ติดตามอ่านละครออนไลน์ได้ทาง www.manager.co.th ทุกเช้า 09.3 0น.)
รอยไหม ตอนที่ 8
เรรินที่หลับตาอยู่ สะดุ้งลืมตาตื่นขึ้นงงงัน สิ่งที่ได้ไปพบเจอ มันจริงจนไม่ใช่ความฝันแน่นอน เธอลุกขึ้นจากที่นั่งบนกี่ มองหาศิริวัฒนา แต่ในห้องนั้นว่างเปล่า ศิริวัฒนา ไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว
“คุณคะ...คุณ”
เรริน ชะงักขนลุกซู่ซ่า เพราะตระหนักแล้วว่าเขาไม่ใช่คน...เรรินหันกลับไปมอง ที่ภาพเขียนสีน้ำมัน ทุกอย่างสงบนิ่งไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
“คุณคะ...ออกมาเถอะค่ะ ฉันมีเรื่องอยากถามอีกมากมาย...คุณคะ...คุณอยู่ที่ไหน”
เงียบไม่มีสัญญาณใดๆตอบรับ เทียนหดสั้นลง น้ำตาเทียนนองย้อย และสุดท้ายก็ค่อยๆ จมลงในแอ่งน้ำตาเทียนทุกอย่างตกอยู่ในความมืด
เรรินโผล่ออกมาจากห้องทอผ้าบริเวณนั้นเงียบสงัด และมืดสลัว เธอปิดประตูเข้าหากันแล้วค่อยๆคล้องกุญแจเข้ากับสายยูไขกุญแจล็อกแล้วขยับตัวออกจากที่นั่น
เรรินโผล่ออกมาจากข้างตึกมองไปที่ประตูรั้ว ซุ้มยามรักษาความปลอดภัย ไฟเปิดสว่างอยู่ ยามนั่งดูทีวีจอเล็ก เรรินมองซ้าย-ขวาว่าจะหาทางออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร แล้วตัดสินใจหลบเร้นกายไปทางสวนมืดและรก กระทั่งถึงแนวกำแพง เธอตัดสินใจจะปีนออกไป ปลดถุงย่ามออกจากตัว วางไว้บนสันขอบกำแพง แล้วตัวเองขยับปีนกำแพง
เรรินกระโดดจากกำแพงลงพื้น แล้วมองบริเวณโดยรอบเห็นถนนเล็กๆ ด้านข้างคุ้มเจ้าหลวง ไม่มีใครอ้างว้าง เธอขยับลุกขึ้น เอื้อมมือไปจะหยิบถุงย่ามที่วางไว้บนสัน กำแพงจะดึงลงมา ทันใดนั้นมือดำๆเขียวๆของผีอีเม้ย คว้าจับข้อมือของเธอไว้ เรรินตกใจหันขวับไปมองมือนั้น และไล่ไปตามแขนยาวสกปรกจนถึงหน้าที่มีผมยาวเป็นสังกะตังปกปิด เรรินหัวใจแทบหยุดเต้น
ผีอีเม้ย หมุนคอตัวเองมาเผชิญหน้าตาที่ถลนโปนออกมาขาวโพลน ไม่มีตาดำ มันอ้าปากออกกว้างเหมือนสัตว์จะสวาปามเหยื่อ ฟันแหลมคมทั้งปากของมันกับน้ำลายเหนียวยืดสกปรกดูน่าเกลียดน่ากลัวยิ่งนัก เรรินช็อกร้องไม่ออก
“มึงต้องไปกู...กูจะเอามึงไป...”
“กรี๊ดดดด”เรรินร้องลั่น
มือผีอีเม้ย รัดข้อมือ เรรินแน่น จนควันกรุ่นออกมา
“ช่วยด้วย...ช่วยด้วย...”
ผีอีเม้ยหัวเราะกรีดเสียงแหลม และยื่นหน้าเข้ามาใกล้หน้า เรรินช็อกจนจะหมดสติอยู่แล้ว ทันใดนั้นแสงสว่างจากไฟหน้ารถยนต์ สาดเข้ามาพอดี ผีอีเม้ยหมุนคอหันขวับไปมอง
รถสุริยวงศ์แล่นเข้ามา สุริยวงศ์เห็นเรรินอยู่คนเดียว ร่างกายบิดงอ
“คุณริน”
สุริยวงศ์ รีบจอดรถทันที ผีอีเม้ยปล่อยแขนเรริน กรีดเสียงสูงคำรามด้วยความแค้นก่อนจะม้วนตัวเป็นกลุ่มควัน หายไป...เรรินทรุดกองลงกับพื้น สุริยวงศ์ รีบลงจากรถ และพุ่งเข้ามาถึงตัวเธอก่อนที่จะหมดสติไป
“คุณรินครับ...คุณริน”
เรรินมองสุริยวงศ์ที่อยู่ต่อหน้าเธอและร้อง เรียกชื่อเธอไม่ขาดปาก เธอโผเข้ากอดเขาแน่นอย่างตื่นกลัว
เรริน ขึ้นนั่งในรถขวัญหนีดีฝ่อ เกาะกุมมือสุริยวงค์เอาไว้แน่น
“คุณริน...เกิดอะไรขึ้น...คุณมาอยู่แถวนี้ได้ยังไงใครทำอะไรคุณ”
เรรินตัวสั่นกลัว ร้องสะอื้นขวัญกระเจิง
“ผี...ผี...”
“ผีที่ไหนกันคุณริน คุณตาฝาดไปเองรึเปล่า”
“ไม่ค่ะ ฉันเห็นจริงๆ ผีแน่ๆค่ะ มันจับแขนฉันเอาไว้ มันบอกจะเอาตัวฉันไปด้วย มือมันยังกะไฟ”
เรรินยกข้อมือตัวเองขึ้นมาดู สุริยวงค์ อึ้ง ขนหัวลุกเหมือนกัน ข้อมือของเรรินตรงที่ถูกผีอีเม้ยจับปรากฏเป็นรอยดำเหมือนไฟไหม้
“น่ากลัวเหลือเกินค่ะ”
สุริยวงค์ชักกลัวๆเหมือนกัน
“ใจเย็นๆนะครับ คุณริน ไม่ต้องกลัว ผมจะพาคุณรินไปจากที่นี่”
สุริยวงค์ ปิดประตูรถ แล้วรีบอ้อมไปขึ้นด้านคนขับ ผีอีเม้ยที่ห้อยโตงเตงอยู่บนต้นไม้ใหญ่ มองตามรถที่พุ่งทะยานออกไปอย่างเจ็บแค้น
+ + + + + + + + + + + + +
กลุ่มควันพุ่งทะยานข้ามาเป็นสายทางหน้าต่าง แล้วรวมตัวเป็นก้อนที่พื้นเบื้องหน้าบัวงิน แล้วค่อยๆเลือนเข้าเป็นร่างผีอีเม้ย หมอบอยู่เบื้องหน้าบัวเงิน
“กูฮ้องมึงอยู่เป็นเมิน มึงไปมุดหัวอยู่ตี้ใดอีเม้ย”
“บ่าวไปยะงานที่หม่อมสั่ง”
“เป็นจะได มึงหักคอมัน ส่งมันไปอยู่กับอีคำเที่ยง ขี้ข้าของมันได้แล้วก๊า”
