xs
xsm
sm
md
lg

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่ 8

เขมมิกกับเนตรนิภาพาขนิษฐาเดินเข้าบ้าน

“แล้วถ้าไอ้โรคจิตนั่นมันตามมารังควานแกอีกล่ะ เขม” ขนิษฐาถาม
“แม่ไม่ต้องห่วง เขมจะกำจัดเขาออกไปจากชีวิตเอง”
“แกก็ทำเก่งไปซะทุกเรื่อง เขม บางเรื่อง ถ้าจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือก็ขอไปเถอะ”
พยาบาลเดินหน้าเสียเข้ามาหา
“มีอะไรเหรอคะพี่” เขมมิกถาม
ทันใดนั้นเปี่ยมพงษ์ก็เดินออกมาจากในบ้านในชุดอยู่บ้าน โดยที่เคี้ยวข้าวตุ้ยๆ ไปด้วย
“อ้าว กลับมากันแล้วเหรอจ๊ะ หนูเขม หนูเนตร แม่ฐา”
ขนิษฐาตกใจที่เห็นเปี่ยมพงษ์ เขมมิกมองเปี่ยมพงษ์เซ็งๆ

พิแสงกับกนธีปรากฏตัวหน้าบ้านขนิษฐา ธรรมศักดิ์ปาดเหงื่ออยู่ข้างๆ
“เฮ้อ....ทำไมมีแต่คนดื้อ” ธรรมศักดิ์ว่า
“ผมรออยู่เฉยๆไม่ได้หรอกครับ ต้องเคลียร์” พิแสงบอก
“คุณเขมเธอร้ายนะเว้ย เดี๋ยวก็ได้ถูกแจ้งจับข้อหาบุกรุกหรอก” กนธีเตือน
“จับก็จับ”
พิแสงจะเข้าบ้านเลยแต่แล้วก็ชะงักเพราะเปลี่ยนใจ
“กดกริ่งก่อนดีกว่า”
ธรรมศักดิ์รีบบอก “ไม่ดีกว่าหรอกครับ กลับไปก่อนนั่นแหละที่ดีกว่าครับ”
“กลับถือว่ากลัว ผมยังเป็นเจ้านาย เค้าต้องกลัวผม เข้าไปเลยเหอะ”
พิแสงเดินเข้าไป กนธีเดินตาม ธรรมศักดิ์อยากจะเป็นลม

เปี่ยมพงษ์นั่งกินข้าวทำเป็นทองไม่รู้ร้อน เขมมิกประคองขนิษฐาลงนั่ง เขมมิกเหลือบมองเปี่ยมพงษ์อย่างหมั่นไส้
“คุณป้าทานข้าวเลยนะคะ จะได้ทานยา” พยาบาลบอก
ขนิษฐารับคำ “จ๊ะ”
“หนูช่วยค่ะ” เนตรนิภาอาสา
เนตรนิภาเดินตามพยาบาลเข้าไปในบ้าน
“เปี่ยมพงษ์ อร่อยมั้ย” ขนิษฐาถาม
“อร่อยสิ...เออ...เดี๋ยวช่วยจ่ายค่ากับข้าวพวกนี้ให้ด้วยนะ ฉันเซ็นไว้” เปี่ยมพงษ์บอก
ขนิษฐาอึ้ง
“สั่งมากินเอง ก็จ่ายเองสิ” เขมมิกว่า
“อ้าว...ให้ฉันอยู่เฝ้าแม่ฐา แม่ฐาก็ต้องเลี้ยงฉันสิ”
เขมมิกอึ้ง เธอยืนมองหน้าเปี่ยมพงษ์อยู่ชั่วครู่ก่อนจะเดินเข้าไปหาเปี่ยมพงษ์
“งั้นก็ไม่ต้องอยู่” เขมมิกกวาดถ้วยข้าวกระจาย
เปี่ยมพงษ์ตกใจ “เฮ้ย!”
ขนิษฐาตกใจ “เขม!”
เนตรนิภากับพยาบาลวิ่งเข้ามาห้ามด้วยความตกใจ
“ทำอะไรวะ!” เปี่ยมพงษ์ถาม
“คนอย่างแกไม่สมควรจะได้กินกับข้าวที่ฉันต้องเสียเงินซื้อมาหรอก ให้หมากินยังมีประโยชน์ซะกว่า”
“หนูเขม!!” เปี่ยมพงษ์โมโห
เนตรนิภาเข้าไปประกบเขมมิก ส่วนขนิษฐาเข้าไปประกบเปี่ยมพงษ์
“เขม อย่า เขม พอ!”
“แม่ขอแล้วไง เขม!”
“วันนี้ เขมจะไม่ให้ใครทั้งนั้น! ถ้ามันไม่ออกไปจากชีวิตแม่ เขมจะทำให้มันออกไปเอง” เขมมิกประกาศ
พิแสง กนธี และธรรมศักดิ์เดินเข้ามาเห็นก็ชะงักและอึ้งกันไป
“แกจะทำอะไรฉัน นังเขม ! เมียฉันมันยังไม่เคยเอ่ยปาก ฉันเป็นผัวแกเรอะ ถึงได้มาไล่ หรือว่าอยาก แต่ฉันไม่เอา เลยคอยเห่าฉันอยู่อย่างนี้”
เขมมิกด่า “ไอ้ปากสกปรก”
เขมมิกโผเข้าไปต่อยเปี่ยมพงษ์ดังเปรี้ยง ทุกคนตกใจ
เขมมิกชี้หน้าด่าเปี่ยมพงษ์
“ฉันเคยบอกแกแล้วใช่มั้ย ถ้าแกไม่อยู่ดูแลแม่ฉันเมื่อไหร่ ฉันจะไล่แกออกไปให้พ้น”
เปี่ยมพงษ์ลุกขึ้นจะเอาเรื่องเขมมิกแต่ขนิษฐาเข้าไปขวาง
“อย่าทำอะไรเขม!”
เปี่ยมพงษ์ตบขนิษฐาจนกระเด็น “ถอยไป”
เขมมิกและทุกคนตกใจ
“แม่!!!”
สิ้นเสียงร้องของเขมมิก เขมมิกก็กระโดดเข้าขย้ำคอเปี่ยมพงษ์ โดยที่เขมมิกยังไม่เห็นว่าพิแสงและกนธีมา เปี่ยมพงษ์หน้าเขียวและพยายามดิ้น เนตรนิภาพยายามดึงตัวเขมมิกออกมา
“เขม!!! อย่า!!”
“มันทำร้ายแม่ ฉันจะฆ่ามัน!!”
พิแสง กนธีและธรรมศักดิ์ตกตะลึงกับเหตุการณ์ตรงหน้า ขนิษฐาร้องห้ามเสียงหลง
“เขม อย่าลูก!”
เนตรนิภาช่วยห้าม “เขม พอเถอะ!”
เนตรนิภาลากเขมมิกออกมาได้ เปี่ยมพงษ์โกรธจัดจึงเงื้อมือจะตบเขมมิก เปี่ยมพงษ์ฟาดมือลงไป
แต่พิแสงเข้ามารับมือของเปี่ยมพงษ์เอาไว้ได้ เขมมิกตกใจที่เห็นพิแสง เนตรนิภา ขนิษฐาและเปี่ยมพงษ์ก็ตกใจ

“อย่าทำร้ายผู้หญิงอีก!” พิแสงเสียงเข้ม

พิแสงผลักเปี่ยมพงษ์ออกไปอย่างแรงจนเปี่ยมพงษ์เซ
“แกเป็นใคร มายุ่งทำไม!” เปี่ยมพงษ์ว่า
“ถอยไป! ฉันจะฆ่ามัน วันนี้ฉันจะฆ่ามัน!” เขมมิกโกรธจัด
พิแสงหันไปคว้ามือของเขมมิกแล้วลากออกไปนอกบ้านทันที
“ปล่อยฉัน!”
พิแสงพาเขมมิกออกไป ขนิษฐาทรุดฮวบเพราะหน้ามืด เนตรนิภากับกนธีเข้าไปประคองทันที เนตรนิภามองหน้ากนธีอย่างไม่พอใจ
“จะวีนอะไรผม เอาไว้ก่อน!” กนธีบอก
กนธีรีบอุ้มขนิษฐาเข้าไปในบ้านทันที เนตรนิภาเดินตาม พยาบาลรีบเข้ามาช่วยดูแล เปี่ยมพงษ์ยืนฮึดฮัด ธรรมศักดิ์เดินเข้ามาเผชิญหน้า
“จะอยู่ให้ถูกฆ่าหรือจะไปดีครับ” ธรรมศักดิ์ถามนิ่งๆ
เปี่ยมพงษ์อึ้ง

พิแสงพาเขมมิกออกมา ขณะที่เขมมิกพยายามจะดิ้นให้หลุดจากพิแสงตลอดเวลา
“ปล่อย!”
“ปล่อยก็ได้!”
พิแสงยอมปล่อยมือจากเขมมิกหลังจากเห็นว่ามาไกลจากบ้านแล้ว เขมมิกจะเดินกลับไปแต่พิแสงเข้าไปขวาง
“จะกลับไปเป็นผู้ร้ายฆ่าคนหรือไง” พิแสงถาม
เขมมิกอึ้ง “เรื่องของฉัน คุณไม่เกี่ยว”
“ฉันไม่เกี่ยวหรอก แต่แม่เธอสิเกี่ยวแน่! ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับเธอ คนที่เดือดร้อนที่สุดก็คือแม่ของเธอ”
เขมมิกอึ้งไปเมื่อคิดถึงขนิษฐา
“มีสติได้หรือยัง” พิแสงถาม
เขมมิกเริ่มมีสติแล้วก็รู้สึกแย่ที่โกรธจนหน้ามืดทำให้ทำเรื่องรุนแรง

เปี่ยมพงษ์ถลันเข้ามาในบ้าน ธรรมศักดิ์เดินตามมาติดๆ ขนิษฐาที่หน้ามืดนอนเอนหลังอยู่ โดยมีพยาบาลปฐมพยาบาลและให้ยาดม ส่วนเนตรนิภานั่งบีบมืออย่างเป็นห่วง ขณะที่กนธียืนอยู่ใกล้ๆ เปี่ยมพงษ์ทำท่าจะเข้ามาหาขนิษฐา
“นังฐา ตื่น! ลุกขึ้นมา!”
กนธีกับเนตรนิภาเข้ามาขวางพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย “หยุดนะ!”
“ไม่อยากตายก็อย่ามาขวาง” เปี่ยมพงษ์ว่า
“แน่จริงก็ลองดู! ถ้าไม่กลัวแฟนฉัน มือปืน ซุ้มเมืองเพชร จำได้มั้ย!” เนตรนิภากุเรื่อง
กนธีงง “หือ?”
ธรรมศักดิ์งง เปี่ยมพงษ์อึ้งแล้วก็ค่อยๆ หน้าซีด
เนตรนิภาพูดใส่หน้ากนธี “มือปืน ขาใหญ่เมืองเพชร! ฉายาไอ้ปืนโต ชักปืนออกมาเลย รำคาญไอ้พวกเก่งแต่ปากชอบทำร้ายผู้หญิง”
กนธีรับลูก “ได้เลย!!”
กนธีทำท่าล้วงไปข้างหลัง เปี่ยมพงษ์ตกใจแต่ก็ยังไม่ไป กนธีท่าท่าชักปืนอีก
ธรรมศักดิ์รีบช่วย “คุณก็ไปๆซะสิครับ จะอยู่ล่อกระสุนไอ้ปืนโตหรือไง”
“เดี๊ยะ!” กนธีทำท่าชักปืนขู่อีก
“ไปก็ได้! แต่บอกนังฐากับลูกมันด้วย มันต้องจ่ายค่าเสียเวลาที่ฉันติดแหง็กอยู่กับอีแก่ขี้เหล้านี่มาหลายปี สามปีก็สามแสน”
“หืม! ยังจะมาเรียกเงินอีก ไอ้.....”
กนธีทำท่าจะชักปืนอยู่รอมร่อ เปี่ยมพงษ์กลัวตายจึงรีบวิ่งหนีออกไปทันที กนธีภูมิใจจึงหันมายิ้มกับเนตรนิภา
“ผมเจ๋งป่ะ ดูดิ่ เล่นซะเหมือนเลย หางจุกตูดไปแล้ว แต่แหม...จู่ๆก็ทึกทักว่าเค้าเป็นแฟน น่าจะบอกกันก่อนสักนิด....ไม่งั้นจะเล่นให้เนียนกว่านี้”
“กลับไปได้แล้ว!” เนตรนิภาว่า
กนธีสะอึก “เอิ๊ก!!!”
“ไป!”
“โห...ใช้เสร็จแล้วก็ทิ้ง คนนะไม่ใช่ทิชชู่!”
กนธีเดินคอตกออกไป ขนิษฐาค่อยๆรู้สึกตัวขึ้น
“เขม..เขมอยู่ไหน”
เนตรนิภาและธรรมศักดิ์รีบเข้าไปดูอาการของขนิษฐาทันที

เขมมิกยืนนิ่งเพราะอารมณ์สงบลงมากแล้ว พิแสงเดินเข้ามายืนข้างๆ เขมมิกเกิดอาการหวาดระแวงพิแสง
“จะตามฉันมาอีกทำไม”
“เหมือนกลัวว่าฉันจะรู้อะไรที่เธอไม่อยากให้รู้” พิแสงว่า
เขมมิกอึ้ง
“คิดว่า...ความลับจะเป็นความลับได้ตลอดไปหรือไง” พิแสงถาม
“ความลับอะไร”
“ความลับที่เกี่ยวกับตัวเธอ”
เขมมิกตัวแข็ง
“มาแค่ไม่กี่ชั่วโมง...คิดว่ารู้อะไรนักหนา” เขมมิกพูด
“เธอมีพ่อเลี้ยงที่เป็นอันตรายต่อชีวิตเธอและแม่เธอ”
“นั่นไม่ใช่ความลับ แต่เป็นความจริงที่ฉันไม่จำเป็นต้องบอกคุณ อีกอย่างอย่าใช้คำว่าพ่อ ฉันไม่เคยให้ค่ากับผู้ชายสวะๆอย่างนั้น”
พิแสงเห็นความเจ็บปวดของเขมมิกแล้วก็เห็นใจจึงยอมรับ “โอเค...ความจริงอีกอย่างที่เธอไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องบอกฉัน....จากสภาพที่เห็น แม่เธอไม่ได้อยู่สบายอย่างที่เธอบอก”
เขมมิกไม่พอใจ “อย่าเอามาตรฐานของตัวเองมาตัดสินคนอื่น สำหรับฉัน เท่าที่คุณเห็น ฉันเรียกว่าอยู่สบาย แต่ระดับคุณอาจจะมองเห็นว่าเป็นแค่...”
พิแสงทนไม่ไหวจึงตัดบทขึ้นมา “ฉันถามจริงๆนะ...เธอโกรธอะไรฉัน”
เขมมิกอึ้ง
พิแสงพูดต่อ “เรื่องที่ฉันชวนเธอไปผสมพันธุ์หรือไง ถ้าใช่ ฉันขอโทษ”
“คราวนี้ขอโทษง่ายจังนะ”
“ขอบคุณ ขอโทษ พูดไปเถอะ ไม่ตายหรอก ไม่ใช่เหรอ”
เขมมิกอึ้งเพราะไม่คิดว่าพิแสงจะจำได้
“เพราะฉันผิดจริงๆ ที่คิดแหย่เธอเล่น ไม่ดูตาม้าตาเรือ จริงๆแล้วฉันจะชวนเธอไป....”
“เรื่องนั้นฉันรู้แล้ว”
“แล้วอะไรที่ทำให้เธอหนีฉันมาแบบนี้....” พิแสงอ่อนโยนลง “เขมมิก”

