อาญารัก ตอนที่ 4
เวลาต่อมา มีเสียงระฆังบอกว่าเป็นเวลาบ่ายโมง ขุนภักดีเดินออกมาจากในโรงพักกับเนียน เอก และตำรวจอีกจำนวนหนึ่ง
“แม้แต่ไอ้เหิมคนถ่อย ได้น้ำใจของเนียนไปใจมันยังอ่อนยวบ ยอมสารภาพโดยง่ายดาย” ขุนภักดีชื่นชมเนียน
“พี่ขุนให้เกียรติเนียนมากไปแล้วค่ะ คุณสนก็มีส่วนทำให้เขาอยากสาบานเพื่อแสดงความจริงใจนะคะ”
เอกมองไปเหิมนั่งอยู่ แลเห็นบางอย่าง “เอ๊ะ นั่นใครเอาอะไรไปให้ไอ้เหิมมันดื่มน่ะขอรับ”
ทุกคนมองไปตามเอก
“ไปห้ามมันไว้ก่อน” ขุนภักดีรีบบอกตำรวจลูกน้อง
ตำรวจเดินมาถึงเหิมแล้ว
“นายเหิม คุณนายเนียนท่านเมตตา เอาน้ำตาลสดมาให้ดื่มดับกระหาย”
เหิมไม่วางใจ “คุณนายเนียนแน่รึ”
“แน่สิ” ตำรวจยืนยันหนักแน่น
“ไม่ใช่คุณนายสนดอกรึ” เหิมถามย้ำ
“ไม่ใช่ดอก ถ้าจะดื่มจะยกป้อนให้ ถ้าไม่กระหายก็ไม่เป็นไร”
“ข้าจะดื่มน้ำใจจากคุณนายเนียน
ตำรวจยกกระบอกน้ำตาลสด ไปจ่อที่ปาก เหิมดื่มอั้กๆ กลืนลงคอไป เพราะกระหายน้ำมาก
ขณะดื่มไปเกือบหมดมีเสียงตะโกนมา
“ช้าก่อน
แต่ไม่ทันแล้ว เหิมดื่มไปเกือบหมด
สนกับช้อยสาสมใจ สองคนยิ้มพยักหน้าให้กัน ที่แผนการลุล่วง
“เก่งมาก อีช้อย”
“เก่งมากคุณสนตะหากเจ้าค่ะ ไอ้เหิมดื่มน้ำตาลสดผสมยาเบื่อหนู เข้าไปเต็มที่ เรากลับกันเถิดเจ้าค่ะ”
“ไม่กลับ คนอย่างคุณสน ใจกล้าชอบดูหน้าศัตรูตอนมันกำลังจะตายไป อีช้อย ไปดูไอ้เหิมหมดลมตรงหน้าเรา”
สนดึงช้อยไป ช้อยตกใจ
“คุณสน”
สนย้ำคำ “ไปสบตามัน ให้มันรู้ว่าเราฆ่าปิดปากมัน ให้มันสำนึกก่อนตายกว่าผลของการบังอาจต่อกรกับคุณนายสนเป็นเช่นไร”
พิษยาเริ่มออกฤทธิ์ เหิมพยายามยกมือที่โดนมัดมาเหมือนจะจับคอ อาการออกหน้าตาบิดเบี้ยว
“โอ๊ย กูโดนวางยา แสบ โอยร้อน”
ขุนภักดี เนียน และเอก รวมทั้งตำรวจพากันไปรุมมอง ชาวบ้านตกใจตื่นเต้นไปตามๆ กัน
“แก้มัดมันเดี๋ยวนี้ เอาน้ำมาให้มันดื่มให้มากที่สุด ไวไว”
ขุนภักดีสั่งเสียงดังลั่น พลางปราดไปหาเหิม ประคองเอาไว้ ตำรวจมาแก้มัดมือ
“ไอ้เหิมทำใจดีๆ ไว้” ท่านขุนใจคอไม่ดี
เนียนออกอาการตกใจมาก
“ทำไมเป็นเช่นนี้ ไปได้ โธ่ นายเหิม”
สนกับช้อยมาถึงแล้วเช่นกัน ยืนเยื้องอยู่ข้างหลังเนียนไป แต่ก็เห็นชัดเจน เพียงปิดหน้าเอาไว้ มีผู้หญิงชาวบ้านอีกหลายคนที่ปิดหน้าเช่นนั้น เพราะกลัวหน้าดำ
เหิมพยายามจะพูดอีก ใจจะขาดอยู่รอมร่อ “กระผม ผม สาบานไม่ทันแล้ว ท่า..น”
“บอกชื่อคนจ้างเอ็งมา”
เหิมพยายามจะพูด ตากลอกไปทั่วๆ แล้วไปหยุดที่เนียน เหิม ยกมืออันสั่นเทาชี้ไปทางเนียน ทุกคนหันไปมองทางเนียน
โดยไม่รู้ว่าเหิมมองเลยผ่านหลังเนียนไป สบตากับสนจังๆ สนสู้สายตาเหิม สมน้ำหน้า รู้กันเอง
ช้อยโพล่งขึ้นมา “มันชี้คุณนายเนียน”
“เอ็งเอาอะไรมาพูด” ขุนภักดีฉุน
ทุกคนต่างตกใจ แต่ไม่รู้ว่าคนพูดคือช้อย
เหิมพยายามกลั้นใจในเฮือกสุดท้าย “ไม่ ใช่ มัน มัน ข้าง...หล...”
เหิมชี้ให้เลยเนียนไป ขุนภักดีมองตาม สนกับช้อยตกใจ
เหิมอ้าปากจะบอกชื่อ “อี...”
สนรีบกระซิบบอกช้อย “ไอ้คนถ่อย มันชี้เรา รีบไปอีช้อย”
สนกับช้อยรีบทำตัวกลืนหายไปกับผู้คน
“ตามไปควบคุมผู้หญิงที่ไอ้เหิมชี้ข้างหลังคุณเนียน มาสอบสวน” ขุนภักดีสั่งการ
ตำรวจปราดไปล้อมไว้ ทุกคนตกใจยืนนิ่งแต่สนกับช้อยรอดไปก่อน
เหิมขาดใจตาย ตาที่เบิกโพลงยังมองมือตัวเอง และมือค่อยๆ ตกลงมา
สนกับช้อย เดินลิ่ว หลบรอดออกมาตรงมุมหนึ่ง รีบดึงผ้าขาวม้าออกจากหัว ยัดใส่พุ่มไม้ข้างๆ
“สมน้ำหน้า ไอ้เหิม แม้จะตายมึงยังกล้าดีกับกู ไปถ่มน้ำลายใส่หน้ามันครั้งสุดท้ายกันเถิดช้อย” สนยังไม่สะใจ
“คุณสนขาช้อยกลัวท่านขุนจับได้ นั่นตำรวจมาตามหาเราแล้วเจ้าค่ะ รีบไปเจ้าค่ะ”
“ไม่ไปให้เกิดพิรุธ ใครจะไปคิดว่าคนสั่งฆ่าปิดปากไอ้เหิมจะย้อนรอยกลับมาดูหน้ามัน”
สนก้าวเดินออกไปอย่างองอาจ ตำรวจเดินมาที่สองคน ช้อยมือสั่นไปหมด
“คุณนายสนขอรับ”
“มีอะไรรึ” สนทำทีเป็นสนใจ
“ท่านขุนให้มาตามหาผู้หญิงโพกผ้าข้าวม้าสีแดง ที่ไอ้เหิมชี้ไปสอบสวนครับ กระผมเห็นมันมาทางนี้” ตำรวจสอบถาม
สนหัวเราะร่วน
“ข้าก็เห็น เห็นมันวิ่งหลบไปทางโน้น รีบตามไปสิ”
สนชี้ไปทางหนึ่ง ตำรวจขอบคุณสนแล้วตามไปทันที ช้อยเอามือกุมอก
“ใจนิ่งจริงๆ หัวใจช้อยหล่นไปอยู่ที่แม่ตีนแล้วเจ้าค่ะ คุณสน”
“แต่หัวใจข้าพองโตคับอก”
สนบอกแล้วผุดยิ้มเหี้ยมโหดออกมา
ขุนภักดีหัวเสียมากกับการโดนวางยาของเหิมต่อหน้าต่อตา
“ใครสั่งให้เอาน้ำตาลสดมาให้มันกิน”
“ผู้หญิงโพกผ้าขาวม้าที่มันชี้นั่นแหละขอรับ บอกว่า คุณนายเนียนสั่งให้เอามาให้มันดื่ม มันยังถามซ้ำว่าคุณนายเนียนหรือคุณนายสนขอรับ” ตำรวจที่เฝ้าเหิมรายงาน
“นางคนชั่ว” ขุนภักดีโกรธจัด
ช้อยกับสนเดินนวยนาดหน้าแฉล้มแย้มยิ้มเข้ามา แสร้งทำเป็นถาม
“ไอ้เหิม อ้าว ตายซะแล้วรึนั่น โถ ช่างน่าสมเพช มันเป็นอะไรตายเจ้าคะ พี่ขุน”
ท่านขุน หัวเสียมาก “มันโดนวางยาพิษฆ่าปิดปากตาย”
“แหม...สนมัวแต่กลับบ้านตามที่พี่ขุนสั่ง เสียดายนะเจ้าคะ พี่ขุนมันไม่ทันได้สาบาน”
เอกถามขุนภักดีเบาๆ ได้ยินกันเองสองคน “คุณสนเพิ่งมาก็รู้เลยหรือครับ ว่ามันไม่ทันได้สาบาน”
“เนียนจ้ะ กลับบ้านก่อน พี่ต้องจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อย” ขุนภักดีบอกกับเนียน
“กลับกับสนก็ได้เจ้าค่ะ ไปเนียน”
เนียนยืนนิ่ง เอกนึกรู้ “ไปกับกระผมเถิดขอรับ คุณเนียน”
เนียนจึงไปกับเอก สนกับช้อยเดินไปดุเหิมใกล้ๆ ถุยน้ำลายใส่หัว
“ถุย” สนคำรามในคอเบาๆ “ไปนรกซะเถิดไอ้คนถ่อย”
แทนเดินมาเสนอหน้าสะกิดช้อย
“นางช้อย เอ็งกับคุณสน ใส่ซิ่นเหมือนอีสาวที่ไอ้เหิมชี้เลยแหละ”
สองคนสะดุ้ง มองซิ่นตัวเอง
“อยากโดนน้ำลายอีช้อยลอยใส่หน้าไหมไอ้แทน” สนด่า
แทนรีบถอยฉากออกมาเร็วรี่
“ออกไปให้พ้นจากบริเวณนี้ทุกคน” ขุนภักดีสั่งเสียงดัง
ทุกคนจึงออกไป ท่านขุนมองไปที่เหิมพลางส่ายหน้า
“ข้าอโหสิให้เอ็งทั้งหมดไอ้เหิม แต่ข้าไม่อโหสิให้คนจ้างวานเอ็งดอก ตำรวจ ปิดตาให้ไอ้เหิมมันตายตาหลับซะ”
ขุนภักดีครุ่นคิดเรื่องนี้ไม่ตก
หลังจากนั้นไม่นาน คนรับใช้ในบ้านภักดีภูบาลต่างพากันนั่งซุบซิบอึงมี่ กบกับแมวตั้งตัวเป็นหัวโจก
“ชักตาตั้งค้างยังงี้ใช่ไหม นางกบ” แมวสาธยายทำท่าประกอบ “กระแด่วกระแด่ว”
กบท้วง “ไม่ใช่ดอก นอนหงายเอาเท้าชี้ฟ้าตะกุยไปตะกายมาตะหาก”
“อย่างนั้นเอ็งก็ทำให้ดูเป็นตัวอย่างสิ นางคนช่างรู้”
แมวทำท่าจะทำ แต่นึกได้ ตีแขนกบดังเผียะ
“นางกบบ้า จะมาหลอกให้ข้าโป๊ให้ดู”
ทุกคนพากันหัวเราะร่วน ทองจันทร์ชะโงกหน้ามามอง เอ็ดตะโรเอา
“เกาะกันเป็นผึ้ง สุมหัวหัวเราะต่อกระซิกระริกระรี้ เป็นปลากระดี่ได้น้ำกันเข้าไป งานการมีทำไม่แยกย้ายกันไปทำ มีเรื่องอะไรน่าหัวร่อหนักหนา”
“เรื่องไอ้เหิมมันโดนวางยาเบื่อตายเหมือนหมาเจ้าค่ะ” กบรายงาน
“ไฮ้ ใครวางยาเบื่อมัน ก็มันโดนจับเข้าตะรางไปแล้ว”
“ทั้งวางยาเบื่อทั้งโดนจับนั่นแหละเจ้าค่ะ นัยว่าเป็นคนบงการฆ่า วางยาปิดปากมัน ก่อนมันสาบานให้การเปิดโปงกับท่านขุนเจ้าค่ะ” แมวเสริม
“คนมันตาย แล้วมันน่าให้พวกเอ็งมาตั้งวงหัวร่อกันตรงไหน” ทองจันทร์ดุเอา
“ตรงที่มันเป็นไอ้เหิมจอมฉุดคร่าสิเจ้าค่ะ ประวัติมันหนักไปทางฉุดสาวเอาไปทำเมียเจ้าค่ะ” กบบอกอีก
“ตายซะได้ก็ดี รึพวกเอ็งว่า น่าจะโดนมันฉุดซะก่อนค่อยให้มันตาย ห๊ะ ห๊ะ”
ทั้งหมดมองหน้าไม่กล้าหัวเราะ ได้แต่ส่งสียงหึๆ ในลำคอ
ระหว่างนั้น ขุนภักดีเดินหน้าเครียดเข้ามา ทุกคนแตกฮือเหมือนผึ้งแตกรัง
ขุนภักดีกับคุณนายทองจันทร์เดินขึ้นเรือนมาด้วยกัน
“คุณแม่ครับ ผมไม่ชอบใจเหตุร้ายที่เกิดขึ้นนี่เลย มีความรู้สึกเหมือน มันมาเกี่ยวพันกับบ้านเราอย่างบอกไม่ถูก” ขุนภักดีปรารภ
“แม่ก็ทะแม่งๆ บอกไม่ถูกอยู่ดอกนะ จับตาดูคนของเราให้ดี อย่าให้มีเหตุไม่งามเกิดขึ้นที่นี่”
“ผมประหลาดใจ จู่ๆ มีนางผู้หญิงโพกผ้าขาวม้าคลุมหน้าเอาน้ำตาลสดไปปดตำรวจที่เฝ้าอยู่ว่าเนียนฝากไปให้ไอ้เหิมกิน ที่แท้ก็ยาพิษ”
“ผู้หญิงรึ มีผู้หญิงคนไหนที่ริษยาเกลียดชังเนียนบ้าง” ทองจันทร์ว่า
“ผมนึกไม่ออก”
“แม่สนคนนึงละ แต่แม่ไม่คิดว่ามันจะชั่วถึงขั้นนั้น”
“รึว่าเนียนเขาจะมีศัตรูเก่าจากบ้านแพน เช่นคุณนายใจอีกา ที่เอานาไปจำนอง” ขุนภักดีคิดเรื่อยเปื่อย
“วุ๊ย มันได้เงินคืนไปแล้วนี่นา เอาเป็นว่ามีคนปองร้ายเนียน ต้องระวัง” ผู้เป็นแม่สรุป
“ครับ ผมจะระวัง เนียนเล่าครับ”
เรียมออกมาจากห้องพอดี
“เห็นว่าไม่สบาย คงเจอแดดร้อนตอนเที่ยง กับตกใจภาพนายเหิมชักตาตั้งตายตรงหน้า เป็นเรียม เรียมก็ตกใจค่ะ ไม่อยากให้ใครตาย ไม่ว่าจะโจรหรือไม่ เอ้อ...พี่ขุนไปดูเนียนสิคะ” เรียมบอก
“วันนี้ พี่เสียเวลากับเรื่องบ้าๆนี่มานานมากแล้ว พี่ขอไปดูอาการเนียนแล้วจะกลับมาหาเรียมนะจ๊ะ”
“พี่เทพอยู่ดูแลเนียนเถิดค่ะ”
ขุนภักดีเดินตัวปลิวไปทางห้องเนียนก่อนแล้ว ทองจันทร์เอ็ดเอา
“แม่เรียมนี่ละก้อ มีปากเอาไว้พูดดีๆ กับสวดมนต์แท้ๆ อย่างที่ไอ้เอกมันแอบนินทาเอา อย่าได้ไปพูดให้ท่าให้ท้ายแบบนี้ ถ้าเป็นแม่สนทีเดียวมันได้ใจถึงขั้นจับพ่อเทพผูกไว้กับขาเตียงเลยนะ”
เรียมไม่โกรธ ยิ้มขำๆ
“เชื่อสิคะ คุณแม่ เนียนไม่ยอมให้พี่เทพอยู่ด้วยดอกค่ะ”
“อุเหม่...รู้ใจรอมชอมกันดีทั้งพี่ทั้งน้องจริงๆ แม่สนคิดได้หยั่งงี้อีกคนบ้านภักดีภูบาลสงบแน่”
คุณนายทองจันทร์มีความสุขที่สองสะใภ้ปรองดองกันเป็นอย่างดี
ขณะที่เนียนเอนตัวลงบนเตียง รู้สึกเพลียๆ ขุนภักดีเข้ามานั่งแตะหลังมือบนหน้าผาก
“ตัวยังรุมอยู่ กบ เอ็งออกไป ข้าจะดูแลคุณเนียนเอง”
“เจ้าค่ะ แต่...” กบตั้งท่าจะท้วง
“ออกไปสิ” ขุนภักดีไล่
“พี่ขุนขา อย่าทำเช่นนี้สิคะ ไม่ทันข้ามคืนเนียนก็หายแล้ว เนียนเกรงใจคุณเรียมมาก คุณเรียมเธอแสนดี ไม่เคยปริปาก
“เธออนุญาตพี่แล้ว”
“แต่พี่ขุนคือผู้รักษากฎและความยุติธรรม เหตุไฉนจะทำลายลงเองเล่าคะ ได้โปรดเถิดค่ะ..แค่มาดูอาการเรียม ก็เป็นพระคุณมากแล้วค่ะ”
“พี่น้องพูดจาเหมือนกันเปี๊ยบจริงๆ เอาละ พี่ยกธงขาวยอมแพ้”
“ขอบพระคุณค่ะ เอ้อ พี่ขุนแวะไปหาคุณสนเธอบ้างสิคะ”
“เนียนจ๋า คิดถึงตัวเองบ้างสิ อะไร นึกถึงแต่คนอื่น”
“แหม... เอ้อ... พี่ขุนคะ เรื่องนายเหิมเป็นยังไงคะ”
“ตามหาตัวนางคนชั่วนั่นไม่ทันมันหนีรอดไปได้ เหลือไว้แต่ผ้าขาวม้าสองผืน”
กบแอบอุทาน “สองผืนหมายความว่า มีสองคน”
“แน่นอน จะจับมั่วซั่วก็ไม่ได้ ไอ้ผ้าขาวม้าอีหรอบนั้นดาษดื่นเหมือนกันไปหมด”