“เม้ยกำลังสบโอกาส แต่ดวงของมันคงยังบ่ถึงฆาต ถึงมีคนมาขวางได้พอดีเจ้า”
“ผู้ใดบังอาจมาขวางทางมึง”
“หลานชายของหม่อมเจ้า”
“สุริยวงค์”
บัวเงินแค่นชื่อสุริยวงค์ ออกมาอย่างเจ็บปวดและคาดไม่ถึง
ขณะเดียวกัน รถสุริยวงค์แล่นเข้ามาจอดที่หน้าบ้าน สุริยวงค์อ้อมมาเปิดประตูรถให้เรริน
“บ้านผมเองครับคุณริน ลงมาก่อนเถอะครับ ที่นี่ปลอดภัยผมรับรอง”
เมื่อเข้าไปในบ้าน สุริยวงศ์ชงโกโก้ร้อนสองแก้วแล้ววางลงบนโต๊ะ
“โกโก้ร้อนครับคุณริน”
“ขอบคุณค่ะ”
“รอยนั่นเหมือนแผลไฟไหม้ เดี๋ยวผมจะทายาให้นะครับ”
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันทาเองก็ได้”
สุริยวงค์ไม่ฟังบีบยาออกจากหลอดและค่อยๆทาให้ เรรินมองและรู้สึกถึงความอ่อนโยนที่ได้รับสุริยวงค์เงยหน้าขึ้นเจอสายตาเรริน เธอหลบสายตาของเขาทันที
“คุณรินไปทำอะไรแถวถนนข้างคุ้มเจ้าหลวงครับ”
เรรินอึกอัก
“ฉัน...เอ่อ...ฉันผ่านไปเฉยๆ จะไปเอาจักรยานที่ฝากเขาเอาไว้”
“ดึกขนาดนั้นน่ะเหรอครับ”
“ฉันมัวเถลไถลแวะทางโน้นทีทางนี้ทีน่ะค่ะ”
“ผมควรจะเชื่อคุณไหมครับ” เรรินอึ้งไป
“ถนนเส้นนั้นมันทั้งมืดทั้งเปลี่ยว คุณไปทำอะไรกันแน่ คุณริน”สุริยวงศ์คาดคั้นเสียงเข้ม
เรรินเพิ่งเจอเรื่องร้ายๆยังมาโดนเขาดุอีก เธอน้ำตาคลอแล้วหยดแหมะลงมา สุริยวงค์อึ้งเหมือนกันที่เห็นน้ำตาเรริน
“ฉัน...ฉัน...ขอโทษ...ฉันขอโทษ...”เรรินร้องให้ออกมาสุดจะกลั้นไว้
สุริยวงค์กอดเรรินเอาไว้ปลอบโยน
“ผมขอโทษ คุณริน ผมขอโทษ ผมแค่เป็นห่วงคุณเท่านั้นเอง ผมโทรไปถามพี่วันตั้งแต่หัวค่ำพี่วันบอกว่าคุณยังไม่กลับไปเลย ผมขับรถตามหาคุณจนทั่วเมืองไปทุกที่ที่คิดว่าคุณจะไปจนผมอ่อนใจหมดหวังไปแล้ว คุณรินผมเป็นห่วงคุณจริงๆผมกลัวไปสารพัด กลัวว่าเกิดเรื่องร้ายๆจะเกิดขึ้นกับคุณ ผมขอโทษที่เสียงดังใส่คุณ ผมขอโทษ”
เรรินสะอื้นอยู่ในอ้อมกอดของเขาได้รับความรู้สึกดีๆและอบอุ่นจากเขาไม่น้อย
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงิน เดินเข้ามาหยุดที่หน้ารูปถ่ายของศิริวัฒนาที่ตั้งอยู่บนโต๊ะ บัวเงินมองรูปนั้นอย่างเย็นชา
“อีมณีรินมันยังกลับมาเลย แล้วเจ้าอ้ายล่ะ จะไดบ่กลับมาหื้อเจ้าหันสักเตื้อ...ความฮักที่ข้าเจ้ามีต่อเจ้าอ้าย มันบ่เพียงพอที่จะผูกรัดเจ้าอ้ายไว้ จะอั้นก๊า”
ในอดีต...ตำหนักหม่อมบัวเงินอยู่ในอาณาบริเวณคุ้มเจ้าหลวง เป็นหมู่บ้านเรือนไม้ล้านนา บริวารบัวเงิน ทอผ้ากันอยู่ใต้ถุนตำหนัก บางคนตากฝ้ายที่เพิ่งย้อมสีเสร็จอยู่ไกลๆในสวน บัวเงินเดินดูตัวซิ่นที่บริวารกำลังทออยู่ เป็นซิ่นแม่แจ่มลายขวาง อีเม้ยกลับจากไปแอบดูงานพิธีต้อนรับมณีรินเดินเข้ามา
“หม่อมเจ้าขา หม่อมเจ้าขา หม่อมของเม้ย”
“เป็นจะไดพ่อง อีเม้ย”
“หม่อมอยากจะฮู้เรื่องอะหยังล่ะเจ้า เรื่องงานพิธี หรือว่าเรื่องคน”
“อีบ้า...ก็ทั้งสองเรื่องน่ะแหละ มึงเล่ามาหื้อละเอียดอย่างที่ตามึงหัน”
“งานพิธีต้อนฮับก็จะอั้น...ละเจ้า เจ้าหลวงเปิ้นจัดพอเป็นพิธี เม้ยบ่หันว่าจะยิ่งใหญ่จะได ก็อย่างว่าละนะเจ้า มันก็แค่เจ้านางเมืองขึน พิธีต้อนฮับขนาดนี้ ก็นับว่าบะล่ำบเหรอแล้ว”
“แล้วหน้าตามันเป็นจะได”
“โอ้ย...เม้ยบ่อยากจะเอิ้นเกิดมาแต่ท้องแม่ เม้ยบ่เคยหันแม่ญิงใดจะขี้ริ้วเท่าอีนังแม่หญิงผู้นี้เลยเจ้า ผอมคือไม้เสียบผี บ่มีน้ำมีนวล ดำก็ดำ กิริยาก็ม้าดีดกะโหลก หาดีอะหยังบ่ได้เลยหม่อมเจ้าขา”
บัวเงินสบายใจ
“มึงว่าจะอั้นกูก็ค่อยสบายใจขึ้นมาน่อย ถ้าอีนัง เจ้านางเมืองขึ้นมันอัปลักษณ์อัปรีย์ อย่างมึงว่า เจ้าอ้ายศิริวัฒนาของกู ก็คงบ่มีวันชายตามองมันให้เสียลูกตาดอก มึงกึ๊ดจะอั้นก่ออีเม้ย”
“เจ้า...แค่หันมันบ่เต็มตา เจ้าเปิ้นก็อาจจะฝันฮ้าย เหมือนผีหลอกผีหลอนไปทั้งคืนละเจ้า”
นายกับบ่าว กลั้วหัวเราะผสมโรงกัน ได้ย่างเป็นปี่เป็นขลุ่ย
+ + + + + + + + + + + +
ศิริวัฒนา นั่งใจลอยอมยิ้มมีความสุขอยู่ที่โต๊ะเขียนหนังสือ เขาตกหลุมรักมณีริน ตั้งแต่แรกพบ ขณะที่บัวเงินประคองโตกดอกไม้สด เข้ามาในห้องพร้อมกับเม้ยที่ประคองถาดของว่าง
“เจ้าอ้ายเจ้า...”
