองค์ท่านรับสั่งให้หม่อมรีบพาท่านหญิงกลับวังด่วน”
“บัวล่ะ”
“ให้เก็บของอยู่ก่อนกระหม่อม”
หนุ่มเปิดประตูรถให้วรรณรสาขึ้นนั่ง แล้วขับแล่นออกไป
ไม่นานหลังจากนั้นปวรรุจมานั่งซึมเศร้าอยู่มุมสงบในโรงพยาบาล พุฒิภัทรเดินเข้ามาหาพร้อมกับยื่นแก้วกาแฟร้อนๆ ส่งให้
“ขอบใจ”
“ท่านหญิงเด็จกลับไปแล้วหรือ”
“ใช่”
“นายจะเอายังไงต่อไป ฉันหมายถึงเรื่องน้องกระถิน”
“ฉันคงไม่เหลือจิตใจที่จะไปรักใครอีกแล้ว อีกอย่างน้องกระถินก็มีคนรักของเขาอยู่แล้ว”
“งั้นเหรอ”
“ฉันคงบาปมากที่พรากคนรักให้ต้องจากกัน เพราะฉันรู้แล้วว่าการพรากจากคนที่เรารัก...มันเจ็บปวดแค่ไหน”
“นายต้องผ่านมันไปให้ได้ชายรุจ” พุฒิภัทรได้แต่ปลอบใจ
ระหว่างนั้นมารตีในชุดพยาบาลเดินตรงมา
“สวัสดีค่ะ คุณชายรุจ พี่ชายหมอ”
“สวัสดีน้องมารตี ออกเวรรึยังครับ”
“ค่ะ จะกลับเดี๋ยวนี้แหละค่ะ”
“พี่ว่าน้องมารตีอย่าใช้ทางหลักกลับไปที่วังเทวพรหมนะครับ มีคนชุมนุมประท้วงกันอยู่”
“จริงด้วย มารตีลืมไปเลย”
ปวรรุจนึกถึงวรรณรสาขึ้นมาทันที
“ท่านหญิง”
ปวรรุจผลุนผลันออกไป พุฒิภัทรเรียกไว้ไม่ทัน
“ชายรุจ”
“พี่ชายหมอคะ เห็นว่าเมื่อคืนท่านหญิงวรรณรสาเด็จมาประทับค้างคืนที่นี่เหรอคะ คุณชายรุจก็อยู่ด้วย”
“ใช่ครับ ทำไมเหรอครับ”
“มีอะไรรึเปล่าคะ หมู่นี้เห็นท่านหญิงแวะเวียนไปที่วังจุฑาเทพบ่อยๆ แล้วก็...”
พุฒิภัทร ตัดบทอย่างรำคาญ “ไม่มีอะไรหรอกครับ ท่านหญิงเด็จมาเยี่ยมหม่อมย่า และคุณย่าอ่อนน่ะ เออ....พี่ขอตัวนะ ต้องตรวจคนไข้อีก”
พุฒิภัทรจะแยกไป มารตียังชวนคุยต่อ
“พี่ชายหมอ เดี๋ยวซีคะ แล้วเรื่องยายกระถินกับคุณชายรุจ ตกลงแต่งกันแน่ๆ ใช่ไหมคะ เห็นพี่เกษได้ฤกษ์ได้ยามมาแล้ว”
“เออ...น้องมารตีอยากรู้อะไร ลองไปถามเจ้าตัวดูเองนะ พี่ไม่มีเวลาสืบเรื่องส่วนตัวคนอื่น”
พุฒิภัทรผละไปทันที
“ชอบตัดบทแบบนี้อยู่เรื่อย”
มารตีหงุดหงิด จังหวะนั้นเห็นบัวกำลังขนข้าวของออกมาจากห้อง เดินผ่านมาพอดี
“เออ....นี่หล่อน”
“ขา” บัวขานอย่างสุภาพ
“เธอเป็นคนใช้วังอรุณรัศมิ์ใช่ไหม”
บัวหน้ามองมารตีที่มองมาอย่างเหยียดๆ เลยเชิดขึ้นทันที
“เปล่าค่ะ เป็นข้าหลวงในวังอรุณรัศมิ์ต่างหาก ตำแหน่งต้นห้องของท่านหญิงวรรณรสา”
มารตีฉุน “นั่นแหละ ถามหน่อย ท่านหญิงเด็จประทับที่นี่เมื่อคืน ทรงเฝ้าใครกันแน่ คุณย่า หรือคุณชาย”
“มารยาทของวังอรุณรัศมิ์ที่อบรมกันมา เรื่องของเจ้าของนาย บ่าวไม่มีสิทธิ์ไปสู่รู้ค่ะ”
บัวเดินคอตั้งบ่าหน้าเชิดแยกไป
“ต๊าย สมแล้วเกิดมาเป็นขี้ข้า”
มารตีฮึดฮัดขัดใจที่สอดรู้ไม่เป็นผล
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 11 (ต่อ)
หนุ่มขับรถผ่านมาที่หน้าสถานทูต ซึ่งผู้คนกำลังชูป้ายประท้วง เขียนข้อความหราในทำนองเดียวกัน
“เอาสมบัติชาติไทยคืนมา” / “หน้าบันเป็นของชาติไทย” / “หยุดปล้นทรัพย์แผ่นดิน”
หนุ่มตัดสินใจชะลอรถ
“ท่านหญิง กระหม่อมไม่นึกว่าคนจะมาประท้วงเยอะขนาดนี้”
“เลี่ยงไปทางอื่นได้ไหม”
“กระหม่อม”
หนุ่มพยายามเบี่ยงรถออกไป แต่ขยับออกอย่างลำบาก เพราะผู้คนเข้ามาล้อมรถไว้หมด
“ท่านหญิงทรงหลบต่ำๆ เข้าไว้ หม่อมจะพยายามขับรถฝ่าไป”
ท่านหญิงรสาลดตัวลงจากพนักตามคำเตือนของหนุ่ม คนเบียดเสียดเข้ามาข้างกระจกรถ ดูเป็นที่วุ่นวาย
เวลานั้นที่บริเวณหน้าประตูสถานทูต คนประท้วงเริ่มตะโกน พร้อมกับขว้างปาข้าวของเข้าไปด้านใน
ตำรวจรักษาการณ์เริ่มตั้งแถวกันคนประท้วงที่กำลังดันประตู ตำรวจเตรียมพร้อม อาวุธครบมือ
หนุ่มยังคงขับรถช้าๆ พยายามจะผ่านกลุ่มฝูงชน แต่คนดูเหมือนจะเบียดเข้ามาเรื่อย ๆ จังหวะนั้นวรรณรสามองไปนอกรถ เห็นเด็กผู้หญิงกำลังร้องไห้จ้าอยู่ข้างทางในระยะไกลออกไป ท่าทางเหมือนกำลังตามหาพ่อแม่ที่พลัดหลง ท่ามกลางสถานการณ์ที่เริ่มจะคุมไม่อยู่ ฝูงชนที่กำลังบ้าคลั่งมากขึ้นเรื่อย ๆ
“นายหนุ่ม เด็กนั่น จอดรถก่อน” ท่านหญิงรสาบอก
“แต่ท่านหญิง”
“หญิงบอกให้จอดไง
วรรณรสาไม่รอ เปิดประตูแล้ววิ่งออกไปทันที
“ท่านหญิง”
หนุ่มตกใจรีบลงจากรถจะวิ่งตาม แต่กระแสคนดันไว้ทำให้ตามไปไม่ได้
วรรณรสาวิ่งฝ่าฝูงชนเรือนพันตรงไปที่เด็กหญิงที่ถือตุ๊กตากระต่าย ดูละม้ายหญิงแต้ววัยเยาว์ ฝูงชนเบียดเสียดมา แต่ท่านหญิงรสาก็ดั้นด้นมาถึงร่างเด็กจนได้ วรรณรสาอุ้มเด็กไว้แน่น เด็กร้องไห้จ้า
“ไม่เป็นไรแล้วนะคะ เดี๋ยวพี่จะพาไปที่รถนะ”
วรรณรสามองกลับมาที่รถ เห็นว่าอยู่ไกลออกไป พยายามจะกลับไปที่รถให้ได้ แต่แล้วคนที่เบียดเข้ามา ดันตัววรรณรสาและเด็กน้อยให้ไหลไปตามคลื่นฝูงชน
คนนับร้อยดันร่างวรรณรสามาจนถึงลานกว้างหน้าประตูใหญ่ของสถานทูต เด็กยังร้องไห้จ้าไม่หยุดด้วยความตกใจ ขวัญกระเจิง ท่ามกลางเสียงร้องตะโกนของฝูงชน
วรรณรสามึนงงไปหมด เธอหลงทิศอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว
“นายหนุ่ม”
