สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 7
ธราธรขับรถเข้ามาจอดที่หน้าแคมป์ ระวีรำไพกับ ชินกรที่ยืนรออยู่ ยืดคอยาวลุ้นว่าเกษรามาด้วยหรือเปล่า พอรถจอดธราธรลงมา อีกด้านเป็นเกษราเปิดประตูลงมา ระวีรำไพกับชินกรยิ้มกว้างด้วยความดีใจพูดออกมาพร้อมกัน
“พี่ก้อง / ก้อง”
ระวีรำไพหันมาทางชินกรด้วยความแปลกใจกับน้ำเสียงดีใจ ชินกรรีบหุบยิ้มเก๊กหน้านิ่ง
“มองอะไร รีบไปช่วยเพื่อนยกกระเป๋าสิ กลับมาแบบนี้คงเปลี่ยนใจแล้ว”
“ครับๆ”
ระวีรำไพรีบเดินไปหาเกษรามาช่วยยกกระเป๋าด้วยท่าทีกล้าๆกลัวๆ เกรงว่าจะโดนเหวี่ยงเหมือนที่ผ่านมา
“พี่ก้องครับ...ผมช่วยนะครับ”
เกษราหันมามองหน้า ระวีรำไพลุ้นๆ แล้วเกษราก็ตอบ
“เอาไปนี้ไปนะ” เกษราส่งใบเล็กให้ “ใบใหญ่พี่ถือเอง”
ระวีรำไพยิ้มกว้าง
“ครับ”
ระวีรำไพยิ้มเหมือนเด็กที่ได้รับการยกโทษ ธราธรเห็นแล้วก็ยิ้มตามด้วยความโล่งอก ชินกรหันมาเห็นธราธรยิ้มพอดีก็ชะงักกึก มันช่างเป็นรอยยิ้มที่แปลกจริงๆ ธราธรบอกกับระวิรำไพ
“ตะวันก็ช่วยก้องหน่อยนะ ฉันจะรออยู่ที่นี่ เรียบร้อยแล้วจะได้ไปที่ไซท์”
เกษรากับระวีรำไพรับคำ
“ครับ”
สองสาวถือกระเป๋าเดินไป ระวีรำไพสดใสยิ้มให้เกษราด้วยความสบายใจ เกษรายิ้มนิดๆ ยังรักษาท่าที ธราธรมองแล้วก็ยิ้มตามสองสาวไปเอ็นดูทั้งคู่ ชินกรยังลอบมองธราธร...ยิ้มแบบนี้มัน..อะไรกัน
กระเป๋าเดินทางถูกวางไว้ข้างเตียงเกษรา ระวีรำไพหันมาพูดด้วยรอยยิ้ม
“ปรางดีใจมากๆเลยค่ะที่พี่เกษกลับมา”
เกษรามองระวีรำไพ แววตาเริ่มอ่อนลง รู้สึกผิด
“พี่ขอโทษที่ตัดสินใจวู่วามเกินไป”
ระวีรำไพหน้าจ๋อย
“ปรางต่างหากที่ต้องขอโทษ...ถ้าปรางทำอะไรให้พี่เกษไม่พอใจ พี่เกษอย่าโกรธปรางเลยนะคะ”
เกษรายิ้มรับ
“ค่ะ...อ้อ แผลที่แขนเป็นยังไงบ้าง ขอพี่ดูหน่อย”
ระวีรำไพยิ้มๆ แล้วก็ค่อยๆ ถลกแขนเสื้อเปิดแผลให้ดู เกษราเห็นแล้วก็ตกใจ
“โห...ทำไมปล่อยไว้ให้มันอักเสบแบบนี้ ทำไมไม่ใส่ยา”
ระวีรำไพหน้าเสีย
“ปรางไม่กล้าไปขอยาค่ะ กลัวพี่ชายใหญ่รู้ เธอจะดุเอา ก็เลยปล่อยไว้ คิดว่า...แผลมันน่าจะแห้งไปเอง”
เกษราส่ายหน้า
“ปล่อยไว้ไม่ได้ค่ะ มาเดี๋ยวพี่ใส่ยาให้ พี่มียาสมุนไพรติดมา” เธอพูดไปหยิบยาในกระเป๋าไป “ตอนทำครัวโดนน้ำร้อนลวก โดนกะทะร้อนๆเป็นประจำ ป้าแย้มก็เลยทำยาสมุนไพรไว้ให้ ยาดีนะคะ ทาทิ้งไว้คืนเดียวแผลแห้งสนิท แกบอกว่าเป็นยาประจำตระกูล ยาผีบอกน่ะค่ะ”
ระวีรำไพฟังแล้วก็ขำ เกษราหยิบยามาทาให้อย่างอ่อนโยน ระวีรำไพมองแล้วก็ยิ้มก่อนจะพูดด้วยความจริงใจ
“พี่เกษ...ปรางขอบคุณจริงๆนะคะ ขอบคุณสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ปราง...พี่เกษบอกได้มั้ยคะ...ว่าทำไมพี่เกษถึงอยากกลับกรุงเทพ”
เกษราชะงักนิดๆ ปิดขวดยา แล้วเงยหน้มามองระวีรำไพที่รอคำตอบอยู่
ชินกรกับธราธรยังยืนอยู่ที่เดิม ชินกรถามด้วยความอยากรู้
“ผมอยากรู้จริงๆนะครับ คุณชายใหญ่ทำยังไง นายก้องถึงยอมอยู่ต่อ”
ธราธรตอบสบายๆ คิดว่าก้องคือ เกษรา แล้วก็ตอบออกมา
“ผมก็ปลอบใจ ไม่ให้คิดมาก แล้วก็บอกเขาว่าจะดูแลเขาให้มากกว่านี้”
ชินกรแอบสะอึกกับคำตอบ ธราธรยังพูดแบบไม่คิดมาก
“ผมคงจะมัวแต่ห่วงงานมากไป เลยลืมดูแล ก้องก็เลยรู้สึกไม่ปลอดภัย เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาแบบนี้อีก ผมคงต้องดูแลก้องมากเป็นพิเศษ”
ธราธรยิ้ม ชินกรสะอึก
“พิเศษเหมือนกับที่คุณชายใหญ่ดูแลนายตะวันหรือเปล่าครับ”
ธราธรตอบแบบลืมคิดว่าสองคนอยู่ในร่างชาย
“ใช่ครับ...แบบนั้นล่ะครับ จะได้ไม่ต้องน้อยใจเข้าใจผิดคิดว่าผมไม่สนใจ”
ชินกรถึงกับผงะหน้าเสีย...พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง
ระวีรำไพโพล่งออกมาด้วยความตกใจ
“เข้าใจผิดกันใหญ่แล้วค่ะ พี่ชายใหญ่ไม่ได้คิดแบบนั้นกับปรางนะคะ พี่ชายใหญ่เธอรักปรางเหมือนน้องเหมือนนุ่ง เรารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กๆ ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีๆ เธอก็ยังคิดว่าปรางเป็นเด็กพี่เกษต้องเชื่อปรางนะคะ”
เกษรายิ้มรับ จับมือระวีรำไพและพูดยิ้มๆ
“จ้ะ...พี่เชื่อ เพราะพี่ชายใหญ่ก็พูดแบบเดียวกัน”
ระวีรำไพชะงัก อยากรู้
“พี่ชายใหญ่พูดว่ายังไงบ้างคะ”
เกษราคิดนิดนึง
“พี่ชายใหญ่บอกว่า...ในสายตาพี่ชายใหญ่ น้องปรางเป็นเด็กซนๆ พูดอะไรก็ไม่ฟัง ทั้งเถียง ทั้งดื้อ หาเรื่องปวดหัวมาให้บ่อยๆ ดุหน่อยก็ร้องไห้ เป็นแบบนี้ตั้งแต่เด็กแล้ว”
ระวีรำไพสลดลลง
“พี่ชายใหญ่...พูดแบบนี้เหรอคะ”
“ค่ะ แต่พี่ไม่เห็นด้วยทั้งหมดนะคะ อ้อ...แล้วพี่ชายใหญ่ก็ชมน้องปรางด้วยค่ะ ชมว่าเป็นคนสดใส ฉลาด แล้วก็เป็นสาวสมัยใหม่ ซึ่งอันนี้พี่เห็นด้วยทุกอย่าง”
เกษรายิ้มจริงใจ แต่ระวีรำไพหน้าเสีย ใจหาย เกษราคิดแล้วก็พูดอย่างเจียมตัว
“แต่จะว่าไป...ถ้าพี่ชายใหญ่สนใจน้องปรางตามที่เขาพูดกัน พี่ก็ไม่มีสิทธิ์โกรธ เพราะน้องปรางก็เหมาะสมกับพี่ชายใหญ่ทุกอย่าง ไม่เหมือนพี่”
ระวีรำไพรีบปลอบใจ
“ไม่ใช่เลยค่ะ ผู้หญิงที่มีความเป็นกุลสตรีอย่างพี่เกษต่างหากที่เหมาะสมกับพี่ชายใหญ่ ไม่ใช่เด็กซนๆที่หาแต่เรื่องปวดหัวมาให้อย่างปราง”
ระวีรำไพพูดด้วยความเศร้าลึกๆ และรับสภาพ เกษราฟังแล้วก็คิด
“เออ น้องปรางคะ...พี่ไม่ค่อยสบายใจที่คนอื่นคิดว่าพี่ชายใหญ่เป็นเอ่อ...เป็นพวกชายรักชาย...เราจะทำยังไง เพื่อให้พี่ชายใหญ่หลุดพ้นจากข้อครหานี้”
“ใครเป็นคนคิดแบบนั้นคะ” ระวีรำไพถามเสียงเข้ม...
ชินกร มองธราธรด้วยความไม่วางใจ ธราธรก็มองรอสองสาวด้วยความเป็นห่วง
“ทำไมไปนานจัง...มีปัญหาอะไรหรือเปล่านะ”
ชินกรคาใจ
“ตั้งแต่ทำงานกันมา ผมไม่เคยเห็นคุณชายใหญ่ห่วงนักศึกษาคนไหน เท่าตะวัน กับก้องเลยนะครับ”
ธราธรชะงัก
“เอ่อ...ก็...สองคนนี้ไม่ได้เป็นนักศึกษาในคณะเรา อาจารย์อิงอรเธอฝากมา ถ้าดูแลไม่ดี จะเสียชื่อคณะน่ะครับ”
ธรารธรหัวเราะแห้งๆ ชินกรหัวเราะรับด้วย
“เหรอครับ” ในใจเขาไม่เชื่อ แล้วก็แยงถามจี้ใจ “เอ่อ...คุณชายใหญ่มาอยู่ป่านานๆแบบนี้คิดถึง คุณเกษ บ้างหรือเปล่าครับ”
ธราธรตอบยิ้มๆ
“ผมรู้สึกเหมือนมีเธออยู่ด้วยกันที่นี่ ก็เลยไม่คิดถึงสักเท่าไหร่”
ชินกรงง เกษรากับระวีรำไพเดินมา ธราธรหันไปเห็นพอดีก็รีบพูดขึ้น
“ก้องกับตะวันมาโน่นแล้ว เรารีบไปที่ไซท์กันดีกว่าครับ”
ธราธรพูดจบก็เดินไปที่รถ ชินกรคิดงงๆ
“รู้สึกเหมือนคุณเกษอยู่ที่นี่”
ชินกรหันไปทางเกษราที่เดินมากับระวีรำไพ เกษรายิ้มให้ธราธรที่ยืนรออยู่ที่รถ ชินกรมองครุ่นคิดแล้วเขาก็เห็นภาพก้องเกียรติ์แต่งเป็นเกษรายิ้มให้ธราธร ชินกรสะดุ้ง รีบสะบัดหัวไล่ความคิดพิเรนทร์ออกไป
“เฮ้ย ไม่จริง”
ธราธร เกษรา ระวีรำไพ หันมาทางชินกรด้วยความสงสัย ชินกรรีบทำเป็นปกติ
“เอ่อ...ไม่มีอะไร...เรารีบไปกันดีกว่า แหะๆ”
ชินกรรีบเดินมาที่รถ ธราธรหันมาบอกสองสาว
“ผมนั่งกะบะเอง ด้านหลังแดดร้อน ก้องกับตะวันนั่งหน้ากับอาจารย์ชินกรนะ”
สองสาวรับคำ
“ครับ”
ธราธรกระโดดขึ้นกะบะหลัง ชินกรยืนเหวอๆอยู่ หันมาทางระวีรำไพกับเกษราที่ยืนยิ้มอยู่ ก็ยิ่งเหวอหนัก ไม่ยิ้มตอบเก๊กเข้ม กลัวจะคิดว่าเป็นพวกเดียวกัน แล้วก็เดินไปประจำที่คนขับ ระวีรำไพกับเกษราหุบยิ้มงงๆ แล้วก็เดินตามขึ้นรถไป ชินกรสตาร์ทรถหน้าตาเหมือนกระอักกระอ่วนอยู่คนเดียว
รถแล่นมาบนถนน...ธราธรนั่งอยู่กะบะหลัง เขามองเกษราและระวีรำไพที่นั่งอยู่ด้านหน้า ยิ้มๆด้วย
ความเอ็นดู เกษราก็หันไปมองธราธรเป็นระยะด้วยความเป็นห่วง ชินกรมองเกษราที่มองธราธร และ มองธราธร
ที่ยิ้มให้สองหนุ่ม แล้วก็กลุ้มใจ...ทั้งหึง หวงแทนเกษราและห่วงธราธร สับสนไปหมด...ระวีรำไพเห็นเกษรากับธราธรมองส่งสายตาให้กันก็ยิ้มนิดๆ ดีใจแทนพี่ แต่ก็เศร้าใจกับตัวเอง
รถเข้ามาจอดที่หน้าปราสาท ระวีรำไพ เกษรา ชินกรลงจากรถ ธราธรกระโดดลงด้านหลังแล้วเดินมาสั่งงาน
“วันนี้ก้องมาช่วยงานครู ส่วนตะวันไปช่วยงานอาจารย์ชินกรนะ”
เกษรายิ้มดีใจ
“ครับ”
ระวีรำไพยิ้ม แต่แอบจ๋อย
“ครับ”
ธราธรกับเกษราเดินไปด้วยกัน ชินกรมองตามแววตาคิดหนัก ระวีรำไพหันมาถามชินกร
“อาจารย์จะให้ผมช่วยทำอะไรครับ”
ชินกรหันมา
“ไม่มี อยากจะทำอะไรก็ทำ”
อ้าว...ระวีรำไพงงๆ ชินกรพูดจบก็เดินตามธราธรและเกษราไป เดินตามห่างๆอย่างระมัดระวัง ระวีรำไพคิดๆ
“อยากทำอะไรก็ทำ” แล้วเธอก็คิดออก“อุดม”
ระวีรำไพจิกหางตา...คิดแผนการร้ายขึ้นในมาสมอง
อุดมจดบันทึกก้อนหินไป นินทาระวีรำไพไปด้วยความคะนองปาก มานะ ปิติ คอยช่วยเขียนหมายเลข
“ไอ้ตะวันมันยังไม่เห็นมาสักที หนอย...ทำเป็นพูดว่าจะมารอบหลัง ที่แท้ก็แอบอู้งาน นี่ๆ แต่จะว่าไป ตั้งแต่เช้าข้าก็ไม่เห็นอาจารย์หม่อมเหมือนกัน สงสัยตอนนี้คงจะกำลังจู๋จี๋กันอยู่แหงๆ ฮ่าๆๆๆ”
อุดมนินทาไปด้วยความคึก มานะหัวเราะตาม ปิติส่ายหน้า ด้านหลังเห็นระวีรำไพยืนอยู่ ได้ยินเต็มๆ ระวีรำไพเม้มปากแน่น ด้วยความแค้นที่โดนว่าร้าย แล้วก็ปั้นหน้าทำเป็นไม่ได้ยิน เดินยิ้มปรี่เข้าไปหาอุดม
“อุดม”
เธอพูดเสียงแอบหวานแบบชายๆ อุดมสะดุ้ง
“เฮ้ย”
มานะ ปิติ พลอยตกใจไปด้วย อุดมหน้าตื่น
“อะ...ไอ้ตะวันแกมาตั้งกะเมื่อไหร่ แล้วดะ...ได้ยินอะไรบ้าง”
“มาเมื่อกี๊นี้เอง ไม่ได้ยินอะไรเลย มีอะไรเหรอ”
“มะ..ไม่มี ไม่มีอะไร แล้วแกมาเรียกชื่อฉันทำไม เรียกจะยานเป็นนมยายเลย มีอะไร”
“คือ ฉันต้องยกหินตรงโน้น...แต่ยกคนเดียวไม่ไหว ฉันเห็นว่าอุดมเป็นคนที่แข็งแรง” ระวีรำไพแกล้งส่งสายตาชื่นชม “ล่ำสัน บึกบึน ที่สุดในคณะ ก็เลยอยากขอร้องให้ไปช่วยหน่อยน่ะ...นะ...นะ...นะ...นะ”
ระวีรำไพอ้อนแบบแมนๆ แต่ก็แอบหวานนิดๆ อุดมมองๆแล้วก็แอบใจอ่อนไม่รู้ตัว
“เออๆๆ ไปช่วยก็ได้”
มานะกับปิติ หันขวับมาทางอุดมที่ประกาศเสียงแข็ง เหมือนไม่แยแส
“จะให้ยกก้อนไหน แต่ฉันยกแค่ก้อนเดียวนะเว้ย ที่เหลือยกเอาเอง”
อุดมยกก้อนหินไปวางเรียงไว้ เตรียมประกอบกลับเข้าไป เขายกก้อนที่หนึ่งไปวาง ระวีรำไพรีบชี้นิ้วอีกก้อน
“ก้อนนี้อีกก้อนนะ”
“เฮ้ย...อะไรวะ ฉันบอกก้อนเดียวไง”
“ก็อุดมแข็งแรงยังกะยักษ์ ให้ยกก้อนเดียวมันไม่สมศักดิ์ศรี อีกก้อนแล้วกัน ถือว่าช่วยลูกนกตาดำๆ” ระวีรำไพส่งสายตาอ้อนแบบแมนๆ “นะอุดมคนดี๊...ดี”
“เออๆ ยกให้ก็ได้ นี่เห็นว่าแกอ้อนแอ้นเป็นนางรำ กลัวว่าตัวจะหักสองท่อน ถึงได้ทำให้หรอกนะ”
“ขอบใจจ้า ยกก้อนนี้นะ แล้วก็ก้อนนั้น แล้วก็ก้อนโน้นด้วย อุดมสู้ๆนะ ฉันจะยืนเป็นกำลังใจให้อยู่ตรงนี้นะ”
“เออๆ ไม่ต้องสะดีดสะดิ้งมากก็ได้นะ รำคาญ กรี๊ดกร๊าดมาก เดี๋ยวพ่อเตะขาดสองท่อน” อุดมทำแมน แต่ก็ยกก้อนหินให้ “ก้อนนี้นะ”
ระวีรำไพยิ้มน่ารัก
“ครับผม”
อุดมสะอึดนิดๆกับรอยยิ้มน่ารักของระวีรำไพ เขาก้มหน้างุด ระงับอาการเขินแล้วก็ก้มตาก้มตายกก้อนหินให้ ปิติ กับ มานะ ยืนอยู่อีกมุม มานะพูดขึ้นอย่างแปลกใจ
“ไอ้ดมมันเป็นอะไรวะ อยู่ๆก็ไปช่วยไอ้ตะวันเฉยเลย ดูสิ ชี้นิ้วให้ทำอะไรก็ทำ”
ปิติหน้าตื่น
“หรือว่า...อุดมจะเป็นเหมือนอาจารย์หม่อมไปแล้ว”
อุดมนั่งอยู่บนก้อนหิน มานะกับปิติ ยืนค้ำหัวเป็นเชิงคุกคาม อุดมเหงื่อแตกพลั่ก ปฎิเสษเสียงแข็ง
“ไม่จริง ฉันไม่ได้เป็นเว้ย ฉันไม่ได้เป็นชายรักชาย ฉันไม่ได้รักไอ้ตะวัน”