ศิริวัฒนา ยังเหม่อใจลอย ไม่ได้ยินบัวเงิน จนกระทั่งหล่อนเข้ามาใกล้
“เจ้าอ้าย”
ศิริวัฒนาสะดุ้ง
“อ้าว...บัวเงิน”
“ใจลอยไปตี้ใดน๊อ น้องเข้ามาถึงโตแล้วยังบ่หัน”
“พี่กึ๊ดเรื่องงานอยู่”
“เจ้าหลวงส่งงานมานักขนาด เจ้าอ้ายต้องพักผ่อนบ้างเน้อ หักโหมเกินไปจะเจ็บจะไข้”
บัวเงินวางโตกดอกไม้ถุงมุมนึง แล้วหันไปรับถาดของว่างจากเม้ย
“น้องทำของว่าง น้ำชามาหื้อ”
“ขอบใจเจ้านักนัก เจ้านี่ฮู้ใจ๋ปี้แต๊ๆ”
“ขนมฝรั่งนี่ หม่อมยะเองกับมือแต๊ๆนะเจ้า”เม้ยบอกอย่างชื่นชมนาย
บัวเงินยิ้ม
“น้องเพิ่งทดลองทำครั้งแรก จ้าอ้ายชิมดูซะกำเตอะเจ้า”
ศิริวัฒนาตักชิม
“นี่ขนาดหม่อมเพิ่งทดลองยะนะเจ้าขนมยังออกมางามขนาดจะ”อี้เม้ยชมไม่หยุด
ศิริวัฒนาเคี้ยวขนมแล้วเอ่ยชม
“ลำ...ลำขนาด”
บัวเงินหน้าบาน หันไปยิ้มกับเม้ย
“เจ้าอ้ายเจ้า แขกของเฮาเป็นจะไดพ่องเจ้า”
“แขกของเฮา...เจ้าหมายถึงเจ้านางมณีริน ใช่ก๊า”
“เจ้า...เมื่อวาน งานพิธีต้อนฮับน้องก็บ่ได้ไปร่วม เปิ้นอุตส่าห์ รอนแรมมาไกล พลัดบ้านพลัดเมืองมา กว่าจะปรับโตกินอยู่อย่างคนเจียงใหม่ เปิ้นคงจะลำบากบ่ใช่น้อย ถ้าน้องจ่วยอะหังได้น้องก็เต็มใจ๋ จะได้แบ่งเบาภาระเจ้าอ้ายเจ้า”
“ยินดีนัก เจ้ามีน้ำใจ๋แต๊ๆบัวเงิน”
ศิริวัฒนายิ้มอย่างดีใจ ที่เห็นบัวเงินเข้าใจการมาของมณีริน
+ + + + + + + + + + + +
เรือนมณีริน อยู่อีกฝั่งในอาณาเขตคุ้มเจ้าหลวง...
คำเที่ยง ใช้ไม้สอยขย่มกิ่งมะยมให้ผลร่วงลงมาที่พื้น พวกบริวารวงแตกเพราะผลไม้ไม่ได้ร่วงลงมาอย่างเดียว แต่รังมดแดงยังแตกและร่วงลงมากัดเอาอีกด้วย
“ตายแล้ว ตายๆ”
คำเที่ยงกระโดดเหยงๆปัดมดเป็นระวิง กระพือผ้าซิ่น ศิริวัฒนา เดินนำบัวเงินและเม้ยเข้ามามองอย่างยิ้มขำ บัวเงินเข้าใจผิดว่าคำเที่ยงคือมะณีริน ยิ้มเย้ยสมเพช
“อีเม้ย”
“เจ้าขาหม่อม”
“แต๊ดังคำมึงว่า นังนี่มันน่าสมเพชนักขนาด กิริยาไพร่แต๊ๆ ถ้ากูเดาบ่ผิด กูว่ามันเกิดปีวอก”
“เม้ยก็ว่าจะอั้นเจ้าค่ะห่อม บ่ใช่วอกเฉยๆโตย แต้เป็นวอกดำ”
บัวเงินกับ เม้ยแอบขำกันสะใจ
“คำเที่ยง”ศิริวัฒนาเรียก
คำเที่ยงกำลังปัดมดอลหม่าน หันมาเห็นศิริวัฒนา รีบคุกเข่าลงหมอบกราบบริวารต่างลงกราบกันถ้วนหน้า
“เจ้า”
“นายเจ้าอยู่บนเฮือนก๊า”
บัวเงินชงัก ต้องมีความผิดพลาดบางอย่างแน่
“เจ้านางน้อยอ่านหนังสือฝรั่งอยู่เจ้า”
ศิริวัฒนาจะขึ้นเรือน มณีรินออกมาพอดี ศิริวัฒนาชะงัก ยิ้มให้ มณีรินทรุดตัวลงกับพื้น กราบศิริวัฒนา
“คำเที่ยงบอกว่า เจ้านางน้อยอ่านหนังสืออยู่ หนังสืออะหยัง”
“ตำราฮีสทรียุโรปเจ้า”
“จะไดเจ้านางน้อยถึงสนใจประวัติศาสตร์ยุโรป”
“ข้าเจ้าอยากฮู้ว่า จะไดประเทศที่ฮ้องตัวเองว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ถึงต้องล่าบ้านเล็กเมืองน้อยเป็นเมืองขึ้น อาณานิคมของเปิ้นเจ้า แล้วจะไดจึงมากำหนดว่าเฮาเป็นประเทศด้อยพัฒนา ความเจริญ วัดกันด้วยสิ่งใด ข้าเจ้าใคร่ฮู้”
ศิริวัฒนามองยิ้มอย่างชื่นชมในสติปัญญาใฝ่รู้ของมณีริน
“เจ้านางน้อยลุกขึ้นเต๊อะ”
ศิริวัฒนาเข้าประคองมาณีริน ให้ลุกขึ้น บัวเงินจ้องมองตาขุ่น เมื่อเห็นความอ่อนโยนที่ศิริวัฒนามอบให้มณีริน
“นี่บัวเงิน...เจ้านางน้อยฮู้จักเอาไว้เสีย”ศิริวัฒนาแนะนำ
มณีรินยิ้มให้และยกมือไหว้ บัวเงินปั้นยิ้มอย่างยากลำบาก แต่ก็ปั้นได้อย่างแนบเนียน รับไหว้มณีริน คำเที่ยงกระถดเข้ามาคุกเข่ายุ่ข้างมะณีริน หน้าตายิ้มแย้มรับแขก
“นี่นังคำเที่ยง พี่เลี้ยงเจ้านางน้อยเปิ้น ติดตามกันมาแต่เชียงตุง”
คำเที่ยงไหว้บัวเงิน
“นั่นนังเม้ย ฮู้จักกันไว้เสีย วันข้างหน้า มีธุระปะปังอันใดจะได้เรียกหากันถูก ไปเข้าไปคุยกันบนเฮือนเต๊อะ”
ศิริวัฒนานำมณีรินกับ บัวเงินขึ้นเรือน คำเที่ยงไหว้เม้ย ยิ้มให้
“สวัสดีเจ้า พี่เม้ย”
เม้ยไม่รับไหว้ แถมทำหน้ายักษ์ใส่
“ผู้ใด เป็นพี่มึง อีวอก”
คำเที่ยงอึ้งชะงักตั้งรับไม่ทัน เม้ยรีบตามบัวเงินไป
เมื่อขึ้นไปบนเรือน ศิริวัฒนาหันไปบอกมณีริน
“บัวเงิน เปิ้นเป็นญาติห่างๆของ เจ้าแม่เปิ้น ต้นตระกูลเปิ้นกินเมืองแป้ เจ้าแม่เปิ้นฮับโตบัวเงินมาอยู่ในคุ้มนี่ได้เมินหลายปีแล้ว บัวเงินเปิ้นดูแลผ้าผ่อนของพี่ของเจ้าหลวงเจ้าแม่ทั้งหมด เปิ้นทอผ้าเก่งขนาด ในคุ้มนี้บ่ต้องจ้างบ่ต้องไหว้วานหื้อนอกคุ้มทอหื้อเลย”
เม้ยคลานเข้ามานั่งที่พื้นประกบบัวเงิน คำเที่ยงตามเข้ามาประกบมณีริน บัวเงินยิ้มภูมิใจในตัวเองได้ไม่เต็มที่ นางคอยจับตามองมะณีรินไม่วางตา
“ข้าเจ้าตำหูกพอเป็นเล็กน้อย วันหน้าวันหลัง คงต้องรบกวนพี่บัวเงินสอนวิชา ตำหูกล้านนาหื้อ”
“ยินดีนัก เจ้านางน้อยใคร่จะเฮือนวันใดก็ตามแต่สะดวกเน้อ” ศิริวัฒนายิ้มขำ
“ตกลง ผู้ใดเป็นพี่ ผู้ใดเป็นน้อง บัวเงิน...น้องเกิดปีมะโรงใช่ก๊า ถ้าพี่จำบ่ผิด”
“เจ้า...ปีมะโรง...งูใหญ่เจ้า”
“เจ้านางน้อย เกิดปีมะเมีย จะอั้นเจ้านางน้อยก็อ่อนกว่าน้องสองปีเชียวนะบัวเงิน”
บัวเงินปั้นยิ้ม ทั้งๆที่ใจลุกเป็นไฟเมื่อรู้ว่ามณีรินเด็กกว่ามาก
+ + + + + + + + + + + +
บัวเงินกลับเรือนมาอย่างหงุดหงิด แล้วพาลบัวเงินถีบเม้ยจนหงายหลัง
“อูย...หม่อมเจ้าขา จะไดมาถีบเม้ย”
บัวเงินคว้าข้าวของเขวี้ยง เข้าใส่
“มึงขี้จุ๊กูได้จะไดอีเม้ย”
“เม้ยขี้จุ๊อะหยัง หม่อมเจ้าคะ”
“มึงเอิ้นว่าอีขึนเชียงตุง อัปลักษณ์ น่าชังได้จะได”
“เม้ย...เม้ย ดูคนผิดไปเจ้า นึกว่าอีตัวบ่าวที่ชื่อคำเที่ยง เป็นมณีรินเจ้า”
“จ้าดง่าว”
“แต่มันก็บ่ได้งามหยาดฟ้ามาดินจักเท่าใดนะเจ้าหม่อม หม่อมของเม้ยงามกว่านัก งามสง่ากว่าผู้ใดในเจียงใหม่ ไล่ไปถึงลำพูนลำปางปุ๊น”
“หุบปากของมึง อีเม้ย มึงบ่หันสายตาที่เจ้าอ้ายของกูเปิ้นมองมันก๊า...วินาทีแรกที่กูหันหน้ามันกูก็ฮู้แล้ว ว่าอีมณีริน มันเกิดมาเพื่อเป็นมารชีวิตกู”
บัวเงินในปัจจุบัน นั่งหน้าเคียดแค้นอย่างน่ากลัว...
