xs
xsm
sm
md
lg

อาญารัก ตอนที่ 7

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อาญารัก ตอนที่ 7

สามคนแพร โพล้ง และยายอ่อน ยังคุยกันต่อ ยายอ่อนเล่าเรื่องเนียนจบก็เข้าธุระของตัวเอง

“สาเหตุที่ฉันเข้าเมืองสุพรรณไม่ได้อีก เพราะสาบานไว้กับคุณนายเรียมไว้ ฉันบอกหมดเปลือกแล้ว ทีนี้มาคุยเรื่องที่นากันต่อ”
“นานั่นเนียนเขาได้มรดกตกทอดมาจากลุงน้อม” โพล้งบอก
“ถ้าจะซื้อก็ต้องซื้อจากเนียน” แพรเสริม
“แต่ฉันไม่อาจติดต่อกับเนียนได้”
“เอาอย่างนี้สิ ให้นายอิ่มลูกยายอ่อนเช่า ทำกินไปก่อน สบโอกาสเมื่อไหร่ก็ค่อยมาว่ากันเรื่องซื้อขาย” โพล้งออกความคิด
“แต่ถ้ามันยาวนานเกินไปจะรอไหวรึ เพราะคนที่นี่ก็ไม่อาจติดต่อเนียนได้เหมือนกัน” แพรท้วง
“ฉันจะปรึกษาลูกชายดู ถ้าสามารถช่วยให้ฉันซื้อได้อย่าบอกว่าเป็นฉัน บอกว่าคนซื้อชื่อ นายอิ่ม กระจ่างใจ นี่จ้ะ ที่อยู่ของเขา”
“ยายอ่อนก็ลองให้ลูกชายเขียนจดหมายไปหาเนียนดูสิ” โพล้งแนะ
“จริงสินะ”
ยายอ่อนเห็นดีด้วย

ด้านหนักอุ้มแดงน้อยนั่งครุ่นคิดอยู่หลังร้าน รู้สึกเศร้าสร้อยเรื่องชะตาชีวิตของเนียนกับลูกแฝด และตื่นเต้นเรื่องลูกกับสนที่มั่นใจว่าเกิดกับตัวเองแน่ๆ แพรกับโพล้งเข้ามาหา
“ข้าได้ยินยายอ่อนคนนั้นเล่า เข้าใจดีหมดแล้ว ข้าจะไปหาขุนภักดี ไปบอกความจริง ว่าเนียนคือน้องของข้า ส่วนอีคนมีชู้ก็คืออีสน ลูกของอีสนไม่ใช่ลูกเขา ข้าทนไมได้ที่เห็นเนียนต้องอาภัพอัปภาคย์ถึงเพียงนี้เพราะข้าคือต้นเหตุ”
“พี่หนักไปถึงแค่บ้านแพนหรือเจ้าเจ็ด พี่ก็เจอตำรวจยิงตายก่อนถึงบ้านท่านขุนแน่” โพล้งเตือน
“ถ้าพี่หนักมีอันต้องตายไป แล้วใครจะส่งเสียแดงน้อย มันเพิ่งจะสองขวบเท่านั้น” แพรว่า
“อีกประการ ถ้าพี่ผ่านด่านพวกนั้นไปถึงตัวท่านขุน พี่นึกบ้างไหมว่าลูกชายพี่ที่เกิดจากนางคนใจสัตว์นั่น จะย่ำแย่แค่ไหน” โพล้งบอกอีก
“ประการสำคัญอีกประการ แม้เนียนจะพ้นข้อหาคบชู้ แต่เนียนยังติดข้อหาหลอกท่านว่าเป็นสาวบริสุทธิ์ ทั้งที่มีลูกมาแล้ว เนียนตายทุกประตู”
“มันสายเกินแก้ไขแล้ว ปล่อยให้เรื่องราวมันค่อยๆ คลี่คลายไปเอง ตามเวรตามกรรมที่ตัวใครตัวคนนั้นใครก่อไว้เถิด”
แพรบอกอย่างมั่นใจ “คนดีตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ดอก ยายอ่อนแกบอกว่า แม้นางสนคนนั้นจะชั่วร้าย แต่คุณนายเรียม ท่านแสนดีมีเมตตา และน่าจะระลึกบุญคุณของเนียนเรื่องยกลูกแฝดคนพี่ให้อยู่หรอกน่า”
“ข้าจะไม่ไปหาขุนภักดี และถ้าไม่จำเป็นข้าก็จะไม่มาที่นี่อีก ส่วนเรื่องเงินทองไม่ต้องห่วง จะส่งมาให้ แดงน้อยจนจำความได้ บอกเขาว่าลุงของเขาที่ชื่อลุงสิน รักเขามากและจะส่งเสียดูแลเขาจนเรียนจบแดงน้อยเอ๋ย หลานเป็นยิ่งกว่าชีวิตของลุง ลาก่อนหลานรัก”
หนักคิดตก ส่งแดงน้อยให้แพร แล้วผลุนผลันออกไปทันที

วันและเวลาหมุนเวียนเคลื่อนคล้อยไปอีก “ห้าปีผ่านไป”
ในวันนี้เรียมจูงเด็กหญิงทานตะวันวัย 5 ขวบ ที่ในมืออุ้มตุ๊กตามาด้วย ลงมาเล่นที่ลานเด็กเล่นในสวนหน้าเรือน ซึ่งมีชิงช้าให้นั่งเล่น โดยมีแมวกับกบตามติดมาคอยดูแล
“หนูอี๊ดจ๋า หนูอยากเล่นชิงช้าไปเล่นกับพี่กบพี่แมวนะคะ แม่เล่นไม่ไหวดอกเจ้าค่ะ” เรียมเอ่ยขึ้น
“พี่กบพี่แมวแก่แล้ว หนูไม่ชอบเล่นกับคนแก่ หนูอยากเล่นกับเด็กเหมือนหนู”
“เดี๋ยวกบจะไปเชิญคุณพี่เทิดศักดิ์ให้มาเล่นด้วยเจ้าค่ะ” กบเอาใจ
“หนูไม่ชอบเล่นกับเด็กผู้ชาย หนูอยากเล่นกับเด็กผู้หญิง” ทานตะวันว่า
เรียมนิ่งไป ขุนภักดีเดินลงมาจากเรือนได้ยินเข้า
“บ้านนี้ไม่มีเด็กผู้หญิงเป็นเพื่อนหนูดอกลูกรัก รอให้หนูไปโรงเรียนก่อนหนูจะมีเพื่อนผู้หญิงเยอะแยะนะคะ”
“คุณพ่อโกหก บ้านนี้มีเด็กผู้หญิงหนึ่งคน หนูเคยเห็นเขาเล่นดินปั้นอยู่ที่เล้าหมู”
ทุกคนอึ้งไปทั้งแถบ

ขณะที่เด็กหญิงเนื้อทองกำลังเล่นวัวควายที่แม่เนียนปั้นให้อยู่นั้น จู่ๆ ก็รีบวางของเล่นลง เมื่อเห็นเนียนหิ้วข้าวหมูมา เนียนให้ข้าวหมู เนื้อทองเดินไปหาพยายามช่วยแม่
“หนูช่วยแม่เนียนนะ หนูรักแม่เนียนนะ แม่เนียนรักหนูไหม”
“โถ แม่ก็รักหนูที่สุด ในโลกสิจ้ะ แม่ขอบใจที่หนูช่วยแม่ แต่แม่ว่า หนูไปนั่งเล่นที่ชิงช้าดีไหมจ๊ะ”
“หนูช่วยแม่เสร็จก่อน หนูจะไปเล่นชิงช้า หนูกลัวแม่เหนื่อย” เด็กหญิงเนื้อทองว่า
เนียนซึ้งจนน้ำตาซึม

ส่วนที่ลานเด็กเล่นหน้าเรือนหลังใหญ่ ขุนภักดียังนิ่งงันอยู่ เรียมทำนิ่งเฉย พอดีทองจันทร์เดินมาสมทบอีกคน
“หลานจ๋า...เด็กนั่น นั่นมันลูกช...เอ้อ ลูกคนรับใช้ หนูไม่ควรไปเล่นกับมันดอกหลานอี๊ด”
“หนูโกรธคุณย่า คุณอย่าไม่ฟังหนู ไม่รู้เรื่องอะไรทั้งนั้น หนูอยากเล่นกับเด็กเหมือนหนู” ทานตะวันตะบึงตะบอนใส่ย่าอีกคน
แทนที่โกรธแล้วตักเตือนทองจันทร์ยิ่งชอบใจหัวเราะขำใหญ่
“ดูดู๋ ยัยหลานนิสัยหมือนพ่อเทพไม่มีผิด จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้”
ทานตะวันเดินมากอดมาหอม พร้อมกับอ้าแขนให้ขุนภักดีอุ้ม
“คุณพ่อขา ถ้าเขาเป็นลูกคนใช้ ของคุณพ่อ ก็ให้เด็กนั่นมาเป็นคนใช้ของหนูสิคะ หนูอยากใช้มัน”
ทุกคนมองหน้ากัน เรียมสอน
“หนูอี๊ดขา พูดจาดูถูกคนอื่นแต่เด็กแต่เล็ก ไม่น่ารักเลยค่ะ”
“แม่สนบอกว่าพูดจาแบบนี้น่ารักค่ะ เราเป็นนาย อย่าให้บ่าวมาตีเสมอ” ทานตะวันว่า
ทองจันทร์กลับเห็นงามตามหลาน “หนูอี๊ดพูดถูกจ้ะ แม่เรียม พ่อเทพว่าอย่างไร แค่ให้เด็กมันเล่นกันแต่ต้องให้รู้ว่าใครนายใครบ่าว จะมาตีเสมอไม่ได้”
เรียมท้วงอีก “แหม..คุณแม่ขา เด็กเล็กๆ แท้ๆ”
“ก็ได้ พ่ออนุญาตค่ะ หนูอี๊ด” ขุนภักดีเอ่ยขึ้น
“คุณพ่อใจดีจังเลย หนูรักคุณพ่อที่สุด”
ขาดคำทานตะวันก็วิ่งฉิวไปตรงไปทางเรือนเนียนทันที คุณย่าทองจันทร์ยิ้มปลื้ม
“ฉลาดเกินเด็กแท้ๆ หนูอี๊ดของย่า นางกบ ตามไปสิ นางแมวมานี่ ฉันอยากให้นวดสักหน่อย”
เรียมนิ่งเงียบไม่ออกความเห็น แต่แอบยิ้มดีใจ
“หนูอี๊ดใส่ทองหยองอะไรติดตัวไปหรือเปล่า ระวังจะตกหาย”
“กบ เขาดูอยู่ค่ะ พี่เทพ คงไม่หายดอกค่ะ”
ขุนภักดีพยักหน้า อดปรายตาไปทางเรือนเล้าหมูไม่ได้

ทานตะวันวิ่งตะลุยมาใกล้เรือนของเนียน ที่คอสวมสร้อยลูกปะคำทองคำแท้
“มีใครอยู่บ้าง ชั้นอยากเล่นกับเด็กลูกคนใช้”
เนียนกำลังแกว่งชิงช้าที่เอกมาทำไว้ให้เนื้อทองเล่น ตกตะลึง หยุดแกว่งทันที ที่ได้ยินเสียงของทานตะวัน
เนียนเหลียวมองไปน้ำตาพาลจะไหล
“หนูอี๊ดลูกแม่” เนียนรำพึงเบาๆ
เนียนเห็นทานตะวัน วิ่งมาทางที่เนียนอยู่อย่างร่าเริง แล้วมาหยุดตรงหน้ามองเนียน แบบไว้ตัวยกมือกอดอกจ้องหน้า
“ชื่นใจแท้ๆ” เนียนลืมตัวจะอ้าแขนออก แล้วนึกได้ รีบหุบเข้าไป “หนู เอ้อ...คุณหนูอี๊ด”
“ใช่ ชั้นชื่อคุณหนูอี๊ด แก แกเป็นคนใช้เลี้ยงหมูที่เป็นแม่เด็กคนนั้นใช่ไหม”
“เอ้อ ค่ะ”
“ชั้นอยากเล่นกับลูกแก แต่คุณย่าบอกว่า ลูกแกต้องเล่นเป็นคนใช้ชั้น เพราะชั้นเป็นนายของมัน”
กบตามมาทันพอดี ได้ยินก็ตกใจ “ตายแล้ว คุณหนูอี๊ดขา พูดจาเพราะๆ สิเจ้าคะ ทำไมพูดแทนตัวเองว่าชั้น ทำไม เรียกน้าเนียนว่าแกเจ้าคะ”
“มันไม่ใช่น้าหนู แม่สนบอกว่าใครๆ ก็เรียกคนใช้ว่าแกทั้งนั้น นี่แก บอกให้ลูกแกมาเล่นกับชั้นสิ”
เนียนสะเทือนใจกับคำพูดของหนูอี๊ด หรือทานตะวัน แต่ไม่ถือสาเพราะรักลูกมาก
“ค่ะ หนูติ๋วจ๋า หยุดเล่นชิงช้าก่อน แล้วมาเล่นกับคุณหนูอี๊ดนะจ๊ะ”
เนื้อทองลงมาตามที่เนียนบอก
“มาเล่นซ่อนหา แกเป็นคนหา ชั้นจะเป็นคนซ่อน”
เนื้อทองดูงงกับท่าทีคุกคามของทานตะวัน เนียนพยักหน้าให้ จึงเดินไปเล่นด้วย
“นิสัยถอดมาจากคุณนายสนเปี๊ยบ เพราะเขามาเอาไปเล่นที่บ้านเหมือนจงใจสอนอะไรที่แย่ๆ ให้จนกลายเป็นเด็กไม่น่ารัก” กบบ่น
“ก็น่ารักดีอยู่จ้ะ เอ้อ แล้วคุณนายเรียม ว่ากระไรบ้างจ้ะ”
“คุณนายเรียมท่านก็ว่าเอาสิจ๊ะ แต่คุณท่านกับท่านขุนให้ท้ายนี่จ๊ะ ทำอะไรน่ารักน่าเอ็นดู ฉลาดไปหมด อย่างที่เห็นนี่แหละจ้ะ”
ตลอดเวลาที่ฟังกบพูด สายตาของเนียนจับจ้องที่ทานตะวันอย่างมีความสุข
“แกนับไปนะ หนึ่งสองสามถึงสิบ ชั้นจะไปซ่อน” ทานตะวันบอก
เนื้อทองนับไป ทานตะวันวิ่งไปหาที่ซ่อน

ช้อยแอบมองอยู่ ผุดยิ้มออกมาเหมือนมีแผนการร้ายอีก

เรียมเรียกเอกมาพบบนเรือน แล้วยื่นสร้อยประคำทองแท้เช่นเดียวกับที่ให้ทานตะวันใส่ให้เอก

“สร้อยประคำของแท้ เหมือนกับของหนูอี๊ด รีบเอาไปให้หนูติ๋วระวังให้ดีอย่าให้ใครเห็นเด็ดขาด”
“ขอรับ กระผมจะไม่ให้ใครเห็นเด็ดขาด ขอรับ”
“ตอนนี้ หนูอี๊ดขอไปเล่นกับหนูติ๋ว ชั้นก็เลยให้ไป พี่น้องจะได้พบเจอกันเล่นกัน รักผูกพันกันเนียนจะได้มีควาสมสุขที่เห็นลูกสองคนเล่นด้วยกัน”
“ดีมากขอรับ”
เอกรีบกำถุงสร้อยประคำ เดินออกไป

ที่เรือนเล็กของสน เด็กชายเทิดศักดิ์ เติบโตขึ้นมาดูเป็นเด็กสงบเสงี่ยม เรียบร้อยมาก อายุ 6 ขวบ แก่กว่าทานตะวันกับเนื้อทองหนึ่งปี
“ลูกเทิดศักดิ์จ๋า อีกไม่นานลูกต้องไปเรียนหนังสือที่บางกอก ดีใจไหมลูก”
“ดีใจนิดหน่อยครับ คุณแม่ คุณแม่เรียมจะให้น้องทานตะวัน ไปเรียนที่บางกอกด้วยไหมครับ”
“คงจะไปมั้ง แต่คงไม่ได้เรียนที่เดียวกับลูกดอกจ้ะ”
“แล้วน้องเนื้อทองเด็กผู้หญิงที่เรือนเล้าหมูนั่นเล่าครับ ไปเรียนด้วยไหมครับ”
สนฉุนกึก “ตายแล้วลูกแม่ แม่ฟังลูกเรียกเด็กนั่นว่าน้องแล้วแม่ คันมือคันไม้ไปหมด มันไม่ใช่น้องของลูก มันคือลูกคนใช้ ห้ามเรียกมันว่าน้อง”
“ทำไมจะเรียกไม่ได้ครับ ผมชอบน้องเนื้อทองเขาน่ารัก แต่ผมไม่ชอบน้องทานตะวัน เขาไม่น่ารัก เล่นด้วยก็ไม่สนุกเด็กอะไรเอาแต่ใจตัว”
สนยิ้มแอบพึมพำเบาๆ
“แม่ต้องการให้มันเอาแต่ใจเป็นเด็กไม่น่ารัก” พลางหันมาจ๊ะจ๋าโอบกอดเทิดศักดิ์ นานวันเข้าสนหลงรักเทิดศักดิ์เพราะยิ่งโตก็ยิ่งนิสัยดีงาม และหน้าตาน่ารักมาก “เราเป็นลูกนายจ้ะ จำเอาไว้ อย่าไปคบกับพวกลูกนางเนียนคนใช้ คนใช้นิสัยไม่ดีด้วย”
“น้าเนียนนิสัยดี พูดจาเพราะ ใจดี ปั้นวัวปั้นควายให้ผมเล่นด้วย”
สนไม่พอใจ “ต๊าย นี่ลูกไปหลงรักมันแล้วใช่ไหม ลูกจะรักมันมากกว่าแม่ไม่ได้นะ ไหนวัวควายที่มันให้อยู่ที่ไหน แม่จะเอาไปขว้างทิ้ง”
“ไม่ดอก ไม่ให้ขว้างทิ้ง”
สนงอนลูก “ไม่รักแม่ใช่ไหม แต่ไปรักคนใช้”
“ผมรักคุณแม่ที่สุด แต่ผมก็ชอบน้าเนียนที่สุดด้วย”
สนไม่ทันพูดอะไรต่อ ช้อยวิ่งหน้าตั้งเข้ามา
“คุณสนเจ้าขา คุณหนูอี๊ดกำลังเล่นซ่อนหากับเด็กติ๋ว ที่ใกล้เล้าหมูเจ้าค่ะ”
“ไปเล่นด้วยดีกว่า”
เทิดศักดิ์ได้ยิน วิ่งออกไปทันที สนห้ามไม่ทัน
“อีเรียม มันยังไม่ละความพยายามยาจะยกย่องลูกอีเนียน ข้าแปลกใจจริงๆ เหมือนกับที่ข้าไม่เข้าใจพี่ขุน ปล่อยให้ลูกตัวเองมาเล่นกับลูกมันได้ยังไง”
ช้อยครุ่นคิด “หรือว่าสายสัมพันธ์มันลึกซึ้ง ผูกผันกันโดยไม่รู้ตัวว่าที่แท้คือพ่อลูกกันจะพูดไป ก็ดองกันไปจนนับญาติไม่ถูกนะเจ้าคะ”
สนแว้ดใส่ “หยุดนะ เอ็งห้ามพูดเรื่องนี้อีกเด็ดขาด เอ็งกับฉันมีหน้าที่ทำให้หนูอี๊ดเกลียดนังเด็กติ๋วมากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
“ช้อยมีแผนการดีๆ เจ้าค่ะ ช้อยเห็น คุณหนูอี๊ดใส่สร้อยประคำทองคำแท้เจ้าค่ะ ช้อยว่า…”
สนนึกแผนออกสวนขึ้นทันควัน “ข้าไม่ได้ฟาดฟันอีเนียนมานานห้าปีแล้ว ถึงเวลาสักที แต่ข้าจะอ้างว่าไปตามหาลูกเทิดศักดิ์”
ช้อยกับสนเดินตามกันฉับๆ ออกไป