วรรณรสาตัดสินใจวิ่งไปอีกทาง แต่แล้วคนก็เบียดให้เธอไหลไปใกล้หน้าสถานทูตมากขึ้น
ที่สุดวรรณรสาถูกเบียดเข้ากับผนังตึก มีที่ว่างข้างตึกเล็กๆ แคบๆ ท่านหญิงรสาแทรกตัวเข้าไปหลบอยู่ตรงนั้น ปากก็ปลอบโยนเด็กหญิงตัวน้อย
“ไม่กลัวนะคะ ไม่กลัว”
วรรณรสามองฝ่าผู้คนออกไปจากซอกเล็กๆ แล้วทันใดนั้น ตรงไปเบื้องหน้า ของวรรณรสา ร่างของปวรรุจวิ่งเบียดอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองหาท่านหญิง
“ท่านหญิง ท่านหญิง รสา”
“คุณชาย”
วรรณรสาลงนั่งตรงหน้าเด็ก
“น้องคะ สัญญากับพี่นะว่าจะอยู่ตรงนี้ อย่าออกไปไหนเด็ดขาด เดี๋ยวพี่จะมารับนะคะ”
“พี่จะไปไหน หนูกลัว”
“พี่จะไปตามคนมาช่วย อยู่ตรงนี้นะ สัญญานะคะ”
เด็กน้อยพยักหน้าทั้งๆ ที่ยังสะอื้น วรรณรสาวิ่งฝ่าคนออกมา
วรรณรสาวิ่งออกมาที่ถนน มองหาปวรรุจ
“คุณชายๆ”
ปวรรุจที่ถูกเบียดมาอีกด้านหนึ่ง มองหาวรรณรสาหมือนกัน
“รสา...รสา”
วรรณรสาเหมือนได้ยินเสียงเรียก
“คุณชายรุจ”
ปวรรุจได้ยินเสียงวรรณรสาเช่นกัน มองไปทางเสียง พบว่าร่างของท่านหญิงรสาอยู่ไกลพอควร
“รสา ทางนี้”
วรรณรสาหันมายิ้มให้ชายรุจอย่างดีใจ ทั้งสองวิ่งเข้าหากัน แต่แล้วเกิดเสียงดังระเบิดขึ้น พร้อมควันเต็มถนน ร่างคนกระเด็นไปตามแรงระเบิด
ปวรรุจล้มกลิ้งลงกับพื้นถนน เช่นเดียวกับผู้ประท้วงรอบๆ อีกหลายคน ที่ต่างบาดเจ็บร้องกันโอดโอย
ปวรรุจเลือดไหลรินจากศีรษะ เสื้อผ้าเปื้อนควันดำ ค่อยๆ ยันร่างขึ้น ม่านควันสีขาวบดบัง
ทุกอย่าง
“รสา”
ปวรรุจร้องเรียกหาพร้อมกับลุกขึ้น กวาดตามองไปเห็นร่างผู้บาดเจ็บทั้งหมดสติ และนอนร้องครวญคราง ปวรรุจเดินผ่านร่างเหล่านั้น
“รสา รสา เธออยู่ไหน”
ทันใดนั้น ปวรรุจมองตรงไป เห็นร่างของท่านหญิงรสานอนฟุบอยู่กับพื้นถนน ปวรรุจวิ่งเข้ามาประคอง ใบหน้าแสนสวยนั้นเปื้อนเลือด ปวรรุจกอดรสาไว้แน่น สะอื้นไห้ออกมา
“ท่านหญิงของกระหม่อม ท่านหญิงต้องไม่เป็นไร ประทานอภัยให้กระหม่อมด้วยเถิด”
จังหวะนั้นวรรณรสาค่อยๆ ลืมตาขึ้น
ปวรรุจดีใจนัก “รสา”
“คุณชาย”
วรรณรสายิ้มบางๆ เสียงเครือและเบาหวิว “คุณชายมาช่วยหญิงแล้ว...หญิง...ปลอดภัยแล้ว”
วรรณรสาหลับตาลง แล้วแน่นิ่งไป
“รสา”
ปวรรุจแทบช็อก ร้องไห้กอดร่างวรรณรสาไว้แน่น หากมองจากมุมสูงลงมา ท่ามกลางฝูงชนที่วิ่งวุ่นไปมา ปวรรุจตระกองกอดวรรณรสาไว้แน่น จะไม่ให้ใคร หรืออะไรมาทำร้ายท่านหญิงได้อีก
ที่เทวพันธ์ วันต่อมา เกษรา กระถิน มารตี และวิไลรัมภา นั่งทานอาหารเช้าพร้อมหน้า แหวว และแย้มดูแลอยู่
“พระอาการท่านหญิงน่าเป็นห่วงค่ะคุณพ่อ โดนแรงระเบิดเสียขนาดนั้น ทรงหมดสติตั้งแต่เมื่อวาน วันนี้ยังไม่ฟื้นเลย” มารตีรายงาน
กระถินหน้าเสีย
“กระถินอยากไปเยี่ยมท่านหญิงแต้ว ไปวันนี้ได้ไหมคะ”
มารตีขัดทันที “ไม่ต้องเสนอหน้าเลยย่ะ ตอนนี้ท่านยังอยู่ในระหว่างเฝ้าดูพระอาการ ให้แต่พระญาติสนิท คนนอกไม่ให้ใครเยี่ยมทั้งนั้นแหละ”
“แล้วตอนเกิดเหตุ ใครพาท่านมาส่งที่โรงพยาบาล” เกษราสงสัย
“แหม...บอกแล้วทุกคนคงไม่เชื่อนะคะ ก็คุณชายปวรรุจของเราไง”
มารตีพูดแล้วปรายตามองไปที่กระถินเป็นนัย ก่อนจะเล่าต่อ
“ท่านหญิงเด็จออกไปตั้งนานแล้ว คุณชายถึงตามไป แต่ก็ไปช่วยได้ทัน เก่งมากค่ะ”
เกษราสะดุดหู สะกิดใจกับคำพูดของมารตี
เทวพันธ์เสริม “เอาอย่างนี้ ถ้าท่านหญิงพระอาการทรงทุเลาลงแล้ว เขาให้ไปเยี่ยมได้ ยายเกษแกก็พากระถินมันไปเยี่ยมท่านหญิง”
“ค่ะ คุณพ่อ”
“จะไปเยี่ยมก็ดูจังหวะให้ดีหน่อยนะคะ” มารตีพูดกำกวมอีก
เกษราสงสัย “ทำไมเหรอ”
“ก็...คุณชายปวรรุจน่ะสิ เธอเฝ้าท่านหญิงอยู่ตลอดวันตลอดคืน ดูเป็นห่วงเป็นใยกันเสียเหลือเกิน”
ทุกคนอึ้ง กระถินมองหน้าเกษรางง ๆ
วิไลรัมภาซักทันที “อุ๊ย...ยังไงคะพี่มารตี”
“คุณชายปวรรุจดู เธอเศร้าสร้อย ทุกข์ตรม กลัวว่าท่านหญิงจะเป็นอะไรมากมาย ถ้าเกิดยายกระถินโผล่หน้าไปให้เห็น จังหวะไม่ดี คุณชายอาจจะไล่ตะเพิดออกมาเสียก็ได้ ดีไม่ดีพาลจะไม่ยอมแต่งด้วยเลยนะคะ”
เทวพันธ์แปลกใจ และคาใจ “เอ๊ะ นี่หนูหมายความว่าคุณชายกับท่านหญิงมีใจให้กันงั้นเหรอ”
“หนูก็ไม่ทราบหรอกค่ะ หนูแค่เดาเอา” มารตีว่า
“เอ...มันชักไม่เข้าท่าแล้วนะ ลองสืบดูซิลูก เท็จจริงแค่ไหน” เทวพันธ์บอก
“ไม่เป็นความจริงหรอกค่ะคุณพ่อ เพราะท่านหญิงมีพระคู่หมั้นอยู่แล้ว อีกอย่างคุณชายรุจกับท่านหญิงก็ไม่มีช่วงเวลาไหนที่จะทำความรู้จักสนิทสนมกันได้ ยกเว้นแต่ที่กระถินเล่าว่าเจอกันช่วงสั้นๆ ที่วังจุฑาเทพเท่านั้น”
มารตีหันมาซักกระถิน “งั้นเหรอ ยายกระถิน”
“ค่ะ คุณชายเจอท่านหญิงที่วัง แต่ไม่เห็นได้พูดคุยกันสักเท่าไหร่คุณชายมักจะเดินหนีไปเสียทุกครั้งเลย” กระถินเล่า
“เธอฟุ้งซ่านไปเองแล้วละมารตี” เกษราว่า
