xs
xsm
sm
md
lg

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 2

ไผ่พญาเปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยอาการที่ยังตื่นตระหนกไม่หาย รีบปิดประตูลงกลอน ก่อนจะหันมองไปรอบๆ แล้วเอาชั้นหนังสือเล็กๆ มาดันประตูเอาไว้อีก

จากนั้นไผ่พญารีบเปิดกระเป๋าก่อนจะวางแก้วไวน์ที่เก็บมา แล้วก็หยิบสร้อยคอทองคำออกมาวางไว้คู่กัน
ไผ่พญาเดินงุ่นง่าน รู้สึกว่าเลือดในกายไม่สงบซะที หญิงสาวทรุดตัวลงนั่งกับเตียงอย่างกลุ้มใจ
“ทำไมฉันต้องเจอเรื่องอย่างนี้ด้วยเนี่ย แล้วฉันจะทำยังไงดี”
ไผ่พญาเครียดไม่รู้จะทำยังไงกับสิ่งที่เกิดขึ้น

ที่เซฟเฮ้าส์สมสุข เจ้าหน้าที่กำลังเก็บหลักฐานที่เป็นปลอกกระสุนที่ตกอยู่ในที่เกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนกำลังตรวจหาร่องรอยการต่อสู้ รอยนิ้วมือ ภูวนัยยืนดูอยู่กับชาติกล้า เขารู้สึกงงเช่นกัน
“พวกมันคงจะนัดส่งยากันที่นี่ แต่ด้วยอะไรบางอย่าง อาจจะคุยกันไม่รู้เรื่องไอ้สมสุขก็เลยต้องเป็นศพอย่างนี้”
ภูวนัยมองไปที่เจ้าหน้าที่ยกถุงใส่ศพเดินออกไป ภูวนัยครุ่นคิดอย่างหนัก ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่นิติเวชเข้ามารายงานภูวนัย
“ไม่มีร่องรอยการต่อสู้ แล้วก็รู้สึกว่าผู้ตายจะไม่ได้ขัดขืนด้วยซ้ำ”
“คุณกำลังจะบอกว่า สมสุขอาจจะถูกลวงมาฆ่าที่นี่เหรอ”
“เรื่องนั้นผมไม่ทราบ แต่ผมพบนี่” เจ้าหน้าที่ยกแก้วไวน์ให้ภูวนัยดู “ผมพบมันที่ข้างสระว่ายน้ำ แล้วจากร่องรอย ผมคิดว่าผู้ตายไม่ได้อยู่คนเดียวก่อนที่จะถูกยิง”
ภูวนัยได้ยินอย่างนั้นก็ยิ่งมืดแปดด้านว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ชาติกล้าเองก็หนักใจไปกับภูวนัยเช่นกัน

ขิงกับกระดังงาเดินกลับมาที่บ้านเช่าหลังเลิกงาน
“แกว่าตอนนี้ไอ้ไผ่มันจะเป็นไงวะ”
“ไม่รู้ แต่ฉันก็ขอภาวนาให้มันชอบแล้วกัน”
“ก็ไม่แน่นะ เคยได้ยินมั้ย” ขิงทำหน้าซึ้ง “ผู้หญิงมักจะจดจำครั้งแรกได้เสมอ”
“ดีนะ ที่แกเป็นครั้งที่ร้อยของฉัน”
จากที่ทำหน้าซึ้งอยู่ขิงถึงกับชะงัก
“อ้าว อย่ามาพูดเล่นอย่างนี้นะ ฉันถือนะเฟ้ย” ระหว่างนั้นมีมือมาตบหัวขิง ป้าป! “อ้าว ยังมาตบฉันอีก”
“แกอย่าหาเรื่องได้มั้ย ฉันยืนอยูตรงนี้ แล้วฉันจะตบแกได้ยังไง”
ขิงกับกระดังงาเพิ่งนึกได้จึงหันไปมองด้านหลังของขิง ขิงกับกระดังงาต่างตกใจเมื่อเห็นไผ่พญายืนอยู่
“ไผ่”
“เบาๆ ซิวะ” ไผ่พญารีบชะโงกมองด้านหลังของขิงกับกระดังงาแล้วมองไปรอบๆ “ไม่มีใครตามพวกแกมาใช่มั้ย”
“มีอะไรวะไผ่”
“พวกแกรีบเปิดบ้านเถอะ ฉันไม่อยากยืนอยู่ตรงนี้นานๆ”
ไผ่พญารีบเดินนำไปที่หน้าบ้าน ขิงกับกระดังงาต่างมองตามด้วยความสงสัย

พอเข้ามาในบ้านขิงกับกระดังงาตกใจเมื่อรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“เสี่ยสมสุขถูกฆ่า”
ไผ่พญารีบหยิบหมอนมาอุดปากกระดังงา
“ฉันบอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าตกใจ”
“จะบ้าหรือไง เรื่องอย่างนี้ไม่ตกใจก็แปลกแล้ว”
“แต่ก็ยังดีที่แกปลอดภัย พวกมันไม่รู้ใช่มั้ยว่าแกอยู่ด้วย”
ไผ่พญาพยักหน้ารับอย่างเศร้าๆ
“เอาน่า ฉันรู้ว่าแกยังช๊อคไม่หาย คืนนี้นอนกับพวกเราก็ได้”
“ถ้าฉันไม่ให้เขากินยานอนหลับเขาอาจจะหนีพวกมันได้” ไผ่พญาบอกอย่างรู้สึกผิด ขิงกับกระดังงานิ่งไปเพราะเหมือนโดนเหวี่ยงเข้าไปด้วย
“คิดมากน่า ใครจะไปรู้ว่ามันจะเกิดเรื่องอย่างนี้ล่ะ”
“ขิง...งา แกว่าฉันจะทำไงดี พวกมันจะรู้มั้ยว่าฉันอยู่ที่นั่นด้วย”
กระดังงากับขิงมองหน้ากัน
“แกก็ไม่ต้องทำอะไร คิดซะว่าสิ่งที่แกเพิ่งเห็นมามันเป็นฝันร้าย พอพรุ่งนี้แกตื่นมาก็ทำตัวเป็นปกติ”
ไผ่พญานิ่งฟังด้วยความรู้สึกผิดที่ยังวนเวียนอยู่ในหัว

เช้าวันรุ่งขึ้นที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ ภูวนัยนั่งกอดอกหลับอยู่ที่โซฟา ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาสตร์ออกมาจากห้องแล๊ป ก่อนจะหันมาเห็นภูวนัยนั่งหลับอยู่
“หมวดคะ”
ภูวนัยรู้สึกตัวค่อยๆ ลืมตา พอเห็นเจ้าหน้าที่ก็รีบเข้ามาถามทันที
“เป็นไงบ้างครับ พบอะไรมั้ย”
“ในเบื้องต้น เราพบสารประกอบในยานอนหลับ ซึ่งน่าจะเป็นโดมิคุ่มในแก้วไวน์ของผู้ตาย” ภูวนัยทำหน้างง
“โดมิคุ่ม”
“ยานอนหลับอย่างแรงน่ะคะ”

ภูวนัยนิ่งไปใช้ความคิดขึ้นมาทันที

ภูวนัยเดินตรงดิ่งเข้าหน่วยงาน ระหว่างนั้นเสียงของเจ้าหน้าที่นิติวิทยาศาตร์ยังดังก้องอยู่ในหัว

“เขาติดยานอนหลับหรือเปล่าครับ”
“ไม่น่าจะใช่นะคะ เพราะยานอนหลับที่กินก่อนจะเป็นยาอีกชนิดนึง พวกแวเลียมอะไรพวกนั้น แต่สารที่เราพบมันแรงกว่านั้นมาก”
“ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า...”
ภูวนัยเดินมาตามทางเดิน ชาติกล้าเดินเข้ามาอีกทาง พอเห็นภูวนัยก็รีบเข้ามาถามทันที
“ไอ้ภู เป็นไงวะ พวกนั้นเขาว่าไง”
“มีคนผสมยานอนหลับให้สมสุขกิน ก่อนที่จะยิงเขาจากด้านหลัง”
“ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่า คนที่อยู่กับสมสุขอาจจะเป็นฆาตกร”
ภูวนัยนิ่งคิดก่อนจะแย้งขึ้น
“ฉันยังไม่อยากจะคิดอย่างนั้น มันจะใช่หรืออาจจะไม่ใช่ก็ได้ แล้วว่าไงแกมาตามฉันทำไม”
ชาติกล้าลำบากใจที่จะบอก

ที่ห้องทำงานมารุต มารุตโยนหนังสือพิมพ์ลงโต๊ะด้วยความโมโห
“รู้มั้ยว่าหนังสือพิมพ์พวกนั้นเขียนว่าไง”
“ไม่ทราบครับ”
“เขาหาว่าเรามีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของสมสุข”
“ไม่จริงนะครับ เรื่องนี้ผมอธิบายได้”
“ผมฟังคุณ แล้วคิดว่าผู้ใหญ่เขาจะฟังผมหรือไง” ภูวนัยนิ่งไป มารุตจับอาการของภูวนัยก่อนจะพูดขึ้น “ผมอยากให้คุณวางมือเรื่องของสมสุขเพียงเท่านี้”
“อะไรนะครับ ผู้กำกับครับเรากำลังจะได้เรื่องแล้วนะครับ ตอนนี้ทางนิติวิทยา...”
“พอได้แล้ว” ภูวนัยชะงักไป “คุณกลับบ้านได้แล้ว”
“หมายความว่ายังไงครับ”
“ผมเซ็นอนุมัติคำสั่งพักราชการคุณไปแล้ว”
“พักราชการ”
“ผมสงสัยว่าคุณจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนค้ายาเสพติด ในระหว่างที่เราทำการสืบสวนความจริง ผมจำเป็นต้องทำอย่างนี้”
ภูวนัยอึ้งเหมือนโดนยิงแสกหน้า

ภูวนัยกำลังเก็บข้าวของลงกล่อง ชาติกล้าเดินเข้ามาที่โต๊ะ วีระกับราชัยวิ่งแซงเข้ามาด้วยความตกใจ
“จริงเหรอครับหัวหน้าที่ผู้กำกับสั่งพักราชการหัวหน้า”
ทั้งหมดนิ่งไปเพราะการที่ภูวนัยเก็บของลงกล่อง มันแทนคำตอบอยู่แล้ว
“กำกับคิดว่าฉันเป็นสายให้กับพวกสมสุข”
“อะไรนะครับ มันจะเป็นอย่างนั้นได้ยังไง”
ภูวนัยเก็บของเสร็จ หันไปบอกกับทุกคน
“ความจริงก็คือความจริง ซักวันมันจะปรากฏออกมา”
ภูวนัยถือกล่องเดินผ่านชาติกล้า ก่อนจะหันไปตบไหล่ชาติกล้าเชิงว่าไม่เป็นไร ชาติกล้านิ่งไป วีระกับราชัยอาลัย มองตามภูวนัยจนสุดสายตา ชาติกล้าเองก็มองตามสีหน้าเครียดขึ้นมาเช่นกัน

มารุตกำลังคุยโทรศัพท์อยู่ภายในห้อง
“ครับท่าน ตอนนี้ผมได้เปลี่ยนเจ้าหน้าที่ที่คิดว่ามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องนี้แล้วครับ ครับ ผมจะรีบจัดการเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ครับท่าน” มารุตวางสายลงอย่างหนักใจ ก่อนจะหันมาพูดกับคนที่อยู่ตรงหน้า “คุณได้ยินที่ผมคุยกับท่านรัฐมนตรีแล้วนะ”
ชาติกล้ายืนอยู่ด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ครับ”
“รู้มั้ยว่าผมเรียกคุณมาพบ เรื่องอะไร”
“ท่านคงจะตำหนิผม ที่เมื่อคืนทำภารกิจพลาดครับ”
“เรื่องนั้นผมเข้าใจว่าคุณต้องฟังคำสั่งภูวนัย แต่ที่ผมเรียกคุณเข้ามาพบ เพราะผมอยากให้คุณเป็นหัวหน้าหน่วยแทนหมวดภูวนัย”
ชาติกล้าตกใจที่ได้ยินเช่นนั้น
“เอ่อ ท่านครับผมคงไม่เหมาะหรอกครับ”
“ทำไมจะไม่เหมาะ คุณกับภูวนัยก็จบมาพร้อมกัน เป็นตำรวจก็พร้อมๆ กัน ความสามารถก็ไม่ต่างกัน แล้วคุณก็เป็นคนที่รู้เรื่องทุกอย่างมากที่สุด”
“แต่ว่า...”
“เชื่อซิ ผมมองคนไม่ผิดหรอก”
ชาติกล้าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดก่อนจะยืดอกตัวตรง
“ครับผม ผมขอสัญญาว่า ผมจะปฏิบัติหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ”

ชาติกล้ามีสายตามุ่งมั่นขึ้นมาทันที

ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง บรรยากาศชั้นเรียนกำลังอยู่ในชั่วโมงเรียนพุทธศาสนา ทุกคนตั้งใจเรียนยกเว้นม่านหมอกที่นั่งอยู่หลังห้องเพียงลำพัง