ขุนภักดีเดินอยู่แถวเรือนใหญ่ อดที่จะชำเลืองมองมาทางเรือนข้างเล้าหมูของเนียนไม่ได้ จู่ๆ ภาพเหตุการณ์ที่พบเนียนครั้งแรกก็ผุดขึ้นในหัวท่านขุน เป็นเนียนที่แสนสวยงามและอ่อนหวาน
ขุนภักดีครุ่นคิด
“ทำไม ทำไม เด็กสองคนนั้นหน้าตาเหมือนกันราวกับเด็กฝาแฝด”
ขุนภักดีใจลอยเผลอตัว เดินลัดเลาะมาตามเสียงเด็กหัวเราะอย่างมีความสุข แล้วหยุดฟังเสียงเด็กแล้วแอบมองไปตามเสียงหัวเราะ

เห็นเนียนยืนมองดูเด็กๆ เล่นกันอย่างเพลิดเพลิน และมีความสุขเป็นที่สุด เนียนยิ้มเต็มยิ้มอย่างที่ไม่เคยยิ้มมาก่อน ส่งสายตา มองแต่หนูอี๊ด หรือ ทานตะวัน
กบอยู่ด้วยเอ่ยขึ้น “เนียน เนียนยิ้มสวยจัง ยิ้มสวยที่สุดตั้งแต่มาอยู่ที่บ้านนี้ เนียนไม่เคยยิ้มแบบนี้มาก่อนนี่นา ดูสิเอาแต่มองคุณหนูอี๊ดแล้วยิ้มมีความสุข ทำยังกะ เธอเป็นลูกของเนียน”
เนียนสะดุ้งตกใจตัวเองที่คงแสดงออกมากไปรีบหยุดยิ้ม
“เอ้อ ฉันมีความสุขที่เห็นคุณหนูเธอมีความสุขสนุกสนานจ้ะ”
“แล้วไม่ทุกข์บ้างรึที่คุณหนู เธอเล่นแบบข่มหนูติ๋วตลอดเวลา” กบว่า
“เธอเป็นลูกนายนี่จ๊ะ”

กบคอยวิ่งตามดูเด็กๆ 

เด็กหญิงทานตะวันเล่นแบบข่มๆ เด็กหญิงเนื้อทอง แต่เนื้อทองก็ยอมโดยดี

“แกหาอีก ชั้นจะซ่อนอีก เข้าใจไหม” ทานตะวันวางอำนาจใส่
“แต่ หนูติ๋วหามานานแล้วนี่คะ คุณหนูอี๊ด” เนื้อทองว่า
“แกจะขัดใจชั้นหรือ บอกให้หาก็หาสิแกเป็นลูกคนใช้ แกต้องทำตามที่ชั้นสั่ง แกเข้าใจไหม”
เนื้อทองมองหน้าเนียนเหมือนไม่เข้าใจ เนียนพยักหน้าให้ลูกยอม
ระหว่างนั้นเทิดศักดิ์วิ่งเข้ามาถึง ทันได้ยินพอดี
“เล่นเอาแต่ใจตัวกันแบบนี้ ก็ต้องขัดใจกันบ้างละ น้าเนียนครับ”
เนียนหันมายิ้มให้เทิดศักดิ์
“ขอบคุณมากค่ะ คุณหนูเทิดศักดิ์ แต่ว่า…”
“เล่นกันต้องเท่าเทียมกันครับ น้าเนียน เล่นกันต้องสนุกเท่ากันครับ”
เนียนน้ำตาซึมกับคำพูดของเทิดศักดิ์
“ไม่เป็นไรดอกค่ะ คุณหนูเทิดศักดิ์”
แล้วจู่ๆ เนียนก็รู้สึกได้ว่ามีคนมองมา เนียนหันไปใจหายวับ

เจอขุนภักดีมองมา เนียนกับท่านขุน มองหน้ากัน ขุนภักดีมองเนียนอยู่อย่างนั้น
ภาพเนียนที่มอมแมมในยามนี้ สลับกับภาพเนียนแสนสวยเมื่อวันวานไปมาอยู่ในหัวขุนภักดี จนท่านขุน เผลออุทานเรียกเนียนออกมาเบาๆ
“โธ่ เนียน”
แต่แล้วขุนภักดีก็ตั้งสตินึกได้ หันหลังกลับเดินไปจากที่นั่นทันที
“ผู้หญิงหลายใจ เลี้ยงไม่เชื่อง ผู้หญิงแพศยาหลอกลวง”
เนียนมองตามน้ำตาไหลริน

พวกเด็กๆ เล่นกันต่อ ทานตะวันไม่พอใจที่เทิดศักดิ์เข้าข้างเนื้อทองยกนิ้วโป้งให้
“โป้งพี่เทิดศักด์ ไปเข้าข้างนังลูกคนใช้”
“โป้งน้องอี๊ด เกเรเอาเปรียบคนอื่น” เทิดศักดิ์โป้งกลับ
“จะไปฟ้องแม่สน” ทานตะวันว่า
“พี่ไม่กลัว พี่ไม่ได้ทำผิด หนูติ๋ว อย่าไปเล่นกับน้องอี๊ด”
ทานตะวันมากระชากแขนเนื้อทองไปแรงๆ
“มาเล่นกับชั้นเดี๋ยวนี้นะ”
“ไม่ต้องเล่นกับเด็กเกเร”
เทิดศักดิ์ดึงเนื้อทองกลับมา นั่นทำให้ทานตะวันซวนเซแล้วล้มลงกับพื้นร้องไห้โฮ
เนียนตกใจมาก ผวามาอุ้มทานตะวันทันที
“อุ๊ย ลูก เอ้อ...คุณหนูเจ็บไหมคะ”
สนกับช้อยก้าวออกมา
“มีสิทธิ์อะไรมาแตะต้องคุณหนู ไม่ดูสารรูปมอซอของตัวเองซะบ้าง” ช้อยด่า
“มาหาแม่สนนะคะหนูอี๊ด”
แล้วสนก็แย่งทานตะวันมาจากมือเนียน จังหวะนั้นสนเห็นสร้อยประคำที่คอทานตะวัน จึงรีบแอบแกะออกอย่างรวดเร็ว
“คุณแม่ลำเอียง โตขึ้นผมเป็นตำรวจจะมาจับคุณแม่” เทิดศักดิ์ไม่พอใจแม่ตามประสา
สนอุ้มทานตะวันหายไปแล้ว ช้อยพยายามดึงเทิดศักดิ์ออกไป
“คุณแม่ไปแล้ว รีบตามคุณแม่ไปเถิดเจ้าค่ะ”
แต่เทิดศักดิ์ไม่ยอม แถมตวาดช้อย
“ปล่อย อย่ามายุ่งกับชั้นนะ ยุ่งมากจะฟ้องคุณพ่อว่ายัยช้อยชอบโกหก”
กบแอบหัวเราะคิก ช้อยรีบปล่อยเทิดศักดิ์ทันที
“หัวเราะอะไรนางกบ”
เนียนรีบบอก “คุณเทิดศักดิ์ขา ตามคุณแม่ไปเถิดค่ะ”
“ไม่ไป ผมจะเล่นกับหนูติ๋ว เล่นกับหนูติ๋วสนุกดีออกจะตาย ยัยช้อยนั่นแหละผู้ใหญ่ไก่เขี่ย ไปให้พ้น”
ช้อยเดินสะบัดตูดออกไป เทิดศักดิ์เดินมาจูงมือเนื้อทองไปนั่งชิงช้าด้วยกัน
เนียนไม่สบายใจมาก

สนอุ้มทานตะวันมาฟ้องทองจันทร์ ที่กำลังเอนให้แมวนวดอยู่
“คุณแม่ขามีเรื่องร้อนหูอีกแล้วค่ะ”
“อะไรรึแม่สน”
“สร้อยประคำของหนูอี๊ดหายไปตอนที่เล่นอยู่กับพวกเล้าหมูค่ะ”
“ไฮ้ ได้ยินว่าเพิ่งจะหาซื้อมาวันนี้ หล่นที่ไหนหรือเปล่า”
“เปล่าแน่ๆ ค่ะ ตอนที่สนเดินไปแต่ไกล ยังเห็นใส่อยู่ พูดก็พูดจะหาว่าใส่ความกันนะเจ้าคะ หนูอี๊ดหกล้ม กบก็อยู่ แต่เนียนน่ะสิเจ้าคะ ตัวก็สกปรกมอมแมม มีเจตนาอะไรรึเปล่า วิ่งมาอุ้มหนูอี๊ด สนงี้ใจแป้ว รีบไปชิงเอาตัวคืนมากลัวความสกปรกจะมาติด มองอีกทีสร้อยหายไปแล้วค่ะ” สนใส่ไฟเป็นการใหญ่
“อุเหม่ นี่ นี่ แม่สนจะบอกว่าเนียนมันขโมยรึ”
ช้อยพรวดมาอีกคน ช่วยผสมโรง
“ช้อยเห็นคาตาเจ้าค่ะ เนียนปลดสร้อยประคำออกไปจากคอคุณหนูอี๊ด ช้อยสาบานเจ้าค่ะ”
“จริงรึ หนูอี๊ด” ทองจันทร์หันมาทางหลานสาว
ทานตะวันคิดนิดหนึ่งแล้วสบตาสน เห็นสนพยักหน้าให้
“จริงค่ะ คุณย่า”
ทองจันทร์ลุกพรวด โกรธมากน้ำหมากกระเด็นหก

“อุเหม่ นางคนถ่อย เลี้ยงเสียข้าวสุก”

ฝ่ายขุนภักดีกำลังครุ่นคิดเรื่องเนียน เรียมมองจับสังเกตท่าที จึงเอ่ยถาม

“พี่เทพ ไปแอบดูลูกเราเล่นกับหนูติ๋วมาหรือคะ”
“นี่ อย่ามาหาว่าพี่ไปแอบดูใครนะ พี่ได้ยินเสียงเด็กหัวเราะ พี่ก็หันไปมองก็เท่านั้น อย่ามาจับผิดพี่สิเรียม” ขุนภักดีพาลหงุดหงิดเพราะกลัวใครจับได้ว่ายังอาลัยอาวรณ์เนียนอยู่ “นางแพศยาคบชู้นั่น พี่ไม่เหลือบแลมันให้เสนียดมาติดสายตาพี่ดอก พี่ห่วง กลัวว่าลูกมันจะมารังแกลูกเราเข้า”
“แล้วหนูติ๋วรังแกหนูอี๊ดไหมคะ”
“เปล่า มันไม่กล้า ลูกเราน่ะฉลาดวางตัวเก่ง ข่มมันตั้งแต่พบหน้ากัน มันเลยหงอ”
“พี่เทพขา ถ้าลูกเราไปข่มคนอื่นจนหงอ เอาแต่ใจตัว โตขึ้นจะมีเพื่อนหรือคะ” เรียมหารือ
“จะเดือดเนื้อร้อนใจไปทำไม ลูกเราอยู่แต่ในแวดวงดีๆ ลูกท่านหลานเธอของพวกเราเอง ได้แต่งงานกับคนดีๆมีบารมีผัวคุ้มตัวแค่นี้ก็พอแล้วสำหรับลูกผู้หญิง หรือว่าตัวเรียมไม่ได้เป็นเช่นนี้”
“ก็คล้ายๆ กันค่ะ แต่เรียมไม่เคยยกตนข่มใคร ผู้หญิงสมัยนี้ ต้องเก่งกว่าสมัยเรียม ไม่จำเป็นต้องอาศัยแต่บารมีผัว ไม่ใช่แค่เออๆ ค่ะๆ เท่านั้น เขาต้องช่วยตัวเองได้ ต้องมีเพื่อนมากๆ”
“ก็ถูกของเรียม แต่คนเราก็ต้องไว้ตัว ไม่อย่างนั้นจะแยกนายแยกบ่าวได้ยังไง”
“คนเหมือนกัน หายใจอากาศเดียวกัน อย่าข่มเขาเกินไป ที่พูดมานี่คือเรียมจะส่งลูกเราไปเรียนโรงเรียนของนฤมล เพื่อนสนิทของรียม ที่บางกอกน่ะค่ะ”
“ดีมากจ้ะ พี่จำนฤมลได้แม่น โรงเรียนของนฤมลมีชื่อเสียงมาก”
“เรียมคิดว่าหนูอี๊ดไปอยู่ตามลำพังคงจะเหงา”
ขุนภักดีรู้ทัน “พูดวนไปเวียนมา ชักแม่น้ำทั้งห้า ก็เพื่อจะเอาเด็กติ๋วไปเรียนด้วย จะส่งเสริมมันให้เท่าเทียมว่างั้นเถอะ พี่ไม่ออกเงินค่าเรียนให้มันเด็ดขาด”
“เอ้อ เรียมก็แค่ส่งไปเป็นคนรับใช้ คนสนิทของหนูอี๊ดไม่ดีหรือคะ”
ขุนภักดีคิดอยู่ เสียงช้อยดังขึ้นก่อนตัวจะพรวดพราดเข้ามา
“ท่านขุน คุณนายเรียมเจ้าขา เกิดเรื่องใหญ่ในรอบห้าปีแล้วเจ้าค่ะ”
“ใครเป็นอะไร ลูกข้าเป็นอะไร นางบ่าวเล้าหมูมันทำอะไรลูกข้า”
“ไม่ได้ทำอะไรแค่ขโมยปลดสร้อยประคำของคุณหนูไปตอนที่ลูกมันผลักคุณหนูล้ม มันจึงแสร้งทำท่าไปอุ้มเพื่อหวังขโมยของเจ้าค่ะ”
“ไม่จริง ช้อยอย่ามาเหลวไหลใส่ความคนอื่น พี่เทพคะ..สอบถามก่อนค่ะ”
ขุนภักดีหายไปแล้ว อึดใจเดียวกลับมาพร้อมด้วยแส้ม้า หน้าตึงกระแทกส้นลงเรือนไป ช้อยยิ้มย่องวิ่งตามไปทันที
“พี่เทพ อย่านะคะ” เรียมร้องห้าม

สนกับแทนพร้อมด้วยบ่าวชายอีกจำนวนหนึ่ง กรูกันมาจับตัวเนียน
“ลากเอาตัวอีเนียนไปลงอาญา”
เนียนตกใจ “คุณสนว่ากระไรนะคะ”
“เอ็งอย่ามาทำไขสือ ไอ้แทน บอกพวกเอ็ง ลากเอาตัวมันไปโยงไว้กับต้นไม้ใหญ่ที่มันเคยโดนโบยมาแล้ว เมื่อห้าปีก่อน” สนสั่งบ่าวชาย
แทนกับพวกกรูมากระชากลากเนียนไป เนียนดิ้นรน เนื้อทองร้องไห้จ้า มาช่วยฉุดแม่ไม่ให้ใครเอาแม่ไป เทิดศักดิ์ตกตะลึง
“ฉันทำผิดอะไรหรือคะ คุณสน” เนียนร้องถาม
“เอ็งรู้อยู่แก่ใจไม่ต้องมาทำเป็นโง่เง่าเต่าตุ่น”
“ปล่อยแม่หนู อย่าเอาแม่หนูไป อย่าทำร้ายแม่หนู ฮือๆๆ” เนื้อทองร้องไห้
“อะไรกันนักกันหนา ห้าปีที่ทารุณกันมา ป่านนี้ยังมิเลิกรา” กบฉุน
“ฉันอุ้มคุณหนู เพราะเธอหกล้ม ผิดมากมายขนาดนั้นเลยหรือคะ” เนียนอธิบาย
“แค่บังอาจอุ้มหนูอี๊ดก็ผิดมาก ยิ่งเรื่องปลดสร้อยปะคำนี่เอ็งผิดจนอภัยไม่ได้ เอ็งมันนังหัวขโมย รีบลากมันไปให้พี่ขุนโบยเดี๋ยวนี้” สนสั่งเสียงแข็ง
“คุณแม่สนเห็นกับตาหรือว่าน้าเนียนปลดสร้อยน้องอี๊ด ผมอยู่ข้างๆ ใกล้กว่าคุณแม่สนผมยังไม่เห็น” เทิดศักดิ์เอ่ยท้วงขึ้น
“หยุดนะ ลูกเทิดศักดิ์ อย่าหลับหูหลับตาเข้าข้างคนใช้”
พวกแทนพยายามฉุดเนียน เนื้อทองมาดึงแม่ สนกระชากเนื้อทองจนเซจะล้ม เทิดมาจับไว้
“หลีกไปนะนังเด็กบ้า”
“คุณแม่รังแกเด็ก” เทิดศักดิ์ว่า
“หนูติ๋วจ๋า อย่าตามไปนะลูก กบฝากหนูติ๋วด้วยอย่าให้ตามไป”
เด็กหญิงเนื้อทองดิ้นรนจะไป พวกแทนลากเนียนไป
“เอาแม่หนูคืนมา อย่าเอาแม่หนูไป”
สนเดินยิ้มตามไป เทิดศักดิ์ไม่พอใจช่วยเนียนไม่ได้โอบกอดหนูติ๋วไว้ พลางเช็ดน้ำตาให้
“หนูติ๋วจ๋า อย่าร้องไห้ พี่จะช่วยน้าเนียนไม่ให้โดนโบย พี่กบ ไปบอกลุงเอกให้มาช่วยน้าเนียนไวๆ เข้า” เทิดศักดิ์บอก
“เจ้าค่ะ”
กบวิ่งออกไป เสียงร้องไห้ของเนียนผสมกับเสียงร้องของเนื้อทองดังระงมไปหมด เทิดศักดิ์เช็ดน้ำตาให้
“หนูจะไปช่วยแม่เนียน คุณเทิดศักดิ์ขาช่วยแม่เนียนด้วย”
เนื้อทองเขย่ามือเทิดศักดิ์สบตาอ้อนวอนน้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม สะอื้นฮักๆ
เทิดศักดิ์พยักหน้า “พี่ช่วยแน่ เราไปช่วยน้าเนียนกัน”
เทิดศักดิ์จูงมือเนื้อทองเดินออกไปด้วยกัน เนื้อทองป้ายน้ำตาป้อยๆ ไปตลอดทาง