มานะแย้ง
“แต่เมื่อกี๊ ไอ้ตะวันมันชี้นิ้วสั่งแก แกก็ทำให้มันงกๆ ทำไม่ลืมหูลืมตา”
ปิติเสริม
“ใช่ แล้วฉันก็ยังเห็นแก...ยิ้มอย่างมีความสุขมากๆ”
อุดมลุกพรวด สองคนผวาถอย
“ไม่จริงเว้ย ไม่จริง ฉันไม่ได้เป็นแบบนั้น ฉันไม่ได้มีความสุข ฉันไม่ได้ทำเพราะฉันหลงเสน่ห์ไอ้ตะวัน”
แล้วอุดมก็หวั่นไหว ชะงักหยุดพูดเมื่อนึกถึงภาพตอนระวีรำไพยิ้มสดใส
“ขอบใจจ้า ยกก้อนนี้นะ แล้วก็ก้อนนั้น แล้วก็ก้อนโน้นด้วย อุดมสู้ๆนะ ฉันจะยืนเป็นกำลังใจให้อยู่ตรงนี้นะ”
อุดมหน้าเสีย
“ไม่จริง...” อุดมส่งเสียงดังขึ้น “ไม่จริง ฉันไม่ได้คิดแบบนั้น ไม่จริง”
อุดมวิ่งแหกปากไปอย่างรับตัวเองไม่ได้ ปิติ กับมานะมองตามงงๆ
“อ้าว”
“ไม่จริง ไม่จริง ไม่จริง”
อุดมวิ่งแหกปากไปอย่างบ้าคลั่ง นักศึกษาคนอื่นมองตามงงๆ...ระวีรำไพแอบมองอยู่หลังต้นไม้มองอุดมที่วิ่งแหกปากเสียสติไปแล้วก็ขำคิกคักอย่างสะใจ
ธราธรเดินอยู่กับเกษราในมุมสวย เขาชวนเธอคุย
“น้องเกษดูทางโน้นนะครับ...” เขาชี้ไปด้านหน้า “ทางด้านนี้ ในโบราณเป็นถนนยาวไปถึงปราสาทอังกอร์...ยุคที่อังกอร์เรืองอำนาจ ผู้ปกครองได้ทำถนน 3 สายหลักที่มีต้นทางอยู่ที่อังกอร์”
เกษราตั้งใจฟัง ธราธรพูดอย่างออกรส
“สายแรกมุ่งสู่อาณาจักรจามปา หรือเวียตนามในปัจจุบัน สายที่ 2 มุ่งสู่นครจำปาสักหรือลาว และสายที่ 3 มุ่งสู่พิมายซึ่งก็คือประเทศไทย ถนนทั้งสามสายมีความสำคัญมากทั้งในทางประวัติศาสตร์และสังคม เอาไว้ถ้าน้องเกษอยากรู้ละเอียดกว่านี้ พี่ชายใหญ่จะหาเวลาเล่าให้ฟังนะครับ”
เกษรายิ้มรับ
“ขอบคุณค่ะ”
“พูดถึงถนนแล้วนึกถึงชายเล็ก...” ธราธรยิ้มนิดๆ “ชายเล็กมีความฝันอยากจะสร้างถนนเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยชาวบ้านจะได้มาอนามัยหรือโรงพยาบาลได้อย่างสะดวก”
“การมีความฝันมันดีจังเลยนะคะ ทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมาย”
ธราธรหันมามอง
“ความฝันของน้องเกษคืออะไรครับ”
ธราธรคำตอบ เกษราเบือนหน้าหนี แอบเศร้า
ชินกรเดินอยู่อีกมุมหนึ่ง มองซ้ายมองขวาหาเป้าหมาย พอเจอธราธรกับเกษรายืนอยู่ด้วยกันก็ชะงัก รีบ
หลบวูบ แอบดู อยู่ไกลพอประมาณ ไม่ได้ยินเสียงพูด...เกษราตอบเศร้าๆ
“ไม่มีค่ะ แม้แต่เรื่องคำสัญญาของสองครอบครัว เกษยังไม่กล้าฝันว่าตัวเองจะเป็นคนที่ถูกเลือก”
“ทำไมน้องเกษคิดแบบนั้น”
“ก็มันเป็นความจริงนี่คะ ถ้าไม่ใช่เพราะคำสัญญาเราสามคนพี่น้องคงไม่อยู่ในสายตาของคุณชายทั้งห้าแห่งวังจุฑาเทพ”
ธราธรคิดแล้วตอบเสียงจริงจัง
“มันก็อาจจะใช่...”
เกษราสะอึก
“และในทางกลับกัน...สาวๆเทวพรหมก็อาจจะไม่สนใจพวกเราทั้ง 5 ก็ได้ บางทีน้องเกษอาจจะเจอชายอื่นที่อ่อนหวาน มีอารมณ์ขัน และใส่ใจน้องเกษมากกว่าพี่”
“อ่อนหวาน มีอารมณ์ขัน และใส่ใจ...”
เกษราส่ายหน้า...เหมือนเป็นไปไม่ได้ แล้วก็เบนสายตาไปอีกทางพลันไปปะทะเข้ากับชินกรที่ยืนแอบมองอยู่สองคนปะทะสายตากัน ต่างคนต่างสะดุ้ง ชินกรรีบหันหน้าหนี แล้วหลบวูบไป เกษราก็รีบ
หันหน้ากลับมาทางธราธรแล้วก็ยิ้มกลบเกลื่อนธราธรยิ้มรับ สองคนยิ้มให้กันเหมือนมีความสุข
ระวีรำไพเดินมาจากอีกมุม เห็นเกษรากับธราธรยืนยิ้มให้กันอย่างมีความสุข เธอชะงักนิดๆ แล้วก็ยิ้ม
เศร้าๆออกมา ก่อนจะค่อยๆหันหลังเดินกลับลงไป ในจังหวะที่ธราธรหันมาเห็นพอดีสายตาของเขาเห็นระวีรำไพเดินหันหลังไปเหมือนไม่สนใจ เกษราก็ปรายตาไปทางตำแหน่งที่เห็นชินกร แต่ไม่เห็นแล้ว...ชินกรยืนหลบอยู่ คิดหนัก หึง หวง ชอบกล...ธราธรค่อยๆปรายตามาทางระวีรำไพ ที่เดินหลบอยู่หลังปราสาท เขาคิด ไม่สบายใจ...ระวีรำไพยืนเศร้าอยู่หลังกำแพง ทั้ง 4 คนอยู่ในอาการกลืนไม่เข้า คายไม่ออก หนักใจเหลือเกิน
เอ็ดเวิร์ดเก็บของใส่กระเป๋าหน้าตาหงุดหงิด แทนเดินผ่านมาเห็นก็โวยวายขึ้นมา
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดอย่าเพิ่งกลับเลยนะครับ มิสเตอร์...”
แทนจะเดินเข้าไปในห้อง เอ็ดเวิร์ดหันมาปิดประตูใส่หน้าด้วยความรำคาญ ประตูกระแทกใส่หน้าแทนเต็มเปา พลั่ก
“โอ้ย”
แทนจับหน้าด้วยความเจ็บ พรานสมเดินมาพอดี แทนรีบเรียกไว้
“พรานสม พรานสม หยุดก่อน คุยกันก่อน”
พรานสมหยุด คิด แล้วก็ยิ้มร้าย แผนชั่วผุดขึ้นมาในหัว
แทนยืนคุยกับพรานสมอยู่ที่หน้าบ้านพักใหญ่
“ผมคงช่วยคุณไม่ได้ ผมเป็นแค่ลูกจ้าง ถ้ามิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดอยากจะกลับ ก็คงต้องให้ท่านกลับ”
แทนเซ็ง
“แย่แล้ว...ถ้าผู้ใหญ่ในกรมถามฉันจะตอบเขาว่ายังไง โอ้ย กลุ้ม”
พรานสมยื่นขอเสนอ
“เอาอย่างนี้...ผมจะลองเกลี้ยกล่อมให้ แต่ไม่รับปากว่าท่านจะฟังหรือเปล่า”
แทนตาวาว
“ขอบใจมากๆ สำเร็จไม่สำเร็จไม่เป็นไร ขอให้ลองดู ขอบใจจริงๆ”
“เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ผมมีคำถามอยากจะถามหนึ่งข้อ”
“มากกว่าหนึ่งข้อก็ได้ อยากรู้อะไรถามมาได้เลย”
พรานสมยิ้มร้ายแล้วก็ถามเป็นชุด
“ผมอยากรู้ว่ากระเป๋าที่คุณชายธราธรสะพายติดตัวมันสำคัญยังไง ทำไมต้องสะพายติดตัวตลอดเวลา”
พรานสมรอฟังคำตอบด้วยความสุขุม ดูเป็นปกติ ไม่กระเหี้ยนกระหือรือจนมีพิรุธ
อีริคกำลังเชคปืนไป คิดไป พรานสมยืนรายงานอยู่ข้างๆ สมุนยืนคุมอยู่ห่างๆ
“กระเป๋าใบนั้นมันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ”
พรานสมพยักหน้า
“ไอ้คุณชายจะเป็นคนดูแลเงินสำหรับใช้จ่ายในการออกสำรวจ มันจะเบิกจากทางการมาครั้งละแสน สองแสน แล้วก็ใส่ไว้ในกระเป๋าสะพาย มันเลยต้องเก็บกระเป๋าไว้กับตัวตลอดเวลา”
อีริคครุ่นคิด
“ถ้าอย่างนั้น...แผนที่ที่แกเห็น ก็อาจจะเป็นแผนที่ของปราสาท 5 หลัง มันถึงได้เก็บใส่กระเป๋าติดตัวไว้อย่างดี...หาทางขโมยกระเป๋ามาให้ได้ ถ้าเราได้แผนที่มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดจะได้เปลี่ยนใจ ไม่กลับกรุงเทพ”
“ผมก็อยากจะทำ...แต่ไอ้คุณชายมันไม่เคยวางกระเป๋าไว้ห่างตัวหาจังหวะขโมยยากมาก ถ้าพลาดมันอาจจะไหวตัว และเราจะซวยกันหมด”
อีริคคิดสักพักแล้วก็ยิ้มร้าย
“ฉันมีวิธี...”
อีริคยิ้มโหดเหี้ยม
เย็นนั้น รณพีร์ รัชชานนท์ ปวรรุจ พุฒิภัทร ซ้อมยิงปืนอยู่ในที่โล่งกว้างข้างบึงเล็กๆ รณพีร์ยืนถือปืนเล็งแล้วยิงกระป๋องกระเด็น รณพีร์ยิ้มพอใจก่อนจะหันมาทางพี่ๆที่ยืนกอดอกดูอยู่ห่างๆ รณพีร์เดินมาหาพร้อมอธิบาย เด็กรับใช้ในค่ายทหารวิ่งไปจัดกระป๋องวางเพิ่มอีก 3 จุด
“หลังจากที่เรารู้จักปืนชนิดต่างๆ ส่วนประกอบของปืน การตั้งเซฟตี้ และการขึ้นลำกล้องแล้ว...วันนี้ผมจะให้พี่ๆคุณชายทั้งสามได้ลองยิงจริงๆ พร้อมมั้ยขอรับ”
สามคุณชายพูดพร้อมกัน
“พร้อม”
ระหว่างที่รณพีร์อธิบาย ทหารรับใช้วิ่งถือถาดใส่ปืน พร้อมซองใส่ปืนคาดเอว ปวรรุจ พุฒิภัทร รัช
ชานนท์ มองด้วยความสนใจ รณพีร์ส่งซองใส่ปืนให้พี่ๆ ทุกคนรับไป
“ผมจัดปืนลูกโม่ 5 นัด ของสมิธ แอนด์ เวสสันมาให้พี่ๆได้ลองซ้อม รุ่นที่จัดมาน้ำหนักเบา เล็งง่าย ไม่สะเทือนมากเกินไป”
ทุกคนรับปืนมา รณพีร์บอก
“ก่อนซ้อมยิง เชคความปลอดภัยของปืนก่อนนะครับ”
ปวรรุจ พุฒิภัทร รัชชานนท์ พยักหน้ารับ และเชคปืนด้วยการเปิดลูกโม่ดูว่าไม่มีลูกและยิงขึ้นฟ้า 5 ครั้งเพื่อเชคอีกรอบว่าไม่มีลูกก่อนจะกระแทกใส่ซองอย่างชำนาญ รณพีร์กอดอกยิ้มด้วยความพอใจ รณพีร์เริ่มสอนอย่างสุขุมและจริงจัง ต่างจากรณพีร์ที่ทะเล้นตึงตังในเวลาปกติ
“การยิงปืนลูกโม่มี 2 แบบคือ single action ง้างนกก่อนยิง”
เขาหันหลังให้พี่ๆ หันหน้ามาทางเป้าและควักปืนออกมาง้างยิง เปรี้ยง กระป๋องกระเด็น อย่างแม่นยำ
“เหมาะสำหรับยิงระยะไกล ที่ต้องการความปราณีต อีกแบบคือ Double Action คือสับไกอย่างเดียว ปืนจะง้างนกให้เอง ดับเบิ้ลแอคชั่นเหมาะสำหรับยิงในระยะใกล้ และยิงรัวอย่างเร็ว ไม่มีจังหวะมาเล็งอย่างปราณีต เหมาะที่จะยิงในสถานการณ์คับขัน”
ว่าแล้วเขาก็ตั้งปืนแล้วเดินกระหน่ำยิงเข้าไปที่ท่อนไม้ที่ใช้สำหรับวางกระป๋อง ปังๆๆๆ กระสุนสี่นัดที่เหลือเข้าท่อนไม้ที่เดียวกัน แม่นเป๊ะ พี่ทั้ง 3 ถึงกับตบมือให้ รณพีร์หันมาโค้งรับพร้อมกับยิ้มหน้าทะเล้นเหมือนเดิม
กระป๋องอันใหม่ถูกนำมาวางบนท่อนไม้ที่โดนยิงพรุนไปเมื่อครู่ คุณชายทั้งสี่ยืนประจำตำแหน่งตรง
เป้าของตัวเอง เรียงมาตั้งแต่ ปวรรุจ พุฒิภัทร และรัชชานนท์ ทั้งสามมีซองปืนคาดเอวพร้อมยิง รณพีร์ยืนอยู่
เป็นคนสุดท้ายล้ำหน้ามาเล็กน้อยแล้วพูดต่อ
“การยิงให้ถูกเป้าไม่ใช่เรื่องยาก แค่เราชี้เป้าให้ถูก” เขาชี้นิ้วไปที่เป้าไม่หลับตา ไม่หรี่ตา “เราก็ยิงถูก”
รัชชานนท์อึ้งๆ
“ง่ายขนาดนั้นเลย”
“ใช่ครับ เพราะนิ้วเราก็เหมือนปากกระบอกปืน ถ้าเราชี้เป้าถูก แล้วเล็งปากกระบอกปืนไปที่เป้าเหมือนที่เราใช้นิ้วชี้ โอกาสโดนเป้าก็มีสูง”
รณพีร์หันมาทางพี่ๆ แล้วสั่งเหมือนสั่งทหาร
“ชี้”
รณพีร์ทำนำ ทุกคนชี้ตามไปที่เป้าของตัวเอง
“เล็ง”
ทุกคนควักปืนออกมาเล็ง
“ประกบสองมือ”
รณพีร์นำ ทุกคนประกบมือตาม
“ไม่หลิ่วตา ไม่หรี่ตา เล็ง นิ่ง ยิง”
ทุกคนยิงพร้อมกันแต่ไม่มีกระสุน แชะ
“เริ่มใหม่”
ทุกคนเก็บปืนพร้อมกันดูหนักแน่นจริงจังมาก รณพีร์ออกคำสั่ง
“ชี้ เล็ง”
ทุกคนทำตาม
“ล็อคหัวไหล่ เกร็งข้อมือ ปากกระบอกปืนอยู่ในระดับสายตา ยิง”
ทุกคนยิงออกไปพร้อมกัน ทั้ง 3 คุณชายเริ่มยิงได้คล่องขึ้น ทะมัดทะแมง ซ้อมอยู่2-3 ครั้งก็ใส่ลูกยิงจริง แรกๆก็โดนท่อนไม้แล้วก็เริ่มเฉียดกระป๋อง รัชชานนท์ดูมีแววสุด โดนมากสุด ปวรรุจพอได้ พุฒิภัทรไม่ค่อยถนัดแล้วก็ฮึดอีกที เล็งใหม่แล้วก็ยิงคราวนี้โดนจังๆ รณพีร์หันมายกนิ้วให้ พุฒิภัทรยักไหล่รับอย่างเท่ๆ...ปวรรุจ พุฒิภัทร รัชชานนท์ รณพีร์ ตั้งปืนแล้วเล็งยิงพร้อมกัน
ชินกรกำลังถ่ายรูปแผนผังปราสาทในห้องทำงาน มานิตเดินเข้ามาพร้อมกับแปลนและภาพร่าง
อื่นๆอีกหนึ่งปึก
“มาแล้วครับ...แบบแปลนร่างเก่าๆ แล้วก็ภาพสเก็ตซ์ที่ผมทำเก็บไว้”
เขาวางไว้ข้างๆชินกร
“ขอบคุณครับ ผมตั้งใจว่าจะรวบรวมเอกสารทั้งหมดที่จะรายงานเข้ากรมให้เสร็จภายในคืนนี้ พรุ่งนี้จะได้เก็บของสำหรับออกสำรวจวันมะรืน”
“อาจารย์ชินกรไม่ต้องเกรงใจนะครับ ต้องการอะไรเพิ่มเติมบอกมาได้เลยครับ”
ชินกรคิดๆ
“ผมอยากได้ภาพถ่ายที่ไซท์งาน พอจะมีมั้ยครับ”
“มีครับ เยอะเลย เป็นชุดที่คุณชายใหญ่ถ่ายไว้ตั้งแต่มาถึง คุณชายน่าจะเก็บไว้ในห้องมืดนะครับ”
“ขอบคุณครับ”
ชินกรยิ้มรับ และเดินออกไป
ประตูห้องมืดถูกเปิดเข้ามา ชินกรปิดประตู เปิดไฟ และค้นหาภาพถ่าย ที่กองอยู่ เขารื้อๆ เลือกภาพที่
ต้องการ รื้อไปรื้อมา พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นภาพถ่ายคนที่ถูกวางทับอยู่ใต้หนังสือ ชินกรมองด้วยความ
สงสัย และหยิบหนังสือออก เห็นรูปแอบถ่ายระวีรำไพในมุมน่ารักๆ วางอยู่เป็นปึกชินกรส่ายหน้า
“คุณชายใหญ่นะคุณชายใหญ่...ไม่อยากเชื่อเลย”
เขาพูดไปดูรูประวีรำไพไปทีละใบๆ แล้วก็ต้องชะงักกึก เพราะมีรูปแอบถ่ายเกษราในมุมสวย ชินกรมองค้างอึ้ง รีบดูรูปต่อไปก็เป็นรูปเกษราอีก และก็เป็นรูปเธอในหลายๆอิริยาบถมากกว่ารูประวีรำไพ ชินกรอึ้งหนัก
“ตกลง...คุณชายใหญ่จะควบสองจริงๆเหรอเนี่ย...แล้วคุณเกษ...”