ม่านหมอกนั่งมองไอโฟนแล้วยิ้มอย่างมีความสุข เพื่อนๆ ที่อยู่รอบข้างต่างมองด้วยสายตาแตกต่างกันไป บ้างก็มองด้วยความกลัว บ้างก็มองด้วยความรังเกียจ ระหว่างนั้นครูเขียนกระดานดำเสร็จพอดี
“นี่คือหลักกาลามสูตรของพระพุทธเจ้า จะเห็นว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราไม่ให้เชื่ออะไรง่ายๆ” ระหว่างนั้นสายตาของครูเหลือบไปเห็นม่านหมอกที่เหม่อออกไปนอกห้องอย่างไม่สนใจ “ม่านหมอก”
นักเรียนภายในห้องต่างหันมอง ม่านหมอกไม่ได้ยินเพราะมัวแต่มองที่ไอโฟน พร้อมกับเสียบหูฟัง
ภาพในไอโฟนคือภาพของลักขณา สมภพ กำลังเล่นน้ำกันอยู่ริมทะเลพร้อมกับม่านเมฆ ครูเห็นม่านหมอกไม่สนใจก็เดินเข้าไปหาทันที
ม่านหมอกยังเห็นภาพแห่งความทรงจำต่อเนื่อง แต่แล้วทันใดนั้นเสียงของลักขณาก็เงียบลง ม่านหมอกหันมองมาที่ไอโฟนแต่แล้วก็เห็นว่าครูหยิบไปถือ ม่านหมอกดึงหูฟังออก
“ครูจะทำอะไร”
“ก็ทำให้เธอตั้งใจเรียนไง ถ้าเธออยากจะเล่นโทรศัพท์ก็กลับไปเล่นที่บ้าน ไม่ใช่ที่โรงเรียน”
“คืนโทรศัพท์หนูมา”
ครูถึงกับอึ้งไปเมื่อเห็นท่าทางก้าวร้าวของม่านหมอก จังหวะนั้นม่านหมอกเข้าไปดึงไอโฟนจากมือครูทันที นักเรียนภายในห้องต่างอึ้งกับการกระทำของม่านหมอก ม่านหมอกเอาไอโฟนมาเสียบหูฟังจะฟังเพลงต่อ แต่แล้วครูก็ดึงไอโฟนออกไปอีก ม่านหมอกหันมอง
“ครูจะเก็บมันไว้ แล้วเธอค่อยไปเอาที่ห้องพักครูหลังเลิกเรียน”
“คืนของหนูมาเดี๋ยวนี้”
“ม่านหมอก เธอชักจะก้าวร้าวเกินไปแล้วนะ”
“ทำไมหนูต้องเชื่อครูด้วย ครูเพิ่งสอนเองไม่ใช่เหรอคะ แม้แต่พระพุทธเจ้ายังสอนไม่ให้เราเชื่อแม้แต่คนที่เป็นครูของตัวเอง”
ครูถึงกับอ้าปากค้าง โกรธ
“เลว เลวที่สุด นี่เธอคงจะไม่เชื่อพ่อแม่เธอด้วยใช่มั้ย ถึงได้เป็นเด็กแบบนี้ ฉันอยากรู้จริงๆ ว่าเธอไม่เชื่อหรือว่าพ่อแม่เธอไม่เคยสั่งสอนกันแน่”
ทันใดนั้นครูก็ปาไอโฟนของม่านหมอกก็ลอยละลิ่วลงกระแทกพื้น เสียงของแตกดังลั่นห้อง ภายในห้องต่างอึ้งเงียบกันไป ม่านหมอกมองครูด้วยความโกรธสุดๆ

ภูวนัยเดินมาเก็บของที่รถ ระหว่างนั้นโทรศัพท์ภูวนัยดังขึ้น ภูวนัยมองเบอร์แล้วแปลกใจ
“โรงเรียน” ภูวนัยรับสาย “ สวัสดีครับ...อะไรนะครับ ได้ครับผมจะรีบไป”
ภูวนัยกดวางสายก่อนจะรีบขับรถออกไป

ภูวนัยรีบเปิดประตูเข้ามาในห้องอำนวยการ แล้วภูวนัยก็ต้องอึ้งไปเมื่อเห็นม่านหมอกนั่งอยู่ภายในห้อง ขณะที่ผู้อำนวยการกำลังบอกกับครูคนนั้น
“ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
ครูคนนั้นไหว้ผู้อำนวยการก่อนจะเดินออกจากห้อง ภูวนัยอึ้งไปเมื่อเห็นสภาพของครูนั้นที่หัวยุ่งกระเซิง แถมที่หน้ามีรอยนิ้วที่เกิดจากตบของม่านหมอก ภูวนัยเดินเข้าไป ม่านหมอกไม่แม้แต่ชำเลืองมองภูวนัย
“คุณเป็นผู้ปกครองของม่านหมอกใช่มั้ย”
“ใช่ครับ”
“ไม่ใช่คะ เขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับหนู”
“เงียบเดี๋ยวนี้ม่านหมอก”
ผู้อำนวยการถอนหายใจ
“คุณคงเห็นสภาพของคุณครูที่เพิ่งเดินออกไปแล้วใช่มั้ย”
“ทำไมผอ.ไม่พูดเรื่องที่ครูคนนั้นด่าพ่อแม่หนูบ้าง”
ผู้อำนวยการ ถึงกับผงะเพราะไม่คิดว่าม่านหมอกจะแรงขนาดนี้
“เอ่อ...คุณเห็นมั้ยว่าลูกคุณเป็นยังไง”
“ขอโทษครับ ผมจะกลับไปอบรมแกให้ดีกว่านี้”
“ดิฉันว่าก็คงต้องเป็นอย่างนั้น แล้วดิฉันก็เห็นว่าม่านหมอกน่าจะอยู่บ้านจะดีสุด”
“หมายความว่าไงครับ ผอ.จะพักการเรียนหรือภาคทัณฑ์อะไรก็ได้ แต่อย่าไล่แกออกเลยนะครับ”
“ดิฉันเสียใจด้วยคะ โรงเรียนเราคงจะรับไว้ไม่ได้ เพราะจากการกระทำที่เห็นในวันนี้ แล้วที่ดิฉันสอบถามจากนักเรียนในห้องก็รู้สึกว่าม่านหมอกจะเข้ากับคนอื่นไม่ได้”
ระหว่างนั้นม่านหมอกพูดสวนขึ้น
“จะไล่ออกก็พูดแค่ว่าไล่ออก ทำตัวเป็นคนแก่พูดมากไปได้”
ม่านหมอกเดินออกจากห้องไปทันที ผู้อำนวยการถึงกับอ้าปากหวอ ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็รู้ทันทีว่าหมดโอกาสที่จะยื้อแล้วจึงยกมือไหว้ผู้อำนวยการ

แล้วรีบวิ่งตามม่านหมอกออกไป

พอออกมาหน้าโรงเรียนม่านหมอกโยนกระเป๋านักเรียนลงถังขยะ ภูวนัยรีบวิ่งตามเข้ามาก่อนจะดึงแขนเอาไว้

“จะย้ายอีกกี่โรงเรียนถึงจะพอใจ” ม่านหมอกหันมองภูวนัยก่อนจะสะบัดแขนแล้วเดินออกไป ภูวนัยเดินตามมาดึงแขนเอาไว้อีก “ชอบทำตัวมีปัญหามากใช่มั้ย”
“ก็เพราะใครละ ถึงทำให้หนูเป็นอย่างนี้”
“ม่านหมอก อย่าพูดแบบนี้กับพ่ออีก”
“อาไม่ใช่พ่อหนู หนูมีพ่อเพียงคนเดียว แล้วอาก็เป็นคนทำให้พ่อหนูตาย”
ม่านหมอกพูดด้วยสายตากร้าว ก่อนจะเดินออกไปทันที ภูวนัยอึ้งไป

ค่ำวันเดียวกันนั้นที่วัด พายัพนั่งอยู่ในศาลากับลูกน้องเพียงแค่ไม่กี่คน ระหว่างนั้นคุณนายหยาดฟ้าในชุดดำเดินเข้ามาลงนั่งพร้อมกับคนที่ติดตาม
“สวัสดีครับซ้อ เอ่อ ผมเสียใจด้วยครับ”
“เสียใจเหรอ? หึ” หยาดฟ้ามองรูปสมสุขแล้วยิ้มสมเพช “ฉันรู้แล้วว่ามันต้องมีวันนี้ ไม่ช้าก็เร็ว ที่ฉันมาเพราะฉันอยากจะได้ส่วนแบ่งของฉัน”
“ส่วนแบ่งอะไรครับซ้อ”
“อย่าทำเป็นโง่ได้มั้ย คิดว่าฉันไม่รู้เหรอว่าแกกับสามีฉันทำอะไรกันอยู่ ฉันต้องการสองร้อยล้าน”
“สองร้อยล้าน เอ่อ ซ้อครับผมว่าเราค่อยคุยเรื่องนี้”
“มันน้อยมากสำหรับค่าปิดปากของฉัน ฉันเพิ่งคุยกับทนาย สามีฉันเขาทำพินัยกรรมเอาไว้ว่าถ้าฉันรู้สึกสงสัยในการตายของเขาก็ขอให้ฉันเอาข้อมูลไปให้ตำรวจ”
พายัพยิ้ม เบาใจ
“ผมก็นึกว่าเรื่องอะไร ถ้าซ้อจะพูดเรื่องนั้น ผมว่าคงจะเสียเวลาน่ะครับเพราะข้อมูลที่เสี่ยบอกอยู่กับผมหมดแล้ว”
พายัพยิ้มให้เสมือนต้องการเยาะเย้ยหยาดฟ้า หยาดฟ้านิ่งไปคล้ายกับอึ้งแต่แล้วหยาดฟ้าก็พูดขึ้น
“แกคิดว่าสามีฉันจะโง่หรือไง ข้อมูลนั่นไม่ได้มีที่แกคนเดียวหรอกนะ”
พายัพได้ยินอย่างนั้นก็กลายเป็นฝ่ายอึ้งแทน

พายัพเดินออกมาที่ลานจอดรถอย่างงุ่นง่าน
“ไอ้บ้าเอ๊ย ข้อมูลอะไรของมันวะ” ระหว่างนั้นเสียงมือถือของพายัพดังขึ้น พายัพดูเบอร์ก่อนจะรับ “ฉันว่าเราสองคนกำลังเดือดร้อน ไอ้สมสุขมันก๊อปปี้ข้อมูลไว้อีกชุด” พายัพฟังแล้วโกรธ “ แล้วฉันจะรู้มั้ย ที่ฉันโทรหาแกเพื่อจะบอกว่า ฉันอยากให้เรื่องนี้รู้แค่เราสองคน อย่าให้ใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด”
พายัพกดวางอย่างหัวเสีย
พายัพนึกถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ตอนที่หยาดฟ้าพูดกับเขาในศาลา
“ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสามีฉันเขาเก็บไอ้ข้อมูลนั่นไว้ไหน แต่ที่แน่ๆ ข้อมูลสำคัญขนาดนั้น เขาคงจะเก็บติดตัวตลอดเวลา”
ระหว่างนั้นเหมือนพายัพนึกบางอย่างขึ้นมาได้
พายักนึกถึงตอนที่อยู่ภายในห้องกับสมสุข พายัพเห็นสร้อยคอบนคอของสมสุข ตอนที่พายัพยิงสมสุข ปรากฏว่าที่คอของสมสุขไม่มีสร้อยเส้นนั่นแล้ว
พายัพหรี่ตาร้าย เหมือนรู้แล้วว่าสร้อยเส้นนั่นนั้นเองที่เป็นตัวเก็บข้อมูล

ขิงเดินมากับกระดังงาที่หน้าดิออร์แกน
“โอ๊ย ทำงานๆ เมื่อไหร่จะสิ้นเดือนวะ”
“แกจะบ่นทำไม ลืมไปแล้วหรือไงว่าเจ้แกยกหนี้ให้เราแล้ว ว่าไปก็ลืมขอบคุณแกวะไผ่”
กระดังงาหันมาคุยกับไผ่พญา แล้วขิงกับกระดังงาก็แปลกใจเมื่อเห็นไผ่พญายืนละล้าละหลังอยู่
“อ้าว เป็นไร นี่มันผับเว้ยไม่ใช่วัดไม่ร้อนหรอก”
ผัวะ! กระดังงาหันไปตบปากขิงก่อนจะเดินเข้ามาพูดกับไผ่พญา
“มีไร”
“แกว่าจะฉันจะตอบคำถามยังไงดีวะ”
“เรื่องอะไร”
“ก็เรื่องเสี่ยสมสุขไง”
“โอ๊ย นึกว่าเรื่องอะไร ไม่มีใครสนใจหรอกน่า เสี่ยเขาก็เป็นแค่แขกคนนึง รับรองว่าไม่มีใครถามแกหรอก เชื่อฉันซิ”
ระหว่างนั้นเห็นเพื่อนโคโยตี้เดินเข้ามาพอดี พอเห็นไผ่พญาก็รีบเข้ามาทัก
“เฮ้ย เป็นไงมั้งวะ”
“เรื่องอะไร”
“เอ้า ก็เมื่อคืนแกออกไปกับเสี่ยเขานี่ แกอยู่ด้วยหรือเปล่าตอนที่เสี่ยเขาถูกยิงน่ะ”
“เอ่อ...”
“อยู่” ขิงตอบแทน “แล้วไอ้มือปืนมันก็บอกด้วยว่า ถ้าใครรู้เรื่องนี้มันจะตามมาฆ่า ไง...แกอยากรู้มั้ยละ จะได้ให้ไอ้ไผ่มันเล่าให้ฟัง”
เพื่อนส่ายหน้าก่อนจะรีบเดินเข้าไปทันที ไผ่พญาหันมองหน้ากระดังงาทันที
“ไหนแกว่าไม่มีใครสนใจไง”
“นั่นดิ เอ่อ ฉันว่าแกเตรียมๆ คำตอบไว้หน่อยก็ดี”
ลูกน้องของโสภีเดินเข้ามาหาไผ่พญา
“เจ้ให้ไปพบ”
ลูกน้องบอกเสร็จก็เดินออกไป

ไผ่พญาหันมองขิงกับกระดังงาด้วยความหนักใจ เพราะรู้ทันทีว่าเรื่องอะไร

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 2 (ต่อ)

โสภีอยู่ในห้องถือแก้วเหล้าในมือกำลังเดินไปเดินมาสีหน้าเคร่งเครียด ไผ่พญาเปิดประตูเข้ามา โสภีเห็นก็รีบเข้ามาถามทันที