“ถ้ามึงกึ๊ดว่า มึงปิ๊กมาเพื่อจะสมหวังในชาตินี้ มึงก็ฝันไปเต๊อะอีมณีริน กูจะจองล้างจองผลาญมึงให้วอดวาย ยิ่งกว่าชาติที่แล้วของมึงอีก”
+ + + + + + + + + + + +
วันดารามองข้อมือเรรินที่เป็นรอยไหม้ดำ อย่างพินิจพิเคราะห์เหมือนเจอสิ่งเหลือเชื่อเหนือธรรมชาติ
“เจ็บก่อ คุณริน”
“เจ็บค่ะ เจ็บแสบๆ เหมือนถูกน้ำมันร้อนๆ”
“ผมทายาให้หน่อยนึงแล้วครับ ไม่ดีขึ้นยังไง พรุ่งนี้ต้องให้หมอดูให้อีกทีนะครับคุณริน”
วันดารามองแผลอีกครั้ง
“คุณรินไปถูกพิษแมลงอะไรเข้ารึเปล่าเจ้า”
“พี่วันคะ รินถูกผีหลอกจริงๆ มันจับแขนรินเอาไว้แน่น แล้วก็บอกว่าจะเอารินไปด้วย”เรรินยืนยัน วันดารากับสุริยวงศ์ มองหน้ากัน
“พี่วันก็ไม่เชื่อรินเหมือนกันใช่มั้ยคะ”
“คุณรินไปพักผ่อนก่อนเต๊อะเจ้า วันพูกพี่จะพาไปกราบตุ๊เจ้าจันทะริน ทำบุญเสียจะได้เป็นศิริมงคล เรื่องร้ายๆจะได้กลายเป็นดี”
เรรินได้แต่นิ่งไปที่ดูเหมือนจะไม่มีใครเชื่อเธอ เรรินเข้ามาในห้องพักวางถุงย่ามลง แล้วหันไปหยิบโทรศัพท์ที่ไม่ได้เอาติดตัวไปด้วยขึ้นมากดดู เห็นเบอร์พรรณวรินทร์ ที่เป็นมิสคอล ปรากฏขึ้นในจอหลายมิสคอล
“แม่...”
เมื่อคิดได้ เรริน กดโทรศัพท์หาพรรณวรินทร์ทันที พรรณวรินทร์กดรับโทรศัพท์พูดเสียง เครียด
“ริน...ทำไมไม่รับโทรศัพท์ แม่โทรหารินทั้งวัน เป็นร้อยๆครั้งแล้วรู้มั้ย
“รินขอโทษค่ะแม่ รินไม่ได้เอาโทรศัพท์ติดตัวไป
“จะบ้าตาย ปล่อยให้เราเป็นห่วง จนจะกินจะนอนไม่ได้อยู่แล้ว คิดไปสารพัดว่าจะมีเรื่องภัยอะไรเกิดขึ้นกับเรา”
“รินไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่”
“เราไม่เป็นไร แต่คนอื่นเค้าเป็น ธนินทร์เค้าโกรธมากนะ บอกแม่มาเดี๋ยวนี้ว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร…”
“แม่พูดถึงอะไรค่ะ ผู้ชายที่ไหน”
“ยังจะมาย้อนถามแม่อีก อย่าลืมนะริน ธนินทร์เค้าเป็นคู่หมั้นของลูก จะทำอะไร คิดให้รอบคอบนึกถึงหัวจิตหัวใจคนอื่นเขาให้มากๆ นับถือศักดิ์ศรีของตัวเองให้มากๆอย่างน้อยก็เห็นแก่หน้าแม่บ้าง”
เรรินมึนตึบแต่ก็ปะติดปะต่อทุกอย่างได้
“แม่คะ ถ้าแม่หมายถึงคุณสุริยวงศ์ รินบอกแม่ได้เลยว่ารินกับเค้าไม่ได้มีอะไรกัน อย่างที่แม่หรือใครๆคิด”
“ถ้าอย่างนั้นก็กลับกรุงเทพฯมาได้แล้ว อย่าให้อะไรๆ มันเลวร้ายลงไปกว่านี้เลย”
“รินยังกลับไปตอนนี้ไม่ได้หรอกค่ะแม่ รินมีธุระที่สำคัญที่จะต้องทำให้เสร็จก่อน”
“ธุระอะไรมันจะสำคัญหนักหนา”
“เอาเถอะคะแม่ รินคิดว่าคงไม่นานหรอก เสร็จธุระแล้วรินจะกลับไปเอง แม่ไม่ต้องห่วงรินปัญหาของรินกับธนินทร์ รินคิดว่า รินมีทางออกแล้ว เท่านี้ก่อนนะคะแม่ สวัสดีค่ะ”เรรินกดปิดโทรศัพท์ทันที
“ริน...ริน... ฮัลโหล”
เรรินถอนใจ ทุกอย่างเหมือนทะลัก ประดังประเดเข้ามา ให้ตั้งตัวไม่ทัน
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์เครียด กังวล วันดาราที่นั่งคุยอยู่ด้วยพูดขึ้นเรียบๆ
“เรื่องลี้ลับมากมายที่มีอยู่ในโลกนี้ ถ้าไม่เจอเข้ากับตัวเอง มันก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อเน้อ สุริยะ พี่ว่าคุณรินเปิ้นบ่ได้จุ๊ดอก”
“ผมก็บ่ได้กึ๊ดว่าคุณรินเปิ้นจุ๊ แต่ผมสงสัยมากกว่า ว่าเปิ้นไปยะอะหยังแถวนั้น เปิ้นเหมือนบ่ยอมบอกเหตุผลแต๊ๆของเปิ้ล”
“อะหยังก็จ้างเต๊อะ พี่กึ๊ดว่าคุณรินเปิ้นบ่ได้กึ๊ดจะยะอะหยัง ที่เป็นเรื่องบ่ดีบ่งามก็แล้วกั๋น”
สุริยวงค์ ถอนหายใจ
“พี่วันครับ...พี่วันว่าผมทำผิดก่อ ผมบอกฮักคุณรินเปิ้นไปแล้ว”
“โตกึ๊ดว่ามันผิดจะใด”
“มันอาจจะเร็วเกินไป คุณรินเปิ้นอาจจะบ่ได้กึ๊ด หรือฮู้สึกอะหยังกับผมเลยก็ได้” วันดารายิ้ม