ชินกรนึกถึงเกษราด้วยความสงสารจับใจ...
ค่ำนั้น เกษรากำลังตักอาหารใส่ชามและจัดเรียงในถาด ก่อนจะเงยหน้าบอกแทน
“อาหารของมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด เรียบร้อยแล้วครับ”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 7 (ต่อ)
แทนยืนกอดอก ทำสั่งเนียนๆ
“เรียบร้อยแล้วก็ยก...”
แทนยังพูดไม่จบ อ่อนศรีที่ยืนอยู่ข้างๆแทนรีบบอก
“ก้องยกไปให้มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดไม่ได้นะครับ คุณชายอาทิตย์สั่งห้ามไว้”
แทนกระแทกเสียง
“ฉันรู้แล้วน่า ฉันจะบอกแค่ว่า...ไอ้นายก้องยก...ส่งมาให้ฉัน”
แทนเฉไฉแก้เก้อ เกษราทำท่าจะยกให้ แทนพุ่งเข้ามายกเอง แล้วก็ทำกระฟัดกระเฟียด
“ไม่ต้องๆ ฉันยกเองก็ได้ นักศึกษาคณะนี้สงสัยจะเป็นลูกเทวดา ใช้นิดใช้หน่อยก็ไม่ได้”
แทนบ่นๆ แล้วก็ยกถาดอาหารออกไป เกษรามองตามแล้วก็ถอนใจนิดๆ อ่อนศรีส่ายหน้าไม่สนใจแล้วก็นึกได้
“เอ้อนี่ก้อง...ทำไมวันนี้อยู่คนเดียว คู่แฝดอินจันนายตะวันหายไปไหนล่ะ”
เกษราชะงักคิด...เออนั่นสิ ระวีรำไพหายไปไหนนะ
ระวีรำไพนั่งหน้าแฉล้มยิ้มกริ่มอยู่ที่ศาลากินข้าว ตรงข้ามกับอุดม ในวงกินข้าวเดียวกัน มีมานะ และ ปิตินั่งอยู่ด้วย นักศึกษาคนอื่นนั่งกระจายกันไปตามที่นั่งประจำของตัวเอง
“อุดมเนี่ย...ดูๆไปก็น่ารักดีนะ”
อุดมสะดุ้งเฮือกหน้าเหรอหรา ใจเต้นโครมคราม
“อะ...ไอ้ตะวัน แกพูดอะไรของแก อยู่ๆมาชมข้า จะบ้าเหรอ”
ระวีรำไพยิ้มหวาน
“เราไม่ได้บ้า เราชมจริงๆ อุดมตาคม ปากนิด จมูกหน่อย น่ารัก น่าเอ็นดู”
ปิติกับมานะ ถึงกับหันมามองหน้าอุดมอีกที อุดมนั่งม้วนอายอย่างลืมตัว มานะถามอย่างสงสัย
“แกอายทำไมวะได้อุดม”
อุดมสะดุ้ง รีบพูดเสียงห้าว
“ใครอาย...ฉันไม่ได้อายเว้ย” อุดมหันมาทางระวิรำไพ “ไอ้ตะวัน เอ็งหุบปากไปเลยนะ ข้าไม่อยากฟัง พูดอีกทีมีต่อยเว้ย”
อุดมทำแมนใส่ ธราธรเดินเข้ามาพอดี ได้ยินเสียงก็หันไปมองงงๆ
“ไม่พูดก็ได้ แค่นั่งมองเฉยๆก็พอ”
ระวีรำไพทำท่ารูดซิบปาก แล้วก็ทำตาแบ๊วมองหน้าอุดมด้วยความชื่นชม อุดมชะงักกึก...มองตาระวีรำไพที่มองตัวเองเป็นประกายแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ เขินวุ้ย แล้วก็นั่งบิดไปมาอย่างลืมตัว มานะกับปิติ มองด้วยความเป็นห่วง ธราธรมองด้วยความสงสัย...ระวีรำไพมองอุดมแล้วก็ทำตาวิ้งค์ๆ กระพริบปริ๊บๆ อุดมอายม้วนมาเจอกับสายตาของปิติกับมานะที่มองอยู่ก็สะดุ้งรู้ตัว แล้วก็หันมาโวยใส่ระวีรำไพ
“เฮ้ย มองอะไรวะ”
“ก็มองคนน่ารักไง”
อุดมสะอึก ปั้นหน้าไม่ถูก ปิติกับมานะมองอุดม เหมือนจะจับผิด ส่วนระวีรำไพก็มองตาแบ๊วงุงิงุงิน่ารัก
มากมาย อุดมสับสนไม่รู้จะทำยังไงเลยลุกพรวดขึ้นไปเลย
“ไม่กง ไม่กิน มันแล้ว นั่งมองอยู่ได้ กินข้าวไม่ลงเว้ย ฮึ่ย”
อุดมทำเป็นกระฟัดกระเฟียดแล้วก็ลุกเดินออกไปเลย มานะกับปิติมมองตามงงๆ ระวีรำไพเรียก
“อ้าว ไม่กินจริงๆเหรออุดม อุดม”
“ไม่กินเว้ย ไม่ต้องมาเรียกด้วย”
อุดมเดินออกไป สวนกับเกษราและอ่อนศรีที่ถือโถข้าวเข้ามา เกษรามองตามงงๆ ธราธรมองด้วยความแปลกใจแล้วก็หันไประวีรำไพที่กำลังขำคิกคัก ธราธรหลิ่วตารู้ทัน ต้องมีแผนอะไรแน่ๆ
อุดมเดินกระฟัดกระเฟียดออกมาจากศาลากินข้าว แต่พอลับตาคนก็คลายจากหน้าหงุดหงิดเป็นยิ้มเขิน แล้วก็รู้ตัว รีบเก๊กกลับมาเหมือนเดิม ด้วยความสับสนทางเพศ
“ไม่จริง ไม่...ไอ้ตะวันมันเป็นผู้ชาย เราต้องไม่ตื่นเต้น ไม่ตื่นเต้น ไม่ตื่นเต้น”
อุดมร้องออกมาคนเดียวด้วยความสับสน
เกษราเห็นจานข้าวของของระวีรำไพว่างเปล่า เลยตักข้าวให้ ระวีรำไพยิ้มรับ
“ขอบคุณครับ”
เกษรานั่งลงข้างๆ กระแซะถาม
“อุดมเป็นอะไร”
ระวีรำไพบอกเบาๆ
“เดี๋ยวค่อยเล่า”
เธอยิ้ม เจ้าเล่ห์ เกษราส่ายหน้านิดๆ ในความซนของระวีรำไพ ธราธรนั่งอยู่อีกโต๊ะ อ่อนศรีกำลังตักข้าวให้ ธราธรหันไปมองระวีรำไพด้วยความอยากรู้ มานิตเดินเข้ามาพร้อมกับชินกรพอดี ชินกรมองไปที่ธราธรเห็นว่ากำลังมองหน้าระวีรำไพอยู่ ชินกรมองหน้าเกษรา เป็นจังหวะที่เกษรามองธราธรพอดี ธราธรเห็นว่าเกษรามองอยู่ก็ยิ้มให้ เกษรายิ้มรับเขินๆ ก่อนจะหันมาเห็นว่าชินกรกำลังมองอยู่ เกษราชะงักกึกแล้วรีบหลบตาก้มหน้ากินข้าวด้วยความอึดอัด ชินกรมองหน้าเกษราแววตาตำหนิสุดๆ
หน้าเต็นท์...ปิติ มานะและนักศึกษาคนอื่นๆ ทะยอยออกไปอาบน้ำ สักพักอุดมค่อยๆโผล่หน้าออกมา มองซ้ายมองขวา แน่ใจว่าไม่มีใครแล้วก็ยิ้มก่อนจะเดินออกมา ทันใดนั้นเสียงระวีรำไพก็ดังขึ้นอย่างหวานเจี๊ยบ
“อุโดม”
อุดมลืมตัวขานและหันมาตามเสียง
“จ๋า...” เขาหันมาเห็นระวีรำไพยืนอยู่ในระยะประชิดก็สะดุ้งโหยง “เฮ้ย ไอ้ตะวัน กะ...แกมาตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ตั้งนานแล้วหล่ะ เรามายืนดักรออุดมไง”
ระวีรำไพยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย อุดมกลัวๆ
“ละ..แล้วแกมารอฉันทำไม”
“ก็...เรารู้ว่าอุดมจะต้องไปอาบน้ำ เราก็เลยมาดักรอน่ะ” เธอมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้าเน้นทรวงอกอันใหญ่โต “อุดมเนี่ยบึกบึนสมกับเป็นชายชาตรีจริงๆเลย”
อุดมสะดุ้งโหยงรีบเอามือปิดหน้าอก ระล่ำระลัก
“นี่ๆ ไอ้ตะวัน แก...แกอย่ามาพูดแบบนี้นะ ฉันไม่ใช่พวกเดียวกับแกนะเว้ย ฉันไม่ได้ชอบผู้ชาย”
ระวีรำไพเสียงเข้ม แอบทำหน้าเหี้ยม
“สายไปแล้ว ตอนนี้คนอื่นๆคงไม่คิดแบบนั้น”
อุดมหน้าตื่น
“แกหมาย...หมายความว่ายังไง”
“ตอนนี้หลายคนคิดว่านายกับฉันมีความรู้สึกพิเศษๆต่อกัน...และถ้านายยังไม่หยุดพูดสร้างความเสื่อมเสียให้อาจารย์หม่อม ฉันจะทำให้ทุกคนเข้าใจว่านาย-รัก-ฉัน”
อุดมผงะ
“ไม่นะ แก...แกอย่าทำแบบนี้นะไอ้ตะวัน”
ระวีรำไพยิ้มเหี้ยม
“ถ้าไม่อยากให้ฉันทำ ต่อไปเลิกพูดเรื่องอาจารย์หม่อมกับฉัน” เธอเดินรุกคุกคาม “ไม่อย่างนั้นฉันจะทำให้เข้าใจผิดกันทั้งมหาวิทยาลัย ต่อไปจะไม่มีผู้หญิงมาสนใจนาย...คอยดู”
อุดมหวาดๆ
“อย่านะ ไอ้ตะวัน อย่าทำแบบนั้นนะ ฉัน...ฉันสัญญาฉันจะเลิกพูดเรื่องอาจารย์หม่อม แก...แกอยู่ห่างๆฉันเลยนะ” อุดมถอยกรูด “ฉันไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว ไม่พูดแล้ว”
อุดมวิ่งสติแตกตามเพื่อนไปเลย ระวีรำไพหัวเราะคิกคักด้วยความสะใจ
“สมน้ำหน้า หึหึหึ”
ทันใดนั้นเสียงธราธรก็ดังขึ้น
“สนุกใหญ่เลยนะ”
ระวีรำไพหยุดหัวเราะกึกหันขวับมา
“พี่ชายใหญ่”
ธราธรยืนกอดอกมองหน้าดุนิดๆ ระวีรำไพหน้าเสีย โดนดุอีกแน่ๆเลย
เกษรากำลังจะเดินเข้าที่บ้านพัก ชินกรเดินออกมาจากในบ้านพักดักไว้ที่หน้าประตู
“หยุดก่อน...ฉันมีเรื่องจะคุยกับนาย”
เกษราหน้าเสีย ประหม่า
“ระ...เรื่องอะไรครับ”
“เรื่องของนายกับคุณเกษรา ฉันรู้ความจริงหมดแล้ว”
เกษราสะอึกหน้าเสีย หรือว่า...จะโดนจับได้
“อาจารย์รู้...”
“ใช่ ฉันรู้ว่า...” ชินกรเดินรุกเข้ามา “นาย...นายอิจฉาคุณเกษ”
เกษราเลิกคิ้วงง
“ผมอิจฉาพี่เกษ”
“ใช่ ฉันรู้สึกไม่สบายใจกับสิ่งที่นายกำลังทำ ฉันสงสารคุณเกษ”
เกษรายังงงไม่หาย
“สงสาร”
ชินกรใส่ต่อ
“ถ้านายเป็นคนอื่นไม่รู้จักกันก็พอว่า แต่นี่นายเป็นน้องชายของเธอ ทำไมไม่เห็นใจพี่สาวตัวเอง นายใจร้ายมาก ทำกับเธอได้ลงคอ”
เกษราไม่เข้าใจ
“ดะ...เดี๋ยวครับ ผมทำอะไรครับ ทำไมผมถึงเป็นคนใจร้าย”
ชินกรมองหน้าแล้วก็พูดออกไปเลย
“อย่าคิดนะว่าฉันไม่รู้ว่านายกับอาจารย์หม่อมสนิทสนมกัน...มากเป็นพิเศษ นายตะวันอีกคน นายสองคนกำลังคิดจะแย่งอาจารย์หม่อมมาจากคุณเกษ”
เกษราผงะหน้าเหวอ ชินกรพูดต่ออย่างใส่อารมณ์
“ถ้านายเพิ่งจะรักอาจารย์หม่อม ถอนตัวซะ อย่าทำร้ายจิตใจคุณเกษ ถ้าเธอรู้ว่าน้องชายกำลังคิดจะแย่งคู่หมั้นคู่หมาย เธอจะต้องเสียใจ อับอาย ถ้าเธอ ทนต่อการถูกสังคมครหานินทาไม่ได้ เธออาจจะคิด...คิดฆ่าตัวตาย หนีไปให้พ้นจากการถูกหัวเราะเยาะ”
ชินกรพูดจบเกษราก็หัวเราะออกมา พยายามกลั้นแล้ว แต่ไม่สำเร็จ ชินกรชะงักกึกเงยหน้ามองเกษราที่พยายามกลั้นหัวเราะจนหน้าแดง เขาเอ็ดอย่างไม่พอใจ
“ฉันกำลังพูดเรื่องปัญหาชีวิตของพี่สาวนายนะ ยังจะเห็นเป็นเรื่องตลกอีก นายไม่ได้รักพี่สาวตัวเองเลยหรือยังไง”
เกษราพยายามกลั้นขำ
“เปล่าครับ ผม...ผมว่าอาจารย์คิดมากไปแล้วครับ ผมกับอาจารย์หม่อม และตะวัน ไม่ได้เป็นอะไรอย่างที่อาจารย์คิด”
ชินกรหลิ่วตาไม่เชื่อ
“อาจารย์เชื่อผมเถอะครับ ผมขอรับรองว่ามันไม่เป็นจริง ส่วนเรื่องพี่เกษ...อาจารย์ไม่ต้องห่วง ผมไม่มีวันทำร้ายจิตใจเธอแน่นอนครับ”
เกษราพูดจบก็เดินเข้าบ้านพักไปพร้อมรอยยิ้ม สบายใจ ไม่คิดมาก ชินกรมองตามแล้วยิ่งขัดใจ
“ทำมาเป็นพูดดี...ทำให้ได้ก็แล้วกัน”
ชินกรส่ายหน้า ยังไงก็ไม่เชื่อ...
