xs
xsm
sm
md
lg

มณีสวาท ตอนที่ 14 จบบริบูรณ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


มณีสวาท ตอนที่ 14 อวสาน

เฟื่องวลีแค้นปนริษยา ลงมาฟ้องหม่อมภาณีในเวลาต่อมา หม่อมภาณีมีสีหน้าเคร่งเครียดขณะย้อนถาม

“นี่ตาชายพูดถึงขนาดนั้นเลยเหรอ”
3 คนคุยกันอยู่ในสวนของวัง
“ค่ะหม่อม” เฟื่องวลีพูดอย่างเจ็บใจ “ฟีบี้คิดไม่ถึงเลย ว่าพี่ชายจะเป็นไปได้ขนาดนี้”
นารีวรรณหน้าเสีย ห่วงพี่ “แต่ถ้าพี่ชายทำจริง ก็เท่ากับเราสูญเสียพี่ชายไปอยู่ดีนะคะคุณแม่ ถึงแม้ว่าเราจะแยกพี่ชายออกมาจากเจ้าอุรคาได้แล้วก็เถอะ”
“อุ๊ย พี่ชายก็พูดเพราะอารมณ์พาไปล่ะค่ะคุณหนูนา ไม่มีใครยอมตายจริงๆ หรอก” เฟื่องวลีว่า
“แต่มันก็ไม่แน่นะคะคุณฟีบี้ ไม่งั้นจะมีข่าวฆ่าตัวตายประชดรักกันบ่อยๆ เหรอ” นารีวรรณแย้ง
หม่อมภาณีตัดบท “พอๆๆ แม่ไม่อยากได้ยินแล้ว ถึงยังไงเราก็แยกตาชายออกจากเจ้าอุรคาได้แล้ว แม่จะไม่มีวันยอมให้ตาชายกลับไปหาเจ้าอีกเด็ดขาด”
นารีวรรณเป็นกังวลไม่คลาย “แล้วถ้าพี่ชายเกิดทำร้ายตัวเองขึ้นมาล่ะคะ”
“ก็ให้มันรู้ไป ว่าตาชายจะเห็นแก่ผู้หญิงอื่นมากกว่าแม่ของตัวเอง แม่ไม่เชื่อ ว่าตาชายจะอกตัญญูกับแม่ได้หรอก”
หม่อมภาณีพูดออกมาด้วยหน้าเครียดเคร่ง สุ้มเสียงจริงจัง

ช่วงเวลาตอนกลางวัน วิวทิวทัศน์ริมแม่น้ำโขง ดูสวยงาม และร่มรื่น สบายตา แลเห็นยมนาเดินเล่นเลียบฝั่งแม่น้ำมาช้าๆ ขณะที่น้ำในแม่น้ำ เริ่มมีสีแดงฉานของเลือดปะปนอยู่
ยมนาเดินตามรอยเลือดไปจนเห็นพญานาคตัวใหญ่ นอนบาดเจ็บสาหัสเกยตื้นอยู่ ยมนาทอดถอนใจ
“เราเตือนเจ้าแล้วอุรคา แต่เจ้าก็ดื้อรั้นจนต้องรับผลกรรมแบบนี้”
ยมนายื่นมือออก มีแสงสว่างออกจากฝ่ามือ พุ่งตรงไปสู่พญานาค
หลังจากได้รับพลังของยมนามาช่วย เจ้าอุรคาก็กลับสู่ร่างมนุษย์ได้สำเร็จ แต่ก็อยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัส
เจ้าอุรคาร้องไห้ เจ็บปวดใจเรื่องชรายุ “ขอบใจมากยมนา แต่เรา...เราทำให้ชรายุต้องตาย เราไม่ควรที่จะมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว”
“ถึงเจ้าตาย ชรายุก็ไม่ฟื้นหรอก ไม่ว่าคน เทพ หรือมาร ก็ไม่มีผู้ใดหนีพ้นความตายไปได้ ตอนนี้ชรายุก็ได้ไปอยู่ในภพภูมิที่คู่ควรกับเค้าแล้ว เจ้าอย่ามัวแต่เสียใจจนทำให้ความตายของชรายุต้องเสียเปล่าเลย”
อุรคาพยักหน้ารับทั้งน้ำตา
“เจ้าใช้ตบะบารมีของเจ้า แลกกับการต่ออายุให้นาถสุดา แถมยังต้องมนต์อาลัมพายน์อีก จนตอนนี้เจ้าไม่เหลือพลังอะไรแล้ว เจ้าจงรีบเสริมสร้างตบะบารมีก่อนเถอะ ไม่อย่างงั้น เจ้าก็อาจจะต้องตายตามชรายุไป”
เจ้าอุรคาร่ำไห้ถอนสะอื้น “มนต์อาลัมพายน์มีอำนาจมากเหลือเกิน เรากลัวว่าจะตายก่อนที่จะเสริมสร้างตบะบารมีได้”
“งั้นเจ้าก็ต้องตั้งสัตย์ว่าจะอยู่ในศีล จะไม่ทำร้ายใครเพื่อให้ศีลมัวหมอง เหมือนครั้งที่พระพุทธองค์เสวยชาติเป็นพระภูริทัตพญานาค ครั้งนั้นพระองค์ก็ต้องมนต์อาลัมพายน์ของพราหมณ์จนบาดเจ็บเช่นกัน แต่พระองค์ก็ไม่ละศีลทำร้ายพราหมณ์ แม้ว่าจะมีโอกาสพ่นพิษเพื่อฆ่าพราหมณ์อยู่หลายครั้งก็ตาม”

ไม่นานต่อมาเจ้าอุรคาสวยสงบอยู่ในอาภรณ์ชุดขาวสะอ้านตา กำลังนั่งสมาธิถือศีลอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ พร้อมกับได้ยินเสียงยมนากำลังพูดเตือนสติดังก้อง
“อำนาจแห่งศีลบารมี จะช่วยปกปักรักษาคุ้มครองเจ้า แต่เจ้าต้องควบคุมโลภะ โมหะ โทสะ อย่าปล่อยให้ศีลมัวหมองเด็ดขาด โดยเฉพาะโทสะอันเป็นวิสัยดั้งเดิมของพญานาค เจ้าต้องระวังให้ดี อย่าให้โทสะจริตครอบงำจนทำร้ายผู้อื่นเด็ดขาด ไม่อย่างงั้นก็จะไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีก”

เจ้าอุรคานั่งสมาธิอย่างสงบ แลเห็นพระธาตุพนมตั้งตระหง่านสวยงาม เป็นสัญลักษณ์แห่งคุณความดี และศีลที่บริสุทธิ์งดงาม

ส่วนที่โรงพยาบาล สุบรรณมีสีหน้าเครียดเคร่งกำลังดูแลนาถสุดา ป้อนยาให้ทานอย่างเอาอกเอาใจ

“วันนี้สีหน้านาถดีขึ้นมากเลยนะ พี่ว่าอีกไม่กี่วันก็คงออกจากโรงพยาบาลได้แล้วมั้ง”
นาถสุดายิ้มให้ “สมพรปากเถอะค่ะพี่สุบรรณ นาถเบื่อนั่งๆ นอนๆ จะแย่อยู่แล้ว”
สุบรรณยิ้มๆ กดรีโมทปรับอุณหภูมิแอร์ให้
“นี่ก็มืดแล้ว พี่สุบรรณกลับไปพักผ่อนเถอะค่ะ วันนี้อยู่ดูแลนาถมาทั้งวัน เหนื่อยจะแย่อยู่แล้ว”
“เหนื่อยอะไร สบายจะตาย นานๆ เราพี่น้องจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกันด้วย” สุบรรณหน้าเครียดขึ้นมา “แล้วพี่ก็ไม่มีงานอะไรจะทำแล้วด้วย”
นาถสุดาสงสาร จับมือสุบรรณไว้ “พี่สุบรรณ”
สุบรรณรีบปั้นหน้ายิ้ม กลัวทำให้น้องเครียด “แต่พี่ก็ว่าพี่จะกลับแล้วเหมือนกันแหละ นาถเองก็พักผ่อนเยอะๆนะ จะได้หายเร็วๆ”
นาถสุดายิ้มรับ “ค่ะ เอ่อ พี่สุบรรณคะ เมื่อกี๊ตอนเข้าห้องน้ำ นาถลืมมือถือเอาไว้ วานพี่ช่วยหยิบให้หน่อยสิคะ”
“ได้สิจ๊ะ”
สุบรรณเดินเข้าห้องน้ำไป สวนกับไพศิษฐ์ที่เข้ามาพอดี
ไพศิษฐ์ยิ้มทักทาย “ว่าไงคนป่วย”
นาถสุดางอนๆ “ยังมีหน้ามาทักอีกเหรอ หายไปทั้งวัน ป่านนี้เพิ่งจะมา”
“ทีตอนอยู่ดูแลตั้งหายวัน ไม่เห็นให้เครดิตกันเลยนะ คนเรามันก็ต้องทำงานทำการกันบ้างสิ วันนี้ต้องไปรายงานตัวให้เจ้านายคนใหม่เห็นหน้าด้วย”
“ได้เจ้านายคนใหม่แล้วเหรอ”
“อ้าว ยังไม่รู้เรื่องเหรอ วันนี้ท่านสุบรรณถูกปลดออกจากรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการแล้ว ส้มก็เลยไปหล่นที่ท่านยุทธนา” ไพศิษฐ์ถอนใจ “ชีวิตนักการเมืองก็อย่างงี้แหละ ตอนรุ่งก็มีแต่คนเอาใจ พอตกก็ถูกถีบหัวส่ง”
ระหว่างนั้นนั้นเอง สุบรรณก็เปิดประตูห้องน้ำออกมา ไพศิษฐ์ นาถสุดาหน้าเสียทันที
สุบรรณปั้นยิ้ม วางมือถือไว้ที่หัวเตียง “นี่จ้ะ พี่วางไว้นี่นะ พี่กลับก่อนนะนาถ เดี๋ยวพรุ่งนี้พี่มาใหม่”
นาถสุดาไหว้ลา “สวัสดีค่ะ”
ไพศิษฐ์ไหว้ลา หน้าเจื่อนๆ “สวัสดีครับ”
สุบรรณรับไหว้ทั้งคู่ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส แต่พอหันหลังเดินออกจากห้อง สีหน้าสุบรรณก็เปลี่ยนเป็นถมึงทึงน่ากลัวทันที
นาถสุดาหันไปหยิกไพศิษฐ์ที่พูดไม่ระวังทำห้สุบรรณไม่สบายใจ

ไพศิษฐ์โดนหยิกจนสะดุ้ง แต่ก็หน้าจ๋อยๆเพราะรู้ตัวว่าผิดจริง

ภุชคินทร์ยืนมองอยู่ที่หน้าเฮือนภูจำปา แต่ตอนนี้ เฮือนภูจำปาที่ใหญ่โตโอ่โถง กลับดับไฟมืดมิด เงียบกริบ ไร้ชีวิตชีวา
ภุชคินทร์ยืนมองเฮือนภูจำปาด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย คิดถึงอุรคาจับใจ แต่ก็ไม่รู้จะไปหาอุรคาได้ที่ไหน แม้แต่ตอนนี้อุรคาปลอดภัยรึเปล่า ตนก็ยังไม่รู้
สุบรรณขับรถเข้ามาจอด ก่อนจะลงจากรถ สุบรรณเห็นเฮือนภูจำปาแปลกไป เลยหันไปถามภุชคินทร์
“เกิดอะไรขึ้น”
ภุชคินทร์ตอบหน้านิ่งๆ “เจ้าอุรคาหายไป เฮือนภูจำปาก็เลยถูกปิดตาย”
สุบรรณตกใจ “หาย หายไปได้ยังไง”
ภุชคินทร์สีหน้าเศร้าสลดลง “คุณแม่ของฉัน ไม่ต้องการให้ฉันยุ่งเกี่ยวกับเจ้าอีก ก็เลยให้ผู้มีอาคมมาทำร้ายเจ้าจนเจ้าบาดเจ็บหนีไป ตอนนี้ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าไปอยู่ที่ไหน”
สุบรรณบันดาลโทสะ กระชากคอเสื้อภุชคินทร์ “แล้วทำไมแกถึงไม่ปกป้องเจ้า ปล่อยให้คนอื่นมาทำร้ายเจ้าได้ยังไง”
ภุชคินทร์โมโห ผลักอกสุบรรณออก “ทุกอย่างมันเป็นเพราะแกต่างหาก ถ้าชาติก่อนแกไม่ฆ่าฉัน ฉันก็ไม่พลัดพรากจากเจ้าอุรคาจนเป็นแบบนี้”
ขาดคำภุชคินทร์พุ่งหมัดต่อยหน้าสุบรรณเต็มแรง แต่สุบรรณเก่งกว่าเยอะ ฉากหลบอย่างว่องไวแล้วต่อยสวนจนภุชคินทร์ร่วง เลือดกบปาก
สุบรรณด่าอย่างเกรี้ยวกราด “ไอ้คนอ่อนแอ ทั้งชาติที่แล้ว ชาตินี้ แกมันก็แค่ไอ้ขี้ขลาดคนนึงเท่านั้นแหละ ปกป้องคนที่ตัวเองรักไม่ได้ก็เที่ยวโทษคนอื่น หนีความจริงจนถึงกับต้องลั่นคำสาบาน ถ้าเป็นฉัน ฉันจะปกป้องคนที่ฉันรัก แล้วก็ไม่วันหนีให้ศัตรูเด็ดขาด”
ภุชคินทร์หัวเราะเบาๆออกมา ก่อนจะระเบิดหัวเราะเสียงดังลั่น
สุบรรณแปลกใจ “แกบ้าไปแล้วเหรอ หัวเราะทำไม”
“จะปกป้องคนที่รักเหรอ ตอนนี้แกปกป้องตัวเองยังไม่ได้เลย ทั้งอำนาจวาสนาที่แกเคยมี ก็ไม่เหลืออะไรแล้ว เผลอๆพญาครุฑผู้ยิ่งใหญ่อาจจะต้องไปตายในคุกด้วยซ้ำ”
สุบรรณโดนจี้ใจดำ โมโหสุดขีด กระชากตัวภุชคินทร์ขึ้นมา “ไอ้ภุชคินทร์”
สุบรรณระดมต่อยภุชคินทร์ไม่ยั้ง แต่ภุชคินทร์ก็ไม่ตอบโต้ ปล่อยให้สุบรรณต่อยตามใจชอบ
จนในที่สุด สุบรรณก็เงื้อหมัดค้างไม่ต่อยอีก
ภุชคินทร์ร้องไห้ออกมา “เจ้าอุรคา เจ้าอยู่ไหน ผมรักเจ้า เจ้าได้ยินมั้ย ผมรักเจ้า”
สุบรรณกำหมัดแน่นแต่ก็ไม่ต่อยอีก ก่อนจะผลักภุชคินทร์ล้มลงกับพื้น
“เล่นงานคนอย่างแกไปก็เสียแรงเปล่า” สุบรรณชี้หน้าด่าภุชคินทร์ “จำไว้นะ ถึงฉันจะสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ฉันไม่มีวันยอมเสียเจ้าอุรคาเด็ดขาด ฉันเคยคิดจะยอมสละเจ้าให้แก เพราะรู้สึกผิดที่เคยฆ่าแก แต่ในเมื่อทำดีแล้วไม่ได้ดี แถมแกก็เป็นแค่ไอ้คนน่าสมเพช ที่ไม่มีปัญญาดูแลเจ้า เพราะฉะนั้น ฉันจะเป็นคนดูแลเจ้าเอง”
สุบรรณเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไป

ปล่อยให้ภุชคินทร์นอนร้องไห้เหมือนคนหัวใจสลาย ไม่รู้ชาตินี้ จะมีโอกาสได้เจออุรคาอีกหรือเปล่า

คืนนั้นสุบรรณกลับเข้าบ้าน เดินตรงเข้ามายังห้องโถง คนรับใช้หญิงคนหนึ่งเดินออกมารับหน้า