เขมมิกเบือนหน้าหนีเพื่อไม่ให้พิแสงเห็นความสะเทือนใจที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า เขมมิกพยายามระงับอารมณ์เพราะเธอกำลังหวั่นไหวกับพิแสง
“ทำไมไม่บอกกันสักคำ”
“คุณกลับไปซะเถอะ”
“แต่ฉันยังไม่ได้คำตอบจากเธอ”
“ไม่มีคำตอบให้กับทุกคำถามที่เกิดขึ้นในชีวิตหรอกค่ะ”
“ฉันไม่กลับ”
เขมมิกยอมพูดเพื่อจบเรื่อง “ก็ได้....ที่ฉันหุนหันกลับมาแบบนี้....ไม่เกี่ยวกับคุณ แต่เกี่ยวกับฉัน”
พิแสงอึ้ง เขมมิกพูดต่อ
“คำตอบที่ได้อาจจะตอบคำถามของคุณได้ไม่หมด แต่ไม่มีคำตอบให้คุณได้มากกว่านี้อีกแล้ว ...อย่าตามฉันมาอีก! ลาก่อนค่ะ”
พิแสงอึ้ง เขมมิกเดินจากพิแสงไป
“ลาก่อน หมายความว่ายังไงเขมมิก...!”
เขมมิกไม่หันกลับมาแต่กลับเดินจากไปอย่างเจ็บปวดและตัดใจ พิแสงยังค้างคาใจว่าเขมมิกเป็นอะไร และมีอะไรซ่อนอยู่ที่เขายังไม่รู้อีกแน่นอน

เขมมิกเครียดอยู่กับขนิษฐา โดยมีเนตรนิภาและธรรมศักดิ์นั่งอยู่ด้วยในบ้าน
“มันเรียกจะเอาเงินสามแสนเหรอ...ไอ้ชั่ว!” เขมมิกโมโห
ทุกคนนิ่งเงียบ
“เขม....ปล่อยเค้าไปเถอะลูก” ขนิษฐาบอก
“ปล่อย??? แล้วมันจะปล่อยเราเหรอแม่ หนูรู้ดี สันดานแมงดาอย่างมันจะไม่ยอมปล่อยจนกว่าจะได้เงิน”
“แล้วจะหาจากไหนให้มัน”
เขมมิกอึ้ง เนตรนิภาและธรรมศักดิ์เห็นใจเขมมิกมาก
“ลำพังหาเงินมารักษาตัวแม่ แม่รู้ว่าก็ยากพออยู่แล้ว เขม...แม่ทนได้นะ ทนเห็นหน้ามัน ทนให้มันอยู่ แต่แม่ทนไม่ได้ ถ้าเห็นเขมต้องดิ้นรนลำบากมากไปกว่านี้”
เขมมิกอัดอั้นและแค้นมาก “เราทำเวรทำกรรมอะไรไว้กับมันนักหนา....ทำไมถึงต้องมานั่งชดใช้ให้ผู้ชายเลวๆแบบนั้นไม่รู้จักจบสิ้น”
เขมมิกสุดจะกลั้นกับความคับแค้นใจ
“เขม...ลูก....”
ขนิษฐาสะเทือนใจหนักจนวิงเวียนศีรษะเพราะความดันขึ้น ขนิษฐาโงนเงนจะล้ม เขมมิกรีบเข้าไปประคองทันที
“แม่!!”

เขมมิกเดินตามเตียงขนิษฐาที่ถูกเจ้าหน้าที่เข็นเข้าห้องฉุกเฉินด้วยความเป็นห่วง ประตูห้องฉุกเฉินถูกปิดลง เขมมิกยืนใจสั่นด้วยความเป็นห่วงขนิษฐา เนตรนิภาและธรรมศักดิ์เดินเข้ามาหาเขมมิก
“เขม....”
“ฉันไม่อยากให้แม่เป็นแบบนี้ แม่ยังต้องสู้อีกเยอะ แม่จะอ่อนแอไม่ได้” เขมมิกบอก
“ทุกคนก็อยากให้เป็นแบบนั้น” เนตรนิภาว่า
“แม่คุณเขมอาการทรุด ก็เพราะเป็นห่วงคุณที่ต้องหาเงิน” ธรรมศักดิ์บอก
เขมมิกอึ้ง
“กลับไปหาคุณแสงสุดาเถอะครับ”
เขมมิกอึ้งไปอีก
“เป็นทางออกเดียวสำหรับคุณในตอนนี้ เชื่อผมเถอะครับ”
“ลุงไม่เข้าใจหนู” เขมมิกบอก
“ผมไม่เข้าใจหรอก ว่าทำไมคุณถึงได้ลาออกกะทันหัน แต่คิดว่าคงเป็นเรื่องร้ายแรง”
“ใช่....มันร้ายแรงมากสำหรับหนู”
“แล้วสำหรับคุณแม่คุณล่ะครับ”
เขมมิกอึ้ง ธรรมศักดิ์พูดต่อ
“ฟังข้อมูลจากผมเพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจหน่อยนะครับ”
“ข้อมูลอะไรคะ”
“ถ้าคุณกลับไปปฏิบัติภารกิจในคราวนี้...อีกไม่นานหรอกครับ คุณพิแสงจะต้องเปลี่ยนใจจากคุณน้ำหวาน หันมา...ตกหลุมรักคุณแน่นอน”
เขมมิกกับเนตรนิภางง “อะไรนะคะ?”
“เวลาที่คุณจะต้องฝืนใจอยู่ที่ฟาร์มเพื่อนเกษตรมันไม่นานอย่างที่คิด”
“ลุงพูดเหมือนกับว่าคุณพิแสง...ชอบเขมแล้วงั้นแหละ” เนตรนิภาว่า
“คุณเขมเป็นคนดี และน่ารัก ถ้าคุณพิแสงได้ใกล้ชิดคุณ ไม่ชอบ ก็โง่...เอ้ย ตาบอด... เชื่อผมเถอะ....เห็นแก่คุณแม่ของคุณ”
เขมมิกหันกลับไปมองที่ห้องฉุกเฉินด้วยความเป็นห่วงขนิษฐาที่ท่วมท้นหัวใจ

พิแสงนั่งซึมอยู่ในบ้าน กนธีเดินเข้ามาคุยด้วย
“นายนั่นมันเรียกเงินคุณเขมอีกตั้งสามแสนด้วยนะเว้ย เป็นค่าเสียเวลา”
พิแสงอึ้ง
“ชีวิตคุณเขมสุดยอดดราม่าเลยว่ะ นี่ถ้าไม่มาเห็นด้วยตา ไม่เชื่อเลยนะ ภายใต้ท่าทางที่ร่าเริงนั้น กลับมีด้านมืดและน่าเศร้าซุกซ่อนอยู่” กนธีบอก
“ยังมีอีกหลายอย่างที่เขมมิกปกปิดเอาไว้”
พิสาและสาวิกาเดินเข้ามาในบ้าน หลังจากออกไปช็อปปิ้งข้างนอก ทั้งคู่เห็นพิแสงแล้วดีใจ
“พี่ใหญ่!”
พิสาวิ่งเข้ามากอดพิแสงด้วยความดีใจ
“พี่ใหญ่จะมาแล้วทำไมไม่บอก มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ คุณแม่รู้หรือยัง”
“ยังจ๊ะ พอดีมีธุระด่วนที่นี่ เลยไม่ได้บอกใคร” พิแสงบอก
พิแสงเห็นสาวิกายืนยิ้มอยู่
“ว่าไง วิกา สบายดีนะ”
“เอ่อ...” สาวิกาอึกอัก
พิสาชิงตอบ “ไม่สบายหรอกค่ะ อกหักจากทริปพาพี่สินีย์กับพี่พีทไปฮันนีมูนคราวโน้น ทำให้อดไปเจอพี่ใหญ่ วิกาเศร้าจะตาย”
สาวิกางง “หา??”
“ก็เห็นร่าเริงปกติดีนี่ ดูซิ ยังมีอารมณ์ช็อปปิ้ง ได้ของมาตั้งเพียบ” กนธีว่า
“ใช่ค่ะ” สาวิกาตอบ
“พี่ธีจะไปรู้อะไร ผู้หญิงน่ะ ปากกับใจไม่ตรงกันหรอก ชิ...เงียบๆไปเลย” พิสาว่า
กนธีเซ็ง
“พี่ใหญ่อยู่หลายๆวันนะ พวกเรามีเรื่องจะคุยกับพี่ใหญ่เยอะเลย นะคะ”
พิสาออดอ้อนพิแสงที่ยิ้มเอ็นดูน้องสาวและไม่คิดถือสาอะไรกับคำพูดของพิสา สาวิกานั่งยิ้มเจื่อนๆด้วยความอึดอัดอยู่กับกนธี

เขมมิกนั่งเครียด
“เอาไง” เนตรนิภาถามเพื่อน
เขมมิกหยิบดอกไม้ในแจกันขึ้นมาเด็ดกลีบเสี่ยงทาย “ทำ ไม่ทำ ทำ ไม่ทำ ทำ ไม่ทำ”
เขมมิกเด็ดจนกลีบดอกไม้หมด
“ไม่ทำ” เนตรนิภาสรุป
“เอาใหม่” เขมมิกหยิบอีกดอกมาเด็ด “ทำ...”
เนตรนิภาห้ามเอาไว้ “ใจแกบอกว่าให้ทำตั้งแต่แรกแล้วล่ะเขม”
“เฮ้ยย”
“อย่าโกหกฉัน”
เขมมิกนั่งหน้าม่อย
“ลังเลอะไรอยู่อีก” เนตรนิภาถาม
“ฉันกลัว”
“กลัวจะตกหลุมรักคุณพิแสงเข้าจริงๆใช่มั้ย”
เขมมิกอึ้ง
“งั้นก็ไม่ต้องทำ เลิกเสียเวลากับการลังเลเหอะ เสียเวลาชีวิต หาทางอื่นกันดีกว่า...เอาปัญหาเฉพาะหน้าก่อน แกรับเงินเค้ามาแล้วหนึ่งล้าน เป็นเวลาสองอาทิตย์ สิบสี่วัน รวมดอกเบี้ย...โอย...ล้านสอง ฉันมีบัตรเครดิตห้าใบ แต่เต็มวงเงินไปแล้วสาม เหลือรูดได้เท่าไหร่หว่า เอ แล้วจะมีเหยื่อที่ไหนให้เรายืมเงินอีกมั่งน้า”
เนตรนิภาหาวิธีหาเงินให้เขมมิก เขมมิกสงสารเนตรนิภาที่ต้องมาเดือดร้อนไปด้วยแล้วเธอก็ครุ่นคิดอะไรบางอย่าง

แสงสุดาฟังเรื่องราวจากธรรมศักดิ์ก็ตกใจ
“ตาใหญ่ตามเขมมิกมากรุงเทพ!!”
ธรรมศักดิ์นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในห้องทำงานของตัวเอง
“ครับ...มาด้วยความห่วงใยมาก”
“อะไรนะ??? ห่วงใย?”
“คุณเขมเก่งนะครับ...ทำให้คุณพิแสงเป็นห่วงและตามมาได้ ไม่ใช่แค่ราคาคุยหรอกครับ เธอทำได้”
“ชิ...”
“ถ้าให้คนอื่นมารับช่วงงานนี้ต่อ คงจะยากแล้วล่ะครับ ควรจะให้คุณเขมดำเนินการต่อไป”
“คุณก็เห็นว่ายัยนั่น...ดื้อรั้นขนาดไหน” แสงสุดาบอก
“คงดื้ออีกไม่นานหรอกครับ”
“หมายความว่าไง....”
“เดี๋ยวท่านก็จะรู้เองครับ ผมขอตัวนะครับ พอดีมีงานรออยู่ สวัสดีครับ”
ธรรมศักดิ์วางหูแล้วยิ้มคล้ายรอคอยอะไรบางอย่าง
แสงสุดาวางสายจากธรรมศักดิ์ด้วยความแปลกใจ
“คุณธรรมศักดิ์...หมายถึงอะไร”
ธรรมศักดิ์นับถอยหลัง
“ห้า..สี่...สาม...สอง...หนึ่ง...กริ๊ง”
เสียงมือถือของแสงสุดาดังขึ้น แสงสุดามองหน้าจอแล้วก็ตกใจและดีใจ
“เขมมิก....”
ธรรมศักดิ์เอนหลังลงด้วยความสบายใจ

เขมมิกนั่งลงตรงหน้าแสงสุดาที่นั่งเชิดชูคอรออยู่อย่างไว้ท่า
“เปลี่ยนใจแล้วเหรอ” แสงสุดาถาม
“ไม่เปลี่ยนดีกว่าค่ะ”
พูดจบเขมมิกก็ลุกขึ้น
“นี่ อย่ามาทำล้อเล่นกับฉันนะ” แสงสุดาว่า
“ก็เห็นหน้าตาคุณ...ไม่ค่อยพอใจที่เห็นฉันมา”
“ใช่ ฉันไม่พอใจ....ที่เธอทำตัวเป็นเด็ก เดี๋ยวอยาก เดี๋ยวเลิก”
“ฉันขอโทษค่ะ”
แสงสุดาอ่อนลง “จะไม่บอกฉันซะหน่อยเหรอ ว่าอะไรที่ทำให้เธอคิดจะเลิกทำงานให้ฉัน”
“คำตอบเดิมค่ะ เรื่องส่วนตัว”
“ถ้าไม่ใช่เพราะเธอกลัวตัวเองจะหลงรักตาใหญ่ คงเป็นเพราะเธอกลัวว่าตาใหญ่จะหลงรักเธอหัวปักหัวปำจนถอนตัวไม่ขึ้น อย่างที่เคยโฆษณาไว้”
เขมมิกลอบถอนใจกับแสงสุดาที่ไม่ยอมจบ
แสงสุดามองเขมมิกเหยียดๆ “รู้มั้ย ทำไมฉันถึงเลือกเธอทำงานนี้ เพราะเธอมีประสบการณ์โชกโชน อาจจะทำให้ตาใหญ่เลิกกับยัยน้ำหวานนั่นได้ แต่ตาใหญ่ก็แค่หลงเธอประเดี๋ยวประด๋าว หวือหวา วูบวาบ แต่ไม่นานเขาก็จะรู้ตัวว่าเธอไม่ใช่เพชรแท้สำหรับเค้า ระดับอย่างเธอน่ะ รั้งเค้าไว้ได้ไม่นานหรอก”
เขมมิกรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวใจกับการที่ถูกแสงสุดาดูถูก เธอรู้สึกโกรธจนตัวสั่นแต่ก็พยายามระงับอารมณ์เอาไว้
“เพราะฉะนั้น เธอไม่ต้องกลัว...ไม่ว่าใครจะหลงรักใคร ยังไงมันก็จะไม่มีทางไปรอด”
“ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะ จะไม่มีคำว่ารัก นอกจากคำว่าร้าย ลาล่ะค่ะ”
“เดี๋ยวก่อน”
“คะ?”
“แล้วถ้าเกิดวันดีคืนดี นึกเฮี้ยนเปลี่ยนใจขึ้นมาอีกล่ะ”
“ไม่มีทางค่ะ ตอนนี้ดิฉันรู้แล้วว่าอะไรเป็นอะไร ไม่มีคำว่าเปลี่ยนใจ”
เขมมิกเดินออกไป แสงสุดาโล่งอก
เขมมิกเดินไปอย่างมุ่งมั่น
“ไม่มีคำว่ารัก จะมีแต่คำว่าร้ายสำหรับผู้ชายที่เคยทำร้ายฉัน”
เขมมิกเดินออกไปอย่างมาดมั่น

