คู่กรรม ตอนที่ 21
ค่ำแล้ว ขณะที่แม่อรและยายศร ด้อมๆ มองๆ ชะเง้ออยู่ที่กองใบตองตรงยกชานถึงกับสะดุ้ง เมื่อเห็นโกโบริเปิดประตูเดินหน้านิ่งสวมหมวกปิดหน้า เดินลิ่วออกมา
“จะ...จะไปไหนละพ่อ” ยายถาม
โกโบริหยุดชะงัก ตอบโดยไม่หันมาเต็มหน้า
“เอ้อ...ผมมีงานต้องทำ บางทีอาจต้องค้างฝั่งโน้น”
โกโบริจะออกก้าวเดินต่อแม่อรเอ่ยขึ้น
“แล้วไม่อาบน้ำกินข้าวเสียก่อนหรือจ๊ะ”
“ไม่เป็นไร ผมต้องไปละ”
คราวนี้โกโบริก้าวพรวดหายลงบันได เดินลิ่วไป
อังศุมาลินพยายามปรับสีหน้าปกติ ก่อนเดินออกมา
แม่อรตกใจรู้ว่ามีเรื่องแน่ “อะไรกันลูก”
“เปล่าค่ะ”
“ได้ยินเสียงอย่างกับทะเลาะกัน” ยายว่า
อังศุมาลินบ่ายเบี่ยง แล้วตัดบท “ไม่มีอะไรหรอกค่ะ โกโบริเขาต้องรีบกลับไปทำงานด่วนต่อ หนูแค่ถามอะไรนิดหน่อยเท่านั้น”
“ฮื้อ หนูก็ไม่เห็นต้องขึ้นเสียงเลยนี่ลูก” แม่อรทักท้วง
อังศุมาลินแค่นหัวเราะ ตรงมานั่งคว้าเสื้อฟอร์มขึ้นมาเย็บต่อ ไม่สนอะไร แม่อรมองออกว่าไม่ปกติแน่
“แล้วมันเรื่องอะไรกัน” แม่อรซัก
อังศุมาลินไม่ตอบ หน้าตานิ่ง เย็นชา มึนตึง
แม่อรกังวล ยายศรมองอังศุมาลิน เชื่อว่าต้องมีอะไรแน่ๆ
ทั่วทั้งตึกของสันติบาล ตกอยู่ในความมืด
วนัสกับอรุณยืนตักข้าวใส่ถาดหลุมที่มุมห้อง เพิ่งอาบน้ำมาใหม่ๆ ท่าทีสดใส
อรุณมองแขนซ้ายวนัส “แขนซ้ายคุณ...ผมว่ามันบวมๆ นะ หักหรือเปล่า”
“มันเจ็บๆ มาตั้งแต่ตอนที่ตกลงมาแล้วล่ะ แต่ไม่น่าจะหักนะ” วนัสว่า
“นี่ตั้งหลายวันแล้วนะ มันน่าจะยุบสิ แต่นี่เหมือนมันบวมขึ้น” อรุณห่วง
อีกด้าน เพื่อนๆ ทุกคนสุมหัวคุยกันเรื่องอังศุลาลินแต่งงาน สีหน้าเครียดเคร่ง จริงจัง
“กระหม่อม..นึกว่าเขา..จะรู้แล้ว” พงศ์เอ่ยขึ้น
“ไม่รู้ ไม่มีใครรู้อะไรทั้งนั้น เพิ่งมาได้ยินจากพวกคุณ...หนังสือพิมพ์อะไรของไทย พวกเราก็ไม่เคยได้เห็นเลย” ท่านชายกังวลขึ้นมา
“คุณต้องเป็นคนบอกแล้วล่ะ” เรเว่นหันมาทางพงศ์
“ผมไม่กล้า” พงศ์บอกตรงๆ
“แล้วจะปล่อยให้เขารู้เองงั้นหรือ มันจะไม่โหดร้ายไปหน่อยหรือ” เรเว่นว่า
ป๋วยหรือเข้มเดินเข้ามาพอดี
“อะไรกัน มีอะไร”
“ไม่มีใครกล้าคุยกับลำพู...เรื่องนั้น” ท่านชายวิชญาบอก
“งั้น..ผมจะเป็นคนบอกเอง เพราะ..ไมเคิลเขาห่วงเรื่องนี้มาก เขาอยากจะบอกลำพูด้วยตัวเอง”
“พี่เข้มหมายถึง ฝรั่งที่พี่เข้มส่งไปศรีลังกาสวนกับพวกเราหรือ”
“ใช่..พอผมบอกว่า...ลำพูกำลังจะโดดร่มเข้ามาเป็นชุดที่ 2 เขาก็...ฝากความไว้วางใจอย่างสูงสุดไว้กับผม”
ทุกคนมองที่วนัสกับอรุณ วนัสหันมายิ้มแฉ่ง ชวนกินข้าว ยังไม่รู้เรื่อง
“กินข้าวกัน กินข้าวๆๆครับ”
ทุกคนรีบยิ้มรับ
ไม่นานต่อมาวนัสนอนก่ายหน้าผาก ตาลอยอยู่ ป๋วยเดินมาหยุดยืน เรียกขึ้น
“ลำพู”
วนัสรีบลุก “พี่เข้ม ผมกำลังอยากจะปรึกษาพอดี...คือ...เราจะให้คนที่บ้านรู้ไม่ได้เลยใช่ไหม ว่าเราเข้ามาแล้ว จะเป็นอันตรายกับทุกคนหรือเปล่าครับ”
ป๋วยยิ้มปลอบใจ “ลำพู..ผมมีจดหมาย..จากคนๆ นึง จะให้คุณอ่าน”
“อังศุมาลินหรือครับ” วนัสตื่นเต้นมาก
“ไม่ใช่..อ่านเองก็แล้วกัน เขาเป็นทหารอังกฤษ”
วนัสงงๆ รับไป “ขอบคุณครับ”
“ใจเย็นๆ นะ” ป๋วยยิ้มให้กำลังใจ ก่อนจะเดินออกไป “และเมื่ออ่านจบ เราจะต้องทำลายจดหมายฉบับนี้ด้วย”
วนัสยิ่งงง รีบเปิดอ่าน แล้วต้องชะงัก
เหมือนมีเสียงไมเคิลมาอ่านจดหมายให้ฟังข้างๆ หู
“Dear Wanas, we don’t know each other but your friend, Ms. Ansumalin, saved my life from Japanese. my name is Michael Reeds.”
ไมเคิลนั่งเขียนจม. ฉบับนี้ด้วยปากกาแบบหมึกซึมโบราณ
“อังศุมาลินช่วยผมด้วยวิธีนำผมใส่โลงศพ แล้วให้คนขนออกมา ในวันแต่งงานของเธอ ใช่ครับ..คุณอ่านไม่ผิดหรอก..วันแต่งงานของเธอ”
วนัสช็อค นั่งมึนตึ้บ วนัสนั่งเซ่อพักหนึ่ง แล้วอยากรู้ต่อ รีบก้มอ่าน
“ผมอยากให้คุณทราบว่า เธอมีความจำเป็นต้องแต่งงานกับนายทหารญี่ปุ่นคนหนึ่ง ด้วยเหตุผลทางด้านการเมือง สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความหวาดระแวงกันระหว่างทั้งสองฝ่าย ทำให้เธอกับญี่ปุ่นคนนั้นต้องกลายเป็นหุ่นเชิด ทำหน้าที่เหมือนตัวแทนของสัมพันธไมตรีอันดีงาม”
วนัสอึ้ง ลุกขึ้นมา ยืนอึ้ง เดินเหมือนจะไปที่ไหน แต่ก็ไม่มีที่ให้ไป หมุนตัวกลับ งงงัน วนัสกัดฟันอ่านต่อ
ตอนที่ไมเคิลเขียนจม. นั้น เขาเงยหน้าครุ่นคิด
“ที่แท้ ทั้งสองคนนั้นก็ตกเป็นเหยื่อของสงคราม และการเมืองระหว่างประเทศ เหมือนผม เหมือนคุณ เราทุกคน ต้องทำสิ่งที่ไม่ต้องการทำมากมาย เพราะสงครามเป็นต้นเหตุ”
ไมเคิล กำลังจะจบจดหมายลง
“แต่สิ่งที่ผมอยากให้คุณรู้ที่สุดก็คือ ทหารญี่ปุ่นที่แต่งงานกับมิสอังศุมาลิน ที่ชื่อรอ.โกโบริ เขาเป็นคนดี น่านับถือ และผมเชื่อว่าเขารักมิสอังศุมาลินมากจริงๆ”
วนัส หน้าซีด ช็อค อึ้งสุดๆ ยืนนิ่งดุจรูปปั้นสลัก กำจม.แน่นในมือ
อีกฟากหนึ่ง ท่ามกลางแสงเรืองๆ จากไส้ตะเกียงสั้นที่ค่อยๆ มอดลงเรื่อย
ด้านอังศุมาลินยังคงตีบรรเลงขิมทำนองเศร้าสร้อยครวญคร่ำ
เงาฉายของอังศุมาลินที่คล้ายกำลังก้มพูดบ่นพร่ำอยู่กับขิมตัวรัก ปรากฏอยู่ที่ฝาผนังห้อง
ภายในห้องนอนที่ตึกสันติบาลปิดไฟมืดมิด เห็นคนอื่นนอนตะคุ่มๆ ห่มผ้าในเงาสลัว
แต่วนัสนอนถือจม.นั้น สภาพยับๆ อยู่ในมือ นัยน์ตาแห้งผาก มองเพดานนิ่ง
กลางดึก โกโบริอยู่ในชุดยูกาตะ ยืนนิ่งเหม่อลอยอยู่ในหเองพักที่อู่ต่อเรือ พลันฝีเท้าของหมอทาเคดะ ก้าวเข้ามาเบาๆ
“ยังไม่นอนหรือ”
“หมอ..มีอะไร”
“เปล่า ผมเห็นคุณยืนอยู่อย่างนี้นานแล้ว..มีอะไร”
โกโบริจะหันตัวเดินออกมา
“เปล่า..ในห้อง อากาศมันร้อน”
“ทะเลาะกับอังซังหรือ” หมอถามตรงๆ
โกโบริชะงักเล็กน้อย
“หมอไปนอนเถอะ เดี๋ยวผมว่าจะไปนั่งทำงานต่อ”
“งานมันก็ไม่ได้เร่งขนาดนั้นนะ โกโบริ”
โกโบริไม่ตอบเดินลิ่วไป หมอทาเคดะมองตาม ถอนใจเบาๆ
ยายศรหลับไปแล้ว แม่อรสวดมนตร์ไหว้พระจนเสร็จ เสียงขิมยังลอยดังโหยละห้อยมาจากห้องอังศุมาลิน
แม่อรนั่ง พยายามสงบใจ แต่ไม่หายกังวล
อังศุมาลินวางมือจากขิม นั่งนิ่งงัน
ฟากวนัสยืนนิ่งอยู่ที่ริมหน้าต่าง หน้าตาขื่นขม คับแค้น อยากจะบุกออกไปจากที่นี่ หรือทำอะไรที่รุนแรง
พวกเพื่อนๆ ที่เตียง ที่แท้ต่างนอนไม่หลับ แอบมองกันไปมา คุมเชิง ว่าวนัสจะทำอะไรที่น่าเป็นห่วงหรือเปล่า
วนัสเดินมาที่โต๊ะ มองจม.ในมือ แล้ววางลง หยิบไม้ขีดบนโต๊ะมาจุด แล้วเอาจม.นั้นไปลนไฟ จนเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน ทิ้งลงในที่เขี่ยบุหรี่แก้วตรงนั้น
วนัสมองเถ้าจนมอดไหม้ แล้วกลับมานอน ตายังลืมโพลง แต่สงบลง เพื่อนๆ แอบมองหน้ากัน โล่งใจเป็นแถว
อังศุมาลินนอนหลับไปจนค่อนรุ่ง แล้วฝันไปถึงเหตุการณ์ที่อ่านวรรณคดี ขุนช้างขุนแผน ให้โกโบริฟัง
“โอ้พ่อพลายสายสวาทของน้องเอ๋ย”
“พ่อพลาย..คืออะไร” โกโบริถาม
“พ่อพลาย..เป็นชื่อคน...” อังศุมาลินอ่านใหม่ “โอ้พ่อพลายสายสวาทของน้องเอ๋ย”
โกโบริซักอีก “สายสวาท แปลว่าอะไร”
“สุดที่รัก…”
โกโบริยิ้ม ทำหน้าชอบใจ “ขอบคุณ...”