“หายไปไหนกันหมด ทำไมบ้านเงียบอย่างงี้” สุบรรณถาม
“นอนกันเกือบหมดแล้วค่ะท่าน พักนี้ไม่ค่อยมีงานอะไร ก็เลยนอนกันเร็วน่ะค่ะ”
สุบรรณพยักหน้ารับ ไม่ว่าอะไร ก่อนจะเดินเลี่ยงไป
แต่ทันใดนั้นเอง คนรับใช้ 1 ก็ชักมีดออกมาแทงใส่สุบรรณจากทางด้านหลังทันที สุบรรณถูกแทงใส่กลางหลัง แต่ปฏิกิริยาของสุบรรณยังรวดเร็ว สะบัดมือตบสวนจนคนรับใช้ ผงะออกไป
สุบรรณทั้งตกใจทั้งแค้นสุดๆ “แก!”
คนรับใช้กระชากหน้ากากกับชุดออก กลายสภาพเป็นมือสังหารในชุดนินจา ซึ่งปลอมตัวมาเป็นคนรับใช้เพื่อลอบฆ่าสุบรรณ
“มือสังหารนินจัตสุ”
มือสังหาร 1 เอ่ยขึ้น “เก่งกาจสมคำร่ำลือจริงๆ ท่านสุบรรณ สมกับค่าจ้างยี่สิบล้าน”
สุบรรณแค้นสุดๆ “ใครใช้แกมา”
“คนที่อยากขึ้นมาแทนท่าน หรือกลัวว่าท่านจะเปิดเผยความลับจนต้องปิดปากมีอยู่เยอะแยะ ใครมีเงินจ้าง พวกเราก็ทำงานให้ทั้งนั้นแหละ เหมือนที่เคยรับใช้ท่านยังไงล่ะ”
ขาดคำ ก็มีชูริเคน ซึ่งเป็นดาวกระจายของนินจา ขว้างใส่สุบรรณทันที แต่คราวนี้สุบรรณระวังตัวอยู่แล้ว เลยพลิกตัวหลบได้ทัน
มือสังหารอีกคน ที่ขว้างชูริเคนใส่ ชักดาบซามูไรออกมา แล้วกระโดดลงมาจากชั้นสอง ฟันใส่สุบรรณทันที
สุบรรณฉากหลบได้ แต่ก็โดนมือสังหาร 1 ชักดาบฟันใส่จนปลายดาบถากหัวไหล่ เลือดไหลไปอีกแผล
สองมือสังหารนินจา เข้ากลุ้มรุมสุบรรณทันที
แต่ถึงแม้สุบรรณจะมือเปล่าก็สู้ไม่ถอย ฝีมือของสุบรรณก็ร้ายกาจใช่ย่อย ถึงจะโดนรุมก็สู้ได้อย่างสูสี ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกรับอย่างดุเดือด
ก่อนที่สุบรรณจะงัดไม้ตายออกมา ด้วยการพลิกตัวหลบดาบ แล้วชักปืนพกเล็กๆ ที่ตนซ่อนไว้ในถุงเท้าออกมายิงสวน ถูกมือสังหาร 1 กลางหน้าผากตายคาที่ทันที
แต่สุบรรณก็เปิดช่องว่างให้มือสังหาร 2 กระโดดถีบจนกระเด็นไปกระแทกผนังอย่างแรง ศีรษะสุบรรณกระแทกกับผนังอย่างแรงจนเลือดซึมออกมา
มือสังหาร 2 รีบซ้ำ เตะจระเข้ฟาดหางใส่สุบรรณเต็มหน้า จนร่างสุบรรณหมุนคว้ากลางอากาศตามแรงเตะ ก่อนจะร่วงลงมาฟาดกับพื้น
ศีรษะสุบรรณฟาดกระแทกกับพื้นเข้าอย่างแรงอีกครั้ง สุบรรณชักกระตุก ตาเหลือกค้างเพราะศีรษะได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ ปิดลง
มือสังหาร 2 ย่างสามขุมเข้ามาหา แล้วใช้นิ้วอังที่จมูกของสุบรรณเพื่อตรวจดูว่ายังหายใจอยู่รึเปล่า ก่อนที่จะเงื้อดาบซามูไรแทงใส่สุบรรณทันที กะซ้ำเพื่อให้แน่ใจว่าตายแน่
แต่ทันใดนั้นเอง ก็มีควันสีดำทะมึนลอยออกจากร่างของสุบรรณ มือสังหาร 2 ตกใจ ผงะถอยออกมา
ควันสีดำรวมตัวกันเป็นรูปร่างคน ก่อนจะกลายร่างเป็นสุบรรณอีกคน ยืนจ้องหน้ามือสังหาร 2 ด้วยแววตาถมึงทึง
มือสังหาร 2 ตกใจสุดๆ ที่เห็นสุบรรณแยกร่างมี 2 คน โดยคนหนึ่งถูกตนทำร้ายจนนอนอยู่ที่พื้น แต่อีกคนกลับมายืนจ้องหน้าตน
มือสังหาร 2 รีบขว้างชูริเคนใส่สุบรรณที่จ้องหน้าตนทันที แต่สุบรรณใช้มือเปล่าปัดชูริเคนทิ้งด้วยความเร็วปานสายฟ้า ก่อนจะพุ่งเข้าใส่มือสังหาร 2 แล้วใช้มือข้างหนึ่งบีบคอมือสังหาร 2 ไว้ แล้วใช้มืออีกข้างปักเข้าที่หัวใจของมือสังหาร 2 ทันที
มือสังหาร 2 ตาเหลือกค้างด้วยความเจ็บปวด แต่ส่งเสียงร้องไม่ออกซักคำ ก่อนจะคอตกพับห้อย ขาดใจตายไป

ยินเสียงคำรามของพญาครุฑดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ ราวกับจะแสดงพลังอำนาจที่ยิ่งใหญ่ และน่ากลัวให้ประจักษ์

เช้าวันต่อมา ตำรวจพิสูจน์หลักฐานกำลังช่วยกันตรวจสถานที่เกิดเหตุ ห้องโถงคฤหาสน์สุบรรณอยู่ โดยที่จ่าชิดกำลังสอบปากคำคนรับใช้ในบ้าน

ไพศิษฐ์เดินเข้ามาในโถงบ้าน ก่อนจะตรงเข้าไปหาจ่าชิด
“เป็นยังไงบ้างจ่า”
“ฝีมือพวกนินจัตสุครับผู้กอง มันวางยาสลบคนในบ้าน เพื่อจะลอบฆ่าท่านสุบรรณ แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกมันกลับเป็นฝ่ายตายเสียเอง” จ่าชิดรายงาน
“แล้วศพพวกมันล่ะจ่า”
“ส่งไปนิติเวชแล้วครับ คนหนึ่งถูกยิงเข้าที่หัว แต่อีกคนน่ะสิครับ” จ่าชิดสยดสยองจนขนลุก “อึ๊ย”
ไพศิษฐ์ฉงน “อีกคนทำไม”
จ่าชิดทำหน้าสยดสยอง “ถูกควักหัวใจออกไปสดๆ เลยครับ ไม่รู้ว่าทำได้ยังไง”
ไพศิษฐ์หน้าเครียด “แล้วท่านสุบรรณอยู่ไหน สอบปากคำท่านไปรึยัง”
“คงไม่มีใครสอบปากคำท่านสุบรรณได้แล้วล่ะครับผู้กอง”
“ทำไม ท่านสุบรรณทำไม”
ไพศิษฐ์มีสีหน้าสงสัยขึ้นมาทันทีว่าเกิดอะไรขึ้นกับสุบรรณ

ที่แท้สุบรรณนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่บนเตียง รอบตัวเต็มไปด้วยอุปกรณ์ช่วยชีวิตเต็มไปหมด ที่ศีรษะพันผ้าพันแผลไว้เพราะเพิ่งผ่านการผ่าตัดสมองมา
นาถสุดานั่งอยู่บนรถเข็น มองสภาพของสุบรรณด้วยความเศร้าใจ เป็นห่วงพี่ พันเอกนรินทร์เปิดประตูห้องเข้ามา
นาถสุดาถามอย่างร้อนใจ “คุณหมอว่าไงบ้างคะคุณพ่อ”
ผู้พันนรินทร์หน้าเครียด “สมองของสุบรรณได้รับการกระทบกระเทือนอย่างแรง จนมีเลือดคั่งในสมอง ถึงจะผ่าตัดแล้ว แต่ก็คง...คงต้องเป็นเจ้าชายนิทราไปตลอด”
นาถสุดาน้ำตาคลอ สงสารพี่จับใจ จับมือสุบรรณไว้ “พี่สุบรรณ”
ขณะนั้นเอง จู่ๆ พันเอกนรินทร์ก็เห็นนิมิตบางอย่างขึ้น จนปวดหัวขึ้นมา
“โอ๊ย”
นาถสุดาตกใจ “เป็นอะไรไปคะคุณพ่อ”
ผู้พันนรินทร์เห็นนิมิตจนหวาดกลัวกับภาพที่เห็น
“สุบรรณ”

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นที่โกดังแห่งหนึ่ง ตอนกลางวัน พวกมือปืนกำลังคุ้มกันนักการเมืองคนหนึ่ง หนีตายหัวซุกหัวซุน
พวกมือปืนช่วยกันยิงสกัดสุบรรณ พานักการเมืองหนีไป
แต่แล้วทันใดนั้น สุบรรณก็โผล่ออกมา กระโดดบินข้ามหัวพวกมือปืนราวกับพญานกตัวใหญ่
พวกมือปืนระดมยิง แต่ก็ไม่มีใครยิงถูกซักคน ก่อนที่สุบรรณจะลอยละลิ่วมาดักหน้านักการเมืองไว้
นักการเมืองคนนั้นกลัวสุดๆ “ฆ่ามัน ฆ่าไอ้สุบรรณเร็ว”
พวกมือปืนรีบตามมายิงถล่ม แต่สุบรรณเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ไม่มีใครยิงถูกซักคน แถมสุบรรณยังใช้ความเร็ว หักคอมือปืนทีละคน บางคนก็โดนเตะต่อยกระเด็น ตายสนิทกันทุกคน จนเหลือนักการเมืองแค่คนเดียว
สุบรรณเดินย่างสามขุม ช้าๆ เข้าหานักการเมือง
นักการเมืองกลัวสุดขีด ตัวสั่น คุกเข่ายกมือไหว้ขอชีวิต “อย่า อย่าทำอะไรผมเลยท่านสุบรรณ ผม
กลัวแล้ว ผมขอโทษที่คิดร้ายต่อท่าน”
สุบรรณยิ้มเยาะ “ขอโทษตอนนี้ไม่สายไปหน่อยเหรอ เมื่อวานแกยังส่งพวกนินจัตสุมาฆ่าฉันปิดปากอยู่เลยนี่”
นักการเมืองกลัวสุดขีด “ผมผิดไปแล้ว ต่อไปผมไม่กล้าอีกแล้ว อย่าทำอะไรผมเลย”
“ก็ได้ เห็นแก่ที่เราทำธุรกิจร่วมกันมานาน ฉันยกโทษให้”
นักการเมืองดีใจ เริ่มยิ้มออก
แต่ทันใดนั้น สุบรรณก็พุ่งเข้าหานักการเมืองด้วยความรวดเร็ว แล้วใช้มือข้างหนึ่งบีบคอนักการเมืองไว้ แล้วยกขึ้นจนสองเท้าลอยพ้นพื้น
“หลังจากที่แกตายไปแล้ว”
ขาดคำ มืออีกข้างของสุบรรณก็ปักเข้าที่ขั้วหัวใจของนักการเมืองทันที
นักการเมืองร้องไม่ออกซักคำเพราะโดนบีบคออยู่ แต่สีหน้าแววตาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว เจ็บปวดถึงขีดสุด

สุบรรณแสยะยิ้ม ใบหน้าเหี้ยมเกรียม ความโหดร้ายทวีมากยิ่งกว่าสุบรรณในสมัยก่อนเสียอีก

มณีสวาท ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)

นาถสุดาฟังจบก็ออกอาการตกใจ

“พี่สุบรรณน่ะเหรอคะคุณพ่อ เป็นไปได้ยังไงคะ”
นาถสุดากำลังคุยกับพันเอกนรินทร์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ผู้พันนรินทร์หน้าเครียด “พ่อเองก็ไม่อยากเชื่อเหมือนกัน แต่ที่พ่อเห็นจากในสมาธิ คงไม่ผิดหรอก”
นาถสุดาไม่อยากเชื่อ “แต่พี่สุบรรณนอนเป็นเจ้าชายนิทราอยู่ที่ห้องไอซียูนี่เองนะคะ แล้วจะไปฆ่าคนได้ยังไง”
“ที่ฆ่าคนคือร่างจิตของสุบรรณของต่างหาก ก็เหมือนวิญญาณที่ออกจากร่างตอนเราตายนั่นแหละ แต่สิ่งที่ออกมาจากร่างสุบรรณ มีแต่จิตของพญาครุฑแล้วก็พลังอำนาจในอดีตชาติเท่านั้น ส่วนจิตสำนึกด้านอื่น ยังยึดติดอยู่กับกายหยาบของสุบรรณ” ผู้พันว่า
นาถสุดานิ่งคิดทบทวน “นาถพอจะจำได้แล้ว ตอนที่เจ้าอุรคาขึ้นแสดงในงาน พี่สุบรรณก็เคยมีท่าทางประหลาดๆน่ากลัว เหมือนไม่ใช่ตัวของพี่สุบรรณเอง มันเป็นอย่างเดียวกันหรือเปล่าคะคุณพ่อ”
ผู้พันนรินทร์พยักหน้ารับ “ใช่แล้วลูก แต่ครั้งนั้นมันแค่ไม่นาน แต่คราวนี้ไม่รู้มันจะยุติลงเมื่อไหร่ พ่อกลัวว่าระหว่างนี้ จะมีคนเป็นอันตรายเพราะร่างจิตของสุบรรณอีกน่ะสิ”
นาถสุดาหน้าเสีย เป็นห่วงพี่ชาย “ทำไมคุณพ่อคิดอย่างงั้นล่ะคะ”
“คนเราทุกคนมีทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะควบคุมด้านไหนได้ดีกว่ากัน แต่ร่างจิตของสุบรรณแยกออกมาจากกายหยาบโดยไม่สมบูรณ์ เลยมีแต่ความอยาก ความแค้น แล้วก็ความโกรธเกลียดเป็นพื้นฐาน ถ้าเราไม่รีบหยุดร่างนี้ไว้ เค้าก็จะทำลายชีวิตอีกมากเพื่อสนองความต้องการของตนเอง เหมือนในอดีตชาตินั่นแหละ”
นาถสุดามีสีหน้ากังวลใจจนเห็นได้ชัด ห่วงสุบรรณไม่อยากให้พี่ต้องทำอะไรไม่ดีลงไปอีก

ขณะเดียวกันเจ้าอุรคาในชุดนุ่งขาว ห่มขาว กำลังเดินจงกรมอยู่รอบพระธาตุพนม ทันใดนั้น เจ้าอุรคาก็เห็นนิมิตบางอย่างขึ้นมา ซึ่งมันทำให้เจ้าอุรคาตกใจมาก
“พญาสุบรรณ!”
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงยมนาดังขึ้น
“อย่าวอกแวกอุรคา ตั้งสมาธิไว้”
ยมนาเดินออกมาหา เจ้าอุรคาร้อนใจมาก
“แต่ถ้าปล่อยไว้แบบนี้ อาจจะมีอันตรายมาถึงท่านภุชเคนทร์ก็ได้”
“เจ้ากำลังอยู่ในระหว่างถือศีล ถึงแม้พญาสุบรรณจะทำอันตรายต่อภุชเคนทร์ หรือต่อตัวเจ้า เจ้าก็ต้องตั้งมั่นไว้ไม่ตอบโต้ให้ศีลมัวหมอง”
“แต่...”
ยมนาพูดสวนขึ้น “ผู้ใดเป็นผู้ผูกกรรม ผู้นั้นก็ต้องเป็นผู้แก้ ทั้งเจ้า ท่านภุชเคนทร์ พญาสุบรรณ ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกลับไปสู่จุดเริ่มต้นของวิบากกรรมครั้งนี้ ไม่ว่าใครก็ขวางไม่ได้ ขึ้นอยู่กับเจ้าว่าจะผูกกรรมใหม่ให้เป็นบาปติดตัวไปอีกรึเปล่าเท่านั้นเอง”
เจ้าอุรคานิ่งสงบลง ถึงเวลาที่ตนจะต้องแก้ไขในส่วนของตนแล้วจริงๆ