ธราธรคุยกับระวิรำไพที่มุมหนึ่ง ระวีรำไพดื้อตาใส
“ปรางทำได้อยู่แล้วค่ะ รับรองว่าอุดมจะต้องหยุดพูดให้ร้ายพี่ชายใหญ่กับปรางแน่นอนค่ะ”
ธราธรกอดอกมองหน้าระวีรำไพ ดุหน้าเข้ม
“ถ้าอุดมไม่หยุด และคิดว่าน้องปรางมีใจให้ หันมารัก ชอบ น้องปรางจริงๆ จะทำยังไงคะ”
ระวีรำไพชะงัก แล้วก็เศร้า
“พี่ชายใหญ่จะดุปรางอีกแล้วใช่มั้ยคะ”
“ก็มันน่าดุนี่คะ ถึงแม้คนอื่นจะคิดว่าปรางเป็นผู้ชาย แต่จริงๆแล้วเราก็ยังเป็นผู้หญิง ไปดักเจอผู้ชายแล้วพูดจาสองแง่สองง่ามแบบนั้น มันไม่งามเลย”
ระวีรำไพหน้าเสีย ตาแดงๆ จะร้องไห้ ธราธรรู้ทัน
“ไม่ต้องมาบีบน้ำตา ถ้าน้องปรางร้องไห้พี่จะไปเรียนความจริงกับคุณอา และส่งตัวกลับกรุงเทพไปพร้อมกับมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดวันพรุ่งนี้”
ระวีรำไพสะอึก น้ำตาหยุดไหลเลย เธอคิดๆแอบเจ้าเล่ห์ แล้วก็เปลี่ยนท่าทีเป็นสำนึกผิดทันที
“ปรางขอโทษค่ะ ปรางจะไม่ทำอีกแล้ว...ปรางก็แค่ไม่อยากให้อุดมคิดว่าพี่ชายใหญ่เป็นพวก ชายรักชาย ก็เลยหาทางทำให้อุดมหุบปาก ปรางไม่อยากให้คนอื่นคิดว่า...พี่ชายใหญ่ชอบปราง”
ระวีรำไพหน้าเศร้า ธราธรมองเห็นความเศร้าของเธอแว่บออกมานิดๆ ระวีรำไพฝืนยิ้ม ทำเป็นร่าเริง
“เพราะความจริง...พี่ชายใหญ่ไม่เคยคิดแบบนั้น ในสายตาพี่ชายใหญ่ ปรางก็เป็นแค่เด็กซนที่ชอบหาเรื่องมาให้ปวดหัว”
ธราธรชะงักมองหน้าหญิงสาวรู้สึกผิดนิดๆ กับคำพูดของตัวเอง ระวีรำไพฝืนยิ้มใจเหี่ยว
“แต่พี่ชายใหญ่ไม่ต้องห่วงนะคะ หลังจากวันนี้อุดมคงเลิกพูดเรื่องนี้แล้ว สบายใจได้คงไม่มีใครเข้าใจผิดเรื่องนี้อีกแล้วค่ะ”
ระวีรำไพยังมีหน้ามาปลอบใจเขาอีก ธราธรมองรู้สึกเหมือนมีอะไรบางอย่างจะพูดแต่พูดไม่ออก
“ปราง...กลับที่พักก่อนนะคะ”
ระวีรำไพหันหลังให้ธราธรแล้วเดินกลับไปที่พัก ทำเหมือนจะเข้าใจ ไม่สนใจ ไม่เจ็บ ธราธรมองตาม...อยากจะพูดว่ามันไม่ใช่ แต่ก็พูดไม่ออก ธราธรเริ่มสับสนกับความรู้สึกของตัวเอง...ระวีรำไพเดินพ้นธราธรมาแล้วก็ชะงักเท้าหยุดเดินหน้าเศร้าเสียใจ แต่ก็กัดฟันเชิดหน้าขึ้น และยอมรับสภาพความเป็นจริงๆ
กระเป๋าเดินทางเอ็ดเวิร์ดวางไว้อย่างเป็นเรียบร้อยเตรียมเดินทาง เอ็ดเวิร์ดพูดเสียงเย็นชา
“ก็ได้...ฉันจะให้โอกาสพวกแกจนถึงเที่ยงวันพรุ่งนี้ ถ้ายังไม่ได้แผนที่ ฉันจะกลับกรุงเทพ”
พรานสมยืนอยู่อีกมุมหนึ่งในห้อง พูดเสียงพอได้ยินกันแค่สองคน
“ไม่ต้องรอถึงเที่ยง ทุกอย่างก็เรียบร้อย พรุ่งนี้คุณได้แผนที่แน่นอน”
พรานสมยิ้มอย่างมั่นใจ แล้วก็เดินออกไป เอ็ดเวิร์ดปรายตาตามนิดๆ คิด...มันจะทำอะไรของมัน
สองสาวอยู่ในห้องนอนใส่ชุดนอน ปล่อยผมยาว นั่งคุยกันอยู่บนเตียงของตัวเอง ระวีรำไพถามด้วยความแปลกใจ
“อาจารย์ชินกรกับพี่เกษสนิทกันมากขนาดนั้นเลยเหรอคะ”
เกษราขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
“สนิทกันมากขนาดไหน”
“ก็มากขนาดที่อาจารย์ชินกรต้องมาพูดกับก้องเพื่อให้เลิกยุ่งกับพี่ชายใหญ่ ถ้าไม่ใช่คนชอบพอ คงปล่อยผ่าน ไม่ใส่ใจ”
เกษราคิดๆ
“ก็ไม่นะ...พี่กับเขาเจอกันแค่ครั้งสองครั้งก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ จะว่าไป เขาสนิทกับพี่ตอนเป็นก้อง มากกว่าตอนที่พี่เป็นตัวเองซะอีก”
ระวีรรำไพคิดตาม
“แสดงว่าอาจารย์ชินกรคงจะถูกชะตากับพี่เกษมากๆ เจอกันแค่ครั้งสองครั้งถึงได้เป็นห่วงมากขนาดนี้ หรือว่า...อาจารย์ชินกรจะแอบชอบพี่เกษ”
เกษราตกใจ
“อุ้ย ไม่หรอกค่ะ คนเจอกันแค่ครั้งสองครั้งจะไปชอบกันได้ยังไงคะ”
“เป็นไปได้สิคะ แบบที่ฝรั่งเรียกว่า Love at first sight หรือ รักแรกพบยังไงคะ”
เกษราชะงักคิดๆ ภาพเหตุการณ์ตอนเจอชินกรครั้งแรกในร้านผ้า สวยงาม โรแมนติกแว่บเข้ามา เกษราหน้าแดงนิดๆ แต่ไม่ยอมรับ
“ไม่จริงหรอกค่ะ เป็นไปไม่ได้ พี่ไม่ใช่คนสวยขนาดที่จะมีคนมาตกหลุมรักในครั้งแรกที่เห็น พี่ว่า...อาจารย์ชินกรคงจะเป็นห่วงเพราะ...เพราะ...”
เกสรครุ่นคิด ระวีรำไพมองหน้า
“เพราะอะไรคะ”
เกษราตอบไม่ได้
“เห็นมั้ยคะ ไม่มีเหตุผลอื่น นอกจากเหตุผลนี้...”
ระวีรำไพลุกมานั่งข้างๆจับมือ
“พี่เกษเป็นคนสวยนะคะ ถ้าจะมีผู้ชายมาตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ค่ะ”
เกษราเขินๆ พูดไม่ออก ระวีรำไพพูดต่อยิ้มๆ
“สงสัย...พี่ชายใหญ่จะมีคู่แข่ง น่ากลัวซะด้วย”
เกษราส่ายหน้า เลื่อนมือมากุมเหนือมือระวีรำไพ
“ไปใหญ่แล้วค่ะ อาจารย์ชินกรไม่ได้ชอบพี่ และก็ไม่มีการแข่งขันอะไรทั้งนั้น นอนเถอะค่ะ พี่ง่วงแล้ว”
เกษราพูดจบก็หันไปนอนเลย ระวีรำไพนั่งเหวอ
“อ้าว...ยังคุยไม่จบเลย พี่เกษคะ...อย่าหนีสิ มาคุยต่อก่อน”
เกษราไม่ตอบ แถมยังเอาผ้าห่มมาคลุมตัวิหันหลังให้ เป็นการปิดบทสนทนา ทำเอาระวีรำไพคาใจ...เกษราหันหลังให้ระวีรำไพทำเป็นนอน แต่กลับลืมตาครุ่นคิด...จริงมั้ยนะ แล้วก็อมยิ้ม...
ชินกรนั่งพนมมืออยู่บนเตียง กำลังสวดมนต์ แต่กลับปรายตามามองธราธรที่สวดมนต์อยู่เตียงข้างๆ ธราธรสวดมนต์นิ่งๆ มีสมาธิ แต่ชินกรดูว่อกแว่ก และคิดอะไรบางอย่างในใจ ไม่นิ่ง พอธราธรกราบปุ๊บ ชิน
กรรีบกราบตาม พอธราธรล้มตัวลงนอน ชินกรรีบถาม
“คุณชายใหญ่ครับ”
ธราธรหันมา
“เอ่อ...คือ...ที่คุณชายใหญ่บอกว่าไม่คิดถึงคุณเกษรา เพราะรู้สึกเหมือนมีเธออยู่ใกล้ๆ คุณชายไม่ได้หมายความว่าจะหาใครมาเป็นตัวแทนใช่มั้ยครับ”
ธราธรมองหน้าชินกรแล้วก็รู้ทัน ขำออกมา
“อาจารย์ไปได้ยินข่าวซุบซิบที่นักศึกษาพูดถึงผมกับตะวันใช่มั้ยครับ”
ชินกรสะอึกนิดๆ แล้วก็ตัดสินใจพูดตรงๆเลย
“เอ่อ...ไม่ใช่แค่ข่าวซุบซิบครับ แต่ผมเห็นรูปที่อยู่ในห้องมืด เป็นรูปของตะวันกับก้อง”
ธราธรชะงักนิดๆ ชินกรรีบอธิบาย
“คือผมไม่ได้ตั้งใจจะละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัว แต่ผมเข้าไปหารูปปราสาทมาทำงาน แต่มันบังเอิญไปเจอ...โดยไม่ได้ตั้งใจ”
ธราธรยิ้มสบายๆ
“ไม่เป็นไรครับ ไม่ใช่เรื่องใหญ่โต และก็ไม่ใช่ความลับ ผมก็ถ่ายคนอื่นๆไว้ด้วย แต่รูปสองคนนี้อาจจะเยอะหน่อย”
ชินกรรีบถาม
“เพราะอะไรครับ”
ธราธรยิ้ม
“ไม่ใช่เพราะว่าผมเป็นพวกชายรักชายก็แล้วกันครับ”
ชินกรสะอึกที่เขาพูโตรงๆ
“ผมขอยืนยัน...ผมชอบผู้หญิงครับ หวังว่าอาจารย์คงไม่คิดว่าผมเป็นตามที่เขาพูดกันนะครับ”
ชินกรชะงักแล้วก็รีบแก้
“ไม่คิ๊ด ไม่คิดแม้แต่นิดเดียวเลยครับ”
ธราธรยิ้ม รู้ทัน
“ไม่คิดก็ดีครับ เพราะวันมะรืนเราต้องไปสำรวจปราสาทด้วยกัน ถ้าอาจารย์คิดว่าผมเป็นชายรักชาย คงจะระแวงกันไปตลอดทาง” ธรธหัวเราะออกมา “ฮ่าๆๆ”
ชินกรสะอึกหน้าเสีย แต่ก็ต้องฝืนหัวเราะแห้งๆ
“แหะๆ ครับ ใช่ครับ แหะๆๆ”
ธราธรขำแล้วก็นอนไปอย่างอารมณ์ดี ไม่คิดมาก แต่พอธราธรล้มตัวลงนอนหันหลังให้ชินกรก็หุบยิ้มหน้าเสีย ปาดเหงื่อซวยล่ะตรูเข้าป่าไปด้วยกัน
เช้ามืดวันต่อมา...หน้าตลาดยังไม่สว่างมาก รถธราธรแล่นเข้ามาจอด ชาวบ้านเดินซื้ออาหารกันไปมา ธราธร เกษรา และระวีรำไพลงจากรถ ธราธรส่งเงินให้เกษรา
“น้องเกษเอาไปซื้อผักนะ พี่จะไปซื้อข้าวสาร เรียบร้อยแล้วเรามาเจอกันที่รถ”
“ค่ะ”
ธราธรกระชับกระเป๋าแนบตัว แล้วก็เดินแยกไป เกษรากับระวีรำไพกำลังเดินไปซื้อผักที่อีกมุมของตลาด สมุนอีริคแอบซุ่มมองธราธรอยู่ห่างออกไป พอเห็นเขาแยกไปก็เดินตาม ระวีรำไพปลายตาไปเห็นพอดี เธอมองตามด้วยความสังหรณ์ใจ เกษราสงสัย
“น้องปรางมองอะไรคะ”
“เอ่อ...ปรางเห็นผู้ชายคนนั้นท่าทางไม่น่าไว้ใจ มองพี่ชายใหญ่แปลกๆ”
ระวีรำไพมองตาม ในจังหวะที่สมุนอีริคทำทีเป็นหันไปดูของตามทางพอดี ระวีรำไพเลยคิดว่าไม่น่ามีอะไร
“คงไม่มีอะไรหรอกค่ะ ปรางคงระแวงไปเอง เรารีบไปซื้อของกันเถอะค่ะ”
เกษรายิ้มรับและเดินไป ระวีรำไพเดินตาม แต่ในใจก็แอบสังหรณ์ใจแปลกๆ
ธราธรเดินออกจากร้านขายข้าวสาร หยิบเงินจากกระเป๋ามาจ่าย แล้วรูดซิบปิดอย่างแน่นหนา กระชับกระเป๋าเข้าตัว แม่ค้ารับเงินมา
“ขอบใจนะจ๊ะ”
ธราธรยิ้มรับ
“ครับ”
ธราธรหันไปหิ้วถุงข้าวอย่างหนักสองถุง มือละถุง กระเป๋าสะพายถูกบิดไปข้างๆ ธราธรเดินหิ้วถุงข้าวออกไป ด้านหลังไม่ห่างออกไป สมุนอีริคมองเล็งเขาไม่วางตา
ธราธรเดินถือถุงข้าวมา มุมหนึ่งของตลาด ค่อนข้างเงียบ ทันใดนั้นก็มีเด็กวัยรุ่นสองสามวิ่งเล่นหยอกล้อกันสวนมา เด็กหนึ่งในนั้นชนธราธรอย่างแรง พลั่ก เขาเซจะล้ม
“เฮ้ย”
ในจังหวะนั้นเอง สมุนอีริคก็วิ่งเข้ามาประกบด้านหลัง ฝั่งที่กระเป๋าห้อยอยู่ แล้วก็ใช้มีดสั้นฟันที่สายกระเป๋าจนขาดและกระชากออกไปอย่างแรง สมุนอีริควิ่งไปพร้อมกระเป๋าในมืออย่างเร็ว ธราธรตกใจร้องโวยขึ้น
“กระเป๋า เอ้ยยยย หยุดนะ”
ธราธรโยนถุงข้าวทิ้งแล้วรีบวิ่งตามไปอย่างเร็ว
“ขโมย ช่วยจับไว้ด้วยครับ”
สมุนวิ่งหลบเข้าที่เหลี่ยมตึก ธราธรรีบวิ่งตามไป
บริเวณเหลี่ยมตึกในอีกมุมหนึ่ง ธราธรวิ่งโผล่มา ปะทะเข้ากับท่อนไม้ที่ยื่นมารอไว้ พลั่ก
“โอ้ย”
ธราธรเซล้มอย่างแรง หลังจากนั้นสมุนอีก 2–3 คน ก็เข้ามารุม ธราธรรีบยันตัวลุกขึ้นและป้องกันตัว เขาสามารถตั้งรับหมัด และเท้าของสมุนอีริคได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ด้วยความที่มีคนมากกว่า ธราธรจึงเสียท่าโดนเข้าไปหลายหมัด แต่กระนั้นก็ถือว่าไม่เสียเปรียบมากนัก สมุนหนึ่งในสามคนส่งหมัดตรงเข้าที่หน้าธราธรเต็มแรงพลั่กจนเขาเซล้ม
“โอ้ย”
สมุนคนที่กระชากกระเป๋าวิ่งมาในมุมปลอดภัยหลังตลาด พร้อมกับกระเป๋าในมือ แล้วรีบโยนกระเป๋าให้ พรานสมรับมาและรีบควักหาแผนที่ แล้วก็เจอ พรานสมรีบหยิบแผนที่ออกมาตาเป็นประกาย เขารีบคลี่แผนที่ออก มองสำรวจจดจำอย่างรวดเร็ว และรีบกางผ้าอีกผืน พร้อมกับสีชอคและวาดลอกแผนที่อย่างรวดเร็วและชำนาญ...อีริคส่งเงินให้เด็กวัยรุ่นที่แกล้งวิ่งชนธราธร เด็กยกมือไหว้ รับเงินและรีบวิ่งไป อีริคกระโดดขึ้นรถ
สตาร์ทรถ ยิ้มร้าย
ธราธรยังโดนรุมอยู่ แม้จะยันตัวมาป้องกัน และรุกกลับไปบ้าง แต่ก็ถือว่าเสียเปรียบ...พรานสมวาดแผนที่เสร็จเรียบร้อย มองด้วยความพอใจ แล้วรีบยัดแผนที่อันเก่าใส่ในกระเป๋าเหมือนเดิม พร้อมกับควักเงินทั้งหมดออกจากกระเป๋าก่อนจะโยนกลับไปให้สมุนที่ขโมยมา สมุนรับกระเป๋ามาและรีบวิ่งออกไปตามแผน พรานสมรีบเก็บแผนที่ของตัวเองและเดินแยกไปอีกทางอย่างเงียบกริบ
ธราธรตั้งรับ และต่อยกลับอย่างเหนื่อยเจ็บ แล้วก็โดนสมุนอีกสองคนรุมกลับ ธราธรล้มคว่ำอีกรอบ ห่างออกไป ระวีรำไพกับเกษราเดินมาพร้อมกับผัก และผลไม้ ระวีรำไพเห็นธราธรล้มและมีคนร้ายยืนรุมอยู่ ระ
วีรำไพก็ร้องขึ้น
“พี่ชายใหญ่”
เกษราหันขวับไปด้วยความตกใจ สมุนทั้งสามคนมาที่สองสาว เสียงเป่าปากดังมาเป็นสัญญาณให้ไป
สมุนทั้งสามเลยหันกลับมาอีกทาง หัวโจกสั่ง
“ไปเว้ย”
สมุนทั้งสามรีบวิ่งหนีไป ระวีรำไพเกิดบ้าดีเดือดไม่ยอมตะโกนขึ้น
“อย่าหนีนะ”
ระวีรำไพโยนของทิ้งแล้วก็วิ่งตามไปเลย เกษราตกใจ
“น้องปราง”
ระวีรำไพไม่สนใจวิ่งตามไปอย่างไม่คิดชีวิต ธราธรเห็นแล้วก็เรียกด้วยความเป็นห่ว
“ปรางอย่า...”
มุมหนึ่งของตลาด อีริคเอารถปาดเข้ามาจอดรถ สมุนที่ขโมยกระเป๋าวิ่งมาหาอีริค กระโดดขึ้นรถ
“ทุกอย่างเรียบร้อยครับ”
อีริคยิ้มร้ายรับรู้ สมุนอีก 3 คนแผนกรุมก็รีบวิ่งกระโดดขึ้นรถมาอย่างเร็ว อีริครีบออกรถไปอย่างเร็ว ระวีรำไพรีบวิ่งออกมาอย่างหอบ แต่ไม่ทัน เห็นรถอีริคแล่นออกไปแล้ว สายตาของเธอเห็นอีริคเป็นคนขับอย่างชัดเจน ระวีรำไพหอบแห่กๆๆๆๆ แต่จำหน้าอีริคได้อย่างชัดเจน แล้วก็สักพักก็นึกได้
“พี่ชายใหญ่”
ระวีรำไพรีบวิ่งกลับเข้าตลาดไปทันที
รถอีริคแล่นมาที่ถนนหน้าตลาด อีริคพยักหน้าให้สมุนที่ขโมยกระเป๋า สมุนพยักหน้ารับ และโยนกระเป๋าลงข้างถนน ตั้งใจจะให้เจ้าของเห็น
ธราธรนอนเจ็บอยู่ที่พื้น เกษรารีบเข้ามาประคองด้วยความเป็นห่วง
“พี่ชายใหญ่ พี่ชายใหญ่เป็นยังไงบ้างคะ พี่ชายใหญ่...”