มารตีเยาะ “เหรอคะพี่เกษ พี่เกษน่ะอยู่แต่ในครัว ทำแต่ขนมขายงกๆ ไปวันๆ จะไปรู้เรื่องอะไร คนไทยที่สวิตเขาลือกันให้แซด ว่าท่านหญิงเด็จไปเยี่ยมท่านชายภาณุทัศนัยที่สวิตครั้งนี้ เธอหายตัวลึกลับไปตั้งหลายวัน ไม่ได้พบท่านชายทัศน์เลย จนกระทั่งสองวันสุดท้ายก่อนถูกส่งตัวกลับ”
วิไลรัมภาตื่นเต้น “เกิดอะไรขึ้นคะ ท่านหญิงเด็จหายไปไหน”
“ฟังจากข่าวลือที่เซ็งแซ่ยิ่งกว่าเดิม เขาบอกว่าที่ท่านหญิงหายตัวไป เธอไปร่วมขบวนทัวร์อยู่กับคุณชายปวรรุจน่ะซี”
วิไลรัมภาตกอกตกใจ “ว้าย คุณพระ”
กระถินตะลึงงัน โพล่งออกมา
“คุณชายรุจกับท่านหญิงแต้วรักกันแน่ๆ เลย”
“ยายกระถิน คิดในใจก็ได้ ไม่ต้องพูดออกมา มารตี สืบเรื่องนี้ด่วน ถ้ามันเป็นความจริง พ่อต้องเจรจากับทางหม่อมเอียด และคุณย่าอ่อนทันที” เทวพันธ์กำชับ
“เจรจาเรื่องอะไรคะ” เกษรางง
“ไม่ต้องสนฤกษ์ยามอะไรแล้ว จัดวันหมั้น วันแต่งเสียอาทิตย์หน้านี่เลย ไม่งั้น ยายกระถิน แกต้องเป็นม่ายขันหมาก อดได้ผัวเจ้าแน่ๆ”
กระถินแอบยิ้มออกมานิดหนึ่ง แล้วรีบทำหน้าสลดเอาใจเทวพันธ์ ที่เทวพันธ์ลุกขึ้นทันที
“ฉันไปละ”
เกษราถามทันที “ไปบ่อนเหรอคะพ่อ”
“เอ๊ะ นี่แกเห็นฉันพวกบ้าพนันเหรอ...ฉันจะไปวัด จะไปปล่อยปลาไหล”
วิไลรัมภาแปลกใจ “ปล่อยปลาไหลทำไมคะคุณพ่อ”
“มันเป็นเคล็ดลูก ถ้าเราจะยึดจะจับอะไรให้มั่น เราต้องปล่อยของลื่นออกไปเสียปล่อยปลาไหลนี่แหละ นายคุณชายรุจจะไม่มีวันหลุดมือเรา”
เทวพันธ์เดินหัวเสียออกไป
“พี่มารตีเล่าอีกค่ะ พี่ไปได้ยินข่าวลือที่ไหน แล้วเรื่องมันเป็นอย่างไรต่อ”
วิไลรัมภาตาโต มารตียิ้มหยันใส่เกษราและกระถิน ส่วนกระถินไม่สลดแถมแอบยิ้มอย่างดีใจ
ภายในห้องผู้ป่วยหนักของโรงพยาบาลแห่งนั้น ร่างของวรรณรสานอนนิ่งไม่ได้สติอยู่บนเตียง ใบหน้ายังเห็นร่องรอยของบาดแผล มีผ้าพันแผลที่ศีรษะ และที่แขน พุฒิภัทรกำลังตรวจร่างกาย พยาบาลสองนางคอยช่วยอยู่ใกล้ ๆ
พระองค์ฉัตรนั่งเฝ้าอยู่ที่ห้องด้านนอก มองผ่านกระจกเข้าไป พระองค์ฉัตรใบหน้าหมอง
คล้ำนัยน์ตาอิดโรย
ส่วนปวรรุจนั่งอยู่สุดทางเดิน ใบหน้ามีบาดแผลเล็กน้อย แลเห็น ปกรณ์ อ้าย และเอื้อย กำลังยืนคุยกับกลุ่มคุณชายทั้ง ธราธร รัชชานนท์ และรณพีร์อยู่หน้าห้องคนไข้หนัก
“เห็นมหาดเล็กของวังอรุณรัศมิ์เล่าว่าท่านหญิงลงจากรถ ไปช่วย เด็กผู้หญิงคนหนึ่ง จากนั้นก็โดนฝูงชนเบียดจนหายไปจากสายตา” รัชชานนท์เอ่ยขึ้น
“สักครู่เดียวก็ได้ยินเสียงระเบิด คนบาดเจ็บกันมากมาย พี่ชายรุจเป็นคนอุ้มร่างของท่านหญิงออกมา” รณพีร์เล่าจบ ทุกคนหันไปมองปวรรุจที่สุดโถง
“ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นกับท่านหญิง” อ้ายหน้าเศร้า
“ท่านหญิงจะเป็นอะไรมากไหมคะ” เอื้อยวิตกไม่หาย
“กำลังดูพระอาการท่านอยู่น่ะครับ ชายภัทรดูแลใกล้ชิดตลอด” ธราธรบอก
“แล้วทางนายรุจละครับ” ปกรณ์ถามขึ้น
รัชชานนท์ตอบทันที “ผมว่าคนนี้แหละน่าเป็นห่วงกว่า”
ปกรณ์แยกจากกลุ่มตรงมาที่ปวรรุจทันที
ปกรณ์เดินมานั่งข้างปวรรุจ ตบไหล่ปลอบใจ ปวรรุจหน้าตาซีดเผือด ไม่ได้นอนมาทั้งคืน
“แกกลับไปพักผ่อนดีกว่าไหม เมื่อคืนแกไม่ได้นอนทั้งคืนเลยนี่หว่า”
“ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้นถ้าท่านหญิงยังไม่ทรงฟื้น เฮ้อ...ฉัน...ฉันทำให้ท่านหญิงต้องเจ็บองค์อีกครั้งแล้ว”
ปกรณ์งง “อีกครั้ง ครั้งไหนวะ”
“เมื่อยังทรงพระเยาว์ไง ฉันแกล้งท่านหญิงเข้าไปในตึกร้าง จนเกือบถูกงูกัด ท่านหญิงตกพระทัยจนหมดสติไป”
“เอาละ นั่นคือวัยเด็ก แกอาจจะเล่นสนุกประสาเด็ก แต่...ครั้งนี้ท่านหญิงบังเอิญเด็จผ่านไปย่านที่กำลังจลาจลพอดี แกจะมาโทษตัวเองทำไม”
“ความผิดของฉัน ฉันผลักไสท่านให้เสด็จกลับไปเสีย พูดจาให้ท่านหญิงเจ็บช้ำ เพื่อให้ท่านทรงตัดพระทัยจากฉัน ท่านเด็จจากฉันไปด้วยพระทัยสลาย ฉันทำให้ท่านต้องทรงไปเจอเหตุการณ์เลวร้ายข้างนอกนั่น ความผิดของฉันทั้งหมด”
ปวรรุจลูบหน้าตัวเอง ที่นัยน์ตาแดงรื้น ปกรณ์นิ่งงัน
“เอาเถอะ เอาเถอะ แกสงบอกสงบใจไว้บ้างนะ”
ปกรณ์ลุกแยกมา อ้าย เอื้อยเข้ามาหา
“คุณชายเป็นอย่างไรบ้างคะ” อ้ายถามอย่างห่วงใย
“ทางกายไม่เท่าไหร่ แต่ทางใจนี่ซีครับ ย่ำแย่เอาการ”
ทั้งสามมองปวรรุจอย่างเห็นใจ แต่ช่วยอะไรไม่ได้
จังหวะนั้น พระองค์ฉัตรอรุณก้าวออกมาจากห้องผู้ป่วย พร้อมพุฒิภัทร ทุกคนหันมาพร้อมกัน ปวรรุจรีบลุกขึ้น ฉัตรอรุณบอกด้วยเสียงเศร้าชวนหดหู่
“ขอบใจที่ทุกคนมาเยี่ยมหญิงแต้ว ถ้าหญิงแต้วฟื้นคงดีใจที่เพื่อนๆ เป็นห่วงเป็นใยกันขนาดนี้”
“กระหม่อม” ธราธรว่า
“ทูลเชิญฝ่าพระบาทประทับพักผ่อนที่ห้องรับรองก่อนกระหม่อม” พุฒภัทรเอ่ยขึ้น
“ขอบใจนะชายภัทร ที่ดูแลหญิงแต้วเป็นอย่างดี”
“เป็นหน้าที่ของกระหม่อมอยู่แล้ว”
พระองค์ฉัตรเดินมาหาปวรรุจ
“ฉันยังไม่ได้ขอบใจเธอที่ตามไปช่วยหญิงแต้วได้ทัน มหาดเล็กฉันประมาทเหลือเกิน ไม่ได้เธอ หญิงแต้วอาจบาดเจ็บกว่านี้”