“เมื่อคืนแกทำอะไรเสี่ย”
“ทำอะไร ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”
“ไม่ใช่ว่าแกไม่ยอมเสี่ย แล้วแกโมโหที่เสี่ยเขาจะปล้ำแก ก็เลยหันไปคว้าปืนมายิงเสี่ยเขานะ”
“นี่เจ้คิดว่าฉันฆ่าเสี่ยสมสุขเหรอ”
“แกไม่ได้ทำใช่มั้ย”
“ถ้าฉันทำป่านนี้ เจ้ไม่ได้เห็นหน้าฉันแล้ว” โสภีวางแก้วเหล้าแล้วทรุดลงนั่งโซฟาอย่างโล่งอก ไผ่พญาเห็นก็สงสัย “กลุ้มใจเรื่องอะไรเหรอเจ้”
“ไม่กลุ้มได้ไง แกไม่รู้เหรอว่าเสี่ยเขาเป็นใคร แกคิดว่าพวกลูกน้องของเสี่ยจะเอาไอ้คนที่ทำลูกพี่มันไว้มั้ยล่ะ แต่แกไม่ได้ทำก็ดีแล้ว แล้วแกรู้มั้ยว่าใครทำ”
ไผ่พญาชะงักไปเล็กน้อย
“เอ้า ฉันจะไปรู้ได้ยังไงละเจ้”
“นั่นซิ แต่แกไม่รู้ก็ถือว่าแกโชคดีแล้ว เพราะถ้าไอ้พวกนั้นมันคิดว่าแกรู้ละก็พวกมันไม่ปล่อยแกไว้แน่”
ไผ่พญาได้ยินโสภีพูดอย่างนั้นก็ยิ่งเครียดหนักเข้าไปใหญ่

เหล่าโคโยตี้กำลังเต้นอยู่บนเวที ไผ่พญาเต้นอยู่อีกด้านนึงกับกระดังงา เต้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แขกด้านล่างมองไผ่พญาด้วยสายตาหื่นสุดๆ ระหว่างนั้นพายัพเดินเข้ามาในดิออร์แกนก่อนจะมองไปรอบๆ โสภีเดินเข้ามาหาพายัพ เป็นจังหวะเดียวกับที่ไผ่พญาเต้นแล้วหันมาเห็นพายัพพอดี ไผ่พญาตกใจรีบเดินไปสลับที่กับกระดังงาทันที
“มีอะไร”
กระดังงาถามอย่างงงๆ
“เห็นคนที่ยืนอยู่กับเจ้มั้ย”
กระดังงามองไปก็เห็นพายัพยืนอยู่กับโสภี
“อืม ทำไม”
“นั่นแหละ ไอ้คนนี้แหละที่ฆ่าเสี่ยสมสุข” กระดังงาได้ยินอย่างนั้นก็รีบหันขวับกลับมาก่อนจะทำเป็นเต้นแล้วหนีห่างออกจากไผ่พญาทันที “อ้าว ไอ้งา บังฉันไว้ก่อนซิ”
ไผ่พญาแอบชำเลืองมองไปที่พายัพแล้วก็ต้องตกใจเมื่อเห็นพายัพจ้องมาที่เธอเขม็ง พายัพยิ้มให้แต่เป็นยิ้มที่สยองสุดๆ ไผ่พญาต้องทำเป็นเต้นแต่ค่อยๆ กระเถิบลงเวทีไปเรื่อยๆ พอถึงขอบเวทีไผ่พญารีบกระโดดลงแล้ววิ่งออกไปทันที

ไผ่พญารีบจ้ำเข้ามาที่ด้านหลัง แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องชะงักไปเมื่อเห็นลูกน้องมายืนขวางเอาไว้ ไผ่พญาหันกลับจะเดินไปอีกทางแล้วไผ่พญาก็ต้องชะงักอีกเมื่อเห็นพายัพเดินเข้ามาพร้อมกับโสภี
“นั่นไงคะ ไผ่ ไผ่พญามานี่ซิลูก” ไผ่พญาจนหนทางหนีแล้วจึงต้องใจดีสู้เสือเดินเข้ามาหาโสภีกับพายัพ “ไหว้พี่เขาซิ พี่เขาเป็นเลขาของเสี่ยไง”
“อ๋อ สวัสดีคะ”
“เต้นสวยนี่ ทำไมรีบลงมาซะล่ะ”
ไผ่พญาชะงักไปกับคำถามของพายัพ เธอรู้สึกได้เหมือนพายัพรู้ว่าเธอกำลังจะหนี
“คือ อยู่ๆ ไผ่ก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมาน่ะคะ เอ่อ คุณพายัพมีอะไรหรือเปล่าคะ”
“คุณพายัพเขาอยากจะถามเรื่องเมื่อคืนน่ะ ลูกไผ่”
“เมื่อคืน หนูก็อยู่ที่นี่ไงเจ้” ไผ่พญาพยายามขยิบตาสุดฤทธ์
“อยู่ที่นี่อะไร เราออกไปกับเสี่ยเขาไง”
ไผ่พญาถึงกับสะอึก แล้วหันมองหน้าพายัพที่จ้องมองไผ่พญาตาเขม็ง
“อ๋อ เออใช่ ก็หนูอยู่ที่นี่ก่อนแล้วเสี่ยค่อยมารับน่ะคะ”
“เอาละ ฉันอยากคุยกับไผ่ สองต่อสอง”
พายัพยื่นเงินให้โสภีจำนวนนึง โสภีรับมาตาโต
“เชิญตามสบายเลยคะ จะคุยกันถึงเช้าก็ได้นะคะ”
“เจ้”
โสภีรีบเดินออกไปไม่อยากเป็นก้างขวางคอ ไผ่พญาจะตามแต่พายัพขวางเอาไว้
“เราไปหาที่เงียบๆ คุยกันดีกว่า ไม่นานหรอก ฉันแค่อยากรู้อะไรบางอย่างเท่านั้นเอง”
ไผ่พญาหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นมาทันที

ไผ่พญาอยู่ในห้องพักโคโยตี้กับพายัพ ไผ่พญาทำหน้างง
“สร้อยอะไรเหรอคะ”
พายัพเดินเข้าแล้วจับที่ไหล่ของไผ่พญา
“เอาเป็นว่า เมื่อกี้ฉันไม่ได้ยินที่พูดก็แล้วกัน สิ่งที่ฉันอยากได้ยินก็คือสร้อยอยู่กับเธอใช่มั้ย”
ไผ่พญาชะงักเหงื่อแตก แต่ยังปากแข็ง
“ต่อให้คุณพายัพถามฉันอีกกี่ครั้ง ฉันก็บอกได้คำเดียวว่าไม่รู้เพราะฉันไม่รู้เรื่องสร้อยอะไรนั้นจริงๆ”
พายัพยิ้มเย็นก่อนจะเอามือมาไล้ตามปลายผมค่อยๆ ไล่ขึ้นมาที่ศรีษะ ก่อนจะเห็นพายัพทำนิ้วเป็นปืนแล้วจี้ที่ขมับของไผ่พญา
“เธอเป็นคนใส่ยานอนหลับให้มันกินใช่มั้ย” ไผ่พญาชะงัก แล้วรีบส่ายหน้า “ถ้าฉันเป็นเธอ ฉันก็คงต้องหาอะไรติดไม้ติดมือเป็นค่าเสียเวลานิดหน่อย หรือว่าไงฉันเดาถูกมั้ย”
ไผ่พญาหน้าซีดที่พายัพคาดเดาเหตุการณ์ได้ถูก ไผ่พญาไม่รู้ทำยังไงจึงลุกขึ้นแล้วโวยวายกลบเกลื่อน
“ฉันบอกแล้วว่าฉันไม่ได้เอาไป แต่ถ้าคิดว่าฉันเอาไปจริงๆ คุณพายัพจะทำอะไร จะฆ่าฉันเหรอ เอาซิ”
“หึ ฆ่าเหรอ ฉันไม่ชอบไอ้วิธีที่มันง่ายๆ อย่างนั้นหรอก”
“ฉันขอบอกคุณเป็นครั้งสุดท้าย ว่าฉันไม่ได้เอาไปแล้วฉันก็ไม่อยากเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับเรื่องของพวกคุณ เลิกยุ่งกับฉันซะที”
ไผ่พญาทำเป็นโมโหก่อนจะรีบเปิดประตูออกจากห้องไป

พายัพมองตามหรี่ตาลงใช้ความคิด

วันต่อมาที่ฟาร์มสุข ภูวนัยนั่งกินอาหารเช้ากับเผ่าพงศ์ ม่านเมฆ มีพรรษาคอยตักข้าวให้

“เอ วันนี้คุณภูแต่งตัวแปลกๆ ไม่ไปทำงานเหรอคะ”
ภูวนัยที่กำลังตักข้าวเข้าปากถึงกับชะงักไปครู่
“ผมลาพักร้อนน่ะ ต่อไปนี้ คงมีเวลาดูแลฟาร์มมากขึ้น”
“แล้วเราละ ไม่ไปเรียนหรือไง” เผ่าพงศ์ถามม่านเมฆ
“ครับ พ่อบอกว่าไม่ต้องไปเรียนแล้ว”
เผ่าพงศ์กับพรรษาแปลกใจ
“อ้าว ทำไมวะไอ้ภู หรือว่าแกไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม เฮ้ย เอาเงินฉันมั้ย”
“มันไม่เกี่ยวกับเรื่องเงินหรอกครับ”
“ใช่ครับ มันเกี่ยวกับที่พี่หมอกไปตบครูต่างหาก”
ภูวนัยหันไปปรามเพราะไม่อยากให้คนรู้เรื่องที่ไม่ดีของม่านหมอก
“เมฆ ทานข้าวให้หมดก่อนแล้วค่อยพูดซิครับ”
“จริงหรือวะไอ้ภู ยัยหมอกก่อเรื่องอีกแล้วเหรอ”
“ไม่มีอะไรหรอกครับ ผมจัดการเรื่องนั้นเรียบร้อยแล้ว” ภูวนัยเปลี่ยนเรื่อง หันไปคุยกับพรรษา “หมอกยังไม่ตื่นเหรอครับ”
“ไม่ทราบเหมือนกันคะ เห็นอยู่ในห้องตั้งแต่เมื่อวานยังไม่ออกมาเลย” ภูวนัยนิ่งไป

ม่านหมอกกำลังสะพายเป้แอบย่องจะออกจากบ้าน ระหว่างนั้นม่านหมอกได้ยินเสียงของภูวนัย
“พี่ครับ พี่คงจะโกรธผมมากใช่มั้ยครับ”
ม่านหมอกชะโงกหน้ามามองก็เห็นภูวนัยกำลังยืนอยู่ต่อหน้ารูปของลักขณากับสมภพ ม่านหมอกแอบฟัง
“แกสองคนเคยเป็นเด็กน่ารัก ผมผิดเองที่ทำให้พวกแกเป็นอย่างนี้ พี่...ผม...ผมขอโทษ”
ภูวนัยน้ำตาซึมออกมาด้วยความเสียใจ ม่านหมอกนิ่งไปก่อนจะตัดสินใจเดินผ่านห้องนั้นไป ภูวนัยหันมาเพราะได้ยินเสียงคนเดินก็หันไปเห็นม่านหมอก
“จะไปไหน” ม่านหมอกเดินต่อไม่สนใจ ภูวนัยต้องเข้าไปขวาง ภูวนัยมองกระเป๋าเป้แล้วพอจะเดาได้ “เก็บเสื้อผ้าจะไปไหน”
“ไปไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ที่นี่ นี่ไม่ใช่บ้านของหนู”
“หมอก นี่เป็นบ้านของเรา”
“ไม่ใช่ บ้านมันต้องมีพ่อมีแม่ มันถึงเรียกว่าบ้าน”
“ตัวแค่นี้จะไปไหนได้ รู้มั้ยว่าข้างนอกมันอันตรายแค่ไหน เธอเดินพ้นฟาร์มไปไม่กี่ก้าวเธออาจจะเป็นศพก็ได้”
ม่านหมอกสบตาภูวนัยอย่างไม่กลัว
“รู้มั้ยว่าทำไมหนูถึงไม่อยากอยู่ที่นี่ เพราะหนูไม่อยากอยู่กับฆาตกรที่ฆ่าพ่อแม่หนู”
“หมอก” ภูวนัยกำหมัดแน่นด้วยความโกรธ ก่อนจะพยายามสงบสติอารมณ์ “แก้วใจ”
แก้วใจวิ่งเข้ามา
“ขาคุณภู”
“พาม่านหมอกขึ้นไปบนห้อง แล้วห้ามเธอออกจากฟาร์มนี่เด็ดขาด”
“ไม่ ฉันจะไป ปล่อย”
“เอ่อ คุณหนูขา ขึ้นข้างบนเถอะนะคะ”
“ไม่”
“พาขึ้นไป”
แก้วใจพยามยามยื้อม่านหมอกดึงขึ้นไปข้างบน ภูวนัยมองตาม เสียใจที่ต้องทำอย่างนี้เช่นกัน

ภูวนัย เผ่าพงศ์และม่านเมฆนั่งเล่นอยู่ใต้ต้นไม้ในทุ่งดูหมูที่ปล่อยเดินเล่นกลางทุ่งท่ามกลางธรรมชาติสุดๆ
เผ่าพงศ์อ่านหนังสือพิมพ์
“เฮ้อ ไอ้หนังสือพิมพ์พวกนี้มันไม่มีอะไรเขียนแล้วหรือไง”
“ทำไมครับ”
“เอ้า แกดูซิ กับอีแค่เรื่องพ่อค้ายาเสพติดตาย ลงได้ตั้งวันสองวัน เออ แถมยังมีพวกตำรวจชั่วเป็นพวกมันด้วยนะ” ภูวนัยชะงักไป “นี่ มีชื่อด้วยนะ ชื่อภูวนัยเว้ยไอ้ภู ชื่อเหมือนแกเลย”
“ชื่อเหมือนแต่นิสัยไม่เหมือนนะตา พ่อภูน่ะเป็นตำรวจที่จับผู้ร้ายเก่งที่สุดในโลกเลย ใช่มั้ยพ่อภู”
ภูวนัยยิ้มก่อนจะเอามือลูบหัวม่านเมฆอย่างเอ็นดู ระหว่างนั้นปลายฟ้าเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน
“มาอยู่กันตรงนี้เอง”
“สวัสดีครับน้าฟ้า”
“สวัสดีจ้ะสุดหล่อ”
“เอ้า ฟ้า วันนี้พ่อมีตรวจเหรอ”
“เปล่าหรอก” ปรายฟ้าลังเลนิดนึงก่อนจะพูดขึ้น “ฉันขอคุยอะไรด้วยหน่อยซิ”
ภูวนัยแปลกใจว่าปลายฟ้าอยากคุยเรื่องอะไร

