xs
xsm
sm
md
lg

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 8

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 8

อุดมเผลอใส่อารมณ์อย่างแรง มานะกับอุดมมองหน้างงๆ ชินกรหันมาเอ็ด

“อุดม มานะ ปิติ คุยอะไรกัน เงียบได้แล้ว ไม่อยากกลับบ้านหรือไง”
สามคนสะดุ้งโหยง
“อยากกลับครับ ขอโทษครับ”
มานะ ปิติ อุดมยกมือไหว้แล้วก็นั่งตัวตรงแน่ว สามคนนั่งเงียบ หุบปากสนิท ชินกรพูดต่อ
“ครูได้รับรายงานของทุกกลุ่มแล้ว ตรวจเสร็จจะแจ้งผลคะแนนให้ได้รู้กัน วันนี้ครูกับอาจารย์หม่อมธราธรไม่ได้กลับไปด้วย จะมีอาจารย์พี่เลี้ยง อาจารย์ปิยะพร” ชินกรผายมือไปทางอาจารย์ปิยะพร ที่ยืนอยู่ไม่ไกล “คุมทุกคนกลับไปแทน”
นักศึกษายกมือไหว้
“สวัสดีครับ”
ปิยะพรรับไหว้
“สวัสดีจ้ะ”
มานิตสรุป
“ในเมื่อทุกคนพร้อมแล้ว ก็ออกเดินทางได้”
ชินกรอวยพร
“ขอให้เดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ”
นักศึกษายกมือไหว้
“ขอบพระคุณครับ”
ปิยะพรบอกกับนักศึกษา
“รถจอดอยู่ทางนี้นะคะ เดินตามครูมาได้เลย”
นักศึกษาทยอยขนของ และเดินออกไปจากศาลา อุดมหน้าตาแจ่มชื่นมากพูดเบาๆ
“ไอ้ตะวันไม่กลับไปด้วย ดีใจจังเว้ย ฮึๆ” อุดมหันมาย้ำกับปิติและมานะ “พวกแกจำไว้เลยนะ ห้ามพูดว่าข้าคิดว่าอาจารย์หม่อมเป็นชายรักชายนะเว้ย เพราะข้าไม่เคยพูด และอาจารย์หม่อมก็ไม่ได้เป็น จำไว้”
อุดมพูดจบก็เดินตัวปลิวออกไป มานะกับปิติมองตามด้วยความงุนงง
“ท่าทางไอ้ดมจะทำรายงานมากไป เครียด สมองฟั่นเฟือน จำคำพูดตัวเองไม่ได้ ฮึๆ”
มานะพูดเสร็จก็ส่ายหน้าขำๆ ทั้งสองเดินตามอุดมและเพื่อนคนอื่นๆ ออกไป

นักศึกษาเดินออกมารวมตัวกัน ชินกรและมานิตเดินตามมายืนส่งอยู่ด้านหน้า ยืนสักพักมานิตนึกได้หันมาถาม
“อาจารย์จะออกเดินทางไปสำรวจเลยหรือเปล่าครับ”
“คุณชายใหญ่นัดว่าออกเดินทางตี 5” ชินกรดูนาฬิกา “นี่ก็เกือบแล้วยังไม่เห็นคุณชายใหญ่เลย”
“น่าจะกำลังคุยกับอาจารย์หม่อมอาทิตย์น่ะครับ เมื่อครู่เห็นอ่อนศรีมาเรียกตัวไป”
ชินกรพยักหน้ารับรู้ แล้วก็นึกได้
“เอ้อ...แล้วตะวันกับก้องเกียรติ์ล่ะครับ อาจารย์เห็นหรือเปล่า”
ชินกรถามด้วยความเป็นห่วง กลัวว่าจะตื่นไม่ทัน
ระวีรำไพ กับ เกษรา นอนหลับพริ้มอยู่ในห้อง ทันใดนั้นระวีรำไพก็ลืมตาโพรงขึ้นมา แล้วรีบหันไปคว้านาฬิกามาดูแล้วก็ตาเบิกโพลง
“พี่เกษแย่แล้ว”

หน้าบ้านพักใหญ่...อาทิตยรังสีเดินออกมาส่งธราธรที่มีสัมภาระพร้อมเดินทาง อ่อนศรีเดินตามหลัง ธราธรพูดด้วยความหนักใจ
“ผมหวั่นใจว่า ถ้าคนร้ายที่บุกเข้ามาค้นที่นี่ โจรขโมยกระเป๋า และพวกล่าสมบัติที่ถ้ำ มันเป็นพวกเดียวกัน พวกมันคงจะถึงปราสาทก่อนเรา”
อาทิตยรังสีคิดหนัก
“อาก็กังวล แต่ครั้นจะให้เดินทางไปเมื่อวาน ก็อันตรายเกินไป กว่าจะจัดของ พร้อมเข้าป่าก็มืดพอดี ซ้ำร้ายถ้าไปเจอพวกนั้นกลางทางจะยิ่งแย่...การสำรวจเป็นเรื่องสำคัญ แต่ความปลอดภัยของทุกคนก็เป็นเรื่องสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน...เมื่อวานอาฝากอ่อนศรีไปแล้ว”
อาทิตยรังสีหยุดเดินแล้วก็มองหน้าธราธรน้ำเสียงจริงจัง
“วันนี้อาฝากคุณชายใหญ่ดูแล...” ในใจของเขาคิดถึงมะปราง “ทุกคนด้วยนะ”
“ครับ คุณอาไม่ต้องห่วง ทันทีที่ถึงปราสาทผมจะรีบเก็บข้อมูล และเดินทางกลับมาที่นี่ให้เร็วที่สุด”
อาทิตยรังสีพยักหน้ารับ
“ขอให้การสำรวจผ่านพ้นไปได้ด้วยดี แล้วพบกัน”
“ขอบคุณครับ...สวัสดีครับ”
ธราธรยกมือไหว้แล้วก็เดินออกไป อ่อนศรียกมือไหว้อาทิตยรังสี
“สวัสดีครับ”
อาทิตยรังสีรับไหว้ อ่อนศรีตามธราธรไป อาทิตยรังสีมองตามสักพักจนสองคนเดินห่างออกไปจนแน่ใจว่าจะไม่ได้ยิน
“การเดินทางครั้งนี้คงทำให้ลูกโตเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นนะ...มะปราง”
อาทิตยรังสีพูดกับตัวเอง เขารู้มาตลอดว่าลูกสาวปลอมตัวมาแต่ไม่พูดเอง อาทิตยรังสีถอนหายใจเบาๆ แอบหนักใจอยู่ในที

หน้าแคมป์ ชินกรยืนรออยู่กับมานิตด้วยความร้อนใจ ชินกรมองหาระวีรำไพกับเกษราแต่ยังไม่มีวี่แวว
ธราธรกับอ่อนศรีเดินมาสมทบ
“ขอโทษที่ให้รอครับ เราพร้อมเดินทางกันเลยมั้ยครับ”
ชินกรหันมา
“ผมพร้อมครับ แต่...ตะวันกับก้อง ยังไม่มาเลยครับ”
ธราธรคิดแล้วก็ตอบ
“ไม่ตรงเวลา ก็ไม่รอ...เราไปกันเลยครับ”
ชินกรอึกอักนิดๆ สงสาร เห็นใจและอยากให้ไปด้วย แต่ธราธรไม่สนใจเดินนำไปที่รถเลย อ่อนศรี มานิต เดินตามไป ชินกรมองเข้าไปในแคมป์ แต่ยังไม่มีวี่แวว เขาถอดใจหันหลังจะตามธราธรไป ทันใดนั้นเสียงระวีรำไพกับเกษราก็ดังขึ้น
“รอด้วยครับ รอด้วย ผมมาแล้วครับ รอด้วยครับ”
ชินกรเผลอยิ้มออกมา แล้วก็หันมาตามเสียง เห็นเกษราและระวีรำไพวิ่งมาพร้อมกระเป๋า ชินกรยิ้ม
“ก้อง”
ธราธรหันมาเห็นสองสาววิ่งมาหยุดตรงหน้าหอบแฮ่กๆ
“เรา...มา...ทัน” ระวีรำไพพูดไปหอบไป “ทัน...พอดีเลย”
ธราธรส่ายหน้า...
“เกือบไปแล้ว”

มานิตขับรถเข้ามาจอดตีนเขา ข้างหน้าเป็นป่า รถเข้าไม่ได้ ธราธร ชินกร และอ่อนศรีที่ นั่งอยู่กระบะหลังกระโดดลงจากรถ ระวีรำไพ เกษรา มานิต อยู่หน้ารถลงตามมา ระวีรำไพกับเกษราเดินมาที่ท้าย
รถเพื่อหยิบเป้ แล้วสะพายเตรียมลุย มีธราธรคอยช่วย ชินกร อ่อนศรี มานิตคุยกันอยู่ที่หน้ารถ อ่อนศรีบอกทุกคน
“จากตรงนี้เราจะเริ่มเดินเท้าเข้าป่ากันนะครับ ผมเปิดทางนำเข้าไปเอง”
อ่อนศรีพูดจบก็ดึงมีดประจำตัวออกมา แล้วก็เดินนำเข้าไป ช่วงไหนที่มีกิ่งไม้ยาวออกมา ก็ฟันทิ้ง ชินกรหันมาทางมานิต
“ขอบคุณที่มาส่งครับพี่”
มานิตยิ้มให้
“อีกสองวันเจอกันครับ”
ชินกรยิ้มรับ

“ครับ”

ชินกรหันมาทางเกษรา เห็นกำลังกระชับเป้ที่หลังดูเหมือนจะหนัก เขาเดินมาถาม

“ก้องไหวมั้ย”
ระวีรำไพกำลังเอาเป้ขึ้นหลังอยู่ไม่ไกล แอบมอง...อ๊ะๆ ถามกันด้วย เกษราก้มหน้า แอบเขินนิดๆ
“ไหวครับ...ผมตามลุงอ่อนศรีไปเลยนะครับ”
เกษราเดินไปสวัสดีมานิตก่อนจะเดินตามอ่อนศรีเข้าไปในป่าเลย
“ไฟแรงจริง”
ชินกรยิ้มแล้วก็เดินตามไป ระวีรำไพมองตามแล้วก็คิด ก่อนจะเดินตามไป ธราธราจับแขนไว้ มองรอบๆว่ามานิตยืนอยู่ไกล ส่วนคนอื่นก็เดินนำไปแล้ว ธราธรพูดกับระวีรำไพ
“ก่อนจะเข้าป่า น้องปรางต้องสัญญากับพี่ชายใหญ่ 1 ข้อ...ห้ามทำอะไรเสี่ยงๆ เหมือนตอนที่วิ่งไล่คนร้ายในตลาดอีก ถ้าพี่บอกให้หยุดต้องหยุด ห้ามดื้อ รู้มั้ยคะ”
ระวีรำไพจำใจ
“ทราบค่ะ”
ธราธรยิ้ม
“ดีมาก”
ธราธรจะเดินไป ระวีรำไพจับแขนไว้บ้าง
“พี่ชายใหญ่ก็ต้องสัญญากับปราง 1 ข้อเหมือนกัน...พี่ชายใหญ่จะต้องดูแล และใส่ใจพี่เกษให้มากๆ รู้มั้ยคะ”
“ข้อนั้นพี่รู้อยู่แล้ว ทำไมต้องให้พี่สัญญาด้วย”
“พี่ชายใหญ่รู้ แต่ไม่ค่อยทำ...ปรางก็แค่เป็นห่วง ไม่อยากให้พี่ชายใหญ่ต้อง พลาดสิ่งดีๆ...สัญญาได้มั้ยคะ”
“ก็ได้ค่ะ พี่สัญญา”
ระวีรำไพยิ้ม ล้อ
“ดีมากค่ะ”
ธราธรถึงกับยิ้มออกมา รู้ว่าโดนย้อน ระวีรำไพยิ้มทะเล้นแล้วก็เดินไป ทิ้งให้ธราธรยืนยิ้มอยู่คนเดียว ธราธรส่ายหน้านิดๆขำๆแล้วก็หยิบกระเป๋าสะพายใบเก่งที่ซ่อมแล้วสะพายกระเป๋าและเดินตามไป

ในป่า คณะสำรวจเดินเรียงแถวกันมาอย่างมุ่งมั่น อ่อนศรีนำทาง ชินกร เกษรา ระวีรำไพตามมา ธราธรเดินปิดท้าย ทั้ง 5 เดินบุกป่าอย่างรวดเร็ว

บริเวณปราสาท 5 หลัง เทวรูป หน้าบัน หลักจารึก และสิ่งของมีค่าที่หาได้ในปราสาทถูกวางเรียงไว้เป็นแถว เตรียมเคลื่อนย้าย เอ็ดเวิร์ดยืนมองด้วยความพอใจ ด้านหลังมีอีริค และ พรานสม ยืนคุมสมุน พรานสมสั่งสมุนเสียงดัง
“เฮ้ย ไปบอกไอ้พวกข้างในเร่งมือหน่อย”
เอ็ดเวิร์ดนับของที่วางอยู่ แล้วก็ชะงัก...
“ของไม่ครบ...หายไปไหน”
เอ็ดเวิร์ดชักสีหน้าไม่พอใจมาก

เทวรูปขนาดเล็กวางอยู่ที่พื้นดิน สมุนอีริคกำลังใช้พลั่วเล็กที่พกมาด้วยขุดดินด้วยความร้อนรน สมุนขุดดินได้ลึกพอควร ก็รีบเอาเทวรูปลงไปวาง แล้วก็รีบเอาดินกลบ หน้าตาดีใจกะว่ารอดแน่ ทันใดนั้นเสียงปืนก็ดังขึ้น เปรี้ยง สมุนสะดุ้งเฮือก เจ็บแปลบที่ท้อง เห็นว่ามีเลือดไหลออกมา ก่อนจะล้มฟุบลงที่พื้น เอ็ดเวิร์ดยืนถือปืนอยู่ด้านหลัง ปลายกระบอกปืนยังมีควันกรุ่นอยู่ เอ็ดเวิร์ดยิ้มร้าย
“คิดว่าขโมยมาฝังไว้ แล้วจะมีโอกาสกลับมาขุดไปขายหรือไง คิดผิดแล้ว”
อีริค พรานสม และสมุนอื่นๆ วิ่งมาตามเสียงปืน ทุกคนสะดุดกึก เห็นสมุนขี้ขโมยนอนอยู่ที่พื้น เอ็ดเวิร์ด
เก็บปืนแล้วหันมาประกาศก้อง
“ใครที่คิดจะขโมยของของฉันมันต้องเจอแบบนี้” เอ็ดเวิร์ดมองมาที่อีริค “ดูลูกน้องของแกให้ดี ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก อย่าหวังเลยว่าจะได้เงินจากฉัน”
สมุนที่โดนยิงยังไม่ตายดี ขยับตัว อีริคหันไปเห็นก็ควักปืนออกมาแล้วก็ยิงซ้ำ เปรี้ยง ที่สมุนขี้ขโมยนิ่ง
สนิท อีริคหันมาสั่งลูกน้อง
“กลับไปทำงานต่อกันได้แล้ว ถ้าไม่อยากตาย อย่าทำนอกคำสั่งฉัน ไป”
สมุนคนอื่นรีบกระจายกันกลับไปทำงานต่อ อีริคพยักหน้าให้พรานสมไปเก็บของขึ้นมาจากหลุม พรานสมเดินไปที่หลุม ใช้เท้าเขี่ยร่างสมุนออก แล้วใช้พลั่วขุดเทวรูปขึ้นมา แล้วก็เดินไปไม่ใยดีกับร่างที่นอนตายอยู่ที่พื้น...

มุมหนึ่งของป่า...คณะสำรวจเดินมุ่งหน้าไม่หยุดพัก อ่อนศรีเดินนำ ชินกรตามมาติดๆ ระวีรำไพ กับ เกษราเดินคู่กันมา ชินกรหันมามองเกษราเป็นระยะๆ เกษราไม่เห็น แต่ระวีรำไพเห็น
ระวีรำไพเร่งฝีเท้าเดินนำเกษรา เพื่อให้เกษราอยู่ใกล้ๆกับธราธรที่เดินปิดท้าย ธราธรรู้ใจเดินมาถามเกษราเพื่อแสดงความห่วงใยตามสัญญา เขาถามเธอเบาๆ
“น้องเกษเหนื่อยมั้ย”
“ไม่ค่ะ”
“ไหวนะ”
“ไหวค่ะ”
สองคนยิ้มให้กันอย่างเอื้ออาทร ระวีรำไพได้ยินก็ยิ้ม...หน้าชื่นอกตรม ชินกรหันมามองเกษราอีกทีแล้วก็สะดุ้งนิดๆ เพราะเป็นระวีรำไพเดินตามหลังแทน ระวีรำไพเงยหน้ามาประสานสายตากับชินกรพอดี เธอยิ้มแฉ่ง ชินกรจำต้องยิ้มตอบ แล้วก็หันหน้ากลับที่เดิม เดินต่อไปด้วยความเซ็งนิดๆ

คณะโจรเก็บของเรียบร้อย ใช้ใบไม้และผ้าที่เตรียมมาห่อหุ้มวัตถุโบราณแล้วผูกใส่ท่อนไม้ แบกขึ้นบ่า หามออกไปเป็นแถว พรานสมเดินนำ อีริคเดินคุมแถวข้างๆ มีเอ็ดเวิร์ดยืนมองด้วยความพอใจ ก่อนจะหันมามองปราสาทที่เหลือแต่ซาก แล้วก็ยิ้มสะใจ

ป่าอีกมุมหนึ่ง...ไม่ไกลจากปราสาท คณะสำรวจนั่งกินข้าวเหนียวกับเนื้อตากแห้งที่เตรียมมา อ่อนศรี
นั่งอยู่อีกมุมไม่รวมกลุ่ม เกษรานั่งอยู่ตรงกลางระหว่างชินกรและธราธร เกษรากินข้าวเหนียวอย่างเรียบร้อย
แล้วก็ไอ ข้าวเหนียวติดคอ ชินกรและธราธรหันมามองพร้อมกัน แล้วก็ส่งกระติกน้ำที่พกมาส่งให้พร้อมกัน
“น้ำมั๊ย”
เกษราสะอึก เอาไงดี จะรับของใครดี...ชินกรกับธราธรก็รอ เกษราไม่รู้จะตัดสินใจไงดี ระวีรำไพ
เลยต้องแกล้งหน้ามึนมาเสนอหน้าแบบเนียนๆ
“ผมก็หิวน้ำเหมือนกันครับ อาจารย์...”
เธอจะบอกชินกร ธราธรดั๊น หันมาส่งให้ระวีรำไพ

“ตะวันดื่มของครูก็ได้”

ระวีรำไพหันขวับมาทางธราธร ที่ยิ้มแป้นส่งกระติกน้ำให้อย่างไม่รู้เรื่องรู้ราวไม่ได้รับมุกเล้ย เธอจำใจต้องรับมา

“ขอบคุณครับ”
ในใจเธอคิดให้ทำไมเนี่ย เกษราหันไปรับของชินกร
“ขอบคุณครับ”
ชินกรยิ้มให้เกษราอย่างน่ารัก ดีใจที่ได้รับเลือก ส่วนธราธรก็ยิ้มให้ระวีรำไพ แต่เธอกลับทำหน้างอนใส่แล้วก็หันหลังให้คนอื่นพร้อมกับทำปาก โบ้ยๆบ่นๆ ชี้ๆมาที่กระติกน้ำของธราธร ทำปาก ไม่มีเสียง
“พี่ชายใหญ่ให้มาทำไม ทำไมไม่ให้พี่เกษ”
ธราธรหุบยิ้ม ทำหน้างง...ยักไหล่นิดๆ อ้าว...ผิดไรเนี่ย เขายังไม่รู้ตัว ระวีรำไพหันไปเห็นเกษราดื่มน้ำ
จากกระติกของชินกรด้วยอาการขวยเขินทั้งคู่แล้วก็ถอนหายใจ เฮ่อ...หันมาทางธราธรที่กินข้าวเหนียวอย่าง
งงไม่สนใจเกษราก็ถอนใจอีกที...เฮ่อ...