“ไม่ใช่ความผิดของใครหรอกฝ่าพระบาท ความผิดน่าจะอยู่ที่กระหม่อมเอง ที่ปล่อยท่านหญิงเสด็จกลับไปทั้งๆ รู้ว่าทางผ่านอันตรายขนาดนั้น”
พระองค์ฉัตรมองปวรรุจอย่างพินิจและครุ่นคิด เห็นถึงความห่วงใยแท้จริงของปวรรุจที่มีต่อธิดา
“ฉันก็ไม่เห็นว่าเป็นความผิดของเธออยู่ดี อย่าโทษตัวเองเลย พักผ่อนเสีย เห็นว่าเธอไม่ได้นอนมาทั้งคืน”
“เป็นพระกรุณาฝ่าพระบาท”
ปวรรุจคำนับ พระองค์ฉัตรพยักหน้าแล้วหันมาหาชายภัทร พุฒิภัทรนำไปที่ห้องรับรองอีกด้านหนึ่ง
ทุกคนมองปวรรุจอย่างเข้าใจและเห็นใจ
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 11 (ต่อ)
สองคนอยู่ในห้องครัว กระถินกำลังเล่าเรื่องทั้งหมดให้คล้าวฟัง ขณะที่คล้าวกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับพื้นครัว
“แน่ใจนะกระถิน ว่าคุณชายรักกับท่านหญิงแต้ว”
“คุณมารตีเพิ่งเล่าเมื่อกี้ กระถินเชื่อนะเพราะเห็นท่าทีของท่านหญิงกับคุณชายรุจดูแปลกๆ”
“ยังไงเหรอ”
“เวลาสองคนนั่งอยู่ด้วยกัน ท่านหญิงจะแอบชำเลืองมองคุณชายตลอด แต่คุณชายจะไม่มองตอบเลย ไม่พูดไม่คุยด้วย ท่านหญิงถามคำก็ตอบคำ แล้ววันนึงกระถินก็แอบเห็นท่านหญิงร้องไห้ด้วยละ”
“กระถิน งั้นก็เป็นเรื่องดีของเรา” คล้าวเนื้อเต้น
“ดียังไงเหรอพี่”
“ก็ดีที่คุณชายจะได้เลิกล้มการแต่งงานกับกระถินไง กระถินก็จะเป็นอิสระ และเราจะแต่งงานกัน”
กระถินท้วงหน้าม่อย “แต่พี่.....มันไม่ได้ดีอย่างที่พี่คิดน่ะซี”
“ทำไมเหรอ”
“คุณลุงเทวพันธ์จะบังคับคุณชายแต่งงานกับกระถินในอาทิตย์หน้านี่เลย”
“หา.....อะไรนะ”
คล้าวมีหน้าถมึงทึงขึ้นทันที
“อาทิตย์หน้านี่น่ะเหรอ ไม่ได้การแล้วกระถิน เราต้องหนี”
“หนีเหรอ แต่...พี่เกษรา”
“มันกระชั้นชิดอย่างนี้เราอยู่ไม่ได้แล้วล่ะ”
ที่ด้านนอกครัว วิไลรัมภาแอบฟังอยู่ ยิ้มกับตัวเองแล้วผละไป
มารตีรับฟังเรื่องทั้งหมดจากวิไลรัมภาในเวลาต่อมา
“จะหนีใช่ไหม”
“ค่ะ พี่”
“งั้นก็เข้าทางเรา เดี๋ยวเราจะช่วยให้มันหนีได้สะดวกขึ้น”
มารตีหยิบเงินออกมาจากลิ้นชักโต๊ะเครื่องแป้ง พร้อมสร้อยทองเส้นเล็กสองเส้น
“พี่จะให้เงินมันเหรอ ให้ทำไมตั้งเยอะ ว้าย แล้วยังสร้อยอีก ให้ทำไม”
“ให้มันไปทั้งหมดนั่นแหละ คนใช้ที่ไหนจะพกทั้งเงินทั้งสร้อยมูลค่าขนาดนี้ ถ้าไม่ได้ขโมยนายจ้างมา” มารตีบอกตาเป็นประกาย
“นี่หมายความว่า...”
“ใช่.....งานนี้มันต้องถูกตำรวจจับกันทั้งคู่ แล้วแผนกำจัดนังกระถินไม่ให้มาป็นพี่สะใภ้ของเรา ก็จะสำเร็จลงด้วยดีอย่างง่ายดาย”
“ฮิฮิ ภูมิใจจังเลยค่ะ ที่มีพี่สาวฉลาดแกมโกงขนาดนี้”
มารตีเขม่นทันที
“น้องชมพี่ว่าฉลาดไงคะ”
ทั้งสองหัวเราะให้กัน โดยไม่รู้ว่าที่นอกห้อง เกษราแอบฟังอยู่ ได้ยินทุกประโยค
ส่วนที่โถงโรงพยาบาล ธราธร รัชชานนท์ คุยอยู่กับปกรณ์ อ้าย และเอื้อยต่อ โดยที่ปวรรุจยังแยกตัวอยู่มุมสุดโถง
ระหว่างนั้นภาณุทัศนัย ปรีชาและแขเข้ามาพร้อมกัน ปรีชาถือดอกไม้และของเยี่ยมมาด้วย ชายทัศน์ท่าทางโกรธจัด หนวดเคราครึ้ม แสดงว่าเมาต่อเนื่องมาตั้งแต่วันงานเมื่อสองวันก่อน ยิ่งเห็นกลุ่มคุณชายกับ ปกรณ์ อ้าย เอื้อย ยืนอยู่ ก็ยิ่งหัวเสีย
ภาณุทัศนัยพูดเสียงดังลั่น แทบเป็นตวาด “หญิงแต้วเป็นอย่างไรบ้าง นี่ไม่มีหมอ พยาบาลหน้าไหนอยู่เลยเหรอ”
ปวรรุจหันมามองทันที ธราธรเป็นคนบอก
“ท่านหญิงยังไม่ทรงรู้พระองค์ แต่พระอาการพ้นขีดอันตรายแล้ว”
“แล้วมันเกิดอะไรขึ้น ใครพาท่านหญิงเด็จผ่านไปหน้าสถานทูตแบบนั้น”
“เอ เท่าที่ผมทราบ มหาดเล็กของวังอรุณรัศมิ์ขับพาท่านหญิงไปเองนะครับ” ปกรณ์ว่า
ภาณุทัศนัยมองปกรณ์อย่างขึ้งเคียดกว่าเดิม ที่ไม่ยอมใช้ราชาศัพท์ ปกรณ์ทำหน้าไม่สนใจ ชายทัศน์หันมาเห็นปวรรุจที่มองตรงมา
“ไม่จริง เท่าที่ฉันได้ยิน ถ้านายหนุ่มขับพาไปเอง แล้วทำไมไอ้เจ้าคุณชายปวรรุจถึงอยู่ในที่เกิดเหตุด้วย แถมยังทำตัวเป็นฮีโร่ พาท่านหญิงมาส่งโรงพยาบาล”
ภาณุทัศนัยเดินตรงปรี่เข้ามาหาปวรรุจอย่างเอาเรื่อง
รัชชานนท์โมโหมาก ออกอาการฮึดฮัดทำท่าจะเข้าถึงตัว ธราธรและปรีชากันไว้ ทุกคนกรูตามมา
“ว่าไง ไอ้คุณชายไร้สำนึก แกกำลังเล่นสงครามแย่งหญิงแต้วไปจากฉันใช่ไหม”
“จะพูดอะไรควรไตร่ตรองก่อนนะครับ” ปวรรุจบอกนิ่งๆ
“แกไม่ต้องมาสั่งฉัน แกเป็นคนพาหญิงแต้วไปที่นั่น ทำให้หญิงแต้วต้องบาดเจ็บ”
ปวรรุจนิ่งงันไป ไม่ได้ตอบโต้เพราะตัวเองก็เชื่อเช่นนั้น
“ไงล่ะ เงียบไปเลย ทำไมไม่แก้ตัว อ้อ เพราะมันเป็นความจริงที่แกแก้ตัวไม่ขึ้นใช่ไหม”
ชายทัศน์ถลันเข้าถึงตัวปวรรุจ กระชากคอเสื้อ รัชชานนท์และปกรณ์จะเข้าช่วย ธราธรและปรีชารีบกันไว้
“อย่าครับท่าน” ปรีชาห้าม
“แกมันขวากหนามชีวิตฉันจริงๆ ตั้งแต่ที่แกพาหญิงแต้วหนีไปกับแกที่สวิตนั่นแล้ว แกอย่ามาโกหกเลยว่าแกไม่รู้มาก่อนว่าหญิงแต้วคือใคร”
อ้าย เอื้อย ปกรณ์มองหน้ากันอย่างไม่พอใจ
“โธ่ ไอ้หน้าด้าน” ภาณุทัศนัยด่า
รัชชานนท์ยิ่งฮึดฮัด ธราธรต้องยึดไว้