ภูวนัยเดินคุยกับปลายฟ้าอยู่ที่ริมทุ่งมุมหนึ่ง
“ฟ้าจะไม่ถามเหรอว่าผมเป็นพวกนั้นจริงหรือเปล่า”
ปลายฟ้ามองภูวนัยอย่างเชื่อมั่นก่อนจะยิ้มให้
“ทำไมพูดอย่างนั้น ภูเราโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ทำไมฟ้าจะไม่รู้ว่าภูเป็นคนยังไง ยังไงภูก็ไม่มีทางทำอะไรอย่างนั้นแน่นอน”
“ขอบใจมากนะฟ้า”
“แล้ว นายจะอยู่ที่นี่อีกนานมั้ย”
“ยังไม่รู้เหมือนกัน แต่ก็ดีนะ ฉันจะได้มีเวลากับครอบครัว แล้วก็พวกเด็กๆ” ปลายฟ้าได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกดีใจอยู่ลึกๆ ภูวนัยเหมือนนึกบางอย่างขึ้นมาได้ “ฟ้า ฟ้ามีเพื่อนที่เป็นครูบ้างมั้ย”

ปลายฟ้าแปลกใจที่ภูวนัยอยู่ๆ ก็ถามแบบนั้น

อีกด้านหนึ่ง ไผ่พญายืนอยู่ริมน้ำเหมือนคิดไม่ตกกับปัญหาที่เกิดขึ้น ไผ่พญาค่อยๆ ยกสร้อยของสมสุขขึ้นดู

“เสี่ย ฉันรู้ว่าฉันเอาของเสี่ยมาโดยไม่บอก หรือเรียกว่าขโมยน่ะแหละ แต่เสี่ยเองก็มีเงินตั้งเยอะตั้งแยะสร้อยแค่นี้ให้ฉันดีๆ เถอะนะ” ไผ่พญารีบกำสร้อยไว้ในมือก่อนจะยกมือขึ้นไหว้ “ถ้าเสี่ยไปเข้าฝันไอ้คนที่ฆ่าเสี่ยไม่ให้ตามมารังควานฉัน ฉันจะทำบุญไปให้มื้อใหญ่ๆ เลยนะคะ”
ไผ่พญายกมือขึ้นจบ ระหว่างนั้นเสียงเรียกไผ่พญาดังขึ้น
“ไผ่ ไอ้ไผ่เว้ย”
ไผ่พญาหันไปมองก็เห็นชาวบ้านคนนึงวิ่งเข้ามา ไผ่พญารีบเก็บสร้อยใส่กระเป๋ากางเกงทันที
“มีอะไรป้า”
“นังลำไย นังลำไยมัน”
“แม่ แม่ทำไม”
ไผ่พญาใจหายขึ้นมาทันที

ลำไยนอนร้องโอดโอยอยู่ภายในบ้านหน้าตาเขียวช้ำ ข้าวของภายในบ้านต่างถูกรื้อกระจัดกระจาย ไผ่พญาวิ่งกลับเข้ามาในบ้านพอเห็นลำไยนอนอยู่ก็รีบวิ่งเข้ามา
“แม่” ลำไยผวาเพราะไม่คิดว่าเป็นไผ่พญา “แม่ ฉันเอง ใครทำแม่”
“ไม่รู้ พวกมันเข้ามาแล้วถามว่าสร้อยอยู่ไหน แม่ถามมันว่าสร้อยอะไร พวกมันก็บอกว่าสร้อยที่แกเอาไป” ไผ่พญารู้ทันทีว่าเป็นพวกพายัพแน่นอน “พอแม่บอกว่าไม่รู้ ให้มันถามแกเอง อยู่ๆ พวกมันก็เข้าไปพังบ้านจนแบบนี้แหละไอ้ไผ่แกเอาสร้อยอะไรของใครมา”
“เอ่อ เปล่า ฉันไม่ได้เอาอะไรของใครเลย”
“จริงนะ เพราะพวกมันบอกว่าถ้าแกยังไม่เอาสร้อยให้มัน มันจะกลับมาฆ่าเราสองคน”
ไผ่พญาตกใจ ไม่คิดว่าเรื่องจะบานปลายขนาดนี้
รถทัวร์คันนึงกำลังมุ่งหน้าลงใต้แต่ตอนนี้เพิ่งเข้าเขตนครปฐม ภายในรถไผ่พญานั่งอยู่ที่นั่งเกือบหลังสุด ไผ่พญาดูเครียดและเป็นกังวลเมื่อคิดถึงเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บ้านเช่าขิง

ขิงกับกระดังงาวิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้น
“กับอีแค่สร้อยเส้นเดียวมันจะอะไรนักหนา ราคาก็คงไม่เท่าไหร่ นั่นก็แสดงว่า สร้อยเส้นนั่นต้องสำคัญกับพวกมันแน่ๆ”
“ก็จริงของแกวะ หรือว่าในสร้อยเส้นนั้น มันอาจจะมีลายแทงบอกที่ซ่อนสมบัติ”
ขิงทำตาลุกวาวก่อนจะหันไปเห็นไผ่พญากับกระดังงาหน้านิ่งเหมือนว่าไม่น่าใช่คำตอบที่ถูกก็เลยลองจินตนาการใหม่
“หรือไม่ มันอาจจะเป็นสร้อยวิเศษที่สามารถทำให้เรามีพลังเหมือนเดอะฮัค” ขิงทำท่าเบ่งกล้าม “ย้ากกกก”
กระดังงาหันไปหยิกหูขิง
“นี่...เดอะฮัคเหรอ” ขิงร้อง ย้ากกกกต่อเนื่อง “ตื่นได้แล้วไอ้ขิง เออ แล้วทำไมแกไม่แจ้งตำรวจล่ะ”
“จะบ้าเหรอไง ฉันเพิ่งได้ยินมันคุยกับตำรวจอยู่ ดีไม่ดีไอ้ตำรวจที่มันคุยอาจจะเป็นคนสั่งให้ฆ่าเสี่ยสมสุขก็ได้”
“เฮ้อ ตำรวจก็พึ่งไม่ได้ แล้วจะพึ่งใคร”
“เดอะฮัคมั้ย”
กระดังงาหันไปยกมือ ขิงหลบวูบ
“ยังจะพูดเล่นอีก” กระดังงาหันไปทางไผ่พญา “ช่วยไอ้ไผ่คิดซิว่าต้องทำยังไง”
ขิงพูดขึ้นอย่างซีเรียส
“ฉันว่าแกต้องหนีวะ” ไผ่พญาหน้าเครียด “ฉันว่าแกหนีไปอยู่ที่อื่นซักพักจะดีกว่า”
“ฉันว่าก็ดีเหมือนกันนะ แกไปเถอะฉันกับไอ้ขิงจะดูแลแม่แกให้ รอให้อะไรๆ มันดีขึ้น แล้วแกค่อยกลับมาก็ได้”
“เอ่อ แล้วสร้อยกับของพวกนั้นแกเก็บไว้ไหน”
ไผ่พญาอึกอักก่อนจะตัดสินใจโกหก
“ฉัน ฉันทิ้งไปแล้ว”
“ห๊า”
“เก็บไว้ก็เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ”
“แหม ไอ้การดูแลใครสักคนมันก็ต้องใช้” ขิงดีดนิ้วเปาะแปะให้รู้ว่าต้องการเงิน
ไผ่พญารู้ว่าขิงต้องการอะไรจึงหยิบเงินของสมสุขออกมาให้ขิง
“เหลืออยู่เท่านี้ แกเก็บเอาไว้ใช้ตอนจำเป็นก็แล้วกัน”
กระดังงารีบคว้าหมับทันที
“ไม่ต้องห่วง แม่แกก็เหมือนแม่พวกเรา รับรองว่าพวกเราจะดูแลอย่างดีเลย”
ขิงกับกระดังงาต่างหูตาลุกวาวกับเงินที่ไผ่พญาให้

ไผ่พญากลุ้มหนักที่ชีวิตการผจญภัยได้เริ่มขึ้นแล้ว

ไผ่พญาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ป้าที่อ่านหนังสืออยู่ข้างๆ หันมามอง

“หนูจ๋า”
ไผ่พญาที่กำลังครุ่นคิดอยู่ชะงักหันมางงๆ
“เอ่อ ขา”
“อย่าหาว่าฉันสอนเลยนะ ฉันเห็นเราเอาแต่นั่งถอนหายใจ มันไม่ดีรู้มั้ย”
ไผ่พญาได้ยินอย่างนั้นก็รู้สึกดีที่ป้าพูดเหมือนเป็นห่วงเธอ
“คะ ขอบคุณนะคะที่...”
ป้าพูดแทรกขึ้น
“นอกจากจะทำให้ตัวเองหดหู่แล้ว ยังทำให้คนที่ได้ยินพลอยหดหู่ไปด้วย ถือว่าฉันขอนะ”
ไผ่พญาถึงกับเหวอที่เหมือนโดนด่า
“ยัยป้านี่ คิดว่าตัวเองเป็นใคร”
ระหว่างนั้นป้าวางกระเป๋าลงข้างตัวก่อนจะหันไปบอกกับไผ่พญา
“วางกระเป๋าลงซิ”
“หืม”
“ฉันจะสอนโยคะให้ ตอนนี้จิตของเธอกำลังหดหู่การฝึกโยคะจะช่วยให้ร่างกายสดชื่นขึ้นแล้วก็ยังทำให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน”
“เอ่อ ไม่ต้องหรอกคะ หนูสบายดี” ป้าไม่ฟัง แถมยังสั่งต่อ
“วางกระเป๋าแล้วทำตามฉัน” ไผ่พญาต้องวางกระเป๋าลงตามที่ป้าบอก “เอาละ ขั้นแรกยกมือพนมไว้เหนือหัวพร้อมกับสูดลมหายใจเข้า”
ไผ่พญาทำตามป้าแบบขอไปทีด้วยความรำคาญ

ภูวนัยเดินออกมาจากบ้าน ระหว่างนั้นเห็นพรรษากำลังปัดฝุ่นข้าวของที่วางกองไว้อยู่
“เหลืออีกเยอะมั้ยครับ”
“นิดหน่อยคะ เดี๋ยวป้าให้ผจญเปลี่ยนผ้าปูที่นอนก็เสร็จแล้ว”
“ครับ”
“คุณภูคะ” พรรษาทำเสียงกระซิบ ภูวนัยสงสัย “คุณครูที่จะมาเนี่ย แกพาสามีมาด้วยหรือเปล่าคะ”
“ทำไมครับ”
พรรษาร้อนตัวกลัวคิดว่าภูวนัยจะมองเธอว่าคิดเรื่องอย่างว่า จึงรีบปฏิเสธ
“อ๋อ เปล่าคะ ถ้าแกพามาด้วยป้าจะได้ให้ผจญเสริมเหล็กให้ เตียงมันเก่าแล้ว ป้ากลัวว่าจะรับน้ำหนักสำหรับสองคนไม่ไหว”
“แกมาคนเดียวครับ ผมฝากดูหมอกด้วยนะครับ อย่าให้ออกไปจากฟาร์มเด็ดขาด”
“ได้คะ”
ภูวนัยมองขึ้นไปที่ห้องของม่านหมอกก่อนจะรีบเดินออกไป พอภูวนัยไปแล้วม่านหมอกก็ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาจากหน้าต่าง

ผจญกำลังแบกผ้าปูที่นอนกับหมอนข้างลงมาข้างล่าง แล้วผจญก็ชะงักไปเมื่อเห็นม่านหมอกนั่งอยู่ริมน้ำ
ผจญรีบหลบทันทีก่อนจะแอบมองม่านหมอกด้วยแววตาที่แอบรัก ระหว่างนั้นม่านหมอกหันมาเห็นผจญ ผจญตกใจไม่รู้ทำไงเลยเอาผ้าปูที่นอนคลุมตัวเองทันที ผจญทั้งเขินทั้งอายอยู่ในผ้าคลุม
“คุณหมอกจะเห็นเรามั้ยว้า”
ผจญพยายามเงียบเพื่อฟังความเคลื่อนไหว พอผจญไม่เห็นมีอะไรผิดสังเกตจึงค่อยๆ เปิดผ้าปูที่นอนออก
แล้วผจญก็ต้องตกใจเมื่อเห็นม่านหมอกยืนอยู่
“เหวอ คุณหมอก”
“แอบดูฉันทำไม”
“เปล่านะครับ”
“ก็เห็นอยู่ ยังจะเถียงอีก” ผจญก้มหน้างุด “ถ้าเขาบอกให้จับตาดูฉันล่ะก็ ไม่จำเป็น”
ม่านหมอกพูดจบก็เดินกลับไปยืนที่ริมน้ำทอดอารมณ์ ผจญเดินตามเข้ามาอย่างเป็นห่วง
“คุณภูเป็นห่วงคุณหมอกนะครับ”
“หึ ห่วงเหรอ บ้าอำนาจต่างหาก”
“ผมรู้ว่าที่คุณหมอกกับคุณภูเป็นอย่างนี้เพราะอะไร”
“เงียบไปเลย”
ผจญถึงกับหลุบหน้าลงก่อนจะตัดสินใจบอกเพราะความเป็นห่วง
“ผมไม่อยากให้คุณหมอกคอยจุดไฟเผาตัวเองด้วยความโกรธอย่างนี้เลยครับ”
“นายกำลังจะสอนฉันเหรอ”
“ปะปะเปล่าครับ ผมแค่อยากให้คุณหมอกอยู่กับปัจจุบัน อะไรที่มันผ่านมาแล้วก็ให้มันผ่านไป คุณหมอกลองตามรู้ตามดูลมหายใจตัวเองดูซิครับ”
“นายจะไปไหนก็ไป ฉันอยากอยู่คนเดียว”
“คุณหมอกลองทำดูซิครับ บางทีมันอาจจะทำให้คุณหมอกสบายใจขึ้น” ผจญยังตื้อไม่ยอมไป
“นายอยากให้ฉันสบายใจใช่มั้ย”
ผจญพยักหน้าด้วยความเป็นห่วง