พระอาทิตย์ค่อยๆเคลื่อนคล้อย เข้าสู่บ่าย และเย็น ทีมสำรวจยังเดินมุ่งหน้าไปปราสาทอย่างไม่หยุดพัก อ่อนศรีเดินนำมา แล้วก็ชะงักหยุด หันไปดูแนวต้นไม้ที่อยู่ห่างออกไปไม่มาก มีรอยหักต่อเนื่องมาเป็นทาง ชินกรเข้ามาถาม
“มีอะไรเหรอครับ”
“มีคนเดินผ่านทางนี้ไปไม่นาน รอยหักพวกนี้เหมือนเพิ่งเกิด”
ธราธรได้ยินรีบเดินมาสมทบ
“ปราสาทอยู่อีกไกลหรือเปล่า”
“ไม่ไกลครับ เดินไปอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึง”
ธราธรพยักหน้ารับรู้
“เรารีบไปกันดีกว่า จะได้รู้ว่าใช่พวกที่เราคิดหรือเปล่า”
อ่อนศรีพยักหน้ารับแล้วเดินนำไป ชินกรรีบเดินตาม สองสาวกำลังจะตามไป ธราธรรีบพูดเตือน
“ระวังตัวด้วย”
สองสาวพยักหน้ารับ แล้วก็เดินตามชินกรไป ธราธรมองตามสองสาวไป ด้วยความเป็นห่วงลึกๆ แล้วก็เดินปิดท้ายตามไป คณะสำรวจเดินมุ่งหน้าต่อไปโดยไม่รู้เลยว่ามีอะไรรออยู่ข้างหน้า

มุมหนึ่งของป่า คณะโจรก็เดินมุ่งหน้าไปอีกทางพร้อมข้าวของมากมาย ไปอย่างช้าๆ แต่ก็ไม่ได้หยุดพัก พรานสมเดินกลับมาทางอีริค
“ใกล้จะค่ำแล้ว เราต้องหาที่พักที่ปลอดภัยก่อนจะมืดไปกว่านี้ ข้างหน้าจะมีพุ่มไม้ใหญ่ พรางตัวได้ อยู่ไม่ไกลน้ำตก นายจะให้พักตรงนั้นเลยหรือเปล่า”
อีริคพยักหน้า
“แกนำไปเลย ฉันไปบอกมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดเอง”
พรานสมพยักหน้ารับ และเดินกลับไปนำขบวน อีริคเดินไปหาเอ็ดเวิร์ดที่เดินอยู่กลางขบวน ขบวนโจรค่อยๆเคลื่อนเข้าสู่พุ่มไม้ที่หนาทึบ

อีกมุมหนึ่งของป่า ต้นไม้ถูกแหวกออก อ่อนศรีโผล่ออกมา พร้อมกับรอยยิ้ม และหันมาบอกคนที่ตามมา
“ถึงแล้วครับ”
ชินกร ระวีรำไพ เกษรา และธราธรเดินออกมาจากป่า แล้วก็หยุดยืนมองปราสาทที่อยู่ข้างหน้าด้วยความตื่นตา
“สวยจัง...”
ธราธรรีบเดินนำเข้าไปที่ปราสาท แต่ยังไม่ทันจะเข้าไปถึงตัวปราสาทก็ต้องสะดุดเพราะเท้าเตะเข้ากับอะไรบางอย่าง เขาก้มมองเห็นเป็นกระป๋องอาหารของอีริคที่วางทิ้งอยู่ที่พื้น ธราธรหยิบขึ้นมาดูด้วยความคุ้นเคย กระป๋องอาหารแบบเดียวกันในถ้ำ ธราธรใจหาย เงยหน้าขึ้นมองที่ปราสาทแล้วก็ชอคเห็นปราสาทโดนแซะหน้าบันหายไป รอบๆ ที่พื้นมีร่องรอยของเศษดินร่วงอยู่ ธราธรค่อยลุกขึ้น พร้อมกับพูดด้วยความเสียใจ
“เรามาช้าเกินไป”
ชินกร ระวีรำไพ เกษรา อ่อนศรี ค่อยๆเดินเข้ามา และมองๆไปรอบๆ ธราธรเดินนำเข้าไป ทั้งสี่คนเดินตามเศร้าๆ

ธราธรเดินเข้ามาด้านในปราสาทเห็นแท่นที่เคยมีเทวรูปอยู่ เหลือแต่ซากปูนอ่อนศรีเดินเข้ามาพูดเสียงเศร้า
“ครั้งก่อนที่ผมมา...ตรงนี้มีเทวรูปเรียงเป็นแถว”

เทวรูปในปราสาทถูกวางเรียงไว้ในเต็นท์ ในบริเวณแคมป์กลางป่า เอ็ดเวิร์ดเดินดูของแต่ละชิ้นด้วย
ความพึงพอใจ

ภายในปราสาท ธราธรเดินมาอีกมุมที่เคยเป็นที่ตั้งของหลักจารึก
“นี่คงจะเป็นฐานหลักจารึก”
เขาจับเศษดินที่ยังกร่อนอยู่ที่ฐาน ระวีรำไพมองหน้าธราธรแล้วสัมผัสได้ถึงความเสียใจ

หลักจารึกอยู่ในเต็นท์ เอ็ดเวิร์ดเอากล้องมาส่องดูตัวหนังสือแล้วก็ยิ้มพอใจ

อ่อนศรีเดินสำรวจปราสาทแล้วเจอศพสมุนที่โดนฆ่าทิ้ง อ่อนศรีร้องด้วยความตกใจ
“เฮ้ย”
ชินกรวิ่งมาดู พร้อมกับระวีรำไพและเกษราสองคนเกือบจะหลุดร้องออกมา
“ว้าย...”
สองสาวรีบปิดปากไว้ทัน ชินกรรีบหันมาสั่ง
“กลับเข้าไปในปราสาท”
ระวีรำไพกับเกษราพยักหน้ารับ ใจเสีย แล้วก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในปราสาท ชินกรหันมาทางศพที่นอนนิ่งอยู่ หน้าเครียด คิดหนัก เขายืนอยู่ท่ามกลางซากปราสาทที่ไม่เหลืออะไรเลย

ธราธรยืนครุ่นคิดอยู่หน้าปราสาท ระวีรำไพกับเกษรายืนห่างออกไป ชินกรกับอ่อนศรีเดินตาม
ออกมา ชินกรปัดมือเห็นว่ามีผงดินกระจายออกมา
“ผมฝังศพไว้ในป่าด้านโน้น อ่อนศรีจุดธูปบอกดวงวิญญาณเรียบร้อยแล้วครับ”
ธราธรหันมาพยักหน้ารับทราบ แล้วก็พูดเสียงขรึม
“พรุ่งนี้เราจะเข้าเมืองไปแจ้งตำรวจ พวกโจรมันต้องขนของไปด้วย มันอาจจะเดินทางไปได้ไม่ไกล”
อ่อนศรีออกความเห็น
“ผมไปเองดีกว่าครับ เร็วกว่า ผมไปตั้งแต่ตอนนี้เลย ผมเดินป่าตอนกลางคืนได้สบายมาก ถึงสถานีตำรวจเช้ามืดพรุ่งนี้ แล้วผมก็นำทางตำรวจมา พรุ่งนี้เย็นก็น่าจะถึงที่นี่”
ชินกรเห็นด้วย
“ก็ดีเหมือนกันนะครับคุณชาย พวกเรายกโขยงกันไปหมดคงจะช้ากว่าไปคนเดียว เราอยู่ทางนี้จะได้ถ่ายรูปเก็บข้อมูลปราสาทเท่าที่ยังหลงเหลืออยู่”

“อืม...ตกลง ผมจะเขียนจดหมายให้อ่อนศรีถือไปที่สถานีตำรวจ ขอให้ส่งกำลังมาตรวจค้นกลุ่มปราสาทนี้ให้เร็วที่สุด และถ้าเราตามพวกโจรทัน เราอาจจะได้ของที่ถูกขโมยไปกลับมา”

อ่อนศรี และ ชินกรพยักหน้าเห็นด้วย

ธราธรรีบหยิบสมุด ปากกาออกมาจากกระเป๋าประจำตัว แล้วเขียนจดหมายถึงตำรวจ

“ถึง ข้าราชการตำรวจผู้เกี่ยวข้อง ข้าพเจ้า หม่อมราชวงศ์ ธราธร จุฑาเทพ เจ้าหน้าที่กรมศิลปากร ข้าพเจ้าได้พบเบาะแสของคนร้ายที่ทำการโจรกรรมวัตถุโบราณไปจากโบราณสถานที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ข้าพเจ้าขอกำลังเจ้าหน้าที่เพื่อเข้ามาตรวจสอบและแกะรอยคนร้ายที่คาดว่ายังไปได้ไม่ไกล ข้าพเจ้าและคณะอีก 3 คน รออยู่ที่เกิดเหตุ พรานอ่อนศรีจะทำหน้าที่เป็นผู้นำทางพวกท่านมาช่วยเหลือคณะของเรา ขอแสดงความนับถืออย่างสูง หม่อมราชวงศ์ธราธร จุฑาเทพ”
ธราธรเขียนจดหมายด้วยความตั้งใจอย่างมาก

อ่อนศรีเริ่มออกเดินทางกลับเข้าเมือง ทิ้งธราธร ชินกร ระวีรำไพ และ เกษราไว้กับปราสาท
เบื้องหลัง

อีริคกับเอ็ดเวิร์ดคุยกันอยู่ในเต็นท์ที่เก็บของ เอ็ดเวิร์ดส่งเงินให้อีริคหนึ่งปึกใหญ่
“นี่เป็นเงินก้อนแรก ของถูกส่งถึงบ้านฉันเมื่อไหร่ แกรอเงินที่เหลือทั้งหมดได้เลย”
อีริครับมายิ้มร้าย
“พรุ่งนี้ถ้าเราออกเดินทางกันแต่เช้า หัวค่ำจะไปถึงชายแดน ผมติดต่อคนขับรถมารอรับอยู่แล้ว ไม่ทันฟ้าสางท่านและสมบัติทุกชิ้นจะได้ลงเรืออย่างปลอดภัย”
“ดีมาก...ทำงานดีมีประสิทธิภาพแบบนี้ จะได้ทำธุรกิจกันบ่อยๆ”
อีริคยิ้มรับ
“ด้วยความยินดีขอรับ”
อีริคทำท่าโค้งรับอย่างกวนๆ เอ็ดเวิร์ดยิ้มรับแล้วก็หันมามองของที่วางอยู่ข้างหน้าด้วยความพอใจ อีริคนับเงินแล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข

ระวีรำไพกับเกษราค่อยๆโผล่หน้ามาดูที่ๆ เจอศพ สองสาวๆ กล้าๆ กลัวๆ อยากรู้ก็อยากรู้ กลัวก็กลัว เกษราหันมาบอก
“อาจารย์ชินกรบอกว่าย้ายศพไปฝังแล้วนี่คะ...พี่ว่าคงไม่มีอะไรแล้วล่ะ”
“ปรางแค่อยากรู้ว่าทำไม...เขาถึงมาตายอยู่ตรงนี้ เป็นพวกเดียวกันหรือเป็นชาวบ้านที่บังเอิญมาเห็น ถ้าเรารู้ว่าเขาเป็นใคร เราก็อาจจะรู้ว่าพวกโจรเป็นใครก็ได้นะคะ”
“โห...มันคงไม่มีหลักฐานเหลือให้เรารู้หรอกค่ะ ว่าเขาเป็นใคร มีทางเดียวที่เราจะรู้...แต่...มันอาจจะน่ากลัวหน่อยนะคะ”
ระวีรำไพตื่นเต้น แบบกลัวๆ
“ทำยังไงเหรอคะ”
“ก็...ขอให้เขามาเข้าฝันน้องปรางไงคะ”
ระวีรำไพหน้าเสีย
“เข้าฝัน”
“ใช่ค่ะ เขาว่ากันว่า ถ้าคนเพิ่งตาย วิญญาณจะยังวนเวียนอยู่ที่เดิม...พี่ว่า ถ้าน้องปรางพูดถึงเขาบ่อยๆ คิดถึงเขามากๆ คืนนี้เขาอาจจะมาเข้าฝันน้องปรางก็ได้นะคะ”
ระวีรำไพหน้าเสีย กลัวๆ ซวยแล้ว ทันใดนั้นเสียงธราธรก็ดังขึ้นกลางวง
“คุยอะไรกัน”
เกษรากับระวีรำไพกรี๊ดออกมาพร้อมกัน
“ว๊าย...”
ยังไม่ทันจบ ธราธรรีบเอามือปิดปากอย่างเร็ว
“ชู่วว์”
สองสาวรีบเก็บเสียงตาหูเหลือก ชินกรโผล่มาด้วยความแปลกใจ
“เมื่อกี๊เสียงอะไรครับ เหมือนผู้หญิงกรี๊ด”
ธราธรรีบเอามือออก สองสาวรีบทำปกติ ระวีรำไพรีบแก้
“ไม่มีอะไรนี่ครับ เสียงนกป่าหรือเปล่า เมื่อกี๊ผมก็ได้ยินแว่วๆ”
ชินกรพยักหน้ารับ
“อ่อๆ...งั้นก็คงใช่...” แล้วเขาก็นึกได้ “ผมพร้อมแล้วนะครับ คุณชายใหญ่จะไปเลยหรือเปล่าครับ”
“ไปครับ”
ธราธรจะเดินไปเลย ระวีรำไพรีบถาม
“อาจารย์หม่อม กับ อาจารย์ชินกรจะไปไหนเหรอครับ”
“จะออกไปเดินสำรวจรอบๆ ก้องกับตะวันรออยู่ที่นี่ก็แล้วกัน”
ระวีรำไพไม่ยอม
“ผมขอไปด้วยนะครับ”
ธราธรชะงักมองหน้า ระวีรำไพปรายตาไปจุดที่เจอศพแล้วก็รีบหันมาบอก
“นะครับ...อยู่ที่นี่แล้ว...มันโหวงๆแปลกๆ”
ระวีรำไพปรายตาไปที่เจอศพอีกที ธราธรมองๆตามด้วยความเห็นใจ แล้วก็พยักหน้า...ธราธรเดิน
นำไป ชินกรเดินตาม ระวีรำไพรีบจูงมือเกษราแล้วก็เดินตามไปด้วยความกลัว

ในป่า...ธราธรเดินนำ ระวีรำไพ เกษราเดินตาม ชินกรเดินปิดท้าย ธราธรเดินไปมองรอบๆไปด้วย แล้วก็ชะงักมองที่ต้นไม้ที่รอยหัก ธราธรเดินเข้าไปดูใกล้ๆ แล้วก็มองไปตามทาง
“พวกมันไปทางนี้”
ทุกคนตกใจ ตื่นเต้นขึ้นมาทันที ธราธรหันมาถามสองสาว
“แน่ใจนะว่าจะไม่ไปรอที่ปราสาท”
ระวีรำไพรีบบอก
“แน่ใจครับ เรารีบไปกันเถอะครับ เดี๋ยวไม่ทันพวกมัน”
ธราธรรีบเดินนำไปตามทางที่คณะโจรเดินไป เกษรากับระวีรำไพ รีบเดินตาม ชินกรเรียกไว้
“ก้อง”
เกษราชะงักหันมา
“ระวังตัวด้วย”
ชินกรแววตาเป็นห่วงมาก เกษราใจเต้นแรง แต่พยายามทำให้ปกติ
“ครับ”
เกษรารีบหันหลังให้เขาแล้วเดินตามระวีรำไพไป ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมใจยังคงเต้น ชินกรมองตามบ่นๆ
“แล้วทำไมเราต้องไปห่วงไอ้ก้องมันด้วยเนี่ย ฮึ่ย”
ชินกรเดินตามไปด้วยความไม่เข้าใจตัวเองพอกัน

เอ็ดเวิร์ดนั่งกินอาหารกระป๋องอย่างถือตัวอยู่ข้างๆกองไฟ กินหมดแล้วก็โยนกระป๋องทิ้งไว้ข้างๆ ก่อนจะหันมาทางอีริคที่นั่งอยู่รอบกองไฟห่างออกไป
“บอกคนของแกเฝ้ายามให้ดีๆ อย่าให้ใครเล็ดรอดเข้ามาได้ พรุ่งนี้ฉันตื่นเมื่อไหร่ เริ่มออกเดินทางทันที”
“ครับ”
เอ็ดเวิร์ดสั่งแล้วก็เดินเข้าเต็นท์ไป อีริคหันมาสั่งพรานสม
“ฉันจะไปเดินดูรอบๆ แกเฝ้าอยู่ที่นี่ ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล รีบย้ายของไปฝังไว้หลังเนินดินทางด้านโน้น ไว้ทางโล่ง เราค่อยกลับมาเอา”
“ครับเจ้านาย”