“จับผ้าขาวม้าใครดมก็ไม่ได้” กบพูดกับตัวเองไม่ได้สอดให้ได้ยิน
“คนชั่วยังลอยนวล เนียนระวังตัวหน่อย มันพยายามใส่ร้ายเนียน พี่ไม่เข้าใจจริงๆ กบเอ็งดูแลคุณเนียนดีๆ ล่ะ”
“เจ้าค่ะ”
กบรู้งานหันตัวไปเพื่อเปิดโอกาสให้ผัวเมีย ขุนภักดีหอมแก้มเนียนแล้วยิ้มกริ่มออกไป
เนียนเขินกลัวกบเห็น กบหันกลับมา
“ไม่รู้ไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเลยเจ้าค่ะ คุณเนียน”
เนียนยิ่งเขินหันหน้าหนียิ้ม
“กบว่าไม่ช้าไม่นานคุณเนียนกับคุณเรียมมีน้องแน่ๆ”
“ไฮ้ เหลวไหลน่ากบ เป็นสาวเป็นแส้อย่ามาทำท่ารู้ดี”
กบหัวเราะเนียนก็ยิ้มมีความสุขไปด้วย
ทางฝั่งสนยังนอนไม่หลับครุ่นคิดเรื่องที่เกิดขึ้น ช้อยนวดมือนวดเท้าให้สน สัปหงกไปด้วย
“ช้อย”
“เจ้าขา”
“ในที่สุด เราก็ลอยนวล”
“ลอยที่คลองไหนเจ้าคะ”
“นางช้อย เอ็งไม่ฟังข้าพูด”
“ฟังเจ้าค่ะ แต่มันเลยสองยามจะล่วงเข้ายามหนึ่งแล้วนี่เจ้าคะ ไอ้เหิมไปนรกแล้ว คุณสนจะมานั่งคิดอะไรอีก”
“ข้าต้องปรับกระบวนท่าในการรบใหม่”
“คุณสนจะออกศึกบางระจันหรือเจ้าคะ”
“อีช้อย อีช้อยๆๆๆ ตื่นๆๆๆๆ”
สนเขย่าตัวช้อยไปมาให้ช้อยตื่น ไม่ได้โมโห
“ตื่นเต็มตาแล้วเจ้าค่ะ คุณสนว่ากระไรเจ้าคะ”
“ข้าจะสร้างสันติสุขในบ้านภักดีภูบาล” สนบอก
“สันติสุขสันติดิบอะไรคะ พูดซ้ำอีกทีสิเจ้าคะ” ช้อยเอามือแคะหูตัวเอง
“ต่อไปนี้บ้านภักดี ภูบาลจะมีแต่ความสุข ข้าจะอดทน ข้าจะเงียบข้าจะรอคอยโอกาสให้พี่ขุนมาหาข้าสักครั้ง แล้วข้าก็จะมีลูกชายรูปงามสืบทอดตระกูลให้พี่ขุน แล้วข้าจะเป็นใหญ่ในภักดี ภูบาล”
สนทำท่าฝันหวาน ช้อยหยุดบีบเท้าเอาหน้าแนบหน้าแข้งสนร่วมฝันหวานด้วยกัน
วันคืนล่วงผ่าน กาลเวลาผ่านไป
ขุนภักดียิ้มแย้มชื่นมื่นอยู่กับเนียนสลับกับเรียม วันหนึ่งขุนภักดีโอบกอดเรียมคลอเคลียกอดเล็กหอมน้อย วันต่อมาท่านขุนจูงมือเนียน เดินเล่นในสวน กอดหอมเนียน ขณะที่สนนั่งหง่าวชะเง้อคอยที่ชานเรือน
ขุนภักดีอยู่ในห้องนอนกับเรียม โอบกอดแล้วโน้มตัวลงบนเตียง แลเห็นนกคู่กันเกาะกิ่งไม้ นอกหน้าต่าง
อีกวันหนึ่งท่านขุนอุ้มเนียนวางลงบนเตียงแล้วก้มลงเชยชมกอดหอม ดอกไม้ในสวนเบ่งบานงดงาม
ส่วนสนอยู่คนเดียวในห้องนอน นั่งกอดเข่ารอบนฟูก และเริ่มคลั่ง ฉีกหมอนที่นอนนุ่นฟุ้งกระจาย
จู่ๆ สนก็เอามือกุมหัวเหมือนเวียนหัว เซไปนั่งอาการกุมหัวสะบัดไปมา ทุกสิ่งรอบตัวสนเหมือนหมุนได้
วันเวลาล่วงเลยไปอีก ทุกชีวิตในบ้านภักดีภูบาลต่างดำเนินไปตามครรลองแห่งตน
อยู่มาวันหนึ่งทั้งหมดกินอาหารว่างด้วยกัน เป็นขนมไทยๆ บรรยากาศสดชื่นเฮฮา
“ฝรั่งเขาต้องกินอาหารว่างตอนบ่ายกัน” ขุนภักดีปรารภ
“วุ๊ย พ่อเทพ ฝรั่งฝะเหริ่งอะไรกัน คนไทยเรากินมาตั้งนานโขแล้ว” ทองจันทร์ท้วง
“ว่าแต่ฝรั่งเขากินอะไรเป็นอาหารว่างคะพี่เทพ” เรียมบอก
“ก็ชาหรือกาแฟกับขนมเช่นบิสกิต หรือคุกกี้ ไพน์”
“ของเราเนียนเขาทำเอง สาคูไส้หมูแม่ชิมแล้วอร่อยจริงๆ”
“อะไร อะไรของเนียนก้อร่อยทั้งนั้น”
มีเสียงแอบหัวเราะที่พยายามกลั้นไว้ของแมวกับกบ ทองจันทร์หันไปมองตาเขียว
“นางปลาหมอ ไปกินกัญชาที่ไหนมา พูดอะไรก็จ้องจะหัวเราะ”
แมวกับกบเงียบกริบ
“เอ้อ พี่ขุนคะ เนียนผ่านเรือนคุณสน เห็นเธอดูซูบๆ หน้าก็เซียวๆ” เนียนว่า
“เนียนเขาจะบอกว่า พี่ขุนควรแวะไปดูแลแม่สนสักหน่อยน่ะค่ะ” เรียมบอก
ขุนภักดียิ้มพยักหน้า
“สนมาระรานหรือล่วงเกินเนียนอีกรึเปล่า”
เนียนส่ายหน้า
“ไม่มีเลยค่ะ เธออยู่ของเธอที่เรือน เนียนผ่านไป เธอก็ทักทายยิ้มแย้ม แต่ดวงตาเธอหมองหม่น” เนียนบอก
“ดูดู๋ กลัวพ่อเทพจะไม่ไป เนียนเลย ออกแรงดันใหญ่” ทองจันทร์สัพยอก
ขุนภักดีพยักหน้ารับรู้
“พรุ่งนี้พี่จะไป”
ส่วนสนหน้าซีดเซียว ร่างกายซูบผอมจริงดังเนียนว่า กำลังทำท่าขย้อนไปมา
“ช้อย ข้า ข้าอยากอาเจียน”
“คุณสนอยากอาเจียน ไฮ้ นี่นี่มันยังไงกันเจ้าคะ” ช้อยตื่นเต้น
“นางช้อย ข้าอยากอาเจียน”
“นั่นปะไร ช้อยสังเกตมาพักแล้วว่าคุณสนทำท่าขยอกขย้อน เหมือนแม่นกขยอกอาหารใส่ปากลูกนก” ช้อยเจื้อยแจ้วไป
“อี...ช้อยกูจะอาเจียน”
ขาดคำ สนก็พ่นอาเจียนใส่หน้าช้อย
“ว๊าย”
สนตวาด
“กูบอกแล้วมึงไม่ฟัง”
“ช้อยขอโทษเจ้าค่ะ...”
ช้อยแทบจะร้องไห้ สนฟุบหน้าหมอบ ร้องอาเจียนโอ๊กๆ
ขณะเดียวกัน เนียนหอบดอกไม้เดินผ่านเรือนของสน มีกบกับแมวถือดอกไม้ตามมาด้วย ได้ยินเสียงคล้ายคนอาเจียน เนียนชะงักนิดหนึ่ง
“เสียงคนแพ้ท้องร้องโอ้กอ๊าก” กบบอก
“ท้องกับพระพายน่ะสิ ท่านขุนท่านไม่ได้มาหาตั้งนานสองนาน” แมวว่า
เนียนปราม “กบ แมว อย่าพูดจาให้ผู้อื่นเสียหาย”
“เสียที่ไหนเจ้าคะ คุณเนียน ได้ตะหาก” กบบอกอีก
“ได้เด็กตั้งคน” แมวว่า
“ไปกันเถิด” เนียนบอก
“น่าจะขึ้นไปเยี่ยมนะเจ้าคะ ไหนไหนเธอก็ญาติดีกับคุณเนียนแล้ว” กบว่า
“ไปดีใจกับเธอไงเจ้าคะ” แมวบอก
เนียนชะงัก ท่าทีลังเล
ช้อยดูแลสน ที่กำลังอาเจียน จู่ๆ ช้อยร้องลั่น
“คุณสน ท้อง ไชโย”
“หุบปาก” สนด่า
“ทำไมเล่าเจ้าคะ”
“ข้ากำลังกลัว”
“กลัวอะไรเจ้าคะ กำลังจะขึ้นหม้อมีลูกชายรูปงามตามที่ฝันเอาไว้ให้ท่านขุน”
“นางโง่ คิดเลขเป็นบ้างไหม พี่ขุนไม่ได้มาที่นี่กว่าสองเดือนแล้ว แล้วจะเป็นลูกพี่ขุนได้อย่างไร”
“ไอ้เสือหนัก ลูกไอ้เสือหนัก” ช้อยนึกออก เผลอหลุดปากเสียงดัง
สนตบหน้าช้อยเรียกสติ
“แหกปากพูดชื่อนี้อีกคำเดียวกู จะตบซ้ำ รีบไปตามยายอ่อนมาไวไว
ช้อยพยักหน้า ขณะที่สนเริ่มร้องไห้น้ำตาไหล หวาดกลัวจริงๆ
ฝ่ายเนียนทำท่าจะหันกลับ
“อย่าดีกว่า เธออาจจะไม่ชอบ”
ช้อยโผล่ลงบันไดมาเจอเอาสามคนชะงัก แล้วปรี๊ดใส่แทนนาย
“วันนี้หมามากับจ่าฝูงแน่ะเว๊ยเฮ้ย”
“นางช้อยพูดจาให้ไว้หน้าคุณเนียนบ้าง” แมวนึกโมโห
“ระวังเถิดท่านขุนรู้เข้า หน้าจะไม่มีที่ไว้” กบด่า
“ใครกันแน่ที่จะไม่เหลือหน้า ใครกันแน่ที่ได้หน้าได้ตา ไปให้พ้น อย่ามาเกะกะขวางทางท่านขุนแถวนี้” ช้อยอวดเบ่ง
“ช้อยรู้เร็วดีจัง พี่ขุนจะมา เยี่ยมวันพรุ่งนี้” เนียนเยื้อนยิ้ม
“ท่านคงไม่รอให้ถึงวันพรุ่งนี้ดอก คุณเนียน อิชั้นจะไปตามยายอ่อน”
ช้อยเดินเฉียดปั้นปึ่งออกไป เนียนกับพวกแปลกใจ
“ยายอ่อน หมอนวด สงสัยจะเรียกมานวดคุณสน” กบออกความเห็น
“ยายอ่อนเป็นหมอตำแยด้วย ก็ไม่แน่ว่ามันจะมาตรวจอะไร” แมวว่า
เนียนไม่อยากจะอยู่ตรงนั้น รีบเดินออกไป มีเสียงสนสะอื้นดังลอดมาจากในบ้านสามคนชะงัก
“คุณสนร้องไห้” สามคนอุทานพร้อมกัน
“ร้องไห้ดีใจที่ท้อง” กบว่า
“แต่ทำไมเสียงร้องไห้เหมือนเสียใจ” แมวตั้งข้อสังเกต
“ถ้าจะท้องก็ต้องร่วม สองเดือนกว่า ทำไมรู้ตัวช้าจัง” กบออกความเห็น
เนียนตัดบท “กบ แมว รีบไปเรือนโน้น คุณท่านรออยู่”
สองคนจึงรีบเดินออกไป
ไม่นานต่อมา ยายอ่อนกำลังคลำท้องสนอยู่บนเรือน บีบจับตรงโน้นตรงนี้ไปมา สนนอนลุ้นใจคอไม่ดี
“คุณนายสนท้องแน่นอนเจ้าค่ะ”
“ไม่มีเป็นอย่างอื่นแน่นะยายอ่อน”
“แน่สิเจ้าคะ ดีใจเข้าสิเจ้าคะ อย่าทำหน้าเหมือนใจคอห่อเหี่ยว ลูกออกมาจะไม่งาม”
“ข้าตื่นเต้นเต้นน่ะ เอ้อ ยายอ่อนมีใครเคยท้องสักสิบเอ็ดสิบสองเดือนบ้างไหม”
“มีเจ้าค่ะ”
“ใครล่ะ”
“ไม่ใช่คนดอกเจ้าค่ะพวกวัวพวกควาย พวกม้า หรือว่าลา แต่คนเก้าเดือนแน่นอนเจ้าค่ะ” อ่อนบอก
“โอ๊ย พอแล้ว นี่เงิน หนึ่งตำลึง ไปซะ ให้ไวไว”
อ่อนตาลุก ไหว้อย่างดีใจ รับเงินแล้วรีบออกไป สนมองตามร้องไห้ต่อ
“กูจะทำยังไงดี พี่ขุนฆ่าตายแน่ โธ่”
ทองจันทร์แปลกใจแทนที่จะดีใจ พอรู้เรื่องจากอ่อนที่แวะมาบอกข่าวสน
“แน่นะว่าแม่สนท้อง ยายอ่อน”
“แน่ยิ่งกว่าแช่แป้งอีกเจ้าค่ะ คุณท่าน”
“กี่เดือนแล้ว”
“ยังประมาณมิได้เจ้าค่ะ เด็กดิ้นเมื่อใด ก็ประมาณได้ว่าสี่เดือน เจ้าค่ะ”
ทองจันทร์ยังไม่หายหงุดหงิดสงสัยว่าสนท้องทำไมไม่บอกกล่าวใคร
“นี่ถ้าจะนับเดือนก็ต้องย้อนไปสองเดือนกว่า แม่สนก็ช่างกระไรน่าจะรู้มาตั้งนานว่าท้อง จะได้รู้กัน”
“ท้องสาว ก็แบบนี้แหละเจ้าค่ะ บางคนนะเจ้าค่ะ ลูกดิ้นยังนึกว่าโดนผีผลักหนังควายเข้าทองซะงั้น บางรายก็เข้าใจว่าเป็นโรคท้องมาน”
ทองจันทร์โบกมือให้ยายอ่อนรีบไปไวๆ
ฟากช้อยตื่นเต้นมา หลังฟังสนพูดจบ
“ยายอ่อนมันว่าคุณสนท้องจริงๆ จะลูกใครก็ช่างหัวมันปะไร คุณสนไม่ต้องกลัวเจ้าค่ะ ลูกเป็นโซ่ท้องคล้องรักคล้องใจคุณสนกับท่านขุน ลูกคนแรก นี่ต้องเป็นลูกชายรูปงามตามฝันของคุณสน ช้อยจะรีบไปแจ้งข่าวที่เรือนคุณท่าน”
“อย่าไปนะ อีแก่ทองจันท์มันจ้องจับผิดสงสัยข้าตลอดเวลา แล้วถ้าอีกหกเดือนเศษ ข้าคลอดลูกพี่ขุนจับได้แน่ว่าข้าไม่ได้ท้องกับเขา”
“ก็บอกไปสิเจ้าคะ ว่าคุณสนท้องได้สามเดือนแล้วก่อนที่อีเนียนมันจะมาคุณสนของช้อยเรื่องมดเท็จ เป็นเอกเสมอเจ้าค่ะ”
ช้อยเหมือนจะชม สนยังคงเครียดน้ำตาไหล
ด้านเนียนมารายงานเรียมเรื่องสนคงไม่สบายมาก
“คุณสนเธอไม่สบายมากจริงๆ นะคะ คุณเรียม เนียนเห็นยายอ่อนมานวดให้เธอค่ะ”
“ตายจริง รีบไปบอกพี่เทพให้ไปดูอาการแม่สนไม่ต้องรอถึงวันพรุ่งนี้ดอก”
ขุนภักดีเดินยิ้มเผล่เข้ามา
“พี่น้องสองสาว ร่วมหัวกันจะขับจะต้อนอะไรพี่อีกแน่ๆ”
“เนียนบอกว่าแม่สนไม่สบายมากค่ะ เราสองคนก็เลยดำริห์ว่า เนียนพูดสิ”
“พี่ขุนน่าจะรีบไปดูอาการเธอตอนนี้นะคะ”
ทองจันทร์โผล่มา หน้าตาไม่พอใจมาก
“แม่สนมันบ้าอยากจะด่าให้เจ็บแสบ”
สามคนหันไปมองแปลกใจ
“สนทำอะไรให้คุณแม่ไม่พอใจหรือครับ”
“มันท้องสองสามเดือนแต่ไม่ยอมบอกใคร” ทองจันทร์บอก
“สนท้อง” ขุนภักดีอุทาน
ตามด้วยเรียม “แม่สนท้อง”
และเนียน “คุณสนท้อง”
ขุนภักดีมีสีหน้าปิติมาก “ผมจะไปดูลูก” แล้วเผ่นอ้าวออกไป เนียนกับเรียมสบตากับจับมือดีใจ
“เนียนดีใจกับพี่ขุน เหลือเกินค่ะ”
“พี่ก็ดีใจกับพี่เทพเป็นที่สุด”
“แต่แม่หมั่นไส้แม่สนเป็นที่สุด มันเป็นคนอาฆาตแค้น มันคงตั้งใจจะปิดบังเอาไว้ไม่ให้ใครรู้ ไม่ให้ดีใจกับมัน เพราะพ่อเทพไม่ไปหามันสองเดือนกว่าแล้ว ประหลาดล้ำเหลือเกิน คนอะไรท้องแล้วไม่บอกผัว”
เรียมก็แปลกใจแต่เงียบไว้รวมทั้งเนียนด้วย
ฟากสองนายบ่าวช้อยกับสน ยังคงปวดหัวเรื่องท้องของสนอยู่ไม่วายเว้น
“กรรมของคุณสนแท้ๆ กรรมของช้อย แพ้หลุดลุ่ยแล้วเจ้าค่ะ”
“ข้าโกหกพี่ขุนว่าท้องสองเดือนกว่าสามเดือนได้ แต่ยายอ่อนมันเป็นหมอตำแยโกหกมันไม่ได้ดอก”
“มันงกมันชอบเงินตะเภาเดียวกับไอ้เหิม เพียงแค่ไม่ใช่ฆาตกร พูดง่ายกว่า เอาเงินฟาดหัวมันไปเจ้าค่ะ ไสหัวมันไปไกลๆ อย่าได้กลับมาที่นี่อีก คนที่ไหนมันมีลูกให้มันทำคลอดทั้งนั้น”