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ผจญถูกมัดติดกับต้นไม้

“คุณหมอก คุณหมอกจะทำอะไรครับ”
“ก็นายอยากให้ฉันสบายใจไม่ใช่เหรอ นี่แหละวิธีที่ทำให้ฉันสบายใจ”
ม่านหมอกถือหมอนข้างอยู่ในมือก่อนจะระดมตีผจญไม่ยั้ง
“โอ๊ย คุณหมอก”
“เงียบๆ เลย” ม่านหมอกตีอีกไม่ยั้ง
“คุณหมอกอย่าทำอย่างนี้เลยครับ”
ม่านหมอกไม่สนใจยังระดมตีใส่ผจญเป็นชุด จนในที่สุดม่านหมอกก็หอบเหนื่อยก่อนที่ม่านหมอกจะโยนหมอนข้างทิ้งแล้วเดินเข้าบ้านไปปล่อยให้ผจญถูกมัดกับต้นไม้อย่างนั้น
“คุณหมอก เดี๋ยวซิครับ ปล่อยผมก่อนครับคุณหมอก คุณหมอก”

รถทัวร์ค่อยๆ เคลื่อนตัวบนถนนอย่างเชื่องช้า ไผ่พญารู้สึกว่ารถติดก็แปลกใจเพราะตัวเองร้อนใจอยู่แล้ว
“ติดอะไร”
ไผ่พญาพยายามมองออกไปนอกหน้าต่างด้านหน้าของรถ จึงเห็นด่านตำรวจและตำรวจกำลังตรวจดูรถแต่ละคัน
“ขออนุญาตครับ”
ไผ่พญาถึงกับหน้าเหวอ
“ตำรวจ”
“เป็นไร หืม” ป้าที่นั่งข้างๆ ถาม ไผ่พญาพยายามเก็บอาการสุดฤทธิ์
“อ๋อ เปล่าคะ แค่สงสัยว่าตำรวจมาตั้งด่านอะไรตอนนี้”
“ก็คงจะหาพวกคนร้ายที่กำลังหลบหนีน่ะแหละ หนูเคยทำอะไรผิดหรือเปล่าละ ถ้าไม่เคยก็ไม่ต้องกลัว”
ไผ่พญาได้ยินที่ป้าพูดอย่างนั้นก็ยิ่งตกใจ ป้าเหล่มองไผ่พญาที่ท่าทางวิตกสุดๆ

รถทัวร์แล่นมาจอดข้างทางตามที่ตำรวจนายนึงโบก สารวัตรเดินมาที่รถทัวร์ คนขับเปิดประตูรถทัวร์ออก สารวัตรนำทีมขึ้นบนรถทัวร์โดยมีตำรวจหลายนายเดินตามขึ้นไป
บนรถทัวร์สารวัตรเดินขึ้นมาท่ามกลางผู้โดยสารที่ต่างพูดกันจ๊อกแจ๊กจอแจ
“ขออนุญาตครับ กรุณาเตรียมบัตรประชาชนให้ตรวจด้วยครับ”
สารวัตรเดินมาที่ท้ายรถเพื่อให้ตำรวจท่านอื่นตรวจในส่วนกลางและหัวของรถ สารวัตรเดินมาที่ที่คุณป้านั่งอยู่ขณะนั้นไผ่พญาลุกหนีไปแล้ว ป้าจึงรีบฟ้องสารวัตรทันที
“คุณตำรวจๆ”
“มีอะไรครับ”
“ฉันว่าผู้หญิงคนที่นั่งข้างๆ ฉัน ดูน่าสงสัยยังไงชอบกลคะ”
สารวัตรมองไปก็เห็นที่นั่งว่างเปล่า
“ไปไหนแล้วละครับ”
“เห็นเดินไปด้านหลัง ฉันคิดว่าต้องหลบอยู่ในห้องน้ำแน่ๆ เลยคะ”
“ขอบคุณครับ”
สารวัตรเดินมาที่ห้องน้ำทางด้านหลัง แต่ยังไม่ทันถึงห้องน้ำดีสารวัตรก็เห็นประตูฉุกเฉินเปิดอ้าซ่าอยู่

ขณะนั้นไผ่พญากึ่งเดินกึ่งวิ่งให้หนีห่างจากด่านตำรวจให้เร็วที่สุด แต่แล้วจู่ๆ เสียงของสารวัตรกฌดังขึ้น
“หยุด หยุดเลย” ไผ่พญายังเดินอยู่ “บอกให้หยุดเลยไง”
ไผ่พญาชะงักหยุดกึก ก่อนจะพยายามตั้งสติ
“เอาไงดีไอ้ไผ่”
สารวัตรหยุดยืนแล้วออกคำสั่ง
“ไหนเอาบัตรมาดูซิ”
ไผ่พญาค่อยๆ หันหน้ามา สายตาของเธอจ้องมองไปที่ปืนที่อยู่ข้างเอวของสารวัตร ไผ่พญาค่อยๆ เปิดกระเป๋าอย่างเชื่องช้าพยายามดึงเวลาให้นานที่สุด แล้วค่อยๆ ดึงกระเป๋าสตางค์ออกมาส่งให้กับสารวัตร สารวัตรรับมาดู
ไผ่พญาแอบจ้องมองท่าทีของสารวัตรพร้อมกับจ้องมองไปที่ปืนตาเขม็ง
“ในที่สุดก็เจอตัวจนได้”
ไผ่พญารู้ได้ทันทีที่สารวัตรพูดอย่างนั้น ทันใดนั้นไผ่พญาก็เข้าไปแย่งปืนจากเอวของสารวัตร
“เฮ้ย จะทำอะไรวะ”
สารวัตรกับไผ่พญาแย่งปืนกันอุตลุด ในที่สุดไผ่พญาก็แย่งปืนมาได้ด้วยสถานการณ์ทำให้ไผ่พญาตัดสินใจยิงใส่สารวัตรไม่ยั้ง ปังๆๆ
ระหว่างนั้นเสียงของสารวัตรดังขึ้น
“หนีทำไม”
ไผ่พญาพยายามจะตั้งสติ ที่แท้การต่อสู้เมื่อกี้เป็นภาพในความคิดของไผ่พญานั่นเอง ไผ่พญาพยายามสลัดภาพในความคิดที่แย่งปืนในหัวออกไป
“คนไทยหรือเปล่า”
“อะไรนะคะ”
“ฟังไม่รู้เรื่องอย่างนี้ ต่างด้าวใช่มั้ย”
ไผ่พญาส่ายหน้าอย่างแข็งขัน
“คนไทยร้อยเปอร์เซ็นต์คะ”
ไผ่พญาพยายามทำให้น่าเชื่อถือที่สุดแล้ว แต่สารวัตรกลับทำหน้าเซ็ง
“พอๆ เอาบัตรมาดู”
“ได้คะ”

ไผ่พญากำลังจะเปิดกระเป๋า แต่แล้วไผ่พญาก็นึกขึ้นมาได้

“เฮ้ย ถ้าให้ดูบัตรพวกมันก็รู้น่ะซิว่าเราเป็นใคร”
ไผ่พญาชะงักก่อนจะรีบหาทางอื่น
“เอ่อ อย่าเลยคะคุณตำรวจ กระเป๋าสตางค์ฉันอยู่ล่างงงงงสุดเลย ฉันขี้เกียจรื้อออกมาน่ะคะ”
“อ้าว แล้วให้ทำยังไง รื้อออกมาแล้วค่อยใส่เข้าไปใหม่ไม่ได้หรือไง”
“ไม่ได้คะ เพราะ เพราะกระเป๋าฉันมันแน่นมาก คุณตำรวจไม่เชื่อเหรอคะว่าฉันเป็นคนไทยจริงๆ ถ้าไม่เชื่อเดี๋ยวฉันร้องเพลงชาติให้ฟังก็ได้คะ” สารวัตรยิ้มเยาะ
“หึ ก็เตรียมพร้อมอยู่แล้วซิ พวกต่างด้าวก็ร้องเป็นอยู่เพลงเดียว ร้องเพลง ย้ำของบอดี้สแลม”
“ฉันอยากจะย้ำอีกซักครั้งให้เธอฟังฉัน อีกซักครั้ง ฉันอยากย้ำอีกสักครั้งให้เธอนั่นมั่นใจ” ไผ่พญาร้องแล้วออกท่าทางด้วย
“ยาพิษ”
“เอะอะก็ว่ารัก เอะอะก็ว่าหลง”
“กรุณาฟังให้จบ”
“กรุณาฟัง ฟัง ฟังให้จบ จบ จบ”
สารวัตรยังพูดไม่ทันจบ เสียงล้อบดถนนก็ดังลั่นเข้ามา เอี๊ยดดดด! สารวัตรมองไปแล้วก็ตกใจ
“เฮ้ย”
“แหม แค่นี้ทำตกใจ นี่ยังไม่ถึงท่อนแร็พเลย” ไผ่พญากำลังจะร้องต่อ แต่แล้วก็เห็นสิบล้อพุ่งเข้ามา สิบล้อวิ่งผ่านหน้าไผ่พญาไปก่อนจะได้ยินเสียงชนกันสนั่นหวั่นไหว “เฮ้ย”
สารวัตรตั้งสติได้ก็รีบวิ่งไปที่รถทัวร์คันนั้นที่ถูกสิบล้อชนเข้าอย่างจังเหมือนกัน ไผ่พญาตะลึงแต่ก็ได้จังหวะจึงรีบชิ่งออกมาทันที

ไผ่พญาเดินมาริมถนน พยายามยกกระเป๋าขึ้นบังแดด
“ทำไมแทงหวยไม่แม่นอย่างนี้มั้งวะ พูดเล่นๆ ดันเป็นจริงได้ เฮ้อ” ไผ่พญาเดินอยู่ริมถนนทั้งร้อนทั้งเหนื่อย ไผ่พญากลืนน้ำลายด้วยความหิวน้ำ “ถนนมันจะยาวไปถึงไหนเนี่ย ไม่มีร้านค้าอะไรเลยหรือไง”
แต่แล้วไผ่พญาก็เห็นปั้มน้ำมันปั้มนึงไกลออกไปลิบๆ ไผ่พญามีสีหน้าแช่มชื่นขึ้นมาทันที

เมื่อเดินมาถึงปั้มน้ำมัน ไผ่พญารีบเข้าไปในมินิมาร์ทหยิบน้ำ ขนม ไอติมมาวางที่เคาน์เตอร์คิดเงิน
“ทั้งหมด 52 บาทคะ”
ไผ่พญาเปิดกระเป๋าเพื่อหยิบกระเป๋าสตางค์ แต่แล้วไผ่พญาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นข้าวของในกระเป๋าที่ดูแปลกตา
“เฮ้ย อะไรเนี่ย”
ไผ่พญางงเมื่อเห็นข้างในมีแต่เสื้อผ้าที่ดูเก่าและเชย ไม่ว่าจะค้นตรงไหนก็ไม่เจอข้าวของเธอ ไผ่พญารีบบอกกับคนขาย
“โทษคะ ไม่เอาแล้ว”
ไผ่พญารีบเดินออกจากมินิมาร์ททันที

ไผ่พญานั่งรื้อกระเป๋าใบนั้นด้วยความสงสัย ไผ่พญาหยิบขึ้นมาทีละชิ้น
“นี่ก็ไม่ใช่ นี่ก็ไม่ใช่” รื้อจนหมดกระเป๋า ไผ่พญาถึงกับงง “เฮ้ย กระเป๋าใครเนี่ย”
ไผ่พญาพยายามนึก
เหตุการณ์ย้อนกลับไปตอนที่รถทัวร์กำลังแล่นเข้ามาจอดเทียบข้างทาง สารวัตรกำลังเดินมาที่รถ ไผ่พญาเห็นจวนตัวเลยตัดสินใจหยิบกระเป๋าลุกขึ้นทันที แต่เพราะป้าไม่ทันขยับเปิดทางให้ทำให้ไผ่พญาสะดุดล้มลงไปกับพื้น ตอนล้ม ไผ่พญาทำกระเป๋าตัวเองหลุดมือ แล้วเท้าไผ่พญาก็ดันสะดุดกระเป๋าของป้าทำให้กระเป๋าของป้ากระเด็นออกมาติดๆ กับกระเป๋าของไผ่พญา
“ว้าย อะไรเนี่ย”
“เอ่อ โทษคะ”
ไผ่พญามองไปที่สารวัตรที่เดินกำลังใกล้ถึงรถทัวร์ ไผ่พญารีบหันมาก่อนจะคว้ากระเป๋าโดยเข้าใจว่าเป็นใบของตนเองแล้วรีบเดินไปด้านหลังทันที
ไผ่พญานึกออกแล้ว
“กระเป๋าของยัยป้านั่น โอ๊ย ทำไมฉันต้องมาเจออะไรอย่างนี้ด้วย ฮือๆ ฉันหิวน้ำ หิวข้าวจะตายแล้ว”
ระหว่างนั้นไผ่พญาทำจมูกฟุดฟิดเหมือนได้กลิ่นบางอย่างก่อนจะหันไปร้านข้าวขาหมูที่เปิดบริการอยู่ในปั้ม
ไผ่พญากลืนน้ำลาย...เอาไงดี