อีริคสั่งแล้วก็เดินออกตรวจรอบๆ พรานสมลากเก้าอี้มานั่งเฝ้าที่หน้าเต็นท์อย่างระมัดระวัง

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 8 (ต่อ)

มุมหนึ่งของป่า ธราธรเดินอย่างระมัดระวัง ระวีรำไพ เกษราเดินตาม ชินกรปิดท้าย ทันใดนั้นธราธรก็หยุด ระวีรำไพชนหลัง

“อาจารย์หม่อมจะหยุดก็ไม่บอก”
“ชู่ว์”
ระวีรำไพเงียบ ธราธรยกมือทำสัญญาณให้ทุกคนย่อตัวลง ทุกคนทำตามอย่างรวดเร็ว
“ข้างหน้ามีคนอยู่ เหมือนจะเป็นค่าย”
ชินกรกระซิบถาม
“เป็นพวกพรานเดินป่าหรือเปล่าครับ”
ธราธรส่องก่อนตอบ
“ไม่รู้สิ แต่จากลักษณะเต็นท์ที่ใช้ ไม่น่าจะใช่”
ธราธรคิด แล้วหันมาบอกชินกร
“พวกคุณรออยู่ที่นี่ ผมจะเดินไปดูรอบๆค่ายว่าเป็นพวกไหน...ฝากอาจารย์ดูแลสองคนนี้ด้วย ถ้าเกิดอะไรขึ้น ให้หนีกลับไปที่ปราสาท”
ระวีรำไพรีบถามด้วยความห่วง
“แล้วอาจารย์หม่อมหล่ะครับ”
เกษราหันมามองระวีรำไพ สัมผัสได้ถึงความเป็นห่วงของเธอ ธราธรมองระวีรำไพ ตอบเหมือนให้คำสัญญา
“ผมจะรีบตามกลับไป”
ระวีรำไพเป็นห่วง ธราธรรู้แต่ต้องไป ชินกรหันมาบอก
“ถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ผมจะส่งสัญญาณให้นะครับ”
ธราธรพยักหน้า แล้วค่อยๆย่องเข้าไปดูใกล้ๆ ระวีรำไพมองตามด้วยความเป็นห่วง เกษราก็มองตาม เป็นห่วงพอกัน ชินกรเห็นสองคนเป็นห่วงก็ปลอบใจ
“อาจารย์หม่อมไม่เป็นอะไรหรอกน่า...ไม่ต้องห่วง”
ระวีรำไพพยักหน้านิดๆรับ พยายามจะคิดแบบนั้น

ธราธรค่อยๆย่องเข้าไปหลบอยู่หลังต้นไม้ ไม่ห่างจากเต็นท์มากนัก เขามองเห็นว่าสมุนที่เดินลาดตระเวน เดินผ่านไปแล้ว ตอนนี้ทางสะดวก ธราธรมองไปที่เต็นท์ด้วยความอยากรู้ เห็นเงาวูบวาบไปมารู้ว่ามีคนอยู่ ธราธรคิด...แล้วตัดสินใจค่อยๆย่องเข้าไปที่เต็นท์อย่างเงียบกริบ

ระวีรำไพมองตามธราธรด้วยความเป็นห่วงอย่างมาก เกษรานั่งหน้าเครียด ลุ้นอย่างแรง ชินกรกวาดสายตาไปรอบๆ คอยเฝ้าระวังให้ ธราธรค่อยๆย่องเข้าไปใกล้เต็นท์ เห็นเต็นท์มีรอยแยกอยู่ เขาค่อยๆขยับเข้าไปใกล้ กำลังจะแอบมองเข้าไปข้างใน...ชินกร ระวีรำไพ เกษราซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้มองธราธรอยู่
“อาจารย์หม่อมเข้าไปใกล้มากเกินไปมั้ยครับ อาจารย์ชินกรส่งสัญญาให้อาจารย์หม่อมรีบออกมาดีกว่านะครับ ก่อนที่จะมีคนมาเห็น” ระวีรำไพเป็นห่วง
“เอาน่า...ใจเย็นๆ คงไม่มีหรอก”
เกษราเหลือบไปเห็นสมุนอีริคกำลังเดินมา
“...มี...มีครับ”
เกษราสะกิดชินกรพร้อมกับชี้ไปที่สมุนที่เดินอยู่อีกมุมของเต็นท์ ห่างกันพอควร ด้วยความตื่นเต้น ชินกรหันไปดู ระวีรำไพก็หันไปดู แล้วก็ชะงักกึกเมื่อเห็นคนร้ายกำลังเดินดูลาดเลาอยู่ เธอเพ่งดูอีกรู้สึกคุ้นๆ ระวีรำไพคิดๆแล้วนึกออก
“คนนี้แหละ ที่ขโมยกระเป๋าอาจารย์หม่อมที่ตลาด”
ชินกรกับเกษรา ตกใจ รีบหันไปมองหน้าคนร้ายอีกที คนร้ายกำลังจะเดินมาทางธราธรแต่ก็ยังห่างพอควร ธราธรพยายามส่องเข้าไปในเต็นท์เห็นวัตถุโบราณวางเรียงอยู่ เขาชะงักเขม่นตามอง ด้วยความไม่พอใจ พึมพำเบาๆ
“นี่มันของที่ปราสาททั้งนั้น”
ธราธรเห็นเงาคนวูบวาบก็ชะงักนิดๆ คิดเอาไง แล้วก็ตัดสินใจพยายามหาเหลี่ยมมุมส่องต่ออยากจะเห็นหน้าให้ได้
ระวีรำไพ เกษรา ชินกร คุยกันด้วยความเป็นห่วงธราธร
“แสดงว่า...ถ้าไอ้พวกนี้เป็นโจรจริงๆ มันก็วางแผนทุกอย่าง” ชินกรเริ่มเข้าใจบางอย่าง
เกษราร้อนใจ
“ผมว่า อาจารย์รีบส่งสัญญาณให้อาจารย์หม่อมออกมาดีกว่า ดูท่าไม่ค่อยดี”
ชินกรพยักหน้าเห็นด้วย และพยายายาม โบกมือให้ธราธรหันมา พร้อมกับส่งเสียงเป่าปาก วี๊ด ธราธรหันขวับมาที่เสียงเป่าปาก เห็นชินกรกำลังโบกมือให้ออกมา คนร้ายได้ยินเสียงก็มองมา ชินกรรีบหลบ คนร้ายเพ่งมองอีกทีไม่เห็นอะไร เห็นแต่ต้นไม้ก็เดินดูลาดเลาต่อเกือบจะมาถึงธราธรแล้ว...ธราธรคิดเอาไงดีวะ แต่ก็อยากเห็นคนในเต็นท์ เขาตัดสินใจยังไม่ไป และแอบรอดผ้าใบเข้าไปในเต็นท์
ธราธรเห็นแผ่นหลังของคนในเต็นท์ เขาแอบมองต่อไป พยายามลุ้นให้หันหน้ามา...ชินกร เกษรา ระวีรำไพ ลุ้นอยู่ที่พุ่มไม้ ระวีรำไพกังวล
“ทำไมอาจารย์หม่อมไม่ยอมออกมา”
ระวีรำไพร้อนใจวูบวาบ ทั้งสามคนลุ้นระทึก คนร้ายเดินไปกำลังจะถึงธราธร ในอีกไม่กี่ก้าว เกษราหน้าตื่น
“อาจารย์หม่อม”
ธราธรส่องเข้าไปในเต็นท์ เกือบจะเห็นหน้าของคนในนั้น คนร้ายกำลังจะเดินไปถึง...ชินกร เกษรา ระวีรำไพ ลุ้น ชินกรพยายามจะโบกมือให้ธราธรหนีออกไป แต่เขาไม่เห็นอยู่ที่เดิม และทันใดนั้นเอง...คนในเต็นท์ก็หันข้างมาในมือถือเทวรูปองค์เล็ก กำลังส่องดูด้วยความพอใจ ธราธรถึงกับอึ้งที่เห็นว่าคนในนั้นคือ เอ็ดเวิร์ด
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด”
ทันใดนั้นเสียงคนร้ายก็ดังขึ้นมาจากด้านหลัง
“เฮ้ย ใครวะ”
ธราธรชะงักกึก...เอ็ดเวิร์สะดุดหยุดฟัง...ระวีรำไพ เกษรา ชินกร ตกใจระวีรำไพลุกพรวดขึ้นมา
“อาจารย์หม่อม”
ชินกรกับเกษรารีบลุกมาจับไว้
“ตะวัน”
ทันใดนั้นเสียงอีริคก็ดังขึ้นจากด้านหลัง
“หยุด อย่าขยับ”
อีริคขึ้นไกปืน ทั้งสามคนยืนตัวแข็งทื่อ ธราธร มีปืนคนร้ายเล็งมา มันยืนอยู่ห่างประมาณหนึ่งช่วงเตะ และ ระวีรำไพ เกษรา ชินกร ยืนนิ่งอยู่หลังพุ่มไม้ อีริคยืนอยู่ข้างหลังจ่อปืนมาที่ชินกร บรรยากาศตึงเครียดมากๆ ระวีรำไพแอบมองหน้าอีริคด้วยความกลัว พอเห็นหน้าระวีรำไพก็ชะงักกึก เธอจำได้ว่าเป็นคนๆเดียวกับที่อยู่กับลูกน้องที่หน้าตลาด ระวีรำไพหน้าเสีย...
ธราธรคิดๆ เอาไงดี เหลือบไปเห็นสายเต็นท์ที่ห้อยอยู่...ชินกรก็คิดๆ เอาไงดี มองที่สองสาวที่ยืนตัวสั่นอยู่ เกษราจะมีท่าทางหวาดกลัวมากกว่าระวีรำไพ อีริคเดินใกล้เข้ามา

“พวกแกเป็นใคร”

สองสาวสะดุ้ง ชินกรคิด อีริคเสียงดังขึ้น
“ฉันถามว่าแกเป็นใคร”
พูดจบอีริคก็ยิงปืนขึ้นฟ้าเป็นการขู่หนึ่งนัด เปรี้ยง เกษรากับระวีรำไพตกใจร้องลั่น
“ว้าย”
คนร้ายหันขวับไปตามเสียงปืน ธราธรได้ทีรีบคว้าเชือกมารัดคอมัน คนร้ายดิ้นพราดๆ มือเกี่ยวไกปืน
แฉล่บเข้าไปในเต็นท์ เสียงดังเปรี้ยง กระสุนทะลุเต็นท์ พุ่งไปโดนเทวรูป เฉียดเอ็ดเวิร์ดไปนิดเดียว เอ็ดเวิร์ดยืนตัวแข็งทื่อ อีริคหันฟั่บไปทางเสียงปืน ชินกรได้ทีตะโกนขึ้น
“วิ่ง”
พูดจบเขาก็หันมาถีบอีริคพลั่กกระเด็นไป
“โอ้ย”
ชินกรหันมาย้ำ
“รีบหนีไป”
ระวีรำไพได้สติก่อนรีบคว้ามือเกษราแล้วก็วิ่งไปอย่างเร็ว พรานสมรีบวิ่งเข้ามาในเต็นท์
“เกิดอะไรขึ้นครับ เสียงปืนมาจากไหน”
“กูไม่รู้ รีบไปเอาตัวมันมาเดี๋ยวนี้”
พรานสมพยักหน้ารับทราบ หยิบปืนจากเอวแล้วรีบเดินออกไป

ธราธรใช้เชือกรัดคอสมุนจนสลบไป ปืนตกลงพื้น ธราธรหอบแฮ่กๆ ก่อนจะปล่อยสมุนให้ลงไป
นอนกองอยู่ที่พื้น เสียงพรานสมดังมาจากด้านหน้าเต็นท์
“มีคนบุกรุก จับตัวมันมาให้ได้”
ธราธรรีบหยิบปืนขึ้นมา และกระชากซองใส่กระสุนติดมือมาด้วย แล้ววิ่งหลบออกไป ธราธรคล้อยหลังเข้าไปในพุ่มไม้ พรานสมและสมุนก็พุ่งออกมาพอดี คลาดกันนิดเดียว

อีริคยันตัวลุกขึ้น จะหันไปหยิบปืนที่ตกอยู่ ชินกรรีบเตะทิ้ง ปืนกระเด็นหายเข้าไปในพง อีริคมองตาม ชินกรได้ทีส่งหมัดตรงเข้าที่ใบหน้า อีริคไหวตัว หลบทัน แล้วฮุคสวนเข้าที่ท้องน้อย ชินกรร้อง
“โอ้ย”
ชินกรตัวงอจุก อีริคได้ทีเตะซ้ำ และถีบจนชินกระเด็นลอยลงพื้น

สองสาววิ่งหนีไม่คิดชีวิต เกษราไม่ไหวแล้ว เหนื่อยมาก
“น้องปราง...พี่...ไม่ไหวแล้ว น้องปรางไปเถอะ พี่...ไม่ไหวแล้ว”
“ไม่ค่ะ เราจะไม่ทิ้งกัน” รวีรำไพมองซ้ายมองขวา “งั้นเราหลบที่หลังต้นไม้นี้ก่อนนะคะ”
ระวีรำไพลากเกษราที่เหนื่อยอย่างแรง เข้ามาหลบที่หลังต้นไม้ เกษราหอบแฮ่ก

ร่างคนร้ายนอนสลบอยู่ พรานสมเข้ามาจับลมหายใจ เห็นว่ายังไม่ตาย แล้วก็เงยหน้ามองไปรอบๆ เห็นว่าพุ่มไม้ด้านที่ธราธรเดินเข้าออก มีรอยหักอยู่ พรานสมสั่ง
“เอาน้ำมาราดหัวมัน จะได้ฟื้น ส่วนคนอื่นตามข้ามา”
พรานสมรีบเดินไปตามทางเดียวกับธราธร สมุน 4-5 คน รีบตามพรานสมไปอีกที

ชินกรนอนจุกงออยู่ที่พื้น อีริคหันไปคว้าท่อนไม้ที่ตกอยู่ข้างๆ แล้วก็ฟาดลงที่หลังของชินกร
“โอ้ย”
ชินกรล้มฟุบลงไปที่พื้นด้วยความเจ็บ อีริคง้างมือกะจะฟาดลงไปที่หัวอีกที ทันใดนั้นธราธรก็พุ่งเข้ามารวบตัวอีริคแล้วก็เซถลาล้มลงไปที่พื้นทั้งคู่
“โอ้ย”
อีริคล้มลง ธราธรอยู่เหนือกว่า ใช้เข่ากดที่หน้าอก และต่อยเข้าที่หน้าติดๆ กัน 3-4 ครั้ง จนอีริคมึน ชินกรยันตัวลุกขึ้น เดินไปหยิบปืนของอีริคมาติดตัวไว้ และหันไปเห็นพวกพรานสมกำลังตามมา
“คุณชาย รีบหนีเถอะครับ”
ธราธรซัดเข้าไปอีกหนึ่งหมัด ก่อนจะลุกขึ้น และรีบวิ่งหนีไปพร้อมกับชินกร อีริคนอนเบลออยู่ที่เดิม ทั้งแค้น ทั้งเจ็บ ทั้งมึน เขาส่งเสียงลั่น
“พวกมันอยู่นี่”
พรานสมได้ยินรีบเดินไปตามเสียงทันที

ระวีรำไพกับเกษราหลบอยู่ที่หลังต้นไม้ เริ่มหายเหนื่อยแล้ว ทั้งสองคนหลบไป แต่ก็แอบมองไปด้วย
“ไม่มีใครมาเลย เราจะไปรอที่ปราสาทดีมั๊ยคะพี่เกษ”
“น้องปรางจำทางกลับได้เหรอคะ”
ระวีรำไพชะงักแล้วก็ส่ายหน้า...หน้าจ๋อยๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงคนเดินเข้ามาทางด้านหลัง สองคนสะดุ้งตัวแข็งทื่อ เสียงเดินใกล้เข้ามา ทั้งสองคนตัดสินใจหันไป มือใหญ่หยาบก็พุ่งมาปิดปากมั่บ สองสาวจะกรี๊ดแต่ไม่มีเสียงออกมา เจ้าของมือเป็นธราธรที่ปิดปากระวีรำไพ และชินกรที่ปิดปากเกษรา ทั้งสองจุ๊ปากให้เงียบ
“ชู่ว์”
สองสาวพอเห็นว่าเป็นคนกันเองก็คลายความตกใจลง ธราธรกับชินกรปล่อยมือออกจากสองสาว ธราธรบอกเบาๆ
“ไอ้พวกนั้นเป็นพวกล่าสมบัติจริงๆ ผมเห็นเทวรูป และทับหลังหลายชิ้นอยู่ในเต็นท์ และผมก็เห็นคนที่อยู่เบื้องหลังการโจรกรรมในครั้งนี้”
ชินกรถามทันที
“ใครครับ”
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด”
ทั้งสามคนตกใจแปลกใจ เกษราสงสัย
“แต่เขากลับเข้ากรุงเทพไปแล้วนี่ครับ”
“มันเป็นแผนหลอกให้พวกเราตายใจ”
ชินกรแค้นๆ
“ไอ้เอ็ดเวิร์ดมันอยู่เบื้องหลังทุกอย่าง เราเลี้ยงงูเห่าไว้ใกล้ตัวมาตั้งนาน ไม่น่าเลย”
ระวีรำไพใจคอไม่ดี
“ผมว่าเรารีบไปจากที่นี่ดีกว่านะครับ มีอะไรค่อยคุยกันต่อที่ปราสาท”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย ขยับเท้าจะเดินไปต่อ ทันใดนั้นเองเสียงปืนก็ดังขึ้น พร้อมกับลูกกระสุนที่พุ่งมาที่ต้นไม้ข้างๆ ไม่ห่างจากทั้งสี่คน เปรี้ยง ระวีรำไพกับเกษราร้องพร้อมก้มหัวด้วยสัญชาติญาณ
“ว้าย”
ธราธรกับชินกรสะดุ้ง
“เฮ้ย”
ธราธรรีบคว้ามือระวีรำไพ เพราะใกล้ที่สุดแล้วก็ดึงมาหลบที่หลังต้นไม้ ชินกรรีบคว้ามือเกษราและลากมาอยู่หลังต้นไม้อีกต้น สองคู่หลบอยู่หลังต้นไม้ของใครของมันไม่ไกลกัน เสียงปืนยังดังมาอีกหนึ่งชุด ปังๆ