อังศุมาลินมอง สงสัย ว่าโกโบริมีเล่ห์หรือเปล่า
โกโบริหันมา มองตอบ หน้าตาซื่อใส
อังศุมาลินอ่านต่อ “มิเคยจะห่างเหสิเน่หา นอนหอด้วยน้องสองเวลา”
โกโบริตั้งใจฟัง
“พ่อเคยพาพิมพูดพิไรวอน
นั่นนี่ซี้ซิกสรรพยอก
ยั่วหยอกมิใคร่ให้ไปไกลหมอน
แขนซ้ายเคยให้เมียหนุนนอน”
สีหน้าอังศุมาลินยายามนั้นที่หลบอย่างมีความสุข นอนหนุนแขนโกโบริ ต่างคน ต่างหลับ
อังศุมาลินงัวเงีย ลืมตาขึ้นมา หันไป พบว่าตัวเองนอนหนุนแขนโกโบริอยู่ มองหน้าเห็นโกโบริยังหลับสนิท ท่าทางสบาย มีความสุข
อังศุมาลินเกรงใจ ค่อยๆ ขยับตัวถอยๆ แล้วจับแขนโกโบริที่ทอดขวางให้หนุน มาให้เป็นท่าแนบตัวธรรมดา
โกโบริปรือตามามอง ยิ้มๆ “ผมไม่เมื่อยหรอก”
โกโบริทอดแขนขึ้นมาแบบเดิม แล้วดึงอังศุมาลินให้ลงมานอนเหมือนเดิม
อังศุมาลินยิ้มงัวเงีย แล้วยอมนอนโดยดี โกโบริกอดไว้ อังศุมาลินหลับต่อ
อังศุมาลินพลิกตัว ทอดแขนออกไป ที่แท้อังศุมาลินนอนอยู่บนที่นอนกว้างเพียงคนเดียว ลมพัดผ้าม่านปลิวไหว ไก่ขันเจื้อยแจ้วมา
อังศุมาลินลืมตาตื่นขึ้น แล้วนอนนิ่ง ดวงตาเบิกโพลง ทุกข์ใจ อ้างว้าง สับสน
อังศุมาลินวางมือบนท้องเบาๆ น้ำตาคลอเบ้า แล้วไหลรินเป็นทาง
แสงอาทิตย์กำลังโผล่ขึ้นเหนือขอบฟ้าตะวันออก ท้องฟ้ายามรุ่งสาง เห็นหมู่นกโบยบินไปมา
ฝาหม้อข้าวถูกยกเปิดออก ควันพุ่งฉุย ขันเงินขนาดกลางมีข้าวอยู่ค่อนขัน ควันฉุยเช่นกัน ขันข้าวพร้อมทัพพีเงินถูกนำไปวางลงบนถาดที่มีปิ่นโตเถาหนึ่ง พร้อมกล้วยและส้มวางอยู่ 3-4 ผล
แม่อรเปิดประตูออกมา เห็นอังศุมาลินยืนอยู่ จึงเอ่ยทัก
“เพิ่งตื่นหรือลูก”
อังศุมาลินที่ไปยืนชะโงกมองผ่านผนังเรือนเหมือนรอคอยใครอยู่ หันมาหา
“ตื่นนานแล้วค่ะ แม่รีบลุกทำไม หนูหุงข้าวไว้เรียบร้อยแล้ว”
“อะไรกัน หุงไว้แต่หัวมืด นี่เพิ่งรุ่งสางเอง หนูจะรีบลุกมาทำไม หนูยิ่งไม่แข็งแรงอยู่ เดี๋ยวก็ไม่สบายไปหรอก”
“ไม่เป็นไรค่ะ หนูนอนไม่ค่อยหลับ”
“เมื่อคืนพ่อดอกมะลิแกกลับมาหรือเปล่า”
อังศุมาลินนิ่งไป หันไปทำอะไรให้ยุ่งๆ เข้าไว้ “เปล่าค่ะ”
“นี่ถ้าเมื่อคืนมีหวอละก็ ห่วงกันแย่เชียว หมู่นี่ฝั่งกระนู้นยิ่งโดนบอมบ์ถี่ เฮ้อ..แล้วเมื่อไหร่มันจะเลิกรบจบๆกันเสียที แล้วนี่หนูกินอะไรหรือยังละลูก นอนดึกๆ ดื่นๆ แล้วท้องว่างมันจะไม่ดี”
อังศุมาลินยกถาด จะลงบ้านไป “หนูยังไม่หิวค่ะ เดี๋ยวจะลงไปใส่บาตรสักหน่อยก่อน”
“แล้วเวลาลงกระด่างกระไดก็ระวังๆ ด้วยนะลูกนะ มันชันมาก เดี๋ยวจะกลิ้งลงไป กำลังท้องกำลังไส้นี่แย่เชียว”
อังศุมาลินชะงัก ยืนมองลงไปที่ขั้นบันได อังศุมาลินหน้าเบลอๆ
“คนท้อง นี่..ตกบันไดไม่ได้ใช่ไหมคะ”
“ไม่ได้สิ โดนกระแทกแรงๆ หนักๆ จะแท้งเอา”
“หรือคะ”
อังศุมาลินยืนมึนๆ
แม่อรมองมาอย่างห่วงๆ รีบเข้ามาแย่งถาด “ไม่เอาล่ะ หนูอย่าขึ้นๆ ลงๆ นักเลย จะพลาดเอาได้ ถาดใส่บาตรเดี๋ยวแม่ถือลงไปให้ดีกว่า แต่ขอแม่อาบน้ำก่อน”
“แม่อัง..แม่อัง” เสียงตาบัวตาผลร้องเรียกดังลั่น
ก่อนที่สองเกลอจะวิ่งตึงๆ ขึ้นเรือนมา
“อ้าว ตาผลตาบัว มาทำไมกัน” แม่อรแปลกใจ
อังศุมาลินร้อนใจ
สองเกลอมองอังศุมาลินที มองแม่อรที
ตาบัวตัดสินใจบอก “คืองี้...พวกช้างเผือก..มาจากทางเหนือ”
“เอาเรื่องคนสิ ฉันไม่ได้อยากฟังเรื่องช้าง” แม่อรไม่เข้าใจ
ตาผล กะตาบัวค้อนปะหลับปะเหลือก
“มันเป็นค็อกจ้ะ” ตาบัวมาถึงโค้ด
“ใช่..ค็อก” ตาผลเสริม
แม่อรงง “ก๊อก..เกี่ยวอะไร”
“โค้ดค่ะแม่ มันก็คือคำรหัสที่เขาใช้เรียกกันภายใน” อังศุมาลินอธิบาย
“พวกช้างเผือก เขาใช้เรียกรวมๆ...พวกใต้ดินจากอังกิด” ตาบัวบอก
“เอาล่ะ แล้วยังไงลุง”
“ก็ทางนี้ก็ยังไม่รู้อะไรมาก รู้แต่ว่าโดนจับขังอยู่สันติบาล แล้วเห็นว่าวันนี้ทางไทยกับพวกญี่ปุ่นจะร่วมกันสอบสวน” ตาผลบอก
“แล้วรู้มั้ย ว่าชื่ออะไรมั่ง”
“ชื่อจริงยังไม่รู้ รู้แต่ชื่อค็อก” ตาผลว่า
ตาบัวเสริม “ใช่ๆ เห็นมีคนชื่อค็อกว่าเหมา กะลำพูละก็ชื่ออะไรฝรั่งๆ อีกอันไม่รู้”
“ลำพู”
อังศุมาลินนึกสะดุดใจคิดมา
“ชื่อจริงเขาเก็บเป็นฟามลับ ที่เรียกๆ กันก็มีแต่ค็อก อย่างลุงนี่จิ๋มหนึ่ง ไอ้บัวก็จิ๋มสอง”
แม่อรท้วง “ตัวออกโตทำไมชื่อจิ๋ม”
“ไม่ใช่จิ๋มภาษาไทย จิ๋มภาษาอังกิด”
ตาบัวชักฉุนแม่อรที่ไม่เข้าใจเอาเลย แม่อรงง
“ลุง แล้วจะทำยังไงให้รู้ว่าใช่วนัสหรือเปล่า” อังศุมาลินถาม
“ก็ต้องคอยไปหน่อย” ตาผลบอก
“ไม่ก็ไปสืบดูเอาใหม่” ตาบัวว่า
อังศุมาลินเพลียใจยิ่งนัก
คู่กรรม ตอนที่ 21 (ต่อ)
เช้าวันเดียวกัน แม่อรถือชะลอมใบเล็กๆ ใส่ผลไม้มาส่งอังศุมาลินที่เปลี่ยนชุดใหม่ ใส่เสื้อตัวยาวสีเข้มคลุมถึงสะโพก ที่ท่าน้ำ พลางกำชับ
“เอาไปฝากคุณพ่อ ใครเขาเห็นเข้าจะได้อ้างว่าไปเยี่ยมเยียนปกติ..แล้วเดินเหินก็ระวังๆ ตัว”
เสียงเรือยนต์แล่นเข้ามาตรงท่า แม่อรยื่นชะลอมให้อังศุมาลิน
“ค่ะหนูจะรีบไปรีบมา คงไม่มีอะไรหรอก”
“ถ้าพบพวกบ้านนั้นเข้า เขาจะพูด เขาจะทำท่ายังไงๆ ก็อดทนไว้นะลูกนะ อย่าไปยุ่งกับเขา เราไปตั้งใจทำธุระ ก็ทำของเราให้เสร็จพอ”
เรือยนต์มาจอดเทียบรอรับ
“ค่ะ แม่ไม่ต้องห่วง”
“ระวังๆตัวนะลูก ยาลงยาลมพกติดตัวไว้นะ”
อังศุมาลินก้าวลงเรือไป หันมายิ้มๆ ให้ มีผู้โดยสารในเรือ 3-4 คน แม่อรมองตามอย่างเป็นห่วง
อังศุมาลินข้ามฟากมาแล้ว กำลังเดินมาถึงริมถนน แลเห็นรถราวิ่งขวักไขว่ไปมา อังศุมาลินยืนรอเพื่อหาจังหวะข้ามถนน
ระหว่างนั้นขบวนรถทหารญี่ปุ่น 2 คัน แล่นมาที่อีกฟากของถนน อังศุมาลินกำลังก้าวข้ามไปถึงอีกฟาก และตัดหน้าขบวนรถนั้นพอดี ครั้นเหลือบมองจึงเห็นว่าเป็นรถทหารญี่ปุ่น อังศุมาลินเลยรีบก้มหน้าหลบจะเดินต่อ
บังเอิญว่าโกโบริที่นั่งอยู่ตอนหน้ากับพลขับเห็นเข้า จึงชะเง้อมองมา แล้วรีบบอกให้พลขับชะลอรถหยุด มีหมอโยชินั่งอยู่ตอนหลังด้วย
โกโบริเปิดประตูลงมา อังศุมาลินชะงัก ตกใจ นึกไม่ถึง ทุกคนมองตามท่าทีสนใจ
โกโบริถามเสียงเรียบ สีหน้านิ่ง “คุณจะไปไหน”
อังศุมาลินมองโกโบริ แล้วมองไปทางพวกบนรถ
“จะไป..เยี่ยมคุณพ่อคะ”
โกโบริมองตาส่งซิก ว่าอย่าพูดอะไรมาก แล้วทำเป็นพูดดังๆ ให้คนบนรถได้ยินด้วย “อ้าว ก็นัดกันว่าจะไปเยี่ยมด้วยกันพรุ่งนี้ไง”
อังศุมาลินสบตา เข้าใจ ตอบแบบให้ทุกคนได้ยินเช่นกัน
“เอ้อ...ฉัน...เห็นว่าคุณคงติดราชการ เลยจะไปเอง”
“งั้นก็เรียนท่านด้วยแล้วกันว่าผมคิดถึง แล้วผมจะไปเยี่ยมท่านด้วยกันกับคุณ...วันหลัง”
โกโบริมองแบบตำหนิ ว่าทำไมเธอถึงแก่นซ่าแบบนี้ท้องไส้อยู่แท้ๆ สายตาบอกให้รู้ว่าอยากคุยด้วยอีกเยอะ แต่ไม่สามารถ แล้วจึงหันกลับขึ้นรถ ปิดประตู และรถเร่งเครื่องออกตัววิ่งไปทันที
อังศุมาลินมองตามไปจนลับตา พลางถอนใจยาวโล่ง
ไม่นานนัก สาวใช้ยืนหน้าจ๋องอยู่กับแก้ว ตรงหน้าประตูเรือนหลังใหญ่ ที่เปิดแง้มออกมานิดๆ
“ไปบอกเขาแล้วกัน คุณพ่อไม่อยู่ ชะลงชะลอมอะไรรุงรังนั่นบอกเขาด้วยให้เอากลับไป”
“เออ ค่ะ...”
“ไปซิ” แก้วเร่ง
“ค่ะคุณแก้ว”
แก้วส่งสายตาเหยียดๆ ทำเหมือนไม่รู้จัก มาที่อังศุมาลินที่ยืนหน้าซีด อยู่หน้าทางเดินตรงประตู ก่อนจะดึงประตูปิดดังปัง!
“คุณคะ...คุณแก้วให้มาเรียนว่า...”