วันต่อมา สร้อยเพชรหัวเราะอย่างสบายใจกับแสงสุดา ส่วนสาวิกานั่งเซ็งอยู่กับพิแสงที่อึดอัดไม่แพ้กัน พิสาเดินเข้ามาพร้อมกับของว่างที่แม่บ้านยกมาบริการ
“มาแล้วค่ะ ของว่างแสนอร่อย” พิสาบอก
“ทานของว่างก่อนนะคะ รองท้อง ก่อนอาหารกลางวัน” แสงสุดาชวน
“อุ๊ยตาย...อ้วนตายเลย”
“อย่าค่ะ!” แสงสุดาขัดขึ้น
ทุกคนตกใจ
สร้อยเพชรงง “อะไรคะ!”
“อย่าเพิ่งตายค่ะ ยังตายไม่ได้ ยังไม่ได้อุ้มหลานกันเลย”
“นั่นสิคะ แหม ดิฉันก็ลืมไป พูดคำว่าตายได้ยังไง ไม่เป็นมงคล”
“ยิ่งพูดคำว่าตายบ่อยเท่าไหร่ จะยิ่งอายุยืนนะคะคุณแม่” สาวิกาบอก
ทุกคนอึ้ง แล้วสร้อยเพชรกับแสงสุดาหัวเราะเอ็นดูขึ้นมาอีก

ติดตาม "แผนร้ายพ่ายรัก" ตอนที่ 8 (ต่อ)

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่8 (ต่อ)

​ พิแสงเดินเล่นมากับสาวิกาที่อารมณ์ดีขึ้น

​“อึดอัดใช่มั้ย” พิแสงถาม
​“ค่ะ พี่ใหญ่รู้ดีใช่มั้ยคะ ว่าแม่ของวิกากับแม่ของพี่ใหญ่คิดจะจับคู่เราสองคน”
​“รู้”
​“สาวิกาไม่ชอบเลย บอกคุณแม่ไปตั้งหลายทีแล้ว ว่าพี่ใหญ่น่ะไม่เป็ค ไม่เป็ค คุณแม่ก็ไม่ฟัง”
​“แล้วสเป็คเราเป็นยังไง”
​“ต้อง....ไงดีล่ะ บอกไม่ถูกเหมือนกันค่ะ เอาเข้าจริงวิกาก็ไม่มีสเป็คหรอกค่ะ ต้องเจอกับตัวก่อนมั้ง ถึงจะบอกได้ว่าใช่หรือไม่ใช่”
​“แล้วเราจะได้เจอที่ไหนตอนไหนล่ะ วันๆก็เห็นอยู่ติดแต่กับยัยน้องเล็ก”​
​“ก็...วิกาไม่รู้จะไปไหนนี่คะ งานก็ยังไม่ได้ทำ จะไปทำที่ไหน คุณพ่อคุณแม่บอกไม่ผ่านทุกที เงินเดือนน้อยมั้งล่ะ ออฟฟิศเล็กบ้างล่ะ...อยู่เฉยๆแบมือขอเงินคุณพ่อคุณแม่ใช้แบบนี้...วิกาไม่ชอบเลย วิกาอยากมีชีวิตเป็นของตัวเอง”
​“ไม่เหมือนยัยน้องเล็กนะ รายนั้นขี้เกียจทำงาน อยากอยู่บ้านแบมือขอเงินพ่อแม่มากกว่า”
​“ความสุขของคุณเพื่อนไม่เหมือนความสุขของวิกานี่คะ”
​“อยากทำอะไรล่ะ”
​“วิกาเก่งภาษาอังกฤษนะคะ ทำอะไรก็ได้ที่ได้ใช้ภาษา ได้เจอคนเยอะๆ”
​“ไปทำงานที่รีสอร์ทของไอ้ธี เพื่อนพี่มั้ย ได้เจอนักท่องเที่ยวเยอะ แถมได้ใช้ภาษาอย่างที่เราถนัดด้วย”
​สาวิกาดีใจ “ฮ้า...จริงเหรอคะ” แล้วสาวิกาก็หน้าม่อยลง “ไม่ดีหรอกค่ะ...”
​“ทำไมล่ะ”
​“คุณพ่อคุณแม่คงไม่ยอมให้วิกาไปไหนไกลๆแน่ แค่คิดก็ไม่ผ่านแล้วอ่ะ”
​“แล้วเราอยากทำหรือเปล่าล่ะ”
​“อยากทำสิคะ แต่...”
​“แล้วพี่จะช่วยพูดให้”
​“ว้าว..จริงเหรอคะ คุณพ่อคุณแม่ต้องยอมแน่นอน” สาวิกาเข้าไปคล้องแขนพิแสงด้วยความดีใจ “ขอบคุณพี่ใหญ่นะคะ ขอบคุณมากค่ะ”
​พิแสงยีหัวด้วยความเอ็นดู “จ้า ไม่เป็นไร”
​แสงสุดา สร้อยเพชร และพิสาแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่งพึงพอใจ

​ แสงสุดาเดินเข้ามาหาพิแสงซึ่งกำลังเตรียมตัวกลับ
​“ตาใหญ่ คุยอะไรกับน้องฮึ...ดูน้องร่าเริง มีความสุขเชียว” แสงสุดาถาม
​“ผมชวนวิกาไปทำงานกับเจ้าธี” พิแสงบอก
​แสงสุดาเสียงสูง “ไม่ได้นะ!!!”
​“ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ”
​“ตาธีน่ะกะลิ้มกะเหลี่ยจะตาย เดี๋ยวยัยวิกาก็เสร็จโจรหรอก”
​“แต่ท่าทางโจรจะกลับใจแล้วนะครับ”
​“ตาธีน่ะเหรอ”
​“ครับ”
​พิแสงเดินออกไป แสงสุดายังไม่หมดเรื่องคุยจึงเดินตามไปต่อ

​เนตรนิภากำลังจะไปบินจึงเปิดประตูบ้านเตรียมเอารถออก แต่แล้วเธอก็ชะงักเมื่อเห็นกนธียืนพิงรถของตัวเอง ซึ่งจอดอยู่หน้าบ้านเนตรนิภา
​เนตรนิภาเซ็ง “คราวนี้ ไม่ใช่น้ำธรรมดานะ แต่จะเป็นน้ำร้อน”
​“ก็ดี..เวลาถอนขนจะได้ถอนง่ายๆ เย้ย...ไม่ใช่ไก่!”
​“ชงเอง ตบเอง สนุกมากป่ะ”
​“ฉันก็ทำสนุกไปงั้น แต่ในใจทุกข์มาก”
​“รอนี่นะ....ขอไปเอาน้ำร้อนก่อน”
​กนธีเข้าไปจับมือของเนตรนิภาเอาไว้ “เดี๋ยว!!”
​“อย่ามาจับมือฉัน!”
​“ไม่ให้จับมือแล้วจะให้จับตรงไหน”
​“นายกนธี!”
​“คุณเนตรนิภาครับ...ผมขอร้อง โปรดฟังผมสักนิด แล้วผมจะยอมทำตามคำสั่งของคุณทุกอย่าง จะให้ผมหายไปจากโลกนี้ ไม่มาให้เห็นหน้าอีก ผมก็ยินดีทำ”
​“ถ้าไม่ล่ะ”
​“ผมก็จะตามรังควานคุณอยู่อย่างนี้ ไม่ไปผุดไม่ไปเกิด”
​เนตรนิภาเซ็ง “อ่ะ มีอะไรจะพูดก็พูดมา แล้วอย่าเบี้ยวนะ นายต้องทำตามที่ฉันสั่งทุกอย่าง”
​“ถ้าเบี้ยวขอให้บ้านบึ้ม!” กนธีบอก
​เนตรนิภาหลุดขำ แต่รีบเก็บอาการ “รีบว่ามา อย่าให้ฉันรอนาน!”
​“ผมขอโทษ ผมผิดไปแล้ว ผิดจริงๆ เพราะความมักง่ายคิดแต่จะเอาชนะของผม ทำให้ต้องทำร้ายจิตใจคุณ”

​เนตรนิภาอึ้งเพราะเห็นความจริงใจในสายตาของกนธี

“ผมไม่รู้จะทำยังไงให้คุณเห็นว่าผมจริงใจมากแค่ไหน นอกจากคำพูด ที่เหลือก็แล้วแต่คุณพิจารณา ขอบคุณมากครับ”
​กนธียอมปล่อยมือของเนตรนิภาอย่างแผ่วเบาแล้วยืนนิ่งรอฟังคำพูดจากปากเนตรนิภา แต่เนตรนิภาปิดปากสนิท
​กนธีพูดต่อ “โอเคครับ...คุณไม่ยอมรับมัน งั้น...ผมจะไปให้พ้นจากสายตาคุณ จะไม่มารังควานรบกวนคุณอีก”
​กนธีเดินคอกตกไปที่รถ เนตรนิภาใจอ่อนจึงยอมให้โอกาสแต่เธอคิดว่ายังต้องมีการพิสูจน์ใจกันอีก
​“เดี๋ยวก่อน! รอเดี๋ยว!” เนตรนิภาเรียก
​“ขอเป็นน้ำร้อนที่อุณหภูมิห้องได้มั้ย จะได้ไม่แสบ” กนธีบอก
​“แล้วจะเรียกว่าน้ำร้อนได้ไง...บ้าเหรอ ตกลงอยากเป็นไก่ถูกถอนขนใช่มั้ย”
​“เป็นลูกไก่ครับ ลูกไก่ในกำมือ”
​“ดี....ที่บอกให้รอเดี๋ยวเพราะ...นายบอกเอาไว้ว่าจะทำตามคำสั่งฉันทุกอย่างใช่มั้ย”
​“ใช่”
​“ไปส่งฉันที่ศูนย์ลูกเรือ ทำได้หรือเปล่า!”
​กนธีดีใจ “สบาย!”
​“เพื่อพิสูจน์ความจริงใจของนาย นายต้องทำตามคำสั่งของฉันจนกว่าจะถึงวันที่ฉันจะมีคำตอบให้ ว่าจะยอมรับคำขอโทษของนายได้หรือยัง”
​“ยอมที่สุดอ่ะ เชิญครับ!!!”

​กนธีกระวีกระวาดมาลากกระเป๋าของเนตรนิภาเอาไปใส่ในรถแล้วเปิดประตูให้เนตรนิภาขึ้นไปนั่งด้วยความดีใจ เนตรนิภายิ้มกริ่มที่ถือไพ่เหนือกว่ากนธีได้ในที่สุด

​ พิแสงกำลังใส่รองเท้า แสงสุดาเดินตามมาคุย

​“ตาใหญ่” แสงสุดาเรียก
​“ครับ...”
​แสงสุดาพูดเสียงเบา “ยัยเขมมิกไปฝึกงานกับเราเป็นไงบ้าง”
​“ทำไมต้องพูดเสียงเบาด้วยล่ะครับ”
​“ให้คนในบ้านนี้รู้ไม่ได้ เราต้องเก็บเป็นความลับรู้มั้ย”
​“ทำไมครับ”
​“ยัยน้องเล็กรู้จะได้ไปฉีกอกยัยนั่นให้วุ่นวายอีกน่ะสิ อีกอย่าง ไม่อยากให้เป็นประเด็นระหว่างยัยสินีย์กับตาพีทอีก สองคนนั่นเพิ่งจะคืนดีกัน เนี่ย ควงกันไปทำงานที่หาดใหญ่ตั้งแต่เมื่อวาน โล่งใจไป”
​“ครับ...ผมเข้าใจ”
​“จะว่าไป....ยัยวิกาไปทำงานที่พัทลุงก็ดีนะ จะได้ใกล้ชิดเรามากขึ้น”
​“ครับ..ดีกับน้องครับ ฝากลาคุณพ่อด้วยนะครับ ผมกลับล่ะ”
​“โชคดีนะลูก...รักษาเนื้อรักษาตัวนะ”
​“ครับ”
​“รักษาหัวใจดีๆด้วยนะ”
​พิแสงแปลกใจ “ครับ?”
​“แม่รักลูก ทำเพื่อลูกนะ อยากให้ลูกได้ในสิ่งที่ดีที่สุด”
​“โอเคครับ ผมไปได้หรือยัง”
​“จ๊ะ”
​พิแสงยกมือไหว้แสงสุดาแล้วเดินออกไป แสงสุดามองตามพิแสงอย่างโล่งใจ
​“ทุกอย่างกำลังจะเป็นไปตามแผนอย่างสวยงาม..หึหึหึ”
​พิสายืนแอบ ฟังอยู่ที่มุมหนึ่งด้วยความแค้น
​“นังเขมมิก!”

​ เขมมิกเดินตัวเปล่ามาอย่างเซื่องซึมออกมาจากทางออกผู้โดยสารขาเข้า พิทยาและพิสินีย์เดินคุยกันมาจากมุมหนึ่งใกล้ๆกับทางออกของเขมมิก
​“กลับไปคราวนี้ ผมคงต้องเริ่มหาเอเจนซี่มาทำการตลาด” พิทยาบอก
​“แล้วที่เราเคยใช้งานล่ะคะ” พิสินีย์ถาม
​“ผมอยากลองความคิดใหม่ๆดูบ้าง บางทีทำกันมานาน อาจกลายเป็นความเคยชิน และจำเจ”
​“ก็ได้ค่ะ ลองเจ้าใหม่ดูบ้างก็ดีเหมือนกัน”
​เขมมิกกำลังจะเดินเข้ามาในระยะสายตาของพิทยาและพิสินีย์ แต่เธอทำกระเป๋าสะพายร่วงเสียก่อน เขมมิกก้มลงเก็บอย่างเลื่อนลอย พิทยาและพิสินีย์เดินผ่านเขมมิกไปโดยไม่ได้สังเกตเห็น เขมมิกลุกขึ้นมาแล้วเดินเซื่องๆ ออกไปอีกทาง

​ พิแสงนั่งรออยู่ที่มุมหนึ่งในสนามบิน กนธีวิ่งเข้ามาหาพิแสง
​“รีบมารอทำไมวะ ตั้งหลายชั่วโมง” กนธีว่า
​“ขี้เกียจอยู่บ้าน” พิแสงตอบ
​กนธีเห็นพิแสงเซ็ง
​“เป็นอะไร มีอะไรไม่สบายใจ”
​“เปล่า”
​“เรื่องคุณเขมชิมิ”
​“ทำไมต้องไม่สบายใจเรื่องยัยนั่น ขืนเอาใจไปผูกติด ชีวิตคงเหมือนรถไฟเหาะ เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง หัวใจวายตายเข้าสักวัน ฉันไม่สนใจยัยนั่น!”
​“แต่ฉันได้ข่าวมานะเว้ย วงในอีกต่างหาก”
​พิแสงทำเป็นไม่สนใจ “ข่าวอะไร”
​“คุณเขมกลับไปพัทลุงแล้ว”
​พิแสงอึ้งก่อนจะรีบลุกเตรียมขึ้นเครื่อง
​“พิแสงไปไหน!” กนธีถาม
​“ไปขึ้นเครื่องไง เขาเรียกแล้ว ไม่ได้ยินหรือไงวะ”
​พิแสงเดินไป กนธีงง
​“เรียกตอนไหนวะ ไม่เห็นจะได้ยินเลย”
​กนธีเดินตามพิแสงไปอย่างงงๆ

​ รถบัสวิ่งผ่านไป ตัวอักษรข้างตัวถังรถเขียนว่า หาดใหญ่-พัทลุง เขมมิกยืนอยู่บนรถบัสโดยเบียดกับผู้โดยสารคนอื่นๆ เธอเหม่อมองออกไปนอกรถอย่างซึมกระทือพลางนึกถึงเหตุการณ์หก่อนหน้านี้

​ ซองบรรจุเงินสดถูกไสให้เปี่ยมพงษ์ เปี่ยมพงษ์คว้ามาเปิดดู พอเห็นเงินเขาก็ทำตาโต เขมมิกนั่งอยู่กับขนิษฐาและธรรมศักดิ์
​“แล้วก็เซ็นชื่อในสัญญานี่ด้วย” เขมมิกบอก
​“สัญญาอะไร”
​ธรรมศักดิ์ยื่นสัญญาให้เปี่ยมพงษ์ “สัญญาที่จะไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรกับคุณขนิษฐาอีก” เปี่ยมพงษ์หันไปสบตาขนิษฐา ขนิษฐาทำเมินไม่มองเปี่ยมพงษ์
​เปี่ยมพงษ์ตอบรับ “ได้”
​เปี่ยมพงษ์รีบเซ็นชื่อแล้วรีบลุก
​“จำไว้นะ ถ้าแกทำผิดสัญญา กลับมารังควานแม่ฉันอีกเมื่อไหร่ ฉันเอาแกตายแน่”
​“ไม่ต้องห่วง ฉันไปไม่กลับแน่”
​เปี่ยมพงษ์เดินออกไปทันที ขนิษฐาน้ำตาซึม