อีริคยืนอยู่กับพรานสมและสมุน สมุนกระหน่ำยิงไม่หยุด อีริคยืนคุมอยู่ด้วยความแค้น
“จับตัวมันมาให้ได้ จับเป็นไม่ได้ ก็จับตาย”

อีริคพูดจบเสียงปืนดังกระหน่ำขึ้นอีกหนึ่งชุด ปังๆ

ระวีรำไพกับเกษราเอามือปิดปาก จะกรี๊ดก็กลัว ใจสั่น ตัวสั่นไปหมด ธราธรกับชินกรควักปืนออกมา ธราธรหันไปบอกชินกร
“อาจารย์ชินกรพาสองคนนี้วิ่งไปก่อนนะครับ ผมจะยิงป้องกันให้”
ระวีรำไพไม่อยากทิ้งธราธรไว้
“แต่ว่า...พี่ชายใหญ่...”
ธราธรพูดเบาๆได้ยินกันสองคน
“พี่บอกแล้วใช่มั้ยว่าอย่าดื้อ” เขาพูดเสียงดังสวนเสียงปืน “หนึ่ง...สอง...สาม”
ธราธรตั้งปืน แล้วก็หันมายิงสวน ปังๆ ชินกรส่งเสียง
“วิ่ง”
ชินกรดันเกษราให้วิ่งนำ ระวีรำไพจำต้องวิ่งตาม สองคนวิ่งไป ชินกรวิ่งคุมหลัง ธราธรยิงสู้กับคนร้าย อีริค พรานสม หลบวูบเข้าหลังต้นไม้ สมุนลดปืนลง ดูลาดเลา ธราธรอาศัยจังหวะเงียบ รีบวิ่งตามไป อีริคโผล่มาเห็นพอดี รีบสั่ง
“ตามมันไป”
อีริคส่งสัญญาณ พวกสมุนวิ่งไล่ตามไป วิ่งไป ยิงไปตามจังหวะที่หาได้ ธราธรรีบวิ่งตามไป วิ่งไป หลบกระสุนไป วิ่งตามสามคนไปติดๆ

บริเวณที่ริมหน้าผา ใกล้กับน้ำตก เกษราวิ่งนำ ตามมาด้วยระวีรำไพ ชินกร และ ธราธรวิ่งปิดท้าย ทั้งสี่วิ่งหนีไม่คิดชีวิต เกษรากับระวีรำไพวิ่งไปหอบไปอย่างเหนื่อย อีริค พรานสม และสมุน วิ่งตามไม่ลดละ วิ่งไป ยิงไป กะให้ตายกันไปข้าง น้ำตกสูงชันน่ากลัว เกษราวิ่งมาก้าวพลาดลื่นล้มลง ระวีรำไพตกใจรีบเรียกไว้
“พี่ก้อง”
ระวีรำไพคว้ามือเกษราแล้วดึงขึ้นมาจากพื้น ในจังหวะนั้นเองระวีรำไพเสียหลัก แล้วก็ลื่นล้มกลิ้งตกลง ไปในน้ำตก เกษรา ชินกร ธราธร ตกใจร้องออกมาพร้อมกัน
“ตะวัน”
ร่างของระวีรำไพตะวันตกลงไปในน้ำตูม ทันใดนั้นเองธราธรก็รีบปลดกระเป๋าออก เกษราหันขวับมาด้วยความตกใจ
“ผมฝากก้องด้วย”
ทั้งเกษราและชินกรตกใจ แต่ยังไม่ทันจะได้พูดอะไร ธราธรก็กระโดดตามระวีรำไพลงไป ตูม เกษราตกใจร้องออกมาด้วยความลืมตัว
“พี่ชายใหญ่”
ชินกรหันขวับมา ร่างธราธรจมหายไปกับสายน้ำ เกษราร้องไห้
“ไม่”
ทันใดนั้นเสียงปืนจากคนร้ายก็ดังไล่มา ชินกรดึงสติกลับมา คว้าข้อมือเกษราแล้วก็ลากไป
“รีบหนีเร็ว”
ชินกรคว้ากระเป๋าใบใหญ่ของธราธรติดมือมา เหลือกระเป๋าใบเล็ก และลากเกษราไป เกษรายังร้องไห้อยู่ เกษรามองไปที่น้ำตกข้างล่างที่เชียวกราก ร่างของธราธรและระวีรำไพจมหายไปกับสายน้ำ...กระเป๋าของธราธรที่ถูกทิ้งอยู่ที่พื้น อีริคเดินมาหยิบขึ้นมาดู แล้วก็จำได้ พรานสมดูรอยที่ระวีรำไพลื่นไหลตกลงไปในน้ำตก แล้วหันมารายงาน
“มีคนตกลงไปจากตรงนี้...ผมว่า ไม่น่าจะรอด”
อีริคมองกระเป๋าแล้วก็ยิ้มร้าย ด้วยความสะใจ

หนังสือเล่มหนาหล่นจากตักของอาทิตยรังสี เขาสะดุ้งตื่น
“มะปราง”
อาทิตยรังสีเหงื่อแตกพลั่ก มองไปรอบๆ เห็นว่าตัวเองนอนอ่านหนังสืออยู่ที่ม้าโยกในห้องทำงาน มานิตเดินมาพร้อมกับถาดอาหาร
“อาหารเย็นครับอาจารย์หม่อม...อาจารย์เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“ฝันไม่ค่อยดี คงจะนอนทับตะวัน ตื่นมาเลยใจสั่นๆ”
มานิตวางถาดอาหาร
“ผมว่าทานยาบำรุงหัวใจสักหน่อยดีมั้ยครับ เดี๋ยวผมไปหยิบมาให้”
“ขอบใจมาก”
มานิตเดินออกไป อาทิตย์ยังหมกหมุ่นกับความฝัน
“ขอให้ลูกปลอดภัยกลับมานะมะปราง...”
อาทิตยรังสีพึมพำเบาๆ ด้วยความกังวล

เกษราและชินกรวิ่งมาไกลพอควร เกษรายังตาแดงๆ สะอึกสะอื้นอยู่ ชินกรมองไปรอบๆ เห็นว่าไม่มีใครตามแล้ว มองขึ้นไปบนฟ้าเห็นว่าเริ่มจะมืด
“คงไม่มีใครตามมาแล้ว ฉันว่าเราควรจะรีบหาที่พักก่อนจะมืดไปกว่านี้”
ชินกรเดินนำไป เกษรายังยืนร้องไห้อยู่ สับสน เสียใจ ชินกรได้ยินเสียงสะอื้นก็หันมา เกษราร้องไห้ ชินกรเห็นใจ เดินมาปลอบใจ
“ใจเย็นๆนะก้อง ข้างล่างเป็นน้ำ พวกเขาอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้”
เกษราจุกพูดไม่ออก พยายามจะกลั้นน้ำตาทำเข้มแข็ง พยักหน้ารับ
“วันนี้เราคงกลับไปที่ปราสาทไม่ทัน ตอนนี้อยู่มุมไหนของป่าก็ไม่รู้ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่อ บางที...คุณชายใหญ่กับตะวันอาจจะไปรอเราที่ปราสาทแล้วก็ได้...ทำใจดีๆไว้นะ”
ชินกรยิ้มนิดๆปลอบใจ
“ครับ”
ชินกรลูบหัวเกษราปลอบใจ ในวูบนั้น เกษราชะงักนิดๆ รู้สึกอบอุ่นใจอย่างประหลาด ชินกรก็ชะงัก...นี่
เรากำลังเคลิ้ม เขารีบดึงมือกลับ เก็บมือเข้ากระเป๋า และทำเสียงเข้มขึ้นมานิดนึง แต่ไม่มากจนผิดปกติ
“ตรงโน้นมีต้นไม้ ฉันว่าเราน่าจะทำเพิงที่พักได้ รีบไปกันเถอะ”
ชินกรรีบหันหลังและเดินนำไป กลบเกลื่อนความเขิน เกษราค่อยๆหันมองมาข้างหลัง ด้วยความหวังริบหรี่ว่าระวีรำไพกับธราธรจะตามมา แต่ก็มีแต่ป่าว่างเปล่า เกษราใจหายวาบน้ำตาร่วงอีกรอบ เธอปาดน้ำตาด้วยความเสียใจ

บริเวณที่ระวีรำไพลื่นลงไป อีริคกับพรานสมยืนเฝ้าอยู่ มีสมุนคอยส่องลงไปที่น้ำตกข้างล่าง สักพักสมุนสองคนเดินมารายงาน
“ไม่มีร่องรอยของคนรอดเลยครับนาย”
พรานสมออกความเห็น
“น้ำแรงขนาดนี้ ถ้าไม่สำลักน้ำตาย ก็คงจะหัวฟาดหินตายไปแล้วล่ะครับ ผมว่า...ไม่ต้องรอ ไม่รอดแน่”
อีริคโยนกระเป๋าให้พรานสม
“กลับ”
อีริคเดินนำไป พรานสมก้มมองกระเป๋าแล้วก็จำได้...

มือของธราธรโผล่ขึ้นมาจับที่โขดหินไว้ มั่บ สักพักเขาก็ดึงตัวเองสุดแรงโผล่ขึ้นจากโขดหิน
“อ๊าก”
ธราธรยันตัวขึ้นมา อีกมือหนึ่งรั้งตัวระวีรำไพที่หน้าซีด หมดสติ ขึ้นมาด้วย ธราธรยันตัวรวบรวมแรงสุดท้าย เหวี่ยงตัวเธอขึ้นมาบนโขดหินที่แห้ง

“อ๊าก”

ร่างระวีรำไพนอนสลบอยู่บนโขดหินยังไม่ได้สติ เขาปีนขึ้นมานั่งอยู่ข้างๆพลางหอบ พยายามรวบรวมแรงกลับมาเขย่าตัวระวีรำไพด้วยความเป็นห่วง
“น้องปราง...น้องปราง...น้องปราง”
ระวีรำไพไม่ตอบธราธรใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางแตะที่เส้นเลือดใหญ่ข้างลำคอ แล้วโล่งอกที่หัวใจยังเต้น แต่พออังที่จมูกก็รู้ว่าไม่หายใจ ธราธรหน้าเสีย
“ไม่หายใจ”
ธราธรก้มลงผายปอด สลับกับปั๊มหัวใจ สักพักระวีรำไพก็สำลักน้ำพรวดออกมา
“น้องปราง น้องปรางได้ยินพี่มั้ยคะ...น้องปราง” ธราธรดีใจ
ระวีรำไพค่อยๆลืมตาอย่างเบลอ มึน เห็นหน้าธราธรเบลอๆ
“น้องปรางได้ยินพี่มั้ยคะ”
ระวีรำไพพยักหน้า...เหนื่อยๆ เบลอๆ พูดเสียงเหนื่อย
“พี่...ชาย..ใหญ่...ขอบคุณมากค่ะ...ขอบคุณมาก”
ระวีรำไพยิ้มน้อยๆ ธราธรยิ้มอย่างดีใจ ทั้งโล่งอก ทั้งมีความสุข ธราธรดึงเธอมากอดอย่างลืมตัว เป็นกอดที่แนบแน่น และเต็มไปด้วยความรักที่มีต่อกัน ระวีรำไพน้ำตาร่วงอยู่ในอ้อมกอดของเขาเหมือนกับตายแล้วเกิดใหม่...ทั้งสองคนกอดกันอยู่ที่ริมน้ำ

สระน้ำแห่งหนึ่ง...พุฒิภัทรกระโดดลงน้ำ และว่ายอย่างเท่ เขาว่ายไปมาจนพอเหนื่อย ก็ยันตัวขึ้นขอบสระ พลางหอบ...พุฒิภัทรเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวที่วางอยู่ไม่ไกล กล้ามเป็นมัด อัดแน่น ต่างจากภาพลักษณ์อันเคร่งขรึมภายนอก ทันใดนั้นเอง...เสียงปวรรุจก็ดังขึ้น
“ชายภัทร”
พุฒิภัทรหันมา
“มีเรื่องด่วนที่เราต้องปรึกษากัน”
ปวรรุจยืนอยู่ที่ริมสระอย่างเท่ พุฒิภัทรขมวดคิ้วด้วยความแปลกใจ เกิดอะไรขึ้น

รณพีร์กำลังเล่นรักบี้อย่างดุเดือดอยู่ที่สนาม สักพักรัชชานนท์เดินมายืนอยู่ที่ริมสนาม ลูกรักบี้กระเด็นออกนอกสนามมาพอดี รัชชานนท์รับไว้ หมั่บ รณพีร์และเพื่อนๆชะงัก มองคนรับลูกที่ยืนอยู่
“ชายเล็ก”
“พี่ชายรุจ กับพี่ชายภัทรรออยู่ บอกว่ามีเรื่องสำคัญจะคุยด้วย”
รณพีร์ขมวดคิ้ว เรื่องอะไร รัชชานนท์ปาลูกรักบี้กลับคืนไป รณพีร์รับไว้หมั่บ

ค่ำนั้นที่วังจุฑาเทพ...นรณพีร์ รัชชานนท์ ปวรรุจ และพุฒิภัทร นั่งคุยกันอยู่ในห้องกระจก รณพีร์ถามด้วยความแปลกใจ
“คณะนักศึกษากลับมาแล้ว แต่พี่ชายใหญ่ยังไม่กลับมาเหรอครับ”
ปวรรุจพยักหน้า
“ใช่ วันนี้พี่ไปทำธุระที่มหาวิทยาลัยของพี่ชายใหญ่ เห็นคณะนักศึกษา แต่ไม่มีใครตอบได้ว่าทำไมพี่ชายใหญ่ คุณชายอาทิตย์ อาจารย์ชินกร แล้วก็ตะวันกับก้องเกียรติ์”
รัชชานนท์กับรณพีร์ขมวดคิ้ว
“เอ๊ะ”
พุฒิภัทรแทรกขึ้น
“น้องมะปรางกับคุณเกษ”
รัชชานนท์กับรณพีร์พูดพร้อมกัน
“อ๋อ...ลืมไปเลย แหะๆ”
ปวรรุจพูดต่อ
“ไม่มีใครรู้ว่าทำไม 5 คนนั้นไม่ได้กลับมาด้วย”
รณพีร์เดา
“อาจจะอยากอยู่เที่ยวต่อก็ได้นะครับ”
ปวรรุจแย้ง
“ถ้าพี่ชายใหญ่จะอยู่เที่ยวต่อ อย่างน้อยต้องเขียนจดหมายฝากมาให้บอกที่วัง หรือไม่ก็ต้องเข้าเมืองมาโทรศัพท์บอกโดยตรง แต่อยู่ๆเปลี่ยนแผนโดยไม่บอกกล่าว แสดงว่า...”
รัชชานนท์ต่อ
“ต้องมีเรื่องด่วน หรือเรื่องคอขาดบาดตาย จนทำให้ลืม”
ปวรรุจพยักหน้า
“ใช่”
รณพีร์เดาอีก
“หรือว่าเรื่องสุขภาพของคุณอา”
พุฒิภัทรแย้ง
“ไม่น่าจะใช่...เพราะถ้าใช่พี่ชายใหญ่ต้องเรียกตัวฉันไปช่วย แต่นี่ไม่เห็นบอกอะไร”
ทั้ง 4 คุณชายคิดเครียด รณพีร์ครุ่นคิด
“เรื่องนั้นก็ไม่ใช่ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ ตกลงมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่”
ปวรรุจหน้าเครียด
“แต่ไม่ว่าจะเป็นเพราะอะไร...เราจะให้หม่อมย่ากับย่าอ่อนรู้เรื่องนี้ไม่ได้เป็นอันขาด ถ้ารู้คงจะบุกไปที่แคมป์ทันที แล้วก็ต้องไปเจอคุณเกษกับน้องมะปรางแต่งเป็นชาย พอถึงตอนนั้น...วังแตกแน่”
ทุกคนพยักหน้าเห็นด้วย รัชชานนท์สรุปปิดท้ายด้วยความหนักใจ
“นี่เรามีเรื่องต้องปิดบังหม่อมย่าเพิ่มขึ้นมาอีกแล้วเหรอเนี่ย...ไม่ชอบเลย เมื่อไหร่พี่ชายใหญ่จะกลับมาสักที...เฮ่อ”

คุณชายอีก 3 คนก็ถอนหายใจตามไปด้วยอย่างกลุ้มใจ

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 8 (ต่อ)

ปลายน้ำตกน้ำไม่แรง...ธราธรกำลังทำเพิงที่พัก ระวีรำไพนั่งหลับพิงต้นไม้อยู่ข้างๆ ธราธรใช้ใบไม้รองที่พื้นป้องกันความชื้น ปักไม้ลงเป็นหลักซ้ายขวา ใช้ไม้อีกอันพาดกลางทำเป็นคาน ใช้เถาวัลย์มัด เขาใช้ไม้วางทแยงมุมจากคานลงที่พื้น เรียงเป็นแนวหลังคา แล้วใช้ใบไม้ที่หักมาเป็นช่อๆวางสุมบนราวทำเป็นหลังคา ดูแล้วน่านอนมาก
จากนั้นธราธรทำที่ดักปลามีปลาว่ายอยู่ในลำธาร บริเวณที่น้ำไม่แรง เขาวางหินล้อมเหมือนขังปลาไว้แล้ววิดน้ำออกเกือบหมด มีปลา 5-6 ตัวว่ายในน้ำตื้นๆ เขามองด้วยความพอใจ
เพิงสร้างเสร็จเรียบร้อย ธราธรมองด้วยความพอใจ และ หันมาทางระวีรำไพที่ยังนั่งหลับอยู่ เขาเดินมาหา
“น้องปราง...”
ระวีรำไพไม่ตื่น ธราธรเขย่า
“ปราง...น้องปราง”
เธอก็ยังไม่ตื่นอีก ธราธรคิดแล้วก็ตัดสินใจอุ้มมาวางไว้ในเพิงที่พักที่มีใบไม้รองอยู่เรียบร้อย เขามองเธอที่สภาพเปียกชุ่ม
“เสื้อผ้าเปียกไปหมดเลย ปล่อยไว้ไม่ดีแน่”
ธราธรคิดๆ มองไปรอบๆ แล้วก็สะดุดตากับกระเป๋าเป้ของระวีรำไพที่ถูกน้ำพามาติดอยู่ในซอกหิน เขายิ้มด้วยความดีใจแล้วรีบเดินไปหยิบกระเป๋ามาทันที เขาเปิดดูมีเสื้อผ้าเปียกๆ ห่อข้าวเหนียวชุ่มน้ำ เนื้อแห้งที่เปียกไปหมด และ...มีดพก ธราธรมองแล้วก็คิดๆ