เนียนกำลังถูกบ่าวผู้ชายจับมัดโยงไว้กับต้นไม้ต้นเดิมเมื่อ 5 ปีก่อน ตอนขุนภักดีลงอาญา
เนียนอดนึกตอนที่ตัวเองโดนโบยเมื่อห้าปีก่อนไม่ได้
คิดขึ้นมาแล้วเนียนน้ำตาไหลพราก สนเดินยิ้มเข้าไปหา
“ห้าปีผ่านไปไวเหมือนโกหก กงล้อเวรกรรมตามทันเอ็งอีกครั้ง ห้าปีผ่านไปเนื้อหนังของเอ็งคงด้านหนากว่าเดิมโบยไม่เจ็บนะ”
ช้อยเข้ามากระซิบ “ห้าปีที่คุณสนรอคอยจะล้างแค้นที่พี่ชายมันทำกับคุณสนก็มาถึง เชื่อหัวอีช้อยหรือยังเจ้าคะ”
“เชื่อสิ คืนนี้ข้าจะตกรางวัลให้เอ็งอย่างงาม”
“สาบานได้ว่าชั้นไม่ได้ขโมย ชั้นไม่มีวันขโมยของคุณหนูอี๊ดเด็ดขาด” เนียนอธิบาย
ขุนภักดี พร้อมด้วยทองจันทร์ พากันมาถึงมีเรียมตามมาติดๆ ทองจันทร์ชราลงมาก มีแมวคอยประคอง
“มึงมันเลี้ยงไม่เชื่อง มึงทำให้กูหมดเมตตาเฉดหัวไล่ออกจากบ้านก็วันนี้ ถ้ามึงไม่สารภาพว่ามึงปลดสร้อยปะคำลูกสาวกู”
เนียนมองท่านขุนน้ำตาไหลย้อยคิดในใจ “ก็ลูกเนียนเหมือนกัน เนียนจะไปทำเช่นนั้นกับลูกของตัวเองได้ลงคออย่างไร” เนียนพูดออกมา
“เนียนไม่ได้ทำเจ้าค่ะ”
“นางผู้ร้ายปากแข็ง แพศยาตาใส สารภาพมา หนักจะได้เป็นเบา แค่โดนแส้ม้าโบย ไม่ถึงกับเฉดหัวออกจากบ้าน” สนพูดสอดขึ้น
เรียมเอ่ยขึ้น “พี่เทพขา เรียมขอยืนยันอีกคน ว่าเนียนไม่มีวันขโมยของหนูอี๊ดแน่ค่ะ”
“เพราะอะไร แม่เรียมถึงเข้าใจไขว้เขวเข้าข้างมันไปได้ขนาดนั้น” ทองจันทร์สอดขึ้น
เรียมคิดอยู่ในใจ “เนียนเป็นแม่ของหนูอี๊ด” แต่ที่พูดออกมาได้คือ “เนียนไม่ใช่คนขี้ลักขี้ขโมย สมัยก่อนทองหยองกองวางเต็มห้องไม่เคยหาย”
ช้อยสาระแน “สมัยนี้ มันต่างกันเจ้าค่ะ มันอิจฉาแทนลูกตัวเอง เห็นคุณหนูอี๊ดเกิดวันเดือนปีเดียวกัน ตกฟากใกล้เคียงหรือพร้อมกันแต่มีชีวิตต่างกันราวสวรรค์กับนรก”
เรียมหันไปดุ “หยุดนะช้อย รู้ดีขนาดว่าหนูติ๋วอยู่ในนรก แล้วรู้ต่อไปไหมว่าใครยัดเยียดนรกให้หนูติ๋ว”
ทองจันทร์ดุ “หยุด! นายว่าขี้ข้าพลอย เนียน เอ็งรับสารภาพซะ ข้ารังเกียจเอ็ง ขยะแขยงเอ็ง แต่เวทนาเด็กตาดำๆ ถ้าถูกเฉดหัวไปไม่แคล้วลูกเอ็งกลายเป็นขอทานข้างถนน”
“ประการแรก ต้องโบยเอ็งเรื่องบังอาจมาอุ้มลูกสาวข้า ประการที่สองต้องโบยที่เอ็งปล่อยให้ลูกเอ็งมาผลักลูกข้า ประการที่สามหนักที่สุดเอ็งขโมยของซึ่งหน้า”
สนพยายามถามนำ “เนียนเอ็งยุลูกเอ็งให้ทำใช่ไหม”
เนียนส่ายหน้าไม่มีปัญญาพูดอะไรออกมา ขุนภักดีขยับแส้จะฟาด
“พี่เทพจะไม่ถามลูกเราก่อนหรือคะ ว่าเรื่องมันเป็นอย่างไร”
สนอุ้มทานตะวันไว้ตลอดเวลา กระซิบเบาๆ ข้างหู ทานตะวันชี้หน้าเนียน
“มันบอกให้ลูกมันผลักหนู แล้วมันก็ปลดสร้อยคอหนู”
“หนูอี๊ด โกหก” เรียมไม่พอใจ
ขุนภักดีบันดาลโทสะ ฟาดแส้บนหลังเนียนทันที
“เด็กไร้เดียงสาโกหกไม่เป็น”
ขณะที่ขุนภักดีจะฟาดต่อ เทิดศักดิ์จูงพาเนื้อทองมาถึง
“คุณพ่อหูเบา เป็นผู้ใหญ่ทำไมฟังความข้างเดียวครับ”
ทุกคนหันไปมอง เป็นตาเดียว
“เทิดศักดิ์”
สนกริ้วมาก “ไอ้ ...” แล้วเปลี่ยนเป็นคำรามในคอ “เด็กเวร”
เนื้อทองสะบัดมือจากเทิดศักดิ์ถลาไปกันแม่ไว้
“ตีหนูแทนแม่เถิดเจ้าค่ะ”
เนื้อทองกันแม่ไว้อย่างกล้าหาญ สองมือพนมไหว้ขุนภักดีอย่างน่าเวทนา สีหน้าทุกคน อึ้ง ขุนภักดี ชะงักแส้
เรียมมองอย่างชื่นชมแต่ก็ตกใจมาก
“หนูติ๋ว ออกมา”
ทองจันทร์ตะลึง อดชื่นชมไม่ได้ แต่ก็ยังโกรธเนียน
“เออแน่ะ เด็กนี่มันกตัญญูแท้ๆ”
ท่านขุนตวาดลั่น "เอาเด็กออกไป"

สนกระทุ้งช้อยมากระชากเนื้อทองออกไป จังหวะนั้นสร้อยปะคำก็หล่นมาจากชายพกของเนียน

อาญารัก ตอนที่ 7 (ต่อ)

สร้อยปะคำหล่นลงมาต่อหน้าต่อตา ทุกคนตื่นเต้น ชี้ไปยังสร้อยที่ตกลงพื้น ขุนภักดียิ่งมั่นใจมาก

“พยานหลักฐาน ปรากฏออกมา มึงยังกล้าปากแข็ง อีเนียนกูจะโบยมึงแล้วเอาตัวไปส่งตำรวจ”
ขาดคำท่านขุนก็โบยเนียนถี่ยิบ เนื้อทองร้องไห้โฮ
“ไม่จริง แม่หนูไม่ได้ขโมย แม่หนูมีสร้อยแบบนี้เหมือนกัน”
“แม่แกจะเอาปัญญาที่ไหนไปมีของแบบนี้ จะกินยังต้องรอกากเดนจากพวกฉัน”
เรียมมองเนียนน้ำตานองหน้า เนียนน้ำตาอาบแก้ม

ฝ่ายเอกวิ่งหน้าตั้งมายังที่เนียนถูกโบย โดยมีกบตามหลัง
“วิ่ง วิ่งให้ไว พี่เอก ไว อีก ไวอีก”
“ไอ้คนไม่ไวน่ะเอ็งนางกบ ไม่ใช่พี่ เอ็งวิ่งตามหลังข้าแท้ๆ”
“ก็แหมคนมันกลัวไปไม่ทันช่วยเนียนนี่นา ป่านเนี้ย โดนหวดไปกี่แส้ม้าแล้วก็ไม่รู้ ว๊าย…”
กบพูดจบหกล้มลงไปกองกับพื้น
เอกหน่าย “เวร”

ขุนภักดีโบยเนียนต่อ เนื้อทองโดนอุ้มออกไปร้องไห้ลั่น
สนกับช้อย และทานตะวันยิ้มดีใจ
“อย่าร้องหนูติ๋ว เกิดมาเป็นลูกแม่ ต้องอดทน อย่าต้องร้องไห้”
“อย่าพูดมาก ของหล่นมาจากตัว ยังไม่ยอมรับอีกรึ จะโบยมึงให้ถึงร้อย แล้วเฉดหัวออกจากบ้านไปเป็นขอทานทั้งแม่ทั้งลูก”
เทิดศักดิ์เข้าไปขวางในทันที
“ถ้าอย่างนั้นโบยผมด้วยสิครับคุณพ่อ คุณพ่อชอบใช้ความรุนแรง”
ทองจันทร์ เรียม และสนตกใจ “เทิดศักดิ์”
“เหลวไหล อย่ามาท้าทายพ่อ นึกว่าไม่กล้าตีลูกรึ ออกไปนะเทิดศักดิ์”
“ผมจะไป ถ้าคุณพ่อหยุดโบยน้าเนียนแล้วฟังผม ผมอยู่กับน้องสองคนนี่ตลอดเวลา แม่สนต่างหากมาทีหลัง แล้วพูดเอาเอง” เทิดศักดิ์พูดอย่างห้าวหาญ
ทุกคนมองหน้ากัน อึ้งกับคำพูดของเทิดศักดิ์
“เทิดศักดิ์อย่ามาใส่ร้ายแม่นะ”
“ผมไม่ต้องการให้คุณพ่อลงโทษผิดคน” เทิดศักดิ์บอกต่อ
พวกบ่าวแอบซุบซิบกัน สนแค้นลูกมาก เทิดศักดิ์เองยังคงขวางกันเนียนเอาไว้

แดงน้อยในวัย 7 ขวบ แพร โพล้ง คนมากินอาหาร คนส่งของ
หนักให้ทุนมาปรับปรุงร้านอีกก้อน แพรและโพล้งเปิดหน้าร้านดูใหญ่กว่าเดิม วันนี้มีคนมานั่งกินอาหาร โดยมีแดงน้อยวัย 7 ขวบ ช่วยเสิร์ฟอาหาร ด้วยหน้าตาที่น่ารักจึงมีแต่คนเอ็นดู
“น่ารักแท้ๆ” ลูกค้าคนหนึ่งบอก ยิ้มปลื้ม
โพล้งกับแพรมองชื่นใจ
“เนียนคงดีใจถ้าได้เห็นว่าแดงน้อยน่ารักฉลาด ขนาดนี้” โพล้งว่า
“แถมสุภาพมีมารยาท รู้จักช่วยงานช่วยการ อยากรู้นักว่าถ้ามันรู้ตัวว่ามันรวยมาก มันจะกำแหงไหม”
“เอ็งละก้อพูดจาเหลวไหล คนจะดีจะชั่ว มาจากการอบมรมเบื้องต้น ข้าอมรมมากับมือ มันดีเหมือนข้า” โพล้งบอก
แพรทำท่าอ้วกใส่ “อยากจะอ๊วกรดหน้า ถ้าเหมือนเอ็งมันก็กลายเป็นโจรไปแล้ว มันดีเหมือนข้าตะหาก”
“นางขี้โม้ ถ้าเหมือนเอ็งมันก็ต้องปากมาก ปากปลาหมอ อยากโดนพี่หนักตัดลิ้นรึ พูดเรื่องโจรออกมาได้นี่”
แดงน้อยเดินมาหาสองคน
“ลุงครับป้าครับ แขกรออาหารครับ นี่ครับ ใบสั่งอาหาร”
สองคนหยุดเถียงกันหันไปรีบทำอาหาร คนส่งของเดินเข้ามา
“ใครชื่อเด็กชายแดงน้อยครับ”
ทุกคนหันไปมอง แดงน้อยเดินไปหาสวัสดีอย่างน่ารัก
“สวัสดีครับ ผมแดงน้อยครับ”
แดงน้อยรับของมา เห็นเป็นห่อของขวัญ โพล้งกับแพรมาอ่าน
“ของขวัญวันเกิดของแดงน้อย”
“ลุงสินส่งมา”
แดงน้อยตื่นเต้นรีบเอาของขวัญมากอดแนบอก ดีใจ และมีความสุขมาก

ส่วนที่ลานโบยเนียน ขุนภักดีหงุดหงิดไม่อาจตีเนียนได้ เพราะเทิดศักดิ์ขวางไว้
“พ่อบอกให้ออกมา เทิดศักดิ์”
“ถ้าผมไม่ออกเล่าครับ”
“แปลว่าอยากโดนโบย”
“ครับ โบยสิครับ คุณพ่อ”
สองคนจ้องหน้ากัน นิสัยเหมือนกันจะเอาชนะกัน ขุนภักดีไม่กล้าตี เทิดศักดิ์ก็รู้ สนกับช้อยมองหน้ากันสนโกรธลูกจนตัวสั่น
“ช้อยดูดู๋ดูลูกกูมันทำ”
ทองจันทร์อึ้งไป เรียมน้ำตาซึม
“นางเนียนมันมีดีอะไรทำไมหลานเทิดศักดิ์ถึงรักมันหนักหนา”
“เทิดศักดิ์มีความคิดโตเกินเด็กรุ่นเดียวกัน แกนิสัยเหมือนพี่เทพคือนิสัยไม่ยอมแพ้ค่ะ” เรียมว่า
“ออกไปเถิดค่ะ คุณเทิดศักดิ์ น้าเป็นคนเลวน้าสมควรโดนลงโทษ” เนียนบอก
“น้าเนียนเป็นคนดี คนไม่ดี พูดจาหยาบคาย ใจร้ายใส่ร้ายคนอื่นแต่น้าเนียนไม่ใช่” เทิดศักดิ์ย้ำ
ช้อยเห็นท่าไม่ดีรีบกระซิบ “เอาไม่อยู่แล้วเจ้าค่ะ คุณสน ไปอุ้มมาเถิดเจ้าค่ะ”
สนปราดไปกระชากเทิดศักดิ์
“อยากเจ็บตัวใช่ไหม ไอ้เด็กดื้อ”
“ปล่อยผมนะคุณแม่สน”
“ไม่ปล่อย เด็กอะไรอวดดีกับพ่อแม่”
เทิดศักดิ์ผลักไสไม่ยอมให้จับตัว ยื้อกันไปมา สร้อยปะคำที่ชายพกของสนก็หล่นลงมาอีกเส้น
สร้อยปะคำหล่นตกลงที่พื้นทุกคนตกตะลึงไปทั้งแถบ โดยเฉพาะขุนภักดี
เรียม ทองจันทร์ ช้อย และสนตะลึง
“สร้อยปะคำ”
ทองขึ้นเสียง “นี่มันอะไรกัน”
สนโยนทันที “นางช้อยค่ะ คือ นางช้อย”
“คุณแม่ดึงไปจากคอน้องอี๊ดเองแท้ๆ” เทิดศักดิ์ว่า
ทุกคนเริ่มลังเล สนด่าลูกชาย
“เด็กอกตัญญู กล้าใส่ร้ายแม่”
“เด็กไร้เดียงสาโกหกไม่เป็นใช่ไหมครับคุณพ่อ” เทิดศักดิ์หันมาทางขุนภักดี
“เอาละ สรุปได้ว่า สร้อยปะคำมีสองเส้น”

ทองจันทร์เอ่ยขึ้นเสียงดัง 

ขุนภักดีเริ่มได้คิด

“รึมันจะเข้าทำนองปลาตะเพียนมีสองตัว เมื่อห้าปีก่อน”
ขุนภักดีลดแส้ในมือลง นึกดีใจที่ไม่ฟาดลงไปอีก และเสียใจที่ฟาดไปแล้ว
“เนียนไม่ได้ขโมย รีบแก้เชือกเนียน ซะ” เรียมสั่ง
“เอาคนที่มันขโมยจริง มาโบยแทน” ทองจันทร์สั่ง
สนปัดสวะชี้ไปที่ช้อยทันที
“นางช้อย มันเอามาส่งให้สน มันบอกว่า เนียนปลดมาจากคอหนูอี๊ด นางช้อยโกหกสน ให้หลงเชื่อผิดๆ”
ช้อยตาเหลือก รับไปเต็มๆ “คุณสน”
พวกบ่าวชายหญิงทุกคนร้องพร้อมๆ กัน อย่างโกรธแค้น “นางช้อย”
ช้อยร้องลั่น “อย่านะเจ้าคะ อย่าโบย ช้อย”
“ความจริงปรากฏแล้ว เอ้อ..” ขุนภักดีไม่อยากจะเอ่ยชื่อเนียน หันมาทางช้อย “เป็นเพราะเจ้าจงใจใส่ร้ายผู้อื่นเพื่อให้ทุกคนเข้าใจว่าเขาขโมย เจ้าต้องโดนโบย”
ช้อยยังคงร้องลั่น “คุณสนเจ้าขา แก้ต่างให้ช้อยสิเจ้าคะ ช้อยเป็นคนของคุณสนนะเจ้าคะ”
ขุนภักดีเสียงแข็ง “เป็นคนของใคร ข้าก็ไม่ละเว้น ถูกไหมสน”
“พ่อเทพพูดถูก”
“เอ็งเป็นคนของสน ข้าจะให้นายเอ็งโบยเอ็งยี่สิบที สนอย่ายั้ง สั่งสอนให้มันสำนึกเลิกทำตัวเป็นบ่างช่างยุ” ขุนภักดีมองหน้าสน
“กบ แมว นับให้แม่สนโบยมันยี่สิบทีอย่าให้ขาด แต่จะเกินสักหน่อยก็ปล่อยแม่สนเขาไป” ทองจันทร์บอกย้ำ
ช้อยร้องให้โฮ เนื้อทองรีบวิ่งไปกอดแม่ร้องไห้ไป หัวเราะไป
“คุณนายเรียมเจ้าขา สร้อยนี่ลุงเอกเอามาให้แม่เนียนต่างหาก”
ทุกคนหันไปมองเอก ที่มาถึงยืนหน้าจ๋อย