ที่ห้องทำงานผู้กองไพศิษฐ์ ภาพจากกล้องวงจรปิดเห็นเป็นภาพที่สุบรรณกำลังฆ่านักการเมืองในอย่างโหดเหี้ยม
ไพศิษฐ์ จ่าชิด และตำรวจอีก 3-4 คน กำลังดูภาพจากกล้องวงจรปิดของโกดัง ด้วยความตื่นตกใจ
จ่าชิดออกอาการตกใจมาก “นั่นมันท่านสุบรรณชัดๆ เลยนี่ครับผู้กอง แล้วท่านสุบรรณไปฆ่าท่านสุรสิทธิ์ได้ยังไงล่ะครับ ก็ในเมื่อท่านสุบรรณนอนเป็นผักอยู่ที่โรงพยาบาล”
ไพศิษฐ์เองก็งงหนัก “ถามผมแล้วผมจะรู้มั้ยจ่า” ชี้ไปที่ภาพจากกล้องวงจรปิด “แล้วดูดิ คนธรรมดาทำแบบนี้ได้ไง ต่อให้พวกนินจัตสุก็ทำไม่ได้หรอก”
ทุกคนเครียดหนัก จับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก
ขณะนั้นเอง ก็มีตำรวจคนหนึ่งเข้ามาในห้อง
“ผู้กองครับ มีคนพบเห็นคนเหมือนท่านสุบรรณที่ตึกสกายวิง จะเอาไงดีครับ”
“ยังต้องถามอีกเหรอ ทุกคน ตามผมมา”

ไพศิษฐ์เดินนำทุกคนออกจากห้องไป

สุบรรณยืนตระหง่านอยู่บนดาดฟ้าตึกสูง สายลมพัดแรงเข้าหาตัวสุบรรณ จนเสื้อผ้าปลิวพลิ้วไสว

สุบรรณกางแขนออก รับแรงลมที่พัดกระแทกเข้ามา ราวกับเป็นส่วนหนึ่งของสายลม ตะโกนก้อง
“อุรคาเทวี.....”
เสียงของสุบรรณสะท้อนสะท้านไปทั่วบริเวณ ได้ยินไปไกล
“ไม่ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน สายลมก็จะพัดพาข้าไปหาเจ้าทุกที่ อุรคาเทวี”
ทันใดนั้นเอง ไพศิษฐ์ก็เปิดประตูดาดฟ้าเข้ามา พร้อมด้วยจ่าชิด และตำรวจจำนวนมาก กระจายกำลังกันเข้าล้อมสุบรรณไว้ แต่ละคนมีอาวุธครบมือ เตรียมพร้อมเต็มที่
สุบรรณหันมายิ้มให้ไพศิษฐ์ “เก่งมากผู้กอง ที่หาผมเจอ”
ไพศิษฐ์ชักปืนออกมาเตรียมพร้อม “แกเป็นใคร รู้จักฉันได้ไง”
สุบรรณยิ้มเล็กน้อย “ผมก็สุบรรณ พี่ชายของแฟนผู้กองไง ลืมไปแล้วเหรอ”
“ท่านสุบรรณอยู่โรงพยาบาล ไม่มีทางมายืนตรงนี้ได้หรอก แกเป็นใครกันแน่”
สุบรรณยิ้มเยาะท่าทีขำๆ “ตกลงคุณนำคนแห่กันมาขนาดนี้ แค่อยากจะรู้ว่าผมเป็นใครเท่านั้นน่ะเหรอ”
“แกเป็นคนฆ่าท่านสุรสิทธิ์ใช่มั้ย”
“ใช่ ก็มันส่งมือสังหารนินจัตสุมาลอบฆ่าปิดปากผมก่อน ผมก็ต้องเอาคืนสิครั้งนี้ถือว่าผมช่วยราชการนะ คุณรู้มั้ย ว่าเบื้องหลังมันโสมมขนาดไหนขนาดผม ยังต้องยอมแพ้เลย”
ไพศิษฐ์ชักปืนขึ้นมา เล็งไปที่สุบรรณ “แต่บ้านเมืองมีกฎหมาย ไม่ว่าเค้าจะเลวแค่ไหน ก็ต้องให้กฎหมายเป็นผู้ลงโทษ ไม่ใช่จัดการกันเอง”
สุบรรณหัวเราะร่วน “ไร้เดียงสาน่าผู้กอง กว่าคุณจะหาหลักฐานเล่นงานมันได้ มันก็ตายจนไปเกิดใหม่ไม่รู้กี่ชาติต่อกี่ชาติแล้ว แต่เอาเถอะ ผมไม่มีเวลามาเถียงกับผู้กองเรื่องหลักนิติศาสตร์หรอก เพราะผมเอง ก็ไม่ได้ดีไปกว่าไอ้อดีตหัวหน้าพรรคของผมซักเท่าไหร่”
“ถ้าอย่างงั้น ผมขอเชิญตัวท่านไปกับผมด้วยครับ”
“ผมก็ไม่มีเวลาไปกับคุณหรอก” สีหน้าสุบรรณขรึมลง ท่าทีจริง “เพราะตอนนี้ ผมต้องไปเอาสิ่งที่ผมอยากได้ มาเป็นของผมให้ได้เสียก่อน” สุบรรณยิ้มบางๆ “ลาก่อนผู้กอง ดูแลนาถให้ดีด้วย”
สุบรรณหันหลังวิ่งไปที่ริมดาดฟ้า เหมือนจะกระโดดลงไปฆ่าตัวตาย
ไพศิษฐ์ตกใจสุดขีด คิดว่าสุบรรณจะฆ่าตัวตาย “อย่า”
ไพศิษฐ์วิ่งฝ่าแรงลมตามเข้าไปเพื่อจะช่วยสุบรรณ แต่ก็สายเกินไป สุบรรณกระโจนลงจากดาดฟ้าตึกไปก่อน แม้ไพศิษฐ์จะพยายามคว้าไว้ แต่ก็คลาดกันไปแค่เส้นยาแดงผ่าแปด
ไพศิษฐ์เสียใจ แต่พอมองลงไปก็ตกใจแทบสิ้นสติ เมื่อเห็นสุบรรณกลายร่างเป็นพญาครุฑ บินหายไปด้วยความเร็วสูงกับตา
จ่าชิดและพวกตำรวจ รีบตามเข้าไปหาไพศิษฐ์มองด้วยความงุนงง
“นี่พวกผมตาฝาดไปหรือเปล่าครับผู้กอง”
ไพศิษฐ์ยืนอึ้ง ไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน จนเบลอไปหมด คิดอะไรไม่ออก

ตกตอนกลางคืน ภุชคินทร์นั่งซึมๆ อยู่คนเดียวในห้องนั่งเล่น หมดอาลัยตายอยากในชีวิต หน้าตายังมีรอยฟกช้ำเล็กน้อย จากการถูกสุบรรณต่อย
นารีวรรณเดินเข้ามาหาภุชคินทร์ พยายามชวนคุยไม่ให้พี่ชายเครียด ปั้นยิ้มถาม
“พี่ชาย มานั่งทำอะไรอยู่ตรงนี้คนเดียวคะ มาดูหนังเป็นเพื่อนหนูนาดีกว่า หนูนามีหนังใหม่ๆ มาเต็มเลย”
ภุชคินทร์ยิ้มบางๆ “หนูนาดูเถอะ พี่ไม่อยากดู”
นารีวรรณหน้าเจื่อนไป รีบปั้นยิ้มใหม่ “เมื่อกี๊คุณน้าภิงคารโทร.มา บอกว่าตอนนี้งานเยอะมาก อยากให้พี่ชายกลับไปช่วยงาน พี่ชายพร้อมจะไปทำงานเมื่อไหร่คะ”
“บอกคุณน้านะ ว่าให้หาเลขาฯคนใหม่แทนพี่ก็แล้วกัน เดี๋ยวพี่จะส่งหนังสือลาออกอย่างเป็นทางการตามไปที่หลัง”
นารีวรรณหน้าเสีย “พี่ชาย...นี่พี่ชายถึงกับยอมตัดอนาคตตัวเอง เพื่อผู้หญิงคนเดียวเลยเหรอคะ”
“แล้วจะให้พี่ทำไปเพื่อใครล่ะหนูนา” หน้าภุชคินทร์เศร้าลงอีก “ในเมื่อตอนนี้ คนที่พี่รักจะอยู่หรือตาย พี่ก็ยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำ”
“แล้วหนูนากับคุณแม่ล่ะคะ พี่ชายไม่รักหนูนากับคุณแม่แล้วเหรอ”
“รักสิ ถ้าไม่รัก พี่จะยอมทนอยู่อย่างงี้เหรอ ถ้าหนูนากับคุณแม่จะให้พี่กลับไปทำงาน พี่ก็จะทำนะ แต่ไม่ใช่เพราะพี่อยากทำ แต่เพราะมันเป็นหน้าที่ เป็นความรับผิดชอบที่พี่มีให้คุณแม่กับหนูนาต่างหาก”
นารีวรรณอึ้งไป ไม่คิดว่าพี่จะกลายเป็นคนซังกะตายเหมือนหุ่นยนต์ขนาดนี้
หม่อมภาณียืนแอบดูอยู่ อาการเครียดหนัก สะท้อนใจ เพราะถึงแม้จะรั้งตัวลูกชายเอาไว้ได้ แต่ก็ไม่ได้หัวใจของลูกคนเดิมกลับมา

ยามเช้าหม่อมภาณี กับนารีวรรณนากำลังจิบกาแฟคุยไปอยู่ในสวน ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
นารีวรรณไม่สบายใจมาก “หนูนาชักไม่แน่ใจแล้วค่ะว่าเราทำถูก ที่แยกพี่ชายออกจากเจ้าอุรคา พี่ชายเหมือนมาแต่ตัว แต่ไม่มีหัวใจมาด้วย”
หม่อมภาณีถอนใจ สีหน้าเครียดเคร่ง “หนูนาก็ได้ยินที่คุณแม่วรรษาบอกแล้วนี่ลูก ยังไงพญานาคก็อยู่ร่วมสังคมกับมนุษย์ไม่ได้ ก็มีแต่ต้องให้ตาชายไปอยู่กับเจ้าเท่านั้น เราทำแบบนี้ อย่างน้อยก็ยังได้ตาชายกลับมาครึ่งหนึ่ง ถึงตอนนี้เค้าจะไม่มีใจ แต่เวลาผ่านไป พี่เค้าอาจจะลืมเจ้า แล้วกลับมาเป็นคนเดิมก็ได้”
“พี่ชายน่ะเหรอคะ จะลืมเจ้าอุรคา หนูนาว่ายิ่งนานจะยิ่งจำซะมากกว่า สายสัมพันธ์ของสองคนนี่ ไม่ใช่ว่าจะแยกกันได้ง่ายๆ เลยนะคะ”
หม่อมภาณีหน้าเครียดลง ลึกๆ ก็ห่วงเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน
ขณะนั้นเอง คนรับใช้ก็เดินเข้ามาหาหม่อมภาณี พร้อมกับคุกเข่าลง
“หม่อมคะ ผู้พันนรินทร์มาขอพบคะ”
หม่อมภาณีฉงน “ผู้พันนรินทร์ เค้าบอกรึเปล่าจ๊ะ ว่ามีธุระอะไร”
“ผู้พันบอกว่า จะมาขออนุญาตให้คุณชายไปพบเจ้าอุรคาค่ะ”

สองแม่ลูกตกใจ ไม่คิดว่านรินทร์จะบุกเข้ามาด้วยเรื่องนี้

ฝ่ายภุชคินทร์เดินกลับเข้ามาในห้องนอน แต่แล้วก็ต้องชะงัก ตกใจ เมื่อเห็นอัญมณี นาคสวาท มรกต ครุฑธิการ ทั้ง 3 วางอยู่ที่โต๊ะทำงานของตน

“นาคสวาท มรกต ครุฑธิการ มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง” ภุชคินทร์ประหลาดใจมาก
อัญมณีทั้ง 3 เปล่งแสงเรืองรอง ก่อนจะลอยขึ้นมาได้เองเหมือนมีชีวิต อัญมณีทั้ง 3 ลอยเข้าหาภุชคินทร์ ทันทีที่ภุชคินทร์เอื้อมมือไปรับอัญมณีทั้ง 3 ไว้ ก็เห็นภาพนิมิตบางอย่าง ปรากฏขึ้นในหัวทันที
เบื้องแรกเห็นทิวทัศน์กว้างใหญ่สวยงาม ของแม่น้ำโขง ก่อนจะเห็นเจ้าอุรคาในชุดอาภรณ์โบราณ สวยสง่า งดงาม ยืนทอดสายตามองแม่น้ำโขงอยู่
เจ้าอุรคาหันมายิ้มให้ ดูสวยงามราวภาพวาดในเทพนิยาย
แต่ทันใดนั้น ก็มีพญาครุฑตนหนึ่งบินโฉบ กางกรงเล็บออกมา โฉบจับอุรคาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

ภุชคินทร์ผงะ เห็นภาพในนิมิตชัดเจน ตกใจสุดๆ “เจ้าอุรคา!”

เวลานั้นภุชคินทร์ หม่อมภาณี นารีวรรณ และพันเอกนรินทร์ อยู่ด้วยกันภายในห้องรับแขกวังนาเคนทร์ หม่อมภาณีกำลังย้อนถามอย่างไม่พอใจ
“ผู้พันพูดอะไรออกมา รู้ตัวรึเปล่าคะ”
หม่อมภาณีกำลังคุยกับพันเอกนรินทร์ โดยมีนารีวรรณอยู่ใกล้ๆ
“กว่าดิฉันจะแยกตาชายออกมาจากเจ้าอุรคาได้ มันยากลำบากขนาดไหน แล้วจู่ๆ ผู้พันจะขอให้ลูกชายดิฉันกลับไปพบแม่นั่นอีกอย่างนั้นน่ะเหรอ”
“ผมทราบครับ ว่าหม่อมไม่อยากให้คุณชายยุ่งเกี่ยวกับเจ้าอุรคาอีก แต่นี่เป็นทางเดียว ที่จะช่วยเหลือคนบริสุทธิ์ แล้วก็ยุติความแค้นในอดีตด้วย” ผู้พันโน้มน้าว
“จะความแค้นของใคร ดิฉันไม่สนทั้งนั้นล่ะค่ะ ดิฉันรู้แต่ว่าตาชายเป็นลูกดิฉัน และดิฉันก็มีหน้าที่จะต้องปกป้องลูก”
พันเอกนรินทร์ยิ้มบางๆ พูดอย่างรู้จริง “ปกป้อง ด้วยการแยกคุณชายออกจากคู่ของเค้าอย่างงั้นน่ะเหรอครับ ถ้าเดาไม่ผิด ผมคิดว่าตอนนี้คุณชายก็คงอยู่กับหม่อมแค่ร่างกายเท่านั้น แต่ใจก็ยังติดตามเจ้าอุรคาไปอยู่ดีล่ะครับ”
เจอคำพูดแทงใจดำจัง หม่อมภาณียิ่งโมโห “แล้วผู้พันมายุ่งอะไรด้วย เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับผู้พันเลยนะ”
นารีวรรณเองก็หน้าเสีย กลัวเสียมารยาท “คุณแม่คะ”
“เกี่ยวสิครับ เพราะเจ้าอุรคาช่วยชีวิตลูกสาวของผมไว้ สุบรรณก็เป็นหลานชายของผม และคนเดียวที่จะปลดบ่วงกรรมครั้งนี้ได้ ก็คือคุณชายภุชคินทร์ ผมถึงอยากจะขอให้คุณชายไปพบเจ้ากับสุบรรณ เพื่อยุติกรรมครั้งนี้ครับ”
หม่อมภาณียังแถต่อ “แล้วถ้าเกิดลูกชายดิฉันไปเจอเจ้าอุรคาแล้วไม่กลับมาอีกล่ะคะ”
ขณะนั้นเอง 3 คนได้ยินเสียงภุชคินทร์ดังขึ้น
“กลับมาสิครับ”
ทุกคนหันไปมองตาม เห็นภุชคินทร์เดินตรงเข้ามาหาหม่อมภาณี
“ผมสัญญา ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ผมก็จะกลับมาหาคุณแม่ครับ แต่ขอให้ผมได้ไปหาเจ้าอุรคาเถอะครับ เพราะตอนนี้เธอกำลังตกอยู่ในอันตรายจริงๆ”
นารีวรรณแปลกใจ “พี่ชายรู้ได้ยังไงคะ”
ภุชคินทร์แบมือออก เห็นอัญมณีทั้ง 3 วางอยู่ในมือ
นารีวรรณงุนงง “นาคสวาท มรกต ครุฑธิการ นี่มันของเจ้าอุรคานี่คะ แล้วมันมาอยู่กับพี่ชายได้ยังไง”
“เพราะคุณชายคือผู้ที่สร้างมันขึ้นมายังไงล่ะครับ แต่ถ้าจะพูดให้ถูก ก็คืออดีตชาติของคุณชายเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาในวันที่เค้าตาย พญานาคาภุชเคนทร์” พันเอกนรินทร์บอก
“มณีสวาททั้งสามกลับมาหาผม เพราะมันคือจุดเชื่อมระหว่างผม เจ้าอุรคา และท่านสุบรรณ ผมจะต้องไปสะสางเรื่องนี้ให้จบ ไม่อย่างงั้น เหตุการณ์อย่างในชาตินี้ก็จะเกิดขึ้น ซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่มีวันจบ คุณแม่อนุญาตให้ผมไปเถอะนะครับ ผมอยากให้คุณแม่เต็มใจ ไม่อยากหนีคุณแม่ไปอีกแล้ว”
หม่อมภาณีทอดถอนใจ รู้ว่าฝืนไม่ไหวจริงๆ “แต่ชายต้องสัญญานะลูก ว่าจะกลับมาหาแม่”
ภุชคินทร์ยิ้มกว้าง ดีใจ “ครับคุณแม่”
ผู้พันนรินทร์ถาม “คุณชายรู้แล้วใช่มั้ยครับ ว่าจะต้องไปที่ไหน”