“ท่านชายเพคะ คุณชายไม่รู้จริงๆ นะคะว่าท่านหญิงคือใคร” อ้ายบอก
ชายทัศน์ตวาด “หุบปากเลยยายแฝดผี”
อ้ายตกใจ ชายทัศน์ชี้หน้าทั้งอ้าย เอื้อย และ ปกรณ์
“พวกแกร่วมมือกันทั้งสามคน” แล้วหันมาทางปวรรุจ “แก...เล่นละครเก่งนะ ที่วังคงอบรมมาดี แกหลอกหญิงแต้วซ้อนอีกที ทำเป็นไม่รู้จัก ทำเป็นคล้อยตามหญิงแต้วให้หญิงแต้วตายใจ ยอมไปเที่ยวกับแก จนหญิงเขาหลงเสน่ห์สุภาพบุรุษปลอมๆ ของแกเข้า”
ปวรรุจสงบนิ่ง
“โธ่เอ๊ย ริจะจีบหญิงแต้ว อยากจะเด็ดดอกฟ้า เจียมตัวหน่อยซีวะ แกมันไอ้คุณชายลูกเมียน้อย ไอ้ก้นครัว”
ขาดคำนั้นเองภาณุทัศนัยตบหน้าปวรรุจหนึ่งฉาดใหญ่ แข อ้าย เอื้อย ต่างร้องอุทาน ปวรรุจหันกลับมามองหน้าชายทัศน์ที่ยิ้มแสยะอยู่
“ยังไง รู้สึกเจ็บบ้างไหมวะ หรือว่าแค่ชาๆ เพราะหน้าแกมันด้านเหลือทน” ภาณุทัศนัยตวาดเสียงดังลั่น “ไอ้...”
ทว่าปวรรุจไม่ปล่อยให้ชายทัศน์พูดจบ ชกโครมเข้าเต็มหน้าปากครึ่งจมูกครึ่งทันที ชายทัศน์เซไป ปรีชาเข้ารับได้ทัน
“โธ่...ไอ้เวร”
ภาณุทัศนัยถลันเข้าหาปวรรุจอีก แต่ไม่ทันถึงตัวรัชชานนท์เข้ากระชากเสื้อจากด้านหลัง ให้ชายทัศน์ หันมา
“จะรุมเหรอวะ ไอ้คุณชายหมาหมู่”
“ไม่รุมครับ ตัวต่อตัว หมัดต่อหมัดเลย”
ภาณุทัศนัยพุ่งหมัดเข้าหาใส่รัชชานนท์ แต่รัชชานนท์ยกแขนขึ้นกัน แล้วชกสวนเข้าที่ท้อง ชายทัศน์ตัวงอเป็นกุ้ง รัชชานนท์เสยหมัดเข้าปลายคาง ร่างชายทัศน์ล้มฟาดลงกับพื้น หมดสภาพ
อ้าย เอื้อย และแขร้องกรี๊ด
แขและปรีชาเข้าประคอง ปกรณ์และรัชชานนท์ยิ้มสะใจ
“สำหรับที่แกดูถูกตระกูลฉัน ไอ้ท่านชายสถุล”
ภาณุทัศนัยลุกขึ้นมาในอาการเซๆ เลือดไหลออกจากจมูก ตาปรืออย่างคนไม่หายเมา
“ว้าย เลือดค่ะ” แขตกใจ
ปวรรุจบอกสองคน “ปรีชา คุณแข ช่วยพาท่านชายทัศน์ไปทำแผลหน่อยเถอะ ให้ท่าน
ทานอะไรอุ่นๆ ด้วย จะได้ช่วยให้ท่านสร่างจากอาการเมา และไม่เที่ยวอาละวาดใครต่อใครอีก”
ปรีชาตวัดแขนชายทัศน์ขึ้นโอบรอบคอ คุณแขประคองอีกข้าง แล้วพาแยกตัวไป
แต่ภาณุทัศนัยยังโวยวายไม่หยุด
“ปล่อยโว้ย ปล่อย”
“ว้าย อย่าอาเจียนนะคะ” เสียงแขดังแว่วมา
ปกรณ์หันมาหาปวรรุจ
“เฮ้ย...หมัดลุ่นๆ ของแกนี่ยังทรงพลังเหมือนเดิมนะโว้ย”
“คุณชายเล็ก ชกอย่างกับนักมวยมืออาชีพแน่ะค่ะ” อ้ายบอก
“ผมฝึกอยู่บ่อยๆ ครับ” รัชชานนท์ว่า
ธราธรเอ่ยขึ้น ด้วยความเป็นห่วง “เป็นไงบ้างชายรุจ”
“รู้สึกดีขึ้นเยอะเลยครับ”
ทั้งหมดหัวเราะกันเบาๆ ปวรรุจเริ่มยิ้มออกมาได้
เหตุการณ์ที่วังเทวพรหม ขณะที่กระถินและนายคล้าว ช่วยกันขนข้าวของของกระถินใส่ถุงผ้าอย่างเร่งรีบอยู่นั้น มารตีและวิไลรัมภาก้าวเข้ามาในห้อง ยิ้มกริ่ม
“ทำอะไรกันอยู่เหรอ”
“จะเก็บของไปไหน”
ทั้งสองชะงัก
“คุณนายอย่ามาห้ามฉันกับกระถินนะ เราจะหนี เราไม่อยู่แล้ว”
“ใครบอกว่าฉันห้าม นอกจากไม่ห้ามแล้วยังจะส่งเสริมด้วย” มารตีบอก
วิไลรัมภาหยิบกระเป๋าใบเล็กออกมา แล้วหยิบแบงค์ออกมาปึกหนึ่ง
“เงิน เห็นไหม แล้วมีสร้อยด้วยนะ”
“ฉันให้แกสองคน เป็นทุนรอน แล้วก็หนีออกไปจากพระนคร ไปหลบอยู่จังหวัดไหนก็ได้ที่ตำรวจตามตัวแกไปไม่ถึง”
วิไลรัมภาส่งเงินให้คล้าว ซึ่งคล้าวรับมางงๆ
กระถินไม่เชื่อใจนัก “อยู่ๆ ทำไมเกิดใจดีขึ้นมา”
“ฉันเห็นใจความรักของแกสองคนไง รีบไปเถอะ” มารตีบอก
“ขอบใจนายผู้หญิง ไป กระถิน”
ทั้งสองรีบออกจากห้องไปทันที มารตีและวิไลรัมภารีบตามไปดูผลงาน
คล้าวและกระถินวิ่งลงบันไดมาชั้นล่าง สองสาวแสบเดินลงตามมาด้วย
“เดี๋ยวพี่คล้าว ยังไม่ได้ลาพี่เกษราเลย” กระถินว่า
“ไปลาได้ยังไงล่ะ ขืนไปลา แกก็ไม่ให้เราหนีไปน่ะซี”
“เออ จริง”
ทั้งสองจะออกจากโถง เสียงเรียกมาจากห้องด้านใน ก่อนที่จะเห็นเกษราก้าวออกมาแสดงตัว
“นายคล้าวพูดถูก ถ้าเธอมาลาฉัน ฉันไม่ให้เธอสองคนหนีไปแน่นอน”
คล้าวและกระถินหันมามองเกษราหน้าตาตื่น มารตีและวิไลรัมภาหน้าเครียด
กระถินขอร้อง “พี่เกษ อย่าห้ามกระถินเลยนะคะ ยังไงกระถินก็ต้องหนี กระถินทนไม่ได้หรอกที่ต้องแต่งงานกับคุณชายรุจ อาทิตย์นี้แล้ว”
“ฉันลาล่ะจ้ะ”
ไหว้ลาแล้วทั้งสองจะออกจากตึก แต่ต้องชะงัก เมื่อสมหวัง แหวว แย้ม มายืนขวางประตูอยู่
“เฮ้ย พี่สม อะไรเนี่ย”
“แกไปไหนไม่ได้” สมหวังบอก
มารตีออกโรงทันที “เอ๊ะ มาขวางทำไม มันอยากไปก็ให้มันไปซี ถอยออกไป”
“ถอยไม่ได้ค่ะ คุณเกษสั่งค่ะ” แย้มบอก
มารตีและวิไลรัมภาหันมามองเกษราอย่างไม่พอใจ
“นายคล้าว กระถิน ถ้าเธอสองคนออกไปจากรั้ววัง เธอสองคนจะถูกตำรวจจับ”
คล้าวและกระถินงวยงง มารตีและวิไลรัมภามองหน้ากัน
“อะไร มีตำรวจอยู่หน้ารั้วเหรอคะ”
“ใช่ ตำรวจรอเธอสองคนอยู่แล้ว ไม่ใช่ข้อหาลักพาตัว แต่ยังขโมยทรัพย์สินในวังด้วย”
คล้าวตาเหลือก “หา...ขโมย ฉันไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้น”
“เงิน กับสร้อยทองที่เธอรับไว้ไง” เกษราว่า
กระถินตาโต “หา...”