เวลาต่อมา ขุนภักดีกับทองจันทร์อยู่บนเรือนแล้ว กำลังนั่งจ้องหน้าเอกตาเป๋ง
“ไอ้เอก” ทองจันทร์เรียกเสียงดัง
ขุนภักดีชิงพูดแดกดันขึ้น “เอ็งอีกแล้ว คราวนี้ญาติมหาเศรษฐี ฝ่ายไหนของเอ็งทำสร้อยปะคำเกินมาให้เหมือนปลาตะเพียนอีกรึ”
“รึว่าเอ็งมีอะไรกับนางเนียนมันจริงๆ ดังที่ใครๆ สงสัย จะได้สั่งโบยเอ็ง อีกคน” ทองจันทร์ว่า
“นายเอกไม่มีเงินจะไปซื้อของแพงอย่างนั้นแจกใครดอกค่ะ คุณแม่” เรียมเอ่ยขึ้น
“นี่ เรียมจะบอกว่ากระไร”
“เรียมสั่งทำมาสองเส้นเรียมให้นายเอกเอาไปให้หนูติ๋วเองค่ะ คนผิดก็เรียมนี่แหละค่ะ”
“ทำไมใจดีกับมันเท่าเทียมลูกของตัวขนาดนั้น ทำราวยังกับว่าติดหนี้มันมาแต่ชาติปางก่อน”
“เรียมเห็นว่ากำลังจะถึงวันเกิดเด็กสองคนนี่ เรียมก็เลย…”
“จัดการให้ของขวัญมันเทียบเทียมลูกตัวเอง จะยกย่องมันไปถึงไหน” ขุนภักดีโมโหโกรธา
“พี่เทพอยากโบยเรียมก็ได้นะคะ”
“เรียมชักจะกล้าหาญกับพี่มากขึ้นทุกที ตั้งแต่มีหนูอี๊ด”
“เรียมขอโทษค่ะ” เรียมหันมาทางทานตะวัน “หนูอี๊ดพูดความจริงออกมา ว่าใครปลดสร้อยปะคำจากคอหนู”
ทุกคนจ้องไปที่ทานตะวัน
“พูดออกมาหนูอี๊ด ย่าอยู่ตรงนี้ทั้งคน ใครมันจะกล้ามาทำอะไรหลานย่า” ทองจันทร์ว่า
เทิดศักดิ์ท้วงติง “คุณย่าให้ท้ายน้องอี๊ด ให้เป็นเด็กเสียคน”
เอกกับเรียมแอบยิ้ม ทองจันทร์ทั้งฉุนทั้งขันระคนเอ็นดูที่เทิดศักดิ์ฉลาดพูด
“ฉันโดนหลานมันถอนหงอกเข้าให้แล้ว จริงของหลานเทิดศักดิ์เอาละ ต่อไปนี้ย่าจะเพลาๆ เอาใจให้ท้ายหนูอี๊ดลงซะบ้าง แต่แม่เรียมจะไปบีบคั้นลูกตัวนิดเดียวให้มาตอบเรื่องผู้ใหญ่ไปทำไม”
“หนูอี๊ด แม่จะไม่บังคับให้หนูตอบว่าใครปลดสร้อยหนู แต่แม่จะขอเตือนว่าหนู เป็นลูกแม่ เชื่อฟังแม่อย่าเชื่อคนอื่นมากกว่าแม่”
“อ้าวแม่เรียม ช่วยหลานเทิดศักด์ถอนหงอกแม่อีกคนแล้วรึ” ทองจันทร์นึกว่าเรียมว่าตัวเอง
“หามิได้ค่ะ เรียมหมายถึง คนอื่นที่ไม่ใช่คุณแม่ค่ะ”
“คุณแม่เรียมหมายถึงคุณแม่สนครับ คุณย่า คุณแม่สนชอบสอนน้องอี๊ดให้เสียเด็ก” เทิดศักดิ์เอ่ยขึ้น
“เรื่องนี้เลิกแล้วต่อกัน เรียมจ๊ะ พี่ขอเป็นครั้งสุดท้ายเรื่องให้ของเด็กนั่น เหมือนให้ลูกเรา อย่าทำอีก”
“ทำไมคนเราต้องแตกต่างครับคุณพ่อ ทำไมน้าเนียนต้องไปอยู่กระท่อมเล้าหมู เหม็นแคบยิ่งกว่าห้องคนรับใช้ ทำไมทุกคนต้องรังเกียจน้าเนียนทั้งที่น้าเนียนนิสัยดี หนูติ๋วก็ไม่ได้เป็นเด็กนิสัยเสีย พวกเขาน่าสงสารมาก”
คำพูดซื่อๆ ของเด็กชายวัย 6 ขวบ กระแทกเข้าหน้าขุนภักดี จนนิ่งงันไป ในใจสงสารเนียนไม่น้อยที่ทำร้ายเนียนไปผิดๆ ทองจันทร์ก็เช่นกัน
“เวทนาเด็กติ๋วไม่รู้อิโหน่อิเหน่ เห็นหน้ามันทีไร เผลอจะเรียกผิดเป็นหนูอี๊ดทุกที จับไปแต่งตัวเหมือนกันทำผมเหมือนกันขึ้นมาละก้อ จำผิดจำถูกกันบ้างละ”
เรียมเอกเผลอมองหน้ากัน
“ไอ้เอก บอกแม่มัน ห้ามเด็กนั่นไว้ผมเหมือนหนูอี๊ดเด็ดขาด”
“คุณย่าเป็นใหญ่ในบ้านนี้ที่สุด อย่าให้เขาอยู่ที่กระท่อมเล้าหมูได้ไหม ครับ” เทิดศักดิ์ขอร้อง
“หลานย่าน่าจะเปลี่ยนชื่อเป็นเวสสันดร พ่อเทพแม่ว่าให้มันกลับมาอยู่ ห้องที่มันเคยอยู่ตอนมาครั้งแรกนะพ่อเทพ”
“แล้วแต่คุณแม่เถิดครับ คุณแม่ใหญ่ที่สุดในบ้านนี่ครับ”
“วันนี้ฉันโดนรุมถอนหงอก จะเอาไปทำยำหัวหงอกกินมื้อเย็นรึ”
ทองจันทร์บ่นอุบ เรียมแอบยิ้มพอใจ ขุนภักดีหันมาทำตาเขียวใส่ เรียมจึงเสอุ้มทานตัวันขึ้นมาหอมไปมา

ฟากนางช้อยสันดานชั่วกำลังรับกรรม ถูกโยงกับต้นไม้ ร้องไห้โฮๆๆๆ มีสนกำลังโบย กบกับแมวช่วยกันนับ
“สิบสี่ สิบ…”
“โอ๊ย พอทีนะเจ้าคะ ช้อยเจ็บ ช้อยไม่ไหวแล้ว เนื้อคนนะเจ้าคะไม่ใช่หนังช้าง”
“เอ็งทำข้าเสียหายหลายแสนเอ็งทำให้ทุกคนอาจเข้าใจข้าผิดได้”
สนฟาดแส้ลงไปอีก
กบกะแมวนับต่อ “สิบห้า สิบ...”
“คุณสนเป็นต้นคิด ช้อยแค่เห็นดีเห็นงามต่างหาก คุณสนใจร้าย”
“หยุดนะ ข้าทำตาม คำสั่งพี่ขุน”
สนฟาดลงไปอีก
“สิบหก สิบ...”
ช้อยหันมามองสนอย่างน้อยใจ “คุณสนเจ้าขา ทำไมช้อยต้องรับกรรม ที่ไม่ได้ก่อขนาดนี้ คุณสนโยนบาปขว้างกรรมมาใส่ช้อยแท้ๆ”
“มึงหยุดนะอีช้อย นี่แน่ะ นี่แน่ะ”
สนบันดาลโทสะที่ถูกแฉ ฟาดแส้อย่างแรงๆ สี่ทีรวด
กบกะแมวนับเร็วๆ “สิบเจ็ด สิบแปด สิบเก้า ยี่สิบ”
ช้อยร้องครวญคราง “โอ๊ย ช้อยเจ็บใจจะขาดแล้ว แก้มัดช้อยไวไวสิเจ้าคะ”
“นางกบ นางแมว แก้มัดสิ”
สนหันมากบกับแมวหายหัวไปแล้ว
“มันวิ่งหนีไปแล้ว คุณสนช่วยช้อยก่อนเจ้าคะ”
“ตะโกนเรียกไอ้แทนให้มันมาแกะให้สิ สมน้ำหน้า”
สนสะบัดหน้าเดินหนีไป
ช้อยมองตามเริ่มจะไม่ไหวกับสน
“เสียแรง จงรักภักดี เสียแรง อีช้อยยอมพลีให้ทั้งชีวิต ทำไมไร้น้ำใจกับอีช้อยผู้ภักดีถึงปานนี้ รู้บ้างไหมว่าอีช้อยมันเจ็บทั้งตัว เจ็บทั้งหัวใจ”

ช้อยสะอื้นน้ำตาไหลพราก ทั้งเสียใจทั้งน้อยใจสน

ด้านเนียนกับเนื้อทองกำลังย้ายของมาอยู่ห้องเดิมที่เคยอยู่ตอนมาครั้งแรก ท่ามกลางความยินดีของเอก กบ และแมว

“แม่เนียนจ๋า หนูดีใจ ที่เราได้ย้ายมาอยู่ห้องใหม่”
“คุณเทิดศักดิ์เธอขออนุญาตคุณท่านให้เรามาอยู่ที่นี่จ้ะ” เนียน
“คุณหนูเทิดศักดิ์ เธอมีใจเมตตาผ่าเหล่าผ่ากอแท้ๆ” เอกว่า
“ผ่าเหล่าผ่ากอแม่สนน่ะสิ นิสัยกลับมาคล้ายทางเนียน ทั้งที่ไม่ได้ดองกัน” กบบอก
“ท่านขุน ยังพอมีเมตตา เพียงแต่ว่าหูเบาไปนิดหนึ่ง” แมวว่า
“ประมาณว่าปากร้ายใจดี ถ้าไม่วู่วามละก้อ ท่านมีน้ำใจไม่น้อย” กบ
เนียนไม่รู้สักนิดว่าเทิดศักดิ์เป็นหลานในไส้ “ฝากพี่เอกขอบคุณ คุณหนูเทิดศักดิ์ด้วยนะจ๊ะ วางของไว้ตรงนั้นแหละจ้ะ ฉันจะขนเข้าไปเอง”
“แม่เนียนจ๋า ทำไมพ่อของหนูติ๋วไม่มาหาแม่เนียน ไม่มาช่วยแม่เนียน ไม่ให้โดนรังแกบ้างจ๊ะ” เนื้อทองพูดพาซื่อ
เนียนนิ่งไป ทุกคนเงียบกริบ แล้วรีบออกไป เนียนดึงลูกมากอด
“พ่อหนูตายไปห้าปีแล้วจ้ะ” เนียนพูดเท่านั้นก็บิกตัวเองในใจ “ตายไปจากชีวิตจิตใจของแม่”
เนียนกลั้นน้ำตาไว้

ขุนภักดีให้นึกเสียใจที่วู่วามตีเนียนไปหลายที ได้แต่ทอดถอนใจ ขณะมองไปยังเรือนคนใช้
ภาพที่เนียนโดนโบย น้ำตานองผุดขึ้นมาหลอกหลอน
“นี่เราหูเบาวู่วามเกินไปอย่างที่ลูกเทิดศักดิ์ตำหนิจริงๆ ด้วย”
ขุนภักดีได้สติ มองไปที่เนียนนึกสะท้อนใจ

เนียนกับลูกโอบกอดกันน้ำตาคลอ
“พ่อเป็นอะไรตายจ้ะ แม่เนียน”
“เขา เขาเอ้อป่วยตายจ้ะหนูติ๋ว”
“เอ้อ จ้ะ เขาใจดี”
“เขารักแม่เนียนกับหนูมากใช่ไหมจ้ะ”
“จ้ะ เขารักเราสองคนมาก”
“หนูดีใจหนูกลัวเขาใจร้ายเหมือนท่านขุน หนูเกลียดท่านขุน”
“ตายแล้ว อย่าพูดอย่างนั้นนะหนูติ๋ว แม่ขอร้อง อย่าพูดอีก”
เนื้อทองพยักหน้า

ขุนภักดียังคงคิดไม่ตก
“เด็กติ๋ว เป็นลูกใครกันนะ ถ้ามันเป็นลูกเสือหนัก โตขึ้นมันอาจใจคอโหดร้ายเหมือนพ่อมัน เอ๊ะ...”
ท่านขุนเขม้นมองซ้ำไปที่เนียน
เห็นเหมือนว่าเนียนกำลังโอบกอดทานตะวันอยู่ เพียงแค่ใส่เสื้อสวยกว่าเนื้อทอง
ขุนภักดีขมวดคิ้ว สะบัดหัว
“เรานี่ถ้าจะบ้า เห็นเด็กนั่นเป็นหนูอี๊ดอีกแล้ว เด็กนั่นไม่ใช่ลูกเรา เด็กนั่นมันเป็นลูกชู้ แม่มันเป็นนางแพศยา”
ระหว่างนั้นทองจันทร์ไม่รู้เดินมาจากไหน มายืนใกล้ๆ ลูกชาย ถอนหายใจเช่นกัน
“เมื้อกี้แม่มองเห็นเด็กติ๋ว เป็นหนูอี๊ดอีกแล้ว”
“คุณแม่เห็นอย่างนั้นหรือครับ”
“ก็พ่อเทพเล่าเห็นอย่างนั้นหรือเปล่า เห็นขมวดคิ้วนิ่วหน้าร้องเอ๊ะๆ”
“ผมไม่ได้มาดูพวกนั้น ผมมาดูต้นไม้ครับ” ขุนภักดีแก้เกี้ยว
“แม่ก็มาดูต้นไม้” ทองจันทร์แก้เกี้ยวบ้าง “แต่เผอิญให้เห็นเนียนกับเด็กติ๋วมันดูน่าเวทนา บางครั้งแม่ก็อดเผลอคิดไปว่า เนียนไม่น่าจะมีชู้ เด็กนั่นน่าจะเป็นลูกของพ่อเทพ ดูปากคอคิ้วคางสิต่างกับพ่อเทพซะที่ไหน”
ขุนภักดีถูกแทงใจดำ รีบตัดบท “ขอทีครับ คุณแม่ ผมไม่อยากฟัง”
“เพราะพ่อเทพเองก็เคยแอบคิดเหมือนแม่ นึกถึงความดี สิ่งดีที่เนียนมันทำมาตลอดเวลาที่อยู่กับเรา ไม่น่าเชื่อว่ามันจะกล้ามีชู้”
“ผู้หญิงคนนั้นโกหกหลอกลวงเราทุกคนมาตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว ว่าไม่เคยมีลูกมีผัวนี่ไม่ใช่วิสัยคนดีดอกครับคุณแม่”
“แม่เข้าใจ แต่แม่น่ะแก่มากแล้ว พระครูท่านว่า ต้องตัดรักโลภโกรธหลงให้ได้ แม่ไม่อยากจะจองเวรกับเด็ก”
“เวลานี้ทุกคนกำลังเอนไปเข้าข้างผู้หญิงคนนั้นหมด แม้กระทั่งลูกชายของผม ผมกลายเป็นคนหัวเดียวกระเทียมลีบ” ขุนภักดีประชดประชัน
“แม่แค่อยากเป็นผู้ให้ อยากเป็นผู้สร้างมากกว่าเป็นผู้รับหรือผู้ทำลาย”
“คุณแม่ต้องการให้ผมทำอะไรหรือครับ”
“ได้ยินว่า พ่อเทพจะส่งหลานเทิดศักดิ์ไปเรียนประจำที่บางกอก”
“ครับ ผมจะส่งลูกเทิดศักดิ์ไปเรียนที่โรงเรียนวชิราวุธครับ”
“ก็โรงเรียนเก่าของพ่อเทพนั่นแหละ แม่จำได้ พ่อเทพเอาไอ้เอกมันไปเป็นเพื่อนด้วย”
“ไม่มีไอ้เอกผมคงเหงาแย่ มันรู้ว่าผมเมตตารักใคร่มัน มันเลยทำตัวเป็นไอ้มะกอกสามตะกร้าปาไม่ถูกใส่ผมเสมอ”
“แต่มันก็ไม่ได้ทำชั่วร้าย เลวทราม อะไร ก็ยังถือว่าใช้ได้ หลานเทิดศักดิ์น่ะเก่งกาจฉลาดล้ำ คงไปหาเพื่อนใหม่เอาข้างหน้าได้ง่ายๆ แต่หนูอี๊ดน่ะสิ เอาใจยาก เข้ากับใครลำบาก คงหาเพื่อนยากสักหน่อยถ้ามีใครไปเป็นเพื่อนสักคนจะได้ไม่เหงา”
ขุนภักดีกับทองจันทร์มองไปที่เนียนกับเนื้อทอง
“คุณแม่มาตะเภาเดียวกับเรียมอีกคนแล้ว”

ทองจันทร์แอบยิ้มเจ้าเล่ห์

ขุนภักดีมองไปเห็นเนียนนั่งกอดเนื้อทอง สองแม่ลูกคุยกันไปมา

“หนูไม่อยากให้พ่อตาย” เนื้อทองว่า
“ทุกคนเกิดมาต้องตาย ต่างกันที่จะช้าหรือเร็ว แม่จะเป็นทุกอย่างของหนูติ๋วที่หนูติ๋วอยากให้แม่เป็น”
“แม่เป็นอย่างทุกวันนี้หนูก็ดีใจแล้วจ้ะ หนูรักแม่เนียน แม่ดีที่สุด”
“หนูก็ดีที่สุดจ้ะ แม่ก็รักหนูที่สุดจ้ะ”
เนียนน้ำตาซึม เนื้อทองซบตักแม่มีความสุขเป็นที่สุด

ฝ่ายขุนภักดีกับทองจันทร์ถอนใจออกมาพร้อมๆกัน
“เรียมให้คุณแม่มาบอกผมหรือครับ”
“ก็อะไรทำนองนั้นแหละ มองมันสิ มันซบตักแม่มันร้องไห้โหยหาความสุข มันต่างกับหนูอี๊ดตรงที่ดวงตามันเศร้า มันเว้าวอน เหมือนแม่มัน”
ขุนภักดีคิดในใจ “ก็เพราะไอ้ดวงตาเศร้าเว้าวอนนี่แหละผมถึงเจ็บปวดหัวใจจนทุกวันนี้” แต่ที่พูดออกมาเป็น “ดวงตาผู้หญิงหลายใจต่างหากครับ”
“มันผ่านไปห้าปีแล้วละวางลงบ้าง พ่อเทพก็มีแต่ความสุข มีลูกชายแสนฉลาด มีลูกสาวแสนน่ารัก ซ้ำดวงตา อวดดื้อถือดีเหมือนพ่อเทพไม่มีผิด”
“ตำหนิหรือชมผมครับคุณแม่ เรียมนะเรียม ส่งคุณแม่มาเป็นทูตให้ผมจำยอมให้เด็กนั่นได้ไปเห็นบางกอกจนได้”
ทองจันทร์ยิ้มย่อง “ขอบใจจ้ะ นึกว่าทำบุญกับสัตว์ผู้ยาก เถิดพ่อเทพ”
“ผมกำลังนึกว่าคุณแม่ใหญ่ที่สุดในบ้านจริงๆ ครับ”
ขุนภักดีประชดแม่ ส่วนทองจันทร์ค้อนลูกชาย