ระวีรำไพนอนหนาวสั่นอยู่ในเพิงดูน่าสงสาร ธราธรเดินมาพร้อมกับกิ่งไม้ และใบไม้แห้ง เขาวางสรรพสิ่งแล้วหันเห็นระวีรำไพนอนสั่นอยู่ก็พูดปลอบใจ
“พี่ก่อไฟให้นะคะ จะได้อุ่นๆ”
ระวีรำไพพยักหน้าเพ้อๆ เหมือนได้ยินแว่วๆ แบบไร้สติ ธราธรมองด้วยความสงสารและรีบหันมาหยิบเปลือกไม้สนที่ตัดมาจากในป่า ใช้มีดเล็กตอกลงไปและแยกให้เป็นท่อนเล็กๆวางบนก้อนหินแห้งๆ และใช้หินอีกก้อนถูๆๆจนเกิดประกายไฟติดที่เปลือกไม้ที่มียางทำให้ติดไฟ ฟึ่บ

ค่ำนั้น...กองไฟลุกสว่างสไวอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดมิดลง เสื้อผ้าเปียกๆของระวี
รำไพที่เจอในกระเป๋าและที่ธราธรที่ใส่อยู่ก่อนหน้านี้ ถูกเสียบไว้ในไม้และวางไว้รอบๆกองไฟเพื่อทำให้แห้ง
รอบกองไฟยังมีปลาเสียบไม้วางไว้รอบๆ ธราธรอยู่ในสภาพเปลือยอก จับเสื้อผ้าที่เสียบอยู่ในไม้แล้วรู้สึกว่าแห้งใช้ได้ จึงหยิบออกมาและเดินมาเรียกระวีรำไพที่นอนสั่นอยู่
“น้องปรางเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่ะ พี่เอาชุดในกระเป๋ามาตากจนแห้งแล้ว จะได้ไม่หนาว”
ระวีรำไพยังนอนไม่รู้เรื่อง
“น้องปรางคะ...น้องปราง” เขาจับตัวเธอแล้วก็สะดุ้ง “โห ตัวร้อนจี๋เลย”
ธราธรมองระวีรำไพที่นอนหลับปากสั่น กอดอกแน่นด้วยความหนาว
“ทำยังไงดี” เขาลองเรียกอีกที “ปรางคะ น้องปรางคะ ...น้องปราง”
ระวีรำไพนอนนิ่งไม่หือไม่อือ จนเขาเริ่มไม่สบายใจ ตัดสินใจ
“พี่ขอโทษนะครับ มัน...จำเป็นจริงๆ”
ธราธรหันไปหยิบเสื้อตัวเองมาคลุมตัวระวีรำไพไว้แล้วก็ค่อยล้วงมือเข้าไปใต้เสื้อ เพื่อทำการถอดชุดออก แต่พอสอดมือเข้าไป ระวีรำไพก็หันหน้านอนหงายมือธราธรอยู่ในตำแหน่งของหน้าอกพอดี เขาสะดุ้งโหยง
“อุ้ย ขอโทษครับ พี่ไม่ได้ตั้งใจ”
เขาเห็นเธอยังนอนหลับอยู่ ก็โล่งอก
“เฮ่อ...”
ธราธรถอนใจแล้วก็ตั้งหน้าตั้งตาถอดเสื้อผ้าให้ระวีรำไพต่อไป ด้วยความตื่นเต้นระทึกใจ และไม่เคย

เสื้อผ้าเปียกของระวีรำไพถูกวางกองไว้ ทั้งวิก ทั้งเสื้อรัดหน้าอก ทุกสิ่งทุกอย่าง วางสุมไว้อยู่ ธราธรนั่ง
ถอนใจอย่างโล่งอก
“เสร็จสักที เฮ่อ...”
ธราธรหันมามองเธออีกครั้ง ระวีรำไพเปลี่ยนชุดเรียบร้อย ไม่ได้ใส่วิก นอนหลับหน้าซีด ปากสั่นๆอยู่ที่เดิม ธราธรลูบผมเบาๆ ด้วยความสงสารและเป็นห่วง
“ทนอีกหน่อยนะมะปราง อ่อนศรีกำลังพาตำรวจมาช่วยเราแล้ว”
ธราธรพูดอย่างมีหวัง ระวีรำไพยังนอนสั่นไม่รู้ตัว

กระเป๋าธราธรวางอยู่ตรงหน้า เอ็ดเวิร์ดหยิบมาดูหน้าเคียดแค้น
“ไอ้คุณชายมันตามเรามาที่นี่ได้ยังไง”
ทุกคนเงียบ ไม่มีคำตอบ เอ็ดเวิร์ดปากระเป๋า
“จับตัวมันมาให้ได้ ก่อนที่มันจะพาพวกเราซวยกันหมด”
อีริคแสยะยิ้ม
“คงเอาตัวมันมาไม่ได้ เพราะมันกับพวกตกหน้าผาตายกันไปหมดแล้ว”
พรานสมเสริม
“หน้าผาสูงขนาดนั้น น้ำก็เชี่ยวไม่น่าจะรอด”
“ถ้าคิดว่ามันไม่รอด ก็เอา ศพ มันมาให้ได้ ฉันต้องการหลักฐานยืนยันว่าพวกมัน ตายแล้วจริงๆ”
อีริคมั่นใจ
“ได้เลย ถ้าคุณไม่สบายใจ พรุ่งนี้เช้าผมจะกระจายกำลังออกตามหา ศพ ไอ้คุณชายกับพรรคพวกมาให้คุณได้เห็นกับตา ถ้าเอามาทั้งตัวไม่ได้ จะตัดแขนมาเป็นหลักฐาน”
“ดี...แล้วฉันจะคอยดู”
เอ็ดเวิร์ดหันไปมองกระเป๋าธราธรอีกครั้งด้วยความขัดเคืองใจสุดๆ

กองไฟในป่าอีกมุมหนึ่ง เสียงสะอึกสะอื้นของเกษราดังขึ้น เธอนั่งกอดเข่าร้องไห้อยู่หน้า
กองไฟ รอบๆมีเพิงลักษณะคล้ายกับของธราธร แต่ไม้คานพาดกับต้นไม้สองต้น ชินกรหยิบของจากเป้
ออกมาเป็นข้าวเหนียวกับเนื้อตากแห้ง เขาเดินมายื่นให้เธอ
“กินข้าวก่อนนะก้อง พรุ่งนี้จะได้มีแรงเดิน”
เกษราปาดน้ำตา
“กินไม่ลงครับ ผมขอโทษ ผมเหนื่อย”
เกษราน้ำตาร่วงอีก ดูเหนื่อยเพลียมาก ชินกรนั่งลงข้างๆ วางของกินไว้ แล้วก็โอบไหล่ปลอบใจ
“ฉันบอกแล้วไง พวกเขาอาจจะไม่เป็นอะไรก็ได้”
ด้วยสัญชาตญาณชินกรโอบเกษราเข้ามาปลอบ อีกนิดจะเป็นกอด
“อย่าร้องไห้เลยนะ”
เกษราพยักหน้านิดๆ กำลังอยู่ในอารมณ์อ่อนไหว เขาโอบมากอดเธอก็เอนไปตามแรง ชินกรพูดต่อ
“สิ่งที่เราทำได้ในตอนนี้ก็คือ...ตามจับพวกโจรทั้งหมดให้ได้ ต้องให้พวกมันได้รับกรรมที่ก่อไว้อย่างสาสมที่สุด รวมทั้งมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด เราจะต้อประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าเขาเป็นคนหน้าเนื้อใจเสือขนาดไหน”
เกษรารับเบาๆ เหนื่อยมากๆ
“ครับ...”
“สำหรับวันนี้...นอนหลับเอาแรงกันก่อน พรุ่งนี้เราจะได้ออกเดินทางแต่เช้า”
ชินกรพูดจบ เกษราก็ไหลลงมาซบที่ไหล่พร้อมกับหลับนิ่ง

“อ้าว”

เกษราหลับลึกมาก คอพับคออ่อนลงพิงที่ไหล่เขา ชินกรถึงกับขำเบาๆมองหน้าเกษราที่หลับอยู่ในอ้อมกอด แล้วก็ยิ้มอย่างมีความสุข ในแว่บนั้น...ใบหน้าของเกษราแว่บเข้ามา สายตาชินกรเห็นเป็นเกษรานอนหลับอยู่ในอ้อมกอดของตัวเอง ชินกรเผลอหลับตาแล้วก็กอดกระชับเธอไว้อย่างแน่น ด้วยความรัก...เกษราหลับไม่รู้เรื่อง

ธราธรใส่เสื้อ เสื้อผ้าที่แห้งแล้ว เสียงระวีรำไพครางด้วยความหนาวดังแว่วๆมา เขาหันไปดู เห็นเธอนอนตัวสั่นเพราะพิษไข้ ธราธรตกใจรีบวิ่งมาจับที่หน้าผากแล้วก็สะดุ้ง
“ตัวร้อนมากเลย”
ธราธรคิดหาทางช่วย ระวีรำไพนอนสั่นด้วยความหนาวเย็น เขาลุกไปจับเสื้อผ้าที่ตากรอบกองไฟก็ยังไม่แห้ง เขาหันกลับมามองเธอแล้วก็คิด
“พี่ขอโทษนะคะน้องปราง...มันเป็นวิธีเดียวที่จะทำให้น้องปรางอุ่นได้”
ขาดคำเขาก็ค่อยๆ เอนตัวลงนอนข้างๆเธอแล้วก็กอดไว้อย่างอบอุ่น เธอซุกตัวเข้าสู่อ้อมกอด
ของเขาด้วยสัญชาตญาณ ธราธรใจเต้นแรง ตื่นเต้นอย่างหนัก แล้วก็กอดรับเธอเข้าไว้ในอ้อมกอดอย่าง
อบอุ่น เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ชินกรค่อยๆวางเกษราไว้ที่พื้นที่มีใบไม้รองอยู่ เธอนอนแล้วก็ผวาเหมือนฝันร้าย
“พี่ชายใหญ่...พี่ชายใหญ่...”
ชินกรมองด้วยความสงสัย และสงสาร เกษรายังนอนผวาอยู่ เขาเห็นแล้วก็ทนไม่ได้ตัดสินใจค่อยๆเอนตัวลงนอนตะแคงติดกับด้านหลังของเธอและวางแขนกอดเธอไว้ด้วยความรัก

ระวีรำไพนอนอยู่ในอ้อมกอดของธราธรอย่างอบอุ่น กอดแบบหันหน้าหากัน ธราธรมีความสุขและจุมพิตเบาๆที่หน้าผากระวีรำไพ
ชินกรตอนแรกแววตาสับสนอยู่เล็กๆ ที่กอดผู้ชายแต่สักพักก็ตัดใจสลัดความกังวลและกอดเกษราอย่างมีความสุข...

เช้าวันต่อมา อ่อนศรีมาถึงสถานีตำรวจ ในสภาพเหนื่อยมากเพราะเดินมาทั้งวันทั้งคืนไม่ได้นอน...เขาสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆ พร้อมกับรวบรวมแรง แล้วเดินเข้าไปอย่างมีหวัง
จดหมายของธราธรอยู่ในมือ ตำรวจอ่านด้วยความไม่วางใจ แล้วก็เงยหน้ามองอ่อนศรีที่ยืนอยู่
ตรงหน้าในสภาพมอมแมม และเหนื่อยอ่อน ไม่น่าเชื่อถือสุดๆ
“จดหมายขอความช่วยเหลือจากหม่อมราชวงศ์ธราธร จุฑาเทพ ขอให้ส่งกำลังตำรวจเข้าไปช่วยจับพวกโจรล่าสมบัติในป่า”
“ขอรับท่าน”
ตำรวจมองหน้าอ่อนศรีไม่วางใจ
“คุณชายฝากให้ลุง” ตำรวจมองอ่อนศรีศรีษะจรดปลายเท้า “เอาจดหมายฉบับนี้มาให้ตำรวจ”
“ขอรับท่าน”
“ผมคงไปไม่ได้”
อ่อนศรีติดพัน
“ขอรับท่าน” แล้วเขาก็ชะงัก “เอ๊ะ ท่านว่าอะไรนะครับ”
“ผมคงส่งกำลังไปตามที่ลุงบอกไม่ได้...จดหมายที่ลุงถือมาเป็นลายมือของหม่อมราชวงศ์ธราธรจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ มีโจรล่าสมบัติจริงหรือเปล่าก็ไม่มีใครรู้อีก” ตำรวจเลื่อนจดหมายออกไป “ผมคงทำตามที่ลุงต้องการไม่ได้”
“แต่จดหมายฉบับนี้เป็นลายมือของคุณชายธราธรจริงๆนะขอรับ และพวกโจรมันก็อยู่ในป่าจริงๆ ถ้าไม่รีบส่งกำลังเข้าไป คุณชายและทีมสำรวจอาจจะเป็นอันตรายได้นะขอรับ”
ตำรวจยื่นข้อเสนอ
“เอาอย่างนี้...ถ้าลุงหาพยานที่น่าเชื่อถือ มายืนยันว่าจดหมายฉบับนี้เป็นลายมือคุณชายธราธร และในป่ามีโจรอยู่จริงๆ ผมจะส่งกำลังไปเลย ลุงหาพยานมาได้หรือเปล่าหล่ะ”
อ่อนศรีคิดถึงอาทิตยรังสีทันที

ไฟหน้าเพิงที่พักในป่ามอดลงแล้ว เกษรากับชินกรนอนกอดกันอยู่ เธอค่อยๆลืมตาขึ้นด้วยอาการ
งัวเงียแล้วก็ชะงักนิดๆ เพราะรู้สึกถึงแขนอันกำยำที่พาดผ่านกอดตัวเองอยู่ เธอหันขวับมาด้านหลังเห็นว่า
เจ้าของแขนเป็นชินกรก็ตกใจ ลืมตาโพลง ความง่วงหายไปเป็นปลิดทิ้ง ส่งเสียงด้วยความตกใจ
“อาจารย์ชินกร”
ชินกรก็ตกใจตื่นลืมตาโพลง เห็นว่ากำลังนอนกอดเกษราอยู่ หน้าเธออยู่ใกล้ในระยะปลายจมูก เขาตกใจพร้อมกับกระเด้งตัวขึ้นตามสัญชาตญาณ
“เฮ้ย ฉันขอโทษ”
ชินกรและเกษราผงะ แยกออกจากกันอย่างรวดเร็ว ชินกรรีบบอก
“ฉันเห็นนายนอนผวา แล้วก็เรียกหาคุณชายใหญ่ ฉันก็เลยคิดว่านายคงเหมือนฝันร้าย ฉันก็เลย...เลย...” ชินกรก้มๆหน้าอายจัง “ถือวิสาสะกอดปลอบใจนาย”
เกษราใจเต้นโครมคราม อายมาก...ชินกรก้มหน้าก้มตาพูดต่อด้วยความเขิน
“ถ้าฉันทำให้นายตกใจ ฉันต้องขอโทษด้วย ฉันไม่ได้ตั้งใจจะล่วงเกินหรือฉวยโอกาสใดๆทั้งสิ้น”
เกษรารีบบอก
“ไม่เป็นไรครับ ผม...ผมเข้าใจ”
ชินกรเงยหน้ามองเกษรา ส่งสายตาแอบอ้อน
“เข้าใจ...แปลว่า...นายไม่โกรธฉันใช่มั้ย”
เกษรามองตาตอบ แล้วก็ใจเต้นโครมคราม
“ไม่โกรธครับ”
ชินกรยิ้มน่ารัก
“งั้นคราวหน้าถ้านายนอนผวาอีก...”
ชินกรยังพูดไม่จบ เกษรารีบสวน
“ไม่ต้องกอดแล้วครับ”
ชินกรชะงัก
“ผม...ผมดูแลตัวเองได้”
เกษราตอบเขินๆ ชินกรแอบผิดหวังเล็กๆ เกษรารีบเปลี่ยนเรื่อง
“ผมคิดว่าเรารีบเดินทางไปกันดีกว่าครับ” เธอลุกพรวดขึ้น “ถ้าโชคดี...อาจารย์หม่อมกับตะวันอาจจะไปรอเราอยู่ที่ปราสาทแล้วก็ได้”
เกษราพูดจบก็รีบเดินไปกระเป๋าเป้ที่วางอยู่ใต้ต้นไม้ ชินกรมองตามแล้วก็คิดตัดสินใจอะไรบางอย่าง เกษราหยิบกระเป๋ากำลังจะสะพายขึ้นบ่า ชินกรเดินมาหาและพูดขึ้น
“ก้อง เดี๋ยวก่อน”
เกษราชะงักกึกหันมา ชินกรยืนจังก้า เตรียมเปิดใจ
“เรื่องคุณชายใหญ่...ฉันอยากให้นายทำใจเอาไว้บ้าง”
เกษราหน้าเสียแววตากลับมาเศร้าเหมือนเดิม ชินกรพูดต่อ
“ฉันรู้ว่ามันยาก แต่นายก็ต้องยอมรับความจริงให้ได้”
เกษราพยักหน้ายอมรับเศร้าๆ
“ถ้าคุณชายโชคดีรอดชีวิตก็ถือว่าเป็นข่าวดี แต่ถ้าคุณชายเธอโชคร้าย...ไม่ได้กลับมา”
เกษราน้ำตาคลอๆ

“ฉัน...” ลังเล...แล้วก็เอาวะตัดสินใจ “ฉันขอแทนที่คุณชายใหญ่ได้หรือเปล่า”