อังศุมาลินนึกรู้ ไม่อยากฟังต่อกำลังจะหันตัวกลับออกไป
เสียงหลวงหลวงชลาสินธุราชดังขึ้น “เดี๋ยว ยัยอัง”
อังศุมาลินเหลียวขวับมาหา
คุณหลวงเปิดประตูเรือนออกมายืนหน้าเข้ม แก้วยืนหน้าเสีย มองลอดออกมาจากหลังประตูอย่างไม่พอใจ
ครู่ต่อมาหลวงชลาสินธุราช เดินนำอังศุมาลินเข้ามาในห้องสมุด รับชะลอมจากลูกสาวมาถือไว้
คุณหลวงหันตะโกนออกไปนอกห้อง
“ใครอยู่ข้างนอก เอาชะลอมนี่ไปจัดผลไม้ใส่ถาดตั้งไว้ ใครไม่กินห้ามแตะต้อง”
สาวใช้คนเดิมรีบพรวดเข้ามา รับชะลอมไปทันที หลวงชลาสินธุราช เดินไปปิดประตูก่อนเดินกลับมาที่โต๊ะ
“หนูมีอะไร”
“พ่อคะ”
ขณะเดียวกันห้องประชุมของกองตำรวจสันติบาล พระนคร ถูกจัดเป็นห้องสอบสวนเฉพาะกิจขึ้นมาโดยจัดเป็นสองฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ต้องหาอยู่โต๊ะกลางห้อง กับฝ่ายเจ้าหน้าที่ เป็นโต๊ะอยู่ชิดฝั่งหนึ่ง แยกเป็นของไทย กับ ญี่ปุ่น
สสารวัตรองอาจพร้อมด้วยสันติบาลอีก 2 นาย กำลังนั่งคุยกระซิบกระซาบอยู่ที่โต๊ะ ฝ่ายญี่ปุ่นเดินเข้าห้องมา ประกอบด้วย โกโบริ โยชิและกองสืบราชการลับอีก 2 นาย ทั้งสองฝ่ายต่างจับมือทักทายกันก่อนนั่งลงประจำที่ มีโต๊ะของกลาง พวกเป้ เครื่องรับส่งวิทยุกำลังสูง ปืนพก มีด และอื่นๆ วางอยู่หน้าเจ้าหน้าที่สองฝ่าย
“เราเริ่มกันได้เลยนะ” หมอโยชิเป็นตัวแทนฝ่ายญี่ปุ่นเอ่ยขึ้น
“ดีครับ”
สารวัตรองอาจรับคำ พลางให้สัญญาณตำรวจสันติบาลที่ยืนอยู่หน้าประตู ตำรวจพวกนั้นโค้งรับรู้แล้วเดินหายออกไป
โกโบริ หมอโยชิ และทหารหน่วยสืบราชการลับ นั่งคุยปรึกษากันเบาๆ อยู่ ต่างหันมอง
สักครู่หนึ่ง ยินเสียงฝีเท้า ท่านชายวิชญา อรุณ และวนัส เดินเรียงเข้าห้องมาตามลำดับ มีเจ้าหน้าที่คุมตัวเดินนำเข้ามา และตามปิดท้ายใกล้ชิด
ฝ่ายของสารวัตรองอาจเงยหน้ามอง
ท่านชายวิชญา อรุณ และวนัสทั้งสาม หน้านิ่ง เดินมานั่งที่โต๊ะกลางห้อง เจ้าหน้าที่คุมตัวมาทั้งสองคน แยกย้ายไปยืนหลบมุม
วนัสหน้าซีดเอามากๆ ทั้งคืนไม่ยอมนอน แขนซ้ายก็บวมๆ ขอบตาคล้ำ ปากแห้ง แววตาตายด้าน จังหวะหนึ่งเหลือบช้อนสายตาขึ้นมามอง
หมอโยชิมองอยู่ เหมือนจะสะดุดใจเล็กน้อย ก่อนทำสีหน้าเรียบนิ่งเป็นปกติ
วนัสมองหน้าหมอโยชิ แววตาปวดร้าว แล้วเหม่อลอยไป โกโบริมองพินิจ พิจารณาทั้งสามคนโดยละเอียด
สารวัตรองอาจรายงานต่อทุกคนในห้อง
“นี่คือผู้ต้องสงสัยลักลอบเข้าประเทศจากทางเครื่องบิน 3 รายเป็นคนไทย ที่ตำรวจภูธรจังหวัดนครสวรรค์ จับได้เมื่อวัน เวลาตามบันทึกนี้ครับ เบื้องต้นผู้ต้องหายอมรับว่าเป็นหนึ่งในขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นภายนอกประเทศจริง แต่ยังไม่ยอมให้ปากคำใดๆ เพิ่ม และของกลางที่เห็นตรงหน้า คือ อุปกรณ์และสัมภาระที่ฝังซ่อนไว้ แต่ตำรวจนครสวรรค์ไปขุดมาได้”
สารวัตรองอาจพูดจบ ก็หันมองไปทางฝ่ายญี่ปุ่น
“ขอให้ทั้งสามคนบอกชื่อ” หมอโยชิเริ่มถาม
ท่านชายวิชญา อรุณ และวนัส ยังสงบนิ่งตัวตรง วนัสนั้นจดสายตาเพ่งมองที่หมอโยชิแววตาคู่นั้นเคืองขุ่นอยู่ในที ทั้งสามนิ่งไม่ยอมตอบ
“กรุณาให้ความร่วมมือด้วย” สารวัตรองอาจเสียงดัง
ท่านชายวิชญา และอรุณ อิดออดเล็กน้อยก่อนเอ่ยตอบ
ท่านชายว่า “แซม”
อรุณบอก “เหมา”
วนัสเงียบงันไม่ยอมพูด มองหน้าหมอโยชิแน่วนิ่ง
“แล้วคุณ…” หมอโยชิถามย้ำ
“ช่วยบอกชื่อคุณด้วย” สารวัตรเอ่ยขึ้นอีก
โกโบริมองจับสังเกตที่วนัส พลางถาม
“คุณชื่ออะไร”
วนัสจ้องโกโบริ พูดกวนๆ “แล้วคุณล่ะ คุณ...ชื่ออะไร”
สารวัตรองอาจ และหมอโยชิ มองลุ้นจัด
โกโบริเริ่มแน่ใจว่าใช่เขาแน่ มองตอบ ต่างคนต่างจ้องหน้ากันเหมือนจะจดจำจนวันตาย
ทางด้านหลวงชลาสินธุราช มีสีหน้าครุ่นคิด เมื่ออังศุมาลินถามต่อ
“หนูทราบมาว่า มีคนหนึ่งใช้ชื่อรหัสว่า ลำพู ใช่วนัสหรือเปล่าคะ”
“พ่อก็ยังตอบไม่ได้”
“ทางนี้ไม่มีใครทราบเลยหรือคะ”
“หนูต้องใจเย็นๆ หน่อยซิลูก ตอนนี้พวกเราก็ทาบๆ ที่จะพูดเรื่องนี้กับทางอธิบดีตำรวจอยู่ ถ้าท่านร่วมมือกับเราจริง อะไรๆ ก็คงง่ายเสียที” คุณหลวงบอก
“แล้วสามคนนี้ล่ะคะจะเป็นยังไง”
“เขาตั้งคณะกรรมการสอบสวนจากทั้งสองฝ่าย ยังไงคนไทยคงไม่ฆ่าคนไทยด้วยกันหรอก”
“แล้วถ้าทางญี่ปุ่นจะเอาตัวไปจัดการเองละคะ”
คำถามของลูกสาว ทำเอาคุณหลวงมีสีหน้าหนักใจยิ่งขึ้น เหลียวมองอังศุมาลินเขม็ง
ส่วนเหตุการณ์ภายในห้องสอบสวน ที่กองตำรวจสันติบาล บรรยากาศยังคงตึงเครียด ฝ่ายญี่ปุ่น และสันติบาลจับตาเขม็ง และรอคำตอบ
ท่านชายวิชญา และอรุณ สังเกตทั้งสองฝ่ายตรงหน้าอย่างไม่วางตา
“กรุณาตอบ..คุณชื่ออะไร”
วนัสถอนใจแรงมองตาแข็ง ดูออกว่าไม่พอใจ ก่อนเหลียวมามองที่หมอโยชิขณะตอบ
“ลำพู”
โกโบริมองฉงน กึ่งโล่งใจที่ไม่ได้ยินชื่อที่คาดคิด
แต่แล้วหมอโยชิกลับถอนใจ ส่ายหน้า “เธอร่วมมือกับเราดีกว่า...วนัส”
วนัสมองตาแข็งแววตากร้าว
โกโบริหันขวับ ตาเบิกกว้างไปทางหมอโยชิทันที
ส่วนหลวงชลาสินธุราช พยายามบอกเพื่อให้ลูกสาวคลายวิตก
“ยังไงฝ่ายเราก็ต้องรักษาสิทธิ์ประเทศเอาไว้ ไม่มีทางยอมญี่ปุ่นแน่”
อังศุมาลินมีสีหน้าไม่สบายใจ
“อีกนานไหมคะ กว่าเราจะรู้ว่าใครเป็นใคร”
“หรือทางหนูจะลองถาม..สามีของหนูดู อาจจะได้เรื่องเร็ว เพราะเขาก็เข้าไปที่กองบัญชาการบ่อยๆ”
อังศุมาลินตอบอย่างเด็ดเดี่ยว “อย่าดีกว่าค่ะ” พลางถอนใจเบาๆ
“นี่หนูสบายดีไหม คุณยายกับคุณแม่เป็นยังไงบ้าง” คุณหลวงเปลี่ยนเรื่องคุย
“สบายดีค่ะ”
“หนูดูซีดลงไปนะ เป็นอะไรหรือเปล่า”
“หนูไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ”
อังศุมาลินไม่ยอมปริปากเรื่องท้องออกมา
การสอบสวนเหมือนจะเสร็จแล้ว โกโบริยืนขรึมอยู่ที่ระเบียง หมอโยชิยืนข้างๆ เมียงมอง แล้วเข้ามาตบบ่า
“เราทำหน้าที่ล่าม...ก็ทำหน้าที่ของเราไปให้ดีที่สุด นอกเหนือไปจากนี้ ก็เป็นหน้าที่ของคนที่เขารับผิดชอบโดยตรง”
“ครับผม”
มีเสียงเคลื่อนไหว โกโบริหันไป
เห็นสารวัตรองอาจและพวก กำลังควบคุมวนัสกับพวกเดินมา จะขึ้นไปอีกชั้นนึง
โกโบริตัวแข็งทื่อ ตามองเป๋งที่วนัส
ฝ่ายวนัสก็มองตอบมา ขณะที่คนอื่นก้าวผ่านไป แต่วนัสเหลียวมา มองหน้าโกโบริไม่วางตา
อยู่ๆ วนัสหยุดกึก โกโบริผงะ มองหน้า พร้อมจะตอบโต้ทุกรูปแบบ
วนัสมองจนพอใจ แล้วหันไปต่อ จะเดินไป
โกโบริเห็นแขนวนัสที่บวม
“เดี๋ยว”
ทุกคนหันขวับ ตกใจ และมองลุ้น
“คุณ...แขนหัก...หรือเปล่า” โกโบริถามวนัส
ท่านชายวิชญาดีใจ “นั่นสิ ผมก็คิดว่าเช่นนั้น”
โกโบริมองไปที่สารวัตรองอาจ “ทำไมไม่มีใครพาไปรักษา..เป็นมาก ไม่ใช่น้อยๆ”
วนัสสวนขึ้นมา “ผมไม่เป็นอะไร”
โกโบริบอกอีก “ต้องพาไปโรงพยาบาล เอ็กซเรย์ให้ชัดเจน ว่าหักไหม”
“ผมจะเดินเรื่องให้เอง” หมอโยชิบอก
สารวัตรองอาจมองพวกเสรีไทย ยิ้มประจบท่านชายวิชญา แล้วหันไปพูดเสียงเข้มกับโกโบริ “ทางสันติบาลจะรับผิดชอบเอง ทางกองทัพญี่ปุ่นอย่าลำบากเลยครับผม”
“ควรจะรีบไปนะครับ” โกโบริกำชับ
“เดี๋ยวทำเรื่อง..แล้วควบคุมตัวไปเลยครับ รับรองว่าเราจะควบคุมคนพวกนี้อย่างเข้มงวดที่สุด” สารวัตรองอาจโค้งให้
ทั้งหมดพากันออกไป
โกโบริยืนอึ้ง หมอโยชิมองโกโบริ จับสังเกต
แม่อรประคองอังศุมาลินให้นั่งลงที่ม้านั่งท่าน้ำ ตอนนั้นเป็นเวลายามบ่ายแล้ว
“ไม่ได้เรื่องค่ะ” อังศุมาลินบอก
“งั้นเย็นนี้ ถ้าพ่อโกโบริแกกลับมา เราลองถามๆแกดูก็คงได้”
อังศุมาลินยิ้มหยัน หน้าเหี้ยมๆ “คนนั้นละรู้แน่ทีเดียวค่ะ สามคนนั้นถูกจับก็คงเพราะฝีมือเขานี่ล่ะ”
แม่อรฟังแล้วงวยงง “อ้าวทำไมล่ะ”
“หนูเอาจดหมายซุกไว้ในตู้ แล้วเขาไปเห็นเข้า”
“จดหมาย...จดหมายไหนอีก”
“ฉบับนั้นนั่นแหละค่ะ...วันนั้น...หนู..ได้กลับคืนมาจากป้าวัน...แล้ว...หนูก็เอามาเก็บไว้ หนูผิดเอง!”