“เงินข้าเกือบหมดกำปั่นแล้ว เพราะเอาไปจ้างไอ้เหิม ไอ้หมอเสน่ห์ พี่ขุนก็หมางเมิน เอ็งไปเปิดดูสิ”
ช้อยเปิดแล้วพยักหน้า
“เหลืออยู่ชั่งหนึ่งเจ้าค่ะ”
“รีบไปเอาให้มัน บอกให้มันไปหากินที่อื่นอย่ากลับมาที่นี่อีก”
ช้อยรีบไปทันที สนเศร้าเอาหน้าแนบหมอนน้ำตาซึม
“ทำไมต้องเป็นลูกไอ้เสือหนัก โธ่”
สามคนยังยินดีที่สนท้องกันต่อไป
“พี่อยากรู้ซึ้งถึงความรู้สึกของคนเป็นแม่ในวินาทีที่พบหน้าลูกเหลือเกิน”
เรียมพูดไปน้ำตาซึม
เนียนคิดภาพวันที่ตัวเองคลอดลูก โดยให้แพรเอาแดงน้อยมาวางบนอกมองลูกน้ำตาไหล
คิดแล้วเนียนพาลน้ำตาซึมไปด้วย
“แม่เรียม ลืมมันซะเถิด ลางดีมันตั้งเค้าแล้ว แม่สังหรณ์ว่าอีกไม่ช้าไม่นานบ้านเราจะได้ฉลองใหญ่ เพราะได้หลานสามคน” ทองจันทร์บอก
“ค่ะ เรียมก็หวังเช่นนั้น แต่ความหวังของเรียมมันหมดสิ้นไปสองครั้งจนเรียมไม่กล้าหวังอีกแล้วค่ะ คุณแม่ เนียนรู้ไหมจ้ะ ว่าพี่อยู่กินกับพี่คุณมาแปดปีกว่า แท้งลูกไปสองครั้ง” เรียมสะท้อนใจ น้อยใจ เริ่มน้ำตาไหลเมินหน้าหนี
เนียนจับมือเรียมเอาไว้ปลอบใจ
“คุณเรียมขา อย่าเพิ่งสิ้นหวังค่ะ คนแถวบ้านเนียน อยู่กินกันมา สิบกว่าปีจนเลิกหวัง แล้ววันหนึ่ง ลูกก็มา แข็งแรงน่ารักฉลาดด้วยค่ะ”
“ขอบใจที่ให้กำลังใจพี่ เนียนนั่นแหละ ยังอายุไม่ถึงยี่สิบ น่าจะได้ลูกไวไวอย่างที่คุณแม่ว่า”
“ลูกใครจะมาแม่รับได้ทั้งนั้น ขอให้มาเถิด ย่าทองจันทร์เหมาหมด”
ทองจันทร์พูดอย่างมีความสุข
ขณะที่สนนอนตะแคง หน้าแนบหมอนน้ำตาไหลสะอื้นหวั่นกลัวอยู่นั้น ขุนภักดีย่องเข้ามาเงียบๆ มองสนที่นอนหันหลัง กลัวสะอื้นจนตัวสั่น
ขุนภักดีรู้สึกผิดที่ละเลยสน พึมพำออกมา
“โธ่เอ๊ยสน พี่ละเลยสนขนาดนี้ได้อย่างไร”
ท่านขุนเดินเงียบเชียบมาด้านหลัง นั่งลงเงียบๆ และเบาที่สุด ก้มลงโอบกอดจะหอมแก้มสนปลอบขวัญ
ทว่าสนที่กำลังอยู่ในภวังค์กรีดร้องละเมอไปว่าไอ้เสือหนักมาข่มขืน
“อ๊ายยย”
ขุนภักดีตกใจ “สน”
“ไปนะ อย่าข่มขืนกูนะ ไป ไปให้พ้น”
ขุนภักดีรวบตัวสนไว้ สนหลับหูหลับตาทุบตีท่านขุนพัลวัน
“สน สน สนนี่พี่ พี่เองพี่เทพ พี่ขุน”
ขุนภักดีเขย่าตัวสนเรียกสติ สนลืมตามอง เห็นหน้าท่านขุนใกล้ชิดมาก มองมาสายตาอ่อนโยน ยินดี และขอบคุณ ชัดเจนขึ้นจนแจ่มใสไปหมด
สนดีใจมาก “พี่ขุน” แต่แล้วก็เริ่มระแวง เพราะตัวทำผิดจึงเบี่ยงตัวออก “แส้ม้าอยู่ที่ไหนคะ เนียนมาด้วยใช่ไหมคะ”
“ไม่มีแส้มา ไม่มีเนียน มีแต่พี่ มีแต่ความยินดีและขอบคุณที่สนกำลังให้ลูกกับพี่”
สนเริ่มมีกำลังใจมา “พี่ขุนรู้ได้ยังไงคะ”
“คุณแม่บอกพี่ คุณเรียมกับเนียนดีใจกันใหญ่ แต่คุณแม่หงุดหงิดเพราะน้อยใจที่สนปิดบังเอาไว้”
“ถ้าสนเปิดเผยแล้วจะมีใครใยดีสนบ้างคะ ตลอดเวลา ร่วมสามเดือนพี่ขุนเคยชายตามาแลสนบ้างหรือก็เปล่า มาคราใดพี่ขุนก็มาตำหนิมาขู่สนด้วยแส้ แล้วสนจะมีแก่ใจอะไรไปบอกข่าวดี สนเข้าใจเอาเองว่าก็แค่ข่าวดีของสนคนเดียว หาใช่ของพี่ขุนกับคนอื่นไม่” สนสบโอกาส
ขุนภักดียิ่งกอดสนแน่นขึ้นอีก
“พี่ขอโทษ พี่ผิดไปแล้ว อภัยให้พี่ ต่อไปนี้ไม่อีกแล้ว เลิกน้อยใจแล้วหันมามองหน้าพี่ บอกพี่ว่าลูกของเราอายุกี่เดือนแล้ว”
“ยายอ่อนแกประมาณว่าน่าจะสองเดือนกว่าค่ะ”
สนหันไปแอบยิ้มที่ท่านขุนหลงเชื่อ มีกำลังใจโกหกต่อไป
ส่วนยายอ่อนรับเงินจากช้อยไหว้ปลกๆ
“ขอให้เจริญเจริญ ได้ลูกชายงามๆ เถิด คุณนายสน ช่างเมตตาคนจนอย่างยายแท้ๆ ให้เงินไปลงทุนทำกิน ชาตินี้หาใครดีอย่างนี้ไม่เจออีกแล้ว”
“ใช่จ้ะ ยายอ่อน ยายจงรีบเอาเงินไปทำทุนไวๆ อย่าได้กลับมาเป็นหมอตำแย ไปอยู่ที่อื่นจะดีกว่า ระยะนี้ที่นี่มันโจรชุกชุม อันตรายรอบด้านนะจ้ะยาย”
ยายอ่อนปลาบปลื้มพร้อมทำตามทุกสิ่งอย่าง
ฝ่ายสนได้จังหวะออดอ้อนขุนภักดีเต็มที่ ท่านขุนถอดสร้อยคอคล้องให้สนมีพระเครื่องติดอยู่ด้วย
“ขอให้พระคุ้มครองทั้งสนและลูกจ้ะ”
“ขอบพระคุณพี่ขุนมากค่ะ” สนไหว้
“รักษาตัวดูแลตัวเองให้ดีนะ มีอะไรบอกพี่อย่าปิดบังกันอีก”
ช้อยส่งเสียงมาก่อนตัว ไม่รู้ว่าขุนภักดีอยู่
“คุณสนเจ้าขา ยายอ่อน”
สนใจหายวาบ ตะโกนบอกใบ้
“นางช้อย ช่างไม่มีกาลเทศะ ตะโกนข้ามหัวพี่ขุนได้รึ จะเข้ามา ก็เข้ามา”
ช้อยจึงเข้ามา สบตาแอบพยักหน้าว่าสำเร็จ เพราะช้อยอยู่หลังท่านขุน จากนั้นนั่งทรุดอยู่กับที่ทำท่าดีใจทำท่าทางให้สนดู
“เอ็งพูดอะไรถึงยายอ่อนนางช้อย”
“อ๋อ คือ ช้อย คือ”
“คือสนให้ช้อยไปตามยายอ่อนมาอีกครั้ง จะมายืนยันว่าสนท้องแน่ๆจะได้ขอยาหม้อแกมาต้มให้ลูกแข็งแรงค่ะ” สนบอก
“ดีจ้ะ แล้วทำไมมันไม่มา”
“เอ้อ ยายอ่อนไปแล้วเจ้าค่ะ”
“ไปไหน”
“ไปเอ้อ..งานศพมารดาของพ่อแกเจ้าค่ะ”
ขุนภักดีอึ้งนับญาติไม่ถูก
“นางช้อย ทำไมเอ็งต้องพูดให้มันเข้าใจยากด้วย”
“ช้อยจำคำพูดยายอ่อนมาเจ้าค่ะ”
สนเห็นท่าว่าช้อยท่าจะไม่ดี รีบออดอ้อน
“โอ๊ย สนคลื่นไส้ สนเวียนหัว สน สนอยาก...อยาก”
“สนอยากอะไรรึ”
“อยากกินของเปรี๊ยวๆ อยากกินส้มมะขาม มะม่วง”
“มะม่วงหาวมะนาวโห่” ช้อย
“นางช้อยอย่าล้น นั่นมันพระรถเมรี นี่ข้าอารมณ์ดีเพราะจะมีลูกดอกนะ หาไม่เช่นนั้น เอ็งโดนแน่”
ช้อยทำท่าดีอกดีใจ เอกที่ตามมาภายหลังแอบมองมาจากด้านหลัง เห็นขุนภักดียิ้มน้อยยิ้มใหญ่
อาญารัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
ไม่นานต่อมา ขุนภักดีเรียกประชุม และกำลังออกคำสั่งกับคนใช้ในเรือนทุกคน
“ทุกคนฟังไว้ ให้รีบไปช่วยกันหา ผลไม้เปรี้ยวๆ กะปิอย่างดี ต่างๆ นานาให้คุณสนกินแก้แพ้ท้อง ต้องหาให้ได้ โค่นต้นไม้ก็ต้องทำ”
ทุกคนขานรับคำพร้อมเพรียง
“เจ้าค่ะ” / “ขอรับ”
กบแมวมองหน้ากัน กระซิบกัน
“เป็นเอามาก” กบว่า
“เป็นลมดีกว่า” แมวเสริม
เอกไม่ค่อยสบายใจ พึมพำ
“มันยังไง ยังไงอยู่นา คนช่างโพทะนาอย่างนายบ่าวคู่นั้นเก็บความลับได้อย่างไรตั้งเกือบสามเดือน”
กบกับแมวบังเอิญได้ยิน หันมาสมทบ
“ถึงว่าละสิ พี่เอก”
แต่เอกคิดไม่ออก
ช้อยลิงโลด โผเข้ากอดเท้าสนด้วยความดีใจ
“เห็นไหมเจ้าคะ ว่าท่านขุนรักหลงคุณสนแค่เพียงชั่วกระพริบตาไปแล้ว เชื่อสนิทว่าลูกในท้องเป็นลูกของท่าน ผู้ชายก็โง่เช่นนี้แหละเจ้าค่ะ”
“อีช้อย”
“ขอประทานโทษเจ้าค่ะ ช้อยดีใจจนลืมตัว คอยดูนะเจ้าคะ ลูกเกิดมาท่านอุ้มไม่วางมือแน่ ลูกคนแรก ที่ท่านรอคอย คุณสนจะขึ้นแท่นเป็นอับดับหนึ่ง เป็นเมียคนโปรด คุณเรียมกับคุณนายเนียน ตกกระป๋องไปแล้ว”
“แต่ข้าจะละเลยนางเนียนไม่ได้ ข้าต้องหาทางให้มันตกนรกไม่ใช่แค่ตกกระป๋อง”
สนไม่ยอมรามือเรื่องเนียน
เวลาผ่านไป แลเห็นกองผลไม้เปรี้ยวสารพัดชนิดบนตั่ง และที่พื้นสูงท่วมจนน่าตกใจ เรียมชวนเนียนพากันจะไปร่วมดีใจกับสน
“ไปเถิดเนียน แม่สนคงดีใจที่เราจะไปยินดีด้วย ไอ้นั่นอะไรน่ะ” เรียมถามเอก
“ผลไม้ มากมาย จะเอาไปทำอะไรกัน” เนียนถามตาม
“เอาไปให้คุณสนรับประทานแก้แพ้ท้องขอรับ” เอกบอก
ทองจันทร์โผล่มาอีกคน
“ไฮ้ คนท้องคนเดียวนี่กินจนท้องลูกคนที่สองกระมัง”
“โค่นมะขามมาสองต้นเลยขอรับ คุณท่าน” เอกว่า
ขุนภักดียิ้มแย้มเดินโอบสนมา มีช้อยเดินเชิดตามหลัง
“มันต้องเตรียมพร้อมครับคุณแม่ หากขาดมือเมื่อไหร่ สนจะหงุดหงิดอารมณ์เสีย ผมไม่ต้องการให้สนอารมณ์เสีย เดี๋ยวลูกผมจะเกิดมาโมโหร้ายไม่น่ารัก”
“ขอบพระคุณค่ะ พี่ขุน และทุกคนนะจ้ะ คุณแม่ขา สนขอโทษที่ไม่เอ่ยปากบอกเรื่องนี้ สนน้อยใจค่ะ อีกอย่างสนไม่มั่นใจด้วยว่าท้องหรือเปล่า” สนจีบปาก
ช้อยรีบผสมโรง “คุณสนจึงให้ช้อยไปตามยายอ่อนมายืนยันเจ้าค่ะ”
“จริงอย่างที่แม่สนบอกนั่นแหละ พ่อเทพ แม่จะต้องรับขวัญและปกป้องหลาน เจ้าเอก เอ็งไปนิมนต์ท่านพระครูมาทำสายสิญจน์ล้อมเรือนแม่สนเอาไว้ ให้เกิดสิริมงคลกับหลานของข้า”
“ขอรับ คุณท่าน”
สนยิ้มระรื่นปรายตาไปมองที่เรียมกับเนียน
“ดีใจกับสนด้วยจ้ะ เราจะช่วยกันดูแลลูกสนนะจ้ะ” เรียมบอก
“เนียนก็ดีใจกับคุณสนค่ะ มีอะไรให้เนียนทำให้ได้ เนียนทำเต็มที่ค่ะ”
สนทำปั้นปึ่งเหมือนไม่ได้ยินสองคนพูด ขุนภักดีกำลังเห่อจึงไม่สนใจ ทองจันทร์หันมองสนอย่างหมั่นไส้นิดหนึ่งแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร
วันต่อมารอบเรือนเล็กของสนมีสายสิญจน์ล้อมอยู่ ทุกคนต่างมีสีหน้ายิ้มแย้ม โดยเฉพาะสนเดินคลอเคลียกับขุนเทพ หรือขุนภักดี ภาคภูมิใจในที่แผนการสำเร็จ
ขุนภักดีแวะมาหาเนียน
“เนียนจ๊ะ อย่าน้อยใจพี่อีกคนล่ะ”
“น้อยใจเรื่องอะไรคะ”
“พี่คงไปดูแลสนเขามากขึ้น อาจจะดูเหมือนละเลยเนียนไปบ้าง”
“เนียนไม่น้อยใจดอกค่ะ พี่ขุนทำถูกต้องแล้วค่ะ”
“ชื่นใจ ขอบใจ จ้ะเนียน บ้านเรานอกจากจะสงบสุขแล้วยังจะมีชีวิตชีวาร่าเริง เพราะมีตัวน้อยๆมาส่งเสียงในบ้าน อีกไม่ช้า”
“ค่ะ พี่ขุน”
ขุนภักดีหอมแก้มเนียนแล้วออกไป เนียนนั่งน้ำตาซึมคิดถึงลูก
“ลูกแดงน้อยของแม่ คนอื่นเขามีพ่อมีแม่เห่กล่อมถนอมเลี้ยง แต่แดงน้อย ของแม่มีแต่ยายแพรกับตาโพล้ง”
เนียนปาดน้ำตาร้องไห้เงียบๆ
ไม่นานต่อมาเรียมยิ้มให้ขุนภักดีที่แวะมาหา
“ตามสบายเถิดค่ะ พี่ขุน สนต้องการการดูแลเอาใจทั้งร่างกายและจิตใจ ใครๆ ในบ้านต่างรอคอยลูกของพี่ขุนกับสนทั้งนั้น”
“พี่หวังมากกว่านั้น หวังว่า จะไม่ได้มีเด็กวิ่งเล่นในบ้านเราเพียงคนเดียว เท่านั้น จะมีลูกของเรียมและเนียนอีกสองคน พี่น้องสามคนจะเล่นกันอย่างมีความสุขไม่มีอื่นใดจะสุขไปกว่านี้อีกแล้ว”
ขุนโอบบ่าเรียมฝันหวาน
ทางด้านเนียนร้องไห้ต่อ เหม่อลอยใจลอยไกลไปถึงแดงน้อย
“ลูกแดงน้อยของแม่ ป่านนี้ลูกคงนั่งได้ เริ่มคืบคลานได้ แม่อยากกอด อยากอุ้มลูกใจจะขาด”
เนียนปาดน้ำตาร้องไห้
ส่วนด้านล่างตรงหน้าต่างห้องเนียน ช้อยแอบมองเหลียวมองขึ้นไปด้านบน
“อีเนียนมันร้องไห้ทำไม อิจฉาคุณสน หรือว่าคิดถึงใคร ดีละ”
“เจ็ดเดือนผ่านไป”
ขณะที่ทองจันทร์กับเรียม และเนียน นั่งปั้นขนมกันอยู่
“นี่เลยเก้าเดือนแล้วนะ ทำไมแม่สนจึงไม่มีทีท่าว่าจะคลอดลูกสักที”
กบกับแมวมองหน้ากัน สองคนนี้แค่ไม่เชื่อใจสนแต่ไม่รู้ว่าทำไม
“นั่นสิคะ คุณแม่ จะเป็นอันตรายหรือเปล่าก็ไม่รู้ เนียนว่ายังไง”
“เอ้อ เนียน ไม่มีความรู้เรื่องนี้ดอกค่ะ ไม่กล้าออกความเห็น”
“ยายอ่อนก็หายหัวไปเลย” ทองจันทร์บ่น
“ได้ยินว่าไม่กลับมาแล้วเจ้าค่ะ” กบว่า
“แปลกนะเจ้าคะ ลูกคนอื่นเขาดิ้นกันตอนสี่เดือนลูกคุณสนเพิ่งจะดิ้นตอนเจ็ดเดือนนี่แหละเจ้าค่ะ” แมวตั้งข้อสังเกตตามประสา
“นางแมวเอ็งปากหาเรื่อง ตาหาเหตุเกินไปแล้ว” ทองจันทร์ดุ