“โตถึงมานั่งถอนใจ๋อยู่จะอี้ สุริยะเจื้อปี้เต๊อะ ความฮักอะ บ่มีอะหยังผิดดอก เพราะความฮักบ่ทำร้ายผู้ใด๋ ถ้าจิตใจ๋ โตร้อนรน หม่นหมอง มันบ่ใจ่ความฮักเน้อสุริยะ”
“ผมบ่สบายใจ เพราะผมฮู้บางอย่างเกี่ยวกับคุณรินมาครับพี่วัน”
“อะหยัง”
“คุณรินเปิ้นมีคู่หมั้นของเปิ้นอยู่แล้วครับพี่วัน”
“พุทโธ ธัมโม สังโฆ” สุริยวงศ์นิ่งเครียดอย่างกังวลใจ
(อ่านต่อหน้า 2)
ตอนที่8 (ต่อ)
ในผับ นักเที่ยวกินดื่มกันอยู่ มากมาย สรัญญานั่งอยู่มุมหนึ่งกับเพื่อนๆ ธนินทร์เดินเข้าไปคว้าตัวสรัญญา ออกมาจากกลุ่ม
“จับเบาๆก็ได้ แขนจะหลุดอยู่แล้ว”
“โทรหาแล้วทำไมไม่รับ”
“เสียงดังขนาดนี้ ใครมันจะได้ยิน ต๊าย ความรักมันช่างมีอานุภาพ อยู่ไกลขนาดไหนก็ต้องดั้นด้นมาจนได้”สรัญญาหัวเราะ
“ไอ้บ้านั่นมันเป็นใคร อยู่ที่ไหน บอกมาเดี๋ยวนี้”
“ถ้ารู้แล้วคุณจะทำยังไงกับเขา”
“ถามโง่ๆ”
“ไม่กลัวเจอตอเข้ารึไง เค้าเป็นเจ้าถิ่นนะ คงจะมีอำนาจมีอิทธิพล ในเชียงใหม่นี้ไม่น้อยละ”
“กูไม่กลัวมันหรอก”
“คุณโกรธใครกันแน่ ธนินทร์ คู่หมั้นคุณหรือผู้ชายคนใหม่ของรินเขา”
“ยังไงมันก็ระยำ ด้วยกันทั้งคู่นั่นแหละ”
“คุณสุริยะเขาอาจ จะซื่อ บริสุทธิ์ไม่รู้ความจริงก็ได้ ว่ารินเขามีว่าที่สามีเป็นคุณอยู่แล้ว”
“มันชื่ออะไรนะ”
“สุริยวงศ์”
ธนินทร์ตาขวาง เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน
+ + + + + + + + + + + + +
นาฬิกาบอกเวลา ตีห้ากว่าๆ สุริยวงศ์พลิกตัวมา เขายังลืมตาเพราะไม่อาจข่มให้หลับลงได้ สุริยวงศ์นึกถึงสิ่งที่เขาได้คุยกับวันดาราเมื่อคืน
‘…ผมควรจะยะจะใดดีพี่วัน ผมควรจะถามคุณรินเปิ้นตรงๆ หรือว่าควรจะถอยออกมาเลิกยุ่งเกี่ยวผูกพันกับเปิ้นดี’
‘ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีเหตุมีผลของมันเสมอสุริยะ คุณรินเปิ้นก็ต้องมีเหตุผลของเปิ้นเหมือนกัน เปิ้นถึงบ่อู้เรื่องนี้ ถ้าเปิ้นรังเกียจโต บ่อยากฮื้อโตเข้าไปวุ่นวายกับชีวิตเปิ้น เปิ้นก็คงบอกโตตามตรงไปแล้วว่าเปิ้นมีคนฮักอยู่แล้ว’
‘หรือผมบ่ควรเชื่อคำพูดของคนอื่น’
‘ก็ใช่...เปิ้นต้องการอะหยังถึงมาพูดจะอั้น ความฮักเป็นเรื่องของคนสองคนที่จะต้องเรียนรู้กันไปเน้อสุริยะ ความฮักที่แต๊ คือความหวังดี อยากหื้อคนที่เฮาฮักมีความสุข บ่ใช่ต้องการหื้อตัวเองสมหวังอยู่คนเดียว ในเมื่อฮักเปิ้นไปแล้วก็ฮักไปเต๊อะ บ่ต้องกั๋วดอก ความผิดหวัง’
เสียงนาฬิกาบอกเวลาหก โมงเช้าดังขึ้น สุริยวงศ์ที่ยืนมองแสงสว่างแรกของวันอยู่ที่หน้าต่าง หันกลับมาแล้วเดินมาหยิบถ้วยกาแฟ ออกจากเครื่องชง เขายกกาแฟขึ้นจิบ พยายามตัดความกังวลทั้งหมดทิ้ง เขาตั้งใจมั่นกับความรัก และบอกตัวเอง ว่าจะไม่หวั่นไหวต่อสิ่งใดทั้งสิ้น
+ + + + + + + + + + + +
เรรินเดินออกมาจากห้องพัก แล้วต้องชะงักเมื่อเห็นสุริยวงศ์นั่งคอยอยู่มุมหนึ่ง สุริยวงศ์หันมาเห็นเรรินยิ้มให้แล้วลุกขึ้นเดินเข้ามาหา ในมือของเขาเต็มไปด้วยดอกปีบ ที่อุตส่าห์เก็บมาให้
“ทำไมมาเช้าจังเลยคะ ได้นอนมั่งรึป่าว”
“ผมเป็นห่วงคุณรินทั้งคืน จนนอนไม่หลับหรอกครับ”
เรรินรู้สึกดีจนพูดไม่ออก
“เจ็บแผลมากมั้ยครับ”
“นิดหน่อยคะแต่พอทน นี่ฉันต้องเตรียมอะไรไปบ้างคะ”
“ไม่ต้องหรอกครับ พี่วันคงเตรียมเอาไว้หมดแล้ว”
“ฉันเหมือนเป็นภาระของทุกคนเลย”
“อย่าคิดอย่างงั้นสิครับคุณริน ถึงเราจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่คุณรินก็เหมือนเป็นคนในครอบครัวของเราคนนึงนะครับ”
สุริยวงศ์ยื่นกำดอกปีบให้ เรรินมายิ้มแย้ม
“ขอบคุณค่ะ” วันดาราโผล่มาพอดี
“สุริยะ พาคุณรินเปิ้นมากินข้าวเช้าก่อน เดี๋ยวจะได้ไปกัน...”