ระวีรำไพรีบวิ่งกลับมา แล้วก็ชะงักเห็นเกษราประคองธราธรไว้ด้วยความรัก และเป็นห่วง ธราธรสลบไปในอ้อมกอดของเกษรา
“พี่ชายใหญ่”
ระวีรำไพอยากจะเข้าไปประคองดูแลธราธรแต่ก็ทำไม่ได้ เธอใจหายวาบ เหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน
รถประจำทางมารอที่หน้าแคมป์บนรถมีสัมภาระของเอ็ดเวิร์ดวางอยู่ แทนยืนร้อนรนอยู่ข้างๆรถ เอ็ดเวิร์ดเดินหน้าเชิดมา แต่งตัวพร้อมไปเต็มที่ แทนหันมาเห็นรีบวิ่งเข้ามาพะเน้าพะนอ
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดจะกลับจริงๆเหรอครับ ผมว่าท่านน่าจะใจเย็น...”
แทนยังพูดไม่จบเอ็ดเวิร์ดยกมือให้หยุดพูด
“ฉันเสียเวลากับคนที่นี่มานานเกินไปแล้วยังมีประเทศอื่นอีกมากมาย ที่ต้องการเงินของฉัน”
“แต่ประเทศเราก็ต้องการ...”
แทนพูดได้แค่นั้น ทันใดนั้นเสียงอาทิตยรังสี ก็ดังแทรกขึ้นมา
“พอเถอะคุณแทน เราไม่ต้องการเงินของคนอื่นมากขนาดนั้น”
เอ็ดเวิร์ดกับแทน ชะงักกึก แทนหันขวับมาที่อาทิตยรังสี เอ็ดเวิร์ดเชิดหน้าปรายตามาด้วยความยะโส อาทิตยรังสีเดินเข้ามา อ่อนศรีเดินตามมาข้างหลัง อาทิตยรังสีพูดกับเอ็ดเวิร์ดด้วยความเมตตาไม่ได้ใส่อารมณ์
“ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับประเทศของคุณ แต่เรามีรากวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ รากที่หยั่งลึกลงไปในประวัติศาสตร์...การบูรณะโบราณสถานแต่ละแห่งเสมือนการขุดลงในจิตวิญญาณของบรรพบุรุษ”
เอ็ดเวิร์ดเชิดหน้าฟังอย่างโอหัง อาทิตยรังสีพูดต่อ
“เราต้องทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และใช้เวลายาวนานเป็นสิบปี สิบห้าปี...แค่ เงิน อย่างเดียว มันไม่ทำให้ก้อนหินที่ทะลายลงมากลับกลายเป็นปราสาทได้เหมือนเดิม...ถ้าคุณไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ เราก็ไม่อยากรับเงินของคุณ เชิญ”
อาทิตยรังสีผายมือเหมือนไล่ แทนหน้าเสีย
“คุณชาย...”
เอ็ดเวิร์ดไม่พอใจ
“ไม่ต้องมาไล่ฉันไปแน่ พวกแกจำไว้...ไม่ใช่แค่ฉันที่จะไม่ให้เงิน ฉันจะส่งข่าวถึงมูลนิธิต่างๆ ไม่ให้การสนับสนุนพวกแก ฉันก็อยากรู้ แค่แรงกายแรงใจ แต่ไม่มีเงิน พวกแกจะทำให้ก้อนหินพวกนั้นกลายมาเป็นปราสาทเหมือนเดิมได้หรือเปล่า”
เอ็ดเวิร์ดทิ้งท้ายเย้ยหยันแล้วก็เดินขึ้นรถสองแถวไป แทนยืนเหวอ อาทิตยรังสียืนส่งด้วยความสงบ อ่อนศรีตะโกนไล่
“ไปแล้วไม่ต้องกลับมานะครับมิสเตอร์”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 7 (ต่อ)
แทนหันมามองเอ็ดๆ อ่อนศรีทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่สนใจ รถสองแถวแล่นออกไป แทนหันมาพูดกับอาทิตยรังสีงอนๆกึ่งน้อยใจ
“มิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดกลับแล้ว ผมก็ไม่มีอะไรต้องทำ...ผมขอตัวกลับกรุงเทพวันพรุ่งนี้หวังว่าคุณชายคงไม่ว่า” แทนยกมือไหว้ “ขอบคุณครับ”
แทนเดินกลับเข้าไปในค่ายด้วยอาการงอนๆ อ่อนศรีมองตามงงๆ
“ท่าทางคุณแทนแกจะโกรธนี่ถ้าไม่เกรงใจคุณชาย สงสัยจะขอกลับไปพร้อมกับมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ด”
อาทิตยรังสีได้แต่ยิ้มๆอย่างเข้าใจ ไม่ถือเป็นอารมณ์ เขามองรถสองแถวที่แล่นออกไปด้วยความโล่งอก
รถประจำทางของเอ็ดเวิร์ดแล่นออกไป สวนกับรถของแคมป์ที่แล่นสวนเข้ามา เอ็ดเวิร์ดปรายตามอง เห็นธราธรนอนเจ็บอยู่ที่กะบะหลัง มีเกษราประคองอยู่ และระวีรำไพนั่งข้าง ชาวบ้านเป็นคนขับรถมา
ให้ ระวีรำไพมองสวนกลับไม่กลัว และแอบแปลกใจนิดๆ เน้นที่ธราธรนอนจุกๆอยู่ เอ็ดเวิร์ดยิ้มเหยียดด้วยความพอใจ
ชินกรเดินออกมาที่หน้าแคมป์ มองซ้ายมองขวาหารถ มานิตเดินมาพร้อมอุปกรณ์เตรียมไปปราสาท
“พี่มานิตรถไม่อยู่เหรอครับ”
“คุณชายใหญ่ขับไปตลาดครับ”
รถแล่นเข้ามา มานิตเห็นพอดี
“โน่นไงครับ พูดถึงก็มาพอดี”
ชินกรหันไป มานิตเพ่งมอง
“เอ๊ะ...แต่ทำไมคนขับไม่ใช่คุณชายใหญ่”
ทั้งสองคนเพ่งมองด้วยความแปลกใจ ชาวบ้านขับรถเข้ามาและทันใดนั้นระวีรำไพก็โผล่พรวดมาจากกระบะหลังพร้อมส่งเสียง
“ช่วยด้วยครับ อาจารย์หม่อมโดนทำร้าย ใครก็ได้ช่วยด้วยครับ”
ชินกรกับมานิตตกใจ โพล่งออกมาพร้อมกัน
“คุณชายใหญ่โดนทำร้าย”
ในห้องนอน ธราธรนั่งพิงหลังอยู่บนเตียง รับแก้วยาหม้อมาดื่มอย่างขม หน้ามีรอยช้ำนิดๆ ระวีรำไพยืนถือกระเป๋าของเขาที่หูขาด ข้างๆเป็นเกษรายืนมองด้วยความเป็นห่วง อาทิตยรังสี นั่งอยู่ที่เก้าอี้อีกมุมของห้อง ชินกรยืนอยู่ข้างๆ ธราธรดื่มแล้วยื่นแก้วคืนให้อ่อนศรี
“ขอบคุณมากครับ”
อ่อนศรีรับแก้วมา
“ยาหม้อสมุนไพรแก้ช้ำในชะงักนัก แป๊บเดียวก็หายจุก ส่วนแผลฟกช้ำก็ไม่หนักมาก ทายาสักหน่อยก็ดีขึ้น”
ธราธรพยักหน้ารับรู้ มานิตเดินเข้ามา
“ผมให้เงินเป็นสินน้ำใจกับชาวบ้านที่ช่วยขับรถมาส่งแล้วนะครับ อ้อ...ก่อนจะขึ้นรถสองแถวกลับไป เขายังบอกว่าก่อนมาลองถามคนในตลาดไม่มีใครเห็นหน้าคนร้ายเลยครับ”
ชินกรสงสัย
“ก้องบอกว่ามีคนรุมทำร้ายคุณชายตั้งหลายคน ไม่มีใครเห็นได้ยังไง”
ระวีรำไพตัดสินใจ พูดแทรกขึ้นมา
“ผมเห็นครับ”
ทุกคนหันหน้ามา ระวีรำไพพูดต่อ ในใจยังหวั่นๆ หวาดๆ ไม่มั่นใจมากเวลาอยู่ต่อหน้าพ่อ
“ผมวิ่งตามมันไป ก็เลยเห็นหน้าพวกมัน แต่ไม่ชัดมาก รู้แต่ว่าคนที่ขับรถมารอที่หน้าตลาดคล้ายๆชาวต่างชาติ อาจจะเป็นลูกครึ่ง”
ทุกคนคิด...สงสัย
“ลูกครึ่ง...มาเป็นโจรอยู่แถวนี้เนี่ยนะ”
ชินกรพูดลอยๆด้วยความแปลกใจ
อีริคกำลังขับรถอยู่...หน้าตากระหยิ่มพึงพอใจ ทางข้างหน้าเห็นรถสองแถวของเอ็ดเวิร์ดแล่นมา อีริคตั้งใจขับรถพุ่งเข้ามาและหักพวงมาลัยขวางถนนก่อนจะเบรกเอี๊ยดขวางทาง รถสองแถวเบรกตัวโก่ง...เอ็ดเวิร์ดเซตามแรงเบรก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามอง พอเห็นอีริคและพรรคพวกก็ยิ้มร้ายอย่างรู้กัน
ธราธรคิดๆ
“หรือว่ามันจะไม่ใช่แค่โจรวิ่งราวกระเป๋าธรรมดา” เขานึกได้ “แผนที่...แผนที่อยู่ในกระเป๋า”
ระวีรำไพรีบบอก
“กระเป๋าอยู่นี่ครับ ผมเห็นกระเป๋ามันตกอยู่ข้างๆรถ”
“ตะวันส่งกระเป๋ามา”
ระวีรำไพรีบเดินมาส่งให้แล้วถอยไปยืนที่เดิม อาทิตยรังสีมองตามนิดๆ ไม่เคยเห็นลูกสาวแข็งขันแบบนี้ ธราธรรีบเปิดกระเป๋า แล้วก็เห็นแผนที่ยังอยู่ เขาหยิบแผนที่ออกมา แล้วก็พูดด้วยความโล่งอก
“เฮ่อ...โชคดีแผนที่ยังอยู่”
อ่อนศรี ชินกร มานิต ก็โล่งอกไปด้วย มานิตออกความเห็น
“แบบนี้เราก็เบาใจได้ว่าน่าเป็นพวกวิ่งราวที่ต้องการเงิน มันเลยไม่ได้เอาแผนที่ไปด้วย”
อาทิตยรังสีแทรกขึ้น
“มันก็ไม่แน่...”
ทุกคนชะงัก หันมาทางอาทิตยรังสีที่ครุ่นคิดบางอย่าง เกษรามองด้วยความแปลกใจแล้วกระซิบถามระวีรำไพ
“แผนที่อะไร”
ระวีรำไพส่ายหน้า แล้วก็สงสัยอยากรู้เหมือนกัน
ในถ้ำ...แผนที่ที่พรานสมลอกมาอยู่ในมือเอ็ดเวิร์ด เขากำลังมองแผนที่ด้วยความพอใจ
“แผนที่คลังสมบัติแห่งใหม่ของฉัน...แน่ใจนะว่าไอ้พวกที่แคมป์มันจะไม่รู้ตัว”
เอ็ดเวิร์ดมองอีริคที่ยืนอยู่ตรงข้ามมีพรานสมยืนขนาบ และมีสมุนพร้อมสัมภาระยืนกระจายอยู่ อีริคยิ้มกวนนิดๆ
“ไม่แน่ใจ”
เอ็ดเวิร์ดชักสีหน้า อีริคพูดต่อ
“อย่างเดียวที่ผมแน่ใจคือ...ถ้าเรารีบออกเดินทางตอนนี้ เราจะถึงปราสาทก่อนค่ำ ถึงไอ้พวกนั้นมันรู้ตัว มันก็ตามพวกเราไม่ทันอยู่ดี”
พรานสมเสริม
“ตอนนี้พวกเราพร้อมเดินทางแล้ว”
“ฉันพร้อม...มานานแล้ว” เอ็ดเวิร์ดสะบัดหางเสียงใส่ อย่างถือตัว “ออกเดินทางได้เลย” เอ็ดเวิร์ดยัดแผนที่ใส่มืออีริค “หวังว่าไอ้ปราสาทพวกนี้ มันจะมีของดี สมกับที่ฉันรอ เพราะฉันไม่อยากเหนื่อยฟรี”
อีริคยิ้มที่มุมปากนิดๆ อย่างมั่นใจ
“ถ้าไม่มีของดี ไอ้พวกนั้นมันคงไม่สนใจ รับผมขอรับประกัน...ไม่เหนื่อยฟรีแน่นอน”
อีริคตอบอย่างมั่นใจ เอ็ดเวิร์ดเชิดหน้า...อีริคหันมาพยักหน้าให้ พรานสมหันไปสั่งลูกน้อง
“เฮ้ยไปเว้ย”
ลูกสมุนแต่ละคนหันไปยกสัมภาระและอาวุธประจำตัว แล้วออกเดินทาง สมุนคนหนึ่งทิ้งก้นยาสูบลงพื้นและขยี้ให้ดับ ก่อนจะเดินออกไป ขบวนของเอ็ดเวิร์ด ออกเดินทางตามล่าสมบัติอย่างฮึกเหิม
ชินกรเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับแก้วยาสมุนไพร เขาพูดพลางเปิดประตู
“ยาสมุนไพรแก้ช้ำในครับคุณชาย...” เขาหันมาเห็นเตียงว่างเปล่าก็ตกใจ “คุณชายใหญ่หายไป”
“ผมอยู่ที่นี่ครับ”
ชินกรหันขวับไป เห็นธราธรยืนใส่เสื้ออยู่ที่หน้ากระจก
“คุณชายใหญ่ ลุกขึ้นเดินได้แล้วเหรอครับ”
ธราธรยืนอยู่หน้ากระจกกำลังใส่เสื้อ อาการแทบจะปกติ มีแต่รอยช้ำจากการต่อสู้เมื่อเช้า ธราธรหันมาขำ
“เดินได้สิครับอาจารย์ชินกร ผมแค่โดนซ้อม ไม่ได้เป็นอะไรมาก ยาสมุนไพรของพรานอ่อนศรีเค้าดีจริงๆ ตอนนี้ค่อยยังชั่วแล้วครับ ขอบคุณนะครับ”
ธราธรยกแก้วน้ำมาดื่ม ชินกรพูดต่อ
“ฟื้นตัวเร็วก็ดีเลยครับ เพราะอาจารย์หม่อมอาทิตย์ย้ำว่าพรุ่งนี้เราต้องรีบออกสำรวจ ส่วนนักศึกษาหม่อมอาทิตย์ก็ให้ตามรถมารับกลับกรุงเทพก่อนกำหนด”
ธราธรขมวดคิ้ว
“กลับก่อนกำหนด”
มานิตประกาศต่อหน้านักศึกษา
“รถมหาวิทยาลัยจะมารับพวกเธอกลับในวันพรุ่งนี้ตอน 7 โมงเช้า วันนี้ไม่ต้องไปไซท์ ขอให้ทุกคนรีบสรุปรายงานและเก็บของใช้ส่วนตัวให้เรียบร้อย”
ระวีรำไพ เกษรา มานิต อุดม ปิติ และเพื่อนๆนักศึกษา นั่งฟังอยู่ในศาลาหน้างงๆ
“ทุกคนรับทราบแล้วก็แยกย้ายกันไปปฎิบัติภารกิจของตัวเองได้”
นักศึกษารับคำพร้อมยกมือไหว้
“ขอบคุณครับ”
มานิตเดินออกไป อุดมเหล่ๆมามองระวีรำไพ ใจหวั่นๆ หลังจากเหตุการณ์ในคืนนั้นเพิ่งจะได้เผชิญหน้ากัน ระวีรำไพเหมือนรู้ตัวหันขวับมาทันที อุดมสะดุ้ง เธอยักคิ้วทักทายอย่างไม่กลัว อุดมสะดุ้ง หน้าจ๋อยรีบหันหลังให้ทันที ขนลุกเกรียว บรึ๋ย มานะกับปิติ เห็นอาการก็สงสัย มานะหันมาถาม
“ไอ้ดมเป็นอะไรวะ”
“ปละ...เปล่า ไม่มีอะไร รีบไปทำรายงานเก็บของกันดีกว่า ฉันอยากรีบกลับบ้านแล้ว อยู่ต่อไป...มันใจคอไม่ค่อยดี เสียวหลังยังไงไม่รู้”
อุดมรีบเดินจ้ำอ้าวออกไปอย่างเร็ว มานะกับปิติ ได้แต่ส่ายหน้างงๆ แล้วก็เดินตามไปพร้อมกับนักศึกษาคนอื่นๆ ระวีรำไพขำนิดๆ เกษรายิ้มพอใจ แล้วก็หันมาชมเบาๆ
“แผนน้องมะปรางใช้ได้เลย ดูท่าทางอุดมคงเข็ดเด็ดขาด เลิกใส่ร้าย พี่ชายใหญ่เป็นชายรักชาย”
“ปรางก็หวังไว้อย่างนั้น พูดถึงพี่ชายใหญ่ ไม่รู้อาการเป็นยังไงบ้างนะคะ”
ระวีรำไพนึกถึงด้วยความเป็นห่วง
ในห้องทำงานของอาทิตยรังสี ธราธรนั่งคุยกับอาทิตยรังสี มีชินกรนั่งข้างๆ อ่อนศรียืนอยู่ที่ประตู ธราธรสีหน้าดีขึ้น รอยช้ำจากการต่อสู้เห็นอยู่จางๆ
“ผมเห็นด้วยที่ส่งนักศึกษากลับ ตอนนี้สถานการณ์ไม่น่าวางใจ วันพรุ่งนี้ผม อาจารย์ชินกร และพรานอ่อนศรีจะรีบออกสำรวจแต่เช้า”
“ดี...อาสังหรณ์ใจแปลกๆ เหมือนมันมีอะไรที่ไม่ชอบมาพากล”
ชินกรคิดๆก่อนถาม
“เกี่ยวกับเรื่องที่คุณชายใหญ่โดนทำร้ายเมื่อเช้าหรือเปล่าครับ”
อาทิตยรังสีพยักหน้า
“มันอาจจะเป็นพวกเดียวกันกับคนที่เข้ามารื้อของในห้องนี้ แต่สร้างสถานการณ์อำพราง...”