คล้าวรีบหยิบเงินและสร้อยออกมา
“นี่แสดงว่า คุณนายหลอกให้ฉันถูกตำรวจจับงั้นเหรอ” คล้าวโวยใส่สองคน
“บ้าเหรอ....พี่เกษ อย่าหาความกันพล่อยๆ แบบนี้นะคะ” มารตีโวยกลับ
“แหวว ไปบอกตำรวจหน้าบ้านให้กลับไปได้” เกษราสั่ง
“ค่ะ”
แหววรีบออกจากตึก คล้าวและกระถินมองตามไป
แหวววิ่งมาที่ประตู เห็นตำรวจสองนายยืนรออยู่ กลุ่มคล้าวและกระถินมองออกมาจากตึก
“จ่าขา ไม่มีอะไรแล้วค่ะ”
“อ้าว แล้วโทร.เรียกมาทำไม บอกว่ามีขโมยไม่ใช่เหรอ” ตำรวจงง
“ไม่มีค่ะ เข้าใจผิดน่ะค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ คุณจ่า”
“เฮ้อ เสียเวลา”
ตำรวจเซ็ง ส่ายหัวแล้วแยกไป แหวววิ่งกลับตึก
พอแหวววิ่งกลับมา คล้าวและกระถินหันมาทางมารตีและวิไลรัมภาอย่างคลั่งแค้น
“นังคุณนาย นี่แกวางแผนจะให้ฉันกับกระถินถูกตำรวจจับเหรอวะ”
“ไอ้บ้า...อย่ามาหาเรื่องนะ” มารตีฮึดฮัด
คล้าวปากระเป๋าเงินและสร้อยทองใส่หน้ามารตีและรัมภา แบงค์กระจายว่อน แล้วทำท่าจะเข้ามาทำร้าย สองสาวร้องกรี๊ดถอยกรูด สมหวังและกระถินช่วยกันยึดไว้
“พี่คล้าวอย่า”
“แกกล้าเข้ามาทำร้ายฉัน คราวนี้ตำรวจได้ลากคอแกเข้าคุกแน่ ๆ” มารตีด่า
“ฉันจะไปฟ้องคุณพ่อ แล้วจะบอกความจริงว่าแกเป็นผัวนังกระถิน” วิไลรัมภาผสมโรง
“ก็ดี...ไปฟ้องคุณพ่อเลยรัมภา แล้วก็คิดหาข้อแก้ตัวด้วยนะ เรื่องที่เธอกับมารตีวางแผนร้ายๆ ไม่ให้กระถินแต่งงานกับคุณชายรุจ”
“นึกว่าคุณพ่อจะเชื่อพี่งั้นเหรอ” วิไลรัมภาเย้ย
“คงต้องเชื่อ เพราะเธอกับมารตี ก็ช่วยกันปิดบังคุณพ่อไม่ให้รู้ว่านายคล้าวคือคนรักของกระถินไม่ใช่เหรอ” เกษราไม่ไว้หน้า
“พี่เกษ...รัมภา” วิไลรัมภาหน้าจ๋อย
“ยายภา เงียบ เก็บเงินกับสร้อยมา” มารตีเอ็ด
เกษราสั่งเสียงแข็ง “ไม่ต้อง ไหนๆ เธอให้นายคล้าวกับกระถินแล้ว จะเอาคืนทำไม”
“ยายภา กลับขึ้นห้อง”
มารตีมองหน้าเกษราด้วยความแค้นสุดๆ ดึงแขนวิไลรัมภากลับขึ้นห้องชั้นบน
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ ตอนที่ 11 (ต่อ)
กระถินร้องไห้โฮวิ่งเข้ามากอดเกษรา คล้าวสลดหดหู่กับจิตใจของสองคน
“ฮือ พี่เกษ ถ้าพี่เกษไม่ช่วย เราถูกจับเข้าคุกไปแล้ว”
กระถินร้องไห้สะอื้น
“อยู่ที่นี่แหละกระถิน ไม่ต้องไปไหนทั้งนั้น พี่จะช่วยเธอทั้งสองเอง”
“พี่จะช่วยเรายังไง” กระถินกังวล
“พี่จะเล่าเรื่องของกระถินและคล้าวให้คุณชายรุจฟังทั้งหมด คุณชายเป็นคนเดียวที่ยุติเรื่องราวทั้งหมดได้ เชื่อพี่เถอะ”
คล้าวยกมือไหว้ท่วมหัว กระถินกอดเกษราไว้แน่น สมหวัง แหวว แย้มมองหน้ากันอย่าง
เห็นใจคู่รักเสียงทองแดง
ภายในห้องรับรองของพระองค์ฉัตรในโรงพยาบาล
ภาณุทัศนัยนั่งอยู่ตรงหน้าพระองค์ฉัตรอรุณ ที่จิบเครื่องดื่มอยู่ มีมหาดเล็กนายหนุ่มและบัวปรนนิบัติอยู่มุมห้อง ใบหน้าชายทัศน์บวมปูด และจมูกมีรอยเขียวช้ำ
พระองค์ฉัตรรู้อยู่ แต่แกล้งถาม “หน้าท่านชายไปโดนอะไรมา”
“เออ...กระหม่อมหกล้มเมื่อวาน”
“ท่าทางจะเมาซีนะ เมาตั้งแต่วันงานกระทรวง”
ภาณุทัศนัยหัวเราะเจื่อนๆ “กระหม่อม”
“ท่านชายเลยไม่ได้พาหญิงแต้วกลับมาส่งวัง ในคืนนั้น”
“กระหม่อมขอประทานอภัยฝ่าพระบาท คืนนั้น...เออ...กระหม่อมสังสรรค์กับเพื่อนมากไปหน่อย แถมเพื่อนๆ แกล้งให้กระหม่อมดื่มเสียจน....เออ...”