แม่อร อึ้ง นิ่งไปนิด แล้วก็ส่ายหน้า “ในจดหมายไม่เห็นมีอะไร ตัวแกก็อ่านภาษาไทยไม่ได้ จะเอาอะไรไปจับพ่อวนัส”
“เขาอาจเอาไปให้ใครๆ อ่านก็ได้ อย่างน้อยก็ทำให้พวกเขารู้แกวว่าจะมีคนลอบเข้ามาในประเทศ แล้วก็วางคนไว้กวดขัน ไม่งั้นสามคนนั้นจะถูกจับได้เร็วนักคะ” อังศุมาลินเอาแต่โทษ โกรธขึ้งโกโบริ
“หนูก็อย่าเพิ่งไปโทษพ่อดอกมะลิแกเลยลูก”
“หนูผิดเองๆๆ ไม่รู้สามคนนั่นจะโดนอะไรบ้าง วันนี้เขาไปเป็นล่ามให้คณะกรรมการสอบสวนฝ่ายเขา ถ้าเกิดมีวนัสด้วย…”
อังศุมาลินสะดุด ฝืนกล้ำกลืน
“หนูสงสารป้ากับลุงกำนัน ถ้ารู้เรื่องลูกชายเข้าคงแทบขาดใจ...ถ้าวนัสเป็นอะไรไป...”
“ทำใจดีๆ เถอะลูก ค่อยๆ คิด ค่อยๆ อ่าน รอฟังพ่อจิ๋มก๊อกอะไรนั่นเขาอีกที เผื่อแกอาจได้เรื่องอะไรมาบ้าง” แม่อรหมายถึงตาบัวกะตาผล
“คอยดูนะคะแม่ ถ้าเสรีไทยพวกนี้เป็นอะไรไป หนูจะชดใช้ให้พวกเขาให้สาสมทีเดียว”
อังศุมาลินพูดอย่างอาฆาตมาดร้าย แม่อรมองลูกสาว สีหน้าสะพรึงกลัวใจนัก
ตกตอนเย็น รถแล่นมาจอดหน้ากองบัญชาการกองทัพญี่ปุ่น ถนนสาธร โกโบริลงรถแล้วรีบเดินหายเข้าไปในห้องแม่ทัพใหญ่ นากามูระ
จดหมายถูกยื่นออกไป นากามูระรับจดหมายมาจากโกโบริ
“มีอะไรด่วนหรือ”
“เรื่องผมขอย้ายเข้าพม่าครับ”
“หือ..คุณแน่ใจหรือ ทำไมละ” นากามูระฉงน
“ครับ...ความจริงผมควรไปเสียตั้งแต่ครั้งก่อน…”
“ใช่ ความจริงทางพม่าก็ต้องการตัวคุณตั้งแต่ครั้งที่แล้ว แต่ตอนนั้นผมเห็นว่าที่นี่ก็ขาดคนที่มีความสัมพันธ์ดีกับชาวบ้านแบบคุณ เลยขอตัวคุณไว้ก่อน...ถ้าตอนนี้คุณจะไป ทางโน้นคงยินดีไม่น้อย แต่...คุณไม่ห่วงทางนี้หรือ”
โกโบริอึ้ง นิ่งงันไป
ดวงจันทร์ข้างแรมลอยเด่นอยู่บนท้องฟ้า เหนือหมู่แมกไม้ในสวน ตะเกียงกลางเสาบ้านไส้สั้นลงมากแล้ว อังศุมาลินเดินมาเปิดผาไขขึ้น
แม่อรนั่งปัดยุงไปมาอยู่ที่โต๊ะกลางบ้าน
“นี่เขาหายไปไหนนะ ทุกทีต้องให้ทหารมาบอก แต่นี่เงียบไปเลย”
อังศุมาลินหน้านิ่ง เฉยเมย ลงมาทรุดตัวนั่งใกล้ๆ แม่
“จะว่าสอบสวนกันทั้งวันทั้งคืนก็เกินไปละ เผื่อยังไงแกกลับมาจะได้ลองถามดู”
“เขาไม่บอกหรอกค่ะ” อังศุมาลินออกอาการท้อ
“ก็เราไม่ได้ไปซักอะไรเขามากนี่ลูก ถามแต่ว่าใช่พ่อวนัสหรือเปล่า ถ้าใช่แล้วเป็นยังไงบ้าง ก็เท่านั้น”
“ควรถามว่า พวกเขา...ทรมานเชลย..ด้วยวิธีไหน เห็นจะดีกว่าค่ะ”
“ฮื้อ...” แม่อรถอนใจยาว กึ่งหนักใจ กึ่งไม่แน่ใจ “หนูก็อย่าเพิ่งคิดอะไรไปในทางร้ายๆ ซิลูก”
“จำลุงบัวลุงผลที่โดนจับกรอกน้ำมันนั่นได้ไหมคะ” อังศุมาลินขุดเรื่องเก่ามาเล่าอีก
แม่อรท้วง “อ้าว แล้วอย่างคนของแกที่กินกล้วยจนจะจุกตายนั่นล่ะ พ่อดอกมะลิแกเป็นคนยุติธรรม”
อังศุมาลินใจแป้ว “แต่ถ้าเป็นวนัส...”
“เขาบอกอะไรหนูหรือ”
อังศุมาลินนิ่งไม่ยอมตอบ
“หนูก็อย่าเพิ่งมาคิดเดาไปอย่างนั้นอย่างนี้เลยลูก” แม่อรเตือนสติ
“ถ้าพรุ่งนี้ลุงสองคนยังไม่มาส่งข่าว หนูจะไปถามคุณพ่อดูอีก” อังศุมาลินว่า
“อย่าไปเลย เวียนไปเวียนมาบ่อยๆ คุณพ่อ กับพ่อดอกมะลิจะโดนสงสัยเอา”
อังศุมาลินเงียบขรึมลงไป
“หนูต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี อย่าเอาแต่อารมณ์ ของอย่างนี้ต้องดูให้รอบคอบ จะมาเอาให้ได้อย่างใจน่ะ คงไม่ได้”
อังศุมาลินทอดถอนใจอย่างอัดอั้น สีหน้าพลันเศร้าลงไปอีก
คู่กรรม ตอนที่ 21 (ต่อ)
ตอนบ่ายของวันรุ่งขึ้น พยาบาลและหมอทำการใส่เฝือกให้วนัสอยู่ วนัสหน้าไม่ยินดียินร้าย มีตำรวจไทย 2 คนมาเฝ้า
ระหว่างนั้นสารวัตรองอาจ เดินพาหลวงชลาสินธุราชเข้ามาหา
คุณหลวงหยุดมองวนัส อึ้งไป วนัสหันมาเห็น ตกใจ แล้วลุก ไหว้ไม่ได้ ทำท่าตะเบ๊ะแทน
“สารวัตรองอาจ...ผมขอ...สอบปากคำผู้ต้องหาตามลำพัง”
“ครับผม”
สารวัตรองอาจหันไปพยักพเยิดกับพวกตำรวจ 2 คน แล้วพากันออกไป
คุณหลวงถามอาการวนัสกับหมอ “เป็นอะไรมากไหมครับ”
“แขนไม่หักครับ แค่กระดูกร้าว..ให้อยู่นิ่งๆ สัก 2-3 สัปดาห์ ก็จะหาย”
“ขอบคุณครับ...ขอความกรุณา…”
หมอรู้ตัว “ยินดีครับ” รีบเดินออกไป
คุณหลวงชลาสินธุราชมองจ้องหน้า วนัสมองตอบ แววตาเศร้า เซ็ง สับสน
คุณหลวงเข้าใจได้ในทันที “เธอ...คือวนัสใช่ไหม...ฉันเคยเจอ...ผ่านๆ นานเต็มทน”
“ครับผม”
“คงทราบเรื่อง...อังศุมาลินแล้ว”
“ครับผม” วนัสบอก
“ฉันผิดเอง”
วนัสอึ้ง มองมาอย่างงงๆ
“เพราะฉัน...ที่ต้องปิดลับ...เพื่อรักษาสถานะของตัวเอง...และทำให้กองทัพญี่ปุ่นวางใจ ยายอังถึงจำเป็นต้องแต่งงานกับหลานชายแม่ทัพ”
“ผมพบเขาแล้ว”
“เขาเป็นคนดี” คุณหลวงบอก
วนัสเงียบ
“เขาเป็นนายทหารญี่ปุ่นตัวอย่าง...ที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนไทย”
“อ้อ...” วนัสรับรู้
หลวงชลาสินธุราชลดเสียงเบาลง “ญี่ปุ่นกำลังเสียเปรียบมากแล้วตอนนี้ ในทุกสมรภูมิ พวกเราก็ติดต่อกันได้สะดวกขึ้นแล้ว ตำรวจ...ก็เข้าใจเราขึ้นมากแล้ว...เวลานี้ ขอให้มั่นใจได้ ว่าพวกเธอทุกคน...จะอยู่อย่างปลอดภัย ภายใต้การดูแลของตำรวจสันติบาล”
วนัสอึ้งไป แล้วไปๆ มาๆ หน้าเศร้าลงอีก ด้วยนึกเป็นห่วงอังศุมาลินขึ้นมา เพราะถ้าญี่ปุ่นแพ้ อังศุมาลินและครอบครัวจะเป็นไง
กลางดึก สายลมพัดพลิ้วเบาๆ พัดมุ้งเป็นริ้วๆ ภายในห้องมืดมิดมีเพียงแสงจันทร์รำไร
อังศุมาลินนอนพลิกตัวหันมา แม้ตาจะหลับ แต่กระสับกระส่ายถอนหายใจหนักหน่วง นึกถึงคำพูดตัวเองที่พูดใส่หน้าโกโบริ วันก่อน
“หึ หึๆ” อังศุมาลินแสยะยิ้มขึ้นมา “สักวันหนึ่ง สักวันหนึ่งคุณจะได้รู้ว่า สิ่งที่คุณหวังว่าอยากได้มันนักหนานั้นน่ะ บางที..บางที คุณจะไม่ได้มันเลย ถ้าสามชีวิตนั่นเป็นอะไรไป ฉันขอบอกตรงนี้..ว่าฉันจะเอาชีวิตหนึ่งแลกคืนให้เขา ชดใช้ให้สมกับที่เขาได้รับเคราะห์กรรมเพราะฉัน”
อังศุมาลินลืมตาโพลง ก่อนจะพลิกตัวนอนหงายตามองมุ้งสายบัวนิ่งงัน เอามือจับท้อง น้ำตาเอ่อๆ
ขณะเดียวกันเรือเร็วของโกโบริแล่นทอดตัวเอื่อยๆ มาจอดเทียบนิ่งที่ริมท่าน้ำ โกโบริมองผ่านแมกไม้ ไปยังหน้าต่างห้องอังศุมาลินที่ไฟดับมืดสนิท โกโบริถอนใจ สีหน้าหนักใจแบกโลกเอาไว้ทั้งโลก
ค่อนรุ่งกลุ่มดอกลำพูที่ลอยเกาะกลุ่มติดเป็นแพต้านกระแสน้ำอยู่ ถูกเศษไม้ใหญ่ลอยแรงตามกระแสน้ำมาปะทะจนแตกกระจาย ไหลตามกระแสน้ำไป ท้องฟ้ายังคงมืดทึม พอเริ่มเห็นยอดช่อดอกมะลิที่นิ่งไม่ไหวติ่ง
ประตูห้องอังศุมาลินค่อยๆ เปิดแง้มออก เห็นฝีเท้าอังศุมาลินก้าวออกมา แล้วเดินต่อจนถึงกลางเรือน สีหน้าที่มองไปสะดุดอะไรบางอย่าง
อังศุมาลินเพ่งมอง เห็นร่างตะคุ่มโกโบริที่มุมเสานอกชาน นั่งพิงหันหลัง ยังอยู่ในชุดเครื่องแบบตัวเดิมจากเมื่อวาน สักพัก จึงหันมา สีหน้าดูอิดโรยเพราะอดนอน อังศุมาลินแลไปเห็นประตูชานเรือนเปิดแง้มไว้เล็กน้อย
แวบแรกนั้นอังศุมาลินดีใจลึกๆ แต่รีบสะกดกลั้นข่มความรู้สึก
“ผมเอง..ไม่ใช่คนที่คุณรอคอยหรอก ผมแค่ขอมาแวะเปลี่ยนชุดหน่อย”
อังศุมาลินเงียบไม่ตอบ
“ผมจะต้องย้ายไปพม่า” โกโบริพูดต่อ
อังศุมาลินใจหวิวขึ้นมาไม่รู้ตัว
“แต่ผมอาจต้องอยู่รอจัดการติดตั้งเครื่องจักรที่อู่ให้เสร็จ แล้วมอบแผนงานให้คนใหม่เสียก่อน บางทีคงนานพอที่จะได้อยู่...เห็นหน้าลูก”
อังศุมาลินฟังเงียบ คิดไปต่างๆ นานา
โกโบริพูดต่อท่าทีเยือกเย็น และสุ้มเสียงเย็นชา “แล้วถ้าคุณไม่ต้องการเขา เหมือนที่ไม่ต้องการผม...ผมจะส่งเขาไปญี่ปุ่น ตอนนี้ผมเขียนจดหมายไปบอกพ่อกับแม่ไว้แล้วว่าจะได้หลาน”
อังศุมาลินฟังแล้วโกรธมากขึ้นเป็นริ้วๆ โกโบริลุกขึ้นยืนช้าๆ
“ซึ่งคงอีกไม่ช้า คุณก็จะได้พบกับคนที่คุณตั้งตาคอย” โกโบริเน้นคำตรงท้ายประโยค แล้วเดินไป รินน้ำในเหยือกข้างๆ มากินเอง อังศุมาลินมองตามรอฟัง
โกโบริดื่มน้ำ ก่อนจะหันมา “เชลยหนึ่งในสาม..ชื่อวนัส”
อังศุมาลินรู้สึกชาวาบขึ้นทันควัน จ้องสบตากร้าว
“ตายหรือยัง”
โกโบริเซ็งโครต “ทำไมคิดว่าเขาจะตาย”
“แล้วเมื่อวานคุณทำอะไรเขาบ้าง”
“ผมเป็นล่าม มีหน้าที่แค่แปลข้อความตามที่เชลยให้การ และแปลสิ่งที่ฝ่ายผมถาม”
อังศุมาลินเหน็บแนม แดกดันตามวิสัย “หวังว่าข้อความที่คุณแปล จะไม่ช่วยทำให้เขาตายเร็วขึ้น”
โกโบริฉุน เม้มปากนิ่งไปครู่หนึ่ง
“คนอย่างผม รู้จักแยกหน้าที่กับหัวใจ ไว้คนละส่วนเสมอ...” แล้วสะดุดใจ นึกไปถึงเรื่องที่ผ่านมา “แต่...ที่ผ่านมา บางครั้งผมก็ละอายใจตัวเอง ที่กระทำสิ่งทรยศกับหน้าที่ เพราะหัวใจตัวเอง”
โกโบริเดินตรงดิ่ง ผ่านอังศุมาลินที่ยืนทื่อตัวแข็งนิ่ง ตรงเข้าไปที่ห้องนอนทันที
อังศุมาลิน เห็นภาพโกโบริที่เดินไป ดูเอียงๆ แกว่งๆ อังศุมาลินเหมือนจะเป็นลม เซมายึดเสาไว้
เช้าแล้วอังศุมาลินนั่งพิงเสา กอดเข่า มือถือยาดมจ่อจมูก ด้านหนึ่งยายศรกำลังพัดวีให้
แม่อรส่งยาหอมให้ “กินยาหอมหน่อยลูก...นี่ละลายน้ำมนตร์หลวงพ่อแล้ว”
อังศุมาลินไหว้แม่ กินยา
แม่อรกระซิบเบาๆ “พ่อดอกมะลิแกเล่าอะไรอีกหรือเปล่า”
“เขาไม่พูดหรอกค่ะ ที่เขามาบอกเราแค่นี้ก็เป็นบุญนักหนา” อังศุมาลินเน้นเสียงขณะพูดถ้อยคำต่อมา “เขาคงอยากให้หนูรู้ว่าวนัสถูกจับ”
“แล้วนี่จะทำยังไงกัน เขาจะขังตัวไว้ หรือจะเอาไปฆ่าไปแกงเสีย โธ่ ไม่ควรเล้ย...”