ไผ่พญาเดินมาที่หน้าร้านเห็นเฮียกำลังสับขาหมูราดบนจานข้าวอย่างน่ากิน ไผ่พญากลืนน้ำลายเอื้อกแล้วเอื้อกเล่า ไผ่พญามองไปในร้านขณะที่สมองก็เริ่มวางแผน เฮียเงยหน้าขึ้นเห็น
“อ้าว เอาอะไรครับ”
“เอ่อ ข้าวจานเฮีย เนื้อๆ นะเฮีย”
“ได้ครับ นั่งก่อนเลย”
ไผ่พญาเดินเข้าไปในร้านก่อนจะเห็นว่าทุกโต๊ะคนนั่งกันเต็มหมดแล้ว ไผ่พญามองไปรอบๆ ก่อนจะเห็นด้านหลังของชายคนนึงนั่งทานข้าวอยู่คนเดียว ไผ่พญาเดินไปวางกระเป๋าก่อนจะนั่งลงที่โต๊ะเดียวกับชายคนนั้น
“อุ้ย โทษคะ มีคนนั่งหรือเปล่าคะ”
ชายคนนั้นที่แท้ก็คือภูวนัยนั่นเอง
“ไม่มีครับ”
ภูวนัยมองไผ่พญา ไผ่พญาก็มองภูวนัย เหมือนทั้งคู่จะจำกันได้มั้ย ไผ่พญาอ้าปากค้าง ภูวนัยเองก็ทำหน้าสงสัยก่อนที่ไผ่พญาจะร้องออกมาเสียงดัง
“ไอ้ยอด” ภูวนัยยิ่งงงหนัก ไผ่พญาเข้ามาตบไหล่ภูวนัยดังป้าป “เฮ้ย มาทำอะไรแถวนี้วะ” ไผ่พญาหันไปมองเฮียเจ้าของร้านข้าวที่กำลังมองมา ภูวนัยกำลังจะบอกแต่ไผ่พญาพูดต่อไม่อีกฝ่ายขัด “หายไปเลยนะ ทำไมไม่ติดต่อกลับไปมั้งวะ”
เฮียเจ้าของร้านข้าวเห็นไผ่พญาทักทายภูวนัยอย่างสนิทสนมก็ไม่คิดอะไรจึงหันไปทำข้าวต่อ
“ผมว่าคุณคงจะทักคนผิด ผมไม่เคยรู้จักคุณ”
ไผ่พญาเห็นว่าเฮียไม่มองแล้ว
“อ้าวเหรอคะ คุณไม่ได้ชื่อยอดเหรอคะ” ภูวนัยส่ายหน้า “อุ้ย ขอโทษคะ” ไผ่พญาทำเป็นว่ามองไปรอบๆ “ไม่มีที่นั่งเลย ขอนั่งด้วยคนนะคะ”
“ตามสบายครับ”
ไผ่พญายิ้มให้เล็กน้อย ภูวนัยเองก็ยิ้มให้เล็กน้อยก่อนจะทานข้าวต่อ ไผ่พญาแอบมองจานข้าวภูวนัยแล้วกลืนน้ำลาย ภูวนัยเงยหน้ามอง ไผ่พญาหันหน้าหนี

ภูวนัยมองไผ่พญาก่อนจะทานข้าวต่อไม่สนใจ

เวลาผ่านไป ไผ่พญาเคี้ยวข้าวอยู่เต็มปากก่อนจะพยายามยัดคำสุดท้ายเข้าไป จานข้าวที่ถูกกินไปแล้ววางอยู่สามจาน ภูวนัยมองไผ่พญาด้วยความสายตาแปลกๆ

ไผ่พญาเคี้ยวๆ ก่อนจะมีกระแอมไอทำให้เม็ดข้าวกระเด็นเกือบโดนภูวนัย ภูวนัยรีบหลบก่อนจะมองด้วยสายตารังเกียจ ไผ่พญายกโค้กเทใส่แก้วภูวนัยทำหน้าเอือม
“นั่นของผม ของคุณหมดแล้ว”
ไผ่พญาหันไปเห็นขวดโค้กเปล่าตั้งอยู่ก็ตกใจ
“อุ้ย ขอโทษคะ ทำไง เดี๋ยวฉันสั่งขวดใหม่ให้นะคะ”
“ไม่เป็นไร”
“แหม ฉันว่าแล้ว ว่าคนนครปฐมใจกว่างกว้าง” ภูวนัยยิ้มมุมปากตามมารยาท ไผ่พญาดูดโค้กเฮือกๆ แป๊ปเดียวหมดก่อนจะหลุดเรอออกมา “อุ้ย นึกว่าที่บ้านน่ะคะ”
เมื่อท้องอิ่มไผ่พญาก็เริ่มแผนการณ์ที่วางไว้ ภูวนัยเห็นสีหน้าของไผ่พญาเครียด
“ปวดท้องเหรอครับ แต่ผมว่าไม่แปลกหรอก เพราะคุณกินไปซะขนาดนั้น”
“หึ เดี๋ยวก็รู้ว่าใครกันแน่ที่จะปวดท้อง” ไผ่พญาคิดในใจ แล้วแกล้งทำหน้าเบ๊ทันที “จริงด้วยคะ เอ่อ อูย ไม่ไหวแล้ว”
ไผ่พญารีบลุกออกไป ไผ่พญาเข้ามาหาเฮียที่กำลังสับข้าวขาหมูอยู่
“เดี๋ยวฉันมานะเฮีย ไปเข้าห้องน้ำก่อน” เฮียมองกระเป๋าเสื้อผ้าที่ไผ่พญาจะถือไปด้วย “ฉันจะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าน่ะ แฟนฉัน” ไผ่พญาหันไปมองทางภูวนัย “เขาบอกว่าฉันแต่งตัวเหมือนคนแก่ เขาอยากให้ฉันใส่แบบว่า...เปิดอก...ยกสั้น” ไผ่พญาทำท่ายั่วไปด้วย “อะไรทำนองเนี่ยคะ”
เฮียตาวาว ลืมเรื่องที่สงสัยไปเลย
“ใช่ คนเรามีดีก็ต้องอวดเนอะ”
“เออ เดี๋ยวเฮียช่วยเฮียช่วยห่อกลับบ้านให้ฉันหน่อย ซักสิบกล่องนะเฮีย”
เฮียยิ้มแฉ่งทันที
“แหม ถ้างั้นเชิญเลยครับ เดี๋ยวกลับมาน่าจะเสร็จพอดี”
ไผ่พญาแอบโล่งอกแล้วรีบเดินออกไป ภูวนัยมองนาฬิกาเพราะมันเลยเวลานัดที่ครูจะมาถึงนานแล้วโดยไม่รู้เรื่องเลยว่าไผ่พญากำลังหางานให้

ไผ่พญากึ่งเดินกึ่งวิ่งมาตามทางเห็นปั้มน้ำมันอยู่ด้านหลังไกลริบๆ ไผ่พญาจุกเพราะกินไปเยอะแถมยังต้องเดินอีก ไผ่พญาเห็นศาลาข้างทางจึงรีบเข้าไปพัก ไผ่พญาเอากระเป๋าขึ้นมาค้นดู
“ยัยป้านี่ไม่พกตังค์เลยหรือไง”
ระหว่างนั้นจดหมายฉบับนึงก็ร่วงลง ไผ่พญามองก่อนจะหยิบขึ้นมาอ่าน
“ขอยืนยันว่านางสาวจงกลนี หึ ยังเป็นนางสาวอยู่อีกเหรอป้า...เป็นอาจารย์ผู้มีความรู้ความสามารถจริง อืม...มิน่าถึงได้ชอบสอนคนอื่น” ไผ่พญาพลิกดูอีกหน้าจึงเห็นว่าเป็นแผนที่ไปที่ฟาร์มสุข “ฟาร์มสุขเหรอ” ไผ่พญานิ่งคิดก่อนจะเห็นแผนการเรียงรายขึ้นมาบนอากาศ “ตอนนี้ยัยป้านั่นก็ไม่รู้เป็นตายร้ายดียังไง ถ้าเราสวมรอยเข้าไปอยู่ในฟาร์มแทน คิดยังไงก็มีแต่ข้อดี” ไผ่พญานิ่งไปเหมือนตัดสินใจอีกที “เอาวะ เสี่ยงมาขนาดนี้แล้ว” ไผ่พญามองไปที่แผนที่ที่จะไปฟาร์มสุข “แล้วจะไปยังไงละทีนี้”

ผจญกำลังยกขยะออกมาทิ้งระหว่างนั้นรถของภูวนัยขับเข้ามา ผจญยืนรออย่างนอบน้อมจนภูวนัยลงจากรถพร้อมกับถุงขาหมูเต็มสองมือ
“ทำอะไรน่ะผจญ”
“ช่วยป้าษาจัดห้องรับรองน่ะครับ”
ภูวนัยยิ่งคิดยิ่งเจ็บใจ
“ไม่ต้องแล้ว”
ระหว่างนั้นพรรษามีผ้าปิดจมูก ถือไม้ขนไก่เดินออกมาจากบ้าน
“อ้าวคุณภู” พรรษามองหา “แล้วคุณครูละคะ ไหนว่าไปรับคุณครูไงคะ”
“ผมรอสองชั่วโมงยังไม่เห็นครูที่ว่าเลย เจอแต่ผู้หญิงบ้าที่ไหนก็ไม่รู้” ภูวนัยบ่น
“ว่าไงนะคะ เอ่อ แล้วคุณภูซื้ออะไรมาเยอะแยะคะ”
ภูวนัยยื่นถุงให้กับผจญ
“เอาไปแบ่งกันกินแล้วกัน”
ภูวนัยเดินเข้าบ้านไม่พูดไม่จา ผจญมองถุงในมือ
“ขาหมูนี่ป้า” พรรษายิ่งงง
“เออ นี่คุณภูแกไม่เบื่อบ้างหรือไง ที่บ้านเลี้ยงหมูแล้วยังซื้อขาหมูมาอีก”
“ป้าไม่กินใช่มั้ย”
“เอามานี่”
พรรษาแย่งถุงขาหมูไปจากผจญ ผจญงง

“แล้วทำเป็นบ่น”

รถกระบะคันนึงกำลังวิ่งอยู่บนถนนที่ออกนอกเมือง ไผ่พญานั่งอยู่ภายในรถ
“ไม่ต้องห่วงนะคะพี่ ถ้าหนูถึงฟาร์มแล้วหนูจะบอกให้เขาจ่ายค่ารถพี่สองเท่าเลย”
คนขับท่าทางใจดีหันมายิ้มให้
“ไม่เป็นไร ถือว่าช่วยๆ กัน”
“พี่นี่ใจดีจริงๆ ถ้ากระเป๋าหนูไม่หายคงไม่ลำบากพี่อย่างนี้หรอกคะ”
“แย่เนอะ อย่างนี้โทรส่งโทรศัพท์ก็หายด้วยซิ”
“คะ”
ระหว่างนั้นไผ่พญามองไปรอบๆ ก็เริ่มเห็นเป็นป่าสองข้างทาง
“อีกไกลมั้ยคะพี่”
“ไม่ไกลหรอก เดี๋ยวตัดเข้าทางเลี่ยงเมืองแล้วก็ผ่านสวนนิดหน่อยก็ถึงแล้ว”
ไผ่พญาสบายใจขึ้นเลยไม่เห็นพี่คนขับท่าทางใจดีคนนั้นกำลังแอบมองไผ่พญา

ภูวนัยหน้าเครียดสงสัยว่าทำไมครูที่ติดต่อไว้ทำไมไม่มา ระหว่างที่ภูวนัยจะเดินไปเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ภูวนัยเห็นเบอร์ที่โทรเข้ามาก็แปลกใจ
“หมู่วีระ”
วีระกำลังดูผลตรวจลายนิ้วมือ
“หมวดครับ ผลตรวจลายนิ้วมือออกมาแล้วครับ เสี่ยสมสุขไม่ได้อยู่คนเดียวก่อนที่มันจะตายจริงๆ ครับ”
ภูวนัยครุ่นคิดก่อนจะตัดสินใจบอกวีระ
“หมู่ช่วยเอามาให้ผมหน่อยได้มั้ย ได้ งั้นเจอกันที่เดิม”
ภูวนัยวางสายไป รู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้างเล็กน้อย

วีระวางสายไปกำลังจะเก็บรวบรวมเอกสาร แต่ทันทีที่วีระหันมาก็ต้องตกใจเมื่อเห็นชาติกล้ายืนอยู่
“อุ้ย หมวด”
“หมู่รู้มั้ยว่ากำลังทำผิดกฎหมาย”
“เอ่อ ผมแค่อยากช่วยหมวดภูเขาน่ะครับ”
“นี่เป็นข้อมูลราชการ หมู่ก็รู้ว่าตอนนี้หมวดภูรับรู้อะไรไม่ได้ ถ้าหมู่อยากจะช่วยหมวดภูจริงๆ เราต้องกันเขาให้ห่างจากเรื่องนี้ที่สุด” วีระสลด ชาติกล้ายื่นมือไปขอเอกสาร วีระจึงต้องมอบให้กับชาติกล้า “ไปได้แล้ว เรื่องนี้เดี๋ยวผมจัดการเอง”
วีระเดินจ๋อยออกไป ชาติกล้ามองแฟ้มในมืออย่างครุ่นคิด

รถกระบะที่ไผ่พญานั่งมาขับเข้ามาในถนนเปลี่ยวแห่งหนึ่งที่เป็นดินลูกรัง สองข้างทางไม่มีบ้านเรือนซักหลัง
ไผ่พญาชักจะหวั่นใจ
“เข้ามาลึกขนาดนี้เลยเหรอพี่”
“ถ้าไม่ลึกคนก็เห็นซิ” คนขับพูดไปยิ้มไป ไผ่พญาชักระแวง
“เห็นอะไรเหรอพี่” ระหว่างนั้นอยู่ๆ คนขับก็จอดรถดับเครื่อง “จอดทำไม”
“ก็พี่อยากให้น้องจ่ายมัดจำก่อน”
“หนูบอกแล้วว่าหนูให้พี่แน่ๆ แต่ตอนนี้หนูไม่มีตังค์ กระเป๋าตังค์หนูหาย”
“พี่ก็ไม่ได้ขอเป็นเงินนี่”
คนขับเอื้อมมือมาจับที่ต้นขาของไผ่พญา ไผ่พญาที่ระวังตัวอยู่แล้วจึงเหวี่ยงกระเป๋าใส่หน้าคนขับ
“นี่”
คนขับโดนไผ่พญาเหวี่ยงกระเป๋าใส่ซะหน้าหงาย ไผ่พญาฉวยจังหวะนั้นรีบเปิดประตูรถหนีลงมาทันที