ฉัตรอรุณตอบให้ “จนท่านชายเมาเกินกว่าจะดูแลหญิงแต้วไหว คืนนั้นหญิงแต้วมานอนค้างที่โรงพยาบาลนี่ ดูแลคุณย่าของวังจุฑาเทพที่เกิดป่วยกระทะหันในงาน ท่านชายก็คงไม่ทราบเช่นกัน”
ภาณุทัศนัยไม่กล้าสบตา “กระหม่อม”
“เออ...นี่ก็บ่ายมากแล้ว กลับไปทำงานก็คงจะไม่ไหว เชิญท่านชายกลับไปพักผ่อนก่อนดีกว่า”
ภาณุทัศนัยมองฉัตรอรุณที่ยิ้มให้อย่างอารี ด้วยสีหน้าเกรงใจ
ครู่ต่อมาชายทัศน์ออกมาจากห้องรับรองของพระองค์ฉัตร เดินผ่านโถง มีหนุ่มตามมาส่ง
“ไอ้พวกคุณชายจุฑาเทพมันกลับกันไปหมดแล้วหรือ”
“กระหม่อม”
ทั้งสองผ่านห้องผู้ป่วยหนัก
“ฝ่าบาทไม่ทรงแวะเยี่ยมท่านหญิงก่อนหรือกระหม่อม” หนุ่มถาม
“หญิงแต้วยังไม่ฟื้นนี่ เยี่ยมไปก็เท่านั้น โอย...ระบมไปทั้งตัว ฉันต้องกลับไปนอนก่อนละ อ้อ แล้วเรื่องชกต่อยกับไอ้พวกหมาหมู่จุฑาเทพ แกไม่ต้องไปทูลองค์ฉัตรนะ”
“กระหม่อม”
“ส่งฉันตรงนี้ละ”
หนุ่มคำนับ “กระหม่อม”
ชายทัศน์แยกไป หนุ่มมองตามส่ายหน้า พระองค์ฉัตรเด็จตามออกมาจากห้อง
“ยังไง นายหนุ่ม ชายทัศน์เยี่ยมดูอาการหญิงแต้วรึเปล่า”
“เปล่ากระหม่อม ท่านชายรับสั่งว่าท่านหญิงยังไม่ฟื้น เยี่ยมไปก็เท่านั้น”
พระองค์ฉัตรพยักหน้า มองเข้าไปในห้องคนไข้ เห็นร่างปวรรุจนั่งอยู่เพียงลำพัง
“แล้วนั่นใครเฝ้าอยู่”
“คุณชายปวรรุจกระหม่อม”
พระองค์ฉัตรฉงน “คุณชายงั้นเหรอ”
“คุณชายขอคุณชายหมอค้างที่นี่ บอกว่าจะเฝ้าอยู่จนกว่าท่านหญิงจะฟื้นกระหม่อม”
พระองค์ฉัตรครุ่นคิด มองเข้าไปในห้อง เห็นปวรรุจนั่งข้างเตียงจับมือวรรณรสาไว้
“ท่านหญิง กระหม่อมขอโทษเรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด หม่อมจำเป็นต้องทำเพื่อท่านหญิงเอง ทรงฟื้นเถิด ถ้าท่านหญิงเป็นอะไรไป กระหม่อมคงอยู่ไม่ได้”
พระองค์ฉัตรได้ยิน และเริ่มแน่ใจอะไรบางอย่างขึ้นมาแล้ว
กลางดึกคืนนั้น ขณะที่ปวรรุจนั่งหลับอยู่ที่เก้าอี้ข้างๆ เตียงวรรณรสา ได้ยินเสียงครางเบาๆ ปวรรุจลืมตาขึ้น วรรณรสารู้สึกตัวหันมามอง เห็นใบหน้าปวรรุจอย่างพร่าเลือน ปวรรุจยิ้มออกมาด้วยความดีใจเหลือล้น
“ใครน่ะ”
“ท่านหญิงทรงรู้สึกองค์แล้ว หม่อมจะเรียกพยาบาลให้”
ใบหน้ายิ้มแย้มของปวรรุจในสายตาวรรณรสา ยังเบลอจนดูไม่รู้ว่าเป็นใคร ปวรรุจวิ่งออกไปเรียกพยาบาลทันที วรรณรสาค่อยๆ หลับตาลงอีกครั้ง
วันรุ่งขึ้น ภาพในสายตาจากมืดค่อยๆ สว่างขึ้น ใบหน้าพร่าเลือนค่อยๆ กลับมาชัดเจน คือใบหน้าของ พระองค์ฉัตรอรุณ ที่ยิ้มให้วรรณรสาอย่างอบอุ่นอ่อนโยน น้ำตารื้น
“ดวงใจของพ่อ”
“เด็จพ่อ”
“หนูเกือบทำให้พ่อจะขาดใจตายตามไปด้วย รู้ไหม”
วรรณรสายิ้มออกมาอย่างอ่อนแรงเต็มทน
ที่ด้านนอก ปวรรุจยืนดูอยู่ด้วยอาการปลาบปลื้ม หมดห่วง
ปวรรุจยืนอยู่ตรงหน้าฉัตรอรุณ ที่นั่งจิบเครื่องดื่มอยู่ในห้องรับรอง มีหนุ่มคอยเสิร์ฟอยู่
“เราคงต้องเจรจาตกลงกัน ก่อนอื่นฉันขอบใจที่เธอเฝ้าดูแลหญิงแต้วอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แต่เธอรู้ไหมว่ามันไม่ใช่เรื่องที่เหมาะสม”
“กระหม่อมทราบดีฝ่าพระบาท”
“หญิงแต้วมีพระคู่หมั้นอยู่แล้ว และจะเข้าพิธีเสกสมรสอีกไม่นานเธอมาเฝ้าใกล้ชิดแบบนี้ อาจมีเสียงครหาขึ้นได้”
ปวรรุจอึกอัก “กระหม่อม...”
“เมื่อหญิงแต้วฟื้นแล้ว คงไม่มีอะไรน่าห่วงอีก เธอก็ควรยุติการกระทำของเธอได้แล้วนับแต่วันนี้”
“แต่ฝ่าพระบาท กระหม่อมขอประทานอนุญาตมาเยี่ยมท่านหญิงในทุกๆ เย็นได้ไหมกระหม่อม เพราะอย่างไรกระหม่อมถือว่า ที่ท่านหญิงทรงบาดเจ็บถึงขนาดนี้เป็นความผิดพลาดของกระหม่อมเอง กระหม่อมขอรับผิดชอบจนกว่าท่านหญิงจะทรงหายดี”
พระองค์ฉัตรเลิกคิ้วมองมา ระอาในความดื้อของปวรรุจ
“อย่าทรงวิตกไปเลย กระหม่อมจะมาเยี่ยม โดยไม่แสดงตัวเด็ดขาด โปรดประทานอนุญาตให้กระหม่อมได้ปรนนิบัติท่านหญิงเป็นครั้งสุดท้ายเถิด”
ฉัตรอรุณพยักหน้าเข้าใจ
สองสามวันต่อมา
วรรณรสาหน้าตาสดชื่นขึ้น แม้จะยังซีดเซียวอยู่บ้าง นั่งครึ่งนอนครึ่งอยู่บนเตียง ห้องผู้ป่วยใหม่สวยหรู ธราธร รัชชานนท์ รณพีร์ เกษรา อ้าย เอื้อย ปกรณ์ ล้อมรอบเตียง มีของเยี่ยมทั้งดอกไม้และของหวานเต็มด้านหนึ่งของห้อง
“ทรงหายประชวรไวๆ นะกระหม่อม จะได้เด็จไปทำขนมอร่อยๆ ให้พวกเราได้ทานกันอีก” รัชชานนท์เอ่ยขึ้น
รณพีร์เสริม “ยังคิดถึงคุกกี้ของท่านหญิงอยู่เลย”
“คุ๊กกี้ไหม้ๆ นั่นน่ะเหรอคะ” วรรณรสาเขิน
“ถึงไหม้แต่กระหม่อมก็ทานจนหมด”
ธราธรแทรกขึ้น แซวน้องชาย “ชายพีร์อร่อยทุกอย่างจริงๆ กระหม่อม ออกฝึกภาคสนามยังกินไข่ดิบๆ ได้เลย”
ทุกคนหัวเราะกัน
“แล้วนี่ขนมของใครกันคะ คุณชายขนมาเต็มไปหมด น่าทานทั้งนั้นเลย” อ้ายถาม
“อ๋อ ขนมของน้องเกษราไงครับ น้องเกษร้านทำขนม สด ๆ ใหม่ๆ จากเตาทุกวัน” ธราธรบอก
“หม่อมฉันทำถวายท่านหญิงโดยเฉพาะเลยเพคะ ลองเสวยจ่ามงกุฎนี่ดูหน่อยเพคะ ท่านหญิงจะทรงติดพระทัย”