เรรินยิ้ม รู้สึกอบอุ่น สนิทใจอย่างไม่มีอะไรเคลือบแฝง
+ + + + + + + + + + + +
ตุ๊เจ้าจันทะรินนั่งขัดสมาธิอยู่ในกรรมฐานสงบนิ่ง เรรินนั่งอยู่ข้างสุริยวงศ์และวันดารา รอคอยจดจ่อ
ตุ๊เจ้าค่อยๆลืมตาขึ้นออกจากกรรมฐาน แล้วมองมาที่เรริน
“ค่ำมืดดึกดื่นอย่าออกไปไหนมาไหนคนเดียว มีคนคิดมุ่งร้ายโยมอยู่”
“เป็นไปได้ยังไงคะ ดิฉันไม่เคยมีศัตรูที่ไหน”เรรินถามอย่างแปลกใจ
ตุ๊เจ้าจันทะรินเอื้อมไปหยิบบางสิ่ง ออกมาจากถุงย่ามข้างตัวแล้วยื่นมือออกมา
“คุณรินรับของจากท่านครับ”สุริยวงศ์กระซิบบอก
เรรินแบมือยื่นออกมา ตุ๊เจ้าจันทะรินหย่อนพระเครื่ององค์เล็กลงใส่มือเรริน
“เก็บรักษาเอาไว้กับโตหื้อดีๆ อำนาจพุทธคุณจะช่วยปกปักรักษา ที่หนักหนาจะผ่อนเป็นเบาได้บ้าง”
“แล้วเคราะห์จะหมดไปก่อเจ้า ตุ๊เจ้า”วันดาราถามอย่างไม่สบายใจ
“กรรม...มันเป็นเรื่องของกรรม อย่างใดก็หนีบ่พ้น ทุกอย่างเป็นไปตามกระแสแห่งกรรม ที่ผูกพันทุกผู้ทุกคนเอาไว้ด้วยกัน”
เรรินอึ้งไป
“บ่มีอะหยังจะแก้ไขได้ นอกจากครองสติหื้อมั่นคง ผู้ใดจะคิดร้ายอย่างได ก็จงหื้ออภัย จักไดบ่ต้องเป็นเวรเป็นกรรมต่อกันไปอีก จำไว้เน้อโยม อภัยทานเป็นทานอันใหญ่บ่แพ้การทำทานอะหยังเลย”
เรรินประนมมือขึ้นสูง รับพรและคำสอน
+ + + + + + + + + + + +
บ่าวเดินมาถึงหน้าห้องบัวเงิน ที่ยังปิดประตูอยู่ จะยกมือขึ้นเคาะประตู แต่ต้องชะงักเพราะได้ยิน
เสียงพูดคุย
บัวเงินนั่งอยู่ที่เตียง ผมหงอกขาวยาวยังไม่มวยเก็บผม ผีอีเม้ยหมอบอยู่ที่พื้นตรงหน้า
“จะไดมึงบ่ตามมันเข้าไป”
“บ่าวเข้าไปบ่ได้มันเป็นวัด”
บ่าวแปลกใจค่อยๆแง้มประตู...มองเข้าไปแต่เห็นแต่บัวเงินนั่งพูดอยู่คนเดียว
“มึงน่าจะหักคอมันตั้งแต่เมื่อวานปล่อยหื้อมันมาเป็นหนามทิ่มตำหัวใจของกูอยู่ได้”
“หม่อมเจ้าขา...โอกาสของเรายังมีอีกเยอะ...หม่อมบ่ต้องกั๋ว”
“อีมณีรินมันกำลังหัวเราะเยาะกู”
บ่าวเปิดประตูเข้ามา บัวเงินหันขัวบมามอง
“มึงเข้ามายะหยังผู้ใดเรียกมึง”
“ข้าเจ้าแค่จะมาถามแม่คุณ ว่าอาหารเช้าจะหื้อยกเข้ามาในนี้เลยก่อเจ้า”
ผีอีเม้ยยังอยู่ที่เดิมแต่บ่าวไม่เห็น
“กูบ่หิว”
“แต่บ่าวหิวนะเจ้าหม่อมเจ้าขา” ผีอีเม้ยรีบบอก
“มึงทำงานหื้อกูบ่สำเร็จมึงบ่ต้องกิน กูบ่หื้อมึงกิน”
บ่าวงงๆขยับเลี่ยงไปแทบจะเหยียบผีอีเม้ย เพื่อไปเปิดหน้าต่าง ผีอีเม้ยขุ่นใจ บ่าวผลักบานหน้าต่างให้แสงสว่างเข้ามาแล้วเดินไปที่ตู้ผ้า
“แม่คุณจะนุ่งซิ่นตัวใดเจ้า”
บ่าวเปิดตู้บานทึบที่เก็บผ้าจะเลือกผ้าให้บัวเงินใส่
“ผืนนี้กับเสื่อตัวนี้ได้ก่อเจ้า”
บ่าวดึงซิ่นออกมาหยิบเสื้อที่แขวนอยู่ออกมา ผีอีเม้ยอยู่ในตู้ จ้องตาถลน ถ่มน้ำลายใส่หน้าบ่าว
บ่าวรู้สึกว่า มีน้ำเหนียวๆปะทะหน้า เอามือป้ายออกมาดู เหม็นเน่าสุดๆ เงยหน้ามองเข้าไปในตู้อีกที
เผชิญหน้ากับผีอีเม้ยในตู้ระยะประชิด บ่าวช็อกตาค้าง ผีอีเม้ยอ้าปากเหมือนจะงับหัว บ่าวสติแตกช้อกหงายหลังผึงหมดสติ
+ + + + + + + + + + + + +
วงพระจันทร์เดินลุยเข้ามาถึงรีเซปชันที่รีสอร์ท
“สวัสดีครับ เช็คอินก่อนครับจองไว้ล่วงหน้าก่อครับ”พนักงานถาม
วงพระจันทร์หันมาตวาดแว๊ด
“ไอ้บ้า แกจำฉันไม้ได้รึไงฉันเป็นแฟนคุณสุริยวงศ์ น้องสะใภ้เจ้านายแก”
“อ๋อ...จำบ่ได้ครับ”
“ไอ้บ้า”
“สุมาเต๊อะครับผมจำบ่ได้แต๊ๆ คุณมาหาผู้ใดครับเอื้อยวันดาราบ่อยู่”
“แขกที่ชื้อเรรินพักอยู่ห้องไหน”
“คุณมีธุระอะหยังกับเปิ้นครับ”
“ไม่ใช่เรื่องของแก ฉันถามแค่ว่าพักอยู่ห้องไหน โทรเรียกตัวออกมาซิ”
“คุณรินเปิ้นบ่อยู่ครับ ออกไปกับเอึ้อยวันดารา กับอ้ายสุริยะแต่เช้าแล้ว”
วงพระจันทร์อึ้งแปลกใจ
“ไปไหนแล้วจะกลับมาเมื่อไร”
“ผมบ่ฮู้ดอกครับเรื่องส่วนตัวของเปิ้น”
“นี่แกด่าฉันว่าสาระแนกับเรื่องของคนอื่นงั้นเหรอ”
“บ่ครับ...บ่...คุณพูดเองแต๊ๆผมยังบ่ได้พูดซักคำ โน่นแน่ะครับกลับกันมาโน่นแล้ว”
วงพระจันทร์หันกลับไปมอง รถสุริยวงศ์เข้ามาจอด วงพระจันทร์ยืนปั้นหน้ายักษ์ นึกว่าทุกคนจะเข้ามา
“คุณรินมานั่งหน้านี่เต๊อะ”
วันดารากับเรรินลงจากรถ เรรินเปลี่ยนมานั่งแทนวันดารา
“อย่ากลับหื้อดึกดื่นนักเน้อคุณริน จะไปไหนก็หื้อสุริยะไปส่งเน้อ”
วงพระจันทร์ตาค้างเห็นเรรินขึ้นไปนั่งข้างสุริยวงศ์
“ขอบคุณค่ะพี่วัน”
วันดาราปิดประตูให้ สุริยวงศ์ถอยรถ วงพระจันทร์รีบพรุ่งเข้าไปทันทีแต่ก็ไม่ทัน
“สุริยะ...สุริยะ...วงพระจันทร์ยืนอยู่ทนโท่ตรงนี้ไม่เห็นกันรึไง”วงพระจันทร์โวยวาย
“พี่เองยังบ่หันโตเลยวงพระจันทร์”
“แกล้งทำเป็นไม่เห็นละมากกว่า”
วันดาราไม่ค่อยพอใจนัก
“โตมีธุระอะหยังก่อ”
“อีนังคนนั้นเมื่อไหร่ มันจะเช็กเอาท์กลับกรุงเทพฯไปซะที”