โกโบริพรวดออกมาจากห้องพร้อมหอบม้วนแบบเรือมาเต็มแขน กะขนกลับอู่จนหมด
“พ่อวนัสเป็นยังไงบ้างจ๊ะ”
โกโบริอึกอักลำบากใจ “ก็..ไม่มีอะไร”
“พ่อวนัสถูกขังอยู่ไหนจะ...”
โกโบริสีหน้าสลดลง มองไป ทุกคนดูจะเป็นจะตายเพราะวนัส “ที่เก่าครับ” เลยตอบสั้นๆ
“ที่เก่ามันคือที่ไหนกันจ๊ะ” ยายศรถาม
“สัน-ติ-บาล ครับ”
“แล้ว..เป็นอะไรหรือเปล่า” ยายซักต่อ
“นิดหน่อยครับ น่าจะพาไปโรงพยาบาลแล้ว”
แม่อรสีหน้าไม่ดี อังศุมาลินหายใจขัดขึ้นมาทันที
“ตายจริง เป็นอะไรไป…”
โกโบริรีบบอก “ก็...แขนเจ็บ...อาจโดนกระแทกอะไรมา เพราะมีรอยฟกช้ำตามตัว และมีบาดแผลบางจุด แต่คงไม่บาดเจ็บมากนัก”
อังศุมาลินฟังแล้วปรี๊ด คิดว่าวนัสโดนญี่ปุ่นทำร้าย เลยของขึ้นอีก “ก็ใช่นะสิ เจ็บไม่มากนัก เพราะแค่นี้มันก็มากเกินพอแล้ว
โกโบริหันมาเลิกคิ้ว มองอังศุมาลินอย่างกวนๆ
“คุณพูดเหมือนจะให้ผมต้องรับผิดชอบ”
“ใช่ คุณคงไม่ต้องรับผิดกับเรื่องแบบนี้แน่ รับแต่ชอบก็พอ”
โกโบริเหนื่อยใจ จะขยับเดินหนี
“แล้วรู้ไหม...เขาจะทำยังไงกับพ่อวนัสแกอีก” แม่อรถาม
“ผมไม่ทราบ”
อังศุมาลินใจหายแววตาเคืองขุ่นจ้องนิ่ง โกโบริขยับเดินมาหยุดที่หน้าเชิงประตูบันไดเรือน แล้วหันมาบอก
“พรุ่งนี้ทางกองบัญชาการอาจเปลี่ยนล่ามใหม่ เพราะผมต้องมาจัดการทางอู่ให้เรียบร้อยก่อนไปพม่า”
ยายตกใจ “ไหน ว่าอะไรนะ”
“ผมจะถูกย้ายไปพม่า”
“แล้วจะไปกันเมื่อไหร่ละนี่” แม่อรใจหาย
“ก็..ทันทีที่ผมจัดการเรื่องที่อู่เรียบร้อย” ตอนท้ายโกโบริสะบัดเสียง
แม่อรถอนใจยาว “นี่ไปประจำอยู่ที่นั่นเลยเหรอ”
“ก็ไม่แน่ เพราะผมอาจถูกส่งไปประจำลงเรือรบที่สิงคโปร์ เพราะตอนนี้การรบที่แปซิฟิคก็กำลังทวีความรุนแรง” โกโบริก้มมองแบบในมือ “ตอนนี้ผมกำลังเร่งทำแบบพวกนี้ให้เสร็จเสียก่อน”
ยายศรหันไปทางอังศุมาลิน “แล้วจะทำยังไงกัน” แล้วกลับมาทางโกโบริอีก “ไม่ย้ายไปไม่ได้หรือ”
“ผมเป็นทหาร มีหน้าที่ทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา”
อังศุมาลินฉุนกึก พูดน้ำเสียงเยาะๆ “ใช่สิ คำสั่งผู้บังคับบัญชา! ใช้อ้างได้ดีเสมอ”
โกโบริหันมองอังศุมาลินแว้บหนึ่ง ก่อนหันไปบอกแม่อร
“ผมต้องไปทำงานเสียที”
โกโบริขยับตัวก้าวลงบันได เดินลิ่วไปทันที อังศุมาลินรู้สึกเหมือนถูกสะบั้นความสัมพันธ์อย่างไม่เหลือเยื่อใย จนรู้สึกคว้างขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน” อังศุมาลินเรียกไว้
โกโบริเดินลงบันไดไปแล้ว
“เดี๋ยวก่อน...ฉันบอกว่าอย่าเพิ่งไป”
โกโบริ หันตัวหยุดมองขึ้นมา อังศุมาลินก้าวโผล่มายืนที่เชิงประตูบันไดขั้นบนสุด แววตาเป็นประกายด้วยหยาดน้ำตา
“ฉันเคยบอกคุณแล้ว ว่าหากวนัสเป็นอะไร ฉันจะชดใช้ให้เขา”
โกโบริจับตามองอังศุมาลินนิ่ง คิ้วขมวดสงสัย
“คุณจะไม่มีวัน ที่จะได้สิ่งที่คุณต้องการ คุณควรจะรู้รสเสียบ้างว่า เวลาที่คนเขาต้องเสียลูกไปนั้นมันเป็นยังไง ฉันจะชดใช้ให้เขาเดี๋ยวนี้” อังศุมาลินมองลงไปที่ขั้นบันได
ขั้นบันไดในสายตาอังศุมาลิน ยามนั้นดูชันเกินจริง ลึกลงไปมาก ดูหลอนๆ แกว่งๆ ร่างอังศุมาลิน เริ่มโงนเงน
โกโบริงงงันเล็กน้อย ก่อนจะเสียววาบ เข้าใจขึ้นมาได้ในทันที
“อย่า ฮิเดโกะ!”
โกโบริตะโกนก้อง
แม่อรจะพรวดเข้ามาแต่ช้าไปแล้ว ได้แต่ตะโกนสุดเสียง
“ยายอัง”
อังศุมาลินมองหน้าโกโบริ ด้วยแววตาเจ็บช้ำ น้ำตาไหลริน กลั้นใจอย่างเด็ดเดี่ยว ก่อนหลับตา ทิ้งตัวดิ่งลงไปเบื้องล่าง
โกโบริตะลึงงัน รีบโยนปล่อยแบบในมือทิ้ง พุ่งถลาก้าวขึ้นบันไดอย่างว่องไว
ร่างอังศุมาลินหัวทิ่มลงมา
โกโบริที่พยายามจะเข้าไปรับให้เร็วที่สุด แต่ก็เข้าไปถึงตัวอังศุมาลินเมื่อร่างพุ่งลงมาถึงขั้นบันไดด้านล่างแล้ว
โกโบริรีบเอาตัวไปรองรับตัวอังศุมาลินไว้ ให้ตัวของตัวเองเป็นฝ่ายล้มกระแทกลง และอังศุมาลินตกลงมาบนตัวเขาอีกที
“ฮิเดโกะ..ฮิเดโกะ”
แม่อรมายืนหน้าซีดตะลึงอยู่หน้าประตูเรือน ยายศรโผล่พรวดตามมาข้างหลังมองลงไป ร้องเสียงหลง
“อะไรกัน..ว้าย ยายอัง”
แม่อรพึมพำเบาๆ หมดเรี่ยวแรง “ยายอัง”
แม่อรช็อคคาที่
“ฮิเดโกะ..ทำไม ทำไม”
โกโบริกวาดตามองทั่วร่างอังศุมาลินที่แน่นิ่งไป ว่ามีส่วนใดเป็นอะไรบ้าง
อังศุมาลินค่อยๆ ลืมตามองมาเพียงริบหรี่ และเห็นโกโบริก้มลงมองมา
“คุณก็รู้...ว่า ทำไม…” อังศุมาลินเจ็บปวดไปหมดทั้งกาย พูดกระท่อนกระแท่น
อังศุมาลินเห็นหน้าโกโบริตรงหน้าค่อยๆ มืดลง
โกโบริสะอึกสะอื้น ก่อนจะเรียกเสียงหลง
“ฮิเดโกะ..ฮิเดโกะ”
ร่างของอังศุมาลินถูกนำมานอนลงบนฟูกในห้องนอนแล้ว ใบหน้าอังศุมาลินอยู่บนหมอน หลับตา สีหน้าเจ็บปวด มีแสงเจิดจ้ามาจับ สลับกับความมืดมิด
เสียงอังศุมาลินร้องคราง “เจ็บ..เจ็บ...”
เนื้อตัวอังศุมาลินที่มีแสงสว่างส่องลงมาเฉพาะตัว ขดตัวงอ เอามือจับท้อง
“เจ็บ...”
ที่แท้มืออังศุมาลิน จับอยู่บนท้องตัวเอง
ทันใดนั้น ที่ใบหน้าของอังศุมาลิน มีแสงจ้าสาดเข้าเต็มหน้า อังศุมาลินลืมตาพรึ่บขึ้นมา
ห้องนอนทั้งห้องว่างเปล่า ในสายตาอุงศุมาลินเห็นมุมภาพแปลกๆ เอียงๆ แสงหลอนๆ มีเสียงคนร้องไห้สะอึกสะอื้น
อังศุมาลินไม่เห็นอะไร มองไปรอบๆ เสียงร้องไห้ ฮือๆๆๆๆ ยังดังอยู่
แสงสาดเข้าที่หน้าอังศุมาลินเต็มๆ สว่างจ้า แล้วมืดลงในพริบตา
อังศุมาลินถาม “ใคร..ใครร้องไห้” พลางยื่นมือออกไป
ที่แท้มืออังศุมาลินอยู่ในมือของแม่อร แต่อังศุมาลินหมดสติ แน่นิ่งอยู่
แม่อรจับมือไว้ ร้องไห้ ยายศรก็ร้องอยู่ด้านหนึ่ง
“ยัยอัง..ยัยอัง...ฮือๆๆ”
“ยัยอัง..ยัยอัง...ลูก…” แม่อรพยายามเรียก
อังศุมาลินแน่นิ่ง ไม่ไหวติง
แม่อรใจจะขาด “อัง..อังลูกลูกเจ็บตรงไหนบ้าง...อัง ได้ยินแม่มั้ย”
อังศุมาลิน หลับใหลลืมตื่น เกิดภาพหลอน เห็นอังศุมาลินลืมตา มองหา ยินเสียงร้องฮือๆๆ ดัง
อังศุมาลินร้องถามออก “ใคร...ใครร้องไห้...”