พลางเกษราส่งจานให้วรรณรสาลองชิม
“อุ๊ย...อดใจไม่ไหวค่ะ ขอชิมบ้างนะคะ อื้อฮืมม์....ร้านอยู่ไหนคะ ต้องไปอุดหนุนเป็นเจ้าประจำแล้วละค่ะ” อ้ายว่า
“อร่อยมากค่ะ คุณเกษ” ท่านหญิงชม
“ชิมบ้างค่ะ” เอื้อยขอชิม
“ชิมด้วยครับ....โอ้โฮ ระดับชาววังแท้ๆ”
รณพีร์กลืนน้ำลายเอื๊อก
“งั้นอดใจไม่ไหวหมือนกัน ขอชิมบ้างนะครับ”
สามคุณชายเลยลองชิมบ้าง พอชิมเสร็จต่างชื่นชมเป็นการใหญ่ หัวเราะกันเป็นที่สนุกสนาน วรรณรสาเอ่ยขึ้น
“แล้วนี่ คุณชายรุจไม่มาเยี่ยมด้วยเหรอคะ” เกษราถาม
ทุกคนนิ่งเงียบไปทันที เหลียวมองหน้ากัน ไม่รู้จะตอบอย่างไรดี
รัชชานนท์เอ่ยขึ้น “พี่ชายรุจติดงานน่ะกระหม่อม”
“แต่นี่เวลาเลิกงานแล้วนะคะ” วรรณรสาท้วง
ธราธรแก้ให้ “ช่วงนี้กลับบ้านค่ำทุกวันละกระหม่อม คงต้องรีบเคลียร์งานก่อนจะเดินทางไปสวิต”
วรรณรสาsหน้าเจื่อนไป คนอื่นๆ พยายามทำรื่นเริงไม่ให้ผิดสังเกต เกษราเดินเลี่ยงออกมานอกห้อง
ครั้นพอเกษราออกมาจากห้อง ก็พบว่าปวรรุจยืนฟังอยู่ลำพัง สองคนทักทายกัน
“คุณชายรุจ” / “คุณเกษรา”
“ทำไมไม่เข้าไปเยี่ยมท่านหญิงในห้องล่ะคะ”
“ไม่ละครับ ผมรออยู่ข้างนอกนี่จะดีกว่า”
เกษราพอจะเข้าใจความรู้สึก
“เออ คุณชายคะ เกษขอปรึกษาเรื่องของคุณชายกับกระถินหน่อยได้ไหมคะ”
ปวรรุจนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนพยักหน้า
สองคนพากันมาอยู่ตรงมุมสงบในโรงพยาบาล ปวรรุจและเกษราคุยกันอยู่ตามลำพัง
“กระถินมีคนรักอยู่แล้วค่ะ ชื่อนายคล้าว ที่เป็นคนขับรถให้กระถินนั่นแหละค่ะ”
“ที่จริงผมพอทราบเรื่องนี้แล้วละครับ”
“หืมม์....คุณชายทราบแล้ว”
“ครับ และคนที่บอกผมก็ไม่ใช่ใคร ท่านหญิงแต้วนั่นเอง”
“ถ้ารู้อย่างนี้แล้ว คุณชายยังต้องการแต่งงานกับกระถินรึเปล่าคะ”
“คุณเกษครับ ผมตัดสินใจตั้งแต่กลับมาจากสวิตแล้วว่าผมคงแต่งงานกับคนที่ผมไม่ได้รักไม่ได้ ช่วยบอกน้องกระถินให้สบายใจเถอะนะครับ”
“เฮ้อ...ฉันก็สบายใจค่ะที่ได้ยินอย่างนั้น เออ...ที่จะให้บอกกระถินนั้นขอให้คุณชายบอกน้องด้วยตัวเองดีกว่านะคะ”
“ได้ครับ”
“ขอบคุณสำหรับการตัดสินใจ”
ก่อนเกษราจะแยกตัวไป หันมาพูดบางอย่าง
“คุณชายคะ ท่านหญิงรับสั่งถึงคุณชาย อยากให้คุณชายไปเยี่ยมท่านบ้าง”
เกษราแยกไป ทิ้งให้ปวรรุจยืนขมขื่นอยู่เพียงลำพัง
วันต่อมา วรรณรสาอาการดีขึ้นมากแล้ว อ้าย และเอื้อยช่วยกันปอกผลไม้ให้ บัวช่วยเก็บจานชามขนออกไปห้องข้างๆ
“สามวันแล้วนะหนูอ้าย หนูเอื้อยที่คุณชายไม่มาเยี่ยมรสาเลย” ท่านหญิงรำพัน
อ้ายกะเอื้อยสบตากันไม่กล้าพูดความจริง
“ท่านหญิงขา คุณชายมาเยี่ยมท่านหญิงนะคะ แต่เป็นจังหวะที่ท่านหญิงหลับพอดี” เอื้อยปด
“หนูเอื้อย จริงเหรอ”
“ค่ะ”
วรรณรสาทอดถอนใจ “แต่อย่างไรเขาก็คงเกลียดรสาอย่างที่เขาพูดนั่นแหละ...รสาตายไปจากชีวิตเขานานแล้ว”
“ท่านหญิงไม่คิดอย่างนั้นซีคะ”
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
“เชิญค่ะ” เอื้อยร้องบอกไป
เป็นภาณุทัศนัยก้าวเข้ามาพร้อมช่อดอกไม้สวย ยิ้มกว้างให้วรรณรสา สามสาวเจื่อนไปทันที
“หญิงแต้วของพี่ เป็นอย่างไรคะวันนี้”
วรรณรสาไม่ยิ้มตอบ จนชายทัศน์เจื่อนไป
อ้ายและเอื้อยกำลังช่วยบัวจัดดอกไม้และเตรียมปอกผลไม้ให้ภาณุทัศนัยในห้องรับรองแขกนอกห้องผู้ป่วย บังเอิญปวรรุจมาถึงพอดีพร้อมกล่องขนมสวยงามและดอกไม้ช่อใหญ่
“คุณชาย...วันนี้มีของฝากมาอีกแล้ว” อ้ายทัก
“กุหลาบแดงสวยจังค่ะ” เอื้อยว่า
“วันนี้ท่านหญิงพระอาการเป็นอย่างไรครับ”
“ก็ดีขึ้นเป็นลำดับค่ะ เห็นคุณชายหมอบอกว่าอาทิตย์หน้าก็จะกลับวังได้แล้วค่ะ”
ปวรรุจยิ้มเศร้าๆ ดีใจ สายตามองไปที่ดอกไม้ช่อใหญ่ของชายทัศน์
“มีใครมาเยี่ยมหรือครับ”
อ้ายกะเอื้อย มองหน้ากัน ไม่กล้าบอก บัวเองก็หลบตา
ปวรรุจออกมาจากห้องพักแขกจะเดินเลี่ยงออกไปทางอื่น แต่เสียงพูดคุยดังแว่วมา ทำให้หยุดฟังแล้วค่อยๆ หันไปมองผ่านประตูที่แง้มอยู่ เห็นร่างของภาณุทัศนัยและวรรณรสา ชายทัศน์ยืนอยู่ในห้อง
“หญิงแต้วเด็จออกจากโรงพยาบาลเมื่อไหร่ พี่จะจัดงานแต่งงานของเราทันที ทางวังศุภกิจกำลังเตรียมงานอยู่ คราวนี้จะเป็นงานเสกสมรสที่ใหญ่โตที่สุดของพระนครเชียวละ”
วรรณรสานิ่งงันไป ชายทัศน์ใจชื้นขึ้น ลงนั่งข้างเตียง จับมือของวรรณรสามากุมไว้
“หญิงแต้วพูดให้พี่ชายชื่นใจหน่อยเถิด หญิงแต้วจะเลิกราจากคุณชาย รุจแล้วแต่งงานกับพี่”
วรรณรสาตอบด้วยท่าทีเย็นชา “พี่ชายทัศน์ไม่ต้องทรงห่วงค่ะ คุณชายรุจไปจากชีวิตของหญิงแล้ว ส่วนเรื่องการแต่ง หญิงไม่ปฏิเสธค่ะ”
“รักหญิงแต้วที่สุด สุดที่รักของพี่”
ภาณุทัศนัยจุมพิตที่มือของรสา
ปวรรุจมองภาพนั้นด้วยความสะเทือนอย่างใจที่สุด ก่อนจะแยกออกมา ดุ่มเดินไปตามทางเดินโถงที่ทอดยาวเพียงลำพัง
ติดตาม "สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายปวรรุจ" ตอนที่ 12 (อวสาน)