แต่ทุกคนต่างก็พากันแปลกใจไปตามๆ กัน
ช้อยกำลังมาเล่าความที่แอบได้ยินมาให้ให้สนฟัง สนท้องโตเจ็ดเดือนกว่า
“คุณสนเจ้าขา อีพวกปากปลาปากปูปากปลาทูมันแอบซุบซิบกัน”
“เรื่องอะไร”
“มันหาว่าคุณสนท้องสิบเดือนแล้วยังไม่ยอมคลอด มันหาว่าลูกคุณสนไม่ดิ้นตอนสี่เดือน มาดิ้นเอาอีตอนเจ็ดเดือน”
“อุเหม่ ใครกันที่มันว่ากู”
“พวกเรือนโน้นแหละเจ้าค่ะ คุณนายทองจันทร์นั่นแหละตัวการเริ่มเรื่อง มีคุณนายเรียมกับนางเนียนผสมโรงเจ้าค่ะ” ช้อยได้ทีใส่ไฟเรียมกับเนียนใหญ่
สนยิ้มร้ายออกมา
“อีเนียน สักวันกูต้องจัดการมึงให้ตกกระป๋องให้จงได้”
“ช้อยว่าอีนี่มันดูแปลกๆ ช้อยไปแอบดูมันที่หน้าต่างห้องเห็นมันแอบร้องไห้บ่อยๆ เจ้าค่ะ มันร้องทำไมกันนะ”
“แสดงว่าอีเนียนมีความลับคับอก กูต้องเปิดเผยความลับของมันให้ปรากฏ”
สนคลำท้องตัวเองมีช้อยกดเท้าบีบนวดไปมา
“แต่ตอนนี้เอาเรื่องเฉพาะหน้าก่อนเถิดเจ้าค่ะ คุณสนท้องนานเกินไป”
สนพยักหน้า
เย็นนั้น ขณะที่ขุนภักดีขึ้นเรือนมา สนปราดเข้ามาหา ท่านขุนตกใจ
“โอ๊ะ ระวังจ้ะสน เดี๋ยวหกล้ม ลูกเราจะเจ็บ”
“ก็สนทนไม่ไหวแล้วค่ะ พี่เทพ”
“ทนอะไรไม่ไหวรึ”
สนกอดขุนภักดีน้ำตาไหล ออเซาะ
“สนไม่อยากจะพูด”
“พูดมาเถิดพี่จะไปจัดการให้”
สนลอบยิ้มสาแก่ใจ
ไม่นานนัก แส้หางม้าในมือขุนภักดีขยับแกว่งไปมา บ่าวไพร่ทุกคนหน้าเสีย ท่านขุนยืนโอบสนมีช้อยอยู่ด้านหลัง
“จงจำเอาไว้ ไม่ว่าใครทั้งนั้นถ้าข้ารู้ว่าแอบนินทาคุณสนอีกละก้อ โดนแส้ม้านี่แน่ ห้ามใครพูดเรื่องท้องของคุณสนอีกเด็ดขาด เอาไปนอกบ้านก็ไม่ได้”
ทุกคนรับคำ “เจ้าค่ะ” / “ขอรับ”
“ถ้าลูกข้าเกิดมาอ่อนแอเจ็บออดๆ แอดๆ จะถือว่าเพราะปากของพวกเอ็งนั่นแหละ”
ทองจันทร์ เรียม และเนียน ออกมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“คนที่พูดน่ะหาใช่ใครที่ไหนดอก แม่เองจ้ะ พ่อเทพ พูดเพราะห่วงใย กลัวว่าถ้าท้องนานเกินเก้าเดือนไปแล้วลูกไม่คลอดสักที มันอาจมีอันตราย รึว่าไม่พอใจจะให้พ่อเทพโบยข้า” ทองจันทร์บอก
“ไม่ใช่เช่นดอกครับ คุณแม่ ผมแค่ปรามพวกนี้”
“คุณแม่เปรยว่า น่าจะพาสนไปหาหมอที่บางกอก ใช่ไหมจ้ะเนียน”
“เอ้อ ค่ะ”
“สนไม่ไปนะคะ พี่เทพ สนเกิดไปคลอดกลางทางลูกเราเป็นอะไรไป สนจะผูกคอตายซะ” สนตั้งแง่
“ไม่เอาจ้ะสน สนคนดีไม่เอานะจ๊ะ ขอบคุณมากนะครับคุณแม่ สนจ๋าคุณแม่พูดเพราะท่านห่วงนะจ๊ะ”
“สนเข้าใจค่ะ คุณแม่ สนขอบพระคุณค่ะ สนรักลูกเหมือนแก้วตาดวงใจ ถ้าสนรู้สึกอะไรไม่ดี สนจะไม่ปล่อยไว้ไม่บอกใครดอกค่ะ”
ขุนภักดียิ้มพอใจคำพูดสน ส่วนคนอื่นๆ แอบเหม็นเบื่อ
“แปดเดือนผ่านไป”
ล่วงเข้าเดือนที่ 10 ทองจันทร์มีสีหน้าหนักใจ
“จะหาว่าก็ว่าเถิด นี่สิบเอ็ดเดือนแล้วแม่สนยังไม่คลอดลูก”
เรียมกับเนียนไม่ได้พูดต่อ
“แม่ว่าแม่สนมันนับเดือนผิดหรือเปล่า”
“คงไม่ผิดดอกค่ะ คุณแม่ ถ้าแม่สนจะท้อง ก็ต้องท้องก่อนที่เนียนจะมาค่ะ เอ้อ...เพราะตั้งแต่นั้นมา พี่ขุนไม่เคยไปหาสนเลย” เรียมว่า
เนียนก้มหน้างุด
กบแมวสบตากันทำท่าจะซุบซิบ ทองจันทร์จ้องดุ คาดโทษ
“อย่าเชียวนะ นางแมวนางกบ ข้าพูดได้คนเดียว ไม่เช่นนั้นเอ็งสองคนตาย เพราะแส้ม้าท่านขุนแน่ เฮ้อ แก่อยู่ในท้องคลอดออกมามิฟันฟางเต็มปากรึนั่น”
กบแมวแอบสบตากัน ทองจันทร์ส่ายหน้าสงสัยไม่หาย
“เก้าเดือนผ่านไป”
สนนั่งท้องโย้อยู่ในเรือน ไม่พยายามออกไปไหนให้ผิดสังเกต ช้อยนั่งนวดเท้าสนไปมา
“สิบสองเดือนแล้วนะช้อย ถ้าเด็กไม่คลอดมาตอนนี้ ข้าตายแน่ๆ”
“กรรมเลยแหละเจ้าค่ะ ทั้งของคุณสนกับของช้อย สมรู้ร่วมคิดกันตบตา”
ขุนภักดีเดินขึ้นเรือนมาพอดี
“สนจ๋า รู้สึกว่าเด็กอยากจะออกมาลืมตาดูโลกหรือยังจ้ะ”
“พี่ขุนสงสัยอะไรสนหรือคะ สนก็อยากจะตายเหลือเกิน ทำไมลูกหนอลูก ช่างทรมานให้แม่กับพ่อรอคอย ทำไมช่างใจเย็นให้ผู้คนติฉินนินทา สนจึงไม่กล้าลงไปจากเรือน ไม่อยากจะสบตาผู้คน สนน้อยใจ”
“โอ๋ สนจ๋า สนคนดีอย่าน้อยใจจ้ะ พี่ถามเพราะอยากเห็นหน้าลูกเต็มแก่น่ะจ้ะ”
แล้วจู่ๆ สนก็คิดอะไรขึ้นมาได้ ลุกขึ้นร้องโอดโอย
“มาแล้ว โอ๊ยมาแล้ว แน่ๆ โอ๊ย สนเจ็บท้อง สนปวดท้อง”
“คุณสนจะคลอดลูกแล้วเจ้าค่ะ”
“สนจะคลอดลูก”
ท่านขุนสั่นไปหมด สนก็เอาใหญ่ ความจริงแล้วแกล้ง และสนตั้งใจจะทำเป็นเจ็บท้องต่อไปอีกหลายวัน เพราะรู้ว่า
ครบเก้าเดือนแล้ว ไม่นานคลอดแน่
บ่าวไพร่วิ่งวุ่นจนหัวแทบชนกัน เอะอะโกลาหลไปหมด ทองจันทร์กับเนียน และเรียมพากันมาดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“อ้าว อ้าว นั่นไฟไหม้บ้านรึ วิ่งหัวชนกันซะปานนั้น”
“คุณสนจะคลอดลูกเจ้าค่ะ” กบบอก
“คลอดกะทันกันไม่มีปี่มีขลุ่ยเจ้าค่ะ” แมวว่า
ทองจันทร์ยิ้มแย้ม เรียมและเนียนยิ้มดีใจ
“ไปเยี่ยมแม่สนกัน”
“คุณสนบอกท่านขุนว่าอย่าให้ใครมายุ่งกับเธอเจ้าค่ะ” กบบอกอีก
ทองจันทร์ชะงัก
“อุบ๊ะ ก็ข้าเป็นย่านี่นา”
“พี่เทพอยู่ด้วย ไม่กระไรดอกค่ะ คุณแม่รอรับขวัญหลานเถิดค่ะ”
“อืม หน้าตาจะเหมือนย่าไหมหนอ”
แต่ทองจันทร์ก็ยังชะเง้อไปที่เรือนสน
สนร้องโอดโอยไปมา ขุนภักดีละล้าละลังทำอะไรไม่ถูก
“โอ๊ย พี่ขุนขาช่วยสนด้วย”
“พี่ส่งคนไปตามหมอตำแยมาแล้ว พี่ส่งไปตามหมอสุขศาลามาแล้วพี่ให้ตามใครก็ได้ที่รู้เรื่องการคลอดลูก”
ช้อยวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นผสมขำ รู้ทันนาย
“ทุกคนที่ท่านขุนให้ไปตามกำลังมาเจ้าค่ะ”
“ค่อยยังชั่ว”
สนสบตาช้อย
“พี่ขุนขา สน สนอาย สนไม่ อยากไม่ให้พี่ขุนเห็นสน เอ้อ ตอนคลอดลูกค่ะ”
“โบราณถือด้วยเจ้าค่ะ เขาให้พ่อไปรอด้านนอกเจ้าค่ะ” ช้อยรับลูก
“นะคะ พี่ขุน เห็นแก่ลูกเห็นแก่สนนะค่ะ”
ขุนภักดีก้มลงกอดหอมสนที่หยุดดิ้นชั่วขณะ แล้วออกไปท่าทีละล้าละลัง พอท่านขุนพ้นไป
สนกับช้อยถอนใจโล่งอก
“คุณสนเจ็บท้องจะคลอดจริงๆ หรือเจ้าคะ”
“แก้ผ้าเอาหน้ารอดน่ะสิ กูแสร้งร้องโอดโอยมาเป็นชั่วโมง เหนื่อยจะขาดใจ ขอพักสักครู่เถิด”
“นี่ คุณสนแกล้งหรือเจ้าคะ”
“ก็เออน่ะสิ...ก็ทุกคนเริ่มสงสัยว่าทำไมไม่คลอดสักทีก็ต้องทำวิธีนี้แหละ”
“อ้าว แล้วถ้าเด็กยังไม่ยอมคลอดเล่าเจ้าคะ”
“ก็ร้องมันไปเรื่อยๆ ทำทีว่าเด็กคลอดยาก”
“คุณสนขาถ้าหลายวัน แล้วจะร้องไหวหรือเจ้าคะ ถ้าเกิดว่า ยังไม่มาสักที”
“ไหวสิ เอ็งไง แหกปากร้องแทนข้าเข้าไปสิ นางช้อยร้องไป ข้าเหนื่อยแล้ว”
สนตีช้อยเผียะ ช้อยจำต้องแหกปากร้องเจ็บท้องต่อไปสมอ้างเป็นสน
ผู้คนอยู่ตรงมุมไหนก็ได้ยินเสียงร้องเจ็บท้องกันทั้งนั้น ต่างชะเง้อมองซุบซิบ ทองจันทร์ร้อนใจกว่าใคร
“พ่อเทพทำอะไรสักอย่างสิ อย่าปล่อยให้ร้องอยู่แบบนี้ เดี๋ยวก็เหนื่อยจนหมดลมเบ่งดอก”
“ไอ้เอก หมอมาหรือยัง” ขุนภักดีถาม
“มาแล้วหนึ่งรายขอรับ แต่”
“แต่อะไรรึ นายเอก” เรียมแปลกใจ
“คุณสนตะเพิดออกมา”
“อ้าว” ขุนภักดีงง
“คุณสนเธอว่าจะรอหมอที่มาจากศรีประจันต์บ้านกำนันแสงขอรับ”
“แล้วมันจะทันการณ์รึ” ทองจันทร์ส่ายหัวดิก
“หลานคนนี้มันช่างมายากเย็น แถมดื้อมากด้วย”
ทุกคนพูดไม่ออก
ช้อยร้องโอดโอยแทนสนจนเหนื่อยล้า หยุดพักหอบ
“ช้อยหมดแรงแล้วเจ้าค่ะ คุณสน”
“เด็กบ้านี่มันช่างมายากมาเย็นเหลือเกิน คงเป็นเพราะเลือดพ่อมันแรงมันถึงแกล้งกูไม่สาแก่ใจสักที นางช้อยเมื่อไหร่คนของพ่อกำนันจะมาสักที”
“แหมคงต้องรอไปจนถึงพรุ่งนี้ตอนสายๆแหละเจ้าค่ะ”
“งั้นเอ็งก็ร้องต่อไป ร้อง นางช้อย ร้องอย่าหยุด”
ช้อยร้องโอดโอยต่อ
สองบ่าวนาย ผัดกันร้องโอดโอย จนเวลาผ่านไปอีกห้าวัน
ทุกคนนั่งว้าวุ่นกับเรื่องเจ็บท้องของสน
“ทำไมสนเจ็บท้องนานนักครับคุณแม่”
“นั่นสิเกิดมาเพิ่งเคยเจอ ท้องสิบสองเดือน เจ็บท้องร้องโอดโอยมาห้าวันยังไม่มีทีท่าว่าจะคลอด”
จู่ๆ เสียงร้องโอดโอยหยุดไป ทุกคนมองหน้ากัน
สนกำลังจะคลอดของจริง
“ตานี้ของจริงแล้วนะเจ้าคะคุณสน เบ่งเจ้าค่ะ เบ่งให้สุดชีวิต ร้องให้ดัง อย่างไรก็ได้เต็มที่เจ้าค่ะ” หมอบอก
สนกรีดร้องดังลั่นยาวนาน สักครู่หมอก็อุทานออกมาพร้อมทั้งช้อย
“ออกมาแล้ว ออกมาแล้ว”
“เสร็จเรื่องกันที” สนว่าเหงื่อโทรมกาย
“คุณสนเจ้าขา หน้าตาน่ารักน่าชังแท้ๆ เจ้าค่ะ” ช้อยเนื้อเต้น
“แต่ มัน…”
หมอตำแยสวนขึ้น “คุณสนเจ้าขา ดูสิเจ้าคะ ผู้ชายด้วย”
หมอยกให้ดู สนดูไม่ตื่นเต้นเพราะชังเสือหนักเหลือแสน
ไม่นานต่อมาช้อยนั่งอยู่ตรงหน้าขุนภักดีสีหน้ายิ้มย่อง ท่านขุนลุกพรวดดีใจที่สุด
“ผมได้ลูกชาย ผมมีลูกชาย ในที่สุดผมก็มีลูกชายสืบตระกูลภักดีภูบาล”
ขุนภักดีลุกพรวดออกไปทันที อย่างยินดี
“รีบไปรับขวัญลูกสิ พ่อเทพ”
ท่านขุนโกยอ้าว ช้อยตามไปติดๆ แต่ไม่วายหันมายิ้มเยาะเนียน
ฝ่ายสนมองหน้าลูกไม่พอใจ
“ไอ้ลูกเสือ ลูกจระเข้”
ขุนภักดีโผล่เข้ามายื่นมือขออุ้มลูก
“ขอพี่อุ้มลูกชายหน่อยสิสน”
สนสะดุ้ง “พี่ขุน”
ทองจันทร์กับเนียน และเรียม พากันโล่งใจ
“โล่งอกกันที รอกันมาห้าวันห้าคืน แทบไม่ต้องหลับต้องนอนไปพักผ่อนกันซะ เรียม เนียน”
“เจ้าค่ะ” สองคนรับคำ
“ดูสิมัวแต่รอแม่สนคลอด อดหลับอดหนอนจนหน้าตาซีดเซียวเหมือนจะเป็นลมกันทั้งคู่”
เนียนกับเรียมลุกแล้วทั้งสองต่างมีอาการวิงเวียน คลื่นไส้
“เอ๊ะ เวียนหัวจริงๆ” เรียมว่า
“เนียน ก็รู้สึกคลื่นไส้มากค่ะ”
“คุณเรียม” / “คุณเนียน” กบกับแมวเรียกแทบจะพร้อมกัน
“นั่น นั่นเป็นอะไรกัน แมว กบ เอ็งช่วยดูแลหน่อยสิ”
แมวประคองเนียน กบประคองเรียม
“ไม่เป็นไรดอก” เนียนกับเรียมบอก
แต่แล้วสองคนก็ทำท่าล้ม กบกับแมวผวาไปจับสองคนไว้ร้องประสานเสียง
“แย่แล้วเจ้าค่ะ”
เรียมเริ่มก่อน
“แหวะ กบ ใส่น้ำอบอะไรน่ะ ทำไมมันเหม็นอย่างนี้”
“แม่เรียม” ทองจันทร์ตกตะลึง
“แมว ชั้น ชั้นได้กลิ่นอะไรก็ไม่รู้ มัน มัน แหวะ”
“เนียน”
แล้วสองคนก็ตั้งหน้าตั้งตาจะอาเจียน
“เนียน เรียม นี่ๆๆ นางกบ นางแมว เอ็งไปตามท่านขุนมาเดี๋ยวนี้ ลูกอิจฉามาเกิดพร้อมกันสองคนซะแล้ว นี่ข้าจะมีหลานสามคน จริงๆ รึ” หญิงชรายกมือท่วมหัว “ขอบคุณเทวดาฟ้าดินสิ่งศักดิ์สิทธ์เจ้าค่ะ”
ทองจันทร์ปลาบปลื้มจนน้ำตาคลอ
ขณะที่ขุนภักดีกำลังโอบกอดเด็กชายอย่างมีความสุข สนกระอักกระอ่วนแต่ก็ต้องทำหน้าทำตา
ไปตามเพลง
“ช่างน่ารักน่าชังกระไรอย่างนี้ ลูกชายของพ่อ พ่อเทวดาของพ่อ สนดูสิ หน้าตาเหมือนพี่ใช่ไหม”
สนมองแล้วว่าหน้าไม่เหมือนท่านขุน
“เหมือนสนตะหากค่ะ”
“พี่ไม่ยอม ลูกพี่ ก็ต้องเหมือนพี่สิ”
“ก็ได้ค่ะ เอ้อ...พี่ขุนจะตั้งชื่อลูกชายเราว่ากระไรดีคะ”
“ชื่อ...”