พออังศุมาลินมองหาเสียงร้องไห้ที่ดัง ก็หายไป ทันใดนั้นมีแสงสว่างวาบเข้าที่หน้าอังศุมาลินเจิดจ้าวาบ แล้วกลับมืดสนิท
อังศุมาลินยังคงหลับสนิท
โกโบรินั่งจับมือจ้องหน้าอังศุมาลิน ที่ซีด แน่นิ่ง โกโบริเต็มไปด้วยความหวัง อ้อนวอน ขอร้อง
“ฮิเดโกะ..ตื่นสิ ฮิเดโกะ..ฮิเดโกะๆๆ” โกโบริพยายามเขย่ามือให้ตื่น แต่ไม่แรงมาก ทะนุถนอม
ทว่าอังศุมาลิน หลับไม่รู้เรื่อง
อังศุมาลินที่ยังคงหลับใหล เกิดภาพหลอนอีกระลอก แลเห็นอังศุมาลิน เคลื่อนตัวไกลออกไปในแสงสว่างอยู่ท่ามกลางความมืด ตัวของอังศุมาลินยิ่งห่างไกลออกไปๆ
“ฮิเดโกะ...ฮิเดโกะ...” เสียงโกโบริดังเข้ามาอีก
ทันใดนั้น ใบหน้าอังศุมาลินลืมตาขึ้น มองหาเสียงนั้น
ใบหน้าอังศุมาลินโดนแสงส่องจ้าสาดใส่จนต้องหยีตา
“ฮิเดโกะๆ” เสียงโกโบริดังเข้ามาอีก
อังศุมาลินได้ยิน ยืนมือออกมา
“ใคร...ใครเรียก...ใคร”
อังศุมาลินมองหา แล้วเบิกตากว้าง เห็นเป็นใบหน้าโกโบริที่ก้มลงมาใกล้มาก ใบหน้านั้นแสนเศร้ามาก น้ำตาไหลนองหน้า
“ฮิเดโกะๆ ได้โปรด ฟื้นเถอะ ฮิเดโกะ!”
เสียงโกโบริร้องเรียกขึ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่ ทุกอย่างในหัวอังศุมาลินก็ดับมืดไป
คู่กรรม ตอนที่ 21 (ต่อ)
แสงอาทิตย์ยามรุ่งสาง โผล่พ้นขอบฟ้าไกลลิบตา อังศุมาลินเปลี่ยนชุดเป็นชุดที่จะนอนได้สบายๆ นอนนิ่งอยู่บนฟูกเล็กเฉพาะตัวในห้องนอน ก่อนค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาช้าๆ กวาดตามองรอบ เห็นโกโบริในชุดยูกาตะ นั่งกอดอกหลับนิ่งพิงฝาอยู่ข้างๆ สีหน้าอ่อนเพลีย ปนริ้วรอยของความทุกข์กังวลแฝงอยู่
อังศุมาลินกระพริบตาถี่ พยายามปรับโฟกัส เห็นโกโบริที่นั่งนิ่งพิงฝา หลับสนิท แลดูน่าสงสาร
อังศุมาลินพยายามจะลุก แต่แค่ชันคอขึ้นมา ก็หมดแรง ทิ้งตัวลงตามเดิม แต่อังศุมาลินยังพยายามยกตัวขึ้นอีก จะขยับแขน แต่ก็ทำไม่ได้ กระปลกกระเปลี้ยมากๆ
อังศุมาลินยังไม่รู้ตัวว่า ถูกผูกไว้กับที่นอนเพื่อไม่ให้ขยับเขยื้อน มีผ้ารัดไว้ใต้อกและต้นแขน ต้นขา เท้าทั้งสอง
อังศุมาลินนึกได้ เอามือจับที่ท้อง จึงพบผ้าที่ผูกตรงใต้อก ท้องของอังศุมาลินแบนราบ
“ลูก...”
อังศุมาลินนึกได้ ผงะ ช็อคตัวเอง
“ลูก...ไม่มีลูกอีกแล้ว...”
น้ำตาอังศุมาลินปะทุ สะอื้นแรงๆ
“ฮือๆๆ...ไม่มีอีกแล้ว เราฆ่าเอง...เราเอง”
อังศุมาลินสะอื้น หมดหวัง
โกโบริก็รู้สึกตัวตื่นขึ้น สีหน้ายินดี
“คุณฟื้นแล้ว..เป็นยังไงมั่ง เจ็บมากไหม”
อังศุมาลินยิ่งสะอื้นถี่ขึ้น
“เจ็บที่ไหนหรือ...”
โกโบริก้มลงเข้ามามองใกล้ๆ แววตาเต็มไปด้วยอาทรห่วงใย อังศุมาลินยิ่งรู้สึกผิด พยายามกลั้นความรู้สึกที่เอ่อท้น กัดริมฝีปากแน่น
ทว่าโกโบริกลับตีความไปในทางลบ แววตาท้อแท้
“ไม่เป็นไร ถ้าคุณไม่อยากบอกผม ผมจะออกไปบอกคุณแม่คุณให้ ท่านเพิ่งจะออกไปเมื่อครู่เอง”
โกโบริรีบลุกขึ้น รีบออกไปที่ประตู อังศุมาลินหลับตาลงกล้ำกลืน
“ไม่มีอะไรอีกแล้ว...ไม่มีเหลืออีกแล้ว”
อังศุมาลินน้ำตานองหน้า
แม่อร ยายศร กำลังนั่งคุยอยู่ตรงยกพื้นชานเรือน ต่างตนต่างกังวลกันไปมา โกโบริเดินออกมา
“คุณแม่ครับ คุณยาย”
แม่และยายหันมา
“ฟื้นแล้วครับ...เข้าไปดูหน่อยครับ ผมจะรีบไป”
ยายถามเร็ว “ไปไหน”
“ไปที่อู่ครับ”
โกโบริรีบก้าวลงบันไดไป แล้วเปลี่ยนเป็นวิ่ง ตั้งใจไปตามหมอทาเคดะ
ยายศร กับแม่อร งงๆ แล้วรีบวิ่งเข้าไปที่ห้อง
ไม่นานต่อมาแม่อรนั่งเช็ดน้ำตาให้อังศุมาลินที่นอนนิ่ง มองมายังแม่และยายนิ่ง
“ยายอัง..ขอบคุณคุณพระคุณเจ้า”
ยายศรจับนวดขาอังศุมาลินเบาๆ ไปมา สองคนสลับกันถาม
“แม่นี่แทบจะขาดใจตรงนั้นเลยลูกเอ๊ย”
“หนูรู้ว่าเป็นลมเป็นแล้งบ่อยๆ ทำไมไปยืนให้ตกลงไปอย่างนั้น”
“หนูนอนเงียบไปตั้งวันกับคืน รู้ไหม” แม่อรบอก
อังศุมาลินตกใจนิดๆ “นานขนาดนั้นเชียวหรือคะ”
“นานไม่นาน ก็ทำให้คนทั้งบ้านนี่ถึงกับคลั่งเชียวล่ะลูก”
“พ่อดอกมะลิน่ะไม่ได้นอนเลย ไหนหมอที่เวียนเทียวไปมาอีกสามสี่รอบก็แล้ว หนูก็ยังนอนเฉย” ยายศรเล่า
“พ่อดอกมะลิก็คอยเรียกหนูเรื่อย กลัวหนูจะตาย เรียกที...หนูก็ขานออกมาทีแล้วก็เงียบ” แม่ว่า
อังศุมาลินยิ่งฟังยิ่งสะท้อนใจ เจ็บแปลบปลาบ นึกไปถึงตอนที่เห็นภาพตอนหลอน
“ฮิเดโกะ...ฮิเดโกะ...” เสียงโกโบริดังเข้ามาอีก
ทันใดนั้น ใบหน้าอังศุมาลินลืมตาขึ้น มองหาเสียงนั้น ใบหน้าอังศุมาลินโดนแสงส่องจ้าสาดใส่จนต้องหยีตา
“ฮิเดโกะๆ” เสียงโกโบริดังเข้ามาอีก
อังศุมาลินได้ยิน ยื่นมือออกมา
“ใคร...ใครเรียก...ใคร”
อังศุมาลินมองหา แล้วเบิกตากว้าง เห็นเป็นใบหน้าโกโบริที่ก้มลงมาใกล้มาก ใบหน้านั้นแสนเศร้ามาก น้ำตาไหลนองหน้า
“ฮิเดโกะๆ ได้โปรด ฟื้นเถอะ ฮิเดโกะ!”
เสียงโกโบริร้องเรียกขึ้นอีกครั้ง พร้อมๆ กับที่ ทุกอย่างในหัวอังศุมาลินก็ดับมืดไป
นึกแล้ว อังศุมาลินถึงกับอึ้งไปสักพัก ทำใจ ยอมรับความจริง ตัดสินใจถาม
“แล้ว...ลูกหนูละคะ ลูกของหนู”
แม่อรอึกอัก หน้าซีดลงเล็กน้อย หันไปมองหน้ายาย
อังศุมาลินมองสองคนเห็นอาการ ยิ่งแน่ใจ “ทำไมคะ แก..แกไม่อยู่กับเราแล้วหรือคะแม่...” อังศุมาลินเสียงหลง
แม่อรรีบจับมือ เขย่าๆ ให้ได้สติ “ยัง ยัง..ไม่ถึงกับ..อย่างนั้นหรอกลูก”
อังศุมาลินพอมีความหวังขึ้นมาวูบหนึ่ง
“อะไรนะคะ”
อารามดีใจ อังศุมาลินผงกศีรษะขึ้นมาอย่างลืมตัวทันที
“อย่า..อย่าเพิ่งขยับสิลูก หมอเขาบอกให้หนูนอนนิ่งๆ ไว้”
“คือตอนที่หนูตกลงไป หนูเอาหัวลง แล้วดีที่พ่อดอกมะลิรับไว้ทันก่อนไปกระแทกพื้นข้างล่าง นี่หมอเขามาตรึงหนูไว้กับที่ก่อน ไม่ให้ขยับเขยื้อน หมอเขาก็ว่ายังไม่แน่ใจเสียทีเดียว แต่เขาว่าก็พยายามสุดฤทธิ์แล้ว จะได้ผลแค่ไหนต้องรอดูอีกหน่อย”
อังศุมาลินสีหน้าคลายกังวลลงไปประมาณหนึ่ง
เวลาต่อมา ยินเสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันไดโครมๆ ขึ้นมา ตามด้วยเสียงพูดคุยคุ้นหู
“เอ้า..ประตูเปิดไว้รอเราเลยเห็นมั้ย”
“สงสัยจะรู้ว่าคนดังจะมา”
ที่แท้เป็นตาบัว กะตาผล โผล่หน้ามาที่หน้าประตูเรือน สีหน้างงเล็กน้อย ก่อนกวาดตามองหารอบๆ ร้องเรียกพร้อมกัน
“แม่อร แม่อัง”
ไม่นานหลังจากนั้นข้าวต้มร้อนๆ ควันฉุยในชาม ยกมาวางพร้อมด้วยน้ำเย็นหนึ่งแก้ว แม่อรคนข้าวต้มไปมา
เสียงตาบัวดังขึ้น
“ก็ไอ้บัวเคยบอกแล้วมั้ยล่ะ ว่าไอ้กะไดบ้านนี้มันชันยิ่งกว่าอะไร ไม่ใครก้ะใครได้กลิ้งโคโล่กันลงไปบ้างล่ะ แต่ก็ไม่ทันคิดว่าจะเป็นเจ้าของบ้านที่โครมลงไปเสียเอง”
ตาบัวกะตาผล นั่งเอ้เต้อยู่ข้างประตูห้องนอนของอังศุมาลิน
อังศุมาลินที่นอนฟังอยู่ มีทีท่าร้อนใจ เหลือบมองไปทางประตูไปมา แม่อรสังเกตเห็นรีบบอก
“พ่อดอกมะลิเขาไปอู่แล้วละลูก”
อังศุมาลินหน้าถอดสี ใจเสียขึ้นมาทันที รู้สึกว่าเขาไม่ใยดีเสียแล้ว เงียบงันอึ้งไป แต่ตาผลดีใจ กลับดี๊ด๊าขึ้นมา
“เอ๊อ..ค่อยยังชั่วหน่อย..จะได้พูดเรื่องนี้...” ตาผลลดเสียงลง “ได้เรื่องแล้วละแม่อัง”
“คราวนี้ แน่ซะยิ่งกว่าแช่แป้ง”
อังศุมาลินมองสองคนนิ่ง
“พ่อวนัสเขาโดนจับไปจริงๆ ด้วยแหละ” ตาผลบอก
“โดนขังอยู่สันติบาลเนี่ยแม่อัง” ตาบัวว่า
แม่อรยกตักข้าวต้มขึ้นมาเป่าให้เย็นลง
“เห็นว่าเข้าโรงพยาบาลเชียวหรือ”
“ไม่เป็นอะไรมาก แขนซ้ายเดาะหน่อยเดียว” ตาผลบอก
“ตอนสอบ โดนเขาทำอะไรหรือเปล่า” แม่อรตั้งข้อสังเกต
“ตามข่าวก็เห็นว่าไม่มีอะไร นอกจากเรียกไปซักถาม แต่ก็ไม่ได้เรื่องอะไร” ตาผลว่าอีก
“แล้วที่แขนเดาะนั่นไปโดนอะไรเข้า”
แม่อรถาม ซึ่งอังศุมาลินจ้องรอฟังเขม็ง
“เขาว่าพวกนั้นลงมากันผิดที่ ภูมิประเทศไม่ดี คงไปกระแทกโดนอะไรเข้ามั้ง เห็นเจ็บกันแทบทุกคน” ตาผลว่า
“แล้วพวกที่สอบ ไม่ได้ทำอะไรเลยหรือ” อังศุมาลินโพล่งถาม
ตาผลหน้าเหลอหลา โดนซักเป็นชุด
“แหม ใครจะไปทำอะไรเขาได้ พวกที่สอบมีทั้งไทยทั้งยุ่น ของเราก็รู้ๆ กัน”
“ใช่ วันก่อนเห็นว่ายังไปนั่งไปกินข้าวกับพวกสันติบาลกันให้ร่ำ” ตาบัวว่า
อังศุมาลินหน้าซีดลงๆ เต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ที่คิดไปเองทั้งหมด จนตัดสินใจทำเรื่องร้ายแรง
ทางด้านโกโบริในชุดเสื้อยูกาตะ กึ่งเดินกึ่งวิ่งตัวปลิวลิ่วมาในอู่ต่อเรือ ผ่านทหารตามจุดต่างๆ มากมาย ที่หยุดทำความเคารพกันแทบไม่ทัน
โกโบริเดินพรวดเข้ามาในเต็นท์พยาบาล เห็นหมอทาเคดะกำลังเก็บเครื่องไม้เครื่องมือ โกโบริเรียกเสียงดังลั่น
“หมอ”
หมอทาเคดะตกใจ แทบจะเผลอปล่อยเครื่องมือตก โกโบริโผนเข้าคว้าแขนดึงมือหมับ หมอหันมา
“อา...เป็นไง”
โกโบริบอกเสียงเข้ม “ฟื้นแล้ว...”