ไผ่พญารีบวิ่งหนีลงมาจากรถ คนขับหื่นรีบเปิดประตูลงรถวิ่งไล่ตามทันที ด้วยความที่เป็นพื้นลูกรังทำให้ไผ่พญาสะดุดก้อนหินล้มลง คนขับปรี่เข้ามานั่งคร่อมทันที
“ปล่อยนะไอ้บ้า อย่ามาโดนตัวฉัน”
“ร้องไปเถอะ ยังไงก็ไม่มีคนได้ยิน”
ไผ่พญาพยายามปัดป้อง แต่โดนคนขับจับมือไว้ได้ก่อนจะขึงพืดไผ่พญาทันที ไผ่พญาร้องสุดเสียง
“ไม่ม่ม่ม่” คนขับจอมหื่นยิ้มกระหายสวาท ไผ่พญาพยายามหาทางออก แล้วอยู่ๆ ก็พูดขึ้นว่า “ก็ได้ ฉันยอมพี่ก็ได้”
“ดี จะได้ไม่เจ็บตัว”
“แล้ว พี่ไม่พาฉันไปที่ดีๆ หน่อยเหรอ ตรงนี้มันแข็งไปนะพี่”
“แหม เป็นห่วงสวัสดิภาพพี่ด้วย น่ารักจริงๆ” คนขับลุกขึ้นจากตัวของไผ่พญา ไผ่พญาอาศัยจังหวะที่คนขับลุกเตะผ่าหมากเข้าให้ “โอ๊ย”
ก่อนที่คนขับหื่นจะทรุดตัวลง ไผ่พญาก็รีบพลิกตัวแล้วหนีออกมา แต่แล้วทันใดนั้นคนขับหื่นก็คว้าข้อเท้าของไผ่พญาไว้ได้
“เฮ้ย”
ไผ่พญาล้มลงอีก เธอพยายามใช้เท้าถีบไปที่คนขับที่กำลังตะกายขึ้นมาบนตัวเธอ ด้วยความโกรธคนขับเลยหันไปคว้าหิน
“อีนี่ อย่าอยู่เลยมึง”
ระหว่างที่คนขับจอมหื่นกำลังจะทำร้ายไผ่พญา ทันใดนั้นไผ่พญาก็ได้ยินเสียงดัง ผลั่ก...ร่างของคนขับชะงักไป ตาของมันเริ่มกลับแล้วทิ้งตัวลงบนตัวของไผ่พญาแน่นิ่งไป จึงเห็นตะวันฉายยืนถือไม้อยู่ด้านหลัง
“อ๊าย”
ไผ่พญารีบลุกขึ้น ตะวันฉายทิ้งไม้แล้วเดินเข้ามาหาไผ่พญาด้วยความเป็นห่วง
“เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

ไผ่พญาเห็นตะวันฉายยืนถือไม้มาดเป็นพระเอ๊กพระเอก

คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ ตอนที่ 2 (ต่อ)

ไผ่พญานั่งอยู่บนรถของตะวันฉาย กอดไม้เอาไว้แน่น ตะวันฉายชำเลืองมองไผ่พญาแล้วก็อดขำไม่ได้

“ไม่เป็นไรครับ ดีแล้วละครับที่ต้องระวังตัวไว้ก่อน คุณว่าคุณมาจากกรุงเทพฯ เหรอครับ”
“คะ ฉันกำลังจะไปที่ฟาร์มสุข แต่ไอ้บ้านั่นดันตัณหากลับซะก่อน”
ตะวันฉายได้ยินที่ไผ่พญาพูดก็แปลกใจ
“คุณกำลังจะไปที่ฟาร์มสุขเหรอครับ”
“คะ คุณรู้จักเหรอ”
“รู้จักดีเลยละครับ ไอ้ทางที่คุณมาเนี่ยคนละฝั่งถนนกันเลย เอางี้เดี๋ยวผมไปส่งแล้วกัน”
“จริงๆ นะ”
“อืม ทำไมครับ”
“ถ้าคิดจะทำอะไรฉันเหมือนไอ้บ้านั่นละก็...เห็นนี่มั้ย”
ตะวันฉายมองไผ่พญาแล้วขำกับท่าทางของเธอ

ภูวนัยยืนอยู่ริมน้ำ รอการมาของวีระ ระหว่างนั้นเห็นเท้าใครบางคนเดินเข้ามาภูวนัยหันไปแล้วภูวนัยก็อึ้งไป
“ชาติ”
ชาติกล้าเดินเข้ามาแล้วหยุด ภูวนัยเห็นอย่างนั้นก็หันหลังกลับทอดสายตามองผืนน้ำอีก ชาติกล้าเดินเข้ามายืนข้างๆ
“ฉันได้ข่าวว่าแกได้เป็นหัวหน้าหน่วย”
“อืม ผู้กำกับเห็นว่าฉันเป็นคนที่รู้เรื่องดีทุกอย่าง”
“ฉันดีใจที่เป็นแก...”
ภูวนัยยื่นมือจะออกไปแสดงความยินดีกับชาติกล้า ชาติกล้ามองมือของภูวนัยก่อนจะพูดขึ้น
“ไอ้ภู ฉันรู้ว่าแกสูญเสียอะไรมา แต่ฉันขอเถอะวะแกหยุดแค่นี้ได้มั้ย”
ภูวนัยชะงักค่อยๆ ลดมือลง
“แกมาเพราะเรื่องนี้เหรอ หึ ไอ้ชาติ ฉันเสียคนรัก เสียพี่สาวไป แกคิดว่าฉันควรจะหยุดเหรอ”
“แต่แกยังมีพ่อมีหลานๆ มีฟาร์มที่ต้องดูแล”
ภูวนัยนิ่งไปเหมือนกำลังครุ่นคิด ชาติกล้าตบไหล่
“ปล่อยเรื่องนี้ให้ฉัน ไว้ใจฉันได้ไอ้ภู”
ภูวนัยสบตากับชาติกล้าเหมือนเป็นคำสัญญาจากลูกผู้ชาย

รถของตะวันฉายจอดอยู่ท่ามกลางทางเปลี่ยว ภายในรถไผ่พญาเผลอหลับกอดไม้เอาไว้แน่น ระหว่างนั้นมือของตะวันฉายเอื้อมมือมาเขย่าร่างของไผ่พญา
“คุณ คุณ”
ไผ่พญาค่อยๆ รู้สึกตัว แต่ทันทีที่รู้สึกตัวไผ่พญาก็จะฟาดไม้ก่อนเลย ตะวันฉายคว้าไว้ได้
“จะทำอะไรน่ะ”
“คุณนั่นแหละจะทำอะไร ถือไม้ไว้อย่างนี้มันอันตรายนะครับ”
ไผ่พญาหันมองไปรอบๆ ที่มืดเปลี่ยว
“ที่นี่ที่ไหน แล้วนายจอดรถทำไม”
“เอ้า ก็คุณจะมาฟาร์มสุขไม่ใช่เหรอ ถึงแล้ว”
ตะวันฉายที่ยืนอยู่นอกรถชี้ให้ไผ่พญาดู ไผ่พญาลงจากรถแล้วไผ่พญาก็เห็นฟาร์มสุขอยู่ตรงหน้านี่เอง

ตะวันฉายเดินถือกระเป๋าไผ่พญามาที่หน้าบ้าน
“ผมส่งคุณแค่นี้ละกัน นี่ครับ”
ตะวันฉายยื่นกระเป๋าให้กับไผ่พญา
“ขอบคุณนะคะที่มาส่ง”
“คราวนี้คุณไว้ใจผมได้แล้วใช่มั้ยครับ”
“คะ”
“เชิญเถอะครับ ป่านนี้พวกเขาคงรอคุณกันอยู่แล้ว โชคดีนะครับ”
ตะวันฉายยิ้มให้ก่อนจะเดินจากไป ไผ่พญานึกขึ้นได้รีบเรียกเอาไว้
“ฉันยังไม่รู้เลยว่าคุณชื่ออะไร”
ตะวันฉายหันมาแล้วยิ้มกว้าง
“ตะวันฉายครับ”
“ฉันชื่อไผ่พญาหรือเรียกว่าไผ่ก็ได้คะ”
“ครับ แล้วเจอกันนะครับ”
ตะวันฉายยิ้มให้อีกครั้งก่อนจะเดินจากไป ไผ่พญางงเล็กน้อย
“เจอกัน หมายความว่าไง ช่างเถอะ” ไผ่พญาหันมองบ้าน “เอาวะ สู้”

ไผ่พญามองบ้านก่อนจะสูดลมหายใจลึกแล้วเดินเข้าไป

ไผ่พญาเคาะประตูหน้าบ้าน ก๊อกๆ พร้อมกับจัดเสื้อผ้าหน้าผมให้ดูดี ไผ่พญารอแต่ก็ไม่มีใครมาเปิด ไผ่พญาจึงเคาะประตูอีกครั้ง ก๊อก...ก๊อก แล้วรออีก

แต่ก็ไม่มีใครมาเปิดอีก จึงตัดสินใจลองบิดลูกบิดแล้วพบว่ามันเปิดได้ ไผ่พญาเดินเข้ามาในบ้านเห็นว่าภายในบ้านเงียบสนิท
“สวัสดีค่ะ” ทุกอย่างเงียบ “สวัสดีค่ะ” ไผ่พญาค่อยๆ เดินเข้ามาภายในตัวบ้าน แล้วไผ่พญาก็ชะงักไปเมื่อเห็นเผ่าพงศ์ยืนหันหลังอยู่ในห้องครัว “สวัสดีค่ะ”
ไผ่พญาชักสงสัยเพราะเผ่าพงศ์ที่ยืนหันหลังไม่หันมา ไผ่พญาจึงเดินเข้าไปใกล้ๆ
“เอ่อ เป็นไรหรือเปล่าคะ”
ทันใดนั้นเผ่าพงศ์ก็หันมาในสภาพขนปกคลุมเต็มหน้า พร้อมกับร้องแล้วแยกเขี้ยว
“ข้าคือมนุษย์หมาป่า บรู้วววว”
ไผ่พญาตกใจสุดๆ ร้องลั่นแล้วรีบวิ่งหนีทันที เผ่าพงศ์รีบวิ่งตาม

ไผ่พญาวิ่งหนีอย่างสุดชีวิต เผ่าพงศ์วิ่งไล่ตามมาติดๆ
“ช่วยด้วย ช่วยด้วย ว้ายยยย”
ไผ่พญาวิ่งหนีเกือบจะถึงหน้าประตูบ้านอยู่แล้ว แต่ทันใดนั้นม่านเมฆในชุดชัคกี้ก็โผล่ออกมาจากหลังโซฟาพร้อมกับมีด(ปลอม)
“ข้าคือ ชัคกี้”
ไผ่พญาเห็นอย่างนั้นก็ยิ่งช็อก
“กรี้ดดดดด นี่มันบ้านผีสิงหรือไงเนี่ย” ไผ่พญารีบกลับตัวแต่ก็เห็นมนุษย์หมาป่าเผ่าพงศ์เดินเข้ามา “ฉันตายแน่คราวนี้ “
เสียงของพรรษาดังขึ้น
“เล่นอะไรกันน่ะคะ” ไผ่พญารีบหันไปทางเสียงก็เห็นพรรษาเดินลงมาจากบันได พรรษามองไผ่พญาด้วยความแปลกใจ “คุณเป็นใคร”

ไผ่พญานั่งอยู่กับพรรษามองเผ่าพงศ์กับม่านเมฆด้วยสายตาแปลกๆ
“ค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ครูมาวันแรกก็เจออย่างนี้ซะแล้ว คุณเมฆขอโทษแล้วก็สวัสดีคุณครูซิครับ”
ม่านเมฆที่กำลังมองไผ่พญาตาเยิ้มก็ลืมตัว “คุณเมฆคะ” ม่านเมฆชะงักรู้สึกตัว “ขอโทษคุณครูซิคะ”
“ขอโทษครับ”
“ไม่เป็นไรจ้ะ” ด้วยความกะล่อนไผ่พญาจึงชมม่านเมฆ “แหม หล่อเหมือนคุณพ่อเลยนะคะ” เผ่าพงศ์ พรรษาและม่านเมฆต่างทำหน้างง แต่ไผ่พญาตีความผิดคิดว่าพรรษาโกรธที่เธอชมเผ่าพงศ์คนเดียว “แต่จะว่าไปก็ได้คุณแม่มาเยอะเหมือนกันนะเรา มีคุณพ่อคุณแม่อย่างนี้เอง ถึงได้หล่อขนาดนี้”
ม่านเมฆยิ้มเขินสุดๆ พรรษารู้ว่าไผ่พญาเข้าใจผิดก็จะอธิบาย
“ครูคะ ฉันกับคุณเผ่า ไม่ได้เป็น”
“เอาน่า” เผ่าพงศ์รีบเบรก “เห็นมั้ยว่าครูเขาดูออกว่าเราน่ะเหมาะสมกันแค่ไหน”
“อยากให้ษาจุดธูปบอกคุณท่านมั้ยคะ”
“โอ๊ย เรื่องนั้นไม่ต้องห่วง ฉันจุดธูปบอกตั้งแต่ตอนเขาตายใหม่ๆ แล้ว” เผ่าพงศ์ยิ้มกรุ่มกริ่ม แล้วเข้าไปโอบพรรษา “นี่ครู ฉันกับคุณษานี่เหมือนผัวเมียกันจริงๆ ใช่มั้ย...โอ๊ย”
เผ่าพงศ์ร้องลั่นเพราะพรรษาหยิกหลังมือบิดซะเขียว ไผ่พญาอึ้งๆ งงๆ แต่รู้ว่าตัวเองน่าจะปล่อยไก่ไปทั้งเล้าแล้ว
“ป้าเป็นแม่บ้านที่นี่คะ แล้วนี่คุณเผ่าพงศ์ เป็นคุณพ่อของคุณภูวนัย”
“อ้าวเหรอคะ”
“ตอนนี้ก็ดึกแล้ว เดี๋ยวดิฉันพาไปห้องรับรองดีกว่าคะ ทางนี้คะ”
พรรษาลุกขึ้นก่อนจะเดินนำไผ่พญาออกไป ไผ่พญาหันไปยิ้มแหะให้กับเผ่าพงศ์และม่านเมฆ
“ครูคนใหม่ของผมสวยเหมือนกันนะปู่”
ม่านเมฆมองไผ่พญายิ้มปลื้มไม่หุบ