ขุนภักดีพูดไม่ทันจบคำ มีเสียงเอะอะดังมาจากด้านล่าง
“นั่นใครมาโวยวายอะไรกันข้างล่าง”
เสียงช้อยดังเข้ามา “ไปให้พ้น ท่านขุนกำลังชื่นชมลูก อย่ามาเห่าแถวนี้”
กบกับแมว พยายามบอกช้อย
“นี่เอ็ง ช่วยไปเรียนท่านขุน ว่าคุณท่านให้รีบไปที่เรือนใหญ่ด่วน มีเรื่องสำคัญจะเรียนท่านขุน”
“ฟังนะพวกเอ็ง จะมีอะไรสำคัญไปกว่า ท่านขุนได้ลูกชายอีกรึ นายเอก แหมไปแห่กันมาซะมากมายไปหมด” ช้อยโต้
“สำคัญไม่ด้อยกว่ากันเลยแหละ เพราะคุณนายเรียมกับคุณเนียนตั้งท้องพร้อมกัน” เอกบอก
ช้อยตกใจ ตาเหลือก กบกับแมวยิ้มย่อง
พอได้ฟัง ขุนภักดีสะดุ้งพรวด สนหน้าเสีย
“เรียมกับเนียนท้อง”
สนพึมพำ “ลูกอิจฉามาเกิด”
“สนจ๋า พี่ ขอโทษ พี่ต้องรีบกลับไปดูเนียนกับแม่เรียม แล้วพี่จะกลับมานะจ้ะ พ่อไปก่อนนะทูนหัว พ่อจะไปดูน้อง”
ขุนภักดีส่งลูกคืนให้สน หอมลูกแล้วเดินออกไปอย่างตื่นเต้นมาก สนมองตาม แช่งชักหักกระดูกแค้นใจที่สุด
“อีเนียน อีเรียม นี่มึงจะขัดขวางความสุขความเจริญกูไปถึงไหน กูมีลูก มึงก็มีแข่ง อีเรียมก็อีกคน เจ้าประคู้นขอให้มึงคลอดลูกแล้วลูกมึงตายทั้งแม่ทั้งลูก”
เด็กชายตัวน้อยร้องไห้จ้า สนตวาดแว้ด
“ร้องทำไมไอ้ลูกเสือ ลูกจระเข้”
ช้อยเข้ามาหาสนมากอดขา มารับเด็กไป
“คุณสนเจ้าขาใจเย็นๆ เจ้าค่ะ พวกมันเล่นสองรุมหนึ่ง เราต้องเอาชนะมัน ด้วยการตัดกำลังมันไปทีละคนเจ้าค่ะ คุณหนูคนนี้ จะลูกใครก็ช่างแต่แท้จริงก็ลูกคุณสนนะเจ้าคะ”
“แต่ข้าทำใจไม่ได้ มันรู้สึกตลอดเวลาว่ามันเป็นลูกไอ้คนที่ข้าเกลียดและขยะแขยงที่สุด”
ช้อยส่ายหน้าห้าม
“อย่าเจ้าค่ะ คุณหนูตัวน้อยคนนี้แหละเจ้าค่ะ จะนำโชคมาให้คุณสน คุณสนจะมีจะได้ทุกอย่างเพราะเขา เลี้ยงไปดูแลกันไปคุณสนก็รัก และลืมไปเองว่าเขาไม่ใช่ลูกท่านขุน ดูหน้าตาสิเจ้าคะ ช้อยเกิดมาไม่เคยเจอเด็กชายอะไรงามอย่างนี้มาก่อน” ช้อยยิ้มขณะมองหน้าเด็กน้อย
“แต่มันไม่เหมือนข้า จะดันไปเหมือนไอ้อมนุษย์นั่นหรือเปล่าก็ไม่รู้ มันไม่ยอมเปิดเผยหน้าให้เราเห็นซะด้วย”
“ถ้าไม่เหมือนคุณสน แต่หน้าตาน่ารักน่าชังงามอย่างนี้ แสดงว่าไอ้หนักหน้าตาดีเจ้าค่ะ” น้อยหลุดปาก
“อีๆๆ ช้อยกูจะถีบมึงตกเรือน อย่าได้เอ่ยถึงมันให้กูได้ยินอีก”
“ช้อยขอโทษเจ้าค่ะ คุณสนก็ได้อย่ากินแหนงแคลงใจในตัวคุณหนูอีกสิเจ้าคะ ดูสิเจ้าคะ ร้องไห้อยากกินนมคุณสนแล้วเจ้าค่ะ”
สนมองแล้วเห็นตาม ใจอ่อนยวบ เอาลูกน้อยมาโอบกอด
“ลูกจ๋า แม่ขอโทษ”
บนเรือนหลังใหญ่บ้านขุนภักดีภูบาลเกิดโกลาหล บริเวณหน้าห้องของทั้งเรียมและเนียน กบกับแมววิ่งสวนกันไปมามีทองจันทร์กำลังวุ่นวายสั่งการ
“ไหน ไปตามท่านขุนมาหรือยัง นางแมว นางกบ”
“ตามแล้วเจ้าค่ะ” สองคนบอกพร้อมเพรียง
“แล้วไหนท่านขุน”
สองคนอึกอักเหมือนกัน “ก้อ”
“ก้ออะไร”
“นางช้อยมัน...” สองคนกำลังจะบอก
ขุนภักดีโผล่มาพอดี “ผมมาแล้วครับคุณแม่” หน้าตาท่านขุนเบิกบานมาก เข้ามาฉวยทองจันทร์อุ้มขึ้นจนตัวลอย ผู้เป็นแม่ตกใจ
“ไฮ้ พ่อเทพเล่นอะไรเหลวไหลนี่แม่นะ ไม่ใช่แม่เรียมแม่เนียน มาอุ้มทำไม”
“ผมดีใจที่สุดในชีวิต ความฝันความต้องการของผมเป็นจริงเกินจริง ผมมีลูกสามคน ผมมีลูกสามคน คุณแม่ดีใจกับผมไหมครับ” ขุนภักดีลิงโลด ตื่นเต้นเป็นที่สุด
“ดีใจก่อนพ่อเทพซะอีก ปล่อยแม่ลงก่อน แล้วรีบไปรับขวัญเรียม กับเนียน”
ขุนภักดีวางผู้เป็นแม่ลง กบกับแมวหัวเราะกันคิกคัก ท่านขุนหายไปทางห้องเรียมก่อน
ทองจันทร์หันมาแว๊ดสองบ่าว “พวกเอ็งอยากท้องบ้างรึ หัวเราะร่วนเป็นไข่เค็มทีเดียว แจ๋แจ๋นกันดีนักผู้ชายเต็มบ้านมันถึงไม่แลเอ็งสองคนสักที”
สองคนยิ่งหัวเราะกันใหญ่ รู้ว่าทองจันทร์ปากร้ายใจดี
ที่เรือนเล็กของสน ทารกน้อยลูกชายของสนหลับพริ้มอยู่บนฟูกเล็กๆ สนมองหน้าลูกเข้าที่หน้าเด็กน่ารักน่าเอ็นดู
“ลูกคุณสนคือลูกชาย ลูกคนโตของบ้านภักดีภูบาลย่อมมีสิทธ์และมีศักดิ์มากกว่าลูกของอีเรียมกับอีเนียนค่ะ ท่องไว้ค่ะ เชิดชูเขาไว้ให้สูงส่งกว่าลูกของใครๆ ในบ้านนี้เจ้าค่ะ” ช้อยเสี้ยมยกใหญ่
“ขอบใจมากช้อยที่เอ็งเตือนสติข้า มาช่วยกันภาวนาว่าขอให้มันได้ลูกผู้หญิง”
“เจ้าค่ะ ช้อยจะภาวนาทุกค่ำคืน ให้ลูกพวกมันเป็นผู้หญิง เกิดมาหน้าตาอัปลักษณ์ อาการไม่ครบสามสิบสอง” ช้อยว่า
“หรือไม่ก็ไม่ต้องทันลืมตาดูโลก” สนคำรามออกมา
“คุณสน”
สนหันไปจ๊ะจ๋ากับลูกน้อย “ตาหนูลูกรักของแม่ แม่รักหนูนะจ้ะ เพราะหนูคือลูกของท่านขุนภักดีภูบาล”
สนมองลูกแล้วอดใจไม่ได้ก้มลงไปหอมเด็ก ช้อยมองยิ้มอย่างพอใจ
ขณะเดียวกันเรียมอาการดีขึ้นมาแล้ว ขุนภักดีโอบประคองไว้ เรียมหวาดหวั่นว่าจะเกิดเหตุซ้ำเก่า
“เรียมไม่เกี่ยงทั้งนั้นว่าลูกเราจะเป็นหญิงหรือชาย ขอให้ผ่านไปได้เก้าเดือน อาการครบสามสิบสองเรียมก็พอใจแล้วค่ะ แต่พี่เทพคะ เรียมกลัว”
“เรียมกำลังกลัว อย่ากลัวสิจ้ะเรียม พี่มั่นใจว่าลูกเราจะผ่านเก้าเดือนไปได้ พี่มั่นใจว่าพี่จะมีลูกสามคนแน่นอน ความกลัวจะทำให้เรียมไม่แข็งแรง ลามไปถึงลูกของเรานะจ๊ะ”
“ขอบคุณพี่เทพมากค่ะ ที่ปลอบเรียม เรียมจะไม่กลัว เรียมจะดูแลตัวเองให้ดีที่สุดเพื่อลูกของเรา”
“เรียมไม่ควรออกไปเดินตรากตรำ หรือนั่งหลังขดหลังแข็ง ร้อยมาลัย ทำขนม จัดดอกไม้ในช่วงนี้นะจ๊ะ”
“ค่ะ พี่เทพ”
“ถ้าเรียมไม่ฟังที่พี่ขอร้อง ไปทำอะไรจนลูกพี่มีอันตราย พี่โกรธเรียมมากแน่” ขุนภักดีบอกอย่างจริงจัง
“ค่ะ พี่เทพ”
ขุนปลอบโยนให้กำลังใจเรียม ที่ใจคอไม่ค่อยจะดี สาเหตุเพราะเรื่องท้อง 2 ครั้งที่ผ่านมา
ส่วนสนกับช้อยยังไม่เลิกขวางที่พวกเรียมกับเนียนท้องพร้อมกัน
“อีเรียมมันแท้งลูกมาสองครั้งแล้ว ครั้งนี้ขอให้มันไม่รอดเหมือนเดิม” สนแช่ง
“ช้อยจะสวดมนต์ให้มันมีอันเป็นไปเช่นนั้นทุกคืนเจ้าค่ะ”
สองนายบ่าวจิตใจชั่วช้า ยกมือพนม
ทางด้านขุนภักดีโอบกอดเนียนแสดงความดีใจ
“พี่หวังว่าลูกของเนียนจะเป็นลูกสาว หน้าตาสวยงามน่ารักนิสัยใจคอดีเหมือนเนียน”
“ค่ะ พี่ขุน”
“โดยเฉพาะดวงตาของเนียน มันทั้งหวานทั้งซึ้ง จนพี่เห็นเนียนครั้งแรกก็หลงรักดวงตาคู่นี้จนถอนใจไม่ขึ้น”
“พี่ขุน ยอเนียนมากไปแล้วค่ะ เนียนก็แค่ชาวนาธรรมดา ไม่คู่ควรกับพี่ขุนดอกค่ะ” เนียนหน้าเศร้าลง
“คนเราคู่ควรกันที่ความดีจ้ะเนียน ไม่ใช่ชาติกำเนิด เอ๊ะ ทำไมเนียนดูหมองๆ เนียนกลัวไม่ได้ลูกชายรึ”
ตำพูดนั้นแทงใจดำเนียนจังๆ
“ไม่ใช่ดอกค่ะพี่ขุน แต่เนียน ไม่ค่อยสบาย พะอืดพะอม วิงเวียนน่ะค่ะ”
“จริงสินะ พี่ลืมคิดไปว่า เนียนท้องสาว ลูกคนแรกก็คงจะแพ้มากแพ้นานหน่อย”
เนียนยิ่งเหมือนโดนเข็มทิ่มแทงใจมากขึ้น หน้าหมองลงไปอีก น้ำตาพาลจะหยด เพราะรู้สึกว่าตัวเองกำลัง
หลอกลวงขุนภักดี
“ค่ะ”
ขุนภักดียิ่งรักและสงสารเนียน “เนียนจ๋า สิ่งใดๆ ในโลกที่เนียนต้องการเว้นเดือนกับดาวเท่านั้น พี่จะหามาให้เนียน ขอเพียงให้เนียนมีความสุข พี่เข้าใจว่าเนียนยังอ่อนเยาว์ การมีลูกครั้งแรก อาจทำให้เนียนกลัว”
เนียนน้ำตาร่วงเผาะ ซึ้งในน้ำใจและความรักที่ขุนภักดีมอบให้ เนียนก้มลงกราบท่านขุน
“เนียนขอบพระคุณ เนียนขอบพระคุณค่ะ”
ขุนภักดีดึงเนียนมากอดแนบอก รักเหลือแสน
ฟากสนยังไม่เลิกรา คิดหาทางจัดการเนียน
“เราต้องค้นหาความลับของอีเนียนให้ได้ ว่าทำไมมันจึงแอบร้องไห้”
“ค้นหาพบหรือไม่พบก็ไม่สำคัญ เท่ากับเราหาเหตุหาเรื่องไปปะติดปะต่อให้มันเป็นเรื่อง อย่างที่เราเคยพยายามทำก็เพียงพอแล้วเจ้าค่ะ คุณสน”
“จริงของเอ็งช้อย เราพยายามทำมาตลอดเวลา แต่มันแคล้วคลาดทุกที ครั้งนี้อย่าให้พลาด อีเนียนเอ๊ย สี่ตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง แล้วเอ็งเป็นใคร ทั้งโง่ทั้งเซ่อ เอ็งไม่รอดมืออีสนแน่”
สนมีสีหน้าเหี้ยมโหด นัยน์ตาวาววับ ขณะพูด พร้อมจะเอาเรื่องเนียนให้จงได้
อาญารัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
หลายวันผ่านไป เด็กชายแดงน้อยซึ่งเดินได้เตาะแตะแล้ว กำลังร้องจ้า หน้าตาแดงก่ำ ตัวร้อนยังกับไฟ มีแพรกับโพล้งกำลังพยายามปลอบ
“แดงน้อยเงินค่าเช่าที่นาของแม่เอ็งก็จ่ายค่ายาไปหมดแล้ว ป้ากำลังจนปัญญา หาเงิน อย่าร้องไห้สิน่า”
“อุบ๊ะ ตัวมันร้อนจี๋ยังกับไฟรน จะให้มันหัวร่อรึ นางแพรนี่ประหลาด”
“เอ็งอย่ามาเล่นสำนวน ทำอะไรสักอย่างให้ได้เงินมารักษาแดงน้อยมันเอ็งน่ะชอบแอบเอาเงินที่พี่หนักเขาให้ไปกินเหล้า ไปเมามาย” แพรด่าผัว
“อ้าวนางแพร ก็เอามากินด้วยกันนั่นแหละวะ แล้วมาหาความข้าคนเดียว นางนี่ เอาดีเข้าตัวเอาชั่วใส่กูซะงั้น เดี๋ยวพัด”
“เดี๋ยวพัดอะไร เดี๋ยวแม่เอาอีโต้จามปากซะดีไหม”
แพรไม่พูดเปล่าหันไปจะคว้าอีโต้ หนักเข้ามาอุ้มแดงน้อย พร้อมตวาดสองคน
“หยุด! โอ๋...แดงน้อยของลุง โถ...พ่อเจ้าประคูณ ตัวร้อนจี๋ ยังต้องมาฟังหมา สองตัวคำรามใส่กัน เงียบโว๊ย”
สองคนเงียบฉี่ทันที แล้วนึกได้ว่าเป็นหนัก ต่างคนต่างตื่นเต้น
“พี่หนัก” พูดแทบเป็นตะโกน
“พวกมึงจะตะโกนเรียกชื่อกูให้คนไปบอกตำรวจมาจับกูรึ”
สองคนยกมือไหว้ พูดประสานเสียง
“ขอโทษจ้ะพี่”
“หลานกูป่วยขนาดนี้ ไม่มีเงินรักษากันรึ”
สองคนส่ายหน้า
“มันป่วยบ่อยมาก เงินค่าเช่านาเลยไม่พอใช้จ่าย”
หนักถอนใจ
“ข้าเองก็ลำบาก หาที่ปล้นยากขึ้น ตำรวจก็ตามจับจนไม่กล้าไปไหน นอกจากคืนเดือนมืด นี่ฝันถึงเนียนกับพ่อมายืนร้องไห้ห่วงแดงน้อยดอก ข้าเลยตัดใจเสี่ยงมาหาหลาน เงินข้าพอมีเหลืออยู่บ้าง เอาไปใช้ รักษามันนะ”