“ชีวิตฉัน...จะไม่มีใครจริงใจด้วยจริงๆสักคนเลยใช่มั้ย”
​“หนูล่ะแม่”
​“แม่หมายถึง...ผู้ชาย”
​“แม่ก็น่าจะรู้แล้ว”
​“เอ่อ....” ธรรมศักดิ์ยกมือ “เว้นผมสักคนก็ได้นะครับ”
​“จ๊ะ พ่อคุณ...ไม่ได้คุณฉันกับเขมคงแย่”
​“ด้วยความยินดีครับ” ธรรมศักดิ์บอก
​“เขม เอาเงินมาจากไหน หือ?” ขนิษฐาถาม
​“เอ่อ เจ้านายยอมให้ฉันเบิกล่วงหน้า” เขมมิกบอก
​“เจ้านายโรคจิตที่จับก้นแกน่ะเหรอ ไหนแกบอกว่าจะไม่ให้เค้ามายุ่งกับแกอีกไง”
​“คือ หนู...เข้าใจผิด จริงๆแล้ว...เค้าไม่ได้ตั้งใจจับก้นหนูหรอก เค้าลื่นล้มแล้วมือมันพลาดมาโดนก้นหนูน่ะ”
​ธรรมศักดิ์รีบเสริม “จริงๆแล้วเค้าใจดีครับ”
​“นั่นสินะ....ถ้าเค้าไม่ใช่คนดี เค้าจะตามมาปรับความเข้าใจกับแก มาเยี่ยมแม่ แถมยังมาช่วยไม่ให้แกโดนเปี่ยมพงษ์ทำร้ายทำไม”
​เขมมิกรับคำ “ค่ะ”
​“บุญแล้วลูกที่มีเจ้านายดี เห็นมั้ย ผู้ชายดีๆก็ยังเหลือบนโลกใบนี้ ตั้งใจทำงานให้เค้านะลูก”
​“ค่ะ” เขมมิกแอบปาดเหงื่อ

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต เขมมิกก็เบ้หน้าเมื่อนึกถึงพิแสง
 

​ รถบัสหาดใหญ่พัทลุงแล่นมาจอดเทียบหน้าฟาร์ม แล้วรถบัสก็แล่นออกไป
 เขมมิกที่ลงจากรถมายืนอยู่ริมถนนโดยมีทิชชู่อุดรูจมูกอยู่ทั้งสองข้าง เขมมิกยืนซึมก่อนจะรวบรวมลมปราณเรียกแรงบันดาลใจ
​“สู้ สู้ เฮ่ย เฮ่ย!!”
​เขมมิกหันหน้าไปจะเดินเข้าฟาร์มก็เจอหลอดกับเสริมยืนรออยู่พร้อมรถของฟาร์ม
​“สวัสดีครับคุณเขม!!!” หลอดทัก
​“พวกเรามารับกลับฟาร์มครับ” เสริมบอก
​“รับรองคราวนี้ ไม่มีหลง หายห่วง”
​เขมมิกยิ้มออกทำให้ทิชชู่ร่วง

​ พิทยานั่งอ่านเอกสารอยู่อย่างเคร่งเครียด พิสินีย์เดินเข้ามา
​“พีทคะ”
​“จ๊ะ”
​“ฉันจะไปเยี่ยมพี่ใหญ่ที่พัทลุง ไปด้วยกันมั้ย”
​“ผม...เอ่อ...ขอตัวได้มั้ย พอดีนัดคุยกับพนักงานภาคพื้นของเราที่นี่ อยากทำงานให้เรียบร้อยก่อน”
​“งั้นไม่เป็นไรค่ะ ฉันไปคนเดียวก็ได้”
​“งอนผมหรือเปล่า”
​“ไม่ได้งอนค่ะ สบายใจเถอะ”
​“แล้วจะไปยังไง”
​“ให้คนที่ฟาร์มมารับค่ะ เย็นๆก็จะกลับ รอทานข้าวด้วยกันนะคะ”
​“จ๊ะ”
​พิสินีย์เดินออกไป พอคล้อยหลังพิทยาก็หยิบมือถือขึ้นมากดโทรหาเบอร์เขมมิกทันที

​ เขมมิกเดินเข้าบ้าน หลอดกับเสริมเดินตามมาติดๆ เสียงมือถือเขมมิกดังขึ้น เขมมิกหยิบขึ้นมาดู เห็นเบอร์แต่ไม่ปรากฏชื่อ เขมมิกจำได้ก็ถึงกับอึ้ง
​“กัปตัน....”
​เขมมิกเห็นหลอดกับเสริมทำหน้างง เธอรีบปิดเครื่องทันที

​ พิทยารอสายอยู่จนสัญญาณถูกตัดไป พิทยาอึ้งแล้วกดโทรออกใหม่จนได้ยินเสียง “ไม่สามารถติดต่อหมายเลขที่ท่านเรียกได้ในขณะนี้” พิทยากดวางสาย แล้วครุ่นคิดว่าจะหาทางรู้ข่าวของเขมมิกได้อย่างไร

​ เขมมิกหันมาพูดกับหลอดและเสริมที่ดูจะไม่ยอมไปไหน
​“ขอบใจมากนะ ที่ไปรอรับ ว่าแต่ว่า รู้ได้ไงว่าฉันจะมา ไม่ได้บอกใครสักหน่อย” เขมมิกถาม
​“นายหัวโทรมาสั่งครับ ว่าให้ไปรอคุณเขม คุณเขมใกล้จะถึงแล้ว” หลอดบอก
​“เหรอ...” เขมมิกแอบหน้าแดง “ดีนะ... ที่วันนี้ไม่หลงอีก”
​“โอย จากหน้าฟาร์มเข้ามา ถ้าหลง ก็ไอ้เสริมเรียกพี่แล้วครับ” หลอดบอก
​“พี่ว่าผมเป็นกระบือเหรอ” เสริมถาม
​“อย่าว่ากระบือเลยน่ะ สงสารเค้า เค้าไม่ได้โง่นะ” เขมมิกว่า
​“คุณเขมว่าพี่หลอดโง่เหรอครับ”
​“เออ! เฮ้ย ! นี่เอ็งมันเซ่อหรือหลอกด่าข้ากันแน่วะ”
​ชมพู่วิ่งออกมาพอเห็นเขมมิกเธอก็ดีใจ
​“คุณเขมกลับมาแล้ว!!”
​ชมพู่เข้ามากอดเขมมิก เขมมิกอดหัวเราะไม่ได้
​“อะไรกัน ฉันไปแค่สองสามวัน” เขมมิกบอก
​“ก็เล่นไปไม่บอก ไม่พูดไม่จา ว่าแต่ว่า...ทำไมทำอย่างนั้นล่ะคะ นายหัวเงี้ย ทรมานใจมากเลยนะคะ สั่งคนตามหากันให้วุ่น กลัวคุณเขมจะเป็นอันตราย”
​“ใช่ นายหัวพูดว่า” หลอดพูดเลียนแบบพิแสง “เขมมิกเป็นคนในปกครองของผม ถ้าเขมมิกเป็นอะไรไป ผมต้องรับผิดชอบ อั๊ยย้ะ!!”
​“หล่อมากครับ” เสริมบอก
​“เนี่ยก็อดรนทนไม่ไหว ต้องขึ้นไปตามที่กรุงเทพ” ชมพู่เสริม
​“แล้วทำไมไม่กลับมาด้วยกันล่ะครับ” หลอดถาม
​เขมมิกอายจนหน้าแดง “ไม่รู้สิ...ฉันรีบกลับมาก่อน คือ...หยุดไปหลายวัน อยากทำงาน รักงาน ไปหาทีเด็ดดีกว่า เนาะ”
​เขมมิกรีบเดินเลี่ยงออกไปโดยที่ยังหน้าแดง ชมพู่ หลอด และเสริมมองตามเขมมิกด้วยความโล่งใจ วาสินียืนดูเขมมิกด้วยความหมั่นไส้อยู่ที่มุมหนึ่ง

​ วาสินีเข้ามาในครัว
​“มันกลับมาแล้วอ่ะแม่”
​อนงค์สับปังตอลงเขียงดังโครม “ทำไมไม่ไปแล้วไปลับนะ”
​“เอาไงดีล่ะแม่”
​“นายหัวกลับเมื่อไหร่”
​“วันนี้แหละ”
​อนงค์ครุ่นคิด

​ เสียงโทรศัพท์บ้านขนิษฐาดังขึ้น ขนิษฐาเดินมารับ
​“ฮัลโหล....ต้องการพูดกับใครคะ”
​ผู้ชายคนหนึ่งคุยมือถือกับขนิษฐา
​“ผมโทรจากบริษัทการบินเอเชียครับ คุณเขมมิกให้เบอร์นี้เป็นเบอร์ติดต่อไว้นอกจากเบอร์บ้าน”
​“อ๋อ ค่ะ ใช่ค่ะ นี่เบอร์บ้านคุณเขมมิกค่ะ” ขนิษฐาบอก
​“ผมโทรเข้ามือถือคุณเขมมิกเพื่อจะนัดมาสัมภาษณ์งาน แต่ติดต่อไม่ได้ ไม่ทราบว่าคุณเขมมิกอยู่มั้ยครับ”
​“ไม่อยู่ค่ะ”
​“พอจะมีทางติดต่อทางไหนได้อีกบ้างมั้ยครับ ทางเราจะนัดสัมภาษณ์งานด่วนมากครับ”
​“ด่วนมากเลยเหรอคะ พอดีตอนนี้คุณเขมไปทำงานที่พัทลุงค่ะ เอาอย่างนี้มั้ยคะ ทิ้งข้อความไว้ คุณเขมติดต่อมาที่บ้านเมื่อไหร่จะรีบให้ติดต่อกลับคุณนะคะ คุณอะไรคะ”

​ปลายสายวางสายทันที ขนิษฐางง
 

ปริญญ์ดีใจที่เห็นเขมมิกเดินมา

​“คุณเขม...”
​“สวัสดีค่ะหมอปิ๊น...”
​“คุณแม่...เป็นไงบ้างครับ”​ ปริญญ์ดีใจที่เห็นเขมมิกเดินมา
​“คุณเขม...”
​“สวัสดีค่ะหมอปิ๊น...”
​“คุณแม่...เป็นไงบ้างครับ”
​“ดีค่ะ เขมจ้างพยาบาลให้ช่วยดูแลแม่ ระหว่างที่เขมอยู่ที่นี่”
​“ท่านกำลังใจดีมั้ยครับ”
​“ดีแล้วล่ะค่ะ ต่อไปนี้ สุขภาพจิตของแม่จะดีขึ้น”
​“กำลังใจสำคัญมากครับ สำหรับคนป่วย”
​“ขอบคุณค่ะ ทีเด็ดเป็นไงบ้างคะ”
​“ตั้งแต่คุณเขมไม่อยู่ มัน...ไม่ค่อยกินอะไรเลย ซึมทั้งวัน”
​“ตายจริง...”
​เขมมิกปราดเข้าไปคุยกับทีเด็ด
​“ทีเด็ด..แม่มาแล้วลูก เป็นไงบ้าง หือ?”
​ทีเด็ดที่นอนอยู่ค่อยๆลุกเดินมาหาเขมมิกพร้อมกระดิกหาง
​“นี่ถ้าหน้าไม่เหมือนหมู จะคิดว่าเป็นหมานะเนี่ย หางกระดิกเชียวนะ” เขมมิกบอก
​“ฮ่ะๆๆๆ สงสัยจะกลับมามีสุขภาพจิตดีเหมือนเดิมแล้วล่ะมั้ง ทีเด็ด” ปริญญ์ว่า
​เขมมิกหยอกล้อทีเด็ด ปริญญ์มองอย่างชอบใจ

​ แสงสุดากำลังจะออกไปข้างนอกแต่เห็นบ้านเงียบ
​“ยัยน้องเล็กไปไหน” แสงสุดาเรียกแม่บ้าน “ใครอยู่ตรงนั้นบ้าง”
​แม่บ้านเดินออกมา
​“ยัยน้องเล็กอยู่ไหน ไปเรียกมาสิ บอกว่าฉันชวนไปสปา”
​เสียงเตือนข้อความในมือถือของแสงสุดาดังขึ้น แสงสุดาหยิบมือถือขึ้นมาเปิดอ่านข้อความ
​“ใครส่งข้อความมา...เอ๊ะ..ยัยน้องเล็ก” แสงสุดาอ่านข้อความ “หนูไปหาพี่ใหญ่ที่พัทลุง ไม่ต้องเป็นห่วง ตอนนี้....ขึ้นเครื่องเรียบร้อยแล้ว” แสงสุดาอึ้งแล้วกรี๊ด “ยัยน้องเล็ก!!”

​ พิสุทธิ์กำลังคุยอยู่กับธรรมศักดิ์
​“อะไรนะ...ไม่ติดต่อกลับมาหาพ่อแม่บุญธรรมอีกเลย อย่างนั้นเหรอ” พิสุทธ์ถาม
​“ครับ คุณพีระ ลูกชายของเพื่อนท่าน หายสาบสูญไปตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมปลาย สืบค้นชื่อและนามสกุลก็ไม่พบ...ว่าไปทำอะไร อยู่ที่ไหน” ธรรมศักดิ์บอก
​“เป็นไปได้มั้ย ว่าเค้าจะเปลี่ยนชื่อและนามสกุลใหม่”
​“เป็นไปได้ครับ”
​“ไปสืบมา” พิสุทธิ์สั่ง
​“อาจต้องใช้เวลาสักพัก”
​“หลายปี ฉันก็รอมาได้ รออีกสักพัก จะเป็นไรไป”
​แสงสุดาเปิดประตูผลัวะเข้ามาทำเอาพิสุทธิ์และธรรมศักดิ์ตกใจจนสะดุ้งเฮือก
​“คุณจ๋า!!! ตกใจหมดเลย ทำไมไม่เคาะก่อน” พิสุทธิ์ว่า
​“เคาะทำไม อะไร มีความลับอะไรกัน” แสงสุดาถาม
​“ความลับไม่มีในโลกจ๊ะ” พิสุทธิ์พูด
​“แต่ความลับที่ฉันอุตส่าห์ปกปิดกำลังแตก” แสงสุดาบอก
​พิสุทธิ์งง “ความลับอะไรจ๊ะ”
​“ยัยน้องเล็กไปหาตาใหญ่ที่พัทลุง”
​“ลับตรงไหนล่ะจ๊ะ”
​“เขมมิกอยู่ที่นั่น” แสงสุดาบอก
​ธรรมศักดิ์ตกใจมาก “หา!!! คุณพระช่วย!!”
​“จะตกใจอะไรขนาดนั้นคุณธรรมศักดิ์ก็...” แล้วพิสุทธิ์ก็เพิ่งคิดได้ว่าน่าตกใจ “หา!! คุณพระช่วย!”