“ครับ จุดเริ่มต้นของกรรม ก็จะเป็นจุดสิ้นสุดของกรรมเหมือนกัน” ภุชคินทร์บอกแน่วนิ่ง

ที่วัดพระธาตุพนม จ.นครพนม สุบรรณยืนมองพระธาตุพนมด้วยจิตศรัทธา ท่าทีนิ่งสงบ คุกเข่าลงกราบพระธาตุพนมที่สูงตระหง่านเสียดฟ้า ดูสวยงามและเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ก่อนจะลุกขึ้นยืน ยิ้มบางๆ บอกกับตัวเอง 

“อย่าพยายามเลยอุรคาเทวี ยังไงเจ้าก็ไม่มีวันหนีเราพ้น”
สุบรรณหันกลับไป เห็นเจ้าอาวาสกำลังยืนมองมายังตนอยู่ ด้วยสายตานิ่งสงบ หลวงพ่อเจ้าอาวาสรูปนี้เป็นพระอาจารย์ของพันเอกนรินทร์ และเป็นคนช่วยให้สุบรรณระลึกชาติได้นั่นเอง
“หยุดตรงนี้เถอะโยม กลับเข้ากายหยาบของโยมไปซะ จะได้ไม่ต้องก่อกรรมมากไปกว่านี้”
“กลับเข้ากายหยาบ เพื่อจะรอวันตาย แล้วก็ไปเกิดใหม่อย่างงั้นน่ะเหรอครับ” สุบรรณยิ้มขำๆ “งั้นผมขออยู่ในร่างจิตอย่างงี้ดีกว่า อยากทำอะไรก็ได้ทำ”
“แต่ร่างจิตของโยมไม่สมบูรณ์ มันมีแต่กิเลสและความชั่ว แต่ปราศจากความดีและการยับยั้งชั่งใจ”
“แต่มันก็มีพลังอำนาจของพญาครุฑ แล้วผมก็จะใช้พลังนี้แย่งทุกอย่างที่ผมอยากได้มาเป็นของผมให้หมด อย่างที่สุบรรณหรือพญาครุฑสุบรรณในอดีตชาติทำไม่ได้ด้วย หลวงพ่ออย่าขวางผมอีกเลยครับ ผมไม่อยากทำร้ายหลวงพ่อ”
สุบรรณเดินเลี่ยงไป เจ้าอาวาสมองตามแล้วส่ายหน้าอย่างปลดปลง

ที่บริเวณริมแม่น้ำโขง อันกว้างใหญ่ สวยงาม แต่ก็ดูลึกลับอย่างประหลาด ตรงจุดเดียวกับที่พญาสุบรรณฆ่าภุชเคนทร์ในอดีตชาติ
เจ้าอุรคาสวมอาภรณ์ชุดโบราณเหมือนในนิมิตของภุชคินทร์ยืนทอดสายตามองแม่น้ำโขงด้วยแววตาเศร้าสร้อย
“เราไม่คิดจะหนีอีกแล้วพญาสุบรรณ มีคนต้องเดือดร้อน และเสียสละเพราะเรามามากแล้ว สมควรที่จะจบกรรมครั้งนี้ซะที”

ส่วนภุชคินทร์กำลังขับรถมาตามทางมุ่งสู่แม่น้ำโขงเพื่อตรงไปหาอุรคา ขณะนั้นเอง เสียงมือถือของภุชคินทร์ก็ดังขึ้นภุชคินทร์กดเปิดบลูทูธ แล้วรับสาย
“ว่าไงศิษฐ์...ฉันเพิ่งลงจากเครื่องบิน กำลังจะไปหาเจ้าอุรคา...แกอย่าเพิ่งถามอะไรเลย อยากรู้อะไรก็ไปถามผู้พันนรินทร์เองละกัน” ภุชคินทร์หน้าขรึมลง “ฉันไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ฉันรู้แต่ว่าฉันต้องไป”

เจ้าอุรคายืนมองแม่น้ำโขงอยู่ ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มืดครึ้ม เมฆดำทะมึน ลอยตัวเข้าบดบังดวงอาทิตย์ไว้ ก่อนจะเกิดลมพายุพัดโหมแรง สายน้ำในแม่น้ำโขงปั่นป่วน เป็นระลอกคลื่นโหมรุนแรง
“พญาสุบรรณ ในที่สุดท่านก็มา”
สุบรรณเดินออกมาหาเจ้าอุรคา พร้อมกับลมพายุต่างๆ เริ่มสงบลง ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
“ไปกับเราเถอะอุรคาเทวี ไม่มีใครจะมีรักแท้ต่อเจ้าเท่ากับเราอีกแล้ว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ภพกี่ชาติ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนหรือพญานาค เราก็จะตามรักเจ้าเพียงผู้เดียวเท่านั้น”
“เรารู้ รู้มาตลอดว่าท่านจริงใจต่อเรา…”
สุบรรณยิ้มดีใจ คิดว่าอุรคาใจอ่อน
“แต่เราไม่เคยรักท่าน ไม่ว่าเมื่อก่อน ปัจจุบัน หรือในอนาคต ผู้เดียวที่เรารัก ก็มีแต่ท่านภุชเคนทร์เท่านั้น...”
สุบรรณโมโหตวาดอย่างกราดเกรี้ยว “ทำไม”
หลังสุบรรณตวาดก้อง และบังเกิดลมพัดแรงขึ้นมาอีกระลอก ตามแรงโทสะของสุบรรณ
“ทั้งๆที่ไอ้ภุชเคนทร์มันอ่อนแอ ขี้ขลาด มันหวาดกลัวเราจนยอมสาบานไม่ขอเกิดเป็นพญานาคอีกเพื่อหนีเรา มันไม่ได้คิดถึงเจ้าแม้แต่น้อย ในขณะที่เราเข้มแข็งกว่าไอ้ภุชเคนทร์ แล้วยังมีความรักให้เจ้าเพียงผู้เดียว แล้วทำไมเจ้าถึงไม่รับรักเรา”
“ก็คงเป็นเหตุผลเดียว กับที่ท่านไม่ยอมตัดใจจากเรานั่นแหละ ท่านหาเหตุผลได้มั้ยล่ะ ว่าทำไมท่านต้องตามช่วงชิงเราจากท่านภุชเคนทร์ ทั้งๆที่เราไม่เคยมีใจให้ท่านเลย ในขณะที่มีผู้หญิงอีกมากมาย ที่พร้อมจะเป็นของท่าน แต่ท่านกลับไม่ต้องการพวกนาง”
สุบรรณอึ้งนิ่งงันไป ตนเองก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน
“ถ้าเราตั้งคำถามว่า “ทำไม” กับความรักแล้ว มันก็คงไม่ใช่ความรักที่แท้จริงหรอก รักมีไว้เพื่อรัก ไม่ได้มีไว้เพื่อครอบครอง”
สุบรรณยิ่งฟังก็ยิ่งริษยาจับใจ “ก็ได้ เรายอมรับ ว่าไม่มีทางได้หัวใจของเจ้า แต่ถึงไม่ได้หัวใจ เราก็ต้องได้ตัวของเจ้า”

ขาดคำ สุบรรณเคลื่อนไหวด้วยความเร็วสูง มาจับข้อมือของอุรคาไว้

มณีสวาท ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)

เจ้าอุรคาตกใจ ไม่คิดว่าสุบรรณจะทำอุกอาจแบบนี้

“ท่านบ้าไปแล้วพญาสุบรรณ คิดว่าทำอย่างงี้แล้วจะชนะเราได้เหรอ จิตของพญาครุฑของท่าน ไม่มีศักดิ์ศรีอยู่ด้วยเลยรึไง”
สุบรรณตะคอก “เราไม่สน เรารู้แต่ว่าต้องได้เจ้ามา ไม่ว่าจะใช้วิธีไหนก็ตาม”
เจ้าอุรคาโกรธจัด คิดจะพ่นพิษทำร้ายสุบรรณ แต่ทันใดนั้นคำพูดของยมนาก็ดังก้องขึ้นในหัว
“อำนาจแห่งศีลบารมี จะช่วยปกปักรักษาคุ้มครองเจ้า แต่เจ้าต้องควบคุมโลภะ โมหะ โทสะ อย่าปล่อยให้ศีลมัวหมองเด็ดขาด โดยเฉพาะโทสะอันเป็นวิสัยดั้งเดิมของพญานาค เจ้าต้องระวังให้ดี อย่าให้โทสจริตครอบงำจนทำร้ายผู้อื่นเด็ดขาด ไม่อย่างงั้นก็จะไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีก”
อุรคาหน้าเจื่อน เริ่มลังเลเพราะตนกำลังถือศีลรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ ถ้าทำร้ายสุบรรณด้วยโทสะก็ทำให้ศีลขาด จนอาจต้องตายด้วย
“ไปกับเราอุรคาเทวี เราต้องการเจ้า”
ทันใดนั้น ก็ได้ยินเสียงภุชคินทร์ตวาดดังลั่น
“ปล่อยเจ้าเดี๋ยวนี้!”
ทั้งสองหันไปมองตาม เห็นภุชคินทร์ยืนมองด้วยอาการกราดเกรี้ยวอยู่

ทางด้านหม่อมภาณีกำลังยืนเครียดอยู่ที่ระเบียง เหม่อมองไปที่สวนด้วยความไม่สบายใจ ห่วงภุชคินทร์ ภิงคารเดินเข้ามาหา หม่อมภาณีหันไปเห็นน้อง
“ภิงคาร ตาชาย”
“ผมทราบเรื่องหมดแล้วครับ ยัยหนูนาเล่าให้ผมฟังหมดแล้ว”
หม่อมภาณีมีแต่ความวิตก ไม่สบายใจ “พี่ไม่รู้ว่าพี่ทำถูกรึเปล่าที่ยอมให้ตาชายไป แล้วถ้าเกิดอะไรขึ้นกับลูก พี่จะมีชีวิตอยู่ยังไง”
“กรรมของใครก็ของคนนั้น ไม่มีใครฝืนกรรมไปได้พ้นหรอกครับ พี่ภาณีเองก็เคยลองแล้วไม่ใช่เหรอครับ”
หม่อมภาณีถอนใจหนักหน่วง “ใช่ กรรมของใครก็ของคนนั้น แต่ถ้าตาชายมีกรรมหนักจนต้องเป็นอะไรลงไป พี่ก็ไม่ขอมีชีวิตอยู่อีกแล้ว”
“อย่าพูดอย่างนั้นครับพี่ภาณี ถ้าพี่เป็นอะไรไปแล้วคนที่เหลืออยู่อย่างหนูนาจะอยู่กับใครล่ะครับ”
ภาณีฉุกคิดกับคำพูดของภิงคาร

ภุชคินทร์กำลังยืนจ้องสุบรรณที่จับข้อมืออุรคาไว้
“ไสหัวไปซะ ไอ้คนอ่อนแอ ขี้ขลาดอย่างแก ไม่มีค่าพอที่จะสู้กับฉันหรอก”
“ฉันอาจจะอ่อนแอ ขี้ขลาดอย่างที่แกบอก แต่ฉันจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ถ้าเจ้าอุรคาไม่ไปกับฉันด้วย”
สุบรรณยิ้มหยัน ดูหมิ่น ดูแคลน “ปกติ แกก็สู้ฉันไม่ได้อยู่แล้ว ตอนนี้ แกยิ่งไม่มีปัญญาจะแตะต้องตัวฉันด้วยซ้ำ”
เจ้าอุรคาเป็นห่วงภุชคินทร์ “หนีไปซะท่านภุชเคนทร์ ร่างจิตร่างนี้มีแต่ความชั่วร้ายกับพลังของพญาครุฑเท่านั้น ไม่มีใครเอาชนะเค้าได้หรอก”
“ผมไม่หนีไปไหนอีกแล้วครับเจ้า ผมตั้งใจจะมาที่นี่ เพื่อยุติกรรมทั้งหมด” ภุชคินทร์จ้องหน้าสุบรรณเขม็ง “ผมจะต้องเอาชนะเค้าให้ได้”
สุบรรณยิ้มขำ “กล้าขึ้นมาหน่อย ก็ได้ ฉันจะให้ของขวัญ ด้วยการยอมสู้กับแกก็แล้วกัน”
ขาดคำ สุบรรณก็พุ่งเข้าใส่ภุชคินทร์ด้วยความเร็วสูง พร้อมกับต่อยภุชคินทร์จนเลือดกบปากทันที
สุบรรณเคลื่อนไหวด้วยความว่องไว ทั้งเตะทั้งต่อยไม่ยั้ง ภุชคินทร์พยายามจะสู้ แต่ก็ต่อยไม่โดนซักหมัด มีแต่โดนหนักขึ้นเรื่อยๆ จนเละไปทั้งตัว
“หยุด หยุดได้แล้วพญาสุบรรณ เรายอมแล้ว เรายอมทุกอย่างแล้ว หยุดทำร้ายท่านภุชเคนทร์ซะที หยุด” เจ้าอุรคาร้องขึ้น
แต่สุบรรณไม่ยอมเลิก ยังเตะต่อยซ้อมภุชคินทร์อย่างมันมือ
เจ้าอุรคาโกรธจัด และเริ่มควบคุมตัวเองไม่อยู่ เห็นไอเลือนๆ จนเกือบจะแปลงร่างเป็นพญานาคเพื่อจะช่วยภุชคินทร์
แต่ทันใดนั้น ก็มีมือข้างหนึ่งเอื้อมมาจับมือเจ้าอุรคาไว้ เจ้าอุรคาหันไปมอง ปรากฏว่าเป็นยมนานั่นเอง
“ท่านมาห้ามเราไว้ทำไม เราจะไปช่วยท่านภุชเคนทร์”
“ไม่มีประโยชน์หรอกเจ้า ภุชเคนทร์จะต้องเป็นคนสะสางเรื่องนี้ด้วยตัวของเขาเอง เจ้าไม่สังเกตเหรออุรคาเทวี สถานที่แห่งนี้ คือที่เดียวกับที่พญานาคภุชเคนทร์สิ้นชีวิต และจิตพญาครุฑของสุบรรณก็ไม่ได้ออกจากร่างด้วยเหตุบังเอิญ แต่เป็นเพราะวงล้อแห่งกรรม ได้หมุนกลับมาซ้ำรอยเดิม เพื่อให้ภุชเคนทร์ได้มีโอกาสแก้ตัวอีกครั้ง”
“แก้ตัวเหรอ ท่านภุชเคนทร์กำลังจะถูกฆ่าอีกครั้งต่างหาก แล้วจะมีโอกาสอะไรให้แก้ตัว”
ขาดคำ ภุชคินทร์ในสภาพเลือดโทรมกาย ก็ทรุดลงกับพื้น
สุบรรณจิกหัวภุชคินทร์ขึ้นมา “แกไม่มีทางชนะฉันหรอก ไม่ว่าชาติก่อน ชาตินี้ หรืออีกกี่ภพชาติ แกก็ต้องแพ้ฉัน แพ้ฉันตลอดไป”
สุบรรณกระชากคอเสื้อภุชคินทร์ขึ้นมา แล้วเหวี่ยงไปไกลด้วยกำลังมหาศาล ก่อนที่จะเห็นร่างของภุชคินทร์จะร่วงฟาดลงกับพื้นอย่างแรง
เจ้าอุรคาตกใจสุดขีด “ท่านภุชเคนทร์!”