“เนียนมันจะรู้บ้างไหมว่าลูกป่วยหนัก” โพล้งรำพัน
“น่าจะไปบอกมันสักหน่อย” แพรบอก
“บอกให้คนเขาสงสัยละสิ นางสนคนชั่วกับบ่าวของมันน่ะ เลวหาใครเปรียบไม่มี” หนักว่า
“พี่ แต่ถ้าแดงน้อยมันแย่ๆ มาก ในฐานะที่เนียนมันเป็นแม่ ก็ต้องส่งข่าว มันนะพี่นะ” โพล้งบอก
หนักพยักหน้ารับรู้
ส่วนเรือนใหญ่บ้านภักดีภูบาล มีพิธีโกนผมไฟให้ลูกชายสน โดยท่านพระครูรูปเดิม ในพิธีโกนผมไฟใหญ่ วันนี้สนนั่งหน้าบานเคียงข้างด้วยขุนภักดี ช้อยนั่งห่างออกไปทำตัววิเศษกว่าบ่าวคนอื่นๆ ส่วนเนียนกับเรียมนั่งคู่กันห่างออกมา มีคุณนายทองจันทร์นั่งใกล้ๆ
ท่านพระครูโกนผมไฟให้ลูกชายสน พลางมองหน้าเนียน สน และเรียมที่กราบท่านอยู่
“เอ แม่สนกับแม่เนียนดองเป็นญาติสนิทกันหรือเปล่า”
สนกะเนียนพูดพร้อมกัน “เปล่าเจ้าค่ะ”
“มีอะไรหรือเจ้าคะ ท่านพระครู” ทองจันทร์สงสัย
“เด็กคนนี้หน้าเหมือนแม่เนียน มากกว่าแม่สน โดยเฉพาะดวงตาแววเดียวกันเปี๊ยบ”
คำพูดของท่านพระครู ทำเอาทุกคนต่างแปลกใจ และนั่นทำให้ทุกคนเริ่มมองหน้าเนียนกับหน้าเด็ก และหน้าสน
“จริงด้วยเจ้าค่ะ ท่านพระครู จริงด้วยพ่อเทพ” ทองจันทร์เห็นด้วย
เรียมก็เห็นตาม “เรียมก็ว่าจริงค่ะ แปลกนะเนียน”
สนชักหงุดหงิด “โตขึ้นมันก็เปลี่ยนมาเหมือนสนเอง พี่ขุนขา ลูกชายเรายังไม่มีชื่อนะคะ”
ขุนภักดีที่กำลังมองเด็กชายตัวน้อยสะดุ้ง แล้วเห็นตรงกับทุกคน
“ใช่จ้ะ ท่านพระครูขอรับ กรุณาตั้งชื่อให้ลูกชายผมด้วย”
“ดูจากวันเดือนปีเกิด เวลาตกฟากที่แม่สนเขาบอกมาแล้ว ชื่อนี้เหมาะที่สุด”
“ชื่อว่ากระไรเจ้าคะ ท่านพระครู” สนพนมมือถาม
“เทิดศักดิ์” ท่านพระครูบอก
ขุนภักดีชอบใจมาก “เทิดศักดิ์ ช่างฟังดูดีเหมาะเหลือเกิน ผมกราบขอบพระคุณท่านพระครูขอรับ สนจ๋า รีบกราบขอพรท่านพระครูสิจ๊ะ”
สนยิ้มระรื่นกราบท่านพระครูอย่างนอบน้อม ช้อยหน้าเชิด ปรายตามองเนียนกับเรียม ไล่ไปถึงแมวและกบ
“ยังมีอีกสองลูกรออยู่นะเจ้าคะ ท่านพระครู” ทองจันทร์พูดยิ้มๆ
“รออีกหลายเดือนนี่โยม” ท่านพระครูว่า
“ท่านพระครู จะไม่ดูดวงชะตาให้หลานเทิดศักดิ์ของอิชั้นสักหน่อยหรือเจ้าคะ” ทองจันทร์ขอร้อง
ท่านพระครูมองหน้าเด็ก สลับกับมองหน้าสน แล้วมองหน้าท่านขุน เงียบไปคครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมา
“ชะตาจะเป็นไปเช่นใดไม่อาจฝืนดอกโยม พ่อหนูคนนี้มีบุญเกินตัว สุขทางกายมีมากมายเหลือคณานับ แต่จะอาภัพรักเมื่อโตขึ้น”
ช้อยสาระแนขึ้น “เพราะมีผู้หญิงมาให้เลือกมากมายจนเลือกไม่ได้ใช่ไหมเจ้าคะ”
“นางช้อย” ทองจันทร์ปราม “เชิญท่านพระครูต่อไปเจ้าค่ะ”
“แต่ที่แน่ๆ เขาเป็นคนดี แม่สนต้องใจเย็นสักหน่อยอย่าวู่วาม จะเสียการเสียหายเสียใจมาถึงลูก”
สนกับช้อยแอบมองหน้ากัน ขุนภักดียิ้มแย้ม แม้จะอึ้งกับคำว่าอาภัพรัก
“ขอเพียงลูกเทิดศักดิ์ของผมเป็นคนดี ผมพอใจที่สุดแล้วขอรับ”
สนกับช้อยหงุดหงิดมากกับคำทำนายของท่านพระครู
พอกลับมาที่เรือน เด็กชายเทิดศักดิ์นอนลืมตาแป๋ว สนอุ้มเทิดศักดิ์ในอ้อมแขน ช้อยกำลังเพ่งมองใบหน้าเทิดศักดิ์เช่นกัน
“อยากจะเห็นหน้าไอ้เสือหนัก ว่าหน้าตามันเป็นอย่างไร เด็กนี่ก็ช่างกระไร หน้าไม่เหมือนแม่บ้างก็ยังพอทำเนา ดันไปหน้าเหมือนอีเนียน”
“คุณสนเจ้าขา ดูดีๆ สิเจ้าคะ เป็นจริงที่พระท่านว่า ช้อยว่าดวงตาคุณหนูเหมือน เหมือน…”
“เหมือนอะไร”
“เหมือนตาไอ้เสือหนัก ไม่ใช่อีเนียนดอกเจ้าค่ะ” ช้อยบอก
สนนึกโมโห “อีช้อย ข้าอยากจะถีบเอ็งตกเรือนจริงๆ”
“โธ่ ช้อยพูดซื่อๆ พูดความจริง คุณสนเห็นแต่ตามันเจ็ดวันเจ็ดคืน จำแววตามันไม่ได้ดอกหรือเจ้าคะ” ช้อยว่า
จังหวะนั้นดวงตาของหนักที่สนพอนึกออก ผุดขึ้นในหัว เป็นภาพเห็นแววตาของหนักที่สนเห็นอย่างชัดเจนภายใต้ผ้าขาวม้าที่ปิดคาดเอาไว้ ขณะที่หนักกับโพล้งเอาสองคนมาปล่อยไว้ที่ ที่ท่าน้ำ
สนถอนใจยอมรับว่าใช่
“ก็ใช่ของเอ็งนะช้อย แต่ข้าไม่เข้าใจ ว่าทำไมพระครูถึงว่าแววตาเด็กนี่ เหมือนอีเนียน มันเกี่ยวข้องกันซะที่ไหน”
ช้อยคิดแล้วพยักหน้า
“จริงด้วยเจ้าค่ะ แววตาคุณหนูเทิดศักดิ์เหมือนแววตาของอีเนียน หวานซึ้ง มีเศร้าปน”
“อีช้อย ชมมันรึ” สนนึกฉุน
“ชมคุณหนูเทิดศักดิ์เจ้าค่ะ”
สนมองหน้าลูก แล้วเกิดมโนภาพดวงตาภายใต้ผ้าพันหน้าของหนัก เทียบภาพแววตาของเนียน สนดึงตัวเองกลับมา
“เอาเด็กไปวางบนฟูก เอามุ้งครอบซะ ข้าไม่อยากเห็นแววตานี้”
“กลัวหรือเจ้าคะ”
“กูบอกให้เอาเด็กไปวาง เอามุ้งครอบไว้”
ช้อยรีบทำตามรู้ว่านายหงุดหงิด
ขณะเดียวกันขุนภักดีเอามือลูบดวงตาของเนียน ไปมา แล้วก้มลงจูบเปลือกตาของเนียน
“แววตาของลูกเทิดศักดิ์ ช่างเหมือนกับแววตาของเนียนราวกับเป็นตาคู่เดียวกันจริงๆ”
“เนียนไม่ทันมองแววตาของคุณหนูเทิดศักดิ์ตรงๆ สักครั้งค่ะ”
“พี่ชอบแววตานี้ แววตาที่อ่อนหวาน ใสซื่อ หาความคดโกงไม่พบ เนียนจ๋า ขอให้ลูกของเนียน เกิดมามีแววตาเช่นนี้อีกคนนะจ๊ะ”
“ค่ะ พี่ขุน”
ขุนภักดีลูบท้องเนียนไปมา อย่างมีความสุขล้น พร้อมกันนั้นก็ดึงรั้งตัวเนียนมาซบบ่าตนไว้
เนียนซบลงอย่างมีความสุขเช่นกัน
อีกวันต่อมา ทองจันทร์อยู่บนเรือ พยักหน้ากับเรียมขำๆ
“แม่สนมันไม่ชอบหน้าเนียน มันชอบจ้องหน้าเนียนเหมือนจะเชือดเฉือนใจ คนเราเกลียดสิ่งได้มักจะได้สิ่งนั้นมาเป็นของตัว แม้ไม่ปรารถนา สนมันเลยได้ตาของเนียนไปเป็นตาของลูกมัน”
“แต่เรียมว่ามันน่าแปลกอย่างท่านพระครูท่านว่านะคะ คุณแม่”
“แม่ว่าผีเขาปั้นเรื่อยเปื่อยน่ะแม่เรียม ปั้นมนุษย์มากๆ เข้าผีก็เหนื่อย เลยเอาแบบตาแบบหน้าแบบนิสัย ใส่มาให้มนุษย์มั่วซั่วปะปนกันไปหมด ถึงได้มีคนหน้าสวยเหมือนนางฟ้า น่าจะนิสัยดีกลับนิสัยชั่วร้าย คนหน้าชั่วร้ายเหมือนนางภูติ กลับนิสัยดี แต่ตอนนี้แม่ไม่ดีใจอะไรเท่ากับบ้านเราช่างมีแต่ความสุขไปทั่วทุกหย่อมหญ้า”
ทองจันทร์ยิ้มหน้าบาน มีความสุขอยู่กับเรียม
โลกกลมเสียนี่กระไร เพราะจู่ๆ ยายอ่อนซึ่งต้องการซื้อที่นาเป็นของตัวเอง ก็มาหาคุณนายใจอีกา สองคนอยู่บนที่นาของเนียน
“ที่นานี่ไม่ใช่ของชั้นดอก ย่ะ”
“อ้าว นี่อิชั้นเข้าใจผิดดอกหรือจ๊ะ”
“แต่ที่นาใกล้กันก็ของชั้นนี่แหละ แต่ไม่ขายให้ใครหน้าไหนดอก พวกจะเอาไปนินทาว่าจนถึงขนาด ต้องขายนากิน”
“อ้อ...” ยายอ่อนพยักหน้า
“แต่จะบอกให้เอาบุญว่าที่นานี้เจ้าของมันจน มันเคยเอามาจำนองจนแทบหลุด ดีแต่ว่าชั้นเมตตา ผ่อนผัน มันก็เลยไปกู้เงินเขาเอาลูกสาวไปขัดดอกไว้มาไถ่ที่นา ก็ทำนองว่าพ่อมันขายลูกสาวกินนั่นแหละ”
“อ้อ แล้ว เจ้าของที่นานี่ใครกันเล่าจ๊ะ คุณนาย”
“เอาหูมาใกล้ๆ จะนินทาให้ฟัง ฟังแล้วเหยียบ อย่าได้บอกว่าชั้นพูดหาไม่เช่นนั้นชั้นกับยายจะโดนเหยียบ คือว่านางขัดดอกคนนี้มันชื่อนาง…”
โพล้งเดินมาขัดจังหวะ ทันเวลาพอดี
“นางคุณนายใจอีกา มึงมาแวะเวียนที่นามาเหยียบที่นานี่ทำไม ประเดี๋ยวเถิด จะว่าไม่เตือน ท่านกำชับไว้ว่าอย่างไร”
คุณนายตกใจถอยกรูด ไม่ยอมตอบคำถามยายอ่อน
“เดี๋ยวก่อนสิจ๊ะ คุณนายใจอีกา ยังไม่ได้ตอบเลยว่าใครเป็นเจ้าของที่นานี่”
“ยายนั่นแหละ มาถามทำไม” โพล้งสงสัย
“ถามเพราะว่าจะมาตั้งรกรากที่นี่ ลูกชายสนใจอยากจะซื้อที่นานี่”
“มีเงินพอรึ”
“สืบราคาไว้ก่อน แล้วจะหาให้ครบ ลูกชายชั้นมันอยากได้มาก” ยายอ่อนบอก
“จะไปหาเงินที่ไหนล่ะ” โพล้งสงสัย
“แถวบ้านของท่านขุนภักดีภูบาลนั่นแหละ”
โพล้งตกใจระคนตื่นเต้น “ยาย..นี่ยาย...”
หลายวันผ่านไปสนกำลังอุ้มเทิดศักดิ์ลุกเดินนวยนาดอยู่ในบริเวณบ้าน มีช้อยเดินถือผ้าอ้อมถือร่มเดินกางตามหลัง
“ช้อย อีเนียนกับอีเรียมมันเลิกแพ้ท้องหรือยัง”
“คุณสนเจ้าขา พูดจาให้มันเพราะสิเจ้าคะ ขึ้นนังขึ้นอี คุณหนูเทิดศักดิ์จะจำเอาไปพูดเจ้าค่ะ” ช้อยบอก
“นางช้อย เอ็งจะบ้ากันใหญ่รึ คุณเทิดศักดิ์อายุสามสี่เดือน จะมาจำคำพูด ได้อย่างไร เอ็งอย่าล้น”
มีเสียงทักมาจากท่าน้ำ
“คุณสนเจ้าขา”
สนกับช้อยมองไปสะดุ้งโหยง
“ยายอ่อน”
“เอ็งมาทำไม” สนถาม
ระหว่างนั้นกบกับแมวเดินมาพอดี สองคนชะงักมองหน้ากัน
“ยายอ่อนกลับมาแล้ว”
ยายอ่อนฉวยโอกาสรีดไถเอาเงินจากสน
“คุณสนเจ้าขา อิชั้นกลับมาเพื่อจะมาเอ้อ... มาขอยืมเงินคุณสนสักยี่สิบชั่ง”
สนเหลียวขวับ “ว่ากระไรนะยายอ่อน พูดอะไรออกมารู้ตัวไหม”
“รู้สิเจ้าคะ อิชั้นจำได้ว่าคุณสนใจดีมีเมตตา ให้เงินยายไปทำทุนตั้งหนึ่งชั่ง เพียงแค่อย่าบอกใครว่าคุณสนท้องแล้วสองเดือนกว่าๆ” ยายอ่อนว่า
“อย่าพูดคำนี้อีก แล้วทำไมเอ็งไม่เอาไปทำทุนทำมาหากิน”
“มันทำทุนไม่พอดอกเจ้าค่ะ อิชั้นจะเอาไปซื้อที่นา แต่ราคามันตั้งยี่สิบสามสิบชั่ง”
สนดักคอ “ก็เลยคิดจะมาขู่ข้ารึ”
“หามิได้เจ้าค่ะ อิชั้นมาขอความช่วยเหลือ แต่ถ้าคุณสน...”
ช้อยอุ้มเด็กเดินเข้ามาหา
“คุณสนเจ้าขา คุณท่านให้มาตามยายอ่อนไปดูอาการ คนท้องบ้านโน้นเจ้าค่ะ”
ยายอ่อนแปลกใจ “คนท้อง ใครท้องรึ”
“ไม่ต้องไป” สนสั่ง
ทองจันทร์พรวดมาถึงชานเรือนพอดี
“ใครเป็นใหญ่ที่สุดในบ้านนี้ แม่สนรึว่าชั้น”
สนมองไปเห็นทองจันทร์ยืนอยู่ มีแมวกับกบอยู่ด้านหลัง
“ที่สนบอกว่าไม่ให้ยายอ่อนไปน่ะ สนจะพาไปเองค่ะคุณแม่ ใช่ไหมยายอ่อน”
สนจ้องยายอ่อนเป็นการสำทับ
“เจ้าค่ะ คุณนายทองจันทร์” แล้วยายอ่อนก็มองไปที่เด็กในมือช้อย พูดลอยๆ “ต๊ายน่ารัก น่าชัง หน้าไม่เหมือนแม่ หน้าแบบนี้เคยเห็นที่ไหนน้อ...”