​ พิแสงกับกนธีเดินเข้ามา พิแสงชะเง้อมองหาเขมมิก ชมพู่เห็นก็ดีใจจึงรีบเสนอหน้ามารายงานโดยที่ไม่มีใครถาม
​“นายหัวขา!!! คุณเขมมาแล้วค่ะ ตอนนี้อยู่ในฟาร์ม”
​พิแสงดีใจแต่ทำฟอร์ม “ใครถาม”
​“ไม่มีค่ะ แต่อยากบอก”
​“ไอ้ธี...จะกลับรีสอร์ทเลยก็ได้นะ ให้คนไปส่ง ฉันจะเข้าไปดูงานในฟาร์มซะหน่อย ทิ้งไปหลายวัน” พิแสงบอก
​“แค่สองวันเอง” กนธีพูดขัด
​“ก็เหมือนสองปี หมูเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีหัวใจ ไม่ได้เลี้ยงทิ้งๆขว้างๆ”
​พูดจบพิแสงก็เดินออกไป กนธีมองตามอย่างงงๆ
​“นี่มันพูดถึงหมูหรือคนวะ”
​“ก็อาจจะทั้งคนทั้งหมู โหะๆๆ” ชมพู่ยิ้มเจ้าเล่ห์มาก
​“ชมพู่ มีอะไรเด็ดที่ฉันควรรู้มั้ย”
​“ไม่มีค่ะ”
​ชมพู่เดินออกไปทันทีโดยทิ้งกนธียืนงงอยู่คนเดียว
​“แล้วจะอยู่ทำติ่งไรวะ”

​กนธีเดินออกไป

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่8 (ต่อ)

​ เขมมิกเดินคุยมากับปริญญ์

​“ทำยังไงฟาร์มหมูนี่ถึงจะเจ๊งคะ” เขมมิกถาม
​“อะไรนะครับ” ปริญญ์งง
​“อ๋อ คือเขมอยากรู้ค่ะว่ามีปัจจัยเสี่ยงอะไรบ้างที่จะทำให้เจ๊ง จะได้เป็นความรู้ไว้ป้องกันเผื่ออนาคตที่เขมไปช่วยงานคู่หมั้นที่ฟาร์มเค้านะค่ะ”
​“อ๋อ..ก็...ขาดทุนน่ะสิครับ”
​“ทำยังไงถึงขาดทุนได้ล่ะคะ” เขมมิกถามต่อ
​“ถ้าหมูตาย เป็นโรค โดเฉพาะโรคระบาดก็เสร็จแล้วครับ ฟาร์มไหนฟาร์มนั้นเจ๊ง ไม่ได้เกิดเลย ไม่มีใครกล้าซื้อ”
​เขมมิกพึมพำเบาๆ “วิธีนี้คงไม่ไหว บาปตาย แล้วมีอย่างอื่นมั้ยคะที่ต้อง เอ่อ ระวัง”
​“มีครับ ถ้าไม่ควบคุมเรื่องค่าใช้จ่าย ไม่ดูแลเรื่องต้นทุนให้ดี”
​“ต้นทุนที่นี่มีอะไรบ้างคะ”
​“นอกจากบรรดาพ่อพันธุ์แม่พันธุ์หมูแล้ว ก็มีอาหารสัตว์ ยาและก็สาธารณูปโภคต่างๆ”
​เขมมิกทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ “หึหึ ถ้าให้อาหารหมูทิ้งๆขว้างๆ เททิ้งบ้างไรบ้าง ใช้น้ำไฟให้เปลืองเข้าไว้ ก็อาจจะเจ๊งได้”
​“คุณเขม...มีอารมณ์ขันนะครับ”
​“โอ๊ะ ค่ะ” เขมมิกหัวเราะกลบเกลื่อน “ฮ่ะๆๆ”
​“ธุรกิจนี้เงินจมครับ...ถ้าคุณพิแสงคิดจะทำโรงเรือนอีแวป โรงเรือนแบบปิดนะครับ คงจะมีต้นทุนเพิ่มอีกหลายสิบล้าน”
​“ฮ้า!!!! ใช้เงินมากขนาดนั้น จะทำทำไม”
​“ความจริงโรงอีแวปเนี่ยถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้หมู ขายได้ราคาดี ติดแต่คุณพิแสงยังไม่มีเงินลงทุน แต่ถ้ายอมเซ็นต์สัญญากับยูเอฟ....ก็คงจะทำได้”
​เขมมิกงง “ยูเอฟ?”

​ พิสินีย์เดินเข้ามาในฟาร์ม ชมพู่วิ่งออกมาเห็นพิสินีย์ก็เบรกเอี๊ยดด้วยความตกใจ
​“ไอ้หยา!!! คุณพิสินีย์!!”
​“จ๊ะ พี่ใหญ่กลับมาถึงแล้วใช่มั้ย” พิสินีย์ถาม
​“ถึงแล้วค่ะ”
​“อยู่ไหนล่ะ ฉันเดินไปหาเอง”
​“ไม่ต้องเดินค่ะ อย่าเดิน นั่งรออยู่นี่ล่ะค่ะ”
​พิสินีย์เดินไปทันที ชมพู่เหงื่อแตกเพราะทำอะไรไม่ถูก เธอหยิบมือถือขึ้นมากดหาแสงสุดาด้วยมือไม้ที่สั่นจนกดผิดๆถูกๆ
​“ฮัลโหล...น้องไบรท์คะ...คุณพิสินีย์มาที่ฟาร์มค่ะ”
​พิสาเดินเข้ามาในฟาร์มทำให้ชมพู่ตาโตยิ่งเข้าไปอีก
​“ตามมาด้วยคุณพิสาค่ะ น้องไบรท์!!”
​“นังเขมมิกอยู่ไหน!” พิสาถาม
​ชมพู่ตกใจ “อ๊ากส์!”
เขมมิกยังคงเดินคุยมากับปริญญ์


“ยูเอฟเป็นผู้นำยักษ์ใหญ่ด้านอุตสาหกรรมการเกษตร มีเทคโนโลยีทันสมัย” ปริญญ์อธิบาย “ตอนนี้หันมาเน้นเรื่องหมู ถ้าคุณพิแสงเซ็นต์สัญญากับเขา
นอกจากเขาจะมาช่วยเรื่องความรู้ การบริหารจัดการแล้ว
เขาจะส่งสัตวแพทย์ของบริษัทเข้ามาดูแลให้ด้วย...ถึงตอนนั้นที่นี่คงไม่จำเป็นต้องมีสัตวแพทย์ถึงสองคน”

​“แปลว่าถึงตอนนั้น หมอปิ๊นก็จะไม่อยู่ที่นี่”
​“ครับ”
​“เขมเชื่อว่า หมอปิ๊นคงไม่ทิ้งที่นี่ไปง่ายๆหรอก เพราะแต่หัวใจของหมอปิ๊นอยู่ที่นี่ไม่ใช่เหรอคะ”
​ปริญญ์อึ้งจนหน้าแดง “ก็...หัวใจของผมก็ต้องอยู่ที่ผมสิครับ”
​เขมมิกเดินไปจ้องหน้าปริญญ์ “แน่ใจเหรอ”
​“แน่ใจครับ” ปริญญ์หันไปเพื่อหลบตา
​เขมมิกตามไปจ้องตา “แน่ใจจริงอ่ะ”
​“ผมไม่คุยกับคุณเขมแล้วดีกว่า”
​ปริญญ์เดินหนี เขมมิกเดินตาม
​“แต่เขมอยากคุยกับหมอปิ๊นอ่ะ รอด้วยสิ”
​เขมมิกเดินตามปริญญ์ไปอย่างนึกสนุก พิแสงที่ยืนแอบดูอยู่ที่มุมหนึ่งไม่พอใจเขมมิก
​“ระริกระรี้เชียวนะ!”

​ พิแสงเดินหงุดหงิดมาตามทางเดินในฟาร์ม
​“น่าเกลียด! ไม่รู้จักหวงเนื้อหวงตัว!”
​พิแสงอึ้งเมื่อเห็นพิสินีย์เดินชมนกชมไม้มาแต่ไกล
​“สินีย์! มาได้ไง!”
​พิแสงละล้าละลังว่าจะเอายังไงดี แล้วก็ตัดสินใจวิ่งกลับไป พิสินีย์เห็นหลังของพิแสงไวๆ ก็ประหลาดใจจึงรีบเดินตามไป

​ พิสาเดินเข้ามาที่หน้าบ้านพิแสง
​“นังเขมมิกอยู่ไหน!”
​“เขมมิกไหน ไม่รู้นิ ใครเหรอคะ” ชมพู่ทำไก๋
​“ทำไมแกต้องโกหก”
​“เปล่าโกหกนะค้า ชมพู่พูดจริง”
​“แต่คุณแม่บอกฉันว่ามันอยู่ที่นี่”
​“อ้าว....แล้วบอกให้เราปิดปากเงียบ พรั๋นพรื๋อหลาว คุณนายนิ”
​“ตกลงมันอยู่ไหน!”
​“เอ่อ...คือ...คุณพิสามาเหนื่อยๆ ไม่นั่งพักสักนิดก่อนเหรอคะ”
​“ไม่พัก !”
​“ดื่มน้ำเย็นๆก่อนเถอะค่ะ”
​“ไม่ดื่ม!”
​“นวดกดจุดมั้ยคะ รักษาเส้น เอ็นตึง ลมไม่เดิน ชมพู่เพิ่งเรียนมา นั่งค่ะนั่ง”
​ชมพู่พยายามลากพิสาไปนั่งแต่เจอยันกลับจนล้มขาพลิก
​“อย่ามายุ่งกับฉัน ถอยไป!!”
​ชมพู่ร้องลั่น “โอ๊ย!”
​“แกไม่บอก ฉันจะไปหามันเอง!”
​พิสาเดินออกไป ชมพู่ลุกขึ้นอย่างลำบากแล้วก็เดินขาเขยกตามพิสาไป

​“พลิกเหมียเลย อูย!!! อย่าเพิ่งไปค่ะคุณพิสา!”

​ ปริญญ์เดินมาที่รถของตัวเองแล้วโยนกระเป๋าเครื่องมือขึ้นไปเก็บ เขมมิกเดินตามมา

​“หมอปิ๊น...มองหน้าเขม” เขมมิกบอก
​“ครับ”
​“ยกมือขึ้น เหมือนเขม” เขมมิกกำหมัดชูขึ้น
​“ครับ” ปริญญ์ทำตาม
​“แล้วตะโกนออกมาว่า....สู้ สู้ เฮ่ย เฮ่ย!”
​“เพื่อครับ”
​เขมมิกอ่อนใจ “กรุงโรมไม่ได้สร้างเสร็จภายในวันเดียว ความรักระหว่างหมอปิ๊นกับคุณน้ำหวานก็เหมือนกัน มันต้องใช้เวลา ขอแค่อย่าถอดใจ สู้มั้ยสู้!”
​“ไม่สู้ครับ”
​“เขมจะทำยังไงกับหมอปิ๊นดีเนี่ย”
​พิแสงเดินเข้ามา
​“ไอ้หมอ ยืมกุญแจรถที”
​ปริญญ์งง “หือ??”
​“เร็ว!”
​“ครับ” ปริญญ์รีบส่งกุญแจรถให้พิแสง
​“คุณพิแสงคะ หมอปิ๊นกำลังจะกลับบ้านนะคะ คุณจะเอารถเค้าไปไหน รถตัวเองก็มี” เขมมิกว่า
​“ปกป้องเชียวนะ หัดเก็บอาการซะบ้าง อย่าออกนอกหน้านัก”
​ปริญญ์รีบแก้ให้ “คุณพิแสงครับ คุณเขมไม่ได้....”
​“ไอ้หมอ อยู่เฉยๆ!”
​“คุณพิแสง!” เขมมิกฉุน
​“อยากจะด่า ไปด่าบนรถ” พิแสงบอก
​“ทำไมต้องบนรถ” เขมมิกงง
​พิแสงตะคอก “บอกให้ขึ้นรถ!”
​“ไม่ขึ้น!”
​พิแสงอุ้มเขมมิกทันที “ไม่ขึ้นเหรอ!”
​“ว้าย! คุณพิแสง!!! ปล่อยฉันนะ”
​“ไม่หยุดดิ้น จะทุ่มลงพื้น!”
​“ว้าย!” เขมมิกเหนี่ยวคอพิแสงไว้แน่น
​“ไอ้หมอ! เปิดประตู!” พิแสงสั่ง
​“ไม่ต้องเปิด!” เขมมิกบอก
​ปริญญ์ยืนอึ้งไม่ขยับ
​“ไม่เงียบ! ทุ่ม!”
​“ว้าย!!” เขมมิกปิดปากเงียบ
​“ไอ้หมอ บอกให้เปิดประตู!”
​ปริญญ์สะดุ้งแล้วรีบเปิด “ครับ!”
​พิแสงยัดเขมมิกเข้าไปในรถแล้วปิดประตู
​“คุณพิแสง!” เขมมิกจะออกมา
​“อยู่เฉยๆ! ขืนออกมา ฉันจะสับเธอให้เละเหมือนอาหารหมู!”
​เขมมิกชะงัก พิแสงหันไปบอกปริญญ์ที่ยังยืนอึ้ง
​“ใครถามหายัยนี่ บอกว่า....ไม่รู้ไม่เห็น!”
​ปริญญ์ไม่เข้าใจ
​“ไม่รู้จัก!”
​ปริญญ์ยิ่งงงเข้าไปใหญ่ “หือ?”
​พิแสงรีบขึ้นรถแล้วขับออกไป พิสินีย์เดินเข้ามาพอดี พิสินีย์มองตามรถด้วยความสงสัย
​“หมอปิ๊นคะ?”
​ปริญญ์หันมาแบบยังงงๆอยู่ “หือ?” ปริญญ์ตกใจที่เป็นพิสินีย์ “ครับ คุณพิสินีย์!”

​ ชมพู่ขาเขยกขาวิ่งมาหาหลอดกับเสริมที่กำลังดูแลสวนสมุนไพรอยู่
​“เห็นคุณพิสินีย์มั้ย” ชมพู่ถาม
​“ไม่เห็น” หลอดตอบ
​“คุณพิสาล่ะ”
​“ไม่เห็น” เสริมตอบ
​“คุณเขม”
​“เฮ้ย!!! นังชมพู่ เป็นอะไรของแกวะ ถามหาคนโน้นคนนี้ให้ควั่ก” หลอดว่า
​“คุณพิสินีย์กับคุณพิสามา!!” ชมพู่บอก
​“แล้วจะตกใจทำไม แล้วเกี่ยวอะไรกับคุณเขม” เสริมงง
​“โอ๊ย!! ไม่มีเวลาเม้า !”
​ชมพู่เขยกขาเดินออกไป หลอดกับเสริมมองตามงงๆ ชมพู่เดินเขยกผ่านหน้าอนงค์และวาสินีที่เดินมาพอดี
​“นังชมพู่ เป็นอะไร เดินดีๆไม่เป็นหรือไง ทำไมต้องควบ” อนงค์ถาม
​“โอย!! ไม่มีเวลาเม้า !”
​ชมพู่เดินเขยกออกไป อนงค์กับวาสินีมองตามด้วยความสงสัย
​“พิลึกคนเข้าไปทุกวัน หรือมันไม่อยากเป็นคน อยากเป็นม้า” อนงค์งง
​วาสินีถามหลอดกับเสริม “ชมพู่เค้าเป็นอะไรจ๊ะ”
​“เป็นบ้าจ๊ะ คุณพิสินีย์กับคุณพิสามาแค่เนี้ยะ บ้าเลย” หลอดบอก
​อนงค์กับวาสินีมองหน้ากันแล้วก็ตาวาวทันที

​ ปริญญ์ยืนยิ้มหน้าซื่ออยู่กับพิสินีย์
​“ฉันเห็นพี่ใหญ่เพิ่งขับรถออกไป” พิสินีย์บอก
​ปริญญ์ตอบ “ไม่รู้ครับ”
​“จะบอกว่า ที่ฉันเห็นไม่ใช่พี่ใหญ่เหรอคะ”
​“ไม่เห็นครับ” ปริญญ์ตอบ
​“เห็นผู้หญิงอยู่ในรถด้วย ใครคะ”

​“ไม่รู้จักครับ”

​ปริญญ์อึดอัดมากที่ต้องทำตามคำสั่งพิแสง

​“หมอปิ๊นคะ.....จะให้ฉันเชื่อที่หมอปิ๊นพูดจริงๆเหรอคะ”
​“ยังไงก็ได้ครับ” ปริญญ์เลี่ยง “ขอตัวก่อนนะครับ ผมรู้สึกไม่ค่อยสบาย”
​ปริญญ์รีบเดินออกไป พิสินีย์ประหลาดใจกับท่าทางของปริญญ์จึงตัดสินใจหยิบมือถือขึ้นมาโทรหาพิแสง

​ พิแสงขับรถของปริญญ์มาตามถนน โดยที่เขมมิกนั่งหน้าบูดอยู่ข้างๆ อนงค์และวาสินีเดินมาตามถนน รถที่พิแสงขับสวนอนงค์กับวาสินีไป อนงค์กับวาสินีเห็นพิแสงอยู่กับเขมมิกก็ทั้งอึ้งทั้งตกใจ ทั้งสองหันมามองหน้ากัน

​ พิแสงที่ขับรถอยู่เหลือบมองเขมมิกที่กำลังหันมองพิแสงตาเขียว เสียงมือถือพิแสงดังขึ้น พิแสงสะดุ้ง
​“ใครโทรมาตอนนี้วะ”
​“ก็รับสิ!” เขมมิกบอก
​มือถือของพิแสงอยู่ในกระเป๋ากางเกงจึงหยิบยาก
​“เขมมิก” พิแสงเรียก
​เขมมิกไม่สน เธอนั่งหน้างอ
​“ยัยปลาทูแม่กลอง!”
​เขมมิกหันขวับ “ฉันมีชื่อค่ะ”
​“ก็เห็นหน้างอคอหัก เป็นปลาทูแม่กลอง”
​“เรียกทำไมคะ”
​“ช่วยหยิบมือถือให้หน่อย ในกางเกง” พิแสงบอก
​พิแสงเหลือบมองกางเกง เขมมิกมองตามก็เห็นมือถือตุงอยู่ในกระเป๋า เขมมิกอาย
​“หยิบเองสิ”
​“ฉันขับรถ”
​“ก็จอดรถสิ แล้วหยิบ”
​“จอดไม่ได้ จนกว่าจะอยู่ในระยะปลอดภัย”
​เขมมิกตะโกนลั่น “จอด!!”
​พิแสงเหยียบเบรกทันทีด้วยความตกใจ “เฮ้ย!”