ร่างภุชคินทร์ถูกกระแทกจนกระอักเลือดออกจากปาก ก่อนที่เปลือกตาจะค่อยๆ ปิดลง

เวลาเดียวกันที่บริเวณวัดพระธาตุพนม พระเนตรของพระพุทธรูปองค์ประธานภายในอุโบสถ มองมาดูราวกับจะเห็นทุกเหตุการณ์บนโลกใบนี้

หลวงพ่อเจ้าอาวาสกำลังยืนมองพระพุทธรูปองค์นั้นอยู่ อย่างสงบนิ่ง พลางทอดถอนใจ
“กรรม...จะตัดกรรมได้ ก็มีแต่ต้องหยุดก่อกรรมเท่านั้น”

ขณะเดียวกันอุรคาจะวิ่งเข้าไปหาภุชคินทร์ที่นอนสลบ บาดเจ็บสาหัสอยู่ ด้วยความเป็นห่วงสุดๆ แต่ยมนาจับอุรคาไว้ไม่ให้ไป
เจ้าอุรคาใจจะขาดรอนๆ “ท่านภุชเคนทร์ๆ ปล่อยเราสิยมนา ปล่อยเรา เราจะไปหาท่านภุชเคนทร์ ปล่อยเรา”
“ตั้งสติก่อนอุรคาเทวี เจ้าเข้าไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ และเจ้าก็ยังอยู่ในระหว่างรักษาศีล ห้ามทำร้ายผู้อื่น ลืมแล้วรึไง”
“เราไม่สน ต่อให้เราต้องตาย เราก็จะไปช่วยท่านภุชเคนทร์ เราไม่มีวันยอมเห็นท่านภุชเคนทร์ตายต่อหน้าเราอีกแล้ว ปล่อยเรา”
เจ้าอุรคาพยายามดิ้นรน แต่ยมนาก็จับตัวไว้ ไม่ยอมให้ไป
สุบรรณมองสภาพภุชคินทร์แล้วยิ้มสะใจ ก่อนจะหันหลังเดินกลับมาหาเจ้าอุรคา
แต่ทันใดนั้น ภุชคินทร์ก็ลืมตาขึ้น ดวงตาภุชคินทร์เป็นประกายเรืองแสง ตัวของภุชคินทร์ลอยขึ้นสู่กลางอากาศ
สุบรรณสัมผัสได้ถึงพลังพิเศษของภุชคินทร์ รีบหันกลับไปด้วยความตกใจ
“จิตแห่งพญานาคา ท่านภุชเคนทร์” เจ้าอุรคาตื่นเต้น
ยมนายิ้มเล็กน้อย “เราบอกเจ้าแล้ว ว่าวงล้อแห่งกรรมได้หมุนกลับมาที่เดิม เพื่อให้โอกาสภุชเคนทร์แก้ตัวอีกครั้ง มณีสวาททั้งสามให้พลังแก่ภุชเคนทร์ก็เพื่อการนี้”
ภุชคินทร์กลับมายืนบนพื้น สีหน้าสงบนิ่ง
สุบรรณยิ้มเยาะ “จิตแห่งพญานาคแล้วไง ถึงยังไง พญานาคก็ไม่มีวันชนะพญาครุฑไปได้หรอก”
สุบรรณโผนพุ่งเข้าต่อยภุชคินทร์ด้วยความเร็วสูงทันที แต่คราวนี้ ภุชคินทร์หลบหลีกได้ แล้วต่อยสวนเข้าเต็มหน้าสุบรรณแทน
สุบรรณโดนต่อยจนเลือดกบปาก หันไปจ้องภุชคินทร์ด้วยความแค้น ก่อนจะบุกเข้าใส่ภุชคินทร์อีก
ทั้งคู่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทั้งเตะต่อย ใช้พลังเหนือมนุษย์ของพวกตนสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใคร คลื่นลมในแม่น้ำโขง ปั่นป่วนบ้าคลั่งตามพลังของทั้งคู่
จนในที่สุด ร่างของสุบรรณก็กลายเป็นพญาครุฑโผบินขึ้นกลางอากาศ เช่นเดียวกับภุชคินทร์ที่กลายเป็นพญานาค พุ่งขึ้นไปต่อสู้กันทันที
ครุฑกับนาคสู้กันอย่างดุเดือด พญานาคใช้ปากกัดหางฟาด พญาครุฑก็ใช้ปากจิก ใช้กรงเล็บบิดกระชาก พญานาคพ่นพิษใส่แต่ทำอะไรไม่ได้ โดนพญาครุฑใช้กรงเล็บจับเข้าที่หาง แล้วเหวี่ยงฟาดลงกับพื้นดินอย่างแรง
ซึ่งตามตำนาน จุดอ่อนของพญานาคอยู่ที่หาง พญาครุฑจะต้องจับพญานาคที่หาง ถึงจะเอาชนะได้
พญาครุฑคำรามก้องอย่างอหังการอยู่บนท้องฟ้า ประกาศก้องชัยชนะของตน พญานาคกลับสภาพเป็นภุชคินทร์ที่บาดเจ็บสาหัส จนแม้แต่จะประคองกายลุกขึ้นก็ไม่ไหว
อุรคาร้องไห้ สงสารภุชคินทร์ “พญานาคไม่อาจชนะพญาครุฑได้จริงๆ ไม่มีโอกาสอะไรสำหรับท่านภุชเคนทร์อีกแล้ว นอกจากการตายอย่างโหดเหี้ยมเหมือนอดีตชาติ”
ขณะนั้นเอง มณีสวาททั้ง 3 ก็ลอยออกมาจากตัวภุชคินทร์ ภุชคินทร์ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ หลับตาสำรวมจิต
“นาคสวาท มรกต ครุฑธิการ” เจ้าอุรคาตะลึง
ยมนายิ้มบางๆ “พญานาคเอาชนะพญาครุฑไม่ได้ก็จริง แต่ไม่ใช่ในฐานะเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน มณีสวาททั้งสามคือหลักฐานยืนยันในการกระทำอันโหดเหี้ยมของพญาสุบรรณ ซึ่งมันกำลังจะย้อนกลับไปหาผู้ก่อกรรมนั้นแล้ว”
อัญมณีทั้ง 3 เปล่งแสงเรืองรอง หมุนวนรอบตัวของภุชคินทร์
ทันใดนั้น ท้องฟ้าก็มืดมัว เกิดฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ระลอกคลื่นในแม่น้ำโขงปั่นป่วนบ้าคลั่ง
พญาครุฑคำรามสนั่นหวั่นไหว ด้วยความโกรธแค้นที่ถูกท้าทายในอำนาจ
มณีสวาททั้ง 3 ลอยเข้าไปหาภุชคินทร์ ก่อนที่ภุชคินทร์จะอ้าปากกลืนกินมณีสวาททั้งสามลงไป พญาครุฑบินโฉบลงมา แล้วกลายร่างกลับเป็นสุบรรณ
ภุชคินทร์ลืมตาขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นยืน ทั้งคู่ยืนจ้องหน้ากันนิ่ง
ก่อนที่สุบรรณจะคำรามลั่น แล้วพุ่งเข้าใส่ภุชคินทร์ด้วยความเร็วสูง แต่คราวนี้ภุชคินทร์หลบได้แล้วสวนกลับอย่างง่ายดาย
สุบรรณโกรธจัด พุ่งเข้าทำร้ายภุชคินทร์อีก แต่ภุชคินทร์ก็หลบได้แล้วสวนกลับได้ทุกครั้ง สุบรรณโดนทั้งเตะทั้งต่อยเข้าไปหลายที จนเริ่มบาดเจ็บมากขึ้นเรื่อยๆ
สุบรรณกระโดดขึ้นใช้กรงเล็บจิกเข้าที่ลำคอภุชคินทร์ แต่ภุชคินทร์ดึงมือสุบรรณออกอย่างง่ายดาย แล้วจับสุบรรณเหวี่ยงฟาดลงกับพื้นอย่างแรง
สุบรรณเจ็บหนัก แต่ก็แข็งใจลุกขึ้น รวบรวมเรี่ยวแรงครั้งสุดท้าย คำรามก้องแล้วพุ่งเข้าใส่ภุชคินทร์อย่างบ้าคลั่ง ภุชคินทร์สงบนิ่งไม่มีทีท่าว่าจะตอบโต้
หมัดของสุบรรณพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของภุชคินทร์อย่างรวดเร็ว แต่กลับชะงักค้าง ห่างจากใบหน้าภุชคินทร์เพียงแค่เส้นผมผ่าน แต่กลับไม่สามารถพุ่งออกไปทำร้ายภุชคินทร์ได้
สุบรรณกระอักเลือด ทรุดลง หมดสิ้นเรี่ยวแรง

ภุชคินทร์เห็นสภาพใกล้ตายของสุบรรณ จึงหยุดยืนมองนิ่งๆ

สุบรรณบาดเจ็บสาหัส พูดกระท่อนกระแท่น

“ฆ่า...ฆ่าฉันสิ ฆ่าฉัน...ให้สมกับที่ฉันเคยฆ่า...แกมาแล้วยังไง”
ยมนาเอ่ยขึ้น “การล้างแค้นก็เหมือนเหล้า ยิ่งรอนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีรสดีมากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้โอกาสเป็นของท่านแล้ว หากท่านขังร่างจิตของสุบรรณเอาไว้ กายหยาบของสุบรรณก็ต้องนอนทรมานอยู่เช่นนั้น รับรู้ทุกอย่างแต่เคลื่อนไหวไม่ได้ อยากตายก็ทำไม่ได้ ต้องรอท่านเมตตาปลดปล่อยให้ไปตายเท่านั้นเอง สาสมกับที่เคยทำกับท่านแล้ว”
ภุชคินทร์มองสุบรรณนิ่ง ทันใดนั้น ภาพต่างๆ ในอดีตชาติก็ปรากฏขึ้นในหัวภุชคินทร์เป็นฉากๆ ชัดเจน ราวกับสายน้ำไหล
“กล้ามากที่มาอหังการ์กับข้า แย่งหัวใจรักของข้า” พญาครุฑสุบรรณขย้ำจิกร่างนาคาภุชเคนทร์ขึ้น กระชากสุดแรง อย่างโกรธ “เจ้าต้องตาย ภุชเคนทร์ เจ้าต้องตาย”
พญาสุบรรณกระแทกร่างภุชเคนทร์ลงกับพื้นอย่างแรง ภุชเคนทร์เจ็บปวดกระอักเลือดออกมาเป็น
อัญมณีสีเขียวมรกต มรกต พญาสุบรรณหัวเราะก้องสะใจ ภุชเคนทร์ฝืนกายจะลุกขึ้นมา เท้าของพญาสุบรรณถีบเข้าที่หน้าอกของภุชเคนทร์อย่างแรงและเหยียบเอาไว้ อย่างดูหมิ่น เหยียดหยาม ฝ่ายภุชคินทร์รู้สึกถึงความเป็นผู้แพ้ อับอาย ถูกทำลายศักดิ์ศรีและสู้ไม่ได้
ภุชเคนทร์เห็นเท้าของพญาสุบรรณอยู่ตรงหน้าตัวเอง พญาสุบรรณหัวเราะดังกึกก้องสาแก่ใจ ก่อนจะเงื้อมมือกระชากร่างของภุชเคนทร์ขึ้นมาใหม่ ถามเย้ย
“เจ็บใช่มั้ย ภุชเคนทร์ เจ้าเจ็บใช่มั้ย”
ภุชคินทร์เจ็บปวดปางตาย ดวงตามีแต่ความเว้าวอน เป็นผู้พ่ายแพ้อย่างสมบูรณ์ พญาสุบรรณเย้ยอีก
“ฉันจะช่วยให้แกไม่ต้องเจ็บอีกต่อไป”
พญาสุบรรณใช้มืออันทรงพลังตวัดร่างของภุชเคนทร์ขึ้นมา อุรคาเทวีวิ่งเข้ามา เห็นร่างของภุชเคนทร์อยู่เหนือศีรษะและพญาสุบรรณกำลังจะทุ่มภุชเคนทร์ลงมา
อุรคาเทวีตะโกนสุดเสียง “อย่า”
อีกเหตุในชาติภพปัจจุบัน สุบรรณซัดเข้าหน้าที่ของภุชคินทร์อีกหลายที ภุชคินทร์ทรุดลงกับพื้น เลือดไหลออกมาจากมุมปาก ดูก็รู้ว่าสู้ไม่ได้ แต่ดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น
“ถึงฉันจะตาย ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เจ้าอุรคาก็ไม่มีวันรักแก”
“ไม่รักก็ช่าง เพราะฉันก็จะตามไปทำลายความรักของแกทุกชาติไปเช่นกัน ไอ้ภุชคินทร์”
สุบรรณต่อยอีกภุชคินทร์หมดแรง

ภุชคินทร์นึกถึงเหตุการณ์เหล่านั้น ยืนกำหมัด กัดฟันแน่นด้วยความแค้น แต่ทันใดนั้น มือของภุชคินทร์กลับคลายออก สีหน้าก็ผ่อนคลายขึ้นมา
“ฉันพอแล้ว จะไม่ทำร้ายอะไรแกอีกแล้ว การทำแบบนั้น ก็มีแต่จะผูกเวรกรรมขึ้นมาใหม่ไม่จบสิ้น ที่ฉันมาที่นี่ก็เพื่อที่จะหยุดกรรม ไม่ใช่เพื่อก่อกรรม เรื่องที่ผ่านมาทั้งหมด...ฉันอโหสิให้”
เจ้าอุรคา กับยมนา ได้ฟังก็ยิ้มออกมาอย่างดีใจ ในที่สุด ภุชคินทร์ก็เอาชนะความแค้นได้สำเร็จ ใช้การอโหสิ ยุติกรรมทั้งปวง
ร่างจิตของสุบรรณค่อยๆ สงบลง ความเจ็บปวดทรมานลดลง ก่อนจะหันไปมองเจ้าอุรคา
เจ้าอุรคาสีหน้าสลดลง อดสงสารไม่ได้ “เราก็อโหสิให้ท่านเช่นกัน ถึงเราจะไม่เคยรักท่านเลย แต่เราก็ยอมรับในความรักที่ท่านมีให้เรา แม้จะเป็นความรักที่เห็นแก่ตัวและทำร้ายผู้อื่นก็ตาม ขอให้เราสิ้นเวรสิ้นกรรมกันแต่เพียงเท่านี้เถอะ พญาสุบรรณ”
สุบรรณยิ้มรับบางๆ ก่อนที่ร่างจิตของสุบรรณจะค่อยๆ เลือนหายไป

ทันทีที่ร่างจิตของสุบรรณหายไป ร่างกายของสุบรรณที่นอนอยู่ในไอซียูก็หมดลมตามไปด้วย ที่จอมอนิเตอร์สัญญาณชีพ เส้นกราฟสัญญาณชีพกลายเป็นเส้นตรงราบเรียบ บอกถึงการเสียชีวิตของสุบรรณ

สุบรรณนอนตายอยู่บนเตียง ด้วยสีหน้าสงนิ่ง เมื่อได้รับการอโหสิจากภุชคินทร์ และ อุรคาในวาระสุดท้ายของชีวิตจนได้