หมอทาเคดะพยักหน้า “ได้ๆ ไป”
ขณะเดียวกัน แม่อรยื่นข้าวต้มในช้อนจ่อปากอังศุมาลินที่เหม่อลอย ได้แต่สั่นหน้าไปมาแววตาขมขื่นอย่างที่สุด
“อ้าว...ทำไมละลูก ทานซะหน่อยซิจ๊ะ...ข้าวกำลังอุ่นๆ กินเสียหน่อยคำสองคำก็ยังดี”
อังศุมาลินพลันทิ้งหัวลงบนหมอนนอนหลับตาลงสนิท สีหน้าที่ทุกคนเห็นกลับยิ่งซีดลง
ตาบัวฝอยต่อ “ตอนนี้นะ เขาว่าสัมพันธมิตรกะลังได้เปรียบ”
ตาผลเสริม “ใช่ แล้วพะม่ากะสิงกะโปก็กำลังจะแย่”
แม่อรตกใจ
“อะไร้ จริงเหรอ ก็แถวนั้นญี่ปุ่นมันยึดไว้หมดนี่นา”
“ก็นั่นละ โฉมหน้าสงครามกำลังจะเปลี่ยนแล้ว” ตาผลภูมิใจ
อังศุมาลินหลับตาเฉยนิ่งไม่สนใจที่สองเกลอฝอย
“ไอ้ยุ่นก็เลยเสริมกำลังเข้าพม่ายกใหญ่ นี่ที่เขาว่าๆ มา เห็นว่ามันส่งทหารเข้าไปแทบทุกวัน ทีละหลายๆ ร้อยตู้” ตาบัวบอกอีก
แม่อรยิ่งวิตก ห่วงลูกเขยเพราะโกโบริเพิ่งบอกจะไปพม่า
“พ่อดอกมะลิก็กำลังจะถูกส่งไปด้วยเหมือนกัน”
สองเกลอตาเหลือก ร้อง “ฮ้า จริงเร้อ”
“ขืนไปก็เสร็จมัน ทางโน้นรบกันโครมๆ” ตาผลพลอยตกใจ
ตาบัวก็ด้วย “จะไปทำไม๊ อยู่นี่ดีๆ บ้านเรานี่ละค่อยยังชั่วที่สุดแล้ว”
ตาผลดันพาซื่อถามแทงใจดำ “เขาส่งนายช่างแกไป หรือแกขอย้ายไปเองละ”
อังศุมาลินแทบไม่อยากฟังต่อ กัดริมฝีปากแน่นหันหน้าหนี
ด้านหมอทาเคดะก้าวเท้าขึ้นบันไดมา ก่อนหันไปมองที่ท่าน้ำ โกโบริที่อยู่บนเรือเร็วมองขึ้นมา ก่อนแล่นเรือออกไป โดยจะข้ามฟากไปยังกองบัญชาการที่ถนนสาธร
หมอทาเคดะก้าวต่อเข้าไปภายในบริเวณตัวเรือนในเวลาไม่นาน
ครู่หนึ่ง หมอทาเคดะเยี่ยมหน้าโผล่เข้าประตูห้องมายิ้มทักทาย
“สวัสดีครับ”
“นั่นหมอมาพอดี” ยายศรหันไปเห็นก่อนใคร
แม่อรรีบขยับตัวเลี่ยงทางให้ ตาบัว ตาผล รีบหลบตาม ไปชิดริมผนังฝั่งหนึ่ง
“เป็นยังไง ฟื้นแล้ว”
หมอทาเคดะถามขณะตรงมานั่งลงข้างๆ อังศุมาลิน ที่ฝืนยิ้มตอบแบบแกนๆ มาให้
“ตอนนี้คุณควรนอนนิ่งๆ ให้มาก ผมกลัวจะดิ้นไม่รู้ตัว เลยต้องมัดไว้ก่อน”
ว่าพลางหมอทาเคดะทยอยปลดผ้าที่รัดตรึงตัวอังศุมาลินไว้ออก ตาบัว ตาผล เริ่มกระสับกระส่ายไปมา
หมอทาเคดะเอ่ยถามอาการ “ปวดตรงไหนบ้างไหม ที่แขน ที่ขา ที่ท้อง”
หมอทาเคดะใช้หูฟังและมือจับๆ แตะๆ ถาม อังศุมาลินส่ายหัวตอบ สักครู่หมอจึงถอดหูฟังออก
“เป็นยังไงบ้างคะ” แม่อรร้อนใจรีบถาม
หมอทาเคดะยิ้มๆ “น่าจะสบายใจได้ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์แล้วครับ”
ยายศรฟังแล้วโล่งขึ้นมาหน่อย “เฮ้อ ค่อยยังชั่วเสียที”
“ผมจะฉีดยาให้อีก แต่คุณต้องนอนพักนิ่งๆ แล้วทานยาตามที่สั่ง ผมรับรองว่าจะไม่เป็นอะไร ถ้าไม่มีสาเหตุอื่นเข้ามาแทรก”
หมอทาเคดะรื้อเอาขวดยา เข็มฉีดยา ออกมาวางเรียง
“โกโบริมาส่งผม เห็นเขาว่าจะไปกองบัญชาการ ไปรับคำสั่ง ไม่รู้ว่าใช่เรื่องที่เขาขอไปพม่า อย่างที่พวกเราหลายคนพูดกันหรือเปล่า”
อังศุมาลินนิ่งเงียบ
“อ้าว ไหนว่าเป็นคำสั่งย้ายไงคะ” แม่อรตกใจ รีบถามท้วง
“อย่างโกโบริควรอยู่ฝ่ายเสนาธิการ มากกว่าที่จะออกไปรบ ถ้าเขาไม่พยายามจะขอไปเอง ทางนี้ก็คงไม่ส่งไป เพราะงานที่นี่มันสำคัญกว่ามาก”
หมอทาเคดะบรรจงแทงเข็มลงไป อังศุมาลินกลับไม่สะดุ้งสะเทือน เป็นตาบัว กะตาผล ที่แขยงหวาดเสียวไม่กล้ามอง
“ผมรู้จักเขามานาน เขาเป็นคนหนุ่มที่มีอนาคตสดใส”
หมอทาเคดะบอก ขณะเก็บอุปกรณ์กลับลงกระเป๋า
“ผมจะกลับก่อน แล้วเย็นๆ จะแวะมาอีก”
หมอทาเคดะเหลียวมองไปทาง สองเกลอที่สะดุ้งโหย่ง รีบพนมมือหงึกๆ ยิ้มแหย
“สะ..หวัดดีหมอ” ตาบัวยิ้มปูเลี่ยนๆ
หมอทาเคดะยิ้ม ผงกศีรษะรับ “เป็นไงบ้าง”
ตาผลยิ้มแหะๆ “ก็งั้นๆ...แหะๆ”
เวลาเดียวกัน ที่กองตำรวจสันติบาล ในพระนคร
วนัสใส่เฝือกแขน นั่งพิงเสาอยู่ที่ริมระเบียงหน้าห้องเหม่อมองทอดสายตานิ่งซึมออกไปไกล มีตำรวจยืนเฝ้ารักษาการณ์ 2 คน วนัสที่มีสีหน้าครุ่นคิดเหมือนจะเลือกตัดสินใจอย่างไรอย่างหนึ่งอยู่แล้ว จนคิดได้ พลางถอนใจลุกขึ้นพรวด จะเดินไปหน้าอาคาร ตำรวจที่ยืนคุมอยู่รีบก้าวมาขวาง
“จะไปไหน”
วนัสเหลียวมองแต่ไม่ตอบ จะเดินไป
ตำรวจขยับขวาง
“คุณไม่ได้รับอนุญาตให้ไปเกินบริเวณนี้”
วนัสมีสีหน้าอึดอัด
ในที่สุดวนัสกลับเข้าห้องคุมตัว ทิ้งตัวนั่งลงบนเตียงเขียนจดหมาย
“อังศุมาลิน...เขาไม่รู้จะเริ่มเขียนจดหมายฉบับนี้ยังไง แต่อย่างแรกก็คือเขาดีใจมากที่ได้มีชีวิตกลับมาถึงแผ่นดินเกิดได้เสียที...ซึ่งถ้าเค้าเดาไม่ผิด ตัวต้องรู้แล้วแน่เลย อย่างที่สอง ถ้าตัวยังจำได้ที่เค้าบอกตัวไว้ว่า...”