“พี่ก็บ่ฮู้เน้อในเมื่อเปิ้นเต็มใจจะอยู่ที่นี่ อยู่แล้วสบายอกสบายใจ๋พี่ก็ยินดีต้อนฮับเปิ้นจะอยู่ตลอดไปยังได้เลย”
“พี่วันรู้เห็นเป็นใจ อยากจะได้มันมาเป็นน้องสะใภ้จนตัวสั่นขนาดนี้เลยรึไง”
“เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของสุริยะ เปิ้นพี่เป็นพี่ น้องชายพี่ฮักผู้ใดพี่ก็ฮักคนคนนั้นเหมือนกัน”
“อีบ้านี่มันมีอะไรดี”
“ถ้าโตมีสติกว่านี้ ค่อยๆกึ๊ดค่อยๆผ่อโตจะหันเองว่าคุณรินเปิ้นมีอะหยังดีบ้างหันบ่ยากดอกวงพระจันทร์”
วันดาราจะเดินเข้าข้างใน
“มันรู้จักคนอย่างวงพระจันทร์น้อยไป”
วันดาราชะงักหันมามองวงพระจันทร์
“โตกินข้าวแล้วก๊าไปกินข้าวแลงกับพี่ก็ได้ โตเสียงดังจะฮี้แขกของพี่เปิ้นบ่เข้าใจดอกว่าโตโมโหหิวเปิ้นจะนึกว่าคนบ้าหลุดมาอาละวาดแถวนี้เปล่าๆ”
วันดารายิ้มให้เย็นๆก่อนจะเดินเข้าไป วงพระจันทร์ยิ่งกรีดร้องเสียงดังกว่าเดิม
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์คล้องของที่ตุ๊เจ้าจันทะรินให้เรริน มาใส่ในสร้อยเงินเส้นเล็กที่เรรินเลือกแล้ว
“เรียบร้อยแล้วครับจะให้ผมช่วยใส่ให้ไหมครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะฉันคิดว่าฉันใส่เองได้”
เรรินรับสร้อยเงินเส้นนั้นมาใส่เอง สุริยวงศ์ควักกระเป๋าตังค์ออกมาจะจ่ายเงินให้
“ตะใดนะครับ”
“หกร้อยห้าสิบเจ้า”
เรรินรีบหันมาทันที
“ฉันจ่ายเองค่ะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับคุณริน”
“กรุณาละค่ะฉันไม่ต้องการรบกวนใคร”
“ถือซะว่าเป็นที่ระลึกจากผมก็แล้วกัน แล้วผมจะไม่รบกวนอะไรคุณรินอีกเลยกรุณารับไว้เถอะนะครับ”
เรรินจำยอม สุริยวงศ์หันไปจ่ายเงิน
+ + + + + + + + + + + +
สุริยวงศ์พาเรรินมานั่งดื่มกาแฟ ที่ร้านใกล้ๆร้านเครื่องประดับที่ซื้อสร้อย
“คุณรินจะไปไหนต่อครับ”
“ฉันมีธุระต้องไปทำนิดหน่อยค่ะ”
“แถวไหนครับ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“ฉันขอไปเองค่ะ”
“คุณรินจะไปยังไง”
“เมื่อกี้คุณพูดเองนะคะ ว่าจ่ายค่าสร้อยให้ฉันแล้วคุณจะไม่รบกวนอะไรฉันอีก”
สุริยวงศ์อึ้งไปแอบน้อยใจนิดๆ
“ถ้าคุณรินคิดว่าสิ่งดีๆที่ผมอยากทำให้คุณรินเป็นเรื่อง รบกวนให้คุณรินรำคาญ ผมก็เสียใจครับ”
เรรินมองสงสารสุริยวงศ์เหมือนกัน
“คุณจำได้ไหมคะคุณสุริยวงศ์ ฉันเคยบอกคุณว่า คุณยังรู้จักตัวตนของฉันน้อยเกินไป ฉันไม่อยากให้คุณรู้สึก อะไรต่อฉันมากไปกว่านี้เพราะไม่อย่างนั้นฉันจะเหมือนเป็นคนโกหกหลอกลวงคุณ ฉันไม่มีอิสระพอที่จะเปิดใจรับรักใครในตอนนี้ได้หรอกค่ะ คุณสุริยวงศ์ ฉันมีคู่หมั้นอยู่แล้ว...อย่างเก่งเราก็เป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้น”
“คุณริน...ผมรู้เรื่องที่คุณมีคู่หมั้น อยู่แล้วตั้งแต่เมื่อวาน ผมถามตัวเองมาทั้งวันทั้งคืนว่าควรจะทำยังไงดี ถึงตอนนี้ ผมแน่ใจว่า ผมได้คำตอบสำหรับตัวผมเองแล้ว ใครจะว่าผมเป็นคนเห็นแก่ตัวก็ช่าง...ถึงแม้ว่าผมจะเป็นคนรักคุณริน ข้างเดียว ผมก็ยินดีครับ ไม่ว่ามันจะต้องเจ็บปวดยังไง ถึงผมจะไม่ได้รับความรักตอบจากคุณรินเลยผมก็ยอมครับ”
เรรินอึ้งเครียดไปทันที สุริยวงศ์ยังมองเรรินสงบนิ่ง ทั้งคู่จมอยู่ในความเงียบ นิ่งและนาน สักครู่พนักงานเดินผ่านมา เรรินเรียกไว้
“น้องคะ เก็บตังค์ด้วยค่ะ”เรรินหันไปหาสุริยวงศ์ “กาแฟมื้อนี้ให้ฉันเป็นคนเลี้ยงตอบแทนคุณ
บ้างนะคะ”
เรรินหยิบเงินออกมาจ่ายค่ากาแฟ แล้วลุกขึ้นเดินออกไป สุริยวงศ์ยังปักหลักนั่งอยู่ที่เดิม นึกไม่ออกว่าระหว่างเขาและเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป
เรรินเดินแยกออกมาอย่างลำบากใจ...ถ้าไม่มีห่วงผูกคออยู่เธอคงจะรับรักเขาได้ มากกว่านี้
+ + + + + + + + + + + +
ธนินทร์มาที่ร้านกาสะลองเห็นป้ายที่ประตูกระจกติดไว้ว่า ปิด...เปิด evening time 16:00 ธนินทร์ เข้ามาทุบประตู อย่างไม่เกรงใจชุดใหญ่ พนักงานในร้านรีบเข้ามา
“ร้านเปิดสี่โมงเย็นครับ”
“ก็กูจะกินตอนนี้นี่หว่า...เปิดประตู”ธนินทร์ทุบประตู
“คุณกลับมาตอนเย็นดีกว่ามังครับ ครัวปิดบ่มีอะหยังเสริฟดอกครับ”
“งั้นกูจะสั่งเบียร์ มึงอย่าบอกว่าไม่มีนะ”
พนักงานที่อยู่เพียงคนเดียวเลยจำใจเปิดประตูให้ธนินทร์ ธนินทร์เดินอาดๆเข้ามา
“เจ้านายมึงอยู่ไหน”
“ผู้ใดครับ”
“กูถามว่าเจ้าของร้านอยู่ไหน”
“คุณสุริยวงศ์เปิ้นยังบ่ได้เข้ามาครับ”
“งั้นกูจะคอย”
ธนินทร์นั่งลงมุมนึง พนักงานกลัวๆเสี่ยงออกไป
+ + + + + + + + + + + +
เรรินเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าประตูรั้วของคุ้มเจ้าหลวงที่ปิดสนิทมีป้ายหน้าประตูรั้ว บอกวันและเวลาทำการ และ “หยุดวันพุธ”เรรินอึ้ง...