น้ำตาเกษราที่กำลังจะไหล ชะงักกึก เหมือนถูกดึงกลับเข้าไปในต่อมน้ำตา เงยหน้ามองชินกร
“ถ้าคุณชายใหญ่เป็นพี่ชายที่แสนดีของนาย ฉันก็จะพยายามเป็นพี่ชายที่ดีของนายเช่นกัน หรือถ้าคุณชายเป็นคนพิเศษ...ฉันก็ยินดีที่จะเปิดใจกว้างยอมรับหัวใจตัวเอง”
ชินกรพูดไปก็หน้าแดงไป อาย...เกษราอึ้งช็อก มึน ไม่รู้ว่าจะดีใจหรือตกใจ เธอทำอะไรไม่ถูกหัน
หลังขวับให้เขาทันที ชินกรไม่ลดละ พุ่งเข้ามาหาและจับไหล่เธอหมุนกลับมาประจันหน้ากันระยะใกล้
“นายคงคิดว่าฉันเป็นพวกผิดเพศ แต่ก่อนฉันไม่เคยสนใจผู้ชาย และฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมฉันถึงสนใจนาย...นายทำให้ฉันสับสนมาตลอดจนถึงเมื่อวาน...ตอนที่เห็นนายร้องไห้ ฉันเจ็บปวด และอยากทำทุกอย่างเพื่อทำให้นายมีความสุข ตอนนั้นเองที่ฉันตอบตัวเองได้ทันที ไม่ว่านายจะเป็นเพศอะไร ฉันก็ยอมรับนายได้ทั้งนั้น...”
เกษราอึ้ง ชินกรพูดต่อพร้อมมองตา
“ก้อง...ฉันชอบนาย”
แล้วเขาก็ดึงเธอมากอดเสียง เกษราตกใจอยู่ในอ้อมกอดเขา แล้วก็รีบดันตัวออก
“อาจารย์ครับ ผมว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เราจะมาพูดเรื่องนี้กันนะครับ”
ชินกรอึ้งไป เหมือนโดนเธอตอกหน้า กระพริบตาปริบๆ เกษรารีบพูดต่อ
“เรายังมีปัญหาใหญ่รอเราอยู่ข้างหน้าตั้งเยอะ เราไม่ควรจะวอกแวกกับเรื่องอื่น จะทำให้เสียงานใหญ่นะครับ...เราอย่ามาพูดเรื่องนี้เลยนะครับ”
ชินกรสะอึกไป แล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ
“จริงสินะ นายพูดถูก ฉันไม่ควรจะพูดเรื่องนี้ตอนนี้ เอาเป็นว่า...ฉันไม่เร่งรัดก็แล้วกัน นายก็เก็บสิ่งที่ฉันพูดไปคิดดู...งั้น...เราก็เตรียมตัวเดินทางกันต่อก็แล้วกันนะ” ชินกรเสียงเข้มขึ้นมากลบนิดนึง “ไป...เราไปกันดีกว่า”
ชินกรหันหลังขวับให้จากหน้าตามั่นใจก็เปลี่ยนเป็นสับสนในทันที ยังไงวะเนี่ย กรูพูดไปแล้ว ชินกรพึมพำ
“ถ้าอาป๊า อาม่ารู้ จะทำยังไงวะเนี่ย”
เกษราแอบถอนใจเบาๆ
“เฮ่อ”
เกษราโล่งอกที่เปลี่ยนสถานการณ์ได้ แต่ก็แอบตื่นเต้น และยิ้มนิดๆรู้สึกดีแบบแปลกๆ

อ่อนศรีพาตำรวจมาหาอาทิตยรังสีที่บ้านพัก อาทิตยรังสีรู้เรื่องก็ส่งเสียงคำรามออกมาด้วยความไม่เข้าใจอย่างแรง
“ทำไมคุณยังไม่ส่งคนไปช่วย”
เจ้าหน้าที่ตำรวจ 2-3 นายยืนมองหน้าเลิ่กลั่ก มานิตกับอ่อนศรียืนอยู่ข้างๆ อาทิตยรังสีถามย้ำ
“ยังจะมาสงสัยอะไรอีก”
ตำรวจ คนเดียวกับที่สถานีอึกอัก
“คือ ผมต้องการคำยืนยันว่าจดหมายฉบับนี้เป็นลายมือของคุณชายธราธรจริงๆ ไม่ใช่จดหมายหลอกลวงน่ะครับ”
อาทิตยรังสีส่ายหน้า
“จดหมายฉบับนี้เป็นของคุณชายแน่นอน เราไม่มีความจำเป็นที่จะต้องมาแต่งเรื่องหลอกลวงพวกคุณ เราจะหลอกพวกคุณเพื่ออะไร”
ตำรวจตอบไม่ได้ อาทิตยรังสีตัดบท
“ป่านานนี้ไอ้พวกโจรห้าร้อยมันคงขโมยสมบัติออกนอกประเทศไปแล้ว และคนของผมจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” อาทิตยรังสีหันมาทางอ่อนศรี “อ่อนศรีนำทางฉันเข้าไปในป่า ฉันจะออกไปช่วยคุณชายใหญ่ด้วยตัวเอง ในเมื่อพึ่งใครไม่ได้ เราก็ต้องพึ่งตัวเอง”
ตำรวจสะอึกนิดๆ
“ครับ”
มานิตรีบบอก
“ผมไปด้วยนะครับ”
อาทิตยรังสีแย้ง
“ยัง คุณไปตอนนี้ไม่ได้ ผมอยากให้คุณเข้าไปในตัวเมืองแล้วโทรศัพท์แจ้งข่าวกับคุณชายทั้งสี่ที่วังจุฑาเทพ ผมมั่นใจว่าทันทีที่รู้ข่าวพวกเขาจะต้องรีบมาช่วยคุณชายใหญ่...อ่อนศรีทิ้งแผนที่ไว้ให้มานิต พอคุณชายทั้งสี่มาให้รีบตามเข้าไปสมทบพวกเรา”
“ครับ”
อ่อนศรีพูดพลางล้วงแผนที่ออกมา อาทิตยรังสีหันมาบอก
“ฉันขอเก็บของ 5 นาทีแล้วเราออกเดินทางกันได้เลย”
อาทิตยรังสีกำลังจะเดินออกไป ตำรวจรีบบอกขึ้น
“คุณชายครับ...ในเมื่อพิสูจน์แล้วว่าเป็นลายมือของคุณชายธราธร ผมจะรีบไปรายงานผู้บังคับบัญชาและส่งกำลังตามไปสมทบโดยด่วน”
อาทิตยรังสีตอบนิ่งๆ
“ขอบใจ ที่ไม่นิ่งนอนใจ”
ตำรวจตะเบ๊ะรับ
“ด้วยความยินดีครับผม” ตำรวจสั่งลูกน้อง “เดี๋ยวหมวดสองคนล่วงหน้าไปคอยคุ้มกันคุณชาย ผมจะตามเข้าไปพร้อมกำลังเสริม”
ตำรวจ 2 คนตะเบ๊ะรับ
”ครับผม”
ทุกคนแยกย้าย...อาทิตยรังสีไปเก็บของ ตำรวจที่สั่งงานรีบเดินออกไป มานิตเดินไปทำตามคำสั่ง อ่อนศรียืนอยู่ที่เดิม แววตาเป็นกังวล
“คุณชายอย่าเพิ่งเป็นอะไรนะครับ...พวกผมกำลังเข้าไปช่วยแล้ว”
อ่อนศรีนึกถึงธราธรและคณะด้วยความเป็นห่วง

ในวังจุฑาเทพ...โทรศัพท์ดังต่อเนื่อง ปวรรุจเดินเข้ามารับ
“สวัสดีครับ ที่นี่วังจุฑาเทพผมหม่อมราชวงศ์ปวรรุจพูดสายครับ” ปวรรุจฟังแล้วตกใจ “พี่ชายใหญ่ตกอยู่ในอันตราย”

คุณชายทั้งสี่ปรึกษากันอยู่ในห้องประจำ ทั้งสี่คนอยู่ในอาการกระตือรือร้นและเป็นห่วงธราธร ปวรรุจรายงานต่อ
“คุณมานิตเจ้าหน้าที่กรมแจ้งว่าตอนนี้พี่ชายใหญ่ติดอยู่ในป่าพร้อมกับอาจารย์ชินกร และลูกศิษย์อีก 2 คน ชื่อ ก้องเกียรติ์ กับตะวัน ทั้งสี่คนออกสำรวจปราสาทชุดใหม่ และไปเจอเข้ากับพวกโจรล่าสมบัติโดยบังเอิญ ตอนนี้ทั้งสี่คนยังติดอยู่ในป่า คุณอาอาทิตย์และพรานผู้ช่วยพร้อมกับตำรวจอีก 2 นายกำลังตามเข้าไปช่วย”
รณพีร์โพล่งขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง
“แค่นั้นไม่พอหรอกครับ ผมจะติดต่อขอความช่วยเหลือไปทางคุณลุงอนุพันธ์ เพื่อขอกำลังจากตำรวจตระเวณชายแดนในพื้นที่เข้ามาช่วย”
พุฒิภัทรงงๆ
"คุณลุงอนุพันธ์ไหน”
“ก็คุณลุงอนุพันธ์น้องชายคุณลุงเทวพันธ์ พ่อไอ้ชัชเพื่อนผมที่มาเที่ยวเล่นที่วังบ่อยๆ ตอนนี้คุณลุงอนุพันธ์เป็นนายพลใหญ่ และเรื่องนี้ก็เป็นปัญหาระดับชาติ คุณลุงขอกำลังในพื้นที่ส่งไปช่วยเราได้อยู่แล้ว”
พุฒิภัทรพยักหน้า

“ดี พี่จะติดต่อขอยืมอุปกรณ์ช่วยชีวิตภาคสนามจากทางโรงพยาบาลติดไปด้วย”

รัชชานนท์ดูนาฬิกา
“ถ้าเราออกจากที่นี่ตอนนี้ เราจะถึงที่แคมป์ตอนหัวค่ำ ผมว่าเรารีบแยกย้ายกันไปเก็บของดีกว่า ยิ่งออกเร็ว ยิ่งถึงเร็ว”
รณพีร์ และ พุฒิภัทรพยักหน้ารับ กำลังจะแยกย้ายกันไปเก็บของ ปวรรุจก็จุดประเด็นขึ้นมา
“เดี๋ยว”
ทุกคนหันมา
“เรายกขบวนกันไปแบบนี้...เราจะบอกหม่อมย่าเอียด และย่าอ่อนว่ายังไง”
ทุกคนชะงักกึก หยุดคิด

หม่อมเอียดถามด้วยความสงสัย
“ชายใหญ่ชวนชายทั้งสี่ไปเที่ยวที่ปราสาท”
คุณชายทั้งสี่อยู่ในชุดเตรียมเดินทาง สี่คนมองหน้ากันแล้วก็อ้อมๆแอ้มๆ เออออกันไป ปวรรุจรับคำ
“ครับ ใช่ครับ พี่ชายใหญ่เสร็จงานเร็วกว่ากำหนด เลยอยากให้พวกเราไปหา พี่ชายใหญ่เห็นว่าชายภัทรกับชายเล็กเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ไม่ค่อยได้ไปเที่ยวประเทศไทยน่ะครับ”
สามคุณชายรีบสนับสนุน
“ครับๆ ใช่ครับ”
ย่าอ่อนคิดแล้วก็ยิ้ม
“ก็ดีนะคะคุณพี่ พี่ภัทรกับชายเล็กไปเที่ยวกับชายใหญ่ จะได้มีไกด์เล่าประวัติความเป็นมาของประเทศไทยให้ฟัง ไปอยู่เมืองนอกเมืองนาซะนานอย่างน้อยๆจะได้ไม่ลืมความเป็นไทย”
สี่คุณชายรีบสนับสนุน
“ครับๆ ใช่ครับ”
ย่าอ่อนเห็นดีด้วย
“น้องว่าน่าสนุกดีนะคะ...เราสองคนไปกับหลานๆด้วยดีมั้ยคะ”
สี่คุณชายจากที่พยักหน้า เมื่อกี๊ถึงกับชะงักกึก หะ
“เอ่อ”
รณพีร์รีบบอก
“อย่าเลยครับคุณย่า”
ย่าอ่อนหันมา
“อ้าวทำไมล่ะ ย่าก็อยากไปเที่ยวดูปราสาท ดูความงามของโบราณสถานของไทยเหมือนกันนะ ทำไมย่าไปไม่ได้ มีอะไรหรือเปล่า”
รณพีร์รีบเข้ามาอ้อน
“ไม่มีอะไรหรอกครับคุณย่า...ผมก็แค่เป็นห่วง” เขาบีบนวดย่าอ่อนเอาใจ “ไม่อยากให้คุณย่ากับหม่อมย่าต้องไปตกระกำลำบาก เพราะปราสาทชุดนี้ยังบูรณะไม่เสร็จ ทั้งการเดินทาง ที่อยู่อาศัยก็ยังไม่พร้อม เอาไว้ถ้าทุกอย่างสมบูรณ์เมื่อไหร่ ผมจะเป็นคนขับรถพาหม่อมย่ากับคุณย่าไปเที่ยวด้วยตัวเองเลยครับ...นะครับ...ครั้งนี้อย่าเพิ่งไปเลยนะครับ”
ย่าอ่อนเห็นรณพีร์เอาใจก็เริ่มใจอ่อน หม่อมเอียดตัดบท
“ชายพีร์พูดถูก ครั้งนี้ปล่อยให้หนุ่มๆไปกันเถอะ คราวหน้าเราค่อยไปกันตามประสาสาวๆบ้าง อาจจะชวนหนูเกษ และน้องๆไปด้วย ให้ชายใหญ่เป็นไกด์ ชายพีร์เป็นสารถีก็ดีเหมือนกัน”
รณพีร์ชะงัก สาวบ้านโน้นไปด้วยเหรอ ย่าอ่อนคิดแล้วเห็นด้วย
“งั้นก็ได้ค่ะ น้องเห็นตามคุณพี่...ครั้งนี้ย่ายังไม่ไป แต่ครั้งหน้าที่ย่าไป ชายพีร์ห้ามผิดสัญญานะ”
รณพีร์หน้าเสียนิดๆ รัชชานนท์ได้ทีรีบซ้ำ
“ชายพีร์ไม่ผิดสัญญาอยู่แล้วครับคุณย่า ยิ่งน้องรัมภาไปด้วย ชายพีร์ยิ่งเต็มใจ”
รณพีร์หันขวับมาทางรัชชานนท์ที่ยิ้มกริ่มอย่างสะใจ รณพีร์หลิ่วตา...ฝากไว้ก่อนเหอะ พุฒิภัทรเห็นว่าทุกอย่างลงตัวรีบขอตัว
“รถมารออยู่ที่หน้าวังแล้ว พวกเราขอลาไปก่อนนะครับ เสร็จธุระแล้ว เราจะรีบกลับมาพร้อมกับพี่ชายใหญ่...” เขายกมือไหว้ “สวัสดีครับ”
สี่คุณชายยกมือไหว้ลาพร้อมกัน
“สวัสดีครับ”
ย่าอ่อน หม่อมเอียด รับไหว้ ทั้งสี่คนค่อยๆลุกขึ้นและเดินออกไป ย่าอ่อนมองตามแล้วก็สงสัยนิดๆ
“ชายภัทรพูดแปลก...บอกว่า เสร็จธุระ แล้วจะรีบกลับ...ตกลงจะไปเที่ยว หรือจะไปทำธุระกันแน่”
ย่าอ่อนตั้งข้อสังเกตด้วยความแปลกใจ

กลางป่า...ระวีรำไพนอนหลับอยู่ แล้วก็ผวาตื่นลืมตาโพรงมองไปรอบๆด้วยอาการงุนงง มองไปข้างๆก็ว่างเปล่าเห็นแต่ใบไม้ปูรองพื้น เธอลุกขึ้นนั่งแล้วก็มองด้วยความเบลอ
“ที่นี่ที่ไหน” เธอก้มดูเสื้อผ้าตัวเองก็ตกใจ “เราไม่ได้ใส่ชุดนี้นี่”
เสียงธราธรดังขึ้น
“พี่เปลี่ยนให้เองค่ะ”
ธราธรเดินมาพร้อมกับกิ่งไม้แห้งในมือ ระวีรำไพตกใจหันขวับมา
“พี่...พี่ชายใหญ่เปลี่ยนเสื้อผ้าให้ปรางเหรอคะ”
เธอเอามือปิดหน้าอก ธราธรรีบวางกิ่งไม้ พร้อมรีบบอก
“แต่พี่ใช้เสื้อคลุมตัวน้องปรางไว้ พี่ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น แล้วที่พี่ต้องเปลี่ยนเพราะไม่อยากให้ใส่ชุดเปียกๆ พี่กลัวว่าจะไม่สบาย พอดีพี่เจอกระเป๋าปรางลอยมาติดอยู่ที่ซอกหิน พี่ก็เลยเอาเสื้อผ้ามาผึ่งไฟพอแห้งก็เลยเปลี่ยนให้ พี่ไม่ได้มีเจตนาจะล่วงเกินเลยนะคะ”
ระวีรำไพเขินๆ แต่พยายามไม่ตื่นเต้นจนเกินงาม เธอก้มๆหน้าพูด ไม่กล้าสบตา
“โถ...อธิบายซะยาวเลย...”
ธราธรชะงัก ระวีรำไพรีบพูดต่อ
“ปรางเชื่อใจพี่ชายใหญ่ ขอบคุณที่ช่วยเปลี่ยนเสื้อผ้าให้นะคะ”
เธอยิ้มอายๆเหนื่อยๆ เขายิ้มตอบ แล้วก็นึได้
“อ้อ...น้องปรางหิวมั้ย พี่เผาปลาไว้ให้ กินสักหน่อยจะได้มีแรงเดินต่อ”
ธราธรส่งปลาให้ ระวีรำไพส่ายหน้าเหนื่อยๆ เพลียๆ
“ปรางยังไม่หิว ปรางกินไม่ลง...ปรางเป็นห่วงพี่เกษ ไม่รู้ว่าตอนนี้จะเป็นยังไงบ้าง จะเป็นอันตรายหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ธราธรก็กังวลเหมือนกันแต่พยายามพูดปลอบใจ
“อาจารย์ชินกรจะต้องดูแลน้องเกษอย่างดี”
“แต่คนที่ทำหน้าที่นี้...ควรจะเป็นพี่ชายใหญ่ ถ้าปรางไม่ตกลงมา พี่ชายใหญ่ก็จะได้อยู่ดูแลพี่เกษ...ปรางผิดเองที่อยากมาเที่ยว ถ้าปรางไม่ขอตามมา เรื่องคงไม่เป็นแบบนี้”
“ถึงปรางไม่มา พี่ก็ต้องเจอกับพวกโจรอยู่ดีและถ้าปรางไม่ตกลงมาและพี่ไม่กระโดดลงมาช่วย พี่อาจจะโดนยิงตายไปตั้งแต่เมื่อวานแล้ว...ไม่ต้องคิดมากนะครับ”
ระวีรำไพมองตาธราธร ความอบอุ่นส่งผ่านทางสายตาทำให้เธอยิ้มออกมา ธราธรพูดจริงใจ
“เรื่องน้องเกษ พี่ก็เสียใจที่ไม่สามารถดูแลเขาได้ แต่...พี่ก็ต้องดูแลน้องปรางเหมือนกัน...พี่อาจจะไม่เคยบอก แต่พี่อยากจะให้น้องปรางรู้ไว้ว่า ในชีวิตพี่...น้องปรางไม่ได้สำคัญน้อยไปกว่าคนอื่น”
ระวีรำไพอึ้ง...มองหน้าธราธรแล้วก็น้ำตาร่วงไม่รู้ตัว เธอร้องไห้ด้วยความซึ้งใจ ธราธรเห็นแล้วใจระทวย