เวลาเดียวกันที่ร้านกาแฟไทยเจริญ ในบางกอก
แดงน้อยกำลังไขลานรถเด็กเล่นคันใหญ่พอสมควร แล้วเอามือไถไปไถมา เป็นของขวัญวันเกิดจากลุงหนัก หรือลุงสิน แพรกับโพล้งมองอย่างเอ็นดู
“ผมรักของขวัญของลุงสิน ทำไมลุงสินถึงไม่มาหาผมนานแล้ว ลุงโพล้ง ป้าแพร”
“ลุงเขามีงานชุกมากมากแดงน้อยเอ๋ย” แพรบอก
“ถึงไม่มาเขาก็ไม่เคยลืมวันเกิดของแดงน้อย ส่งของขวัญมาให้ทุกปี”
“แต่ผมอยากเจอลุงสิน ลุงเคยกอดผมบอกว่าลุงรักผม ผมอยากได้ยินลุงบอกอย่างนั้นอีก อยากให้ลุงมากอดผมอีก”
สองคนสบตากันจ๋อยๆ
“ถ้าแดงน้อยรักลุงมาก อยากให้ลุงมีความสุข ก็ตั้งใจเรียนนะแดงน้อยลุงเขาสู้อุตส่าห์ทำมาหากินส่งให้แดงน้อยเรียน” โพล้งว่า
“ลุงเขาส่งเสียให้แดงน้อยเรียน โรงเรียนที่ดีที่โก้ที่สุดในบางกอกเลยนะ” แพรบอก
“ผมจะเรียนให้เก่งที่สุด
สองคนพยักหน้าพอใจ แดงน้อยไถรถเล่นต่อไป

ทางด้านเอกรีบมาบอกเนียนเรื่องเนื้อทองจะได้ไปเรียนบางกอกกับทานตะวัน เอกส่งกระเป๋าเดินทางกลางเก่ากลางใหม่ใบเล็กๆ ให้เนียน
“กระเป๋าเดินทาง” เนียนรับมา
“ให้หนูติ๋วใส่ของไปบางกอก”
“ไปบางกอก อะไรนะ พี่เอก” เนียนงง
“คุณนายเรียมจะให้หนูติ๋วไปเรียนหนังสือที่บางกอก” เอกบอกชัดๆ
เนียนไม่อยากเชื่อ “ไฮ้ จริงหรือพี่เอก”
“ถ้าไม่จริงขอให้พี่เป็นลิงเป็นค่าง ไม่ดีใจรึ”
“ดีใจสิจ๊ะ ที่หนูติ๋วจะได้ไปโรงเรียน เอ้อ...ไม่มีใครท้วงติงบ้างรึ”
“ก็ท้วงอยู่ แต่คุณนายเรียมท่านหาทางแก้ไปว่าจะให้หนูติ๋วตามไปรับใช้เป็นเพื่อนคุยแก้เหงา คุณหนูอี๊ด”
“ไปเป็นอะไรก็ได้ ถ้าหนูติ๋วได้อยู่ใกล้ชิดกับคุณหนูอี๊ด ฝากขอบพระคุณคุณนายเรียมด้วยจ้ะ”
“อย่าเพิ่งกระโตกกระตาก เดี๋ยวไก่แก่แม่ปลาช่อนเรือนโน้นมันจะกะโต๊กกะต๊าก จนวุ่นวาย” เอกหมายถึงสนเจ้าเก่า
“จ้ะ ฉันไม่กระโตกกระตากแน่”
เอกออกไป เนียนเอาเนื้อทองมากอด เผลอหลุดปาก เพราะดีใจมาก
“หนูติ๋วของแม่จะได้ไปเรียนโรงเรียนดีๆ ที่บางกอกกับพี่สาวของหนู”
“หนูมีพี่สาวหรือจ๊ะ”
เนียนตกใจ
“อุ๊ย เปล่า ไม่มีจ้ะ แม่ แม่เผลอพูดผิดไปจ้ะ หนูติ๋วอย่าพูดไปนะจ๊ะ”
“หนูไม่พูดดอกจ้ะแม่เนียน หนูกลัวท่านขุนใจร้ายมาโบยแม่เนียนอีก”
“จุ๊ๆ หนูติ๋ว อย่าไปว่าท่านอย่างนั้นสิลูก”
“ก้อท่านโบยแม่เนียน ทั้งที่แม่เนียนไม่ได้ทำความผิด คุณเทิดศักดิ์ยังบอกว่าท่านขุนหูเบา”
“ถ้าหนูว่าท่านอีก แม่จะโกรธหนูแล้วจ้ะ” เนียนคาดโทษ ไม่อยากให้ลูกว่าร้ายบิดา
“ถ้าพ่อหนูอยู่ พ่อต้องโกรธเขาแน่”
“พอทีหนูติ๋ว”

เนียนเอามือปิดปากลูกไว้น้ำตาซึม

ฟากสนพอรู้ข่าวตื่นเต้นมาก และไม่พอใจมากด้วย
“ช้อย ช้อย เอ็งอยู่ไหน”
“อยู่นี่เจ้าค่ะ” ช้อยขานรับแกนๆ
“พี่ขุน อีแก่ กับอีเรียมมันจะเอาเด็กติ๋วไปกรุงเทพฯกับหนูอี๊ด”
ช้อยรับแค่ “อ้อ” ไม่แสดงความรู้สึกเข่นเขี้ยวอย่างเก่าก่อน
“คอยดูนะ ถ้าอีเรียมให้เด็กนี่เรียนด้วย ข้าจะฟ้องพี่ขุนเล่นงานมัน”
“หรือเจ้าคะ” ช้อยดันย้อนถาม
สนหันไปมองช้อยไม่พอใจ
“ช้อย เจ้าอมพิกุลไว้ในปากรึ ถามสิบคำตอบสั้นๆคำเดียว กลัวพิกุลจะร่วงจากปากหรือยังไง”
เทิดศักดิ์วิ่งมาด้วยความดีใจที่จะได้ไปเรียนที่บางกอกสักที
“ผมจะได้ไปเรียนที่บางกอกสักที ผมดีใจที่จะมีเพื่อนผู้ชาย ผมเบื่อเด็กผู้หญิงนิสัยเสียเหมือนน้องอี๊ด เต็มแก่แล้ว”
“แม่ก็เบื่อที่ลูกคอยขัดคอแม่ คอยเข้าข้างคนอื่นเต็มแก่แล้วเหมือนกันถามจริงๆ ลูกไม่รักแม่บ้างเลยหรือ เทิดศักดิ์”
“ผมรักคุณแม่สนที่สุด แต่ผมไม่อยากให้คุณแม่ที่ผมรักที่สุดใจร้าย กับคนที่น่าสงสารอย่างน้าเนียนกับหนูติ๋ว”
สนโกรธ “ใครใช้ให้เรียกมันว่าน้า คำก็น้าสองคำก็น้า”
“คุณแม่คำก็อีเนียน สองคำก็อีเนียน คุณแม่ยังสอนน้องอี๊ดให้พูดไม่เพราะ อีกหน่อยน้องอี๊ด ก็ไม่มีใครอยากพูดด้วย เหมือนคุณแม่”
“เอาอะไรมาพูดว่าไม่มีใครอยากพูดกับแม่”
“แทบทุกคนครับ เขาพูดด้วยเพราะเขากลัว น้าช้อย ยังไม่อยากพูดกับคุณแม่เลย”
“เหลวไหล ช้อย” สนหันมาเห็นช้อยเอาแต่นั่งเจ่าจุกเหม่อซึม “นางช้อย อีช้อย”
ช้อยสะดุ้งหันมา มองเนือยๆ
“เจ้าขา คุณสน”
“เอ็งไม่อยากพูดกับข้าใช่ไหมอีช้อย”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
“แต่เอ็งทำเฉยเมย เอ็งโกรธข้ารึ”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
“อีช้อย เอ็งอย่าคิดอะไรไม่ดีกับข้าทีเดียว จำใส่กะลาหัวเอาไว้ว่าอะไรที่ผ่านมา มันจะมาถึงตัวเอ็งสักวัน ถ้าเอ็งอวดดีใส่ข้า” สนขู่
“เจ้าค่ะ”
“คุณแม่ขู่น้าช้อยทำไม” เทิดศักดิ์ไม่ชอบ

สนมองช้อยตาขวาง เริ่มไม่ไว้ใจขึ้นมา

อาญารัก ตอนที่ 7 (ต่อ)

บริเวณท่าน้ำตอนกลางคืน ของวันแรมสิบห้าค่ำ ทั่วทั้งท่าน้ำว่างเปล่ามืดมิด มีเสียงถอนหายใจเฮือกๆๆ ดังติดต่อกันสองสามครั้งดังมาจากมุมหนึ่ง

เจ้าของเสียงถอนหายใจ คือขุนภักดีนั่นเอง ที่ครุ่นถึงเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นที่นี่เมื่อ 5 ปีก่อน
ภาพเนียนโอบกอดกับชายคนหนึ่งอยู่ในความมืด พูดอะไรกันเบาๆ ท่าทีสนิทสนมกันมาก เนียนส่งสร้อยยัดใส่กระเป๋าให้ชายคนนั้น ผุดขึ้นมาหลอกหลอน
ขุนภักดีครวญคร่ำ “ทำไม ทำไมเล่าเนียน”
แต่แล้วขุนภักดีก็ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ดังแว่วมาจากอีกทางหนึ่ง ท่านขุนเหลียวมองหาเสียง

ที่แท้เป็นเนียนที่นั่งซบหน้ากับซีกหนึ่งกับฝ่ามือตัวเอง
“เนียนบอกไม่ได้ ยังไงเนียนก็บอกไม่ได้ เพราะมันคือความเป็นความตายของพี่ชายเนียน” เนียนรำพันเบามากๆ กับตัวเอง
ขุนภักดีก้าวมาหยุดยืน แล้วมองฝ่าความมืดไป พอเห็นเป็นเนียนก็โกรธมาก
“มานั่งร้องไห้ดักรอชู้ ในคืนเดือนมืดสนิทอีกจนได้” ขุนภักดีคำรามในลำคอ “เลี้ยงไม่เชื่องข้าวกูไม่มียางจริงๆ”
ขุนภักดีผวาตัวจะไปเล่นงานเนียน แต่แล้วก็ต้องชะงักเพราะเอกก้าวออกมา
“เนียน”
“ไอ้เอก มึงเป็นชู้กับมันจริงๆ”
ขุนภักดีโมโหหึง พรวดจะออกไปอีก แต่ได้ยินเนียนถามเอกกลับ
“พี่เอก จะไปไหนรึ”
“มาตามหาเนียนน่ะสิ เดือนมืดสนิทอีกแล้ว เนียนมานั่งคอยใครรึ”
“เปล่าดอกจ้ะ เนียน เพียงแค่อยากอยู่คนเดียวเงียบๆ คิดถึงเรื่องราวที่ผ่านมา ห้าปีแล้วสินะ”
“ห้าปีที่เนียนปิดปากเงียบเอาไว้ ไม่ยอมเอ่ยว่าเขาคนนั้นคือใคร” เอกว่า
“เขาคือใครก็ตาม แต่เขาไม่ใช่ชู้ของเนียน ถ้าเนียนจะผิดจะเลวก็ตรงที่ เนียนเคยมีผัวมีลูกมาก่อน แต่ปิดไว้ เหมือนจงใจหลอกลวงมาหาประโยชน์จากที่นี่” เนียนระบดระบาย
“แต่เนียนก็รักและเทิดทูนท่านขุนสุดชีวิตสุดหัวใจมิใช่หรือ”
“มันสายเกินไปที่จะมาพูดถึงสิ่งที่มันผ่านไปแล้ว เวลานี้เนียนก็แค่นางแพศยา นางคนร่านรักคบชู้สู่ชาย พี่เอกควรระวังตัวไว้ด้วย การมาพบปะเนียน จะเกิดการเข้าใจผิดซ้ำสอง”
“พี่ไม่กลัว พ่อเราเป็นเพื่อนกัน ยังไงพี่ก็ต้องดูแลเนียนตามที่อาน้อมแกขอร้องไว้ เราไม่มีอะไรกัน ซะอย่าง ทำไมต้องกลัว”
“แต่เนียนเป็นยิ่งกว่ากากเดนที่เขาเอามาให้หมูกิน ทุกคนปักใจว่าเนียนเลวทรามต่ำช้าเกินแตะต้องข้องแวะ ถ้าใครจะไม่เชื่อว่าเนียนเลวได้อีก พี่เอกจะพลอยเสื่อมเสียไปด้วย”
“พี่ไม่สนใจปากคน เนียนนั่นแหละต้องระวังตัวให้ดี คนเลว มันจะฆ่าปิดปากเอาสักวัน นี่คือสิ่งที่พี่กลัว”
เอกพยักหน้าให้ แล้วถอยห่างออกไป
เนียนนั่งซบหน้าเอียงตัวไปข้างหนึ่ง ปาดน้ำตา สะอื้นเบาๆ อยู่อย่างนั้น
ขุนภักดี มองเนียนในใจสงสารขึ้นมาวูบหนึ่ง เพราะรักมาก
“ใครจะฆ่าปิดปากเนียน เนียนรู้ความลับของใครรึ” ขุนภักดีคิดเองเออเอง “ก็ไอ้ผู้ชายที่เป็นพ่อเด็กติ๋วนั่นแหละที่จะฆ่าปิดปากมันเอง เพราะมันเป็นโจร ถ้าไม่ใช่เสือหนักก็คงพวกเดียวกัน”
ขุนภักดีลังเลไปมา เหยียบเอาเศษไม้แถวนั้นจนทำให้เกิดเสียง เนียนหันขวับ มาทางเสียงที่เกิดขึ้น
“ใครน่ะ จะมาฆ่าปิดปากชั้น เหมือนฆ่า...”
ขุนภักดีก้าวออกไป เนียนเห็นเป็นเงาตะคุ่ม ตกใจมากไม่รู้ว่าใคร
“เดี๋ยว”
เนียนหันกลับวิ่งหนีออกไปจากที่นั่น โดยเร็ว ขุนภักดีก้าวออกไปได้แต่มองตาม

เวลาผ่านไปอีก ถึงกำหนดเดินทางไปเรียนที่บางกอก กระเป๋าใบขนาดย่อมของเนื้อทองวางอยู่ เนียนเฝ้ากอดจูบอาลัยอาวรณ์ลูกสาวคนเล็ก เนื้อทองเองก็ร้องไห้ ใจหาย ห่วงแม่ และไม่อยากจากแม่ไปไหน
“ทำไมเราต้องเรียนหนังสือไกลๆ จ้ะแม่เนียน”
“ไม่ไกลมากดอกลูก ไปเรียนจะได้รู้ ว่าใครเขาทำอะไรกัน มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง รอบตัวเรา ลุงเอกบอกว่าโรงเรียนที่คุณนายเรียมจะพาไปดีที่สุดจ้ะ”
“หนูอยากให้แม่เนียนไปด้วย”
“แม่ไปด้วยไม่ได้ ทุกคนมีหน้าที่ของตัวเอง หน้าที่ของแม่คือทำงานที่นี่ หน้าที่หนูคือไปเรียนที่บางกอก”
“หนูกลัวไม่ได้กลับมาเจอแม่เนียนอีก”
“เจอสิ พอปิดเทอมคุณหนูอี๊ดกลับบ้าน หนูก็ได้กลับมาด้วย อย่าขัดใจคุณหนูอี๊ดนะลูก”
“หนูไม่เคยขัดใจคุณหนูอี๊ดดอกจ้ะ แม่เนียน”
เอกเดินเข้ามาเพื่อรับเนื้อทอง
“หนูติ๋ว ไปได้แล้ว คุณนายเรียมกับคุณหนูอี๊ด คุณหนูเทิดศักดิ์รออยู่ที่ท่าน้ำ ชักช้าท่านขุนจะเคืองเอา”
“แม่เนียนไปส่งหนูที่ท่าน้ำได้ไหมจ้ะ”
เนียนอึกอัก
“ไม่เหมาะจ้ะ มันจะเกะกะ แม่จะไปส่งหนูที่พุ่มไม้หน้าเล้าหมูนะจ๊ะ”
เนื้อทองฝากฝังแม่กับเอก “ลุงเอกจ๋า อย่าให้ใครมาทำร้ายแม่หนูนะจ๊ะ”
“ลุงรับรอง”
เนียนน้ำตาจะหยดดึงลูกมากอด
“ทูนหัวของแม่ แม่จะสวดมนต์ให้พระคุ้มครองหนูทุกวัน”
เนียนตัดใจส่งเนื้อทองให้เอกไป เอกจูงหนูติ๋วอีกมือหิ้วกระเป๋า เดินไปสักนิดหนึ่ง เนื้อทองหันมามองหน้าแม่อีกครั้ง

เนียนยืนมองตามลูก ยิ้มส่งทั้งน้ำตา

เรือเบนหัวออกจากท่าน้ำมุ่งหน้าเข้ากรุงเทพฯ ขุนภักดีนั่งคู่กับเทิดศักดิ์ เรียมนั่งกับทานตะวัน เนื้อทองนั่งกับเอกที่ด้านท้ายเรือ ขุนภักดีกวาดตามองทุกคนในเรือ

“ไม่ลืมข้าวของอะไรแล้วใช่ไหม”
“ไม่ลืมดอกค่ะ”
เนื้อทองชะเง้อมองหาแม่ ขุนภักดีเห็นเนื้อทองชะเง้อมองหาใครน้ำตาซึม ก็ใจอ่อนยวบ มองตามไป
จู่ๆ เนื้อทองตะโกนออกมาด้วยความดีใจ “แม่เนียนมาส่งหนูจริงๆ ด้วย”
เนื้อทองยิ้มกว้างอย่างดีใจ
เห็นเนียนยืนแอบอยู่ที่ริมฝั่ง แหวกกอต้นไม้มองดูลูกสาวทั้งสอง อย่างอาลัยอาวรณ์ น้ำตาไหลริน

ขุนภักดีเห็นเนียนมองมาที่ลูกน้ำตาไหลก็ใจแป้ว
“น้าเนียนคงคิดถึงหนูติ๋วมาก” เทิดศักดิ์ว่า
ขุนภักดีนิ่งไม่พูดไม่จา
“ทำไมคุณพ่อ คุณย่า น้าช้อย คุณแม่สน ถึงเกลียดน้าเนียนมากครับ” เทิดศักดิ์ถามเรื่องที่คาใจมาแต่เล็ก
“เขาทำตัวเองให้เราเกลียด น่ะสิ” ขุนภักดีตอบเรียบๆ
“พ่อของหนูติ๋วไปไหนครับ”
“พ่อไม่รู้”
“ทำไมคุณแม่สนบอกว่าน้าเนียนคบชู้ ... ชู้แปลว่าอะไรครับ”
“พ่อปวดหัว อย่าเพิ่งถาม” ขุนภักดีตัดบท
“ถามอีกคำเดียว ทำไมคุณพ่อมองน้าเนียนเหมือนโกรธมากตลอดเวลาครับ น้าเนียนทำอะไรให้คุณพ่อโกรธครับ”
“พ่อบอกว่าปวดหัว”
ขุนภักดีหันหน้าหนีกลับมาจากการมองเนียนที่บนฝั่ง เจ็บปวดในใจ