พอเข้ามาในห้องรับรองไผ่พญาตาโตร้องออกมาอย่างอัศจรรย์ใจ
“โห”
พรรษากำลังวางกระเป๋าเสื้อผ้าของไผ่พญาลงให้ ขณะที่ไผ่พญากำลังยืนอึ้งตะลึงกับความสวยงามภายในห้อง
“ชอบมั้ยคะ”
“ชอบ ชอบคะ” ไผ่พญาเริ่มรู้สึกหิวอีกครั้ง ทั้งกลืนน้ำลายทั้งแสบท้อง “เอ่อ...”
“ถ้าคุณมีข้อสงสัยอะไร ให้ถามคุณภูพรุ่งนี้แล้วกันคะ”
“เอ่อ คือฉัน”
“แต่ถ้าขาดเหลืออะไรก็บอกดิฉันได้”
“เอ่อ”
“ไม่ต้องขอบคุณหรอกคะ มันเป็นหน้าที่ของดิฉัน ราตรีสวัสดิ์คะ”
พรรษาค่อมศรีษะลงเล็กน้อยก่อนจะออกจากห้องไป ไผ่พญาถึงกับใบ้รับประทาน
“อะไรของป้าแกเนี่ย จะไม่ถามหน่อยเหรอไงว่าทานข้าวทานน้ำมาหรือยังคนที่นี่เขาดูแลแขกอย่างนี้หรือไง”
ไผ่พญามองไปรอบห้อง พยายามคิดเรื่องอื่นเข้าไว้ “เอานะ อย่างน้อยเราก็มีที่ซุกหัวนอนแล้ว” ไผ่พญากระโดดขึ้นเตียงอย่างดีใจกับห้องที่สวยอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน แต่แล้วไผ่พญาก็เศร้าลง “แม่จะเป็นยังไงบ้างเนี่ย”

ไผ่พญารู้สึกเป็นห่วงลำไยขึ้นมาทันที

เหตุการณ์ที่ดิออร์แกรน โสภีไม่พอใจกับสิ่งที่ขิงกับกระดังงาบอก

“นังไผ่มันหนีตามผู้ชายไปเหรอ”
ขิงกับกระดังงาอยู่ภายในห้องทำงานของโสภี
“ใช่เจ้ พวกเราก็เพิ่งรู้เหมือนกัน”
“นังนี่ นังอสรพิษเลี้ยงไม่เชื่อง”
“เจ้อย่าไปว่ามันเลย ไหนๆ ไอ้ไผ่มันก็ไปแล้ว”
“ฉันไม่ว่ามันหรอก เพราะไอ้เงินที่มันยังติดฉันอยู่ ฉันจะให้พวกแกใช้หนี้แทนมัน”
ขิงกับกระดังงาถึงกับมองหน้ากันงงๆ
“อ้าว ได้ไงละเจ้ เจ้บอกเองว่าถ้าไอ้ไผ่มันยอมไปกับเสี่ยสมสุข เจ้จะยกหนี้ให้พวกเรา”
“นั่นมันแค่ครึ่งเดียว เสี่ยเขาจะจ่ายฉันหมดถ้าเขาพอใจไอ้ไผ่ แล้วเสี่ยแกมาตายอย่างนี้แกจะให้ฉันตามลงนรกไปทวงกะเสี่ยแกเลยดีมั้ย”
“ดี”
โสภีจ้องหน้าขิงกับกระดังงาขวับทันที กระดังงารีบกลับคำทันที
“ไม่ดีคะเจ้ เอ่อ เจ้คะคือพวกเรามีอีกเรื่องที่อยากรบกวนเจ้น่ะคะ”
“พอเลย ฉันไม่มีเงินให้พวกแกยืมแล้ว”
“ไม่ใช่เรื่องเงินครับเจ้ คือ”
กระดังงาสะกิดขิงให้ขิงไปพาเข้ามา ขิงลุกออกไปนอกห้องโสภีทำหน้าสงสัย ขิงพาลำไยเดินเข้ามาในห้อง โสภีเห็นลำไยก็แปลกใจ
“แกมาทำอะไรที่นี่นังลำไย”
“เอ้า ฉันก็เอาตัวมาใช้หนี้แทนไอ้ไผ่ซิ”
“งั้นแกก็เอาตัวใกล้เน่าของแกกลับไปเลย แกจะให้ฉันปิดกิจการหรือไง”
“เจ้ ฉันว่าพูดผิดพูดใหม่ดีกว่าเจ้ ฉันนี้แหละที่จะทำให้กิจการของเจ้เฟื่องฟู” โสภีคิดไตร่ตรองก่อนจะมองหน้าลำไย
“ได้”
พอโสภีตกปากรับคำ ลำไย ขิง กระดังงาก็ยิ้มร่าออกมาอย่างดีใจ

ลำไยกำลังล้างจานอยู่ในห้องครัว
“เจ้เขาให้ทำงานก็ดีแล้วน่าแม่ ดีซะอีกไม่ต้องออกไปเต้นให้เหนื่อยอย่างฉัน”
“เหนื่อยไม่กลัวเว้ย แต่เสียศักดิ์ศรีอย่างนี้หาว่าฉันแก่เต้นไม่ไหวหรือไง”
“ก็แล้วแต่นะแม่ ถ้าแม่อยากออกไปเต้นก็ได้เผื่อไอ้พวกนั้นมาจะได้เห็นแม่ชัดๆ ไง”
“อ้าว ไอ้ขิง ไอ้นี่แล้วแกคิดว่าอยู่ที่นี่ฉันจะปลอดภัยหรือไง”
“แม่ไม่เคยได้ยินเหรอว่าที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุด”
“ไม่เคยเว้ย เคยได้ยินแต่ที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ตายง่ายที่สุด”
“คิดมากน่าแม่ ถ้าพวกมันมามันก็อยู่แต่ข้างนอก มันไม่เข้ามานี่หรอกหรือถ้าจะเข้ามาฉันเนี่ยแหละจะรีบวิ่งเข้ามาบอกแม่ก่อนเลย”
ลำไยเครียด แต่ไม่รู้ทำไง กระดังงาช่วยพูดอีกคน
“ฉันรับปากไอ้ไผ่ว่าจะดูแลแม่ให้ แม่อยู่นี้ปลอดภัยกว่าอยู่บ้านนะแม่”
“แล้วฉันจะได้กลับบ้านเมื่อไหร่”
“แม่เป็นห่วงบ้านเหรอ”
“เปล่า ฉันอยากเล่นไพ่”
กระดังงากับขิงแทบจะหัวทิ่ม

พายัพโยนกรอบรูปของไผ่พญาลงกับพื้นจนแตกกระจาย พายัพยืนอยู่ภายในห้องของไผ่พญา ทตู้เสื้อผ้าเปิดโล่งอ้าซ่า พายัพก้มลงหยิบรูปไผ่พญาขึ้นมาดูระหว่างนั้นลูกน้องเข้ามาบอกกับพายัพ
“พวกมันหนีไปแล้วครับนาย”
พายัพขยำรูปไผ่พญาในมือด้วยความโกรธ
“แกคิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ”
ระหว่างนั้นเสียงมือถือของพายัพดังขึ้น พายัพมองเบอร์แล้วครุ่นคิดก่อนจะรับสาย
“ครับซ้อ”
หยาดฟ้าเดินมาที่รถ
“ตกลงว่าแกจะลองดีกับฉันใช่มั้ย”
พายัพชักสีหน้าไม่พอใจ
“ด้วยความเคารพนะครับ ตอนนี้ผมชักไม่แน่ใจว่าข้อมูลที่ซ้อบอกมันจะมีอยู่จริงหรือเปล่า”
“ถ้าแกพูดอย่างนี้ ก็คงไม่มีอะไรต้องพูดกันอีกพวกแกเตรียมตัวตายในคุกได้เลย”

หยาดฟ้าวางหูใส่พายัพ พายัพกำโทรศัพท์แน่นด้วยความโกรธ

ภายในห้องนอนไผ่พญาที่มืดสนิท ไผ่พญานอนคลุมโปงอยู่บนเตียงระหว่างนั้นเสียงท้องร้องของไผ่พญาดังครวญคราง ครืด...ครืด...

ไผ่พญาทนไม่ไหวสะบัดผ้าห่มออก ก่อนจะเปิดไฟแล้วลุกขึ้นนั่ง
“ทนไม่ไหวแล้ว” เสียงท้องร้องอีก “ทำไมมันหิวอย่างนี้” ไผ่พญามองไปที่นาฬิกา “ป่านนี้คงนอนกันหมดแล้วมั้ง”

ไผ่พญาค่อยๆ ย่องมาตามทางเดิน เอามือป่ายตามทาง
“ห้องครัวอยู่ไหนเนี่ย”
ไผ่พญาป่ายมือมาถึงที่โต๊ะแต่เพราะความมืดทำให้ไม่เห็นกรอบรูปของภูวนัยที่ตั้งอยู่ ไผ่พญาเอามือปัดไปโดน ไผ่พญาตกใจแต่ก็รับกรอบรูปไว้ได้ทันก่อนที่มันจะล่วงเสียงดัง ไผ่พญาวางกรอบรูปเอาไว้ที่เดิมโดยไม่เห็นว่าเป็นภูวนัย ไผ่พญาเดินต่อไป
ในที่สุดไผ่พญาก็เดินมาถึงที่ห้องครัว ไผ่พญาๆ ค่อยย่องคลำเข้ามาหาตู้เย็น ไผ่พญาค่อยๆ เปิดตู้เย็นก่อนจะตาลุกวาวเมื่อเห็นของกินอยู่ในตู้เย็นเต็มไปหมด
“รอดตายแล้วเรา”

ม่านหมอกเดินถือกระเป๋าเป้ลงมาจากบันไดก่อนจะเดินมาตามทางเดินแล้วม่านหมอกก็แปลกใจเมื่อเห็นแสงเรืองๆ สว่างออกมาจากห้องครัว ม่านหมอกมองด้วยความสงสัย
ที่ห้องครัว ขระนั้นไผ่พญากำลังกินทุกอย่างที่อยู่ในตู้เย็น ไผ่พญาพยายามยัดทุกอย่างเข้าไปในปาก เสียงไฟในห้องครัวสว่างขึ้นพร้อมกับเสียงของม่านหมอก
“คุณเป็นใคร” ไผ่พญาตกใจพ่นอาหารกระจาย ก่อนจะไอสำลักแล้วรีบหยิบน้ำกิน “คุณเป็นใคร มาทำอะไรในบ้านฉัน”
ม่านหมอกไม่พูดเปล่า แต่หันไปคว้ามีดมาถือเอาไว้
“เอ่อ ใจเย็นนะ ฉันเป็นครูที่เจ้าของบ้านนี้เขาจ้างมา วางมีดลงก่อนเถอะ”
“ครูเหรอ” ม่านหมอกทำเสียงหยัน “งั้นคุณก็ไปเถอะ ฉันไม่ต้องการครู”
ม่านหมอกพูดจบก็ยื่นมีดให้กับไผ่พญา ไผ่พญารับมีดมางงๆ ม่านหมอกเดินสะพายเป้ออกไป ไผ่พญาได้ยินที่ม่านหมอกพูดก็รู้สึกตงิดใจ
“เดี๋ยวก่อนซิ”

ม่านหมอกเดินออกมาที่ทางเดินก่อนจะเปิดไฟสว่างขึ้น ม่านหมอกมองหากระเป๋าเป้ที่วางอยู่แล้วเดินไปหยิบมัน ไผ่พญารีบเดินเช็ดมือเช็ดปากเข้ามา
“เธอคือม่านหมอกใช่มั้ย” ม่านหมอกไม่สนใจเดินต่อไป ไผ่พญาพยายามจะผูกมิตร “ฉันชื่อไผ่ เรียกครูไผ่ก็ได้ ยินดีที่ได้รู้จักจ้ะ”
ไผ่พญามายืนขวางทาง ยื่นมือออกไปจะผูกมิตร ก่อนจะเห็นตัวเองถือมีดอยู่จึงรีบวางมีดลงแล้วยื่นมืออกไปใหม่
“อืม” ม่านหมอกรับคำแกรนๆ
ม่านหมอกไม่สนใจเดินเลี่ยงไผ่พญาออกมา ไผ่พญางง ไผ่พญามองตามก็เห็นม่านหมอกเดินไปหยิบรองเท้าแล้วมานั่งใส่ที่เก้าอี้
“ดึกแล้วเธอจะไปไหน”
“หนูบอกแล้วไงว่า หนูไม่ต้องการครู อย่ามายุ่งกับหนู”
ม่านหมอกใส่รองเท้าเสร็จลุกขึ้น ไผ่พญาเห็นก็พอจะเดาออกว่าม่านหมอกจะทำอะไร
“เธอกำลังหนีออกจากบ้านใช่มั้ย” ม่านหมอกทำหน้าเซ็งแล้วจะเดินผ่านไผ่พญาไป ไผ่พญารีบดึงเอาไว้ “ห้ามไปไหนนะ เธอไปแล้วฉันจะสอนใคร”
“ปล่อย หนูบอกให้ปล่อยไง”
ไผ่พญากับม่านหมอกต่างยื้อยุดกันอยู่ ระหว่างนั้นไผ่พญาก็เหลือบไปเห็นรูปภูวนัยที่ตั้งอยู่ที่โต๊ะไผ่พญาเห็นก็จำได้ทันที ไผ่พญาปล่อยม่านหมอกก่อนจะรีบเดินเข้ามาที่กรอบรูป ม่านหมอกงงว่าไผ่พญาเป็นอะไร
“ผู้ชายคนนี้เป็นใคร”
“ก็คนที่จ้างคุณไง”
“ห๊า! คนนี้คือคุณภูวนัยเหรอ”
“ก็ใช่ดิ อะไรไม่รู้จักคนที่จ้างคุณได้ยังไง”
“แย่แล้วๆ ทำไงดี เธอจะหนีออกจากบ้านใช่มั้ย” ม่านหมอกงง “ฉันไปด้วยนะ”
“เรื่องอะไร ปล่อยฉันนะ”
ไผ่พญายื้อยุดกับม่านหมอก ม่านหมอกจะลุกออกไปแต่ไผ่พญาก็ดึงม่านหมอกเอาไว้จนล้มลง ไผ่พญาจะวิ่งออกประตู ม่านหมอกก็ดึงขาไผ่พญาเอาไว้ ไผ่พญาล้มลงแทน ม่านหมอกวิ่งข้ามไผ่พญาไปแต่ไผ่พญาไม่ยอมแพ้รีบเกาะขาม่านหมอกเอาไว้แน่น ระหว่างนั้นเสียงของภูวนัยดังขึ้น
“ทำอะไรกัน” ไผ่พญากับม่านหมอกหันไปก็เจอภูวนัยยืนอยู่ ภูวนัยเห็นไผ่พญาก็จำได้ทันที “เธอ”

ไผ่พญาอยากจะร้องไห้

ติดตาม "คุณชายเลี้ยงหมู คุณหนูเลี้ยงแกะ" ตอนที่ 3
กำลังโหลดความคิดเห็น