วนัสสะดุดกึก อัดอั้น พยายามกล้ำกลืนแข็งใจเขียนต่อ
“อีกห้าปีเค้า...จะมาทวงสัญญา ไม่รู้ตัวจะยังจำมันได้แค่ไหน แต่นี่มันไวกว่าที่บอกไว้ไปเกือบปี ซึ่งเค้าเองต้องควรดีใจที่ได้มาเร็วกว่าที่ตั้งไว้ หรือที่จริง..เค้าควรมาให้เร็วกว่านี้อีกสักนิด เพราะแม้ไม่ได้มาใช้สิทธิ์ทวงสัญญาที่เป็นโมฆะไปแล้วนั้นก็ตาม แต่อย่างน้อยเค้าก็น่าจะได้มาเห็นตัวในชุดเจ้าสาว ได้ยินดีกับตัว ที่เขียนมานี่ เค้าก็แค่อยากเขียนมาแสดงความยินดีด้วยใจจริงกับตัว เพราะว่าเค้าไม่จำเป็น” วนัสเขียนแล้วขีดฆ่าตรงคำว่า ไม่จำเป็น แล้วเขียนต่อ “ไม่มีสิทธิ์ไปหาตัว…”
วนัสหยุดเขียนนิ่งไป สีหน้าคิดวนไปมา จะเขียนต่อไปดีไม่ดี ปากกาจดๆ จ้องอยู่ที่ท้ายประโยค จนตัดสินใจขีดฆ่าข้อความทั้งหมดทิ้งทันที วางปากกาลงก่อนฉีกจดหมายทิ้ง
อีกด้านหนึ่ง เห็นท่านชายวิชญากับอรุณแอบดูอยู่ สองคนสบตากัน ต่างทอดถอนใจ
ทางด้านหมอทาเคดะลุกขึ้น บอกลา
“ผมไปก่อนล่ะ”
อังศุมาลินเรียกไว้ เสียงจริงจัง “หมอคะ”
หมอทาเคดะหันมามองยิ้มตอบ
อังศุมาลินสงบลงแล้ว “ถ้าหมอพบโกโบริ บอกให้เขาแวะมานี่หน่อย”
หมอทาเคดะไม่รู้เรื่องลึกๆ ยิ้มประหลาดใจ ก่อนยิ้มอย่างล้อเลียน “โกโบริซังคงไปไหนไม่นานหรอก เดี๋ยวเขาก็กลับมาอยู่ดีเขาห่วงคุณมากอังศุมาลินซัง”
อังศุมาลินบอกด้วยสุ้มเสียงอ่อนโยน แต่จริงจัง “กรุณาบอกเขาด้วยเถอะค่ะ”
“ผมว่า พอเขากลับมาจากกองบัญชาการ ก็คงรีบตรงมาบ้าน ผมจะไม่ได้เจอเขาก่อนคุณนะสิ..แต่เอาเถอะ หากเขาแวะไปหาผมก่อน ผมจะบอกให้ คุณรู้ไหม พอโกโบริรู้ว่ามีลูก เขาเที่ยวป่าวประกาศอวดคนทั้งกองทัพ ว่าเขาจะมีลูกชาย ขนาดผมเป็นหมอแท้ๆ ยังไม่รู้เลยว่าเด็กจะเป็นผู้หญิงหรือชาย”
ทุกคนอดหัวเราะ อดยิ้ม ไม่ได้ อังศุมาลินกลับนิ่ง หน้าซีดลงไปอีก
หมอทาเคดะยิ้ม โค้งให้ แล้วเดินออกไป มีแม่อรตามไปส่ง อังศุมาลินขยับมือมาจับที่ท้องเบาๆ
สองเกลอถอนหายใจพรวด
“โอย โล่งไปที เห็นหน้าแกแล้วไม่สบายใจ”
ตาบัวแขวะ “ก็เอ็งไปเล่นแกไว้นี่”
“เฮ้ย ใครว่า เอ็งก็ด้วยไอ้บัว ยังจะเอามาพูด” ตาผลฉุน
“งั้นกลับกันเถอะ..แม่อังมีอะไรจะสั่งถึงพ่อวนัสบ้างมั้ยละ”
คำถามของตาบัว ทำเอาอังศุมาลินถึงกับอึ้ง
แม่อรกลับมาได้ยินพอดี “แล้วจะเข้าไปพบเขาได้ยังไงล่ะ”
ตาผลทำตัวเชิดๆ ภูมิใจปนกร่างๆ “ก็ยังไม่แน่หรอก แต่ก็อาจจะพอติดต่อได้เร็วๆ นี้...ไปไอ้บัว เรายังต้องมีราชการกันอีก”
ตาบัวไม่รับมุก “ราชการอะไรวะ”
ตาผลฉุน “ปั้ดนี่ ฟามลับซิโว้ย ฟามลับ เอ็งมันจิ๋มสอง ต้องตามก้นข้านี่ ไป”
สองเกลอกลับออกไป แม่อรกับยายศรส่ายหัวไปมาระอาเหลือ ส่วนอังศุมาลินถอนใจนิ่ง
ขณะเดียวกัน จดหมายซึ่งมีตราประทับในราชการกองทัพญี่ปุ่น นากามูระยื่นส่งให้ โกโบริรับไว้ ยืนถือจดหมายไว้ในมือ ฮิชิดะยืนอยู่มุมหนึ่ง
“ผลการขอย้ายที่ประจำการ ด่วนมาก เห็นว่ามีผลสิ้นเดือนนี้ แต่ทางพม่ารู้แล้วว่าคุณจะไปทันทีเมื่อจัดการเรื่องทางนี้เสร็จ” แม่ทัพใหญ่นากามูระบอก
“ใช่ครับ”
“แล้วเมื่อไหร่”
โกโบรินิ่งไปเล็กน้อย
“ถ้าเครื่องจักรเข้าตามกำหนด สิ้นเดือนหน้าคงติดตั้งเสร็จเรียบร้อยครับ”
“ดี ฮิชิดะจะได้เตรียมตัว”
นากามูระหันมาทางมุมห้อง ฮิชิดะโค้งรับ โกโบริมองนิ่งๆ
ฟากอังศุมาลินนอนมองไปที่โต๊ะทำงาน และขวดโหลเลี้ยงปลาของโกโบริที่วางอยู่บนโต๊ะริมหน้าต่างนั้นอยู่ เหตุการณ์เมื่อวันก่อนผุดขึ้นมาหลอกหลอน
“ฮิเดโกะ...ทำไม ทำไม...”
โกโบริกวาดตามองทั่วร่างอังศุมาลินที่แน่นิ่งไป ว่ามีส่วนใดเป็นอะไรบ้าง
อังศุมาลินค่อยๆ ลืมตามองแต่ริบหรี่เต็มทน เห็นโกโบริก้มลงมองมา
“คุณก็รู้...ว่า ทำไม…”
คิดขึ้นมา อังศุมาลินน้ำตาค่อยๆ ไหลเอ่อออกมา คิดไปถึงอีกเหตุการณ์
ตอนนั้นอังศุมาลินฟังเงียบๆ คิดไปต่างๆ นานา
โกโบริบอกอย่างเย็นชา “แล้วถ้าคุณไม่ต้องการเขา เหมือนที่ไม่ต้องการผม..ผมจะส่งเขาไปญี่ปุ่น ตอนนี้ผมเขียนจดหมายไปบอกพ่อกับแม่ไว้แล้วว่าจะได้หลาน”
อังศุมาลินฟังแล้วโกรธมากขึ้น
คิดถึงตรงนี้ อังศุมาลินค่อยๆ หลับตาลง จนน้ำตาที่คลอหน่วยอยู่นั้นหยดไหลลงออกมา
นึกถึงตอนโกโบริบอก “ผมจะต้องย้ายไปพม่า” เวลานั้นอังศุมาลินใจหวิวขึ้นมาไม่รู้ตัว
อังศุมาลินคิดไปคิดมา จนค่อยๆ ง่วง เหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น ประตูห้องนอนถูกเปิดออกเบาๆ อังศุมาลินผวารีบขยับศีรษะเหลียวดู นึกว่าโกโบริ แต่เป็นแม่อรเปิดแง้ม แย้มหน้าเข้ามาดู
“เป็นยังไงบ้างลูก หิวหรือยัง…”
อังศุมาลินมีสีหน้าผิดหวัง ทิ้งศีรษะลงนอนอย่างหมดอาลัย
“ไม่...ยังค่ะ”
อังศุมาลินหลับตาลง
ตกตอนเย็นพระอาทิตย์ลอยต่ำลงเหนือคุ้งน้ำคลอง แสงแดดยามเย็นส่องผ่านพลิ้วม่านเข้ามาในห้อง
อังศุมาลินค่อยๆ ลืมตาขึ้น เห็นหมอโยชิและหมอทาเคดะนั่งยิ้มอยู่ข้างๆ แล้ว มีแม่อรนั่งอยู่อีกฝั่งหมอโยชิแตะมืออังศุมาลินอย่างคุ้นเคย แรงใจนั้นส่งมาถึงจู่ๆ อังศุมาลินพลันมีน้ำตาคลอๆ
“หมอ...”
หมอโยชิแซว “เป็นยังไงคนเก่ง คราวนี้ถึงกับร้องไห้เลยหรือ” พลางยิ้มๆ “หรือว่าจะกลัวโดนฉีดยา”
“ไม่กลัวโดนฉีดยาหรอกค่ะ แต่กลัวหมอจะเอ็ดเอา”
“ก็ว่าจะมาเอ็ดเอาเหมือนกัน ไปทำยังไงถึงล้มกลิ้งลงไปได้”
อังศุมาลินแซวกลับ “นึกว่าหมอจะรู้แต่เรื่องฟันอย่างเดียวเสียอีก”
“เด็กอย่างนี้ละหนา ที่หมออยากเลาะเอาฟันออกให้หมดทั้งปาก”
“ถ้าหมอไม่กลัวโดนกัดนิ้วเหมือนสมัยก่อนก็ลองดูสิ”
หมอโยชินึกขึ้นได้ หัวเราะเสียงดังลั่น “งั้นเป็นอันว่า หมอคงไม่เล่นด้วย ขนาดเด็กๆ ฟันหลอยังกัดนิ้วหมอแทบขาด”
บรรดากาศผ่อนคลาย แม่อรกะหมอทาเคดะยิ้มๆ”
“ตอนนี้ฟันเต็มปากมีหวังนิ้วหมอกุดหมดมือแน่ เอาเถอะ หมอจะอาฆาตไว้ พอถึงรุ่นหลานหมอจะได้จับถอนฟันให้เกลี้ยงแทนแม่”
แม่อรกะหมอทาเคดะปล่อยขำออกมา อังศุมาลินยิ้มๆ
เสียงฝีเท้าโกโบริก้าวเข้าประตูมา อังศุมาลินเหลือบไปเห็น ตาเป็นประกายวาบด้วยความดีใจ
ทุกคนเหลียวหันไปดูตาม โกโบริ รีบโค้งให้หมอโยชิ
“อ้าว มาพอดี...นี่ก็อีกคน น่าจับเอามาถอนฟัน ทำยังไงปล่อยให้ภรรยาตกลงไปได้”
โกโบริก้มหน้า ไม่ขำ ไม่ตอบ แล้วแยกไปนั่ง ห่างออกไป ใกล้ประตูนิ่งๆ อังศุมาลินซีดลงไปถนัดตา
โกโบรินั่งหันข้าง ไม่ยอมมองไปทางอังศุมาลิน ก้มหน้าถามหมอโยชิเสียงเบาๆ
“ดีขึ้นไหม”
หมอโยชินิ่งงันไป พยักหน้านิดๆ ก่อนถาม
“แล้วเห็นว่าจะไปพม่าหรือ”
โกโบริที่ขยับหันหน้าไปหาสองหมอ ถึงกับนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนผงกศีรษะรับนิดๆ
“ทำไม เกิดอะไรขึ้นมา”
“หมอก็ทราบว่าตอนนี้สถานการณ์มันกำลังยุ่งๆ ถ้าผมอยู่แต่ที่นี่ ใครเขาจะคิดว่าผมเป็นหลานแม่ทัพเลยเอาแต่อยู่สบายๆ ผมไม่อยากให้ใครมาว่าได้” โกโบริบอก
“ก็ไม่เห็นว่าใครมาว่าอะไรเลยนี่” หมอโยชิท้วง
“นั่นละ ก็ไม่อยากให้ใครมาว่าเอาเสียก่อน” โกโบริว่า
อังศุมาลินฟังนิ่ง ไม่มองมา
“แล้วทางนี้..จะทำยังไง” หมอโยชิถามต่อ
“ผมหาคนแทนไว้เรียบร้อยแล้ว”
“ไม่ใช่..หมายถึงทางบ้านนี้”
แม่อรคอยฟัง แต่ก้มๆ หน้า
โกโบริเงียบ อึ้งไปครู่ “ก็..ไม่มีอะไร ผมกับฮิเดโกะตกลงกันเรียบร้อยแล้ว ผมไปตามหน้าที่ของผม ฮิเดโกะเขาก็อยู่ทางนี้ไป เรารู้กันอยู่แล้วว่า ยังไงเสียวันนี้ก็ต้องมาถึง”
อังศุมาลินเหลือบเหลียวชำเลืองมอง แววตากระวนกระวายเป็นที่สุด หมอโยชิหันมาสังเกตเห็นพอดี
“งั้นเรากลับเสียทีเถอะหมอ คนไข้ของหมอคงอยากพักเต็มที ต้องฉีดยากันอีกไหม” หมอโยชิเอ่ยขึ้น
“ไม่ต้องแล้วครับ”
“เดี๋ยวซิ ผมไปด้วย” โกโบริขยับตัว
อังศุมาลินใจหล่นวูบ หน้าเสียลงถนัด
“คุณจะไปไหนอีก” หมอโยชิมองหน้า
“เครื่องจักรใหม่เพิ่งมาถึง ผมต้องไปคุมขนมาให้เรียบร้อย นี่ผมว่าจะแวะมาเอาเสื้อซักสองสามตัวเท่านั้น”
อังศุมาลินสีหน้าไม่สู้ดี กลืนน้ำลายยากแสนยาก
หมอโยชิมองอย่างตำหนิ “แต่อังศุมาลิน…”
อังศุมาลินบอกเสียงเย็นเยียบไม่ตรงกับใจ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
โกโบริหันมามองแวบหนึ่งสายตาเยือกเย็นพอกัน ก่อนหัวเราะแค่นๆ เบาๆ
“โถ..หมอ อู่ผมอยู่แค่นี้เองจะเดินไปกลับกี่รอบก็ได้”
โกโบริลุกเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า ค้นหาของที่ต้องการ อังศุมาลินรีบหลับตาลง
พอหมอโยชิ กะหมอทาเคดะลุกยืนขึ้น โกโบริเดินมายืนพร้อมของในมือข้างๆ
“หมอไปละนะอังศุมาลิน หายเร็วๆ หมอจะได้มีโอกาสมาถอนฟันหลานอย่างที่อาฆาตไว้”
หมอทาเคดะบอกยิ้มๆ “ผมไปละ อังซัง แล้วพรุ่งนี้เย็นๆ จะมาใหม่”
อังศุมาลินบอกเสียงเบา “ค่ะ..ลาก่อน”
สีหน้าอังศุมาลินซีดเซียว แววตาละห้อย แม่อรรีบลุกตามจะไปส่ง
“ขอบคุณนะคะคุณหมอ..หมอโยชิ”
ทั้งหมดเดินหายออกจากห้องไป โกโบริออกตามไปเป็นคนสุดท้าย เหลียวมองมาเล็กน้อยก่อนปิดประตูลง
อังศุมาลินไม่ยอมหันมองคนที่หายออกไป ค่อยๆ หลับตาลงอย่างขมขื่น
ยินเสียงนกร้องบินกลับรัง ขณะที่แสงตะวันค่อยๆ ลอยต่ำ บอกลายอดไม้ ฝูงหมู่นกบินหายลับไป เวลานั้นอังศุมาลินเศร้าสร้อยและทรมานเหลือแสน
โปรดติดตาม "คู่กรรม" ตอนที่ 22