ทุกคนมาถึงโรงเรียนประถมในบางกอก โดยสวัสดิภาพ นฤมลกับเรียมดีใจที่พบกัน
“ดีใจเหลือเกิน ที่ได้พบเรียม”
“ดีใจที่สุดเหมือนกันจ้ะ นานมากที่เราไม่ได้พบกัน”
“แต่เราก็คิดถึงกันเสมอนี่จ้ะ ลูกสาวฝาแฝดของเธอน่ารักจัง” นฤมลยิ้มแย้มมองเด็กสองคน
“มัวแต่ดีใจที่ได้พบเธอ จนเสียมารยาท หนูอี๊ด หนูติ๋วสวัสดีคุณครูป้านฤมลสิจ๊ะ”
“สวัสดีค่ะ” สองคนไหว้ พูดพร้อมกัน
“แนะนำตัวเองบอกชื่อของหนูกับคุณป้าสิคะ”
“หนูชื่อจริง ทานตะวัน ชื่อเล่นคุณหนูอี๊ด และหนูไม่ใช่ฝาแฝดกับเด็กติ๋ว เขาเป็นคนใช้ของหนูค่ะ”
นฤมลกับเรียมตกใจ
“พูดอะไรอย่างนั้นหนูอี๊ด ขอโทษด้วยนะจ๊ะนฤมล หนูอี๊ดชอบเข้าใจอะไรผิดๆ นะจ้ะ หนูอี๊ด เป็นลูกสาวของชั้นกับพี่เทพ ส่วนคนนี้แกเป็นลูกบุญธรรมของชั้นจ้ะ”
“อ้อ แนะนำตัวกับป้าสิคะ”
“หนูชื่อเนื้อทอง ชื่อเล่นเด็กติ๋ว เป็นคนใช้ของคุณหนูอี๊ด หนูเป็นลูกแม่เนียนคนเลี้ยงหมูบ้านท่านขุนกับคุณนายเรียมเจ้าค่ะ”
สองคนถึงกับอึ้งกับคำพูดที่แตกต่างของเด็กทั้งสอง สองคนมองหน้ากัน

ที่โรงเรียนประจำชายล้วน เด็กและผู้ปกครองอื่นๆ เดินกันขวักไขว่ แดงน้อยกำลังล่ำลา แพรกับโพล้ง
“ลุงไปก่อนนะแดงน้อย วันศุกร์โรงเรียนเลิกเขาให้มารับกลับบ้าน”
“วันจันทร์เช้าก็กลับมาเรียนใหม่ ใครถามว่าพ่อแม่ชื่ออะไรก็บอกว่าพ่อตาย แม่ชื่อคุณนายแพรนะหลานนะ”
โพล้งหงุดหงิด “อุบ๊ะ เค้าให้ใส่ชื่อเป็นผู้ปกครองหน่อยเดียว ตามระเบียบ เลยอุ๊บอิ๊บเป็นแม่แดงน้อยมันซะแล้ว ยายแพรเอ๊ย”
“ป้าแพรก็เป็นแม่ผมจริงๆแหละครับ ไม่มีแม่แพรผมจะโตมาได้ยังไงต่อไปนี้ผมจะเรียกป้าแพรว่าแม่แพร”
“เห็นหรือยัง ไอ้โพล้ง” แพรเชิด
“แล้วจะเรียกลุงว่าพ่อไหม” โพล้งถาม
“พ่อผมตายแล้วนี่ครับ”
สองคนหัวเราะชอบใจ แดงน้อยไหว้สองคน สองคนจากไป แดงน้อยมองตามยิ้มอย่างมีความสุข
ที่โรงเรียนเดียวกัน เทิดศักดิ์ เดินมากับขุนภักดี
“พ่อไปก่อน บ่ายวันศุกร์หลังโรงเรียนเลิก ลูกคงไม่ได้กลับบ้านเหมือนเด็กคนอื่น เพราะเรามาจากต่างจังหวัด เสียใจไหม”
“ไม่ครับ เป็นลูกผู้ชายต้องอดทน”
“ดีมาก แต่ถ้าอาทิตย์ไหนพ่อมาเยี่ยม หรือท่านเจ้าพระยาท่านอยากพบลูก ลูกก็จะไปพักที่บ้านของท่านบ้านที่ พ่อเคยพักที่นั่นสมัยเรียนหนังสือ ดูแลตัวเองดีๆ ทำตัวดีๆ อย่ามีปัญหากับเพื่อน”
“ครับคุณพ่อ ผมดูแลตัวเองได้ ผมตั้งใจจะหาเพื่อนสนิทนิสัยดีๆ สักคนให้ได้เร็วที่สุด ภายในวันนี้ครับ”
“เก่งมากลูกชายของพ่อ พ่อภูมิใจในตัวลูกมากเทิดศักดิ์”
“ขอบคุณครับ คุณพ่อ”
ท่านขุนโอบกอดลูกชาย เทิดศักดิ์ไหว้พ่อ ขุนภักดีเดินจากไป เทิดศักดิ์มองตามจนลับตา

ด้านนฤมลกับเรียมนั่งคุยกันอยู่ในห้องทำงานของนฤมล สองคนมองเด็กแฝดทั้งสองที่อยู่ในสวน
“ฝากเด็กสองคนให้เป็นลูกศิษย์ของเธอ อบรมสั่งสอนดุว่าได้เต็มที่นะจ้ะ”
“จ้ะ ขอบใจที่ไว้วางใจให้ดูแลลูกและลูกบุญธรรมของเธอ เอ้อ...อย่าว่าขี้สงสัยเลยนะ ทำไมเด็กสองคนนั่นหน้าตาคล้ายกันมาก ราวกับฝาแฝด”
“ทุกคนก็พูดเหมือนเธอนี่แหละจ้ะ ฉันถึงรักใคร่เอ็นดูหนูติ๋วมาก แกว่านอนสอนง่ายกว่าหนูอี๊ด ให้แกได้เรียนอย่างดีที่สุด เพื่อที่ต่อไปแกจะสามารถพึ่งพาตัวเองได้จ้ะ ส่วนค่าใช้จ่าย ฉันออกเองทุกอย่าง”
“ขอบใจแทนเด็กคนนั้นจริงๆ เรียม เธอยังเป็นเรียมคนดีคนเดิมที่มีแต่เมตตาปราณีต่อผู้อื่นที่ต่ำต้อยกว่าเสมอ”
“ได้โปรดอย่าบอกใคร บอกเพียงว่า เธอให้ทุนเด็กเรียนฟรีนะจ๊ะ”
“ได้สิจ๊ะ เอ้อ เพื่อสะดวกในการดูแลเด็กสองคนนี้ ชั้นอยากเข้าใจนิสัยใจคอของพวกแกด้วยจ้ะ”
“จ้ะ”

สองคนมองไปยังเด็กแฝด

ทานตะวันนั่งอยู่บนม้ายาวในสวน ชี้นิ้วสั่งให้เนื้อทองเก็บดอกไม้มาให้

“แกไปเก็บดอกไม้มาให้ฉันให้มากที่สุด เด็กติ๋ว”
“ค่ะ คุณหนูอี๊ด เอ้อ ยังไม่ได้ขออนุญาตคุณป้านฤมลเลยนี่คะ”
“ฉันไม่สนใจ ฉันบอกให้เก็บก็ไปเก็บมาสิ”
“ถ้าคุณป้าท่านมาดุเอาเล่าคะ”
“ดุแกน่ะสิ เพราะแกเป็นคนเก็บ ชั้นไม่เกี่ยวข้อง แกอย่ามาขัดคำสั่งชั้นนะ”
“ค่ะ”
เนื้อทองหอบดอกไม้มาเต็มมือ ทรุดตัวลงตรงหน้าทานตะวันที่ชี้นิ้วให้นั่ง
“นั่งลงที่พื้นห้ามนั่งเก้าอี้ แล้ววางดอกไม้ไว้บนโต๊ะ”
ติ๋ววางลงไป อี๊ดมองยิ้มๆ เสียงสนดังในหู
“เด็กติ๋วเป็นลูกไล่หนูอี๊ด แกล้งมันให้มากๆ แกล้งมันบ่อยๆเพื่อให้มันรู้ว่ามันต่ำต้อย มันไม่กล้าหือดอกค่ะ”
ทานตะวันเอามือปัดดอกไม้ลงไปกองเต็มพื้น
“คุณหนูอี๊ด ปัดดอกไม้สวยๆ ทิ้งทำไมคะ โธ่น่า เสียดายแท้ๆ”
“แกเสียดาย แกก็ไปเก็บมาใหม่ สิ เก็บเดี๋ยวนี้”
เสียงเรียมดังขึ้น “ไม่ต้องไปเก็บดอก หนูติ๋ว”
“คุณนายเรียม”
“ต่อไปนี้เรียกฉันว่าแม่นาย ไม่ต้องเรียกคุณนาย สองคนฟังคุณป้านฤมลให้ดี แล้วทำตามที่คุณป้าบอก”
“ดอกไม้สวนนี้เป็นของนักเรียนทุกคนที่นี่ มีไว้ดูสวยงาม มีป้ายเขียนไว้ว่า กรุณาอย่าเด็ดดอกไม้ในสวนจ้ะ”
“ขอโทษคุณครูทั้งสองคนเลยจ้ะ” เรียมบอก
“ขอโทษค่ะ คุณป้า หนูจะไม่เด็ดดอกไม้อีก” เนื้อทองไหว้
“หนูไม่ขอโทษ หนูไม่ได้เด็ดดอกไม้ ของคุณป้า เด็กติ๋วต่างหาก”
“ใช่ค่ะ หนูผิดเอง คุณหนูอี๊ดไม่ผิดดอกค่ะ”
เรียมกับนฤมลมองหน้ากัน

ส่วนที่โรงเรียนประจำชาย บริเวณหอนอนประจำของเด็กชายรุ่นประถม ตรงหน้าห้องมีเด็กบางคนทยอยเข้ามาจัดตู้ของตัวเองเอาเสื้อผ้าใส่
แดงน้อยเดินเข้ามาพร้อมกับกระเป๋าใบย่อมๆ ส่ายตาหาตู้ของตนเอง เทิดศักดิ์เดินเข้ามาหาตู้ของตนเองเช่นกัน สองคนมาเจอกันที่หน้าห้องด้านในพอดี
แดงน้อยยิ้มให้เทิดศักดิ์อย่างเป็นมิตร เทิดศักดิ์ยิ้มตอบ
“สวัสดี” / “สวัสดี”
สองคนทักทายยิ้มอย่างมีไมตรีให้กัน
“ตู้เสื้อผ้าของเราอยู่ตรงนี้” แดงน้อยบอก
“ตู้เสื้อผ้าของเราอยู่ตรงนั้น” เทิดศักดิ์ชี้
“อยู่ติดกันนี่นา”
เด็กชายสองคนอุทานพร้อมกัน หัวเราะให้กัน ต่างเริ่มอบอุ่นใจที่มีเพื่อนในที่แปลกถิ่น

ส่วนที่หอนอนเด็กชั้นประถม ในโรงเรียนกุลสตรีของนฤมล
ตู้ในห้องมีป้ายชื่อติดอยู่ว่า ด.ญ.ทานตะวัน ภักดีภูบาล ตู้ข้างๆ มีป้ายติดว่า ด.ญ.เนื้อทอง เชื้อบ้านแพน
เนื้อทองกำลังเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋า ทานตะวันแว้ดใส่ดังมากจนเด็กอื่นหันมามอง
“หยุดนะ แกจะเอาของแกใส่ตู้ก่อนของฉันไม่ได้ เด็กติ๋ว”
ทุกคนงง ต่างอุทานออกมา “เด็กติ๋ว”
“ทำไมหรือคะ คุณหนูอี๊ด” เนื้อทองก็งง
ทุกคนอุทานทั้งที่ยังงงๆ “คุณหนูอี๊ด”
จากนั้นทุกคนเลิกจัดของ หันมาสนใจสองแฝด
“ชั้นเป็นนายแกเป็นคนใช้ แกต้องจัดของของชั้นก่อน ของตัวแกเอง”
เด็กหญิงทุกคนต่างมองหน้ากัน
เด็กคนที่หนึ่งดูกล้าว่าเพื่อน “เธอสองคนไม่ใช่ฝาแฝดกันดอกรึ”
“อย่าเอาฉันไปนับญาติกับมันทีเดียว แม่ฉันเป็นคุณนาย แม่มันเป็นคนเลี้ยงหมูบ้านฉัน” ทานตะวันเสียงดัง
เด็กบางคนก็มองเนื้อทองด้วยแววตาสงสาร ขณะบางคนก็มองแบบชักจะรังเกียจ
“เป็นคนใช้ ทำไมถึงมีสตางค์เรียนโรงเรียนผู้ดีมีเงินอย่างเรา” เด็กคนเดิมว่า
ทานตะวันอึ้งไป
“เธอเป็นคนใช้เขาจริงๆ รึ” คนเดิมถามเนื้อทอง
“เอ้อ ฉัน เป็น...”
เนื้อทองอึกอักอยู่ ครูนฤมลเดินเข้ามา
“เนื้อทองเป็นลูกสาวบุญธรรม ของคุณแม่ของทานตะวันจ้ะเด็กๆ”
ทุกคนอึ้ง อุทานพร้อมเพรียง “คุณครู”
“คุณป้าขา คุณย่าคุณพ่อแม่สนด้วย บอกว่ามันต้องมารับใช้หนูที่บางกอกค่ะ” ทานตะวันท้วง
เนื้อทองรีบหันไปจัดเสื้อผ้าของทานตะวัน
“ไม่ต้องจัดเสื้อผ้าให้ทานตะวันจ้ะ เนื้อทอง ตอนนี้ทุกคนเป็นนักเรียนประจำของโรงเรียนกุลสตรี ทุกคนต้องจัดตู้เสื้อผ้า จัดเตียงพับผ้าห่มปูที่นอนของตัวเอง ไม่มีใครทำให้ทั้งนั้น เข้าใจไหมจ๊ะ” ครูนฤมลบอก
ทุกคนประสานเสียง “เข้าใจค่ะ”
ยกเว้นทานตะวันหรืออี๊ด “หนูไม่เข้าใจค่ะ คุณป้า”
ครูนฤมลยิ้มแย้ม “ค่อยๆ เข้าใจไปทีละนิด อีกหน่อยก็เข้าใจทั้งหมดเอง นี่คือกฎของโรงเรียน ทุกคนรีบจัดเสื้อผ้าของตัวเอง จากนั้นไปอาบน้ำ รับประทานอาหาร ทำกิจกรรมเล็กๆ น้อย แล้วเข้านอนตอนยี่สิบนาฬิการีบทำตามที่ครูบอกจ้ะ”
ทานตะวันอิดออด “คุณป้าขาหนู...”
“ทานตะวันจ๊ะ ตอนนี้เป็นเวลาของโรงเรียน ครูไม่ใช่ป้าหนู ครูคือครูของหนู หนูต้องเรียกป้าว่าคุณครูนฤมล ไม่ใช่คุณป้าจ้ะ ถ้าใครทำผิดกฏจะโดนลงโทษ ลงไปให้ถึงห้องอาหารอย่าเกินเวลาสิบแปดนาฬิกานะจ๊ะ”
นฤมลหันกลับ ทานตะวันแค้นเนื้อทองมาก จ้องหน้า ยกมะเหงกให้
“ฉันเกลียดแก นางลูกคนใช้”

เนื้อทองก้มหน้าก้มตาจัดของของตัวเองไป โดยไม่สนใจคำบ่นบ้าของทานตะวัน

ตกตอนค่ำ ในโรงอาหารโรงเรียนชายล้วน โต๊ะอาหารเรียงราย เด็กนักเรียนชาย ทั้งโตและเล็กนั่งกินอาหารด้วยกันอย่างเงียบเชียบ เป็นระเบียบ มีเพียงเสียงช้อนกระทบกันเป็นบางจังหวะ

เทิดศักดิ์กับแดงน้อยนั่งกินข้างๆ กัน สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว กินเสร็จรวบช้อน พากันเดินเอาจาน
มาเก็บคุยกันด้วย
“รับประทานเสร็จแล้ว อ้าปากพูดได้สักที คันปากอยากถามนายว่านายมาจากจังหวัดไหนรึ”
“เรา เป็นคนบางกอก นายเล่า”
“เรามาจากสุพรรณบุรี พ่อเรารับราชการอยู่ที่นั่น” เทิดศักดิ์บอก
“พ่อเราตายแล้ว เราอยู่กับแม่แพร ลุงโพล้ง พวกเขาขายอาหาร”
“โตขึ้นเราจะเป็นปลัดอำเภอ นายอำเภอ ปลัดจังหวัด แล้วก็ข้าหลวงเป็นแบบเดียวกับคุณพ่อ”
“โตขึ้นเราจะเป็นตำรวจ จะไปจับคนร้ายที่ปล้นฆ่าคนมาลงโทษ”
สองคนสบตากัน ยิ้มให้กัน สีหน้าวาดความหวังว่าจะเป็นดังที่พูดที่ฝันให้จงได้