เจ้าอุรคากำลังนั่งมองแม่น้ำโขงในยามค่ำคืน ภุชคินทร์เดินเข้ามาหาอุรคา

“เป็นยังไงบ้างคะ”
“เจ้าศิษฐ์โทรมาบอกว่าท่านสุบรรณเสียแล้วครับ ตอนนี้กำลังจัดงานศพกันอยู่ แต่ก็วุ่นหนักเลยเหมือนกัน เพราะทั้งแขกเหรื่อทั้งนักข่าวเต็มไปหมดเลยครับ”
สีหน้าเจ้าอุรคาขรึมลง “เวรกรรมระหว่างเรา ท่าน และก็พญาสุบรรณได้จบลงแล้ว ต่อไปท่านจะทำอะไรต่อ”
ภุชคินทร์ยิ้ม จับมือเจ้าอุรคาไว้มั่น “เวรกรรมอาจจะจบ แต่ความรักของเรายังไม่จบนะครับ ผมรู้สึกเหมือนเพิ่งเริ่มต้นด้วยซ้ำ”
เจ้าอุรคายิ้มขำๆ “เราถามท่านจริงๆ นะ อย่าเพิ่งเล่นสิ”
“ผมไม่ได้เล่น ก็เจ้าถามว่าผมจะทำอะไรต่อ ผมก็ตอบตรงๆ ว่าจะสานต่อความรักของเราต่อ อย่างงี้เรียกว่าเล่นเหรอครับ”
“แต่ท่านก็รู้...”
ภุชคินทร์ตัดบท “อย่าเพิ่งพูดเลยครับ ปัญหาอื่นวางมันไว้ก่อนเถอะ” พร้อมกับดึงอุรคาเข้ามากอดด้วยความรัก “ตั้งแต่เกิดเรื่อง ผมห่วงเจ้าจนแทบบ้า แต่จะทำอะไรก็ไม่ได้ เพราะผมไม่อยากทำร้ายจิตใจคุณแม่ แต่ตอนนี้ ที่นี่ มีแค่เราสองคนเท่านั้นเอง ขอให้ผมได้กอดเจ้าอยู่อย่างงี้ ผมก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว”
เจ้าอุรคายิ้มบางๆ ซบลงตรงบ่าภุชคินทร์ พร้อมกับกอดภุชคินทร์ด้วยความรักเช่นกัน
ทั้งคู่กอดกันอยู่ริมแม่น้ำโขง ภายใต้หมู่ดาวเต็มท้องฟ้า

หลายวันผ่านไป พันเอกนรินทร์อยู่ในสวนที่บ้าน กำลังใช้กรรไกรเล็กๆ ตัดกิ่งไม้ให้สวยเข้ารูปอยู่ โดยมีภุชคินทร์คอยช่วยใส่ปุ๋ย รดน้ำให้
“พรุ่งนี้ก็จะเผาศพสุบรรณแล้วนะ คุณชายว่างรึเปล่า ถ้าว่างก็ขอเรียนเชิญด้วยนะ”
“ว่างสิครับ ต่อให้ไม่ว่าง ผมก็ต้องหาทางไปงานศพท่านสุบรรณจนได้ล่ะครับ”
พันเอกนรินทร์ยิ้มรับ
“เรื่องคราวนี้ ผมต้องขอขอบคุณอาด้วยนะครับ ถ้าคุณอาไม่ช่วยไปพูดกับคุณแม่ ผมอาจจะไปช่วยเจ้าไม่ทัน แล้วก็คงไม่มีโอกาสได้สะสางเรื่องในอดีตหรอก”
“ไม่ต้องขอบคุณผมหรอกคุณชาย คนที่ปล่อยวางความแค้น และอโหสิทุกอย่างได้ ก็คือตัวคุณชายเองต่างหาก” ผู้พันมีสีหน้าเศร้าลง “เสียดาย สุบรรณก็เกือบทำได้แล้ว แต่ก็สายเกินไป”
ภุชคินทร์หน้าขรึมลง รู้สึกเสียดายเรื่องนี้เหมือนกัน
ระหว่างนั้นไพศิษฐ์เดินประคองนาถสุดาออกมาจากข้างใน นาถสุดาเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ยังไม่หายดี
นาถสุดาทักทายยิ้มแย้ม “ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าเสร็จแล้วค่ะ เดี๋ยวเชิญคุณชายอยู่ทานด้วยกันก่อนนะคะ”
“ขอบคุณครับ แต่เกรงใจจังเลย คุณนาถเพิ่งหายป่วย ไม่ต้องทำให้ผมทานก็ได้ครับ”
“ฉันต่างหากโว๊ยที่ทำ นาถเค้าแค่ยืนชี้นิ้วสั่งอย่างเดียว” ไพศิษฐ์โวย
“ถ้านาถไม่คอยบอกว่าต้องทำยังไง แล้วจะกินได้เหรอคะ” นาถสุดางอนใส่ “พูดอย่างงี้ ที่หลังไม่ยุ่งด้วยแล้ว”
นาถสุดาทิ้งค้อนแล้วเดินหนีไป ไพศิษฐ์รีบตามไปง้อทันที
ภุชคินทร์ กับผู้พันนรินทร์ มองตามแล้วก็ยิ้มแย้ม มีความสุขไปกับหนุ่มสาวทั้งคู่ด้วย

ขณะเดียวกันเจ้าอุรคาเดินออกมาจากข้างในเฮือนภูจำปา เพื่อมาหาภาณีที่นั่งรออยู่ในห้องโถง
“สวัสดีค่ะหม่อม”
หม่อมภาณีรับไหว้
“ไม่ทราบว่าหม่อมมาหาดิฉันถึงที่นี่ มีอะไรให้รับใช้เหรอคะ”
“เมื่อเจ้าพูดตรงๆ ฉันก็ไม่อ้อมค้อมล่ะนะคะ ที่ฉันมานี่ ก็เพราะอยากจะมาขอร้อง ให้เจ้าเลิกยุ่งเกี่ยวกับลูกชายของฉันซะ”
เจ้าอุรคาอึ้งนิ่งงันไป ถึงพอจะเดาได้ แต่ก็อดหน้าเสียไม่ได้
“ฉันรู้ ว่าเจ้ากับตาชายผูกพันกันมานาน แต่ชาติภพนี้เค้า เป็นลูกชายฉันบอกตรงๆ นะคะ ถ้าเจ้าเป็นคนเหมือนกับเรา ฉันคงดีใจที่สุดที่ได้เจ้าเป็นลูกสะใภ้ แต่นี่เจ้าไม่ใช่”
“แต่ดิฉันก็ไม่เคยคิดร้ายกับคุณชายเลยนะคะ เราเพียงแต่ต้องการอยู่ด้วยกันเท่านั้น”
“แล้วเจ้าจะอยู่ร่วมกับมนุษย์ได้เหรอคะ หรือว่าจะต้องปิดๆ บังๆ แบบนี้ไปตลอด”
เจ้าอุรคาอึ้งไป ไม่รู้จะตอบยังไงดี
หม่อมภาณีถอนใจ หน้าเศร้าลง “ฉันมีลูกชายคนเดียว ตั้งความหวังกับเค้าเอาไว้มาก แล้วเค้าก็ไม่เคยทำให้ฉันผิดหวังเลยตั้งแต่เด็ก มีแต่นำความสุข ความภูมิใจมาให้ ยิ่งท่านพ่อของเค้าด่วนสิ้นบุญไปเร็ว ฉันก็ยิ่งหวังให้ตาชายเป็นหลักให้กับครอบครัว และสร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล แต่ตอนนี้ เค้าไม่สนใจอะไรทั้งนั้น นอกจากเจ้า” หม่อมภาณีน้ำตาคลอ “ทุกอย่างที่ฉันวาดฝันให้เค้า กำลังจะพังทลายลงหมด เจ้ารู้มั้ยคะ ว่าฉันเสียใจแค่ไหน”
เจ้าอุรคารู้สึกผิด “ดิฉันต้องขอโทษหม่อมด้วยค่ะ ที่คุณชายเป็นแบบนี้ แต่เราสองคนต้องสูญเสียความรัก เราแยกจากกันมานานหลายกัปหลายกัลป์ มันทรมานเหลือเกินค่ะ กว่าจะได้มาอยู่ร่วมกันอีก”
หม่อมภาณีร้องไห้ “แต่เจ้าก็กำลังจะมอบความทรมานมาให้ฉัน และทุกๆ คนที่รักตาชายแทน ฉันขอร้องนะคะ เลิกยุ่งเกี่ยวกับตาชายเถอะ” หม่อมคุกเข่าลงจะกราบ “จะให้ฉันกราบก็ยอม”
เจ้าอุรคาตกใจ รีบประคองไว้ไม่ให้กราบ “อย่าค่ะหม่อม อย่าทำแบบนี้เลย จะเป็นบาปติดตัวดิฉันเปล่าๆ”
“ถ้างั้น เจ้าก็รับปากฉันได้มั้ยคะ อย่างน้อย ก็จนกว่าความเป็นแม่ลูกของฉันกับตาชายจะจบสิ้นลง นะคะเจ้า ถือว่าเมตตาฉันก็ได้ นะคะ”

อุรคาหนักใจสุดๆ ไม่ว่าจะเลือกทางไหน ก็ต้องมีคนเจ็บปวดทุกหนทาง

ติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ) เวลา 17.00 น.

มณีสวาท ตอนที่ 14 อวสาน (ต่อ)

ค่ำคืนนั้นเจ้าอุรคายืนใช้ความคิดอยู่คนเดียวในสวน ภุชคินทร์เข้ามาสวมกอดจากทางด้านหลัง

“ทำไมมายืนอยู่คนเดียวอย่างงี้ล่ะครับ”
เจ้าอุรคายิ้มบางๆ “คุณชายคะ ฉันมีเรื่องอยากจะบอกค่ะ”
ภุชคินทร์แปลกใจ “ทำไมเรียกผมว่าคุณชายล่ะ ตั้งแต่ผมระลึกชาติได้ คุณไม่เคยเรียกผมอย่างงี้อีกเลยนะ”
เจ้าอุรคาหันมาคุยกับภุชคินทร์ “คุณแม่ของคุณมาขอร้องให้ฉันเลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณค่ะ”
ภุชคินทร์หน้าเสีย “ผมจะไปคุยกับคุณแม่เอง ผมเชื่อว่าถ้าอธิบายท่านดีๆ ท่านคงเข้าใจ”
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ เพราะฉันเห็นด้วยกับท่าน”
ภุชคินทร์ตกใจ “เจ้า...”
เจ้าอุรคาหน้าเศร้าลงขณะบอก “ฉันเห็นแก่ตัวมามากแล้ว เอาแต่คิดถึงความทุกข์ของตนฝ่ายเดียว โดยไม่สนใจคนอื่น ดื้อรั้นไม่ยอมรับความจริง ว่าคุณชายกับฉันอยู่กันคนละภพไม่มีทางจะครองคู่กันได้ เพราะฉันทำให้คนจำนวนมากมายต้องพลอยเดือดร้อนไปด้วย แม้แต่ชรายุก็ต้องเสียชีวิตเพราะฉัน”
ภุชคินทร์ใจคอไม่ดี “ทำไมพูดอย่างงี้ล่ะครับเจ้า เจ้าพูดเหมือนจะยอมรับผิดไว้คนเดียวแล้วก็ทิ้งผมไป เจ้าลืมความรักของเราไปแล้วเหรอครับ”
เจ้าอุรคาลูบไล้ใบหน้าภุชคินทร์เบาๆ ด้วยความรัก “ต่อให้สิ้นกัปกัลป์หรือจะกี่อสงไขย ฉันก็ไม่มีวันลืมความรักของเรา แต่เราไม่ได้มีความรักเพียงอย่างเดียว เรายังมีหน้าที่และความรับผิดชอบ โดยเฉพาะคุณ ชาติภพนี้คุณคือคุณชายภุชคินทร์แห่งวังนาเคนทร์ คุณยังมีหน้าที่ต่อวงศ์ตระกูล หน้าที่ต่อบุพการี คุณกลับไปทำหน้าที่เหล่านั้นให้สมบูรณ์เถอะค่ะ”
“แล้วเจ้าล่ะครับ เจ้าจะทิ้งให้ผมอยู่ในภพนี้คนเดียว โดยไม่มีเจ้าอย่างงั้นเหรอ”
“ความรักของฉันจะอยู่กับคุณเสมอ และวันใดที่บุญของเราเสมอกัน เราก็จะอยู่ในภพภูมิเดียวกันและกลับมาครองคู่กันอีกครั้ง ฉันจะรอวันนั้นค่ะ”
“แต่...”
ภุชคินทร์ไม่ทันพูดต่อ อุรคาก็จุมพิตริมฝีปากของภุชคินทร์อย่างแผ่วเบา
เจ้าอุรคาร้องไห้ เสียใจที่ต้องจากกัน แต่ก็ไม่มีทางอื่นดีกว่านี้แล้ว
“ลาก่อนค่ะ คุณชายภุชคินทร์”
ร่างของเจ้าอุรคาค่อยๆ เลือนหายไป ภุชคินทร์มองร่างเจ้าอุรคาที่ค่อยๆ เลือนจากไป น้ำตาค่อยๆไหลรินลงอาบแก้ม
เฮือนภูจำปาที่ยืนตระหง่านอยู่ก็มลายหายไปกลายเป็นเพียงป่ารกชัฏ ภุชคินทร์ยืนอยู่ท่ามกลางความมืดอย่างเดียวดาย

1 เดือนผ่านไป หม่อมภาณีเดินคุยกับภิงคาร เข้ามาในโถงบ้าน
“เอาจริงเหรอครับพี่ภาณี ผมว่าคิดผิดคิดใหม่ได้นะ”
หม่อมภาณีมองค้อน “พูดยังกะพี่มีทางเลือกเยอะนักนี่ ถึงพี่จะไม่ชอบกิริยามารยาทหนูฟีบี้ซักเท่าไหร่ก็เถอะ แต่ยังไง ก็ยังดีกว่าให้ตาชายเป็นคนซังกะตาย หมดอาลัยตายอยากอยู่อย่างงี้แหละ”
ภิงคารยิ้มขำๆ “ก็เลยจะมาทาบทามฟีบี้ไปเป็นลูกสะใภ้เนี่ยนะครับ ผมก็เอ็นดูฟีบี้เหมือนหลานคนนึงนะ แต่ผมว่าให้ตาชายอยู่เป็นหุ่นยนต์ไปแบบนี้ ยังอันตรายน้อยกว่าซะอีก”
“ดูพูดเข้าสิภิงคาร เดี๋ยวคุณฟ้ากับหนูฟีบี้มาได้ยินเข้าก็น้อยใจหรอก” มองหาเฟื่องวลีกับเฟื่องฟ้า “เออ ว่าแต่สองคนนั่นเค้าไม่อยู่เหรอ จะว่าไป พี่ก็ไม่เห็นหน้าเค้าตั้งนานแล้วนะ”
“ตอนนี้สองคนนั่นเค้างานเข้าครับ แล้วถึงพี่ภาณีจะอยากได้ฟีบี้เป็นสะใภ้แค่ไหน ตอนนี้ก็คงเป็นไปไม่ได้แล้วล่ะครับ”
หม่อมภาณีแปลกใจ “ทำไมเหรอ”
ภิงคารถอนใจ “ผมก็ไม่รู้ว่าจะสงสารหรือสมเพชดีนะครับ เอาเป็นว่า สองคนนั่นเค้าทำตัวเองละกันครับ”

เฟื่องฟ้ากำลังดูตัวเทสต์ครรภ์ขึ้นสองขีดด้วยความโกรธจัด โดยมีเฟื่องวลีนั่งจ๋อยอยู่ใกล้ๆ
เฟื่องฟ้าโกรธจัด “สองขีด สองขีดอีกแล้ว”
เฟื่องวลีจ๋อย “ก็ฟีบี้บอกคุณแม่แล้ว คุณแม่ก็ไม่เชื่อ จะเทสต์ไปทำไมตั้งหลายรอบก็ไม่รู้”
เฟื่องฟ้าโมโห หยิกแขนจนลูกสาวร้องลั่น
เฟื่องฟ้าโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ “ยังมีหน้ามาพูดอีกเหรอ ฉันอุตส่าห์เลี้ยงแกอย่างดี ปั้นโปรไฟล์แกซะเสิศหรู ประเคนให้แกทุกอย่าง แต่แกกลับตอบแทนฉันด้วยการท้องไม่มีพ่ออย่างงี้น่ะเหรอ”
“ก็ฟีบี้บอกคุณแม่แล้วว่าคืนนั้นฟีบี้เมา ฟีบี้ไม่รู้จริงๆ ว่าฟีบี้ไปกับใคร”
เฟื่องฟ้ากรี๊ด “อีลูกไม่รักดี อีลูกเนรคุณ นี่แน่ะ”
เฟื่องฟ้ากรี๊ดลั่นไล่ตีลูก เฟื่องวลีหนีตายไปรอบๆ ห้อง