ชินกรสงสัย
“แต่ถ้าสิ่งที่มันต้องการคือแผนที่ ทำไมเมื่อเช้ามันไม่เอาไปด้วย”
“การที่แผนที่ยังอยู่ ไม่ได้แปลว่ามันจะไม่รู้ว่าปราสาท 5 หลังอยู่ที่ไหน”
ทุกคนเริ่มฉุกคิด อ่อนศรีพูดขึ้น
“จริงครับ คนเดินป่ามืออาชีพ แค่เห็นแผนที่แว่บเดียว ก็จำทางได้หมดแล้ว จะให้เขียนแผนที่อีกสักกี่ฉบับก็ได้ อีกเรื่องที่ผมกังวล...ตั้งแต่เช้าผมยังไม่เห็นพรานสมเลย ตอนมิสเตอร์เอ็ดเวิร์ดขนของกลับก็ไม่ได้มาช่วย อยู่ๆก็หายตัวไปเฉยๆ ผมไม่รู้ว่าจะเกี่ยวกับที่คุณชายใหญ่โดนทำร้ายเมื่อเช้าหรือเปล่า”
ธราธรคิดและหวั่นใจ หันมาพูดกับอาทิตยรังสีเสียงจริงจัง
“ได้ครับ...ผมกับอาจารย์ชินกรจะรีบไปจัดของและเริ่มออกเดินทางตั้งแต่เช้า พวกเราจะพยายามไปถึงปราสาท 5 หลังโดยเร็วที่สุด”
ธราธรพูดด้วยความมุ่งมั่น
ธราธรกับชินกรเตรียมตัวกันอยู่ในห้องพัก กระเป๋าเป้เตรียมเดินทางของทั้งสองคนถูกวางลงบนเตียง ธราธรและชินกรเตรียมของใส่กระเป๋า มีทั้ง ห่อผ้าใส่ข้าวสาร ห่อผ้าใส่เกลือ มีดสารพัดประโยชน์ ก้านไม้
สนใช้สำหรับจุดไฟ ผ้าขาวม้า ไฟขีด และเสื้อผ้าแค่สองสามชิ้น ธราธรกับชินกรจัดเรียงของใส่กระเป๋าอย่างชำนาญ...ธราธรเก็บสมุด ปากกา และ กล้องถ่ายรูปใส่กระเป๋า ทั้งสองคนจัดกระเป๋าเรียบร้อยอย่างรวดเร็ว ปิดกระเป๋า
กระเป๋าของชินกร ขนาดไม่ใหญ่ตุงจนเกินไป ขนาดเหมาะสำหรับเดินทางประมาณ 3-4 วันถูกวางไว้ที่พื้น ชินกรคิดๆแล้วก็หันมาถามธราธรที่กำลังวางกระเป๋าไว้อีกมุม
“คุณชายใหญ่ครับ”
ธราธรหันมา
“ครับ”
ชินกรกดความอาย ก่อนพยายามจะถามให้เป็นปกติ
“พรุ่งนี้เราไม่ได้กลับกรุงเทพกับนักศึกษา แล้ว...เอ่อ...นักศึกษาในความดูแลของคุณชาย เอิ่ม ก้อง กับ ตะวันน่ะครับ คุณชายจะให้สองคนนั้นกลับไปพร้อมคณะหรือเปล่าครับ”
ธราธรชะงักคิดว่าจะเอาไงดี
ในครัว...หม้อ กระทะ กะละมัง ถูกเรียงซ้อนสวยงาม วางไว้อย่างเป็นระเบียบ ระวีรำไพหันมาบอกป้าพร
“ผมกับพี่ก้องช่วยกันเก็บเครื่องครัวบางส่วนมาให้ครับ พรุ่งนี้เราต้องกลับกันแล้ว ป้าจะได้ไม่ต้องเหนื่อยเก็บครัวคนเดียว”
ป้าพรมองระวีรำไพด้วยความชื่นชม เกษรายืนอยู่ข้างๆ
“โถๆพ่อคุ๊ณ...ช่างมีน้ำใจ” ป้าพรปลื้มมาก ถึงกับเอื้อมมือมาจับ “หน้าตาดีแถมยังจิตใจดีอีก...เพื่อเป็นการตอบแทน วันนี้ไม่ต้องไปทำงานใช่มั้ย...เดี๋ยวป้าพาไปเที่ยวน้ำตก อยู่ไม่ไกลจากแคมป์ เป็นน้ำตกที่สวยมาก”
ระวีรำไพกับเกษราตาเป็นประกายนิดๆ สนใจ ป้าพรพูดต่อ
“สนใจล่ะสิ เดี๋ยวเรารีบไปกันเลย ป้าจะชวนลูกสาวไปด้วย” ป้าพรยิ้มมีเลศนัย พร้อมกับกระชับจับมือระวีรำไพแน่นขึ้น
“จะได้เจอหน้ากันสักที ถ้าถูกอกถูกใจ จะได้ตกแต่งมาเป็นลูกเขยป้า ไม่ต้องกลับกรุงเทพ”
ระวีรำไพสะดุ้งโหยง เกษราขำคิกคัก ระวีรำไพค่อยๆดึงมือออก
“เอ่อ...อย่าดีกว่าครับ คือ...จริงๆผมก็มีนิสัยไม่ดีหลายอย่าง ไม่ได้เป็นคนดีมากมายหรอกครับ ผมคิดว่าลูกสาวป้าต้องได้ผู้ชายที่ดีกว่าผมแน่นอนครับ ผม...ขอโทษนะครับ ผมไปเก็บของก่อนนะครับ สวัสดีครับ”
ระวีรำไพรีบยกมือไหว้ลา แล้วก็ลากเกษราไปเลย เกษรายังขำคิกคักๆ ป้าพรได้แต่มองด้วยความเสียดาย
“เฮ่อ...เสียดายจัง”
มุมหนึ่งของแคมป์ ค่อนข้างเงียบ ไม่มีคน ระวีรำไพจูงมือเกษรามาพร้อมบ่นกระปอดกระแปด
“พี่เกษนะพี่เกษ มัวแต่ขำ ไม่คิดจะช่วยปรางเลย”
เกษรายิ้มๆ
“เอาเถอะน่ะ ป้าแกก็พูดเพราะรัก มีคนรักดีกว่ามีคนเกลียดนะ”
“แต่รักแบบนี้มันก็ไม่ไหวนะคะ ฟ้าผ่าแน่”
ธราธรเดินมาได้ยินพอดีถามด้วยความอารมณ์ดี
“เกิดอะไรขึ้น ฟ้าจะผ่าใคร”
สองสาวหันมาเห็นธราธรก็แปลกใจ เกษราถามอย่างห่วงใย
“พี่ชายใหญ่ เดินได้แล้วเหรอคะ”
ธราธรยิ้มๆ ขำๆ
“น้องเกษนี่ถามเหมือนอาจารย์ชินกรเลย”
เกษราชะงักนิดๆ แอบใจเต้นแรง คิดเหมือนกัน
“เดินได้สิคะ พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก...แล้วเราสองคนไปทำอะไรกันมา เมื่อครู่ได้ยินเสียงหัวเราะคิกๆคักๆ”
“อ๋อ...เรื่องป้าพรกับน้องมะปรางน่ะค่ะ แกอยากได้น้องมะปรางมาเป็นเขย ก็เลยจะชวนพวกเราไปเที่ยวน้ำตก หวังจะให้เจอกับลูกสาว แต่น่าเสียดาย น้องปรางไม่ยอมรับคำชวน เราก็เลยอด”
ระวีรำไพได้แต่ก้มหน้าอายๆ ธราธรหันไปมองด้วยความเอ็นดู เกษราพูดต่อ ไม่ได้มองหน้าธราธร
“ป้าพรยังบอกว่าน้ำตกอยู่ไม่ไกลแล้วก็สวยมากด้วยนะคะ น่าเสียดายจังที่เราไม่ได้ไป”
ธราธรคิดนิดๆแล้วก็ตอบ
“เดี๋ยวพี่พาไปเอง”
ระวีรำไพกับเกษราตาโตวาว
“จริงเหรอคะ”
ธราธรรีบจุ๊ปาก สองคนตกใจรีบปิดปากทันที พร้อมกับมองซ้ายขอขวา กลัวคนอื่นได้ยินตอนเป็นหญิง
ชินกรเดินผ่านมาพอดี ก็ชะงักเท้า หยุดนิ่งขมวดคิ้ว
“เสียงผู้หญิงมาจากไหน”
ชินกรกวาดสายตามองไปรอบๆ พลันสะดุดกับธราธร ที่ยืนอยู่กับระวีรำไพและเกษรา ชินกรชะงักกึก รีบหลบและแอบดูด้วยสัญชาตญาณความอยากรู้...ระวีรำไพหรี่เสียงลง
“พี่ชายใหญ่จะพาไปจริงๆเหรอคะ”
ธราธรยิ้มนิดๆ
“จริงค่ะ พี่เคยไปมาแล้วสวยมากจริงๆ ถ้าเราสองคนอยากเล่นน้ำก็กลับไปจัดเสื้อผ้าสำหรับเปลี่ยน แล้วไปเจอกับพี่ที่หน้าแคมป์”
สองสาวหน้าตาตื่นเต้นมากรับคำเสียงเบาลง
“ค่ะ”
ทั้งสองคนรับปากแล้วก็รีบไป ธราธรมองตามสองสาวไปด้วยสายตาเอ็นดู สายตาธราธรช่างไม่เหมือนกับครูมองศิษย์ มันมีสิ่งอื่นแฝงอยู่ แต่ไม่รู้ว่ายิ้มเพราะใคร ชินกรอึ้งไปกับสายตาที่เปี่ยมความหมายของธราธร
“มีแต่ผู้ชายแล้วเสียงผู้หญิงมาจากไหน แล้วสายตาของคุณชายใหญ่มองตะวันกับก้องเกียรติ์ทำไมมันถึงได้...ฮึ่ย นี่มันเกิดอะไรขึ้นเนี่ย”
ชินกรพึมพำด้วยความสงสัยอย่างสุดแสน
น้ำตกสวยงาม...ระวีรำไพกับเกษรามองด้วยความตื่นเต้นพูดออกมาพร้อมกัน
“สวยจังเลย”
ธราธรยิ้ม ระวีรำไพหันมาถาม
“ทำไมอยู่ๆ พี่ชายใหญ่ถึงได้ใจดี พาเราสองคนมาเที่ยวน้ำตกคะ”
“เพราะพี่มีข้อแลกเปลี่ยน”
สองคนขมวดคิ้ว
“แต่ยังไม่บอกตอนนี้ พี่จะปล่อยให้เล่นน้ำตกกันให้ฉ่ำใจ แล้วพี่จะค่อยบอกว่าแลกกับอะไร...แต่ถ้ารู้แล้วจะต้องทำตามโดยไม่มีการต่อรอง ตกลงมั้ย”
สองคนมองหน้ากัน แล้วก็มองน้ำตกด้วยความอยากเล่น แล้วหันมามองหน้ากันอีก เหมือนรู้กันแล้วหันไปตอบพร้อมกัน
“ตกลงค่ะ”
ธราธรยิ้มพอใจ
“เชิญตามสบายเลยครับ...สาวๆ พี่จะไปนั่งรอทางโน้นนะคะ”
เขาชี้ไปไกลพอควร ระวีรำไพแปลกใจ
“อ้าว พี่ชายใหญ่ไม่เล่นน้ำด้วยกันเหรอคะ ปกติเวลาไปทะเลหัวหิน พี่ชายใหญ่ก็เล่นน้ำกับปรางทุกที”
ธราธรมองเกษราด้วยความไม่ชิน
“ไม่ดีกว่า ปล่อยให้สาวๆเล่นกันเป็นการส่วนตัวจะดีกว่า พี่ไปนั่งรอทางโน้นนะครับ”
ธราธรพูดแล้วก็จะเดินไป เกษรามองตามเสียดายนิดๆ
ชินกรเดินสะกดรอยตามมาจนถึงที่น้ำตก แล้วก็มองซ้ายมองขวา
“หายไปไหนกันหมดนะ เมื่อกี๊ยังเห็นอยู่เลย”
ทันใดนั้นก็ปรายตาไปเห็นธราธรกำลังเดินมา ชินกรรีบหลบวูบ...ระวีรำไพกับเกษรายังยืนอยู่ที่เดิม เกษราพูดด้วยความเสียดาย
“น่าเสียดาย พี่ชายใหญ่น่าจะอยู่เล่นน้ำด้วยกัน ดูสิน้ำใส๊ใส น่าว่ายมากเลย”
ระวีรำไพเห็นหน้าเกษราแล้วก็เห็นใจ คิดออกอุบาย
“อยากให้พี่ชายใหญ่เล่นน้ำด้วยกัน เราก็ช่วยกันลากตัวลงมาสิคะ ดูสิว่าผู้ชายคนเดียวจะสู้แรงเราสองคนได้หรือเปล่า”
เกษรายิ้ม หัวเราะ นึกสนุกไปด้วย แล้วสองคนก็ย่องไปหาธราธร แล้วก็จับแขนคนละข้างหมั่บ ธราธรตกใจ
“หะ...มีอะไร”
“พี่เกษอยากให้พี่ชายใหญ่เล่นน้ำด้วยกันค่ะ”
“ไปเล่นน้ำด้วยกันนะคะพี่ชายใหญ่”
“หะ”
ธราธรยังไม่ทันได้พูดอะไร สองสาวก็ลากเขาไปเลย ธราธรพยายามจะรั้งตัวเองไว้ไม่ให้ไหลไปตามแรงลาก
“นี่ หยุดก่อน พี่ไม่ได้เตรียมเสื้อผ้ามานะ”
สองสาวขำกันคิกคัก ยังไม่ละความพยายามจะลากเขาลงไป ธราธรขำไปด้วย
“สองคนนี้ชักจะเอาใหญ่แล้ว นี่ปล่อยเลยนะ”
“อีกนิดเดียวจะถึงแล้วค่ะพี่เกษ”
เกษราก็หัวเราะรับอย่างสนุกสนาน สามคนหัวเราะคิกคักดังไปทั่วบริเวณ ทันใดนั้นชินกรก็ค่อยๆโผล่หน้าออกมาจากต้นไม้ แล้วก็ตะลึงงันกับภาพที่เห็น ธราธรกำลังโดนเด็กหนุ่มสองคนลากลงน้ำ
“หยุดเลยนะ ทั้งสองคน...เดี๋ยวนี้พูดไม่ฟังนะ จะแกล้งกันหรือไง นี่ปล่อยเลยนะ”
ชินกรตกใจโพล่งออกมา
“คุณชายใหญ่”
ธราธรชะงึกกึกหันขวับมา ระวีรำไพกับเกษราหันตามมา พอเห็นชินกรทั้งสามคนก็ตกใจ ธราธรรีบดึง
มือกลับทันที
“อาจารย์ชินกร”
เกษราและระวีรำไพหน้าเสีย...แย่แล้ว เกษราตกใจจะถอยหลบหลังธราธร เพราะไม่อยากเผชิญหน้าชินกรแต่ดันลื่นเสียหลัก เกษราตกใจร้องออกมา
“ตะวัน”
ระวีรำไพหันมาเป็นจังหวะที่เกษรากำลังจะตกน้ำพอดี ระวีรำไพยื่นมือไป เกษราคว้าไว้แล้วก็เลยดึงกันหล่นลงน้ำไปพร้อมกัน ตูม น้ำกระเด็นเข้าหน้าธราธรเล็กน้อย ธราธรหลับตา แล้วก็ค่อยๆลืมตาขึ้นเห็นชินกรยืนมองอยู่ด้วยสายตากระอักกระอ่วนใจอึ้งๆ
ธราธรยืนคุยกับชินกรที่มุมหนึ่งไม่ไกลจากน้ำตก
“ผม...บังเอิญเดินผ่านมาน่ะครับ ไม่คิดว่าจะเจอคุณชายใหญ่กับ...สองคนนั้น”
ธราธรอึกอัก
“เอ่อ...คือ...ผมตั้งใจจะพามาพักผ่อนก่อนจะส่งกลับวันพรุ่งนี้ แต่ก็อย่างที่เห็น เด็กๆถึงจะร่ำเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว ก็ยังไม่รู้จักโต ชอบเล่นเป็นเด็กๆอยู่เรื่อย...อาจารย์คงไม่คิดว่าผมเป็นพวกชายรักชายอีกนะครับ”
ชินกรเสียงสูง
“ไม่คิ๊ดครับ ไม่คิ๊ดเลย ก็คุณชายบอกผมเองว่าไม่ใช่ ผมก็ไม่คิ๊ด”
ธราธรยิ้มเชื่อ
“ไม่คิดก็ดีครับ” แล้วธราธรก็นึกได้ “อ้อ เมื่อครู่อาจารย์บอกว่าบังเอิญผ่านมา...อาจารย์ตั้งใจจะไปไหนเหรอครับ”
ชินกรชะงักคิด
“เอ่อ...ไป...” ชนกรโกหกไปก่อน “ไปถ้ำข้างบนนั้นน่ะครับ ผมได้ยินชาวบ้านบอกว่าข้างบนมีถ้ำ ก็เลยอยากจะขึ้นไปดูสักหน่อย”
“ผมขอขึ้นไปดูด้วยนะครับ”
ชินกรชะงักนิดๆ
“เคยได้ยินมาเหมือนกัน ยังไม่มีโอกาสไปสักที ผมขอไปด้วยนะครับ”
ชินกรยิ้มแหยๆ
“เอ่อ...ก็ได้ครับ ได้ ไปด้วยกันได้ครับ ไปหลายคน สนุกดี”
“แต่ผมต้องรอสองสาว...” เขาชะงัก รีบเปลี่ยน “เอ่อ...สองคนนั้นเล่นน้ำให้เรียบร้อย แล้วไปพร้อมกัน จะเสียเวลาอาจารย์หรือเปล่าครับ”
“ไม่เสียเวลาครับ ผมรอได้” ชินกรแอบเตือนสติ “เห็นอาจารย์ใส่ใจลูกศิษย์แบบนี้ ก็ดีใจแทนคุณ เกษรา นะครับ”
ธราธรแปลกใจ
“ขนาดลูกศิษย์คุณชายยังดูแลอย่างดี กับคู่ชีวิต ในอนาคต คุณชายคงดูแลเธออย่างเต็มที่”
ธราธรมองหน้าชินกรงงๆ ที่โยงไปหาเกษรา แต่ก็ยิ้มรับ
“ใช่ครับ...ไม่ว่าน้องเกษจะอยู่ในฐานะคู่ชีวิต น้องสาว หรืออะไรก็ตาม ผมต้องดูแลเธออย่างดีที่สุด”
ธราธรยิ้มอย่างมั่นใจ ชินกรยิ้มตอบ แววตาแฝงความหนักใจอยู่ลึกๆ
ระวีรำไพ กับ เกษราขึ้นมาจากน้ำแล้ว กำลังเปลี่ยนเสื้อผ้ากันอยู่หลังก้อนหิน วิกผมสั้นเปียกลู่ใบหน้า เกษราหน้าตาเหมือนไม่ค่อยสบายใจ ระวีรำไพหันมาเห็นก็ถามด้วยความเป็นห่วง
“พี่เกษเป็นอะไรคะ ไม่สบายใจอะไรหรือเปล่า”
“พี่กลัวว่าอาจารย์ชินกรเห็นภาพเมื่อกี๊ แล้วจะคิดว่าเราสองคนจะแย่งพี่ชายใหญ่มาจากเกษราอีกน่ะสิ”
ระวีรำไพคิดๆ
“เออใช่...แต่ปรางว่าในเมื่อมันไม่ใช่ความจริง เราก็ไม่เห็นต้องเป็นห่วง สักวันอาจารย์ชินกรก็รู้ความจริงเอง...หรือว่า...พี่เกษเป็นห่วงความรู้สึกของอาจารย์ชินกร”