​ เขมมิกก้าวลงจากรถปุ๊บก็เดินย้อนกลับปั๊บ พิแสงลงจากรถแล้วรีบวิ่งมาจับมือของเขมมิกเอาไว้ เขมมิกรีบสะบัด
​“จะไปไหน” พิแสงถาม
​“กลับสิคะ จู่ๆก็ถูกอุ้มออกมาจากฟาร์ม ถามก็ไม่บอกว่าจะพาไปไหน”
​“ถ้าบอก จะยอมไปกับฉันดีๆมั้ย”
​ “ไม่”
​“งั้นก็ไม่บอก”
​“งั้นก็อย่ามาขวาง ฉันจะกลับไปทำสิ่งที่ฉันควรจะทำค่ะ”
​“บอกก็ได้”
​เขมมิกรอฟัง

​ พิสินีย์ลดมือถือลง
​“ไม่รับสาย....”
​พิสินีย์เดินกลับไปด้วยความสงสัย

​ พิสาเดินตามหาเขมมิกจนมาเจอหลอดกับเสริมกำลังทำงานอยู่
​“นี่!!!” พิสาเรียก
​หลอดกับเสริมหันหน้าไปมอง
​หลอดกับเสริมทัก “สวัสดีครับ คุณพิสา”
​“นังเขมมิกอยู่ไหน!”
​“อั๊ยยะ !!! ถามเหมือนจะไปตบคุณเขมเลย” หลอดว่า
​“เออสิ!” พิสาตอบ
​“งั้น...ไม่เห็นครับ ไม่รู้ว่าอยู่ไหน” เสริมบอก
​อนงค์และวาสินีเดินเข้ามา
​ “แต่อนงค์รู้ค่ะ ว่ายัยเขมมิกอยู่ที่ไหน”
​พิสามองอนงค์และวาสินีหัวจรดเท้าเพราะจำไม่ได้ “ใครอ่ะ”
​อนงค์กับวาสินีหน้าแตก หลอดและเสริมหัวเราะชอบใจ
​“ไอ้หลอด ไอ้เสริม!” อนงค์ฉุน
​หลอดกับเสริมเงียบ
​“เนี่ย พี่น้ำหวาน เลขาของนายหัว ส่วนนี่ก็น้าอนงค์ แม่บ้านที่นี่เป็นเพื่อนของคุณพิสุทธิ์พ่อของคุณน้องเล็กไงคะ” อนงค์แนะนำตัว
​พิสามองอย่างดูถูก “ก็ขี้ข้า อย่ามานับญาติ”
​อนงค์กับวาสินีอึ้งและไม่พอใจแต่ก็เก็บอาการ โดยเฉพาะวาสินีที่ไม่พอใจมาก หลอดกับเสริมแอบหัวเราะกันคิกคักอีก อนงค์มองตาเขียว หลอดกับเสริมจ๋อย
​“ไปไหนก็ไป!” อนงค์บอก
​หลอดกับเสริมรีบออกไปแต่ยังติดใจที่อนงค์และวาสินีมารายงานพิสา
​“นังนั่นมันมาที่นี่ทำไม” พิสาถาม
​“ต๊าย นี่คุณพิสาไม่รู้เรื่องที่ยัยนั่นมาขอฝึกงานที่นี่เหรอคะ” อนงค์บอก
​“รู้แล้วจะถามเหรอ โง่หรือเปล่า!” พิสาสวน
​อนงค์จ๋อย
​“ทำไมพี่ใหญ่ไม่บอกฉัน แกเป็นเลขา รู้เรื่องหรือเปล่า”
​“ถึงจะเป็นเลขา แต่ก็ไม่ได้รู้เหตุผลหรอกค่ะ” วาสินีบอก
​“โง่ทั้งแม่ทั้งลูก” พิสาว่า
​วาสินีเหลืออดจึงใส่ไฟเต็มที่ “ค่ะ น้ำหวานยอมรับว่าอาจจะโง่ แต่ก็ไม่ได้ตาบอด น้ำหวานเห็นนายหัวกำลังหวั่นไหวกับคุณเขม ทั้งๆที่เธอก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วที่เมืองนอก”
​“นังนั่นน่ะเหรอมีคู่หมั้น! มันบอกงั้นเหรอ!”
​“ค่ะ จริงเท็จก็ไม่รู้ หรืออาจจะอยากเหยียบเรือสองแคม คุณเขมเธอเก่งเรื่องหว่านเสน่ห์แพรวพราว น้ำหวานเป็นห่วงนายหัวค่ะ กลัวถูกคุณเขมหลอก”
​พิสาเจ็บใจจนทนไม่ไหว “กรี๊ดด”
​วาสินีแอบยิ้มสะใจ อนงค์มองวาสินีด้วยความชื่นชม พิสายังกรี๊ดไม่เลิก

​“นังตอแหล อย่าให้เจอนะ ฉันจะเอาให้เจ็บแสบเลย! กรี๊ด”



เขมมิกรอฟังพิแสงบอกเหตุผลที่ลากตัวเธอออกมาแบบนี้

​“อย่าให้ฉันรอนาน” เขมมิกว่า​“ไม่ได้ ต่อให้พูดไม่เหมือน แต่ฉันก็เหมือน เพราะฉันเป็นเพศแม่ แล้วก็...”
​พิแสงรำคาญจึงรีบบอก “ยัยสินีย์มาที่ฟาร์ม!”
​เขมมิกอึ้ง
​“ฉันถึงต้องพาเธอออกมาก่อน รอจนกว่าน้องฉันจะกลับไป”
​“แต่คุณสินีย์ก็อาจจะรู้เรื่องฉันอยู่ดี”
​“แค่รู้ ไม่น่าเป็นห่วงเท่ากับการต้องเจอหน้า น้องสาวฉันคงไม่สบายใจนัก ถ้าเห็นเธออยู่ใกล้จมูกแค่นี้”
​เสียงมือถือของพิแสงดังขึ้นอีก พิแสงสะดุ้งแล้วรีบล้วงมือถือออกมาดูเบอร์
​“คุณแม่....ฮัลโหล...” พิแสงตกใจ “ยัยน้องเล็กมาที่ฟาร์ม! ผม...พาเขมมิกหนีออกมาแล้วครับ”
​เขมมิกแย่งมือถือมาจากพิแสงมาพูด “แต่เปลี่ยนใจ ไม่หนีแล้วค่ะ”
​แล้วเขมมิกก็กดปิดเครื่องทันที
​“เขมมิก จะทำอะไร”
​“เพื่อให้บรรดาน้องสาวของคุณได้ความสบายใจ แต่ฉันต้องหนี! ทั้งๆที่ฉันไม่ผิด ไม่แฟร์!”
​“แล้วจะเอาไง” พิแสงถาม

​ วาสินีคุยกับอนงค์
​“ก็เอาให้แตกกันไปเลย เจอยัยเขมมิกเมื่อไหร่ อาละวาดฟาร์มแตกแน่” วาสินีบอก
​“เอาแต่ใจตัวเองแบบนี้ ไม่มีทางฟังใคร นอกจากคำพูดที่ตัวเองอยากได้ยิน” อนงค์ว่า
​“ยืมมือยัยพิสาบ้าเลือดกำจัดเขมมิกไปให้พ้นๆ โดยที่เราไม่ต้องทำอะไรให้เปลืองตัว”
​“ที่เหลือ ก็แค่รอดูผล หึหึ”
​อนงค์และวาสินีหัวเราะชอบใจและรอเห็นความพินาศที่จะเกิดขึ้น

​ พิสินีย์นั่งลงในบ้านพักพิแสง ชมพู่นั่งหน้าจ๋อย
​“เราไปไหนมา ฉันตามหาตั้งนาน” พิสินีย์ถาม
​“ไป เอ่อ...ไป....” ชมพู่อึกอัก
​“ช่างเหอะ...พี่ใหญ่ไปไหน บอกมั้ย”
​พิสาเดินเข้ามา “ก็ไปกับนังเขมมิกไงคะ พี่สินีย์!”
​พิสินีย์แปลกใจ “น้องเล็ก!!! มาที่นี่ได้ยังไง”
​ชมพู่กำลังจะเดินเลี่ยงไปแต่พิสาหันไปเห็นจึงรีบพูด
​“ชมพู่! อยู่นี่เลย จะได้ตอบคำถาม!ว่าตอนแรกทำไมต้องโกหกเรื่องนังเขมมิกว่ามันไม่ได้อยู่ที่นี่”
​“เขมมิก ???? เขมมิกมาเกี่ยวอะไร พี่งงไปหมดแล้ว” พิสินีย์บอก
​“งงกันทั้งบ้านแหละค่ะ ยกเว้นพี่ใหญ่ คุณแม่แล้วก็คนที่นี่! ทุกคนรู้เรื่องยัยนั่นมาอยู่ที่นี่ แต่ไม่มีใครบอกเรา” พิสาถามชมพู่ “ทำไม!”
​ชมพู่สะดุ้งตกใจ “ไอ๊หยา!!! ไม่รู้ค่ะ”
​แสงสุดาเดินเข้ามากับพิสุทธิ์
​“แม่จะบอกให้ว่าทำไม!”
​ทุกคนอึ้ง
​พิสินีย์กับพิสาตกใจ “คุณแม่ คุณพ่อ....”
​“ไอ๊หยา...มาไว เคลมไว เหมือนบินได้” ชมพู่บอก
​“ก็บินมาสิ! เป็นเจ้าของสายการบิน จะให้นั่งรถทัวร์มาเรอะ พูดอะไรไม่คิด!” แสงสุดาว่า
​“จะไปเอาเรื่องเอาราวอะไรกับมัน...คุณรีบบอกเหตุผลพวกเรามาเถอะ ให้ผมรอฟังพร้อมลูก อั้นมาตั้งแต่กรุงเทพยันพัทลุง อึดอัดจะแย่”
​“ที่ฉันไม่อยากให้ใครรู้ ก็เพราะว่าถ้ารู้ ก็จะวุ่นวายแบบนี้!” แสงสุดาบอก
​ทุกคนอึ้ง แสงสุดาพูดต่อ
​“รอแค่สามเดือน แม่นั่นก็จะไป แล้วทุกอย่างก็จะเข้าสู่ภาวะปกติ”
​“มันไม่มีทางปกติได้หรอกค่ะ ถ้ามียัยเขมมิกเข้ามาเกี่ยว” พิสาบอก
​“ทำไมจะไม่ได้ เราก็แค่ไม่ไปเกี่ยวกับเค้า ไป กลับบ้าน ทิ้งทุกอย่างไว้ที่นี่!” พิสุทธิ์ว่า
​แสงสุดารีบหนุน “ใช่!”
​พิสาเสียงแข็ง “ไม่ค่ะ!”
​“น้องเล็ก ใจเย็นๆสิ เรื่องของเรามันจบไปตั้งนานแล้ว เขมมิกก็ไม่ได้มาวุ่นวายอะไรกับเราไม่ใช่เหรอ”
​“หอกข้างแคร่ไว้ใจไม่ได้! พี่ก็เหมือนกัน ถ้าพี่พีทรู้ว่ามันอยู่ที่นี่ ตามมากระพือถ่านไฟเก่ากับมันอีก แล้วจะหนาว!” พิสาว่า
​“เอาอีกแล้วนะยัยน้องเล็ก บอกไม่ให้พูดจาเลื่อยขาเตียงพี่เค้า” พิสุทธิ์ปราม
​“หนูเอาความจริงมาพูด อย่าห้ามหนู และที่หนูรู้มาอีกอย่าง มันคิดจะจับพี่ใหญ่ ทุกคนรู้บ้างมั้ย!”
​พิสุทธิ์กับพิสินีย์ตกใจ “หา?”
​แสงสุดาชักไม่พอใจที่พิสาเข้ามาเกี่ยวข้องกับแผนการของเธอ
​พิสาพูดต่อ “ไม่รู้กันล่ะสิ นังนั่นมันแผนสูง มันมาที่นี่เพราะมันมีเป้าหมาย ซึ่งไม่ใช่ใคร ต้องเป็นผู้ชายรวยๆสักคนที่จะช่วยไม่ให้มันอดตาย พี่ใหญ่กำลังเป็นเหยื่อ”
​“โอย” แสงสุดาจะเป็นลมที่พิสากำลังจะเป็นอุปสรรคชิ้นใหญ่ “ใครบอกแก”
​“ยัยเลขาพี่ใหญ่เป็นคนบอกหนู” พิสาบอก

​แสงสุดาเจ็บใจวาสินี

แผนร้ายพ่ายรัก ตอนที่8 (ต่อ)


พิแสงเดินเข้ามาเห็นพิสานั่งฮึดฮัดอยู่บนเก้าอี้โดยมีพิสุทธิ์ แสงสุดาและพิสินีย์นั่งอยู่ด้วย ทุกคนมองพิสาเป็นตาเดียวอย่างไม่พอใจ แสงสุดาเหลือบไปเห็นชมพู่ยืนลับๆ ล่อๆ อยู่ที่มุมห้อง