ค่ำวันเดียวกัน เนียนมานั่งอยู่ท่าน้ำ คิดถึงผนเป็นห่วงลูกมาก โดยเฉพาะแดงน้อยและเนื้อทอง
“แดงน้อยของแม่ ป่านนี้จะเป็นตายร้ายดียังไงบ้าง แม่คิดถึงลูกห่วงลูกเหลือเกิน ขอให้พระคุ้มครองลุงหนักของลูก เพื่อที่จะส่งเสียดูแลลูกแทนแม่ ขอให้ลูกเลิกเจ็บไข้ได้ป่วย สุขภาพแข็งแรงโตวันคืน”
เนียนอยู่ในภวังค์ จนไม่ได้ยินเสียงเรือแล่นมาเทียบท่า ใจยังคงเหม่อลอยอยู่อย่างนั้น
ที่บันไดท่าน้ำ เรือจอดเทียบท่า เอกลงก่อน มาจับกราบเรือให้นิ่ง ขุนภักดีและเรียมตามลงมา ขุนภักดีเห็นเนียนตะคุ่มๆ ไม่รู้ว่าใคร
“นั่นใครมานั่งทำอะไรอยู่ตรงนั้น”
เนียนสะดุ้งตกใจลุกพรวด หันมาเห็นขุนภักดีกำลังเดินตรงมา ตะโกนถามเสียงเข้ม
“คุณพระ คุณเจ้า ช่วยด้วย”
เนียนหันตัวกลับ ขุนภักดีคว้าไหล่กระชากโดยแรง
“ไอ้เอกฉายไฟดูหน้ามันสิ หยุดนะ”
“อุ๊ย”
เนียนโดนกระชากจนเซมาปะทะอกขุนภักดี แสงจากไฟฉายของเอกปะทะหน้าเนียนสว่างเต็มตาขุนภักดี ท่านขุนชะงักมองหน้าเนียน ในใจห่อเหี่ยววูบ เนียนดูทรุดโทรมมอมแมมไม่ผ่องใสเหมือนเดิม สองคนสบตากันต่างตกใจกันและกัน
ใบหน้าเนียนวันแรกพบซึ่งสดใสสวยงาม สลับกับใบหน้าเนียนยามนี้ไปมา ขุนภักดีทอนถอนใจ กลั้นใจ ตัดใจด้วยแรงทิฐิบังเกิดในกมล ทำหน้าเข้ม เนียนตัวสั่นปะทะอกท่านขุนอยู่
เอกมองตามไฟฉาย ใจระทึกผสมดีใจที่ขุนภักดีเจอเนียน เผื่อจะใจอ่อน
“บ้าจริง ดับไฟสิไอ้เอก ฉายไฟอยู่ทำไม”
ขุนภักดีปล่อยเนียน แล้วหันกลับหงุดหงิดที่ไปดึงเอาเนียนมาปะทะอก
เอกทำไขสือ “ท่านขุนสั่งกระผมฉายไฟนี่ขอรับ”
เอกยังรีรออยู่
ขุนภักดีตวาด “บอกให้ดับไฟ”
จากนั้นขุนภักดีผลักเนียนออกไปอย่างแรง จนเนียนเซซัง
“ดับแล้วขอรับ”
“ชังน้ำหน้านัก”
ขุนภักดีเดินออกไปจากที่นั่น เอกหันมามองเนียน พยักหน้าให้
เสียงขุนภักดีดังเข้ามา “รีบตามมาไวๆ ไอ้เอก”
เอกไม่อาจหยุดดูเนียนที่เซล้มไป เรียมเดินมาถึงพอดีในจังหวะที่เนียนลุกขึ้น จึงรีบไปพยุง บอกกับเนียน
“หนูติ๋วเข้าโรงเรียนเรียบร้อยแล้ว จะได้เรียนสูงที่สุดเท่าที่ตัวเขาจะต้องการและทำได้”
เนียนก้มลงกราบแทบเท้าเรียม
“ขอบพระคุณหาที่สุดมิได้เจ้าค่ะ คุณนายเรียม”
“ฉันสิต้องขอบใจเนียน ที่สุดหามิได้ สำหรับฉันเนียนคือผู้มีพระคุณตอบแทนไม่มีวันหมด ใครจะว่าจะกล่าวร้ายเนียนอย่างไร ฉันก็ยังมั่นใจว่าเนียน ไม่เคยทำผิดดังที่เขาว่ากัน”
เสียงขุนภักดีดังมา สุ้มเสียงหงุดหงิดเอามากๆ “พิรี้พิไรอะไรนักหนาเรียม ทำราวกับว่า ติดค้างพระคุณอะไรกันมาสิบชาติ พี่หงุดหงิดแล้วนะ”
เรียมพยักหน้า เนียนมองตามเรียมที่ถอยออกตามท่านขุนไปเนียนยิ้มทั้งน้ำตา
“หนูติ๋วของแม่ ชีวิตของหนูไม่ลำเค็ญเหมือนแม่แน่ๆ แม่ดีใจเหลือเกินจ้ะ”

เนียนยิ้มออกมาอย่างมีความสุข

อาญารัก ตอนที่ 7 (ต่อ)


ทางด้านสนนั่งหงุดหงิดอยู่ที่เรือนเล็ก ระบดระบายกับช้อยที่นั่งซังกะตายอยู่ไม่ไกล

“ช้อย ความจริง ฉันควรจะได้พาเทิดศักดิ์ไปเข้าโรงเรียนพร้อมกับพี่ขุน เพราะฉันเป็นแม่”
“เจ้าค่ะ”
“แต่อีเรียมน่ะสิ ดัน พาหนูอี๊ดกับเด็กติ๋วไปด้วย ฉันไปอีกคนมันจะประดักประเดิด ฉันเลยอดเห็นบางกอก”
“เจ้าค่ะ”
“ความจริงเทิดศักดิ์ไม่อยู่ก็ดีนะ ไม่มีห่วงไม่โดนใครขัดคอ”
“เจ้าค่ะ”
สนอารมณ์เสีย รู้สึกได้ว่าช้อยไม่อยากพูดด้วย
“อีช้อย มึงจะเอายังไงกับกู กูทนมึงมาพักใหญ่แล้วนะ ถามคำตอบคำกลัวพิกุลจะร่วงจากปาก นักรึ”
“ช้อยไม่ค่อยสบายเจ้าค่ะ”
“ไม่ค่อยสบายหรือว่าวางแผนหักหลังอะไรอยู่”
“เปล่าเจ้าค่ะ”
“เอ็งไม่กระตือรือร้นอะไรสักอย่าง ให้ไปแอบดูอีเรียมว่าให้อะไรอีเนียนอีกหรือเปล่า ทำไมถึงให้ เอ็งก็คว้าน้ำเหลว”
“ช้อยกลัวพลาดแล้วโดนโบยปางตายอีกเจ้าค่ะ”
“เอ็งยังอยากรับใช้ข้าอยู่หรือเปล่าอีช้อย”
“เจ้าค่ะ”
“เจ้าค่ะของเอ็งแปลว่าอะไร อยากหรือไม่อยาก”
“ช้อยอยากกลับบ้านไปเยี่ยมพ่อแม่เจ้าค่ะ”
สนสะอึก
“แปลว่าเอ็งไม่อยากรับใช้ข้า”
ช้อยน้ำตาร่วง
“ช้อยอยากไปบวชชีเจ้าค่ะ”
“อะไรนะ”
สนตกอกตกใจ

ภายในห้องเรียนของโรงเรียนกุลสตรีในบางกอก ชั้นประถมปีที่ 1 เด็กๆ นักเรียนห้องเดียวกับทานตะวันและเนื้อทอง นั่งเรียนกันอยู่ ครูประจำชั้นเตรียมสอนอยู่หน้าชั้นเรียน
ทานตะวันนั่งคู่กับเนื้อทอง ออกอาการฮึดฮัดไม่พอใจที่เนื้อทองมานั่งเสมอตัวเอง เด็กทุกคนกำลังอ่านตามครูที่ชี้ไปบนกระดานดำ
“ก.ไก่” ครูอ่านนำ เด็กๆ อ่านตาม “ก.ไก่”
ทานตะวันมองเนื้อทองที่กำลังอ่านตามครูเพลินๆ จู่ๆ ทานตะวันก็ผลักเนื้อทองตกเก้าอี้ เสียงดังโครม ทุกคนหยุดอ่าน ครูหยุดสอน
เหลียวมามองเห็นเนื้อทองลงมากองอยู่ที่พื้นห้อง
“เนื้อทองตกเก้าอี้” เด็กหญิงประสานเสียง
“หนูไม่ได้ทำเขานะคะคุณครู เขาบอกว่าไม่อยากอ่านตามคุณครู เขาง่วงเลยสัปหงกตกเก้าอี้เองค่ะ” ทานตะวันรีบโกหก
“จริงหรือเนื้อทอง” ครูถาม
เด็กคนเดิมที่เจอกันตอนเย็นบอก “ไม่จริงค่ะ หนูเห็น ทานตะวันเขา…”
แต่เนื้อทองรีบชิงพูด “จริงเหมือนที่คุณ เอ้อ ทานตะวันพูดค่ะ”
ครูฟังแล้วงงๆ เนื้อทองยิ้ม ดีใจ

เวลาผ่านไป วันนี้เป็นวันศุกร์ ตอนเย็นๆ เทิดศักดิ์ออกมายืนมองแดงน้อยตรงห้องโถงของโรงเรียน เห็นโพล้งกับแพรมารอรับ แดงน้อยดีใจมากวิ่งไปไหว้แพรกับโพล้ง
“สวัสดีครับ แม่แพร ลุงโพล้ง”
“แดงน้อย มาโรงเรียนอาทิตย์เดียว เก่ง น่ารักขึ้นอีกอักโข” แพรปลื้มเหลือแสน
เทิดศักดิ์เดินตามมาสวัสดี ทักทายอย่างเรียบร้อย
“สวัสดีครับ แม่แพร ลุงโพล้ง”
สองคนหันไปมอง รับไหว้
“พ่อหนุ่มน้อยรูปงามคนนี้เป็นใครกันรึ แดงน้อย” โพล้งถามอย่างเอ็นดู
“น่ารักแท้กิริยามารยาท ลูกชาติลูกตระกูลแน่ๆ” แพรยิ้มอย่างเอื้อเอ็นดูเช่นกัน
“เพื่อนสนิทผมเองครับลุงโพล้ง”
“คุณพ่อคุณแม่ยังไม่มารับรึหนู” แพรถาม
“ผมมาจากต่างจังหวัดครับ นานๆ ครั้งท่านถึงจะมารับ” เทิดศักดิ์ตอบอย่างฉะฉาน
“แดงน้อย ลุงมีข่าวดีมาบอก”
โพล้งกระซิบบางอย่างข้างหูแดงน้อย ทำเอาแดงน้อยตื่นเต้นมากๆ
“ดีใจจังเลย ไหนครับ อยู่ไหนครับ ผมจะไปหา”
แดงน้อยวิ่งแล้วหันมาเจอหน้าเทิดศักดิ์มองตาแป๋ว
“เทิดศักดิ์ ตามเรามาสิ จะพาไปหาคนที่เรารักมากที่สุด”
แดงน้อยเข้ามาดึงมือเทิดศักดิ์วิ่งตื้อตามกันออกไป โพล้งกับแพรตามแทบไม่ทัน

แดงน้อยดึงแขนเทิดศักดิ์วิ่งมาที่หน้าประตูโรงเรียนด้านใน ส่ายตาหา
“ไหนล่ะแดงน้อย”
“นั่น นั่นลุงของเรา ลุง ที่เรารักที่สุด ลุง ครับ ลุง ทางนี้ครับ”
เทิดศักดิ์มองตามที่แดงน้อยเรียก แลเห็นชายกลางคนคนหนึ่ง แต่งตัวดีมาก ใส่เสื้อราชประแตน ใส่หมวกค่อนมาทางหลุบหน้า ยืนมองตาเป๋งมาที่ประตูโรงเรียน
หนัก หรือ สิน ได้ยินเสียงแดงน้อยเรียก จึงหันมองมา ก้าวเดินเข้ามาในบริเวณโรงเรียน บุคลิกเปลี่ยนไปนิ่งและขรึมมากดูแล้วเหมือนผู้มีอันจะกินจากบางกอก หนักเดินช้าๆ ไม่ผลีผลาม ทรุดตัวมากอดแดงน้อยแนบอกอ่อนโยนลึกซึ้ง
“คิดถึงเหลือเกิน คิดถึงจนอดไม่ไหว ต้องมากอดหลานมาดีใจกับหลาน หลานคิดถึงลุงบ้างไหม”
“ที่สุดในชีวิตครับลุงสิน”
ตลอดเวลาที่สองคนกอดกันพูดกัน เทิดศักดิ์มองดูยิ้มตาแป๋ว
“เรียนหนังสือสนุกไหมครับ”
“สนุกมากครับ เรียนจบเมื่อไหร่จะไปเป็นตำรวจ จับคนร้าย ครับ” แดงน้อยบอก
หนักสะอึกไปนิดหนึ่ง เงยหน้ามองไปเจอเอากับเทิดศักดิ์ที่มองมาตาแป๋ว อย่างมีไมตรี แถมยกมือไหว้
“สวัสดีครับ คุณลุง”
“หนูเป็นเพื่อนแดงน้อยหรือครับ” หนักถาม
แดงน้อยผละออกมา
“ครับ เทิดศักดิ์กับผมเป็นเพื่อนสนิทกัน เขามาจากสุพรรณบุรี”
หนักกระตุกพรืด เขม้นมองเทิดศักดิ์
“อำเภอไหนรึหนู”
“อำเภอเมืองครับ คุณลุง”
“คุณพ่อเขารับราชการที่นั่นครับ ลุงสินพ่อเขาเป็นท่านขุนครับ” แดงน้อยบอก
หนักรำพึง “ท่านขุน”
“ขุนภักดีภูบาลครับ”
คำพูดของเทิดศักดิ์ ทำเอาหนักตะลึง ตัวแข็งทื่อ ปากแข็ง พูดไม่ออก
เสียงกริ่งหรือระฆังเรียกนักเรียน
“นักเรียนที่ไม่มีผู้ปกครองมารับกลับบ้าน ห้ามออกไปนอกอาคาร ผู้ที่ออกไปให้รีบกลับเข้ามาในตัวอาคาร”
“คุณครูห้ามออกมานอกอาคาร ผมต้องกลับเข้าไปแล้ว สวัสดีครับ คุณลุง”
หนักทำท่าเหมือนจะเอื้อมมือออกไป อยากจะเอื้อมมือไปลูบหัวเทิดศักดิ์ใจจะขาด แต่เด็กชายหันกลับไปแล้ว หนักมือค้างมองตาม เหมือนกลายเป็นหิน เสียงยายอ่อนดังก้องในหู
“คนที่มันเล่นชู้น่ะคุณนายสนตะหาก มันไปท้องกับใครมาแล้วมาตู่ว่าท้องกับท่านขุน ลูกชายของมันนะน่ะลูกชู้ๆๆๆๆ”

ดวงตาของหนักหม่นเศร้ามีน้ำตาซึม คลอหน่วยตา แน่ใจว่าเด็กชายรูปงาม คือสายเลือดของตน

รถสามล้อถีบแล่นมาตามถนนมุ่งหน้ากลับร้านอาหาร แดงน้อยนั่งอิงแอบอกหนักที่โอบกอดไว้อย่างมีความสุข ต่างจากหนักที่มีสีหน้าเศร้าสร้อย หม่นหมอง และซึมเซาเอามากๆ

หนักใจลอยไปถึงเทิดศักดิ์ที่มองมายังตนตาแป๋ว ขณะที่หนักกำลังกอดแดงน้อยอยู่ แววตาที่มองมาอย่างเป็นมิตรและเทิดศักดิ์ยกมือไหว้หนักอย่างนอบน้อม และ บอกว่าตนมาจากอำเภอเมือง พร้อมกับเอ่ยชื่อพ่อ ว่าคือขุนภักดีภูบาล
หนักคิดแล้วเครียด พึมพำออกมาเบาๆ
“ลูกพ่อ”
แดงน้อยได้ยินรู้สึกแปลกใจ
“ลุงเรียกผมว่าลูกพ่อ ลุงอยากให้ผมเป็นลูก ผมดีใจจังครับ”
นั่นแหละหนักจึงได้สติ
“แดงน้อยเป็นลูกของลุงมาตั้งแต่เกิดแล้วลูก”
“ลุงรักผมที่สุดในโลกใช่ไหมครับ”
“ใช่สิ”
แดงน้อยยิ้มแย้มถามประสาซื่อ “จะมีใครที่ลุงรักที่สุดในโลกเท่าผมอีกไหม”
หนักเจอคำถามนี้ถึงกับอึ้งไป
“มีสิ แม่ของแดงน้อยไงลุงรักเขามาก เขาช่างน่าสงสารที่สุด”
“แม่ผมเป็นอะไรตายครับลุง”
“แม่ของแดงน้อยป่วยตาย”
“แม่ผมชื่ออะไรครับลุง”
รถจอดหน้าร้านพอดี หนักถือโอกาสไม่ตอบ
“ถึงร้านแล้ว แดงน้อย ไปดูสิว่าเรากับ ลุงโพล้งแม่แพรใครถึงร้านก่อนกัน หนึ่ง สอง สาม วิ่งไปลูก”
แดงน้อยวิ่งลงไป หนักจ่ายค่ารถ ทอดถอนใจมองตามแดงน้อยหนักใจที่จะตอบ

ฟากเนียนกำลังทำอาหารอยู่ในครัว เงียบๆ ใจลอยคิดถึงลูกทั้งสองกับพี่ชาย พูดเบาๆ กับตัวเอง
“แดงน้อย หนูติ๋ว ลูกคือชีวิตจิตใจของแม่ ทุกวันนี้แม่หายใจไม่เต็มอก เพราะไม่รู้ชะตากรรมของลูกแดงน้อย เมื่อไหร่หนอโชคชะตาจะพาเรามาพบกันได้สักครั้ง เมื่อไหร่หนอ พี่หนักจะส่งข่าวมาให้รู้บ้าง ว่าพี่กับแดงน้อยเป็นอย่างไร”
กบเข้ามาเงียบๆ ย่องมายิ้มแย้มจ๊ะเอ๋
“เนียน จะเอ๊”
“ว๊าย คุณพระช่วย”
“ตกใจตลอดเวลาแท้ๆ เนียน ฉันมีข่าวดีมาบอก”
“ข่าวดีอะไรรึ”
กบหัวเราะคิกคักกระซิบกระซาบ

เรื่องที่กบเล่านั้น เกิดขึ้นที่เรือนคุณนายทองจันทร์ในวงสำรับอาหาร เจ้านายทั้งหมดล้อมวงกินอาหารอยู่ มีกบและแมวคอยดูแล
“ขอบใจมากนะ พ่อเทพ แม่เรียม แม่สนที่มากินข้าวเย็นเป็นเพื่อนคนแก่”
“บ้านมันเหงาๆ ขาดเสียงเด็กหัวเราะ ก็เลยชวนกันมากินข้าว แก้เหงาให้คุณแม่ครับ”
“เอ นี่พ่อเทพ เหงาเองหรือจะมากะเกณฑ์หาว่าแม่เหงาคนเดียว”
“พี่เทพหมายความว่า เราทุกคนเหงา เพราะบ้านไม่มีเสียงเด็กมาหลายปีแล้วค่ะ” เรียมว่า
“แต่ดูท่าเรือนแม่สน คงจะไม่เหงาเท่าไหร่ นางช้อยมันช่างสรรหาเรื่องให้แม่สนตื่นเต้นอยู่ได้เสมอนี่นา” ทองจันทร์เหน็บ
“ช้อยมันกำลังจะลาไปหาพ่อแม่ ที่บางปลาม้า มันว่าอยากจะไปบวชชีค่ะ” สนว่า
ทุกคนรวมทั้งกบกะแมวด้วยอุทานลั่น “ไปบวชชี”
“อยากหัวร่อให้ฟันฟางหักหมดปาก อย่างนางช้อยไปบวชชีมิก่อเหตุยุให้ชีตีกันจนโดนสึกทั้งวัดรึ” ทองจันทร์ไม่เชื่อ
ทุกคนส่ายหน้าไม่เชื่อ นึกไม่ออกในความจะเป็นชีของช้อย

ส่วนเนียนฟังแล้วพนมมือท่วมหัว
“อนุโมทนาสาธุกับช้อยเขาด้วย”
“อย่างนางช้อยมันน่าอนุโมทนา อโหสิให้ที่ไหนกันมันบาปหนาซะปานนั้น ฟังต่อสิยังมีอีกเรื่องนะเนียน”
“มีอะไรอีกรึ”
กบทำท่าเล่าต่อ...