เกษราสะดุ้งนิดๆ รีบแก้
“ไม่นะคะ พี่ก็ไม่ได้ห่วงอะไร” เธอโกหกไป “แค่...ไม่อยากให้พี่ชายใหญ่เสียชื่ออีก” เกษรารีบหันไปเก็บของ “เรารีบไปหาพี่ชายใหญ่ดีกว่าค่ะ”
เกษราพูดจบแล้วก็เดินนำไป ระวีรำไพยืนมองตาม แววตาครุ่นคิด...เอ๊ะๆ...ยังไงนะ
ธราธรพูดกับระวีรำไพกับเกษรายิ้มๆ
“ครูกับอาจารย์ชินกรจะเดินไปที่ถ้ำข้างบน ไปด้วยกันนะ”
เกษรากับระวีรำไพ ตอบด้วยความร่าเริง อยากไป
“ไปครับ”
ชินกรสะดุดกับความร่าเริงของสองหนุ่ม เกษราชะงักแอบมองมาที่ชินกรนิดๆด้วยความระแวง ระวีรำไพลอบมองเกษราและชินกรสุดฤทธิ์ ธราธรมองระวีรำไพแล้วก็ถามซื่อๆ
“ตะวัน...มีอะไรหรือเปล่า”
ระวีรำไพหันมา
“ไม่มีครับ ไม่มีอะไร ผมพร้อมแล้วครับ”
“พร้อมแล้วก็ไปกันเลย เชิญครับอาจารย์”
ชินกรจำต้องละสายตาจากเกษรา แล้วก็เดินนำไป ธราธรพยักหน้าให้ระวีรำไพกับเกษราตามไป เกษราดันให้ระวีรำไพเดินนำต่อจากชินกรและธราธรเดินปิดท้าย ทั้งสี่คนเดินมุ่งหน้าไปที่ถ้ำ
ในป่า ระหว่างทางจากน้ำตกไปถ้ำ ชินกรลอบมองเกษรา โดยผ่านระวีรำไพที่เดินตามอยู่ ระวีรำไพแอบเห็นสายตาที่ชินกรมองเกษราด้วยความเป็นห่วง เพราะต้องมีปีนบ้าง ลำบากบ้างในบางจุด พอชินกรหันมาก็ต้องเห็นภาพธราธรกำลังช่วยเกษรา เช่น ช่วยดึงขึ้นทางชัน เดินไปลื่นๆจะล้มธราธรก็คอยประคองไว้ พอเห็นภาพบาดใจทีก็สะเทือนใจ หันหน้าหนี ระวีรำไพเริ่มคิด เธอนึกถึงตอนที่เคยคุยเรื่องชินกรกับเกษรา
“พี่กับเขาเจอกันแค่ครั้งสองครั้งเองนะ”
“แสดงว่าอาจารย์ชินกรคงจะถูกชะตากับพี่เกษมากๆ เจอกันแค่ครั้งสองครั้งถึงได้ห่วงมากขนาดนี้ หรือว่าอาจารย์ชินกรจะแอบชอบพี่เกษ”
ระวีรำไพมองความห่วงใยและสายตาของชินกร ยิ่งตอกย้ำความคิดอย่างชัดเจนมากขึ้น เธอคิดๆและ แน่ใจว่าชินกรน่าจะชอบเกษรา แต่ก็สงสัยว่าชอบในความเป็น ก้องเกียรติ์หรือ เกษรากันแน่
ชินกรเดินนำเข้ามา ที่ปากถ้ำ...ตามมาด้วยระวีรำไพ เกษราและธราธร สองสาวมองไปรอบๆถ้ำด้วยความสนใจ โดยเฉพาะเกษราที่มองด้วยความตื่นเต้น
“ถ้ำจริงๆ เป็นแบบนี้นี่เอง เคยเห็นแต่ในหนังสือ ของจริงสวยกว่าเยอะเลย”
ชินกรเดินมาหาเกษราแล้วถามยิ้มๆ
“ก้อง...นายคิดว่า พี่สาวนาย คุณเกษน่ะ จะเคยมาเที่ยวแบบนี้หรือเปล่า”
ระวีรำไพหูผึ่งขึ้นมาทันที เงี่ยฟังสุดฤทธิ์ ในขณะที่ธราธรไม่ได้สนใจ เดินเข้าไปสำรวจในถ้ำ เกษราตอบชินกร
“ไม่เคยครับ พี่เกษไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้แน่นอน”
“และถ้าคุณเกษได้มาเห็นจะชอบมั้ย”
“ชอบสิครับ พี่เกษต้องชอบแน่ๆ”
“ดี ฉันจะได้บอกให้คุณชายใหญ่พาคุณเกษรามาเที่ยวแบบนี้บ้าง เพราะเขาเป็นคู่หมั้นคู่หมายกัน ถ้าได้มาเที่ยวด้วยกัน คงจะมีความสุขมากๆ”
สุภาพบุรุษจุฑาเทพ คุณชายธราธร ตอนที่ 7 (ต่อ)
ชินกรพูดแล้วก็ยิ้มเหมือนจะเตือนสติ ย้ำ สั่งสอน อยู่ในที เกษรา ขมวดคิ้ว ระวีรำไพมองชินกรแล้วก็คิดเป๊ะ ใช่แน่ ชัดเลย ชินกรเดินตามธราธรเข้าไปในถ้ำ เกษราหันมาถามระวีรำไพ
“พี่โดนอาจารย์ชินกรเหน็บอีกแล้วใช่มั้ยคะ”
ระวีรำไพไม่ตอบ แต่แน่ใจว่าได้คำตอบบางอย่างในใจ
ธราธรเดินเข้าไปในถ้ำแล้วก็ต้องตกใจ...รีบหันมาทางชินกร
“อาจารย์ชินกรครับ”
ชินกรหันมาเห็นธราธรหน้าเครียดตื่นตระหนกแล้วก็แปลกใจ พอมองตามสายตาธราธรไปเห็นซากวัตถุโบราณหักๆที่อีริคไม่เอา ถูกปล่อยวางไว้อย่างไร้ค่าก็เข้าใจ
“ผมว่า...เราเจอร่องรอยของพวกล่าสมบัติเข้าแล้วล่ะครับ”
ชินกร ระวีรำไพ เกษรา เดินเข้ามาล้อมดูกองวัตถุโบราณที่วางอยู่ ชินกรหยิบมาดู ด้วยความเสียใจ และ เสียดาย
“พวกมันคงเห็นว่าของพวกนี้ขายไม่ได้ราคาเลยทิ้งไว้ที่นี่...เลวจริงๆ”
เกษราลอบมองหน้าชินกรเพิ่งเคยเห็นเขาแสดงอารมณ์โกรธออกมา ระวีรำไพมองไปรอบๆเห็นกองไฟที่ดับมอดไปแล้ว
“อาจารย์หม่อมครับ”
เธอชี้ไปที่ซากกองไฟ ธราธรลุกขึ้นและเดินไปที่ซากกองไฟใช้มือจับๆพื้นบริเวณนั้น ก่อนจะพูดขึ้น
“ผมว่าพวกมันคงจะเพิ่งไป เพราะพื้นดินแถวนี้ยังอุ่นๆอยู่”
ชินกรคิด
“ถ้าข้อสันนิษฐานของอาจารย์หม่อมอาทิตย์เป็นจริง...แสดงว่าพอพวกมันได้แผนที่ไปเมื่อเช้า ก็เลยออกเดินทางไปปราสาท 5 หลัง...” ชินกรหันมาทางธราธร “ถ้าเป็นแบบนั้น เราออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า จะทันพวกมันเหรอครับ”
ธราธรคิดหนัก ระวีรำไพกับเกษรามองหน้ากันด้วยความอยากรู้ แต่ไม่กล้าถาม เกษราสะกิดให้ระวีรำไพถาม
“อาจารย์ครับ...ขอโทษนะครับ ไม่ทราบว่าแผนที่อะไร และ ออกเดินทางไปไหนกันเหรอครับ...พรุ่งนี้อาจารย์หม่อมไม่ได้กลับไปกับพวกเราเหรอครับ”
ธราธรสะอึก เอ่อ...พูดไม่ออก ชินกรตอบแทน
“อาจารย์หม่อมกับฉันไม่ได้กลับไปกับพวกนาย เราสองคนมีงานต้องทำต่อ”
“งานอะไรเหรอครับ”
ชินกรหันมาทางธราธร ให้เขาตอบเอง เพราะไม่แน่ใจว่าอยากให้พูดหรือเปล่า
“ครูกับอาจารย์ชินกรและพรานอ่อนศรีจะไปสำรวจปราสาทชุดใหม่ เพื่อเตรียมการบูรณะ คงจะใช้เวลาสำรวจประมาณ 3-4 วัน เรียบร้อยแล้วค่อยกลับกรุงเทพ”
“แล้วคุณพ...” ระวีรำไพชะงักรีบเปลี่ยน “เอ่อ อาจารย์หม่อมอาทิตยล่ะครับ กลับกับพวกผมหรือเปล่า”
“ไม่ได้กลับ”
ระวีรำไพสวน
“งั้น พวกผมขออนุญาตตามอาจารย์ไปสำรวจด้วยได้หรือเปล่าครับ”
ธราธรกับชินกรหันขวับมาทางระวีรำไพ เธอลุ้นๆ ทันใดนั้นเกษราก็เสริมขึ้นมา
“ใช่ครับ...ผมขอไปด้วยนะครับ ผมไม่เคยเดินป่า ไม่เคยออกสำรวจเลย อยากลองไปสักครั้ง ไหนๆ ก็มาถึงที่นี่แล้ว ให้เราสองคนไปด้วยนะครับ”
ธราธรมองสองสาวที่ส่งสายตาอ้อนวอนแล้วก็คิดหนัก ชินกรมองธราธรรอคำตอบ
“ไม่ได้ ผมให้ไปไม่ได้ ในป่ามันอันตรายมาก พวกคุณทนไม่ได้หรอก กลับไปกับนักศึกษาคนอื่นเถอะ อย่าหาเรื่องใส่ตัวเลย”
ธราธรพูดจบก็เดินออกไปเลย สองสาวรีบตามไป
“อาจารย์หม่อม เดี๋ยวสิครับ อาจารย์หม่อม”
ระวีรำไพลากเกษรา
“พี่ก้องไปเร็ว”
ระวีรำไพลากเกษรารีบเดินตามไปอ้อนวอนธราธรต่อ ชินกรยืนเหวอ
“อ้าวไปกันหมดเลย”
ชินกรจะเดินตามไปแล้วก็นึกได้ หันไปหยิบเศษวัตถุโบราณที่เหลืออยู่แล้วก็เดินตามไป
ชินกรเดินออกมาจากถ้ำ ระวีรำไพกับเกษรารีบเดินตามมาติดๆ
“อาจารย์หม่อมครับ...อนุญาตให้เราสองคนตามไปด้วยนะครับ เราสองคนจะไม่อดทน ไม่บ่น และจะดูแลตัวเองอย่างดี ใช่มั้ยครับพี่ก้อง”
เกษรารีบช่วย
“ใช่ครับ พวกเรารู้ว่าไม่ได้ไปเที่ยว แต่ไปช่วยอาจารย์ทำงาน เราจะไม่สร้างปัญหาแน่นอนครับ”
ธราธรส่ายหน้าหนักใจ ชินกรเดินตามออกมาพอดี ธราธรโยนเลย
“อาจารย์ชินกรช่วยบอกพวกเขาหน่อยสิครับว่ามันลำบากแค่ไหน จะได้เปลี่ยนความคิดที่จะไปกับเรา”
“เอ่อ...”
ชินกรอ้าปากยังไม่ได้พูด ระวีรำไพรีบดันเกษรามาให้เผชิญหน้ากับชินกร
“แต่พี่ก้องอยากไปมากนะครับอาจารย์”
เกษราชะงัก ชินกรสะอึก
“พี่ก้องไม่เคยได้ออกจากบ้านไปไหนไกลๆ วันๆต้องช่วยที่บ้านทำงาน ออกจากบ้านก็ไปมหาวิทยาลัย พี่ก้องน่าสงสารมาก ให้พี่ก้องได้มีโอกาสออกไปเปิดหูเปิดตาบ้างเถอะนะครับ”
ชินกรสะอึก...มองหน้าเกษราที่ยืนประชันกันอยู่ เกษราก้มหน้าๆ เขินๆ อายๆ เหมือนประหม่าๆ ยิ่งดูน่าสงสาร ธราธรส่ายหน้า ไม่คิดว่าชินกรจะยอม
“อาจารย์บอกไปเลยครับว่า...ไปไม่ได้”
ชินกรพูดออกมา
“ผมว่าไปได้นะครับ”
ธราธรสวนเลย
“ได้ยินชัดแล้วใช่มั้ย” แล้วเขาก็ชะงักกึก “หะ...เมื่อกี๊อาจารย์พูดว่าอะไรนะครับ”
ชินกรมองหน้าเกษราอีกที แล้วก็หันมาทางธราธร
“ผมคิดว่าสองคนนี้น่าจะเดินทางไปกับเราได้นะครับ เราไปกันแค่สองสามวัน พอไปถึงปราสาทจะได้ช่วยกันเก็บข้อมูล ยิ่งงานเสร็จเร็วก็จะได้กลับเร็ว”
ธราธรอึ้ง ระวีรำไพได้ทีรีบเสริม
“ใช่ครับ เราสองคนเก็บข้อมูลเป็น ช่วยงานได้แน่นอนครับ”
ธราธรคิดหนัก ระวีรำไพอ้อนวอน
“นะครับ อาจารย์หม่อม ให้เราสองคนไปช่วยงานนะครับ นะครับ...นะครับ”
ธราธรพูดด้วยความจำใจ
“พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางกันแต่เช้ามืด ตีห้าไม่ขาดไม่เกิน ถ้าใครชักช้าตื่นไม่ทัน ก็ต้องกลับกรุงเทพไปกับคณะโดยไม่มีข้อแม้ใดๆทั้งสิ้น”
ระวีรำไพตาวาวด้วยความดีใจ ธราธรพูดจบก็เดินส่ายหน้าไปเลย ระวีรำไพรีบหันมาทางเกษราแล้วก็ส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจ
“ไชโย พี่ก้องได้ยินมั้ยครับ อาจารย์หม่อมยอมให้เราไปแล้ว ไชโย ๆๆ”
ระวีรำไพจับมือเกษรากระโดดไปมา ด้วยความดีใจเหมือนเด็กๆ เกษรายิ้มรับดีใจ แต่ไม่กล้ากระโดด เกรงใจชินกรที่ยืนอยู่ ระวีรำไพหยุดกระโดด
“ผมว่าเรารีบไปเก็บของกันดีกว่าครับ...อาจารย์หม่อมรอผมด้วย”
ระวีรำไพรีบวิ่งตามไปเลย เกษรามองตามยิ้มๆ ชินกรมองเกษรา ภาพในความคิดของเขาจากหน้าก้องเกียรติ์เปลี่ยนเป็น หน้าเกษรายืนยิ้มให้ ชินกรยิ้มตาม...เกษราหันมาแล้วก็พูด แต่เสียงใหญ่
“อาจารย์ชินกรยิ้มอะไรครับ”
ชินกรสะดุ้งเกษราตรงหน้ากลับมาเป็นหน้าก้องเกียริต์ ชินกรเงอะงะเล็กน้อย ก่อนจะกลับมาเป็นปกติ
“ก็...ยิ้มที่พวกนายได้ไปเดินป่าสมใจ...แต่ก็อย่าลืมล่ะ จะทำอะไรก็นึกถึงคุณเกษราให้มากๆ อย่าทำให้เธอต้องเสียใจ” เขารีบตัดบท “ไป รีบกลับไปที่แคมป์ได้แล้ว จะได้รีบไปจัดของ”
“ครับ”
เกษรารับคำแล้วก็หันหลัง พร้อมกับขมวดคิ้ว...อะไรของเค้านะ เกษราวางตัวไม่ค่อยถูกเวลาที่อยู่กับชินกร ลับหลังเกษรา ชินกรก็พ่นลมออกจากปากอย่างโล่งอก แล้วก็รวบรวมใจให้กลับมาเป็นปกติ ก่อนจะเดินปิดท้ายตามทุกคนไป
ขบวนของเอ็ดเวิร์ด นำโดยพรานสม อีริค เดินเข้าไปในป่า เอ็ดเวิร์ดเดินตามมา เริ่มปลดกระดุมเสื้อออก ด้วยความเหนื่อยและร้อน แต่ก็ยังทนเพราะความโลภ สมุนตามมาเป็นทาง เอ็ดเวิร์ดปรายตาไปมองสมุนแล้วก็หันมาสั่งอีริค
“บอกคนของแกให้เร่งฝีเท้ากันหน่อย ไปถึงมืด ฉันก็ไม่ได้เห็นของกันพอดี”
อีริคพยักหน้าให้พรานสมสั่งการณ์ไปเลย พรานสมตะโกน
“เฮ้ย ใครอยากได้เงิน ก็รีบเดินให้มันเร็วๆกันหน่อยเว้ย ชักช้าข้าจะตัดออกจากคณะให้หมดเลย”
สมุนเร่งฝีเท้าสุดฤทธิ์ เอ็ดเวิร์ดยิ้มเหยียด
“เงินนี่มัน...บันดาลได้ทุกอย่างจริงๆ ฮึๆ”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มด้วยความดูถูก และสะใจ คณะของอีริคเดินไปอย่างรวดเร็ว...จุดหมายปลายทางอยู่ไม่ไกล
เย็นนั้น...นักศึกษาเดินไปมา บางคนก็กำลังเก็บของใส่กระเป๋า...ที่ศาลามีนักศึกษาทำรายงาน ประชุมสรุปงาน ชินกร และมานิตอยู่เป็นที่ปรึกษา มานะมองไปรอบๆ ก่อนจะหันมาถามอุดม ที่กำลังสรุปรายงานอยู่ที่โต๊ะ
“ไอ้ดม แกเห็นไอ้ตะวันกับไอ้ก้องหรือเปล่าวะ วันนี้ทั้งวันข้ายังไม่เห็นมันเลย”
อุดมหันขวับมา
“แล้วแกจะอยากเห็นมันทำไม ไม่เห็นมันก็ดีแล้ว เรื่องคนอื่นน่ะ ยุ่งให้มันน้อยๆหน่อย สาระแนเหลือเกินนะ...ทำรายงานไป”
มานะมองอุดมงงๆ แล้วก็ก้มหน้าทำงานต่อ ปิติกรัซิบเบาๆ
“ว่าแต่คนอื่น ตัวเองไม่ได้สาระแนเล้ย”
อุดมหันมาตะคอก
“ไอ้ปิติบ่นอะไร รีบทำงานสิเว้ย”
ปิติก้มหน้าทำงานต่อ อุดมทำข่มใส่
“เออ งานเหลืออีกตั้งเยอะ ไม่ทำ มัวแต่บ่นอยู่ได้ ฮึ่ย”
ข่มเพื่อนเสร็จแล้วก็กวาดสายตามองไปรอบๆ ไม่เห็นระวีรำไพก็โล่งอก..