นารีวรรณเอาน้ำขิงร้อนๆ มาให้หม่อมภาณีที่นั่งกลุ้มอยู่
“น้ำขิงร้อนๆ ค่ะคุณแม่”
“ขอบใจจ้ะ”
“จริงๆ หนูนาว่าคุณแม่ทาบทามฟีบี้ไม่ได้ก็ดีแล้วล่ะค่ะ เพราะหนูนาเห็นด้วยกับคุณน้าภิงคาร ขืนได้ฟีบี้มาจะยิ่งอันตรายกว่าเดิมซะอีก”
“ก็แม่ไม่รู้จะหาใครนี่ลูก คนอื่นเค้าไม่รู้ปัญหาของตาชายตั้งแต่ต้น เค้าก็คงไม่เข้าใจพี่ชายเรา อีกอย่างพี่ชายเราก็ไม่ใช่คนที่จะเปิดรับใครง่ายๆซะด้วย” ฉุกคิดขึ้นได้ “เออ แล้วพะนอฤดีล่ะจ๊ะ”
“พี่ฤดีเค้ากลัวจนจิตตก ไม่มีทางกล้าเข้ามาใกล้พี่ชายอีกแล้วล่ะค่ะ”
หม่อมภาณีทอดถอนใจ

“นี่แม่จะต้องทนเห็นตาชาย เป็นคนหัวใจสลายไปทั้งชีวิตอย่างงี้น่ะเหรอ”

คืนหนึ่งท่ามกลางบรรยากาศสวยงามของห้างหรูเปี่ยมมนต์เสน่ห์ ตกแต่งสไตล์ยุโรป นาถสุดากำลังยืนถ่ายรูปอยู่ ครู่ต่อมาไพศิษฐ์วิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา

“รอนานมั้ยนาถ”
นาถสุดาแกล้งงอน “ก็หลับไปได้หลายรอบล่ะค่ะ”
ไพศิษฐ์จ๋อย “พอดีมันมีงานด่วนเข้ามาน่ะ สายเพิ่งแจ้งเข้ามาว่าจะมีการขนยาบ้า ผมก็เลยต้องรีบไปสกัดจับ นาถอย่าโกรธผมเลยนะ ผมขอโทษ”
นาถสุดาปั้นหน้าดุ แต่ซักพักก็หลุดขำออกมา “นาถไม่โกรธหรอกค่ะ คบกันมาตั้งนาน ทำไมนาถจะไม่เข้าใจล่ะคะว่างานของศิษฐ์เป็นยังไง”
ไพศิษฐ์โล่งอก ยิ้มแฉ่ง “ฟังประโยคนี้แล้ว ชื่นใจที่สุดเลยจ้ะ ไป ไปหาอะไรกินกันเถอะ ผมหิวแล้ว”
ทันใดนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งตะโกนโวยวายดังลั่นขึ้น
“ช่วยด้วยๆ ขโมยๆ ช่วยด้วย”
ไพศิษฐ์ตกใจ “เดี๋ยวผมมานะนาถ รอเดี๋ยว”
ไพศิษฐ์รีบวิ่งไปจับขโมยทันที
นาถสุดามองตาม ถอนใจ “จะมีเวลาพักบ้างมั้ยเนี่ย”
ขณะนั้นเอง ก็มีเสียงไวโอลินดังขึ้น
นาถสุดาหันไปมองตาม เห็นนักดนตรีกำลังสีไวโอลิน เป็นท่วงทำนองเพลงรักหวานซึ้ง พร้อมกับมีเด็กๆ กลุ่มหนึ่ง แต่งตัวน่ารักเป็นชุดสีขาวล้วนแบบเดียวกัน ถือช่อดอกไม้สีขาวเข้ามาล้อมรอบตัวนาถสุดาเอาไว้
นาถสุดาตะลึง ทั้งแปลกใจ ทั้งตื่นเต้น ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น จังหวะนั้น เด็กๆ ก็แยกออก ให้ไพศิษฐ์เดินเข้ามาหานาถสุดา
นาถสุดาเซอร์ไพร้ส์มาก “นี่มันอะไรกันน่ะคะศิษฐ์”
ไพศิษฐ์หยิบแหวนออกมาแทนคำพูด ก่อนจะคุกเข่าลงสวมแหวนให้นาถสุดา
“นาถครับ ตั้งแต่ตอนที่นาถโคม่า ผมก็กลัวมาตลอด กลัวว่าจะต้องสูญเสียนาถไป ผมไม่อยากรู้สึกแบบนั้นอีกแล้ว นาถให้โอกาสผมได้ปกป้อง แล้วก็ดูแลนาถด้วยนะครับ” ไพศิษฐ์จูบหลังมือนาถสุดา ก่อนจะมองสบตานาถสุดานิ่ง “แต่งงานกับผมนะครับนาถ”
ขาดคำ บรรดาผู้คนที่ดูอยู่ ต่างปรบมือ ส่งเสียเฮกันลั่น
นาถสุดาทั้งอายทั้งดีใจ ทำอะไรไม่ถูก “ลุกขึ้นได้แล้ว อายเค้า”
“นาถยังไม่ได้ตอบผมเลย แล้วจะให้ผมลุกได้ไง”
นาถสุดาอายสุดๆ แต่ก็พยักหน้ารับ
ไพศิษฐ์ดีใจสุดขีด รีบลุกขึ้นกอดนาถสุดาไว้แนบอกด้วยความรักเต็มเปี่ยม นาถสุดาเขินอาย แต่ก็กอดไพศิษฐ์ไว้ด้วยความรักเช่นกัน
สองคนกอดกันท่ามกลางวิวทิวทัศน์อันสวยงาม ขับคลอด้วยเสียงเพลงรักหวานซึ้ง

ภุชคินทร์ฝันเห็นบรรยากาศภายในสวน เต็มไปด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ ร่มรื่น สวยงาม ภุชคินทร์เดินชื่นชมความงามของสวน แล้วก็อดยิ้มด้วยความพึงพอใจไม่ได้
ขณะนั้นเอง เจ้าอุรคาก็เดินเข้ามาหาภุชคินทร์ ใบหน้ายิ้มแย้ม
“ท่านชอบที่นี่มั้ย”
ภุชคินทร์ดีใจสุดๆ รีบเข้าไปหาอุรคา “เจ้า ผมคิดถึงเจ้าเหลือเกินครับ ในที่สุดเจ้าก็กลับมาหาผม” พลางดึงร่างเจ้าอุรคาเข้ามากอด
“เราเคยบอกท่านแล้ว ว่าความรักของเราจะอยู่กับท่านเสมอ แต่ท่านยังไม่ได้ตอบเราเลยนะ ว่าชอบที่นี่รึเปล่า”
“ชอบสิครับ ที่นี่สวยมาก มีแต่กลิ่นดอกไม้หอมเต็มไปหมด เจ้าอยู่ที่นี่เหรอครับ”
“ค่ะ” เจ้าอุรคาพยักหน้ารับ
ภุชคินทร์ยิ้มกริ่ม “ถ้าอย่างงั้น ขอให้ผมมาอยู่ที่นี่กับเจ้าด้วยคนได้มั้ยครับ”
เจ้าอุรคาหน้าขรึมลง “ไม่ได้หรอกค่ะ”
ภุชคินทร์หน้าเสีย “ทำไมล่ะครับ”
“เพราะผู้ที่จะอยู่ที่นี่ได้ ต้องเป็นผู้ที่ทำหน้าที่ของตนเองให้สมบูรณ์เท่านั้น” เจ้าอุรคามองภุชคินทร์ด้วยสายตาเศร้าสร้อย “เรารู้ ว่าท่านคิดถึงเรา แต่การที่ท่านเอาแต่คิดถึงเราจนไม่ยอมทำอะไรเลย เป็นการละเลยต่อหน้าที่ที่ท่านมี ทั้งในฐานะลูก แล้วทั้งในฐานะนี่เกิดมาเป็นมนุษย์คนหนึ่งด้วย”
ภุชคินทร์หน้าขรึมลง รู้สึกผิดขึ้นมา
“เรารักท่าน แต่เราก็มีหน้าที่ที่ต้องทำ มีความรับผิดชอบ ท่านเองก็เช่นกัน หากท่านยังเป็นเช่นนี้ เราสองคนจะยิ่งห่างกันออกไป ไม่มีวันที่จะได้กลับมาอยู่ร่วมกันอีก”
ภุชคินทร์ลืมตาตื่นขึ้น คิดทบทวนความฝันทั้งหมด ก่อนจะลุกขึ้นนั่ง
“ผมจะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด แล้วผมก็จะกลับไปอยู่ร่วมกับเจ้าให้ได้ครับ”

เช้านั้นคนรับใช้ กำลังเสิร์ฟอาหารเช้าให้หม่อมภาณี และนารีวรรณ หม่อมภาณีทอดถอนใจ หน้าเครียด นารีวรรณสังเกตเห็นสีหน้าแม่
“อย่าเครียดไปเลยค่ะคุณแม่ ถ้าเราหาคนมาดามอกพี่ชายไม่ได้ เราก็ลองหาวิธีอื่นดูสิคะ”
“แม่ลองมาทุกวิธีแล้ว ก็ไม่เห็นตาชายจะดีขึ้นเลย วันๆ ก็เห็นเอาแต่นั่งเหม่อ ถามคำตอบคำจนแม่อยากจะบ้าตายอยู่แล้ว”
ขณะนั้นเอง ภุชคินทร์ในชุดสูทผูกไทด์ ถือกระเป๋าเอกสารท่าทางสดชื่น เตรียมจะออกไปทำงาน ก็เดินเข้ามาในห้องอาหาร
“อ้าว นี่ไม่ได้เตรียมอาหารไว้ให้ฉันเหรอ ไม่เป็นไร งั้นขอกาแฟถ้วยนึงละกัน”
“ค่ะ คุณชาย” สาวใช้เดินเลี่ยงไปรินกาแฟมาเสิร์ฟให้ภุชคินทร์
หม่อมภาณี กับนารีวรรณ นึกไม่ถึง ไม่อยากเชื่อว่าภุชคินทร์จะเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือขนาดนี้
“พี่ชายจะไปไหนเหรอคะ”
ภุชคินทร์จิบกาแฟ ใบหน้ายิ้มแย้ม “ไปทำงานสิจ๊ะ ไม่ได้ทำมาตั้งนานแล้ว ดีนะที่กินเงินเดือนน้าภิงคาร ไม่งั้นโดนไล่ออกไปนานแล้ว”
หม่อมภาณี เป็นปลื้มดีใจสุดๆ “ชาย ชายจะกลับไปทำงานจริงๆ เหรอลูก แม่ไม่ได้ฝันไปใช่มั้ย”
“ไม่ได้ฝันหรอกครับ งานนี้ผมเป็นคนเลือกเอง แล้วทุกคนก็ตั้งความหวังไว้กับผมมาก ผมไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังหรอกครับ” ยกกาแฟขึ้นดื่ม “ผมไปทำงานก่อนนะครับคุณแม่”
ภุชคินทร์ถือกระเป๋าเอกสารออกจากห้องไป

หม่อมภาณี นารีวรรณ หันมาจับมือกันอย่างดีใจ ในที่สุดภุชคินทร์ก็กลับเป็นคนเดิม

12 ปีผ่านไป

ตอนกลางวันที่บริเวณหน้าห้องจัดเลี้ยงโรงแรมหรู ประตูห้องจัดเลี้ยงถูกเปิดออก พร้อมๆ กับที่ภุชคินทร์เดินออกมา ตามมาด้วยไพศิษฐ์
กองทัพนักข่าว รีบกรูเข้าไปสัมภาษณ์ภุชคินทร์ทันที จนพวกบอดี้การ์ดต้องคอยมากันไว้
“ท่านนายกคะๆ ข่าวที่ว่าท่านจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีกแล้ว จริงรึเปล่าคะ”
“ผลโพลล์ที่ว่าประชาชนต้องการให้ท่านกลับมาบริหารประเทศอีก พุ่งไปถึง 93 เปอร์เซ็นต์แล้ว ท่านนายกจะเปลี่ยนใจหรือเปล่าครับ”
นักข่าวแต่ละคนพยายามเบียดเสียดกันถามภุชคินทร์ โดยเฉพาะเรื่องที่จะไม่ลงสมัครเลือกตั้ง จนโกลาหลไปหมด
“ใจเย็นๆก่อนครับ ใจเย็นๆ ก่อน ขอให้ท่านนายกฯได้ตอบก่อนนะครับ อย่าเพิ่งแย่งกันถาม”
ไพศิษฐ์บอกทุกคนเงียบ รอคอยฟังภุชคินทร์
ภุชคินทร์ยิ้มบางๆ “ก็อย่างที่ทุกคนทราบนะครับ ผมได้บริหารประเทศมาจนจะครบวาระในอีกไม่กี่วันนี้แล้ว ก็มีหลายเสียงอยากจะให้ผมบริหารต่อ ซึ่งผมก็ต้องขอขอบคุณทุกท่านไว้ในที่นี้ด้วย แต่ผมก็ขอยืนยันนะครับ ว่าผมจะไม่ลงสมัครรับเลือกตั้งอีก และจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ไม่ว่าทางใดทางหนึ่งด้วย ขอเปิดโอกาสให้ผู้มีความสามารถท่านอื่นก็แล้วกันครับ”
พอภุชคินทร์พูดจบ ก็เรียกเสียงฮือฮาจากบรรดานักข่าว ที่ถามต่อเซ็งแซ่
“ทำไมล่ะคะท่าน ในเมื่อประชาชนประทับใจการทำงานของท่านมาก แล้วทำไมถึงไม่ลงสมัครอีกล่ะคะ”
“มีแรงกดดันอะไรรึแปล่าครับท่าน หรือเป็นสัญญาณอะไรบางอย่างครับ”
ภุชคินทร์ยิ้มๆ ไม่ตอบ แต่พยายามจะเดินเลี่ยงไป นักข่าวก็ไม่ยอมจะสัมภาษณ์ให้ได้ จนวุ่นวายไปหมด

บอดี้การ์ดกำลังยืนล้อมรอบรถของภุชคินทร์อยู่ ภุชคินทร์ ไพศิษฐ์ และบอดี้การ์ดอีกจำนวนหนึ่งเดินมาที่รถ
“อีกไม่กี่วัน ฉันก็จะลงจากเก้าอี้แล้ว ไม่ต้องมีบอดี้การ์ดล้อมหน้าล้อมหลังอย่างงี้หรอก”
“ถึงไงเราก็ไม่ควรประมาทนะครับท่าน จนกว่าการเลือกตั้งจะเสร็จสิ้น ยังไงก็ต้องปลอดภัยไว้ก่อน” ไพศิษฐ์ว่า
ภุชคินทร์ยิ้มๆ “เลิกเรียกฉันว่าท่านซะทีเถอะวะไอ้ศิษฐ์ ทนฟังมาหลายปีแล้ว รำคาญว่ะ แล้วก็ไม่ต้องแห่กันไปเป็นขบวนอย่างงี้อีกแล้วนะ ฉันอยากเป็นส่วนตัวซะที”
“เออๆ ไม่มีบอดี้การ์ดก็ได้ แต่ยังไงแกก็ต้องไปกับฉัน โอเค.?”
“คร้าบ ท่านผู้กำกับ ไปก็ไปครับ เออ ยังพอมีเวลาเหลือมั้ย ฉันอยากไปแวะที่อื่นก่อน”
ไพศิษฐ์แปลกใจ ว่าภุชคินทร์จะไปที่ไหน