ช้อยกับสนอึ้งพูดไม่ออก ยายอ่อนรีบตามทองจันทร์ไปทันที ทิ้งคำพูดให้สองคนคลั่ง
สนมองหน้าเทิดศักดิ๋แล้วเมินหนี เพราะภาพแววตาของหนักในผ้าขาวม้าที่มองมายังสนผุดซ้อนขึ้นมาหลังดวงตาของเทิดศักดิ์
สนคิดแล้วเครียด
“ไม่ต้องมองหน้าแม่ ไม่อยากจะสบตา เด็กบ้าไม่ยอมหน้าตาเหมือนแม่ ดันไพล่ไปเหมือนศัตรูของแม่ ช้อยเอาไปนอนซะ”
“เอาอีกแล้วเจ้าค่ะ ท่องไว้เทิดทูนเชิดชูคุณหนูเทิดศักดิ์เจ้าค่ะ ดูสิเกิดมาไม่กี่เดือน สร้างบุญวาสนาให้คนหงอคุณสนกันทั้งบ้าน ยกเว้น คุณนายทองจันทร์”
ช้อย พาเด็กออกไป สนมองตามหลังยายอ่อน แค้นเคืองขัดใจไปหมด
“อีแก่ทองจันทร์อีแก่หมอตำแย มึงมาก่อกวนจิตใจกูให้ขุ่นมัวทำไม”
ไม่นานต่อมายายอ่อนคลำท้องเนียนบีบๆ จับๆ ดูไป ยิ้มไป
“นั่นปะไรว่าเคยเห็นตาและเค้าหน้าอย่างนี้ที่ไหนก็หน้าก็ตาคุณเนียนนี่เอง”
“ยายอ่อนพูดเรื่องอะไรจ๊ะ”
“ลูกชายคุณนายสนน่ะสิคะ หน้าโดยเฉพาะตาเหมือนยังกะเป็นลูกคุณเนียน”
“ยายอ่อนจ๋า พูดจาอะไรระวังคำพูดด้วยจ้ะ คุณสนเธอจะเคืองเอา”
“เธอเคืองไปแล้วแหละเจ้าค่ะ” ยายบอก
“อย่าพูดถึงคนอื่น พูดถึงลูกของชั้นเป็นอย่างไรบ้างเถิดจ้ะยาย”
“ดิ้นแล้วเจ้าค่ะ ดิ้นแรงซะด้วย สุขภาพแข็งแรงทีเดียว ผิดกับของคุณนายเรียมนะเจ้าคะ ดิ้นอ่อนแรงเหลือเกิน ท่าทางจะไม่ค่อยแข็งแรง จะคลอดยากซะก็ไม่รู้” ยายอ่อนว่า เพราะไปตรวจท้องเรียมก่อนจะมาตรวจเนียน
“ยายบอกแล้วไงจ้ะ พูดจาระวังหน่อย” เนียนปราม
“ก็แค่พูดกับคุณเนียน เท่านั้นแหละเจ้าค่ะ”
“ขอบใจมาก ที่มาตรวจให้ ชั้นดีใจนะจ้ะที่ยายกลับมา”
“อันที่จริงไม่ได้อยากจะไปดอกจ้ะคุณเนียน แต่รับปากคนเขาเอาไว้เฮ้อ...พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทองดีกว่านะคะ อ้อ...อิชั้นเกือบลืม มานี่ไม่ได้มาเรื่อยเปื่อยนะเจ้าคะ ยายมีจอมอมาให้คุณเนียน”
“จดหมาย”
ยายอ่อนกระซิบบอก “อิชั้นไปอยู่บ้านแพนมา”
ยายอ่อนค่อยๆ เม้มจดหมายออกมาจากชายพก เป็นกระดาษแผ่นเล็กๆ
พร้อมๆ กับที่เปิดจดหมายออก อ่านภาพแดงน้อยนอนป่วย ซ้อนขึ้นมาจนเนียนนึกเป็นภาพ ว่าอาการดูแย่ลงมาก ร้องครางเบาๆ แบบไม่มีเรี่ยวแรง แพรนั่งร้องไห้โพล้งนั่งน้ำตาซึม
ยินเสียงแพรอ่านตะกุกตะกักอ่านไม่เก่ง
“แดงน้อยป่วยหนักมาก เงินค่ารักษาไม่พอ เดือนแรมสิบห้าค่ำที่จะถึงจะส่งคนมาหา เตรียมเงินไว้ได้ไหม...แพร”
อ่านจบเนียนน้ำตาร่วงพรู ยายอ่อนตกใจ
“คุณเนียน ร้องไห้เรื่องอะไรเจ้าคะ”
เนียนส่ายหน้า ไม่ตอบ มือกำจดหมายแน่น ยายอ่อนนึกเอาเอง
“อ้อ...คุณเนียนสงสารคุณนายเรียมว่าลูกในท้องอ่อนแอ กลัวเธอจะซ้ำอีหรอบเดิมใช่ไหมคะ โถแม่คุณช่างจิตใจอ่อนโยน ขี้สงสาร”
เสียงกบเรียกยายอ่อนดังเข้ามา
“ยายอ่อน คุณท่านให้มาตามอยากถามอาการหลาน”
“ยายไปก่อนเถิดจ้ะ ขอบคุณยายมาก นี่จ้ะเงิน ไม่มากไม่มาย แค่เป็นสินน้ำใจ”
เนียนส่งเงินให้ยายอ่อน
“แหมช่างเมตตาต่อคนชรา อิชั้นไม่บอกใครเรื่องจอมอดอกจ้ะ จะเหยียบเอาไว้จ้ะ คนเฝ้าที่นาเขาบอกว่าห้ามพูดจ้ะ”
ยายอ่อนรีบออกไป เนียนซบหน้าสะอื้นไห้ สงสารลูกชายจับใจ
“ลูกแดงน้อยของแม่ อย่าเป็นอะไรนะ ถ้าแม่หายตัวได้แม่จะแล่นไปหาลูกทันที แต่ แม่...แม่ทำไม่ได้ ทำไมชีวิตเราแม่ลูกมันถึงอาภัพเช่นนี้”
เนียนร้องไห้สะอึกสะอื้น เศร้า และเสียใจสุดๆ
ขณะเดียวกันที่ชานเรือนขุนภักดี และทองจันทร์นั่งพูดคุยท่าทีเบิกบานเรื่องลูกๆ หลานๆ
“คุณแม่จะว่าอย่างไร ถ้าผมจะทำสนามเด็กเล่นตรงหน้าเรือนเรา เอาไว้ให้ลูกๆ ผมวิ่งเล่นประสาพี่ๆ น้องๆ แล้วพวกเราก็นั่งดู นั่งฟังเด็กๆ เล่นกัน”
“พ่อเทพอยากทำอะไรก็ทำไป พ่อเทพน่ะลูกท่านหมื่น มีพ่อแม่เป็นเศรษฐีนี่ยะ แม่มันลูกคนธรรมดา ไม่มีปัญญาคิดดอกจ้ะ” ทองจันทร์เย้าลูกชาย
“คุณแม่เย้าผมเล่นอีกแล้ว อ้าวสน ไหนเทิดศักด์มาให้พ่ออุ้มหน่อยสิลูก”
สนอุ้มพาลูกมามีช้อยเดินตาม ที่แท้สนมาสืบเรื่องยายอ่อน กลัวเอาความลับมาปูด
“สนจะมาถามเรื่องหลานในท้องของเนียนกับคุณนายเรียมน่ะค่ะ สนเป็นห่วง”
“ไม่มีกระไรดอก แข็งแรงดีทั้งสองคน ตอนนี้ สี่เดือนเด็กดิ้นแล้ว ไม่เหมือนตาหนูเทิดศักดิ์รูปงามของย่าดอก เด็กอะไรดิ้นเอาตอนหกเดือนกว่าๆ ย่าใจหายใจคว่ำหมด”
“นี่ยายอ่อนกลับไปแล้วหรือคะ พี่เทพ” ลับหลังสนหันไปพึมพำ “อยากจะหามะนาวยัดปากอีแก่”
เอกขึ้นเรือนมาพอดี
“เรียบร้อยแล้วขอรับ ท่านขุน คุณท่าน”
“ไปส่งยายอ่อนเรียบร้อยแล้วรึ นายเอก” สนถาม
“ครับ คุณสน ไปส่งให้อยู่เรือนเล็ก ห้องที่คุณเนียนเคยอยู่ตอนมาใหม่ๆ”
สนหันไปสบตาช้อย แต่ถามเอก “ใครสั่งเอ็ง”
“ชั้นเอง” ทองจันทร์บอก
“พี่ก็สั่ง พี่เป็นห่วงลูกกลัวจะเกิดปัญหาเหมือนตอนสนคลอด พี่ก็เลยจ้างให้ยายอ่อนแกอยู่บ้านเรา นัยว่าแกจะเก็บเงินไปซื้อที่นา”
“ยายอ่อนปากไม่ดี นะคะ ยายอ่อนอาจเที่ยวป้ายสีให้เกิดเรื่องเกิดราวได้”
“ไม่มีเรื่องดอกจ้ะ...แม่สน ตราบใดที่ชั้นไม่ใช่คนหูเบา ฟังความข้างเดียว”
สนรีบพูดเปลี่ยนเรื่องใหม่
“ลูกเทิดศักดิ๋จ๋า...หนูร้องไห้จะหาคุณพ่อใช่ไหม ตัวแค่นี้ รู้มากแท้ๆ ร้องหน้าดำหน้าแดง พอสนบอกว่า จะพามาหาคุณพ่อ มารับคุณพ่อไปนอนด้วย แหม...หัวร่อเอิ๊กอ๊ากหยุดร้องทันที ช่างรักช่างติดคุณพ่อเหลือเกิน นี่ขนาดพูดไม่เป็นนะคะ”
“ก็มีแม่มันพูดแทนแล้วไง ใช่ไหมตาหนู”
ทองจันทร์ทำหน้าเบื่อๆ นิดหนึ่ง ส่วนขุนภักดีปลื้มจนตัวลอยอุ้มหนูน้อยออกเดินไปบ้านสนทันที
“พ่อก็รักก็ติดหนูที่สุด พ่อจะไปนอนกับตาหนู นะลูกนะ”
สนยิ้มอุ้มลูกคลอเคลียกลับเรือนไปกับขุนภักดี
วันต่อมายายอ่อนกำลังต้มยาหม้อ ที่โรงครัว มีกบกับแมวคอยช่วยเหลือ 3 คนไม่รู้ว่าช้อยมาแอบมอง
“ยานี่ทำให้ลมเดินสะดวก เหมาะสำหรับคนท้อง ลูกในท้องจะแข็งแรงไปด้วย”
“ยายไปเอาตำรามาจากไหนรึ” กบถาม
“ต้นตระกูลข้าน่ะสิ .. พูดแล้วจะหาว่าคุยโม้ โคตรเง้าข้านะหมอตำแยมีชื่อนะ”
“อ้อ มิน่ายายจึงเก่งอย่างนี้ แล้วนี่เมื่อไหร่จะใช้ได้ล่ะยาย”
“เคี่ยวไว้สักพัก พวกเอ็งไปรับใช้คุณเนียนกับคุณนายเรียมเถิด แล้วค่อยมารับยาไปให้พวกท่านรับประทาน ข้าจะไปอาบน้ำอาบท่าก่อน”
ทุกคนแยกย้ายกันไป
สนอยู่บนเรือนรับฟังเรื่อแงราวใบหน้าสวยนั้นเครียดเคร่ง ยิ้มโหดเหี้ยมออกมา ขณะพูด
“ยิงนกทีเดียวได้สามตัว”
“หนังสติ๊กอะไรเจ้าคะ ยิงนกได้ทีเดียวสามตัว”
สนด่า “อย่าล้น” แล้วส่งสารหนูให้พลางสั่ง “รีบเอาไปใส่ในหม้อยาของอียายอ่อนเจ้าเล่ห์”
“จะทำกันซึ่งๆ หน้าในบ้านท่านขุนเลยหรือเจ้าคะ”
“แล้วจะทำที่ไหน โอกาสมันมาถึงที่นี่ ใครจะไปสงสัย”
“มีคนโดนยาพิษตายสองคนนะเจ้าคะ” ช้อยท้วง
“ก็ให้ยายอ่อนเจ้าเล่ห์มันรับเคราะห์ เป็นแพะรับบาปไปสิ ว่าวางยาเมียท่านขุนตายท้องกลมทีเดียวสองคน อีแก่นี่เอาไว้นานไม่ได้ดอก” สนบอก
“ถ้าเช่นนั้นไม่ใช่ยิงนกทีเดียวสามตัวแล้วเจ้าค่ะ ยิงห้าตัวตะหาก มีนกอ่อนๆ ในท้องอีกสองตัว แต่ช้อยก็ยังผวา ว่าใครจะมาเห็นช้อยตอนโรยยา ช้อยก็กลัวนะเจ้าคะ” ช้อยออกอาการหวาดผวา เพราะต้องฆ่าทีเดียวถึง 5
“ที่ทำมาตายไปต่อหน้าต่อตาพี่ขุน มีใครเห็นบ้าง จำไว้ว่าถ้าโดนจับได้ เอ็งคือแพะรับบาปแทนข้า ข้าจะบอกว่าเอ็งจัดการโดยลำพัง ข้าไม่รู้ไม่เห็น” สนกำชับ
“คุณสน” ช้อยตกใจ
“เอ็งมีหน้าที่ทำตามเท่านั้น เพราะเอ็งกำลังขี่อยู่บนหลังเสือ”
ช้อยพยักหน้ารับคำท่าทีจ๋อยๆ
ขณะเดียวกันกบแมวเดินเข้ามาหา ทองจันทร์หันไปเห็น
“ไหนเล่ายาหม้ออย่างดีของยายอ่อน นางแมว นางกบ”
“ยายอ่อนแกว่าตัวยายังไม่ออกฤทธิ์ต้องเคี่ยวนาน สรรพคุณจะดีมากเจ้าค่ะ” แมวบอก
กบเสริม “แกว่าให้เคี่ยวต่อไปอีกสักพัก แล้วค่อยไปตักมาให้คุณนายเรียม กับคุณเนียนรับประทานได้ทันทีเจ้าค่ะ”
“แล้วกลับมาทำไมเล่า แมว กบ ทำไมไม่นั่งเฝ้าเอาไว้”
เรียมทำท่าไม่ค่อยสบาย จะลุกไม่ไหว ทองจันทร์ตกใจ
“แม่เรียม”
“คุณเรียมขา เนียนไปตักมาเองค่ะ ให้กบกับแมวอยู่ดูแลคุณเรียมเถิดค่ะ” เนียนอาสา
“ถูกของเนียน แม่ว่าแม่เรียมควรพักผ่อนมากๆ นะ” ทองจันทร์บอก
เนียนเดินออกไป มองคนประคองเรียมที่ดูอ่อนแอเข้าห้องไป
หม้อยาเดือดปุดๆ อยู่บนเตา ช้อยยืนทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ตรงนั้น
“กูขี่หลังเสือ เชื่อคุณสนแสนดุร้าย กูจะลงก็ตาย กูไม่ลงก็ตาย ก็ขอให้มึงสองคนตายกันไปไวๆ ก็แล้วกัน เสือจะได้หยุดให้กูลง”
ช้อยหยิบห่อยาที่ใส่ชายพกขยับออก เนียนมาถึงพอดี
“อ้าวช้อย จะมาเอายาไปให้คุณสนรับประทานด้วยรึ”
“คุณสนเธอมีลูกชายรูปงาม เป็นขวัญใจคุณพ่อคุณย่าแล้ว คุณสนเธอไม่อยากกินยาหม้ออะไรนี่ดอก”
ยายอ่อนเดินออกมาจากด้านในอีกคน
“อ้าวแม่ช้อย คุณสนให้มาเอาอะไรรึ”
“ให้มาดูว่ายายอ่อนปากไม่ดีหรือเปล่าน่ะสิ ระวังจะตายเพราะปาก”
ช้อยขู่อยู่ในที แล้วรีบเดินออกไป ยายอ่อนมองตามแปลกใจ ไม่ไว้ใจเท่าไหร่นัก
“ชั้นมาตักยาไปให้คุณนายเรียมกับตัวเองกินจ้ะยาย กลิ่นหอมน่ากินจริงๆ”
ช้อยที่กำลังเดินออกชะงัก ยิ้มสะใจ
“ได้ที่แล้วแหละ เดี๋ยวยอิชั้นจะไปเอาชามมาก่อนนะเจ้าคะ”
ยายอ่อนเดินไป เนียนมองยากลิ่นหอมน่ากินเนียนยืนมอง เอกเดินเข้ามามองยาในหม้อ
“ยาบำรุงหรือขอรับ คุณเนียน”
“จ้ะ พี่เอก คุณท่านสั่งให้ยายอ่อนแกทำให้เนียนกับคุณเรียมรับประทาน”
“เมื่อกี้เดินสวนกับนางช้อยเห็นมันทำหน้าทำตาร่าเริงราวกับสุขเต็มประดา มันมาว่าอะไรคุณเนียนหรือเปล่า”
“ไม่ได้ว่าดอกจ้ะ”
“นางนี่ไว้ใจไม่ได้ดอก” เอกไม่ไว้ใจช้อยเอาเลย
ยายอ่อนกลับมาพร้อมด้วยถ้วยในมือสองใบ
“มาแล้วเจ้าค่ะ คุณเนียน”
อ่อนเริ่มตักยาใส่ทีละชาม จากนั้นยกชามเดินมาหาเนียน แต่กลับสะดุดอะไรสักอย่างที่พื้น
“ว๊าย” ยายอ่อนร้องลั่น
เนียนตกใจ “ยายอ่อน”
เอกผวาไปรับยายอ่อนไว้ไม่ให้หน้าทิ่มไปในหม้อ ยาในชามหกกระจายลงพื้น จิ้งจกตัวหนึ่ง ผ่านมาเลียน้ำ
จากยาที่หกรดพื้น แล้วก็มีอันชัก
“ดู จิ้งจกนั่น”
เอกชี้ที่จิ้งจก ที่นอนหงายท้องตายสนิท ยายอ่อนร้องหวีด
“ทำไม ทำไม…”
เนียนตกใจมากยายอ่อนแทบเสียสติกลัวตัวสั่น หน้าเครียด
“มีคนใส่ยาพิษลงไปในหม้อยาของยายอ่อน”
สนกับช้อยได้ยินเสียงกรีดร้องของยายอ่อน
“เสียงอีเนียน อีเรียมร้องโหยหวนกำลังจะตายรึ”
“เสียงยายอ่อนต่างหากเจ้าค่ะ แต่มันทำร้องทำไม ช้อยไปแอบดูดีไหมเจ้าคะ” ช้อยสาระแน
“ไม่ต้องไป ทำไม่รู้ไม่ชี้ เดี๋ยวจะมีพิรุธ ถ้ามันตายจริง เดี๋ยวก็โกลาหลทั้งบ้าน”
ช้อยยังไม่วายกังวลชะเง้อแลไปทางนั้น
ฟากยายอ่อนนั่งพนมมือทรุดตัวกลิ้งเกลือกกับพื้น
“อิชั้นไม่ได้วางยาคุณทั้งสองนะเจ้าคะคุณเนียน อิชั้นไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้ อิชั้นสาบาน อิชั้นไม่มีวันคิดชั่วคิดเลวเช่นนี้ดอกค่ะ อิชั้นแก่แล้วไม่อยากตายในตะราง”
“แต่ยายรู้ไหมว่าถ้าเรื่องนี้ไปถึงหูท่านขุน ตะรางแน่ยายเอ๊ย” เอกบอก
“แต่ชั้นไม่เชื่อดอกจ้ะ ว่ายายจะกล้าถึงเพียงนี้ คนที่ทำเขาเกลียดชั้นเกลียดคุณเรียมมาก”
“ใครเล่า” เอกฉงน
“อิชั้นว่า...อิชั้นพอจะเดาออกนะเจ้าคะ แต่อิชั้นกลัวจะกลายเป็นปลาหมอตายเพราะปาก”
ยายอ่อนตัวสั่นเทา กลัวจนจับจิตจับใจ
“ให้มันเงียบไปตรงนี้เถิดจ้ะ พี่เอก ไม่ว่าจะพูดเช่นไร มันก็ไม่พ้นยายอ่อนต้องรับผิดแทนคนที่ทำ”
ยายอ่อนตื้นตัน ก้มลงกราบเนียน “แม่เจ้าประคูนทูนหัว เกิดมาเพิ่งเห็นที่โบราณว่าคนใจพระ ก็วันนี้แหละ อีอ่อนคนนี้จะไม่ลืมพระคุณที่ช่วยชีวิตเอาไว้ จะทดแทนให้สาสม”
เอกท้วง “แต่ถ้าคนทำผิดไม่โดนเสียบ้าง หาไม่เช่นนั้นมันจะทำต่อเนื่องไปอีก”
“ใครจะเชื่อพี่เอก เชื่อยายอ่อน หรือแม้แต่เชื่อเนียน ให้เรื่องวันนี้มันตายไปกับเราสามคนเถิดจ้ะ สู้ระวังตัวเองกันเอาไว้ให้ดี ดีกว่าจ้ะ”
“กระผมห่วงคุณเนียนเหลือเกิน พ่อเราคือเพื่อนกัน ลุงน้อมแกเอ่ยปากฝากกระผมดูแลคุณเนียนไว้นะขอรับ”
“ขอบใจมากจ้ะ เนียนจะระวังตัวจ้ะ”
“รอวันอีอ่อนได้เงินซื้อที่นา วันนั้น อีอ่อนจะเปิดปากเปิดโปง แม้แลกกับความตายก็ยอมเพื่อทดแทนพระคุณคุณเนียนที่ให้ชีวิตอีอ่อนในวันนี้”
เนียนหน้าตาหม่นหมอง เอกนิ่งงัน ห่วงเนียน ส่วนยายอ่อนป้ายน้ำตาป้อยๆ
ค่ำนั้นขุนภักดีนั่งเอกเขนกเฮฮาอารมณ์ดีอยู่กับทองจันทร์ เรียม และเนียน หลังทานอาหารมื้อค่ำผ่านไป กบกะแมวนั่งประกบ คอยส่งถ้วยของหวานให้คุณๆ ทาน
“ยายอ่อนแกว่าสุขภาพเด็กดีมากทั้งคู่เลยหรือครับ คุณแม่”
“ใช่จ้ะพ่อเทพ แกกำลังต้มยาหม้อบำรุงเลือดลมมาให้กินกัน” ทองจันทร์ว่า
ระหว่างนั้นสนอุ้มลูกชายมา มีช้อยตามหลัง สองคนมีสีหน้าแปลกใจมาก
สนกระซิบ “นางช้อยดูพวกมันสิ ทำไม...”