ในบ้านพักเล็ก ระวีรำไพกับเกษรานั่งลงตรงหน้าธราธรที่ยืนหันหลังอยู่ที่โต๊ะกลางบ้าน ระวีรำไพถามอย่างสงสัย
“พี่ชายใหญ่เรียกเราสองคนมาพบมีอะไรเหรอคะ”
เกษราร้อนตัว
“หรือว่าพี่ชายใหญ่เปลี่ยนใจไม่อยากให้เราไปเดินป่าด้วย”
ธราธรหันหน้ามา
“แล้วถ้าพี่บอกว่าใช่...เราสองคนจะยอมหรือเปล่า”
สองสาวส่ายหน้าพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ธราธรถอนหายใจ
“ก็เพราะอย่างนี้พี่ถึงต้องเรียกเราสองคนมาเรียนรู้การเดินป่าและการใช้ชีวิตอยู่ในป่าเบื้องต้น สองสาวยิ้มออก ระวีรำไพพูดอย่างร่าเริง
“พี่ชายใหญ่สอนมาได้เลยค่ะ พี่เกษกับปรางเรียนรู้เร็วแป๊บเดียวก็จำได้แล้วค่ะ”
ธราธรบีบจมูก ระวีรำไพโยกไปมาเหมือนเด็กๆ
“ช่างคุยจริงๆเลย”
“โอ้ย” ระวีรำไพดึงมือธราธรออก “ก็จริงนี่คะ...ตอนทำงานที่ปราสาท พี่ชายใหญ่สอนแป๊บเดียว ปรางก็ช่วยทำงานได้แล้ว ไม่ได้คุยโม้สักหน่อย”
ธราธรยิ้มรับ
“จ้า...แม่เด็กน้อยคนเก่ง”
ธราธรยิ้มหัวเราะกับระวีรำไพอย่างเป็นกันเอง เกษรานั่งยิ้มเจื่อนๆ ทำตัวไม่ถูก ธราธรชะงักกึก...นึกได้ว่าเกษราอ่อนไหวอยู่ ก็รีบทำขรึม ระวีรำไพก็รู้ตัวรีบปล่อยมือธราธร แล้วก็กลับมาเป็นปกติไม่แสดงความสนิทสนมมาก ธราธรเริ่มสอน เสียงขรึมทันที
“สิ่งแรกที่พี่จะสอนคือ การเตรียมของเข้าป่า เราจะนำสิ่งที่จำเป็นไปเท่านั้น เพื่อความสะดวกในการเดินทาง พรานที่เข้าป่าเป็นประจำจะมีติดตัวอยู่ไม่กี่อย่าง...”
ระวีรำไพกับเกษราตั้งใจฟัง ธราธรพูดต
“ข้าวสาร เกลือ ใช้สำหรับปรุงอาหาร และล้างแผล”
เกษราแย้ง
“ล้างแผล...แสบแย่สิคะ”
“ก็ดีกว่าปล่อยให้ติดเชื้อ เราจะละลายเกลือในน้ำเดือด ปล่อยให้เย็นแล้วก็ใช้ล้างแผลหรือป้วนปากก็ได้”
ระวีรำไพคิดๆแล้วถาม
“แล้วเราจะไปเอาไฟที่ไหนมาต้มน้ำคะ”
ธราธรหยิบก้านไม้สนมา
“เราใช้ไม้สนสำหรับจุดไฟ ไม้พวกนี้จะมียางที่ติดไฟได้ง่าย” เขาเอามาวางข้างหน้าคนละ 5-6 ท่อน “พกติดตัวไว้ เข้าไปในป่าแล้วพี่จะสอนวิธีจุดไฟ”
สองสาวรับมาตาวาว เหมือนได้ของเล่น
“นอกนั้นก็มีมีด...แล้วก็เชือก เอาไว้ใช้มัดกิ่งไม้สำหรับทำที่พัก หรืออาจจะใช้มัดตัวเองไว้กับต้นไม้เวลานอนจะได้ไม่ตก”
ระวีรำไพหน้าตื่น
“หะ นอนบนต้นไม้”
“ในกรณีที่พื้นราบนอนไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ถ้าไปกันเป็นคณะ เราจะนอนที่พื้นมากกว่า”
สองสาวทำหน้าโล่งอก
“นอกจากของพวกนี้ก็ของใช้ส่วนตัว แต่ไม่ต้องเยอะ เพราะต้องแบกสัมภาระเอง ต้องรับผิดชอบตัวเองเข้าใจมั้ย”
เกษรากับระวีรำไพรับคำ
“เข้าใจค่ะ”
ธราธรมองสองสาวที่ตอบด้วยรอยยิ้มและแววตาเป็นประกาย
“เข้าใจก็แยกย้ายกันไปนอนได้แล้ว พรุ่งนี้จะได้ออกเดินทางแต่เช้า”
“ค่ะ”
สองสาวถือของของตัวเอง แล้วก็ลุกขึ้น รีบเดินเข้าห้องไป อย่างมีชีวิตชีวาสนุกสนาน ธราธรมองตามด้วยความหนักใจนิดๆ
“เฮ่อ...จะไปตลอดรอดฝั่งหรือเปล่านะ”
ระวีรำไพกับเกษราเดินเข้ามาในห้องนอน ระวีรำไพปิดประตูแล้วก็รีบเดินมาหาเกษรา
“พี่เกษคะ...ปรางได้คำตอบเรื่องนั้นแล้วค่ะ”
เกษราหันมา
“เรื่องอะไร”
“เรื่องอาจารย์ชินกรไงคะ”
เกษราสะอึก หน้าแดงอัตโนมัติ ก้มๆหน้าไม่กล้าสบตาตอนถาม
“อาจารย์ชินกรทำไมคะ”
“ก็อาจารย์ชินกรชอบพี่เกษจริงๆไงคะ”
เกษราอาย แต่พยายามทำไม่อาย
“เรื่องนี้อีกแล้ว...พี่ว่า...มันไม่จริงหรอกค่ะ”
ระวีรำไพเดินเข้ามาใกล้ๆ
“จริงๆนะคะ ปรางเห็นกับตาจริงๆ อาจารย์ชินกรเป็นห่วงพี่เกษ มาก และก็แอบชอบมองตลอดเวลา ถ้าไม่ชอบ ไม่รัก คงไม่ทำแบบนี้”
“แต่...ตอนนี้พี่ไม่ใช่เกษรานะคะ พี่เป็น นายก้อง ถ้าอาจารย์ชินกรชอบพี่จริงๆ เขาคงเป็น ชายรักชาย ซะมากกว่า”
เกษรายิ้มๆไม่สนใจ
“นั่นล่ะค่ะคือปัญหาที่ปรางยังคิดตก...ว่าจริงๆแล้วอาจารย์ชินกรชอบนายก้องเกียรติ์ หรือชอบคุณเกษรา กันแน่”
“ไปกันใหญ่แล้วค่ะน้องปราง ไม่จริงหรอกค่ะ อาจารย์ชินกรไม่ชอบทั้งนายก้อง และ คุณเกษ”
“แต่...”
ระวีรำไพยังไม่ทันจะได้พูดต่อ เกษราแทรกขึ้น
“รีบเก็บของเถอะค่ะ ถ้าเก็บไม่ทัน คืนนี้นอนดึก พรุ่งนี้จะตื่นไม่ทันพี่ชายใหญ่นะคะ”
เกษรายิ้มและหันหลังกลับ ระวีรำไพจะแย้ง แต่ก็ไม่กล้า เห็นเกษราไม่สนใจ ได้แต่เก็บความคาใจไว้กับตัว เกษราพอหันหลังให้ระวีรำไพ รอยยิ้มก็หายไป แววตาครุ่นคิด...จริงเหรอเนี่ย
ในห้องทำงาน อาทิตยรังสีละสายตาจากวัตถุโบราณที่ถูกทิ้งไว้ในถ้ำที่ชินกรหยิบกลับมาถามย้ำด้วยความแปลกใจ
“คุณชายใหญ่จะพานายตะวันกับนายก้องไปสำรวจด้วย”
อ่อนศรียืนอยู่ตรงข้าม ตอบอย่างมั่นใจ
“ใช่ครับ คุณชายเพิ่งบอกให้ผมเตรียมอาหารแห้งสำหรับเด็กสองคนนั้นด้วย”
อาทิตยรังสีคิดแอบเป็นห่วง อ่อนศรีเห็นแล้วก็ถามขึ้น
“คุณชายเป็นห่วงเหรอครับ”
อาทิตยรังสีหันมา
“บอกว่า ไม่ห่วง ก็คงไม่ได้...แต่ในเมื่อคุณชายใหญ่ตัดสินใจแล้ว ฉันก็เคารพการตัดสินใจนั้น...ฉันก็ฝากอ่อนศรีดูแลทั้ง 4 คนแทนฉันด้วย”
“ครับ ผมจะดูแลทุกคนอย่างดีที่สุด”
อาทิตยรังสีครุ่นคิด
“ฉันก็ได้แต่หวังว่า กลุ่มนักล่าสมบัติที่ทิ้งร่องรอยไว้ในถ้ำ” เขามองวัตถุโบราณตรงหน้า “จะไม่ใช่พวกเดียวกับคนที่บุกมาค้นในห้องนี้ และทำร้ายคุณชายใหญ่”
“แล้ว...ถ้าเป็นกลุ่มเดียวกันล่ะครับ”
อาทิตยรังสีชะงักกึก ในใจคิด แย่แน่ แต่ไม่อยากพูดออกมาให้เป็นลาง ได้แต่เก็บความกังวลไว้ในสายตา
ใกล้ค่ำ...อีริคกับเอ็ดเวิร์ด เดินตามพรานสมแหวกต้นไม้ ฟันต้นไม้ ที่ขึ้นรก เปิดทางให้สมุนเดินตาม เอ็ดเวิร์ดเริ่มบ่น
“ไหนพวกแกบอกว่าเดินไม่หยุดเดี๋ยวก็ถึงก่อนค่ำ นี่ฟ้าจะมืดแล้ว เมื่อไหร่จะถึงสักที”
ทันใดนั้นพรานสมก็ชะงักเท้า ยกมือให้หยุดเดิน อีริค และ เอ็ดเวิร์ดหยุดตามยังสงสัย พรานสมเคลื่อนมือที่ยกขึ้นให้หยุดแล้วชี้ไปข้างหน้า สองคนมองตามมือ พรานสมชี้ไปที่กลุ่มปราสาทที่อยู่ตรงหน้า ขนาดไม่ใหญ่ แต่ยังคงบริสุทธิ์ ซุกซ่อนตัวอยู่ในป่า...ปราสาทแม้จะทรุดโทรมแต่ก็ดูขลังและมีพลังอย่างมาก เอ็ดเวิร์ดเห็นแล้วยิ้มกว้าง แววตาเป็นประกาย เหมือนเห็นเงินกองโต กองอยู่ตรงหน้า
“ปราสาทของฉัน”
เอ็ดเวิร์ดเดินพุ่งเข้าไปในปราสาทราวกับต้องมนต์ อีริค และ พรานสมยิ้มอย่างพอใจ
“เงินทั้งนั้น หึๆ”
อีริคเดินตามเอ็ดเวิร์ดไป พรานสมยิ้มร้ายและหันมาสั่งสมุน
“เตรียมอุปกรณ์ให้พร้อม ทุกอย่างต้องจบภายในคืนนี้”
พรานสมสั่งแล้วก็เดินนำไป สมุนเดินตามเข้าไป กลุ่มคนโลภกำลังเข้าทำลายปราสาทที่มีอายุ
ยาวนานนับพันปี
เอ็ดเวิร์ดเดินเข้าไปในตัวปราสาท เห็นซากเทวรูป หน้าบัน หินสลักที่ผนังแล้วยิ้มด้วยความโลภแสนโหดร้าย
“ฉันเอาทุกอย่างที่เคลื่อนย้ายได้ อะไรที่เคลื่อนย้ายไม่ได้ก็สกัดมันออกมา อย่าให้เหลือ”
อีริคหันไปพยักหน้าสั่งลูกสมุนให้ทำตาม สมุนกระจายกำลังกันออกไป กระเทาะเอาเทวรูปที่ยืนอยู่ และเริ่มกระเทาะเอาหน้าบัน ภาพสลักต่างๆ กระจายทำงานกันอย่างเต็มที่ เอ็ดเวิร์ดมองแล้วก็ยิ้มสะใจ นึกย้อนถึงคำของอาทิตยรังสี
“ประเทศไทยอาจจะเป็นประเทศขนาดเล็ก เมื่อเทียบกับประเทศของคุณ แต่เรามีรากวัฒนธรรมที่ยิ่งใหญ่ รากที่หยั่งลึกลงไปในประวัติศาสตร์...การบูรณะโบราณสถานแต่ละแห่งเสมือนการขุดลงในจิตวิญญาณของบรรพบุรุษ เราต้องทุ่มเททั้งแรงกาย แรงใจ และใช้เวลายาวนานเป็นสิบปี สิบห้าปี...แค่ เงิน อย่างเดียว มันไม่ทำให้ก้อนหินที่ทะลายลงมากลับกลายเป็นปราสาทได้เหมือนเดิม...ถ้าคุณไม่เห็นคุณค่าในสิ่งที่เราทำ เราก็ไม่อยากรับเงินของคุณ เชิญ”
เอ็ดเวิร์ดยิ้มสะใจ
“อยากจะให้ไอ้พวกบ้าอุดมการณ์ ปกป้องสมบัติชาติมาดูให้เห็นกับตา ว่าเงินของฉันซื้อได้แม้กระทั่งจิตวิญญาณบรรพบุรุษของพวกมัน...แต่มันคงมาไม่ทัน...กว่าจะมาถึง ที่นี่ก็คงจะแต่ซาก ฮ่าๆ”
เอ็ดเวิร์ดขำอย่างสะใจ อีริคยิ้มพอใจ หน้าตาเย็นชาไม่รู้สึกรู้สาอะไร กองวัตถุโบราณต่างๆ ที่ถูกกระเทาะออกมาถูกเหล่าสมุนลำเลียงมากองรวมกันไว้
เช้ามืด...กองสัมภาระของนักศึกษาวางเรียงอย่างเป็นระเบียบ นักศึกษานั่งรวมกัน เตรียมตัวเดินทางกลับ ที่นาฬิกาตีสี่ครึ่ง อุดมนั่งหน้าบานดีใจมาก
“กลับบ้าน กลับบ้าน กลับบ้าน กึ๋ยๆ ดีใจเว้ย”
ปิติกับมานะมองไปรอบๆด้วยความสงสัย ปิติหันมาถาม
“ทำไมผมไม่เห็นตะวันกับก้องเลย ไม่เห็นตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เช้านี้ก็ไม่เห็น”
“นั่นสิ” มานะเหลือบไปเห็นชินกรกับมานิตเดินมา “อาจารย์มาแล้ว”
ชินกรกับมานิตมาอยู่ที่หน้ากลุ่ม เผชิญหน้ากับเด็กๆ ทั้งสองคนจัดเรียงเอกสารอยู่
“ทุกคนเตรียมตัวพร้อมกลับกรุงเทพแล้วนะ”
ทุกคนตอบพร้อมกัน
“พร้อมครับ”
ปิติสงสัยอีก
“เอ...อาจารย์หม่อมก็ไม่อยู่ ปกติคนที่จะต้องมาพูดปิดการออกค่ายต้องเป็นอาจารย์หม่อม ทำไมครั้งนี้เป็นอาจารย์ชินกร”
มานะคิดๆ
“หรือว่า...อาจารย์หม่อมยังไม่กลับ ที่ก้องกับตะวันไม่ได้มาอยู่รวมกับเราก็ไม่ได้กลับเหมือนกัน แสดงว่าสองคนนั้นคงจะอยู่ด้วยกันต่อ เหมือนที่อุดมคิดไว้แน่ๆเลย”
อุดมหันมา
“ฉันคิดอะไร”
มานะแปลกใจ
“อ้าว ความจำเสื่อมหรือไง ก็แกคิดว่าอาจารย์หม่อมกับตะวันชอบกันไงวะ”
อุดมสวนเสียงเข้ม แต่ไม่ดัง คนอื่นที่นั่งห่างไปได้ยินไม่ชัด รู้แต่ว่าคุยกันอย่างใส่อารมณ์
“ฉันไม่เคยคิดนะเว้ย อย่ามาหาเรื่อง อาจารย์หม่อมกับตะวันเป็นผู้ชายเหมือนกันจะชอบกันได้ยังไง ไอ้พวกนี้นี่ คิดพิเรนทร์ๆ นะ เลิกคิดได้แล้ว อาจารย์หม่อมไม่ได้เป็นชายรักชาย และฉันก็ไม่ได้เป็นเหมือนกัน”