ขณะที่ทุกคนกินอาหาร ขุนภักดีกินต้มยำพุงปลาเข้าไปแล้ว นิ่งไป นึกคุ้นฝีมือ
“เอ๊ะ ต้มยำพุงปลานี่…”
“ฝืมือคุ้นๆ ใช่ไหมพ่อเทพ”
เรียมถาม “กบแมว ใครทำรึ”
กบกะแมวมองหน้ากัน
“เอ้อ...”
สนรู้ทันที “บอกมานะว่าใครทำ เนียนใช่ไหม”
สองคนบอก “เจ้าค่ะ”
ขุนภักดีเกิดหงุดหงิดไม่มีเหตุผล “นังแม่ครัวมันไม่ทำกับข้าวเอง ดันไปตกนรกหมกไหม้ที่ไหน”
กบกะแมวมองหน้ากัน
“เปล่าตกนรก แต่ตกคูหลังบ้านเจ้าค่ะ” กบบอก
แมวเสริม “ขาแพลงแขนเดาะ มือซ้นเจ้าค่ะ”
ขุนภักดีรวบช้อน ลุกพรวดทันที
“พี่เทพจะไปไหนคะ” เรียมฉงน
“พี่อิ่มแล้ว กินไม่ลง”
“สนไม่อิ่มแต่ กินไม่ลง ค่ะ”
สนลุกเช่นกัน เดินตามท่านขุนออกไป
“แต่ฉันกินลง” ทองจันทร์บอก
“เรียมก็กินลงค่ะ คุณแม่”
“เนียนมันทำอร่อยกว่าแม่ครัวนั่นเป็นไหนๆ ทำไมต้องปฏิเสธของอร่อยๆ ไม่มีเหตุผล นางกบ เอ็งไปบอกเนียนว่าต่อไปนี้เฉพาะสำรับของข้า ให้มันทำเองยกเอามาเองให้ให้ข้ากินบนเรือนนี่”
กบกะแมวระรื่นประสานเสียง “เจ้าค่ะ”
“แม่เรียมอยากจะกินของอร่อยก็มากินเรือนแม่ได้นะ”
“ขอบพระคุณค่ะ ถ้าวันไหนที่เทพเขาไปเรือนสน เรียมขอมาฝากท้องที่นี่ ค่ะ”
เรียมแอบยิ้ม

เนียนฟังแล้วยิ้มชื่นใจเช่นกัน และน้ำตาซึมๆ
“คุณท่านต้องการอย่างนั้นจริงๆ รึ รึว่ากบมาเย้าฉันเล่น”
“ให้ฟ้าผ่าตายสิเอ้า คุณท่านเคยเอ็นดูเนียนมาก ท่านไม่อยากจะโกรธจะเกลียดเนียนดอก แต่มันไม่มีอะไรมาหักล้าง ที่ท่านขุนท่านเห็น เนียนก็ไม่ยอมเอ่ยปาก ฉันดีใจด้วยนะเนียน”

เนียนฟังแล้วมีกำลังใจขึ้นมาก

อยู่มาวันหนึ่งช้อยกำลังพนมมือไหว้สน

“ช้อยกราบลานะเจ้าคะ คุณสน”
“เอากราบเอ็งวางไว้ตรงนั้น เอ็งปดใช่ไหมไอ้ที่ว่าเอ็งจะบวชชี หน้าอย่างเอ็งเป็นชีไม่ได้ดอกเอ็งเป็นได้แค่ คนกวาดลานชีตะหาก”
“ช้อยจะพยายามเป็นให้ได้เจ้าค่ะ เอ้อ คุณสนเจ้าขา ช้อยจะลาจากทั้งที คุณสนคงเมตตาให้ทุนรอนช้อยไปยาไส้พอสมน้ำสมเนื้อใช่ไหมเจ้าคะ”
“เอ็งจะไปบวชชี เอ็งจะเอาทุนรอนไปยาไส้ทำไม เอ็งก็กินของบริจาคสิ” สนไม่แยแส
“ช้อยจะเอาไปทดแทนพระคุณพ่อแม่ ที่แก่แล้ว ไม่ให้อดอยากปากแห้งเจ้าค่ะ ช้อยตามรับใช้คุณสนทั้งตัวทั้งหัวใจมานานนับสิบปีนะเจ้าคะ”
“นี่เอ็งทวงบุญคุณข้ารึ นางช้อย กล้าดีแท้ๆ เอ็งทำอะไรชั่วไปไว้แยะแค่ไหนข้าปิดบังเอาไว้ให้เอ็ง ทำไมเอ็งไม่นึกถึงบุญคุณข้าบ้าง”
“ช้อยทำเพื่อคุณสน ช้อยทำเพราะคุณสนต้องการให้ช้อยทำตะหาก” ช้อยเถียง
สนลุกพรวดผลักช้อยเซหงาย ชี้นิ้วตะเพิด
“มึงลงไปจากเรือนกูเดี๋ยวนี้ อีช้อย จำไว้ว่าถ้ามึงไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายมึงอย่าได้กลับมาหากูอีก”
“คุณสน” ช้อยตกใจ
“ไสหัวไปรึว่าจะให้กูถีบมึงลงเรือนไป”
ช้อยร้องไห้โฮ ป้ายน้ำตาลงเรือนไป สนเท้าสะเอวมองตามโกรธมากๆ

เนียนกับแมวกำลังเก็บผักสวนครัวหลังบ้าน จะเอาไปทำอาหาร
“เนียนนี่เก่งแท้ มือเย็น ปลูกผักปลูกหญ้าขึ้นงามหมด”
“ฉันเป็นชาวนานี่นา ฉันปลูกข้าว ปลูกผักอะไรอะไรก็เป็นทั้งนั้น แค่ตัวเท่าเมี่ยง พ่อฉันก็สอนให้ปลูกทุกอย่างแล้ว”
“เนียนไม่มีพี่น้องเลยรึ”
“มีสิ ฉันมีพี่ชาย เรารักกันมาก” เนียนนึกถึงหนักทำท่าจะร้องไห้
“ทำไมเขาไม่เคยมาหาเนียน เขารู้บ้างไหมว่าเกิดอะไรขึ้นกับเนียน”
“ฉันกับเขาไม่พบกันมาห้าปีกว่าจะหกปีแล้ว ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้พบกันอีกไหม”
“ทำไมรึ...” แมวฉงน
เนียนทำท่าจะร้องไห้มากขึ้น แมวจึงชะงักปากที่ถามต่อ

เวลาล่วงเลยไปอีก 1 ปี หนักแวะมาที่ร้านกาแฟไทยเจริญหลายวันแล้ว จู่ๆ หนักร่ำลาแพรกับโพล้งสองคนงงๆ
“ลาละ ฉันจะไปสุพรรณ”
“หา” สองคนตาเหลือก
หนักไม่พูดอะไรต่อหันออกไปจากร้าน
“ไปสุพรรณ”
สองคนอุทาน ตกใจมาก

ขณะเดียวกันที่สวนหลังบ้านขุนภักดี เนียนเก็บผักเสร็จแล้ว พากันเดินออกมากับแมว ได้ยินเสียงคนร้องไห้
“ช้อย” สองคนอุทาน
เห็นช้อยกำลังป้ายน้ำตา พูดอะไรบางอย่างกับแทน
“ฉันไม่มีให้ยืมดอก ที่ท่านให้ก็ส่งไปให้พ่อแม่ใช้เหลือแค่พอยาไส้ไปวันๆ”
“ใจดำ เอ็งใจดำไอ้แทน เสียแรงเคยทำงานชายคาเดียวกัน” ช้อยตัดพ้อ
“อุ๊บ๊ะ คนอะไร้ มาขอยืมเงินพอไม่มีให้มาชี้หน้าด่าทอ อันธพาลแท้ๆ” แทนด่า
เนียนกะแมวมองหน้ากัน แมวประชดขึ้น
“ช่างน่าเวทนาเหลือเกิน ไอ้ฉันก็ไม่ได้พกเศษเงินมาด้วยหาไม่จะโยนใส่ปากให้ไปใช้เอาดาบหน้า”
เอกมาสมทบอีกคน
“โยนใส่ปากนั่นมันตอนตายตะหาก จะให้เอาไปใช้ในนรกรึ นางแมว เอ็งละก้อพูดจา ส่อเสียดดีนัก” เอกตะโกนเรียก “เออแน่ะ นางช้อยข้าพอมีจะให้ทานเอ็ง มาเอาไปสิ”
ช้อยหันมาเจอหน้าเนียน แมว อยู่กับเอกที่ยิ้มอยู่ก็หุบจ๋อยไป
“อย่ามาเยาะกันนักเลย ไอ้พี่เอก คนล้มแหมรีบมาเหยียบมาย่ำ”
“เอ..ฟังน้ำเสียงดูท่าว่าจะมีปัญหากับเจ้านายผู้แสนดีซะแล้วนางช้อย”
ช้อยปาดน้ำตา หันตัวจะเดินจากไป
เนียนเรียกไว้ “ช้อย”
ช้อยหยุด เนียนเดินไปหาช้อย ส่งเงินให้หนึ่งตำลึง
“หนึ่งตำลึง” ช้อยตกใจ
“รับไปเถิด ฉันเอาผักไปส่งที่ตลาดทุกเช้า วันนี้เป็นวันที่เขาจ่ายเงินพอดี”
ช้อยมองเนียน ทุกคนมองเนียนแปลกใจ ช้อยส่ายหน้า ครวญคร่ำออกมาคำเดียว
“ทำไม ทำไม”
“ทำไมเนียนไม่โกรธแค้นอาฆาตเอ็งรึนางช้อย” เอกเองก็งง
“โกรธสิ แต่มันผ่านพ้นไปแล้ว ฉันมีเรื่องอื่นทุกข์ร้อนมากมาย เกินกว่าจะมาจำเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านไป เพื่อเพิ่มทุกข์ที่อาจเกิดมาอีก”
ช้อยอึ้งเงียบงันไป เนียนยัดเงินใส่มือช้อย ทุกคนมองเนียนชื่นชมมาก ช้อยพึมพำบอกเนียน
“ฉันขอโทษ”
แล้วช้อยก็หันกลับไป เนียนมองตามช้อย ให้อภัยจนสิ้น เลิกจองเวร

สนแอบมองเนียนกับช้อยอยู่
“อีช้อย กูเอามึงไว้ไม่ได้อีกคนแล้ว มึงรับสินบนอีเนียนให้ไปเป็นพวกมัน มึงหักหลังกู”

สนพาลโกรธช้อย ไม่ไว้ใจมากขึ้นอีก

ฝ่ายขุนภักดีมานั่งคิดอะไรตามลำพังที่ท่าน้ำ นึกถึงตอนตักกินต้มยำพุงปลาที่เนียนทำแล้วคุ้นๆ รส ในที่สุดรู้ว่าเนียนทำ

ขุนภักดีทอดถอนใจ
“ทำไมเราไม่เฉดหัวผู้หญิงมักมากคนนั้นไปจากบ้านนะ”
มีเสียงเรือพายจ๋อมแจ๋มใกล้ๆ เข้ามา ท่านขุนชะงัก
“ใครมาพายเรือเล่นตอนมืดค่ำหรือว่ามาหาผู้หญิงมักมากนั่น
ขุนภักดีจ้องมองออกไปในความมืด

ลูกน้องของหนักพายเรือมา หนักนั่งมองจ้องตาเป๋งไปทางบ้านขุนภักดี ใจจดจ่อ เต้นระทึก
“ท่าน้ำข้างหน้านั่นแหละ จอดแอบไม่ต้องไปกลางท่าน้ำดอก”
“นั่นบ้านท่านขุนภักดีภูบาลนะลูกพี่ จะปล้นบ้านนี้รึ” ลูกน้องถาม
“เงียบ เก็บปืนให้มิดชิด อย่าพูดอย่าทำอะไรทั้งสิ้น ถ้าข้าไม่ได้สั่งฟังนะ เอ็งไม่ต้องผูกเรือดอกเผื่อมีเหตุร้ายจะได้รีบไปไวๆ”
ลูกน้องพยักหน้า เทียบเรือไปที่ริมท่าน้ำ หนักลุกขึ้นยืน

ขุนภักดีก้าวออกไป ขณะที่หนักก้าวขึ้นมาที่ท่าน้ำ ชายสองคนเผชิญหน้ากัน
“เอ็งเป็นใคร”
หนักยืนนิ่งอึ้งไป เห็นหน้าหนักภายใต้แสงจันทร์สลัวไม่ชัดเจนนัก
“ผม…”
ขุนภักดีชักปืนออกมาแล้ว

ส่วนเนียนยืนตะลึงอยู่ข้างหลังท่าน้ำในพุ่มไม้ จำท่าทางเดินของหนักได้ดีอุทานออกมา
“ท่าทางเดินแบบนั้น ใช่แล้ว พี่หนัก” เนียนตกใจรีบเอามือปิดปาก

หนักตั้งสติได้
“บอกมาว่าเอ็งชื่ออะไร” ขุนภักดีคาดคั้น
“ชื่อสินขอรับ”
“มาทำไม”
“มา เอ้อ…”
หนักล้วงกระเป๋า ขุนภักดีทำท่าจะยิง
“หยุดนะ”
เนียนแอบมองอยู่ตกใจมาก
“ตายแล้ว”
เนียนเอามือปิดตา

ฝ่ายขุนภักดีขยับปืนในมือ ยิงเฉียดหนักออกไปข้างๆ
“เอ็งจะชักปืนมายิงข้ารึ หน่อยแน่ะ” เสียงปืนดังปัง
“หามิได้ขอรับ กระผมไม่ได้จะหยิบปืนดอก แต่…”
“แต่อะไร”
หนักหยิบพระออกมา
“พระสมเด็จขอรับ”
ขุนภักดีแปลกใจว่าหนักหยิบพระออกมาทำไม
“อืมม์...งามมาก แต่เรื่องพระเอาไว้ก่อน เอ็งยังไม่ได้ตอบข้าว่ามาทำไม”
“มาหายายอ่อนขอรับ ยายอ่อนแกบอกว่าอยู่ที่นี่ แกเป็นคนทำคลอดกระผม กระผมเป็นคนสวนแตง ผ่านมาก็เลยจะแวะมาเยี่ยมขอรับ” หนักยกมือไหว้ “ต้องขอประทานอภัยท่านด้วยที่กระผมมาเอามืดค่ำ”
“ไม่เป็นไร แต่ยายอ่อนไปจากที่นี่นานห้าปีแล้ว นั่งก่อนสิ”
ขุนภักดีเกิดอารมณ์ดีในความอ่อนน้อมของหนักขึ้นมา เก็บปืน
“เอ้อ ขอบพระคุณขอรับ คือ ขอประทานโทษ ที่กระผมเงอะงะในตอนแรกเพราะกระผมกลัว สืบเนื่องมาแต่ผู้คนกล่าวถึงท่านขุนว่า ดุร้ายดูถูกคนจน แต่ตอนนี้ กระผมเห็นว่าคำกล่าวนั้นตรงกันข้าม ท่านขุนไม่ได้ดูถูกชาวบ้านธรรมดาอย่างกระผมแม้แต่น้อย แถมเมตตากระผมอีกด้วย”
“อย่างว่าแหละ สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น”
ขุนภักดีบ้ายอพอสมควร หัวเราะชอบใจยกใหญ่

เนียนตกใจระคนแปลกใจเพราะไม่ได้ยินสองคนคุยกันแต่ตอนนี้ได้ยินเสียงท่านขุนหัวเราะชอบใจให้ประหลาดใจมาก
“ทำไมเขาไม่ฆ่าพี่หนัก ทำไมเขาหัวเราะเหมือนชอบใจ”
สนได้ยินเสียงปืนวิ่งมาเจอเอาเนียนกำลังแอบมองขุนภักดีกับหนัก สนชะงักไม่ไปต่อ
“อีเนียน มันมาแอบดูพี่เทพ ยิงอะไรนะ หรือว่ายิงไอ้หนักตายโหงไปแล้ว”
เนียนยกมือท่วมหัว
“ชะรอยจะเป็นพระสมเด็จที่พี่หนักพกมาทำให้แคล้วคลาดกระมัง”
สนใจได้ยินเนียนบ่นถนัดมาก สนตะลึง
“ไอ้หนักมาจริงๆ ไอ้เสือหนักมันมาจะหาเรา แย่แล้ว”
สนเขม้นมองไป เห็นเป็นหนักจริงๆ ไวเท่าความคิดตะเกียกตะกายหนีจนหกล้มหกลุก แล้วรีบหายตัวไปอย่างรวดเร็ว

ด้านขุนภักดีตบบ่าหนักเบาๆ
“ขอบใจที่เข้าใจฉัน ขอโทษด้วยที่วู่วามยิงขู่ไป ที่นี่โจรมันชุม โจรบางรายห้าปีผ่านไปยังตามจับไม่ได้ ก็ไอ้เสือหนักไงล่ะ น้องชายคงได้ยินกิตติศัพท์มันแล้ว”
“ขอรับ กระผม เอ้อ...กระผมมีธุระต้องไปก่อนขอรับ”
“กำลังคุยกันออกรสทีเดียว วันหลังผ่านมาแวะอีกได้”
หนักยกมือไหว้แล้วส่งพระให้
“ทราบว่าท่านขุนมีลูกชาย น่ารักแสนฉลาด กระผมได้รับน้ำใจไมตรีจากท่าน กระผมขอฝากพระองค์นี้ไว้ให้ลูกชายท่านด้วยขอรับ”
ขุนภักดีอึ้งไปครู่หนึ่ง “ไม่ได้ทำอะไรให้สักหน่อย ให้พระนี่ มากเกินไป จะดีรึ”
“กรุณารับไว้เถิดขอรับ กระผมนับถือน้ำใจท่าน อยากมอบสิ่งดีๆ ให้แก่ลูกชายท่านขอรับ ได้โปรดเถิดขอรับ”
ขุนภักดีลังเล แล้วตัดสินใจรับไว้ หนักมองไปในความมืด ใจให้นึกถึงน้องสาวผู้อาภัพพลางยกมือไหว้
“มองหาอะไรรึ”
“หามิได้ขอรับ กระผมมองว่าบ้านท่านใหญ่โตกว้างขวาง แต่เหมือนมีคนอยู่ไม่มาก จึงดูเงียบเชียบนัก”
“มันเพิ่งจะเงียบเชียบเพราะลูกของฉันสามเอ๊ย สองคนไปเรียนที่บางกอกหมดแล้ว เหลือแค่แม่ฉันหนึ่ง เมียสามลูกเอ๊ยสอง ที่นี่อยู่กันเงียบๆ บ่าวไพร่ทุกคนสบายดี”

หนักฟังแล้วให้นึกสบายใจเรื่องเนียนขึ้นมาบ้าง จึงไหว้ลาแล้วถอยตัวลงเรือไป

โปรดติดตาม "อาญารัก" ตอนที่ 8
กำลังโหลดความคิดเห็น