“มายืนอยู่ทำไม จะไปไหนก็ไป!” แสงสุดาว่า
ชมพู่จ๋อยแล้วรีบออกไป พิสาทนไม่ไหวจึงระเบิดออกมาอีก
“ไม่ต้องมองน้องเล็กแบบนี้เลยนะ น้องเล็กไม่ใช่คนผิด มันต่างหาก!”
“พี่จะบอกน้องเล็กอีกครั้ง ว่าเขมมิกไม่ได้มาที่นี่เพื่อมาทำอย่างที่น้องเล็กเข้าใจ” พิแสงบอก
“แปลว่าพี่ใหญ่หลงมันแล้วใช่มั้ย ถึงได้ไม่เชื่อน้องเล็ก”
“น้องเล็ก ไม่เอาน่า พูดเหลวไหล”
“เหลวไหล??? ไม่มีใครเชื่อน้องเล็กเลยใช่มั้ย”
“หยุดพล่านได้แล้ว น้องเล็ก! พ่อสั่ง!” พิสุทธิ์เสียงแข็ง
“คุณ...พูดดีๆก็ได้” แสงสุดาปราม
“เรื่องที่ควรเฮี้ยบกลับไปโอ๋มัน คุณนี่ยังไง ไม่เห็นเหรอว่าลูกเราไปหาเรื่องเด็กคนนั้นก่อน”
“มันทำให้น้องเล็กเสียใจก่อนนะคะคุณพ่อ น้องเล็กไม่ใช่คนเริ่ม” พิสาว่า
“อย่าคิดว่าพ่อตาบอดหูหนวก ไม่รู้ว่าเราตกลงอะไรกับเด็กเขมมิกเรื่องนายเพทาย และอย่าคิดว่าพ่อไม่รู้ว่านายเพทายแฟนเรามันเจ้าชู้เพลย์บอยขนาดไหน มีแต่แกนั่นแหละที่หูหนวกตาบอดไม่ฟังใคร ต่อให้ไม่มีเด็กเขมมิก มันก็เลิกกับแกอยู่ดี”
พิสาไม่พอใจ “คุณพ่อ!!”
“รับความจริงซะ แล้วเลิกโยนความผิดไปให้คนอื่น!”
พิสาร้องไห้ เธอมองพิสุทธิ์อย่างผิดหวังและเสียใจ
“คุณก็ไม่น่าไปดุลุก ลูกยังเล็ก ฉันผิดเองที่...” แสงสุดายังพูดไม่จบ พิสุทธิ์ทนไม่ไหวจึงพูดขึ้น
“ที่อะไร!”
“ที่...ตามใจลูกจนเคยตัว เลยทำให้แกเป็นเด็กเอาแต่ใจ ไร้วุฒิภาวะ”
“รู้แล้วก็ดี นี่ถ้าไม่ติดว่าคุณเป็นคนมีเมตตากับเด็กเขมมิกยอมให้มาฝึกงานที่นี่ ผมจะโกรธคุณให้ดู”
“นี่ยังไม่โกรธอีกเหรอ”
“โกรธได้อีก!” พิสุทธิ์บอก
“คุณพ่อครับ ใจเย็นๆก่อนนะครับ” พิแสงเตือน
“คุณพิสุทธิ์ มันจะมากไปแล้วนะ ฉันหงอให้หน่อยเดียว ก็เอาใหญ่เลย” แสงสุดาว่า
“คุณแม่ค่ะ อย่าโกรธคุณพ่อเลยค่ะ” พิสินีย์พูด
แสงสุดาตอบทันที “โกรธ!”
“พ่อก็ไม่เย็น!” พิสุทธิ์บอก
พิสุทธิ์กับแสงสุดาเชิดใส่กันแล้วเดินออกไป พิแสงกับพิสินีย์ปวดหัว

เขมมิกเดินผ่อนอารมณ์มาหยุดที่มุมหนึ่งแล้วพยายามสงบสติอารมณ์
“ฉันต้องใจเย็น ใจเย็น.....”

พิแสงนั่งเครียดเพราะเป็นห่วงเขมมิก พิสินีย์เข้ามาคุยด้วย
“พี่ใหญ่ดูเป็นห่วงเขมมิกมาก” พิสินีย์บอก
“เค้ามาทำงานกับพี่ พี่ควรจะดูแลเค้า”
“พี่ใหญ่ไม่ได้ติดใจหรือสงสัยการมาของเขมมิกเลยเหรอคะ”
“เมื่อก่อนเคยสงสัย แต่ตอนนี้...พี่ไม่แน่ใจว่าควรจะสงสัยอะไรหรือเปล่า”
พิสินีย์สงสัย “ทำไมคะ”
“เขมมิกจะหลอกพี่เพื่ออะไร...เค้าไม่เห็นจะได้อะไร และพี่ก็ไม่มีอะไรต้องเสีย มีแต่ได้ ได้แรงงานฟรี อย่างมากที่พี่จะเสียคือความรู้ในการทำฟาร์ม ซึ่งพี่ไม่เคยหวงกับใครอยู่แล้ว”
“เขมมิกมีคู่หมั้นแล้วเหรอคะ”
พิแสงอึ้งไป “ใช่....ที่เค้ามาฝึกงานก็เพราะจะได้ไปช่วยกิจการฟาร์มหมูของคู่หมั้นที่เดนมาร์กเมื่อแต่งงานกันแล้ว”
“สินีย์ควรจะเชื่อข้อมูลพวกนี้มั้ยคะ”
“แล้วแต่วิจารณญาณของเรา แต่พี่บอกได้อย่างหนึ่งนะ กันไว้ก่อนอาจจะดีกว่ามาตามแก้ทีหลัง แต่ก็ไม่ควรทำให้ตัวเองต้องอยู่อย่างหวาดระแวง อดีตหรืออนาคตไม่สำคัญเท่ากับปัจจุบัน”
พิสินีย์อึ้งแล้วรับฟังคำแนะนำของพิแสง พิแสงยิ้มให้กำลังใจพิสินีย์แล้วเดินออกไป

เขมมิกสูดลมหายใจด้วยท่าทางที่เย็นลง
“โอเค ฉันใจเย็นลงแล้ว....”
แต่แล้วอารมณ์ของเขมมิกก็ปะทุขึ้นเพราะสะกดจิตให้เย็นไม่ได้ผล เธอหันไปเตะต้นไม้อย่างแรงเพื่อระบายโทสะ
“ย้ากส์!!”
เขมมิกทรุดทันทีเพราะเจ็บขา
“โอ๊ย!!! อูย!!”
พิแสงเดินมาเห็นเขมมิกกำลังโอดโอยก็จะเข้าไปดูแลแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นปริญญ์ปราดเข้าไปหาเขมมิกตัดหน้าพิแสง พิแสงอึ้งเมื่อเห็นเขมมิกยอมให้ปริญญ์ดูหน้าแข้งแล้วก็รู้สึกเสียดแทงใจ พิแสงไม่อยากเข้าไปขัดจังหวะแต่ก็รู้สึกใจเหี่ยว พิแสงค่อยๆเดินถอยหลังออกไป ปริญญ์เช็กอาการหน้าแข้งของเขมมิกโดยที่ทั้งเขาและเขมมิกไม่เห็นพิแสงที่ค่อยๆเดินจากไป
ชมพู่กำลังเม้าอย่างออกรสชาติให้หลอดและเสริมฟัง
“โอย ระเบิดลง ตู้ม!!! บ้านแทบแตก”
“คุณพิสาโกรธอะไรคุณเขมนักหนาวะ เอ็งรู้มั้ย” หลอดถาม
อนงค์เดินเข้ามา
“ก็ไปทำให้คุณพิสากับแฟนเลิกกันน่ะสิ มือที่สาม รู้จักป่ะ”
หลอดกับเสริมตกใจ “ฮ้า!!!!! จริงเด่ะ!!”
“ป้ารู้ได้ไง” ชมพู่ถาม
“ไม่มีเรื่องอะไรในครอบครัวนายหัวที่ฉันไม่รู้ ยัยนั่นไปแย่งแฟนคุณพิสา คุณพิสาเลยแค้นฝังหุ่น”
“วุ้ย! ฉันวงในกว่า ยังไม่รู้เลยนะเนี่ย” ชมพู่บอก
“ขี้ข้าชั้นต่ำอย่างแกจะไปรู้อะไร” อนงค์ว่า
“คุณพิสาก็ว่าป้าเป็นขี้ข้าเหมือนกันนะ” หลอดบอก
อนงค์ฉุน “ไอ้หลอด!”
“ขี้ข้ามันก็คือขี้ข้า ไม่มีต่ำไม่มีสูงหรอกนะป้า เท่าเทียม!” ชมพู่ว่า
“แต่ฉันไม่เหมือนกับพวกแก”

ชมพู่ หลอด และเสริมประสานเสียง “หรา!!??”

พิสุทธิ์เดินเข้ามาพอดี ทุกคนชะงัก อนงค์เขินจนออกอาการจึงรีบแอ๊บหวานเรียบร้อย ชมพู่ หลอด และเสริมมองด้วยความแปลกใจ
 

“อุ๊ย...คุณพิสุทธิ์....สวัสดีค่ะ มาตั้งแต่เมื่อไหร่คะ ไม่รู้เรื่องเลย”
ชมพู่ หลอด และเสริมประสานเสียง “หรา??”
อนงค์หันไปแยกเขี้ยวใส่ชมพู่ หลอด และเสริมก่อนจะหันไปปั้นหน้ายิ้มหวานให้พิสุทธิ์
“สวัสดีจ๊ะ อนงค์ สบายดีนะ” พิสุทธิ์ทัก
“ก็ตามอัตภาพค่ะ”
“เธอยังเหมือนเดิมเลยนะ สวยยังไงก็ยังสวยอยู่อย่างนั้น”
อนงค์หันมายิ้มดีใจแต่เจอสายตาชมพู่ หลอด และเสริมจ้องอยู่ อนงค์ชะงักแล้วรีบเก็บอาการก่อนจะหันไปยิ้มให้พิสุทธิ์และใส่จริตอ่อยอยู่นิดๆ ทั้งทัดผม ส่งสายตาเยิ้มและมีเยื่อใย
“แต่คุณพิสุทธิ์ไม่เหมือนเดิมนะคะ ตอนหนุ่มๆว่าหล่อแล้ว ตอนนี้ยิ่งภูมิฐาน ทำให้ดูหล่อมากกว่าเดิม”
พิสุทธิ์หัวเราะชอบใจ “ฮ่ะๆๆๆ ขอบใจ”
พิสุทธิ์ยิ้ม อนงค์ยิ้ม ทั้งสองยิ้มกันไปมา ชมพู่รีบเก็บข้อมูล

พิแสงนั่งซึมอยู่คนเดียวเพราะคิดถึงเขมมิก
“หึ....เพิ่งจะถูกตบมาแท้ๆ ยังจะมีอารมณ์ยั่วผู้ชาย ใช้ไม่ได้!”
พิแสงลุกขึ้นจะเดินออกไป วาสินีเดินเข้ามาหา
“นายหัวคะ...”
“ว่าไง...น้ำหวาน”
วาสินีน้ำตาซึม “น้ำหวานขอโทษค่ะ มันเป็นความผิดของน้ำหวานเอง”
“ความผิด ผิดเรื่องอะไร?”
“น้ำหวานเป็นคนบอกคุณพิสาเรื่องคุณเขมมิกอาจจะคิด...ทรยศคู่หมั้นเพื่อหันมาหานายหัว”
พิแสงอึ้ง “น้ำหวาน....”
“น้ำหวานขอโทษ...”
วาสินีร้องไห้โฮออกมา พิแสงตกใจเพราะไม่รู้ทำยังไงจึงเข้าไปกอดปลอบใจวาสินี วาสินีได้ที จึงกอดพิแสงเอาไว้

แสงสุดาตกใจ หลังจากชมพู่เข้ามารายงาน
“มันยั่วผัวฉัน!”
“ค่ะ จะจะคาตาเลยค่ะ พอคุณพิสุทธิ์ชมว่ายังสวยเหมือนเมื่อตอนสาวเท่านั้นแหละ ป้าอนงค์ก็กลายเป็นสาวสิบสี่อีกครั้งค่ะ น้องไบร์ท”
“พอแล้ว ไม่ต้องใช้รหัสแล้ว! ความแตกโพล้ะไปแล้วขนาดนี้”
“ค่ะ”
“แล้วคุณพิสุทธิ์เป็นไง”
“โอย พอยัยป้าอนงค์พูดชมว่าคุณพิสุทธิ์ดูภูมิฐานหล่อมากกว่าตอนหนุ่มๆเท่านั้นแหละค่ะ หน้างี้บานเป็นจานดาวเทียมเลย”
แสงสุดาแค้น “อี๊!! นังแม่ลูกตัวแสบ!!”

เขมมิกเดินกะเผลกมา ปริญญ์เดินคุยกันกับเขมมิกมาด้วย
“วันหลังถ้าต้องการกระสอบทรายไว้ลองกำลังแข้งก็บอกนะครับ ผมมีให้ยืม” ปริญญ์พูดขำๆ
“อย่ามาขำเลย เขมเครียดนะ”
“คุณพิสาดูไม่ชอบคุณมาก”
“เรียกว่าเกลียดเลยล่ะ แต่ก็ช่างเถอะค่ะ เรื่องมันผ่านไปแล้ว”
“แต่คุณพิสาคงไม่คิดอย่างนั้น”
“วิธีหาคนผิด เป็นการบำบัดจิตของคนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิด”
“ก็จริงครับ แต่คุณพิสาไม่น่าใช้ความรุนแรง แต่ดีแล้วครับที่คุณไม่โต้ตอบและใช้เหตุผล”
“หึ....แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าเหตุผลของฉัน อาจใช้ไม่ได้กับคนที่ใช้อารมณ์นำตัวเองอย่างคุณพิสา”
ปริญญ์ยิ้มๆ แล้วก็ชะงักเมื่อมองไปทางหนึ่ง เขมมิกมองตามสายตาของปริญญ์แล้วก็ต้องอึ้งที่เห็นวาสินียืนซบพิแสงร้องไห้อยู่ ทั้งเขมมิกและปริญญ์อึ้งกันไปทั้งสองคนด้วยความรู้สึกเจ็บแปลบในหัวใจเหมือนกัน
เขมมิกสลัดความรู้สึกของตัวเองได้เร็วกว่าจึงหันมองปริญญ์ ปริญญ์รีบหลบแล้วเดินออกไป เขมมิกมองตามปริญญ์อย่างเห็นใจก่อนจะค่อยๆเดินตามออกไปด้วย

วาสินีค่อยๆผละออกจากพิแสง
“น้ำหวานขอโทษค่ะ ที่....เสียมารยาท”
“ไม่เป็นไร....หยุดร้องได้แล้วนะ”
“ค่ะ”
“จะได้คุยกัน”
“ค่ะ”
“ไปบอกอย่างนั้นกับยัยน้องเล็กทำไม เธอก็รู้ว่ามันไม่จริง”
“นายหัวเป็นผู้ชาย แต่น้ำหวานเป็นผู้หญิง ผู้หญิงกับผู้หญิงด้วยกัน เราจะดูกันออกค่ะ น้ำหวานรู้สึกได้จริงๆว่าคุณเขมกำลัง...มีใจให้นายหัว และนายหัวก็ดู...หวั่นไหว”
“เหลวไหล”
“นายหัวกำลังจะบอก...นายหัวไม่ได้คิดอะไรกับคุณเขมเหรอคะ”
“ผมไม่มีทางคิดอะไรกับผู้หญิงที่มีเจ้าของ”
วาสินีทำเป็นยิ้มกว้างดีใจ “น้ำหวานดีใจที่สุดเลยค่ะ”
“น้ำหวาน ฟังผมนะ ขอบคุณที่เป็นห่วงกัน แต่ขอร้อง อย่าพูดอะไรโดยที่ยังไม่รู้ว่ามันจริงหรือไม่จริง เพราะคนที่ถูกพาดพิง เค้าจะเสียหาย”
“นายหัวแคร์คุณเขม กลัวว่าเค้าจะเสียหาย แต่นายหัวไม่แคร์น้ำหวานเลยใช่มั้ยคะ”
“ฉันแคร์เธอ ในฐานะที่เธอเป็นเลขาของฉัน และฉันก็เอ็นดูเธอเหมือนเป็นน้องสาวอยู่แล้วนี่”
วาสินีอึ้ง
พิแสงพูดต่อ “ที่ฉันเตือนเธอ...ถูกต้องแล้วไม่ใช่เหรอ เธอก็ควรจะเชื่อฉัน”
วาสินีหน้าเจื่อน แต่พยายามปั้นยิ้มว่าไม่เป็นไรอะไร “ค่ะ นายหัว น้ำหวานจะจำไว้ให้ขึ้นใจเลยค่ะ”
“ดีมาก...”