ช้อยกระซิบตอบ “อย่าอึ้งเจ้าค่ะ อย่ามีพิรุธเจ้าค่ะ”
สนรีบนั่งลงพลางส่งลูกชายให้ขุนภักดี
“ได้เวลาทีไรร้องไห้หาคุณพ่อทุกที ช่างรู้เวลาเหลือเกินว่าคุณพ่อกลับมาบ้านแล้ว หาคุณพ่อนะลูกนะ”
เท่านั้น ขุนภักดีก็เลิกสนใจคนอื่น นอกจากลูก
“พ่อรูปหล่อของพ่อ”
“ได้ยินช้อยมันว่ายายอ่อนต้มยาหม้อมาให้รับประทาน สนจะมาขอแบ่งบ้าง” สนว่า
“ยายอ่อนแกทำหกหมดค่ะ แกเลยต้มหม้อใหม่” เนียนเอ่ยขึ้น
“ต้มหม้อใหม่” สนตกใจนิดๆ
ระหว่างนั้น ยายอ่อนเดินเข้ามากับเอก ยกหม้อยามาวางตรงหน้าทุกคน ช้อยกับสนมองหน้ากันแปลกใจ
“มาพอดีเลย คุณสนอยากรับประทาน อิชั้นเอาให้คุณสนก่อนเลยเจ้าคะ” ยายอ่อนจงใจแดกดัน
สนกับช้อยสะดุ้งมองหน้ากัน เอกรีบส่งให้สน สนไม่กล้ารับ ทำอึกอักลังเล
ยายอ่อนเหน็บขึ้นอีก “คุณสนคงเกรงว่าอิชั้นจะใส่ยาพิษ จึงลังเล”
ช้อยกับสนมองหน้ากัน เอกทำยิ้มๆ เนียนทำไม่รู้ไม่ชี้
“ยายอ่อนเอ็งพูดจาไม่เอาอ่าว ยาพงยาพิษที่ไหนกัน” ทองจันทร์บ่น
“อิชั้นต้องระวังเจ้าค่ะ หาไม่เกิดอะไรไม่ดีขึ้นมา อิชั้นจะติดตะรางตอนแก่”
ว่าแล้วยายอ่อนก็ยกถ้วยหนึ่งขึ้นดื่มอั่กๆ ต่อหน้าทุกคน สนกับช้อยมองหน้ากัน
“เชิญคุณนายเรียม กับคุณเนียนขอรับ นี่ขอรับของคุณสน”
“ข้าเปลี่ยนใจไม่ดื่มแล้ว” สนบอก
เนียนกับเรียมดื่มเรียบร้อยไม่มีปัญหา สนหงุดหงิดจ้องช้อยจะเอาเรื่อง
ครั้นพอสนกลับมาถึงเรือน ก็อาละวาดจิกหัวช้อยทุบตี ตบหน้า ช้อยปัดป้องร้องโอดโอย
“กรรมของช้อยอีกแล้ว ช้อยผิดอีกแล้ว”
“เออมึงผิด มึงพลาดอีกแล้ว มึงทำให้มันรู้ว่ามีสารหนูในยาหม้อจนได้ สายตาไอ้เอกกับอีอ่อนนางเนียนก็รู้ว่ามันสงสัยกูกับมึง”
“สงสัยแล้วทำไมมันไม่พูดออกมาเจ้าคะ”
“ไม่พูดนั่นแหละยิ่งน่ากลัว เพราะมันรู้ตัว มันยิ่งระวังใหญ่ อีเนียนมันน้ำนิ่งไหลลึก”
“โอ๊ย เจ็บเจ้าค่ะ ช้อยพยายามทำดีที่สุดแล้วนะเจ้าคะ แต่ช้อยบอกแล้วว่ามันเสี่ยงคุณสนใจร้อนไม่ฟังช้อย แต่ถ้าความแตก อีแก่นั่น มันก็ผิดเต็มประตู”
“ทำไมมันไม่พูดนะ” สนคาใจไม่หาย
ช้อยพอเดาออก “อีเนียนมันคงสงสารอีแก่ มันจะเอาไว้เป็นพวก ส่วนไอ้เอกมันร้ายที่สุด มันถือว่ามันคือคนสนิทของท่านขุน ท่านขุนรักมันมาก มันไม่กลัวเราเลยเจ้าค่ะ ไอ้นี่มันคอยปกป้องอีเนียน”
สนมีท่าทีอ่อนลง นั่งหอบ
“เมื่อไหร่นะโอกาสและเวลาของข้าจะมาถึงสักที จับตาดูอีเนียนไว้ ติดตามมันทุกฝีก้าว ฆ่าได้เป็นฆ่า”
ถึงคืนวันแรมสิบห้าค่ำ เดือนมืด ท้องฟ้ามืดมิด ทั่วบริเวณพื้นบ้านมืดสนิท เนียนยืนมองไปนอกหน้าต่าง ครุ่นคิดถึงคืนเดือนมืดเช่นนี้ในอดีต
คืนนั้นสองพี่น้อง เนียนและหนักที่ยังเป็นเด็ก พากันออกไปจับกบในทุ่งนา หนักถือไฟฉายอันหนึ่ง
“เนียนนั่งรอพี่ตรงนี้ พอพี่ฉายไฟแว่บๆ สามที เนียนวิ่งมาช่วยพี่จับกบตรงที่พี่ฉายไฟนะเนียน”
“จ้ะ พี่หนัก”
เนียนลงนั่งรอพี่ชาย เงียบๆ
เนียนยืนนึกถึงความหลังของตัวกับพี่ชายในวัยเด็กอยู่เพลิน จู่ๆ มีแสงไฟฉายกระพริบสามทีจากท่าน้ำ
“ไฟฉายแว่บๆ สามที”
เนียนดูตื่นเต้นมาก
บริเวณริมท่าน้ำ ตรงที่มีต้นไม้ปกคลุมหนาแน่น แลเห็นชายผู้หนึ่ง ใส่หมวกหลุบปิดบังใบหน้า กำลังผูกเรือเล็กๆ ไว้กับต้นไม้
เนียนมองซ้ายมองขวา พึมพำเอ่ยแต่ชื่อแดงน้อย
“แม่ทำครั้งนี้เพื่อแดงน้อยของแม่ แดงน้อยของแม่ พี่ขุนเจ้าขาเนียนขอโทษที่ต้องทำเพื่อลูก”
เนียนเดินร้องไห้ไปด้วยตลอดทาง โดยไม่รู้ว่าช้อยบ่าวใจทรามแอบมองอยู่
“อีเนียนมึงเดินร้องไห้ไปไหนของมึง”
เนียนเดินหายไปทางท่าน้ำ ช้อยวิ่งตื้อกลับไปที่เรือนสนทันที
อาญารัก ตอนที่ 4 (ต่อ)
หนักไต่ขึ้นมาที่ท่าน้ำมองหาน้องสาว ยินเสียงเนียนเรียกเบาๆ ดังแว่วมา
“พี่หนัก ทางนี้จ้ะ”
หนักปราดไปตามเสียง
“เนียน”
สองพี่น้องจับมือกัน พลางสวมกอดกันแน่น
“พี่หนักจ๋า”
“เนียนน้องรัก”
สองคนแอบมองเห็นหน้าหนักรำไรไม่ชัดนัก แต่ได้ยินเนียนเรียกหนักว่าพี่ และหนักเรียกเนียนน้อง
“อีเนียนมารอไอ้เสือหนัก” สนบอก
“ไอ้เสือหนักเรียกมันว่าน้อง” ช้อยว่า
สองคนตาเหลือก ตกใจมาก “มันเป็นพี่น้องกัน”
ส่วนสองคนพี่น้องยังคงพูดคุยกันต่อ
“เนียนท้องกี่เดือนแล้ว”
“สี่จ้ะ”
“ดูแลตัวเองดีๆ นะเนียน”
“ช่างเถิดพี่หนัก เอาไว้พูดทีหลัง พี่เอาแหวนนี่ไปขายเอาเงินมารักษาแดงน้อยก่อน”
“พี่ไม่อยากทำเช่นนี้เลย ถ้าท่านขุนถามถึงแหวนเนียนจะทำอย่างไร”
“เนียนคิดไม่ออก ตอนนี้เนียนคิดอย่างเดียวเท่านั้น ลูกของเนียนต้องมีเงินรักษาตัว ชีวิตเนียนจะพังพินาศอย่างไรก็ช่าง ก็ให้ชีวิตลูกของเนียนปลอดภัย พี่รีบกลับไปไวๆเถิด ก่อนที่จะมีใครเห็นเราสองคน แถมพี่ยังมีคดีติดตัว ถ้าพี่เอาตัวไม่รอดไปอีกคนแดงน้อยจะแย่นะจ๊ะ”
“ขอบใจมากน้องรักของพี่ พี่จะมาส่งข่าวหลาน คืนแรมสิบห้าค่ำหน้า”
หนักนัดหมายแล้วผละไป
สองบ่าวนายจิตใจหยาบช้าดีใจกันมากที่ได้รู้ความลับของเนียน
“อีเนียนมีลูก มีผัวแล้ว พ่อมันจับใส่ตะกร้าล้างน้ำมาหลอกพี่ขุนจริงๆ อย่างที่เราเดาเหตุการณ์ล่วงหน้าเอาไว้”
“ถ้าไอ้หนักคือพี่มัน แล้วใครคือผัวมันน้อ...”
“เอ็งก็กระโจนน้ำลงไปถามไอ้หนักมันสิ อีนี่ถามโง่แท้ๆ”
สนผลักช้อยจะลงน้ำ ช้อยฝืนไว้หน้าแหยๆ
ท่ามกลางความมืดสลัว เนียนยืนมองพี่ชายพายเรือจากไปจนลับสายตา ป้ายน้ำตา ที่ไหลไม่หยุดหย่อน
ฟากสองคนกำลังวางแผนเล่นงานเนียน
“โชคดีแท้ๆ ที่อีเนียนพลาดให้เราเห็น ขอบใจเอ็งมากช้อย”
“ทีนี้ละก้อ ชีวิตอีเนียนอยู่ใต้ฝ่าเท้าอีสนแน่ๆ”
“อ้าว อีช้อย มึงเรียกใครอี” สนจ้องหน้าช้อย
“ผีมันผลักปากช้อยให้พูดเพลินไปหน่อย ช้อยขออภัยเจ้าค่ะ”
“ไอ้หนักมันจะกลับมาส่งข่าวเรื่องลูกอีเนียนเจ็บหนัก ทีนี้แหละ อีเนียนมึงเสร็จกูแน่”
“เสร็จอย่างไรหรือเจ้าคะ”
“ตายทั้งเป็น ตกนรกทั้งลืมตาตื่น หันซ้ายก็นรก หันขวาก็นรก”
สนยิ้มย่อง
“เสียท่าเห็นหน้าไอ้เสือหนักไม่ถนัดอีกแล้วนะเจ้าคะ จะดูสิว่าตามันเหมือนคุณหนูจริงรึ”
“อีช้อย หุบปาก กูไม่อยากเห็นหน้ามัน กูไม่อยากจะจดจำหน้ามัน”
สนยังแค้นหนักไม่หาย
ขณะที่เนียนกำลังจะก้าวเข้าบริเวณเรือน เอกโผล่มาเรียก สองคนอยู่ตรงหลังบ้าน
“คุณเนียนไปไหนมาขอรับ
เนียนตกใจมาก “พี่เอก”
“จุ๊ๆ อย่าอึงขอรับ ไม่ต้องตกใจ กระผมไม่บอกใครดอกว่าคุณเนียนออกมานอกเรือนกลางดึกอย่างนี้ แต่ที่กระผมกลัวก็คือคนอื่นที่ประสงค์ร้ายมันจะเห็นแล้วเอาไปใส่ความขยายความ กระไรคุณเนียนช่างไม่ระวังตัวเลย” เอกเตือนอย่างห่วงใย
เนียนพูดไม่ออกได้แต่ส่ายหน้าน้ำตาคลอ
“เนียน จำเป็นจ้ะ พี่เอก”
“มีความลับคับอกที่ไม่ยอมบอกใคร เก็บไว้ลำพัง มันอาจทำให้ลำบากมากขึ้นภายหลัง ถ้าบอกกระผม กระผมอาจช่วยไม่ให้ลำบากได้ไม่มากก็น้อย”
“เนียนบอกไม่ได้ ตายไปแล้วก็บอกไม่ได้ มันคงต้องตายไปกับเนียนนั่นแหละจ้ะ”
“งั้นกระผมก็จนใจ จำไว้ดูแลตัวเองให้ดีๆ ให้มากๆ อีกไม่กี่เดือนก็จะคลอดแล้ว”
เนียนยกมือไหว้เอก
“ขอบคุณพี่เอกจ้ะ”
เอกหันกลับเนียนรีบกลับขึ้นเรือนไป
เนียนนอนร้องไห้ตั้งแต่ดึกยันถึงเช้า จวบจนพระอาทิตย์ขึ้นเนียนยังคงนอนร้องไห้อยู่อย่างนั้น
ขุนภักดีมาเคาะห้องแล้วเข้ามาหาเนียนที่ยังนอนร้องไห้
พอท่านขุนเห็นก็ตกใจปราดไปประคอง “เนียน เป็นอะไรไป นอนร้องไห้ทำไมใครว่าอะไรเนียน เนียนอยากได้อะไรแล้วไม่ได้ พี่จะจัดการให้”
“ไม่มีใครว่า เนียนไม่อยากได้อะไร แต่เนียน ทำตัวเองค่ะ เนียน”
“เนียนทำตัวเองอย่างไร”
“เนียนสะดุด หกล้ม”
“มิน่า กลัวลูกในท้องของพี่จะเป็นอะไร ไหนมาจับท้องดูสิ”
ท่านขุนเอามือคลำท้องเนียนแล้วยิ้มออกมา
“เด็กเอ๊ยเด็กเกิดมาไม่เคยมีลูกกับเขา ตกใจไปได้ ลูกดิ้นเอาเท้ามาถีบมือพี่ นั่นนั่น เอามือมาตีมือพี่ด้วย”
เนียนฝืนยิ้มผละตัวออกมา ขุนภักดีบรรจงหอมหน้าผากเนียน
“ขอบพระคุณพี่ขุนมากค่ะ จะไปทำงานแล้วใช่ไหมคะ”
“จ้ะ พี่จะไปทำงานพี่แวะมาจูบลาลูกเมีย”
ขุนภักดีก้มลงไปหอมท้องเนียน เอาหูแนบฟังเสียงลูก
“หนูจ๋า พ่อรักหนูมาก เกิดมาหน้าตาสวยเหมือนแม่หนูนะจ้ะ พ่อไปทำงานก่อนนะจ้ะ”
ขุนภักดีออกไปแล้ว เนียนยิ่งเสียใจ
“พี่ขุนเจ้าขา พี่ยิ่งดีกับเนียนมากขึ้นเท่าใด เนียนก็ยิ่งสึกรู้ตัวว่าเลวลงเท่านั้น เนียนจะทำเช่นไรดีถึงจะแก้ปัญหาชีวิตของเนียนได้”
เนียนยังคงนั่งเหม่อเซื่องซึมเหม่อลอยอยู่เหมือนเดิม
สนอุ้มลูกมายืนรอส่งขุนภักดีหน้าแฉล้มเบิกบานยิ่งหนัก มีช้อยตามมาแหน
“คุณพ่อมาแล้ว ลูกเทิดศักดิ์”
“ตาหนูของพ่อ มาส่งพ่อไปทำงานอีกละสิ”
“ตาหนูต้องมาสิคะ วันไหนสนไม่พามาร้องไห้งอแงทั้งวัน รู้มากแท้ๆ เอ้อ คุณพี่จะกลับไวไหมคะ”
“ไม่กลับดอกจ้ะสน”
สนกะช้อยมองหน้ากันผิดหวัง
“อ้าว โถ ลูกเทิดศักดิ์ก็รอแย่สิคะ”
“พ่อไปทำงานที่บางกอกสามวันเองลูก ขากลับมาพ่อจะหาของเล่นติดมือมาฝากลูก”
“ขอบพระคุณคุณพ่อสิลูก พี่ขุนดูสิคะลูกยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ทีเดียว แหมแต่ว่า เฮ้อ ไม่เป็นไรดอก”
เอกนั้นจับสังเกตทีท่าสนตลอด
“สนมีอะไรจะบอกพี่รึ บอกตรงนี้ก็ได้จ้ะ”
“ไม่ได้ดอกค่ะ พี่ขุน มันสำคัญมาก”
“สำคัญมาก” ขุนภักดีฉงน
“มันต้องใช้เวลาและสถานที่ ที่เราคุยกันลำพังค่ะ กำแพงมีหูประตูมีช่องสนพูดไปตรงนี้ บ้านภักดีภูบาลจะเสียหายค่ะ”
“อะไรกันเล่า สนพูดแบบนี้ยิ่งทำให้พี่อยากรู้”
“เอาไว้พี่ขุนกลับมาสนค่อยบอกเถิดค่ะ อดใจสักนิด”
“ถ้างั้นนายเอก รอก่อนชั้นยังไม่ไป” ขุนภักดีหันไปสั่งเอก
สนแอบหยิกลูก ช้อยเห็นตกใจ
“ว๊าย”
เด็กน้อยร้องจ้า
“ได้เวลาตาหนูกินนมแล้วค่ะ พี่ขุนรีบไปทำงานเถิดค่ะ ไป โอ๋...โอ๋ ไม่ร้องไม่ร้องแม่จะพาไปกินนม”
สนเดินไปหน้าตาเฉย ขุนภักดีเริ่มประสาทเสีย
“นายเอก เอ็งระแคะระคายอะไรบ้างไหม”
เอกเริ่มไม่สบายใจมั่นใจว่าเกี่ยวกับเนียนแน่นอน
“ไม่ทราบสิขอรับ ท่านขุน คุณสนเธอมีเรื่องราวมากมายเสมอขอรับ”
“ก็จริง สนเขาหยุมหยิม คงไม่ใช่เรื่องใหญ่โตดอก ไปกันเถิด”
ขุนภักดีจะลงเรือ เอกไม่วายหันไปมองทางเรือนที่เนียนพักอยู่ สีหน้ากังวลห่วงเนียน
ส่วนหนักยื่นทองให้โพล้งกับแพร ดึงแดงน้อยมาอุ้มหน้าตาหม่นหมอง
“หลานเอ๊ย แม่เอ็งเขาเสียสละเพื่อเองมากมาย ถอดแหวนมาให้เอ็งรักษาตัวทั้งที่ไม่รู้ว่าชะตาชีวิตข้างหน้า ถ้าโดนจับได้ จะเป็นเช่นไร”
“แดงน้อยเอ๊ย แม่เอ็งช่วยให้เอ็งรอดตายแล้ว”
“ข้าต้องรีบไปหาที่หลบซ่อนตัว ดูแลหลานข้าให้ดีที่สุดเถิด ไอ้โพล้ง นางแพร”
หนักกำชับ พลางส่งหลานคืนให้แพรกระโดดหายไปทางด้านหลังเรือน
“รีบเอาไปขายข้าจะไปรอที่โรงหมอ ไปแดงน้อย”
โพล้งเอาทองไป แพรอุ้มแดงน้อยมาห่อผ้าแล้วรีบออกไป
วันต่อมาสนกับช้อยวางแผนกันต่อ
“ตอนนี้ข้าเป็นต่ออีเรียมหลายร้อยขุม ดังนั้น ข้าต้องเล่นบทนางเอก...”
“นางเอกยี่เกผู้แสนดี โดนกระทำย่ำยียังยิ้มออก หรือเจ้าคะ คุณสนจะแสร้งทำดีกับมัน แต่อย่าเผลอ กูเอาตายใช่ไหมเจ้าคะ โอดตะเร็วเต่งตุม” ช้อยทำเสียงระนาดประกอบอย่างเบิกบาน
“อย่าล้น ให้มันมากนัก เอ็งก็เหมือนกัน ทำตัวปากปราศรัยน้ำใจเชือคคอมันให้สะบั้นลงตรงหน้า พี่ขุนกลับมาเมื่อไหร่ คอยดู ฉากจบของอีเนียน”
“โล่งหัวอกอีช้อยคนยาก ช้อยลงจากหลังเสือได้แล้วใช่ไหมเจ้าคะ”
“ชั่วคราวเท่านั้น มารอดูลิเกฉากจบ เอ็งรู้ไหม ไม่มีเรื่องราวใดในโลกที่ทำให้ผัวโกรธผัวแค้นเท่ากับเมียมีชู้ เมียหลอกลวงว่าไม่เคยมีผัว”
ช้อยกอดเท้าสนเอาหน้าแนบขาไว้อย่างเทิดทูนที่สุด
โปรดติดตาม "อาญารัก" ตอนที่ 5