ดึงเธอเข้ามากอดอย่างทะนุถนอม ระวีรำไพยิ่งร้องไห้ด้วยความสุขที่สับสน...ตื้นตันแยกไม่ออก ธราธรกอดระวีรำไพไว้แน่นด้วยความรักที่เริ่มฉายออกมา เขาเริ่มสัมผัสความรู้สึกของตัวเองได้ชัดมากขึ้น

สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 8 (ต่อ)

อีริคยืนอยู่ ในจุดที่ระวีรำไพ และ ธราธร กระโดดน้ำลงไป เขามองรอยเท้าที่เริ่มแห้งและเห็นชัด มองแล้วคิด พรานสมกับสมุนเดินมารายงาน

“ข้างล่างมีทางเดินเลียบน้ำตก ผมจะเดินลงไปสำรวจ ถ้าเจอศพพวกมันจะรีบเอาไปให้นายฝรั่งดู เราจะได้ออกเดินทางกันต่อ”
อีริคพูดเสียงนิ่งๆ
“ฉันเห็นรอยเท้าของคนสองคน...ไปทางโน้น”
อีริคมองไปทางที่ชินกรกับเกษราหนีไปเมื่อวาน
“ฉันจะแกะรอยไปเอง”
“ครับนาย” พรานสมหันมาทางสมุน “แก กับ แกตามฉันมา ส่วนแกสองคนตามนายไป”
“ครับ”
สมุนรับคำสั่งแล้วเดินไปหาอีริค พรานสมและสมุนกำลังจะเดินไป อีริคหันมาย้ำ
“อย่าลืม...ถ้ามันยังไม่ตาย ก็ฆ่ามันซะ”
พรานสมรับคำเหี้ยมๆ
“ครับ”
พรานสมเดินแยกไปทางธราธร อีริคและสมุนเดินไปตามทางของชินกรและเกษรา

ธราธรเก็บของใส่กระเป๋าระวีรำไพพร้อมเดินทางต่อ เขาหันมาทางระวีรำไพที่เปลี่ยนเสื้อผ้า ใส่วิกกลับมาเป็นผู้ชายแบบเดิม ธราธรเดินมาหา
“น้องปรางแต่งเป็นชายเหมือนเดิมดีแล้ว เพื่อความปลอดภัย อย่างน้อยก็ไม่ล่อตาล่อใจพวกโจร”
ระวีรำไพพยักหน้ารับ ธราธรมองสักพักเริ่มเห็นว่าเธอหน้าซีดเซียว พอลุกขึ้นมีมึนนิดๆ เขารีบเข้าไป
ประคอง
“น้องปรางไหวหรือเปล่า”
ระวีรำไพพยักหน้ากัดฟันสู้
“ไหวค่ะ...”
“ถ้าไม่จำเป็นพี่ก็ไม่อยากให้น้องปรางต้องลำบาก แต่อยู่ที่นี่อันตรายเกินไป เราหาทางกลับไปให้ถึงปราสาทปลอดภัยกว่า อย่างน้อยอ่อนศรีก็น่าจะพาคนมาช่วยเราแล้ว”
“ค่ะ...”
ธราธรมองด้วยความเห็นใจ แล้วหันไปดึงไม้ที่ค้ำทำเป็นเสาเพิงที่พักออกมา เพิงทะลายลง ธราธรส่งไม้ให้ระวีรำไพใช้ค้ำเดินเธอรับไว้กำลังจะเดินไป แต่ฉุกใจคิด แล้วถามขึ้น...
“พี่ชายใหญ่คะ...เราจะเจอพี่เกษกับอาจารย์ชินกรที่ปราสาทหรือเปล่าคะ ทั้งสองคน...จะปลอดภัยหรือเปล่า”
ระวีรำไพน้ำตาจะไหลอีก ธราธรจับมืออย่างอบอุ่นและตอบด้วยแววตามั่นใจ
“ต้องเจอสิ...เราทุกคนต้องปลอดภัย”
ธราธรพูดให้ความมั่นใจ และเชื่อมั่นในคุณความดีที่แต่ละคนทำมา ทำให้ระวีรำไพใจชื้นขึ้น ความมั่นคงทางจิตใจและอารมณ์ของธราธรทำให้เขาดูมีพลังและมีเสน่ห์ขึ้นอย่างมากมาย เพราะมันเป็นสิ่งที่ผู้หญิงต้องการและหาได้ยากในสังคมปัจจุบัน ระวีรำไพพยักหน้ารับ ธราธรกุมมือไว้ไม่ยอมปล่อย ทั้งสองคนออก
เดินทาง

ชินกรและเกษราเดินผ่าดงมาอย่างเหนื่อยอ่อน ชินกรเดินมาถึงที่โล่งมีก้อนหินเหมาะเป็นที่
พัก เขาหันมาทางเกษราด้วยความห่วงใย
“ก้องเป็นไงบ้าง”
เกษราเหนื่อยหน้าแดงกร่ำ เหงื่อชุ่มไปหมด หอบแฮ่กแทนคำตอบ ชินกรเดินกลับมาหา
“พักหน่อยแล้วกัน หายเหนื่อยค่อยเดินต่อ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมเดิน...”
เกษราพูดยังยังไม่จบ ชินกรก็กดตัวเธอให้นั่งลงที่ก้อนหิน
“ฉันบอกว่าพัก ก็พักสิ”
เกษราโดนกดก้นกระแทกก้อนหิน นั่งลงอย่างแรง ชินกรส่งกระติกน้ำให้
“น้ำ ยังเหลืออีกหน่อย ดื่มซะ”
ชินกรทำแมนกลบความอาย
“ไม่เป็นไรครับ อาจารย์เก็บไว้ดื่มเถอะครับ”
“ฉันให้ ก็ดื่มสิ หรือจะต้องให้จับกรอกปาก”
เขาจะเข้ามาจับกรอก เธอผงะรีบบอก
“ไม่เป็นไรครับ ผมดื่มเองได้” เธอรับมางงๆ “ขอบคุณครับ”
“เออ...ก็เท่านี้แหละ”
พูดจบเขาก็หันหลังเดินไปอีกมุม สองคน...ต่างคนต่างคิด เกษราพึมพำเบาๆ
“ทำไมดุจัง”
ชินกรไม่ได้ยินบ่นเบาๆ ด้วยความสับสน
“ทำไมเราต้องดุขนาดนี้ด้วยวะเนี่ย”
เกษราพึมพำ
“หรือว่าจะอายเรื่องเมื่อคืน”
เกษรานึกถึงตอนที่ชินกรสารภาพรัก
“ก้อง...ฉันชอบนาย”
ทางด้านชินกรก็คิดหนักบ่นเบาๆ
“หรือว่าเราจะกลบเกลื่อนเรื่องเมื่อคืน”
ชินกรคิดแล้วก็อึ้ง...
“ไม่นะ...เราต้องทำตัวให้เป็นปกติ ไม่ต้องเขิน ไม่ต้องอาย ปกติ”
คิดแล้วเขาก็หันขวับมาที่เกษราพร้อมกับยิ้มแฉ่ง เกษราผงะ เฮ้ย อารมณ์ไหนแล้วรีบยิ้มกลับไปแฮ่
“ฉันขอโทษที่พูดรุนแรงไปหน่อย...พอดีมันเหนื่อยๆน่ะ...อย่าถือสาเลยนะ”
“ไม่ถือครับ...ผมเข้าใจ”
เกษรายิ้มน่ารักด้วยความเข้าใจ ชินกรชะงักกับรอยยิ้มของเกษรา ภาพที่เขาเห็นจากก้องเกียรติ์กลายเป็นเกษราอีกครั้ง...เกษรายิ้มน่ารักชินกรยิ้มตามเขินอ่ะ...เกษรายิ้มตามนิดๆกับอาการของชินกร เป็นความน่ารักเล็กๆที่เติบโตกลางป่า

พรานสมและสมุนลุยน้ำข้ามมาในบริเวณที่ธราธรพัก พรานสมเดินมาหยุดตรงเพิง กวาดสายตามองไปรอบๆ ใช้เท้าเขี่ยกองไฟ และหันไปเห็นเศษอาหารที่หลงเหลืออยู่ พรานสมกัดฟันกรอด สมุนวิ่งมาจากปลายลำธาร
“ดูไปถึงปลายน้ำแล้วไม่มีสักศพ พี่จะให้ลองเดินไปขึ้นไปดูอีกรอบหรือเปล่า”
“ไม่ต้อง หาไปก็ไม่เจอ...เพราะไอ้คุณชายมันยังไม่ตาย”
พรานสมคิด...บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที

กองไฟถูกดับไปนานแล้ว อีริคยืนมองอยู่ แววตาเยือกเย็นแต่แฝงความโหดเหี้ยมไว้ ข้างๆ มีสมุนยืนขนาบ สมุนอีกคนเดินเข้ามารายงาน
“เจ้านายมีรอยคนเดินไปทางโน้น”
สมุนชี้ทางไป อีริคสั่งการ
“ตามมันไป”

อีริคและสมุนรีบเดินตามกิ่งไม้หักไปเป็นทาง....

ก่อนหน้านี้ ชินกรและเกษราทำรอยปลอมตอนเช้า เขาใช้มีดถางต้นไม้ ทำไปได้สักพักก็เดินย้อนกลับที่เดิม ที่เกษรายืนรออยู่ และทั้งสองคนก็เดินไปอีกทางอย่างระมัดระวัง

เอ็ดเวริ์ดหันมาด่าด้วยความไม่พอใจ
“ไหนล่ะศพ ยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะว่ามันตายแน่ไม่ใช่เหรอ นอกจากจะไม่มีศพแล้ว ยังปล่อยมันหนีไปได้ ตามหามาครึ่งวันยังไม่เห็นแม้แต่เงา”
อีริคกับพรานสม ยืนหน้าเสียนิดๆ แต่อีริคก็ยังไม่มั่นใจ ไม่มียอม
“พวกผมเชี่ยวชาญป่าในเขมร ตรงนี้ไม่ค่อยชำนาญ แต่ไม่ต้องห่วงหลังจากย้ายของไปซ่อนแล้ว ผมจะออกตามล่ามันอีกรอบ รับรองครั้งนี้มันไม่รอดแน่”
“พวกแกจะเอาของไปซ่อนไว้ที่ไหน”
พรานสมแนะ
“ด้านหลังเนินเขามีมุมอับ ดินร่วน ขุดง่าย เรารีบย้ายของพวกนี้ไปซ่อนไว้ก่อน อย่างน้อยถ้าตำรวจมาจะได้ไม่เจอหลักฐาน พอจัดการไอ้พวกคุณชายแล้ว เราค่อยมาขุด แล้วย้ายออกนอกประเทศ”
อีริคเสริม
“แต่ถ้าภายใน 2 วันเราหาพวกมันไม่เจอ ผมจะให้คนพาคุณกลับไปประเทศคุณก่อน แยกย้ายกันหนี ส่วนของพวกนี้ผมจะรีบส่งตามไป”
เอ็ดเวิร์ดฟังแล้วก็เห็นด้วย

เย็นนั้น อีริค ยืนดูพรานสมและลูกน้องช่วยกันลำเลียงวัตถุโบราณลงไปฝังซ่อน และกลบดิน
อย่างดี อีริคกำชับลูกน้อง
“แกสองคนอยู่เฝ้าที่นี่ เฝ้าให้ดี อย่าให้ใครเอาของไปได้เป็นอันขาด”
“ครับ”
อีริคเดินมาหาเอ็ดเวิร์ดที่กำลังบรรจุกระสุนปืนใส่ปืน เตรียมล่า
“ฉันจะแยกไปกับพรานสม ตามล่าไอ้คุณชาย ส่วนแกตามหาคนที่เหลือให้เจอ บอกลูกน้องแกทุกคน .. ใครฆ่ามันได้ ฉันมีรางวัลให้อย่างงาม”
อีริคพยักหน้ารับ เอ็ดเวิร์ดพรานสมกับลูกน้องอีก 5-6 คนเดินแยกไปทางหนึ่ง อีริคและลูกน้องที่เหลือเดินแยกไปอีกทาง...

มานิตอยู่ในห้องทำงานอาทิตยรังสีกำลังศึกษาเส้นทางไปปราสาทหน้าเครียด ทันใดนั้นเสียงรถดังเข้ามาในแคมป์กระหึ่ม มานิตสะดุ้งนิดๆ สักพักมีเสียงคนใส่รองเท้าบูทเดินกึกๆๆๆ เข้ามาบนที่พักเสียงดังสนั่น มานิตสะดุ้งตื่น
“เสียงอะไร”
มานิตรีบลุกมาที่ประตูแล้วก็เปิดออก...เขาตกตะลึงกับภาพที่เห็น เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนจำนวนหลายสิบนายยืนเรียงแถวรายงานตัว กลางกลุ่มเจ้าหน้าที่เป็นคุณชายทั้งสี่ยืนหันหลังอยู่
“พะ...พวกคุณเป็นใคร”
คุณชายทั้งสี่หันมาอย่างเท่ ทุกคนอยู่ในชุดพร้อมลุย ปวรรุจเข้ามาถาม
“คุณมานิต...ใช่หรือเปล่าครับ”
“คะ...ครับ ผมเองครับ คุณ...คุณชายปวรรุจใช่มั้ยครับ”
“ครับ และนี่” ปวรรุจผายมือแนะนำทีละคน “หม่อมราชวงศ์พุฒิภัทร หม่อมราชวงศ์รัชชานนท์ และ หม่อมราชวงศ์รณพีร์ จุฑาเทพ”
พุฒิภัทรยิ้มแย้มบอก
“พวกเรามาช่วยพี่ชายใหญ่และคณะสำรวจครับ”
มานิตยิ้มด้วยความปิติ คุณชายทั้งสี่ยืนอยู่ท่ามกลางเจ้าหน้าที่ตำรวจตะเวนชายแดนแลดูฮึกเหิมและเท่มาก รณพีร์รีบบอก
“เจ้าหน้าที่ทุกคนมีความชำนาญในการเดินป่าตอนกลางคืน เราจะออกเดินทางกันตอนนี้เลย”
มานิตเห็นด้วย
“ได้เลยครับ ผมมีแผนที่ทางไปปราสาท คุณชายอาทิตยรังสีและตำรวจบางส่วนล่วงหน้าไปแล้วครับ เราไปกันไปเลยครับ ผมพร้อมแล้ว”
มานิตหันไปคว้ากระเป๋าเป้ พร้อมเดินทาง คุณชายทั้งสี่พยักหน้ารับและหันหลังเดินนำออกไป มานิตเดินตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจตะเวนชายแดนเดินตามพร้อมลุย

ใกล้ค่ำ...อ่อนศรีเดินนำมา อาทิตยรังสีและตำรวจเดินตามมาไม่ห่าง อาทิตยรังสีมองพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า แล้วก็ถามขึ้น
“อีกไกลมั้ยอ่อนศรี”
“พอประมาณครับคุณชาย เราเริ่มเดินทางสาย เดินยังไงคืนนี้ก็คงไม่ถึง ผมกำลังคิดว่าถ้าฟ้ามืดกว่านี้เราคงจะต้องหาที่พักกันก่อน พรุ่งนี้ฟ้าแจ้งเราค่อยออกเดินต่อ”
อาทิตยรังสีพยักหน้าด้วยความกังวล
“อืม”
อาทิตยรังสีเดินต่อไปด้วยความกังวลเป็นห่วงลูกสาว

ธราธรและระวีรำไพเดินอยู่อีกซีกหนึ่งของป่า ธราธรประคองระวีรำไพที่เดินอย่างเหนื่อยอ่อน เพราะพิษไข้ ทั้งสองคนไปได้อย่างช้าๆ ธราธรเดินไปก็มองยอดเขาไปด้วย
“ถ้าพี่จำไม่ผิด ปราสาทน่าจะอยู่ทางโน้น อดทนอีกหน่อยนะ”
ระวีรำไพหน้าตาเพลียมากไม่ไหวแล้ว ธราธรเดินมาข้างหน้าพร้อมกับย่อตัวลงพูดอย่างอ่อนโยน
“เกาะไหล่พี่ไว้แน่นๆ”
ระวีรำไพทำตาม ธราธรก็ยืนขึ้นพร้อมกับกระชับขาทั้งสองข้างของเธอให้ขี่หลังไว้ ระวีรำไพตกใจนิดๆ
“ว้าย...พี่ชายใหญ่ ไม่หนักเหรอคะ”
“ก็...หนักกว่าตอน 4 ขวบ...แต่พี่ยังแบกไหว ถ้าน้องปรางเพลียก็หลับได้เลยนะครับ พี่ไม่ปล่อยน้องปรางลงกลางทางแน่ๆ”
เขาพูดจบก็เดินแบกเธอขึ้นหลังไปอย่างบึกบึน ระวีรำไพค่อยๆซบหน้าลงที่แผ่นหลังอันอบอุ่น พึมพำเบาๆ
“ขอบคุณมากค่ะ...พี่ชายใหญ่”
ธราธรได้ยินเหมือนเสียงกระซิบเบาๆ หัวใจแสนจะแช่มชื่นเดินต่อไปไม่คิดถึงความหนักแม้แต่น้อย

อีกมุมหนึ่งของป่า ชินกรและเกษราเดินกลับมาที่จุดเดิมที่มีโขดหินและนั่งพัก เกษรามองๆ
“นี่มันที่เดิมนี่ครับ”
ชินกรหน้าเครียด
“อืมม์...ฉันหลง”
เกษราหน้าเหวอ แล้วจะทำยังไงกันต่อไป...อีกมุมหนึ่งของป่า อีริคและสมุนเดินบุกอยู่ในป่า สมุนคนหนึ่งเห็นรอย
“ทางนี้ครับนาย”

อีริคเดินนำไปอย่างน่ากลัว

เอ็ดเวิร์ดเดินมาที่ที่ธราธรพักเมื่อคืน เขาใช้ไม้เขี่ยร่องรอยด้วยความแค้น พรานสมเดินออกมาจากป่าและตะโกนขึ้น