“ทำไมต้องมาหยุดวันนี้ด้วย”
เรรินถอยออกมาครุ่นคิดยังไงก็ต้องหาทางเข้าไปข้างในให้ได้ ขณะเดียวกันนั้นรถยนต์คันนึงที่วิ่งอยู่ในเลนฝั่งตรงข้ามดีๆ แต่พอเห็นเรรินยืนอยู่ข้างถนน คนละฝั่งจู่ๆพวงมาลัยกลับแข็งขืนรถพุ่งตรงเข้าไปหา เรรินเอาดื้อๆคนขับตกใจรีบกดแตร เรรินตกใจหันมาเห็นรถที่พุ่งเข้ามา รีบหลบทันที รถหักหลบและเป๋ไปเป๋มา เหมือนคนขับเมา เรรินขวัญหนีดีฝ่อ ผีอีเม้ย ร่างเลือนๆซ้อนทับอยู่กับต้นไม้ใหญ่มองอย่างขัดใจ
เรรินเดินเลียบแนวกำแพงมาเรื่อยๆมองช้ายมองขวา เธอเห็นบัวซอนหิ้วถุงข้าวของพะรุงพะรังข้ามถนนมาจากอีกทาง เรรินจำบัวซอนได้
“บัวซอน...”เรรินตะโกนเรียก “บัวซอน”
บัวซอนหันกลับมา เรรินรีบเดินเข้าไปหา
“คุณนะเอง จะไดมาอยู่แถวนี้เจ้า”
เรรินหาคำตอบ แทบไม่ทัน
“ฉัน...ฉันมีธุระกับทางพิพิธภัณฑ์ นิดหน่อย น่ะจ้ะ”
“วันนี้พิพิธภัณฑ์ปิดบ่มีผู้ใดมาทำงานดอกเจ้า”
“ฉันแค่อยากถ่ายรูป คุ้มเจ้าหลวงซักสองสามมุม”
“บ่เมินใช่ก่อเจ้า”
“จ้ะ ไม่นานหรอก”
“ปกติคนในคุ้มบ่ได้ใช้ ประตูด้านหน้าดอกเจ้า ยังมีอักประตูนึงเดินไกลน่อยคุณจะไปกับข้าเจ้าก็ได้”
เรรินยิ้มดีใจ
“ขอบใจจ้ะบัวซอนขอบใจมาก”
บัวซอน ผลักประตู เล็กใต้ซุ้มประตู เรรินตามบัวซอนเข้ามา บัวซอนปิดประตู
“คุณจะไปทางโน้นก็ได้ แต่ทางมันรกหน่อย บ่ค่อยมีคนดูแล แต่ข้าเจ้าว่ามาทางเฮือนจ้านางมณีรินดีกว่า”
เรรินใจเต้นเมื่อได้ยินชื่อมณีริน บัวซอนเดินนำออกไป เรรินรีบตาม ผีอีเม้ย จะเดินก้าวทะลุซุ้มประตูตามเข้ามา หัวและครึ่งตัวของมัน ทะลุเข้ามาได้ครึ่งนึงแล้ว แต่เหมือนมีขวากลวดประจุไฟฟ้า ขวางมันเอาไว้
ผีอีเม้ยกรีดร้องอย่างเจ็บปวดโหยหวน และเหมือนถูกถีบเด้งกลับออกไปทันที ผีอีเม้ยบิดงออยู่กับพื้นใบหน้าเคียดแค้นใจ
บัวซอนเดินนำเรริน ผ่านด้านข้างเรือนมณีรินมา เสียงดนตรีดังกังวานขึ้นในใจเรรินเหมือนทะลุผ่านมาสู่อีกมิติหนึ่ง เรรินหยุดเดิน และแหงนมอง เรือนมณีริน ภาพความทรงจำกลับมาอีกครั้ง
เสียงฟืมกระทบกี่ทอผ้าดังขึ้น บริวารมณีริน ตากเส้นไหมสีสวยหวานที่เพิ่งย้อมเสร็จใส่ราวตากเส้นไหม บริวารอื่นๆกำลังย้อมผ้าบนเตาฟืนควันโชย
“เจ้านางน้อย วางมือก่อนเต๊อะ มากินข้าวกินปลาเสียก่อน เดี๋ยวก็เป็นลมเป็นแล้งคากี่ไปดอก”คำเที่ยงร้องเรียก
“เฮายังบ่หิวจักหน่อย”มณีรินตอบกลับไป
“บ่หิวก็ต้องกิ๋น”
“ให้จบลายสร้อยสาดอกนี้ก่อนเน้อพี่คำเที่ยง”
“จะไดถึงได้ดื้อปานนี้หนอ เจ้านางน้อยคำเที่ยงละอ่อนใจ๋แต๊ๆ จะหื้อป้อนข้าวไปทอผ้าไปก่อเจ้า”คำเที่ยงประชด
มณีรินหัวเราะเสียงสดใส
“ก็ดีเหมือนกันนะ จะได้บ่เสียเวลา”
ในปัจจุบัน...
บัวซอน เห็นเรรินยืนนิ่งจึงเรียก
“คุณเจ้า...คุณริน”
ภาพในอดีตค่อยๆเลือนหายไป เรือนมณีรินที่ทรุดโทรมในปัจจุบันกลับมาแทนที่ เสียงของบัวซอนยังคงดังแว่วมา
“คุณเดินตรงไปตามทางนี้นะเจ้า หันหลังคาคุ้มเจ้าหลวงอยุ่หลังแนวไม้ปุ๊นก่อ”
เรรินยิ้มให้
“ขอบใจนะจ๊ะ บัวซอน”
“คุณอย่าอยู่นานนักนะเจ้า เดี๋ยวพวกยามด้านหน้าจะตำหนิ ข้าเจ้าได้ ว่าปล่อยหื้อคุณเข้ามา”
“จ๊ะ เสร็จแล้วฉันจะรีบกลับออกมา”
บัวซอนแยกไปทางเรือนพัก เรรินมุ่งหน้าไปที่ตึกคุ้มเจ้าหลวง
เรรินเข้ามาในห้องทอผ้าที่มืดสลัว แสงสว่างจากช่องแสงสาดส่องไปที่กี่ทอผ้า เรรินเดินตรงเข้ามาที่กี่ทอผ้า ปลดถุงย่ามออกมาจากไหล่แขวนเข้าไว้กับเสากี่อีกมุมนึง และจะเข้านั่งในตำแหน่งทอผ้า แต่แล้วต้องซะงัก เมื่อเห็นดอกพุด สดๆเหมือนเพิ่งถูกเด็ดมาจากต้น ถูกวางไว้ตรงที่นั่ง เรรินหยิบขึ้นมาแล้วมองไปรอบห้องอย่างแปลกใจ
“ดอกเก็ดถะหวา”เสียงศิริวัฒนาดังขึ้น
เรรินหันกลับไป ตกใจ เมื่อหน้าภาพเขียนสีน้ำมันขนาดใหญ่มี ศิริวัฒนา ยืนอยู่ในแสงสลัว
“คุณ...”
“คุณชอบดอกเก็ดถะหวาที่ผมเก็บมาให้ไหม”
“ขอบคุณค่ะ สวยมาก หอมมากค่ะ”
“แต่คุณก็ชอบดอกไม้อย่างอื่นมากกว่า กลิ่นดอกเก็ดถะหวามันฉุนเฉียวเกินไป คุณเลยชอบ
ดอกกาสะลอง มากกว่า”
“คุณรู้ได้ยังไงคะ”
“ต่อให้ผ่านไปนานเพียงใด ผมก็ไม่มีวันลืมเลือนหรอก”
เรรินนั่งลงในตำแหน่งจะทอผ้า
“อีกนานไหม กว่าคุณจะทอผ้าผืนนี้เสร็จ”
“ผ้าตุ๊มผืนนี้ ไม่กว้างมากก็จริง แต่เจ้านางมณีรินท่านกลายไว้ค่อนข้างถี่ สีไหมเส้นยืนกับไหมดำที่ใช้จกก็ใกล้กันมาก ฉันคงต้องใช้สายตากับสมาธิดีๆ ถ้าเร่งทอหน่อยไม่น่าจะเกินสองอาทิตย์หรอกค่ะ”
ศิริวัฒนายิ้มเศร้า
“พอคุณทอผ้าเสร็จ เราคงไม่ได้พบกันอีกแล้ว”
“ทำไมละคะ”
“เอาเถอะ เมื่อถึงเวลานั้น คุณก็จะรู้เอง”ศิริวัฒนามองมือเรริน “ที่ข้อมือคุณ เป็นรอยอะไร ให้ผมดูหน่อยได้ไหม”
เรรินยื่นข้อมือออกมา ศิริวัฒนามองรอยไหม้บนข้อมือเรรินครู่นึง
“อีเม้ย”
“คะ...อะไรนะคะ”
“อีผีร้ายตัวนั้นมันชื่อ เม้ย คุณเจ็บมากไหม”
เรริน พยักหน้า ศิริวัฒนายื่นมือตัวเอง ออกมาเหมือนจะลูบคลำ แผลรอยไหม้นั้นแต่ไม่ได้สัมผัสถูกตัวเรรินเลย เมื่อยกมือออก รอยไหม้ดำบนข้อมือของเธอก็ค่อยๆเลือนหายไปกับตา ไม่เหลือร่องรอยใดๆเรรินแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง
(จบตอนที่ 8)
อ่านต่อวันพรุ่งนี้
-