บริเวณริมคลองชานเมือง เห็นบรรยากาศเงียบสงบ ภุชคินทร์เดินถ่ายคลิปสภาพแวดล้อมต่างๆ รอบคลอง ก่อนจะเห็นไพศิษฐ์เดินเข้ามาหา
“ใจคอแกจะไม่คิดเล่นการเมืองต่อจริงๆ เหรอวะ”
ภุชคินทร์หันไปมองหน้าเพื่อน “จู่ๆ ทำไมถามอย่างงี้”
“ฉันเสียดายแกว่ะ จะมีนายกซักกี่คนแอบมาตรวจงานเองโดยไม่มีลูกน้องตามเป็นพรวนแบบแกวะ ประชาชนจะได้ประโยชน์อีกเยอะเลยนะ ถ้าแกเป็นนายกต่อ”
ภุชคินทร์ยิ้มบางๆ “นายกคนใหม่เค้าอาจจะดีกว่าฉันก็ได้ แกอย่าเพิ่งมองโลกในแง่ร้ายสิวะ”
“สรุปว่าแกจะออกให้ได้ แล้วแกจะไปทำอะไรต่อวะชาย”
ภุชคินทร์กำลังจะตอบ แต่ก็เห็นชาวบ้านจำนวนหนึ่ง วิ่งหน้าตาตื่นตามกันไป ภุชคินทร์ ไพศิษฐ์แปลกใจเลยรีบตามไปดู
ทั้งคู่ตามมา จนเห็นชาวบ้านกลุ่มใหญ่กำลังมุงดูอะไรบางอย่างอยู่
“ขอโทษนะครับ เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ” ไพศิษฐ์ถาม
“รอยพญานาคค่ะคุณ” ชาวบ้านยกมือท่วมหัว “เจ้าประคู๊น ไม่คิดเล๊ยว่าจะได้เห็นกับตา ขนลุกไปหมดแล้ว”
ภุชคินทร์ กับไพศิษฐ์รีบเบียดชาวบ้านเข้าไปดู เห็นรอยพญานาคขนาดใหญ่ เลื้อยอยู่ริมคลองจริงๆ ภุชคินทร์หน้าขรึมลง รู้ทันทีว่าเป็นสัญญาณบางอย่างส่งมายังตน

ภุชคินทร์ฝันถึงเจ้าอุรคา 2 คนเดินคุยกันในสวนสวย ภุชคินทร์ยิ้มแย้ม
“เจ้าไม่ได้มาหาผมในความฝันซะนานเลยนะครับ”
เจ้าอุรคายิ้มแย้ม “เราต้องบำเพ็ญบารมี แล้วท่านเองก็มีงานรัดตัวด้วยไม่ใช่หรือ”
“งานผมกำลังจะจบแล้วล่ะครับ ผมคิดว่าในฐานะมนุษย์คนนึง การได้เกิดมาช่วยเหลือผู้ที่ด้อยกว่าตัวเอง ด้วยความซื่อสัตย์ ไม่เบียดเบียนใคร ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับหน้าที่ที่มีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันไม่ใช่เหรอครับ”
อุรคายิ้มรับอ่อนโยน “ค่ะ พอแล้ว แต่ก็ยังมีเรื่องอื่นที่ท่านต้องทำอีก เพื่อให้บุญของเราสองคนเสมอกัน”
“ผมทราบครับ ตั้งแต่ที่เห็นรอยพญานาค ผมก็รู้ทันที ว่าเวลาที่เราสองคนจะครองคู่กันใกล้เข้ามาแล้ว” ภุชคินทร์จับมืออุรคาไว้ ยิ้มบางๆ “ต่อไปนี้ผมจะหยุดทำบาปทั้งหมด แล้วสั่งสมบุญ เพื่อให้การรอคอยของเราสิ้นสุดลงซะที”
เจ้าอุรคายิ้มรับ มองภุชคินทร์ด้วยความรักใคร่
ภุชคินทร์ดึงเจ้าอุรคาเข้ามากอด ด้วยความรักเต็มเปี่ยม

หม่อมภาณีกำลังดีใจสุดๆ
“ชายจะบวชจริงๆ เหรอลูก”
หม่อมภาณีกำลังคุยกับภุชคินทร์ในห้องนั่งเล่นที่วังนาเคนทร์ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ดีใจ
“ครับคุณแม่ ผมเลยอยากมาขออนุญาตคุณแม่ก่อน”
หม่อมภาณีตื้นตันใจ “ได้สิจ๊ะ ได้เลย ชายจะบวชกี่วันล่ะลูก หรือจะซักพรรษานึงดี”
“ผมอยากจะบวชตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ครับ”
หม่อมภาณีตกใจ อึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนน้ำตาจะเริ่มคลอเบ้าด้วยความเสียใจ
“นี่แม่ต้องเสียชายไปจริงๆแล้วใช่มั้ย แม่นึกว่าเวลาสิบกว่าปีที่ผ่านมา จะทำให้ชายเปลี่ยนใจ แต่ชายก็ยังอยากจะทิ้งแม่ไปอยู่ดี”
ภุชคินทร์รู้สึกผิด ที่ทำให้แม่เสียน้ำตา จับมือแม่ไว้ “ผมไม่ได้ทิ้งคุณแม่นะครับ คุณแม่เป็นคนที่ผมรักมากที่สุดแล้วการบวชก็คือการนำบุญกุศลมาให้คนที่เรารัก ไม่ใช่การทอดทิ้ง”
หม่อมภาณีร้องไห้ “ชายอย่าเอาบุญกุศลมาอ้างเลย แม่รู้ ว่าชายยังไม่ลืมเจ้าอุรคา ชายถึงไม่ยอมมีใคร แล้วนี่ชายก็กำลังจะหนีแม่ไปบวชอีก ก็เพื่อที่สะสมบุญให้ได้ใกล้ชิด เจ้าอุรคาขึ้นไปอีกใช่มั้ยล่ะ”
“แล้วมันผิดเหรอครับคุณแม่ ที่ผมจะรักเจ้าอุรคา ในเมื่อตลอดเวลาที่ผ่านมา ผมก็ได้ทำทุกอย่างที่ผมควรทำไปหมดแล้ว ทั้งในฐานะลูก แล้วก็ในฐานะมนุษย์ ชีวิตที่เหลืออยู่ ก็ขอให้ผมได้ทำตามหัวใจตัวเอง ในฐานะผู้ชายที่รักผู้หญิงคนนึงอย่างสุดหัวใจบ้างเถอะครับ”
หม่อมภาณีร้องไห้ “แล้วแม่ล่ะลูก แม่จะอยู่ยังไงถ้าไม่มีชาย ไหนจะครอบครัวของเราอีก ไม่มีชายเป็นหลักซักคน วังนาเคนทร์จะอยู่ได้ยังไง”
“หนูนามีสามี มีลูกแล้ว ก็เท่ากับวังนาเคนทร์ได้ทายาทสืบทอด ผมมั่นใจว่าหลานจะทำได้ดีไม่แพ้ผม ส่วนคุณแม่...ถ้าคุณแม่ไม่อยากให้ผมบวชจริงๆ ผมก็จะยอมตัดใจครับ เพราะไม่มีใครที่ผมจะรักเท่าคุณแม่อีก แต่ผมก็จะขออยู่อย่างงี้ไปเรื่อยๆ เพื่อรอวันที่จะได้อยู่กับเจ้าอุรคาอีกครั้งครับ”
หม่อมภาณีสะท้อนใจร้องไห้โฮ “ชายพูดอย่างงี้ แล้วแม่จะฝืนชายไว้ได้อีกเหรอ ยิ่งฝืน ก็ยิ่งเท่ากับแม่ทำร้ายคนที่แม่รักด้วยมือแม่เอง”

ภุชคินทร์ยิ้มบางๆ ก่อนจะก้มลงกราบเท้ามารดา เป็นการขอบพระคุณ

เวลาล่วงเลยไปอีก 2 เดือน เห็นกรรไกรคมกริบกำลังตัดลงบนเส้นผมของชายคนหนึ่ง ก่อนที่เส้นผมที่ถูกตัด จะถูกวางลงบนใบบัว

ภุชคินทร์นั่งคุกเข่า พนมมือนิ่ง ให้หม่อมตัดผมให้ก่อนจะปลงผมบวช โดยมีนารีวรรณ พร้อมด้วยสามี และลูกชายตัวเล็กๆ ยืนอยู่ใกล้ๆ

พอหม่อมภาณีตัดผมเสร็จ เจ้าอาวาสก็ลงมือปลงผมภุชคินทร์
หม่อมภาณี กับนารีวรรณ จับมือกันด้วยความปลื้มใจ ที่มีโอกาสได้เห็นชายผ้าเหลืองของภุชคินทร์
ภุชคินทร์กำลังปลงผม ต่อหน้าพระธาตุพนมอันศักดิ์สิทธิ

ภุชคินทร์อยู่ในชุดนาคสีขาว กำลังถือดอกไม้ธูปเทียนเดินรอบโบสถ์ ตามพิธีกรรมทางศาสนา โดยมีหม่อมภาณีถือผ้าห่ม นารีวรรณถือหมอน เดินร่วมขบวนมา ด้วยสีหน้ายิ้มแย้มมีความสุข
เวลาต่อมาภายในโบสถ์ ภุชคินทร์กำลังพนมมือทำพิธีขอบวชต่อหน้าเจ้าอาวาสที่เป็นพระอุปัชฌาย์ โดยมีพระรูปอื่นเป็นพระคู่สวดตามพิธี
หม่อมภาณี ปลาบปลื้มจนน้ำตาคลอเบ้า
เจ้าอาวาส ภุชคินทร์ กำลังถามตอบเป็นภาษาบาลี ตามพิธีในการบวช
“มานุสสะโสสิ” เจ้าอาวาสถาม
“อามะ ภันเต” ภุชคินทร์ตอบ
การถามตอบดังกล่าว เป็นการถามย้ำว่า “ท่านเป็นมนุษย์หรือไม่” ภุชคินทร์ตอบว่า “เป็นครับ” ซึ่งเป็นเรื่องเล่าเกี่ยวกับเรื่องพญานาค เพราะในตำนานกล่าวว่า พญานาคได้ปลอมตัวเป็นมนุษย์มาของบวชในพุทธศาสนา แต่แล้วความแตก ซึ่งต่อมาก่อนบวชเลยต้องถามก่อนว่าเป็นมนุษย์หรือไม่จนมาถึงทุกวันนี้
ครู่ต่อมาพระภุชคินทร์ยืนอยู่หน้าพระธาตุพนม ด้วยสีหน้าสำรวม สงบ เปี่ยมศรัทธา
เจ้าอุรคาในชุดขาวของอุบาสิกา ก้มลงกราบพระภุชคินทร์อย่างเต็มตื้น

รุ่งเช้าวันนั้น เห็นบรรยากาศท้องนาเขียวขจี ชาวบ้านกำลังใส่บาตรให้พระอยู่ที่คันนา โดยพระภุชคินทร์ก็รวมอยู่ในกลุ่มด้วย ชาวบ้านใส่บาตรเสร็จก็ก้มลงกราบพระ พระสวดมนต์ให้พรก่อนจะเดินไปอย่างสงบ
หญิงชาวบ้านคนสุดท้ายที่ใส่บาตร เงยหน้าขึ้นจากการก้มลงกราบ ก็กลายร่างเป็นอุรคา
อุรคามองตามพระภุชคินทร์ไป แล้วยิ้มอย่างสุขใจที่คนรักทำบุญทำกุศลครั้งใหญ่ ด้วยการบวช

2 ปี ผ่านไป หม่อมภาณีกำลังนั่งถักนิตติ้งอยู่ที่ระเบียงบ้าน ด้วยท่าทางอารมณ์ดี มีความสุข ภุชคินทร์เดินเข้ามาหาหม่อมภาณี แต่งกายธรรมดาไม่ใช่ห่มเหลืองในสมณะเพศ
หม่อมภาณีหันไปเห็นภุชคินทร์ ดีใจสุดๆ “ตาชาย” รีบเข้าไปหาลูก “นี่มานานรึยังน่ะลูก ทำไมถึงไม่มีใครมาบอกแม่เลย เอ๊ะ แล้วนี่ชายสึกแล้วเหรอลูก สึกตั้งแต่เมื่อไหร่” หม่อมออกอาการดีใจมาก “ชายสึกเพื่อจะกลับมาอยู่กับแม่ใช่มั้ยลูก”
ภุชคินทร์หน้าขรึมลง ก่อนจะก้มลงกราบเท้าภาณี
“ผมมากราบลาคุณแม่ครับ ผมคงต้องไปแล้ว”
หม่อมภาณีแปลกใจ “ไปไหน ชายจะไปไหนลูก”
“ผมต้องไป เพราะหมดเวลาของผมแล้ว แต่คุณแม่ไม่ต้องห่วงนะครับ ผมจะคอย ปกป้องคุ้มครองทุกคนตลอดไปครับ”
หม่อมภาณีงวยงง “พูดเรื่องอะไรกันน่ะลูก แม่ไม่เห็นเข้าใจเลย”
ภุชคินทร์ มองแม่ด้วยแววตาเศร้าสร้อย
หม่อมภาณีนอนละเมอ อยู่ในอาการกระสับกระส่าย เหมือนฝันร้าย
“ชายๆ จะไปไหนลูก รอแม่ก่อน ชายๆ”
หม่อมภาณาสะดุ้งตกใจตื่นขึ้นมา คิดทบทวน ยิ่งสังหรณ์ ใจคอไม่ดี ห่วงลูกชายสุดๆ
“ตาชาย”

วันต่อมาท่ามกลางบรรยากาศของวัดป่า อันแสนสงบร่มรื่น หม่อมภาณีรีบเดินมาด้วยความร้อนใจ โดยมีนารีวรรณเดินตามหลังมา
“เร็วๆ สิหนูนา ชักช้าอยู่นั่นแหละ”
“ค่ะๆ คุณแม่ ไปเดี๋ยวนี้ล่ะค่ะ”
นารีวรรณ กับสามี และหม่อมภาณี เดินไปที่กฏิพระภุชคินทร์ แล้วก็ต้องชะงัก เมื่อเจ้าอาวาสเดินตรงเข้ามาหา
หม่อมภาณี นารีวรรณ รีบยกมือไหว้
“หลวงพ่อมาหาพระเหมือนกันเหรอคะ” หม่อมถาม
เจ้าอาวาสหน้าขรึมลง “อาตมาเสียใจด้วยนะโยม”
หม่อมภาณีตกใจหน้าซีดเผือด
เจ้าอาวาสมองไปที่กุฏิ ทุกคนมองตาม เห็นรอยพญานาคขนาดใหญ่เลื้อยออกมาจากกุฏิ โดยมีทิศทางเลื้อยตรงไปทางแม่น้ำโขง
นารีวรรณตกใจมาก “รอยพญานาค” ฉุกคิดขึ้นได้ “รึว่าหลวงพี่...”
หม่อมภาณีร้องไห้ออกมาทันที ร่างซวนเซหมดแรงจนนารีวรรณต้องรีบเข้าไปประคอง กลัวแม่จะเป็นอะไร หม่อมภาณีร้องไห้ปานจะขาดใจ รู้แล้วว่าพระลูกชายมรณภาพไปเกิดใหม่เป็นพญานาคสมกับที่รอคอยมานาน
หม่อมภาณีจดสายตามองที่รอยพญานาคบนพื้นดินไม่วางตา

เจ้าอุรคายืนนิ่งอยู่ที่ริมแม่น้ำโขง สายตาทอดมองออกไป ภุชคินทร์เดินเข้ามาหา เจ้าอุรคาหันกลับมา ต่างคนต่างมองกันด้วยความรักลึกซึ้ง สมกับที่รอคอย ผ่านอุปสรรคข้ามภพข้ามชาติมานานแสนนาน
ภุชคินทร์ และเจ้าอุรคา เอื้อมมือไปจับมือกันไว้เกี่ยวกระหวัด ก่อนจะจูงมือกันเดินลงสู่แม่น้ำโขง...บ้านของเขาและเธอ

ไม่นานต่อมากลางหว่างสายน้ำโขงอันกว้างใหญ่เวิ้งว้างสวยงาม แลเห็นพญานาค 2 ตน กำลังเริงเล่นน้ำ ไม่บอกก็รู้ว่านั่นคือ อุรคาเทวี และ ภุชเคนทร์ นั่นเอง พญานาคทั้ง 2 หยอกล้อคลอเคลียกันอย่างมีความสุข สมกับที่ต้องทนทุกข์ด้วยการรอคอยคู่ของตน มานานแสนนาน

จบบริบูรณ์

โปรดติดตาม "แผนร้ายพ่ายรัก" เร็วๆ นี้
กำลังโหลดความคิดเห็น