“พวกมันไปทางนี้”
เอ็ดเวิร์ดรีบเดินตามไปทันที สมุนคนอื่นตามมาเป็นขบวน

อีริคกับสมุนเดินตามรอยไปจนฟ้าเริ่มมืด อีริคมองฟ้า แล้วหันมาทางสมุน
“หยุด ไม่ต้องตามแล้ว กลับไปที่เต็นท์รอให้ดึกกว่านี้ เดี๋ยวพวกมันก็โผล่มาเอง”
อีริคพูดอย่างมั่นใจ

กองไฟลุกโชนอยู่กลางป่า เพิงที่พักเล็กๆ ถูกสร้างซุกซ่อนอยู่ในพุ่มไม้ ธราธรเดินมาพร้อมกับกิ่งไม้
และผลไม้พวกลูกมะเดื่อ และกล้วยป่า
“พี่หาผลไม้มาให้กินรองท้อง น้องปราง...” เขาหันมาเห็นที่เพิงว่างเปล่าก็ตกใจ “น้องปราง น้องปราง”
ธราธรปล่อยของในมือตกพื้นแล้วตะโกนเรียกด้วยความเป็นห่วง ในวูบนั้นเขารู้สึกตัวเลยว่าเป็นห่วงระวี
รำไพมากๆ ธราธรมองไปรอบๆ ป่าใจเต้นไม่เป็นส่ำ
“น้องปราง”
ระวีรำไพเดินออกจากป่ามาด้วยความอายๆ เพลียๆ
“ปรางอยู่ที่นี่ค่ะ”
ธราธรหันไป เห็นเธอยืนอยู่ก็โผเข้าไปกอดด้วยความเป็นห่วง สักครู่ก็คลายกอดออกมามองหน้าถาม
“น้องปรางไปไหนมา พี่ตกใจหมดเลย”
ระวีรำไพไม่กล้าบอก
“คือ...ปรางไปเอ่อ...ไปทำธุระส่วนตัวมา” หญิงสาวเขินๆ “ขอโทษที่ทำให้เป็นห่วงค่ะ”
ธราธรถอนใจด้วยความโล่งอก
“เฮ่อ...ไม่เป็นไรค่ะ พี่ต้องขอโทษเหมือนกันที่ทำให้ปรางตกใจ...แต่ตอนที่พี่มาถึงแล้วไม่เห็นปราง พี่ตกใจมาก พี่เพิ่งรู้ตัวเองว่าพี่เป็นห่วงปรางมากๆ ห่วงมากจริงๆ คราวหน้าอย่าหายไปโดยไม่บอกพี่แบบนี้อีกนะ...รู้หรือเปล่า”
ระวีรำไพมองหน้าเขาแล้วก็อึ้ง ซึ้งใจ
“ค่ะ...ปรางจะจำไว้ ปรางจะจำไว้ว่าวันนี้...วินาทีนี้ พี่ชายใหญ่เป็นห่วงปรางมากแค่ไหน ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น ปรางจะไม่ลืมว่าครั้งหนึ่งพี่ชายใหญ่เคยเป็นห่วงปรางมากที่สุด ปรางจะไม่ลืมค่ะ”
ระวีรำไพน้ำตาคลอ ธราธรเห็นแล้วใจอ่อนยวบอีกครั้ง เขาค่อยๆดึงเธอมากอด...กอดนี้ไม่ใช่กอดแบบ
พี่น้องเหมือนที่ผ่านมา...ธราธรรู้สึกถึงหัวใจตัวเองที่เต้นผิดจังหวะ ความรู้สึกลึกๆข้างในเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ระวีรำไพกอดเขาไว้แน่น น้ำตาร่วงเหมือนกอดนี้จะเป็นกอดสุดท้าย เมื่อกลับสู่ความจริงเธอจะไม่สามารถ
ทำแบบนี้ได้อีก...ธราธรกอดกับระวีรำไพอยู่ใกล้ๆกองไฟที่ส่งควันลอยอยู่ในความมืด

บริเวณกองไฟอีกกอง...ส่งควันลอยเคว้งขึ้นไปบนอากาศ ในกองไฟเห็นกระบอกไม้ไผ่ 2 อันกำลังตั้งเผาอยู่ อันหนึ่งเป็นข้าวอีกอันเป็นผัก ชินกรนั่งหน้าเครียดอยู่ที่หน้ากองไฟ เกษราเดินออกมาจากหลังพุ่มไม้เปลี่ยนใส่ชุดใหม่ ในมือถือชุดเก่าออกมา เธอคันตัวคันหัวเพราะไม่ได้อาบน้ำ เกษราเดินเกาแกรกๆ มาถึงที่หน้ากองไฟ พอเห็นหน้าชินกรก็ชะงักมองด้วยความแปลกใจ
“อาจารย์ชินกร...เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ทำไมหน้าเครียดจัง”
ชินกรหันมา
“ฉันขอโทษที่พานายหลงทาง...ฉันมันไม่ได้เรื่อง ถ้าเป็นคุณชายใหญ่เขาคงจะพานายกลับไปที่ปราสาทได้ตั้งนานแล้ว”
เกษราวางเสื้อผ้า แล้วมานั่งลงข้างๆ
“ไม่แน่หรอกครับ...เรื่องมันยังไม่เกิด เราไม่มีทางรู้ว่ามันจะเป็นยังไง”
เกษราตอบพร้อมกับยิ้มนิดๆ เป็นรอยยิ้มที่แสนดีมากๆ ชินกรถึงกับอึ้งไปสายตาของเขาเห็นคนที่ยิ้มอยู่ตรงหน้าคือเกษรา...
“อาจารย์อย่าคิดมากเลยนะครับ”
ชินกรสะดุ้งโหยงจินตนาการกระเจิง เกษรากลับมาเป็นก้องเกียรติ์เหมือนเดิม ชินกรเซ็งนิดๆ
“ขอบใจที่ปลอบใจฉัน ก้องมีอีกเรื่องที่ฉันอยากจะเปิดอกพูดกับนาย”
เกษราหุบยิ้มลง เห็นเขาหน้าตาจริงจัง ก็รอลุ้นฟัง
“ลืมเรื่องที่ฉันพูดเมื่อวานซะ ตอนนั้นฉันไม่รู้ว่าอะไรมาดลใจให้ฉันพูดออกไป ฉันคิดมาตลอดทั้งวัน กลับไป ฉันจะไม่มาให้นายเห็นหน้าอีก”
เกษราสะอึกหน้าเจื่อน
“สิ่งที่ฉันรู้สึกกับนาย มันตลกสิ้นดี ฉันจะลืมทุกอย่างไว้ที่นี่ กลับไป...ฉันคงต้องรีบไปรับตัวคู่หมั้นที่เมืองจีนและเราคงจะแยกย้ายกันไปมีชีวิตของตัวเอง”
เกษราพยักหน้าหงอยๆ
“อาจารย์มีคู่หมั้นแล้วเหรอครับ”
“แม่สื่อมาหาให้ อาป๊าบ่นว่ามัวแต่ทำงาน เขาก็เลยจัดการให้ พอไปรับตัวมาแล้วก็คงจะต้องแต่ง”
เกษราแอบจ๋อยๆ โดยไม่รู้ตัว แล้วก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อชินกรวางมือลงบนไหล่
“คราวนี้นายก็สบายใจได้แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องความรู้สึกของฉัน ตกลงนะ”
เกษรามองหน้าชินกร แล้วก็จำใจต้องพยักหน้ารับ ทั้งที่ในใจห่อเหี่ยวประหลาด เขากรคลายมือออกจากไหล่เธอ
“ฉันหุงข้าวด้วยไม้ไผ่ แล้วก็ทำหลามผักที่หาได้จากแถวนี้ไว้ให้ รอเดี๋ยวนะ”
ชินกรหันมาหยิบกระบอกไม้ไผ่มาเทน้ำออก แยกห่อข้าวออกมา และแกะข้าวให้ พร้อมกับผ่ากระบอกไม้ไผ่เห็นผักที่สุกหอมกรุ่นอยู่ในกระบอก ชินกรส่งให้พร้อมรอยยิ้ม เป็นอาหารป่าที่น่ากินมาก เกษรารับมาอึ้งๆ
“เคยกินมั้ย”
เกษราส่ายหน้า
“ลองกินดู”
เกษราหยิบผักและข้าวเข้าปาก พอเคี้ยวจนรู้รสก็ตาโต
“อร่อยมากเลยครับ ไม่น่าเชื่อว่าจะอร่อยขนาดนี้”
เกษราพูดแล้วก็กินด้วยความเอร็ดอร่อย ชินกรมองแล้วก็ยิ้มตามอย่างมีความสุข เกษราเงยหน้ามอง ชินกรรีบหุบยิ้มและก้มหน้ากิน เกษราหน้าจ๋อยๆ รู้สึกใจหายแปลกๆ ทั้งสองอยู่ในความรู้สึกหน้าชื่นอกตรม บอกไม่ถูก

กองไฟของธราธร แสงอ่อนลง มาเป็นไฟนวลๆ นุ่มละมุน ระวีรำไพนอนอยู่ในเพิงที่พัก ธราธรนั่งเฝ้า
อยู่ข้างๆ หญิงสาวนอนขดตัวสั่นด้วยความหนาว ชายหนุ่มหันไปมองด้วยความเป็นห่วง...ใบหน้าของระวีรำไพต้องแสงไฟ หน้านวล สวย คมน่าทะนุถนอม ธราธรค่อยๆเอนตัวลงและกอดเธอไว้อย่างทะนุถนอมใบหน้าอยู่ใกล้กันจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจ

เกษรากับชินกรนอนหันหลังให้กัน มีระยะห่างพอประมาณ เกษรานอนคัน และอึดอัดไม่สบายตัว เธอแอบมองเขาเห็นว่านอนนิ่ง เลยนึกว่าหลับแล้ว ก็ค่อยๆถอดเสื้อรัดหน้าอกออก แล้วก็ถอนใจเบาๆ เฮ่อ...โล่ง เกษราหลับต่อ...ชินกรยังไม่หลับเขาถอนใจเบาๆ หนักใจ

ธราธรนอนกอดระวีรำไพอย่างแนบชิด เขาเผลอใจค่อยๆจูบเบาๆที่หน้าผาก และค่อยๆเคลื่อนมา
ที่แก้ม ธราธรจุมพิตเบาๆที่แก้ม มือเขาค่อยๆเลื่อนจากหลังไล่ต่ำลงมาตามอารมณ์ที่เริ่มจะกระเจิง

เกษราและชินกรต่างคนต่างหลับ ต่างกันต่างดิ้น พลิกไปมา จนเขยิบเข้ามาอยู่ใกล้กัน

ธราธรห้ามใจตัวเองไม่อยู่ ค่อยเลื่อนริมฝีปากลงมาจนเกือบจะโดนปากของเธอ เสียงเบาๆ เล็ดลอดออกมาจากปากระวีรำไพ

“พี่ชายใหญ่...”
ธราธรสะดุ้งนิดๆ สติกลับมา เขาตกใจกับสิ่งที่ตัวเองทำลงไป รีบเบือนหน้าหนีจากใบหน้าของระวี
รำไพ และดึงกลับมากอดที่หลังเหมือนเดิม เขานอนกอดเธอในตำแหน่งที่ไม่ล่อแหลมแล้วก็คิดถึงคำพูดของปวรรุจ
‘พี่ชายใหญ่เคยถามตัวเองหรือเปล่าครับว่าเคยอยากเห็นหน้าเธอทุกค่ำคืน วันไหนไม่เห็นหน้าก็ทานข้าวไม่ลง อยากได้ยินเสียงเธอทุกเช้าค่ำ โทรศัพท์ไปคุยหน่อยก็ยังดี อยากกอด อยากจูบ อยากปกป้องเธอไปตลอดชีวิต...พี่ชายใหญ่เคยรู้สึกแบบนี้หรือเปล่าครับ ลองเปิดใจเผื่อสำหรับผู้หญิงอีกคนด้วยนะครับ บางที เส้นผม อาจจะบังภูเขาอยู่ก็ได้’
ธราธรหันมามองหน้าระวีรำไพที่ซุกอยู่ในอ้อมกอดอีกครั้ง พร้อมกับจุมพิตเบาๆที่หน้าผากแทนคำตอบ
“ชายรุจ...ฉันเข้าใจในสิ่งที่นายพูดแล้ว”
ธราธรกอดระวีรำไพด้วยความรัก

อีกมุมหนึ่งของป่า...ชินกรกับเกษราหลับสนิท เธอเกาหัวด้วยความคันจนวิกกระจุย นอนหันหลัง ชินกรก็พลิกมาหน้าเข้าหาเธอโดยไม่ตั้งใจ และมือเขาก็พาดมากอดเธอไว้จากด้านหลังมือของเขาตกอยู่
ในระดับหน้าอกพอดีมั่บ แล้วก็หลับต่อไป กองไฟยังลุกอยู่ควันไฟลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า

อีริคมองควันไฟลอยขึ้นมาสองจุด ค่อนข้างห่างกัน อีริคยืนยิ้มด้วยความพอใจ เอ็ดเวิร์ดหันมาถามพรานสม
“พวกมันหลงป่ากันอยู่ ถึงได้เดินวนไปมา จากตำแหน่งควันที่เห็นแกรู้ใช่มั๊ยว่าพวกมันอยู่ที่ไหน”
พรานสมแสยะยิ้ม
“รู้ครับ”
อีริคสั่ง
“พรุ่งนี้ก่อนฟ้าสางแกพามิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดไปจัดการพวกทางเหนือ ฉันจะจัดการทางใต้เอง รีบไปก่อนที่พวกมันจะไหวตัว ปิดปากทุกคน เรียบร้อยแล้วกลับมาเจอกันที่ฝังสมบัติ”
พรานสมพยักหน้ารับ
“ครับ”
เอ็ดเวิร์ดมั่นใจ
“ไอ้คุณชาย...คืนนี้หลับให้สบาย พรุ่งนี้แกลำบากแน่อยู่กลางป่าแบบนี้ไม่มีใครมาช่วยแกได้”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มเหี้ยมด้วยความมั่นใจ

เช้ามืด...ริมลำธารบริเวณที่ธราธรพักในคืนแรก คุณชายทั้งสี่ และมานิตเดินมากับตำรวจกว่าสิบนาย
กระจายกำลังเดินนำสำรวจ และเดินตามประกบหลังอย่างระมัดระวัง เจ้าหน้าที่ตำรวจที่เดินนำไป หันมาพร้อมกับรายงาน
“พบเพิงที่พักตรงนี้ครับผม”
คุณชายทั้งสี่ และมานิตได้ยินก็รีบเดินตามไปดูทันที ที่เพิงอันแรกของธราธร แม้จะดูว่าโดนทิ้งไว้นานพอควรแต่คุณชายทั้งสี่ก็จำได้ รณพีร์รีบบอก
“พี่ชายใหญ่เคยสอนพวกเราทำเพิงแบบนี้”
รัชชานนท์หันไปเห็นมุมที่ธราธรก่อหินดักปลาอยู่ห่างออกไป ก็ชี้ให้ทุกคนดู
“แล้วก็สอนพวกเราจับปลาแบบนั้นด้วย”
มานิตครุ่นคิดอย่างสงสัย
“ทำไมคุณชายใหญ่ถึงได้มาตั้งเพิงที่พักแถวนี้” มานิตดูแผนทื่ “มันอยู่ห่างจากปราสาทตั้งไกล”
ทันใดนั้นมีตำรวจสองนายวิ่งลงมาจากเขาพร้อมกับรายงาน
“ทีมลาดตระเวณอีกชุดพบร่องรอยการยิงปะทะกันในป่าด้านบน ไม่ห่างจากกันมีรอยลื่นตกจากหน้าผาลงมาที่น้ำตก และมีรอยเท้าของอีกกลุ่มแยกไปอีกทางหนึ่งครับผม”
คุณชายฟังแล้วก็คิด...รณพีร์ประเมิณสถานการณ์
“พี่ชายใหญ่คงจะเจอกับพวกคนร้ายแล้ว ถึงได้มีการปะทะกัน”
รัชชานนท์พูดต่อ
“ถ้ารอยลื่นที่เห็นเป็นของพี่ชายใหญ่ และโดนน้ำพัดมาถึงตรงนี้”
พุฒิภัทรคิดๆ
“และรอยเท้าที่แยกไป ก็อาจจะเป็นคนที่เหลือ”
ปวรรุจมั่นใจ
“แสดงว่าตอนนี้คณะพี่ชายใหญ่ แยกออกเป็นสองกลุ่ม”
มานิตเสริม
“แต่จุดหมายปลายทางเดียวกันคือที่ปราสาท เพราะคุณชายใหญ่นัดกับพรานอ่อนศรีไว้ที่นั่น”
ทุกคนเห็นด้วย รณพีร์สรุป
“ผมคิดว่าเราควรจะแยกเป็นสองกลุ่ม ตามรอยเท้าที่เห็นด้านบน และอีกกลุ่มตามรอยจากจุดนี้ และไปเจอกันที่ปราสาท”
ปวรรุจพยักหน้ารับแล้วบอก
“พี่กับชายภัทรและคุณมานิตจะตามรอยพี่ชายใหญ่จากจุดนี้ ชายเล็กกับชายพีร์ตามรอยเท้าที่เจอด้านบนก็แล้วกัน”
รณพีร์กับรัชชานนท์รับคำ
“ครับ”
รณพีร์และรัชชานนท์รีบแยกไปกับเจ้าหน้าที่ ปวรรุจและพุฒิภัทรกับมานิตกำลังจะเดินไป เจ้าหน้าที่คนหนึ่งหันมาถามมานิต
“ท่านครับ ผมขอดูแผนที่ปราสาทอีกทีได้มั้ยครับ”
มานิตส่งให้
“เชิญครับ”
เจ้าหน้าที่ดูและมองไปรอบๆอีกที
“ผมมีทางลัด เป็นทางลาดตระเวณของตำรวจ ลำบากหน่อยแต่จะถึงเร็วขึ้น”
ปวรรุจรีบบอก
“รีบนำไปเลยครับ”

เจ้าหน้าที่รีบเดินนำไป ปวรรุจ พุฒิภัทร มานิต และเจ้าหน้าที่คนอื่น เดินตามไปอย่างแข็งขัน
กำลังโหลดความคิดเห็น