พิแสงยิ้มให้วาสินีอย่างเอ็นดูแต่ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มของวาสินีกลับซุกซ่อนความโกรธเคือง และเสียหน้าเอาไว้

พิสุทธิ์เดินเข้าบ้าน แสงสุดาเดินออกมาด้วยใบหน้าบึ้งตึง

“ไปไหนมา“เดินเล่น”
“เพลินมากมั้ย”
“ก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้น”
“ไปกระตุ้นอารมณ์กับกิ๊กเก่าล่ะสิ ถึงได้หน้าบานเป็นจานดาวเทียมกลับมาซะมืดค่ำ”
“คุณ....เดี๋ยวก่อน คิดอะไรไปถึงไหนเนี่ย”
“คุณถึงไหนฉันก็คิดถึงนั่นแหละ!”
พิสุทธิ์เปลี่ยนเรื่อง “ยัยน้องเล็กไปไหนแล้ว”
“ฉันส่งไปพักที่รีสอร์ทตาธีแล้ว เพราะคืนนี้ ฉันไม่อยากให้ลูกเห็นฉากสะเทือนใจ”
“ไร้สาระ”
พิสุทธิ์เดินเลี่ยง แสงสุดารั้งตัวเอาไว้
“นี่แหละ สาระระหว่างเรา” แสงสุดาบอก
พิสุทธิ์งง “อะไร”
“พอได้กลิ่นเก่าๆ แก่ๆ อย่างนังอนงค์ คุณก็เปลี่ยนไป”
พิแสงเดินเข้ามาเห็นพอดีจึงเข้ามาขวาง
“คุณพ่อ คุณแม่ ทะเลาะอะไรกันอีกครับ”
เขมมิกเดินเข้ามาเห็นอีกคนจึงยืนหลบมุมดูอย่างเงียบๆ
“พ่อแกสิ...กำลังนอกใจแม่ กลับไปกินน้ำพริกถ้วยเก่าเน่าๆค้างปี” แสงสุดาบอก
“เฮ้ยยย อย่าใส่ร้ายผม!!! กินเกินอะไรกัน ผมก็แค่คุยกับเค้านิดหน่อยตามประสาคนเคยรู้จัก เห็นกันมานาน ไม่ได้นอกใจ”
“ฉันไม่เชื่อ!”
“แล้วทำยังไงคุณถึงจะเชื่อ” พิสุทธิ์ถาม
“ไล่มันออกไปเลย ทั้งแม่ทั้งลูก” แสงสุดาบอก
พิสุทธิ์กับพิแสงตกใจ “คุณ! /คุณแม่!”
เขมมิกนึกขำแสงสุดา
“ร้ายนักนะ ท่านรอง”

พิแสงและพิสุทธิ์เดินหนีแสงสุดาเข้ามาในบ้าน
“ผมไล่ไม่ได้” พิแสงบอก
พิสุทธิ์เสริม “ก็เค้าไม่ได้ทำอะไรผิด”
“ผิดสิ! มาอ่อยผัวฉันไง” แสงสุดาบอก
“โอ๊ยคุณ! อย่าเพ้อเจ้อได้มั้ย”
“น่านไง ทำให้ผัวฉันกระด้างกระเดื่องมาด่าฉัน คำก็ไร้สาระ คำก็เพ้อเจ้อ เมื่อก่อนน่ะ ไม่มี้!!!! นี่แหละผิดเต็มๆ!!”
“คุณแม่ครับ....คุณแม่ก็รู้...ว่านี่มันผิดหลักการบริหาร คนงานไม่ได้ทำงานอะไรผิดพลาด ไปไล่เค้าออกอย่างไม่เป็นธรรม เค้าไปฟ้องกรมแรงงานแล้วทำไง”
“ก็ให้มันไปฟ้อง แม่สู้คดี!”
“ไม่สงสัยเลยว่ายัยน้องเล็กเอานิสัยเอาแต่ใจมาจากใคร” พิสุทธิ์ว่า
“จากฉัน ก็ถูกแล้วไง แม่ลูกกัน”
“โอย อยากจะบ้าตาย คุยกันเองเหอะ ผมจะชัทดาวน์ตัวเองแล้ว เหนื่อย!”
พูดจบพิสุทธิ์ก็เดินเข้าบ้านไป แสงสุดาไม่ยอม
“ตาใหญ่!”
“ผมก็เหนื่อยครับ....แบตหมด”
พูดจบพิแสงก็เดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้แสงสุดายืนเวิ้งว้างอยู่กลางห้อง
“ลูกผัวไม่เคยเชื่อฟัง! ไม่เห็นความรู้สึกของฉันสำคัญเลยใช่มั้ย หา!!”
เขมมิกค่อยๆ เดินเลียบผนังเข้ามาจะกลับห้องตัวเองเพราะคิดว่ารอด แต่ก็ไม่รอดเพราะแสงสุดาหันมาเห็นพอดี
“เขมมิก!”
เขมมิกสะดุ้ง “ค่ะ”
แสงสุดาขยิบตาให้เขมมิก
เขมมิกไม่เข้าใจ “คะ เจ็บตาเหรอคะ”
“โอ๊ย!!! อารมณ์เสีย!”
แสงสุดาลากเขมมิกไปที่ห้องของเขมมิกทันที

แสงสุดากับเขมมิกเข้ามาในห้องปุ๊บ แสงสุดาก็ล็อกประตูห้องปั๊ป
“มีอะไรเหรอคะ” เขมมิกถาม
แสงสุดาทำปากจุ๊ๆ ให้เขมมิกเงียบเสียงแล้วเอาหูแนบประตู พอไม่ได้ยินเสียงใครแสงสุดาก็ผ่อนคลายลง แสงสุดาเดินมานั่งที่เตียง
“คุยเบาๆนะ อย่าเสียงดัง เดี๋ยวจะมีคนสงสัย”
เขมมิกรับคำ “ค่ะ”
“ถูกตบ เป็นไงบ้าง”
“ก็เจ็บสิคะ ถามได้”
“แล้วทำไมไม่คิดจะตอบโต้ นิสัยเธอไม่ใช่คนยอมใครเมื่อถูกทำร้าย”
“จะให้ตบคืนเหรอคะ ไม่ดีมั้ง ลูกสาวคุณ น้องสาวเป้าหมายฉัน เสียคะแนนแย่ อย่าบอกนะคะว่าคุณเป็นห่วงฉัน”
“เปล่า...จะมาบอก...ว่าฉันกำลังช่วยเธออยู่”
“ที่หาเรื่องไล่ป้าอนงค์กับคุณน้ำหวานออกน่ะเหรอคะ”
“รู้ทันฉันด้วย”
“ค่ะ แผนนี้ฉันเคยใช้...ขอบคุณค่ะที่ช่วย”
“ถือซะว่า...เป็นการชดใช้ที่ยัยพิสาเข้ามาป่วนภารกิจของเธอ”
“ทุกอย่างที่คุณพิสาพูดมันก็จริงทั้งนั้น ฉันไม่มีสิทธิ์โกรธเธอหรอกค่ะ”
“คิดได้อย่างนั้นก็ดี ฉันไปล่ะ ไม่ต้องห่วง ยังไงฉันก็ต้องทำให้ตาใหญ่ไล่แม่ลูกตัวแสบนั่นออกไปให้ได้”
“แน่ใจเหรอคะว่าที่ทำไปเป็นแผน ไม่ได้หึงป้าอนงค์จริงๆ”
“หึงจริง! เสียทองเท่าหัว ไม่ยอมเสียผัวดีๆให้ใครหรอก” แสงสุดายอมรับ
“ฉันก็ว่างั้น ท่านประธานเป็นคนดี มีคุณธรรม...ซึ่งคงมีผู้ชายที่ดีแบบนี้อยู่ไม่กี่คนในโลก...ก็สมควรจะหวงนะคะ”
“คิดอะไรกับผัวฉันอีกคนหรือเปล่าเนี่ย”
“เปล่าค่ะ ที่พูดเพราะคิดว่าคุณ....เล่นใหญ่ไปนิด มันจะดูไม่ดี และยิ่งเป็นการผลักไสท่านประธานให้ป้าอนงค์คาบไปกินนะคะ”
“เหรอ...เออ...ในฐานะที่เธอเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องหว่านเสน่ห์มัดใจชาย ฉันต้องทำไงให้ดูหึงแบบพอดีๆ และไม่ลดคุณค่าตัวเอง”

เขมมิกยิ้มชอบใจ แล้วเขมมิกก็ติวเข้มแสงสุดาเรื่องจริตหึงให้พอดีๆ แบบมีคุณค่า

เนตรนิภาลากกระเป๋ากำลังจะออกจากบ้าน เสียงมือถือของเธอดังขึ้น เนตรนิภาเห็นเป็นเบอร์ของเขมก็รีบรับ

“ว่าไงแก...กำลังจะบินไปหาดใหญ่ ว่าจะแวะไปหาแกด้วย อะไรนะ!!”
เนตรนิภาลากกระเป๋าออกมาแล้วมองหาใครบางคน แล้วเนตรนิภาก็ลากกระเป๋าเดินไปทางหนึ่ง
พิสากำลังนอนครุ่นคิดอยู่ริมสระเพื่อหาวิธีกำจัดเขมมิก กนธีรีบเร่งเดินมาหาพิสา
“น้องเล็ก....ตามสบายนะ พี่จะไปหาดใหญ่ เดี๋ยวมา” กนธีบอก
“ไปรับแฟนเหรอคะ” พิสาถาม
“เปล่า มีธุระกับแม่”
“แม่!!!?” พิสางง
“ไปนะ”
กนธีเดินออกไป พิสาคิดอะไรได้ก็รีบวิ่งตามไปประกบกนธี
“พี่ธี เดี๋ยวก่อนค่ะ!”
กนธีตกใจ “เฮ้ย!!”
กนธีตกใจจนตกก้าวผิดขาพลิก หัวของเขาไปโขกเหลี่ยมบันไดปูน
พิสาตกใจ “พี่ธี!!!”

เนตรนิภายืนกำหูกระเป๋าแน่นด้วยความเจ็บใจ
“อีตาบ้า! สายจะชั่วโมงแล้วนะ!!! ฮื่ย!!!เจอหน้ามีเลือดอาบ!”

กนธีหัวถลอกและมีเลือดซิบ พยาบาลที่รีสอร์ทซับเลือดและทำแผลให้ พิสายืนมองเสียวๆอยู่ข้างๆ
กนธีแสบ “โอ๊ย! เบาๆครับ เบาๆ”
“แตกมั้ยคะ” พิสาถาม
“ไม่ค่ะ แค่ถลอก” พยาบาลตอบ
“โธ่เอ้ย ไอ้เราก็เป็นห่วง”
“ล้างแผล ทายาก็พอค่ะ ไม่ต้องเย็บ”
กนธีชะงัก เขาคิดจะใช้แผลให้เป็นประโยชน์

เขมมิกกำลังให้อาหารทีเด็ดอยู่กับหลอดและเสริม เขมมิกมองหาปริญญ์แต่ก็ไม่เห็น
“หลอด เสริม หมอปิ๊นมายัง”
หลอดกับเสริมสบตากันแต่ไม่ตอบ ทั้งสองทำตัวห่างเหินกับเขมมิก จนเขมมิกรู้สึกผิดปกติ
“เป็นอะไรไป ทั้งสองคน”
“ยอมรับครับว่าผิดหวัง” หลอดบอก
“ไม่น่าเชื่อเลยนะครับ” เสริมว่า
“ผิดหวังเรื่องอะไร ไม่น่าเชื่อเรื่องอะไร”
“คุณเขม ไปแย่งแฟนคุณพิสามาจริงๆเหรอครับ” เสริมถาม
เขมมิกอึ้ง
“ถ้าจริง....พวกเราขอโทษ...พวกเราไม่สนับสนุนคนทำผิดศีลครับ” หลอดบอก
“ฉัน..เอ่อ...”
พิแสงเดินเข้ามา
“คุณเขมไม่ได้แย่งแฟนใคร..ยัยน้องเล็กเค้าเลิกกับแฟนเอง”
เขมมิกอึ้ง เธอหันไปมองพิแสงพร้อมกับนึกขอบคุณ
หลอดกับเสริมโล่งใจ แล้วก็ร่าเริงขึ้นมาทันที
“ไอ้หยะ....ผมก็ว่าแล้ว ว่าคุณเขมไม่มีทางทำแบบนั้นแน่ๆ”
“คุณเขมสวยทั้งกายและใจ ผ่องแผ้วเนื้อนพคุณ”
เขมมิกพูดไม่ค่อยเต็มปากนัก “เว่อร์มั้ง...ไม่ขนาดนั้นหรอก”
“มากับฉันหน่อย เขมมิก” พิแสงบอก
เขมมิกประหลาดใจ

เขมมิกเดินตามพิแสงเข้ามาในออฟฟิศอย่างเซ็งๆ
“จะเรียกมาด่าอีกเหรอคะ”
“ใช่”
“งั้นก็ด่าตรงนี้เลยก็ได้”
“อยากให้คนอื่นได้ยินที่ฉันด่าเธอเหรอ”
“โดนตบออกสื่อซะขนาดนั้น ไม่มีอะไรที่ฉันต้องอายอีกแล้วค่ะ”
พิแสงมองเขมมิกอย่างชั่งใจ เขมมิกมองพิแสงอย่างไม่กริ่งเกรง
“ทำไมชอบท้าทายฉันนัก” พิแสงถาม
“ไม่ได้ท้าทาย แค่ทำทุกอย่างให้เป็นเรื่องง่าย เชิญด่าเลยค่ะ”
พิแสงมองเขมมิกแล้วก็นึกประทับใจอยู่ลึกๆ

อนงค์แต่งตัวสวยเป็นพิเศษเดินเมียงมองเข้ามาในบ้านพัก แสงสุดาเดินออกมาอย่างนางพญา
“มาทำไมมิทราบ” แสงสุดาถาม
อนงค์ตกใจ “อุ๊ย.....”
“ถึงกับหน้าถอดสีเลยเหรอจ๊ะ คุณอนงค์ คิดว่าจะเป็นผัวฉันเหรอที่เดินออกมาน่ะ”
“อ๋อ เปล่าหรอกค่ะ คิดว่าเป็นคนงานที่ไหนจะไปเล่นงิ้วเล่นลิเกค่ะ”
แสงสุดาสะดุ้ง เธอรีบมองเสื้อผ้าหน้าผมของตัวเอง
“ชิส์....ก็อย่างว่าน่ะ เธอมันก็คนบ้านๆ เลยมีรสนิยมบ้านๆ เห็นของแบรนด์เนมราคาเรือนแสนเป็นร้านทุกชิ้นยี่สิบบาทไปได้ ตาต่ำเหมือนกมลสันดาน” แสงสุดาสวน
อนงค์เจ็บปวดมาก “อี๊!!”
พิสุทธิ์เดินมาเห็นแสงสุดากับอนงค์กำลังเผชิญหน้ากัน พิสุทธิ์ชะงักแล้วถอยหนี

เขมมิกรอให้พิแสงด่า
“เอ้า ด่าสิ อย่าให้ฉันรอนาน เวลาเป็นของมีค่า หมูรอฉันอยู่”
“ในเมื่อเธอขยันทำงานขนาดนี้เพื่อไปช่วยคู่หมั้นของเธอ ก็น่าจะท่องจำให้ขึ้นใจว่าเธอมีคู่หมั้น ไม่ใช่ปล่อยใจตัวเองไปให้ท่าไอ้หมออีกคน” พิแสงว่า
เขมมิกอึ้ง
“ฉันพูดแทงใจดำใช่มั้ย” พิแสงถาม
เขมมิกทำใจเย็น “คุณพิแสงคะ”
“ทำไม”
“ความคิดของคุณสกปรกมาก”
พิแสงอึ้ง
“เคยมีสักครั้งมั้ยคะ ที่จะมองมิตรภาพระหว่างชายหญิงเป็นความสัมพันธ์ที่บริสุทธิ์ใจ ไม่ใช่ความสัมพันธ์ที่ต้องลงเอยบนเตียงทุกครั้ง หา!

เขมมิกโกรธจนลืมตัวจึงตบหน้าพิแสงฉาดใหญ่จนพิแสงหน้าชา พิแสงตกใจเพราะไม่คิดว่าเขมมิกจะรู้สึกโกรธมากขนาดนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น