มณีสวาท ตอนที่ 13
ตอนกลางวันแสงแดดแผดจ้าส่องกระทบกับผิวน้ำในลำน้ำโขงเป็นประกายระยิบระยับ พะนอฤดีที่สลบอยู่ริมน้ำเริ่มรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาด้วยท่าทีเหนื่อยล้าอ่อนแรง แต่กระนั้นสิ่งแรกที่พะนอฤดีทำคือ กวาดสายตามองไปรอบๆ บริเวณ ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
แลเห็นแต่ลำน้ำโขงที่เงียบสงบ ปราศจากผู้คน บรรยากาศกลับดูวังเวง เพราะมันเงียบผิดปกติ พะนอฤดีกวาดสายตามองไปอย่างระแวดระวัง รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวบางอย่างที่เกิดขึ้นบนท้องน้ำ
“ฉันรู้นะ...เจ้าอุรคา เจ้ากำลังคิดจะทำอะไรฉัน” พะนอฤดีบอกออกไปปากคอสั่น
ท้องน้ำกระเพื่อมแรง ทั้งที่ไม่มีลมสักนิด พะนอฤดีสะดุ้ง แต่น้ำกลับซัดเข้ามาจดอยู่ที่ปลายเท้าของ
พะนอฤดี จนดูเหมือนจะดูดกลืนร่างของเธอลงไป พะนอฤดีกรี๊ด อกสั่นขวัญผวา ลุกขึ้นจะวิ่งหนี แต่น้ำกลับซัดตามมาที่ปลายเท้า ทุกสารทิศ พร้อมจะดูดกลืนร่างเธอตลอดเวลา พะนอฤดียืนตัวสั่นเทา บอกปากคอสั่น
“เจ้าอุรคา...อย่าทำอะไรฉันนะ”
ยินเสียงเจ้าอุรคาเข้มดุ “อย่ายุ่งกับเรื่องของเรา”
พะนอฤดีสะดุ้ง มองรอบตัวกลอกตาอย่างระวัง “ไม่มีใครอยากยุ่งกับเจ้าหรอก มีแต่เจ้านั่นแหละชอบมายุ่งกับพวกเรา” หญิงสาวบอกด้วยน้ำเสียงกร้าว “ไป ไป๊ ไปอยู่ในที่ของเจ้า ที่นี่ไม่มีใครต้องการเจ้า เพราะเจ้าเป็นผี เป็นปีศาจ ไม่ใช่คน อมนุษย์!” พะนอฤดีกรี๊ดใส่ “ได้ยินมั้ย ไม่มีใครต้องการเจ้า ไปอยู่ในที่ของเจ้า ไป๊....นังปีศาจ
เกิดน้ำวนโอบเข้ามารอบร่างของพะนอฤดี พะนอฤดีตกใจแทบสิ้นสติเมื่อร่างไถลไปตามแรงน้ำ
ได้แต่ร้องกรี๊ดๆ อยู่อย่างนั้น
ระหว่างนั้นลุงแสง และพวกชาวบ้านที่หาปลาเดินมา เห็นพะนอฤดีแหวกว่ายอยู่บนพื้นดินทั้งที่ไม่มีน้ำ
“เฮ้ย!!เค้าทำอะไรวะ?”
เมียลุงแสงงง “นั่นน่ะสิ! คิดยังไงมาว่ายบนบก”
“ไปช่วยเค้าก่อนเถอะว่ะ ไม่งั้นแย่แน่” ลุงแสงบอก
จากนั้นกลุ่มชาวบ้าน เดินพุ่งตรงไปที่พะนอฤดีที่กำลังว่ายบกอย่างรวดเร็ว
ร่างของพะนอฤดีเต็มไปด้วยรอยที่ครูดกับพื้นดิน พื้นหินแถวนั้น มีทั้งรอยแตกและเลือดซิบ
ท่าทางของพะนอฤดีเริ่มจะหมดแรง แต่ยังเปล่งเสียง
“อย่า!อย่า ทำอะไรฉัน ฉันไม่อยากจมน้ำตาย ฉันกลัวแล้ว!”
ใบหน้าเจ้าอุรคาคล้ายพุ่งฉกพรึ่บเข้ามาแทบชนใบหน้าพะนอฤดี ทำเอาพะนอฤดีร้องกรี๊ด ก่อนที่จะหมดสติไป
ลุงแสงและชาวบ้านมาถึงพอ เมียลุงแสงรีบเข้าประคอง ช่วยเหลือทันที
ส่วนที่กรุงเทพฯ ไพศิษฐ์อยู่ที่สน.เดินพล่าน ขณะคุยโทรศัพท์กับพันเอกนรินทร์ซึ่งอยู่ที่บ้าน สองคน หารือเรื่องนาถสุดา
“ตอนนี้ผมกำลังให้จ่าชิดตามพิกัดอยู่นะครับว่านาถอยู่ที่ไหน? แต่ผมไม่เข้าใจมันเกิดเรื่องแบบนี้กับนาถได้ยังไง?”
ผู้พันนรินทร์ร้อนใจห่วงลูกสาวมาก แต่พยายามคุมตัวเอง
“ที่ผ่านมา นาถก็ไม่เคยมีเรื่องกับใคร หรือว่า...”
ผู้เป็นบิดาของแฟนสาวค้างคำ ไพศิษฐ์รีบซัก “อะไรครับ?
“เปล่า...ไม่มีอะไร ผู้กองได้ข่าวอะไร ส่งข่าวถึงฉันให้เร็วที่สุด” พันเอกนรินทร์ไม่ยอมพูดอะไรออกมา แล้ววางสายไป
“ครับ”
สองคนวางสายด้วยความกังวล พันเอกนรินทร์พึมพำ
“ศัตรูของสุบรรณ”
เช่นเดียวกับไพศิษฐ์ สีหน้าครุ่นคิด คาใจอย่างหนัก ต่อคำพูดของพันเอกนรินทร์
“ที่ผ่านมา นาถก็ไม่เคยมีเรื่องกับใคร หรือว่า...”
ไพศิษฐ์พึมพำเบาๆ กับตัวเอง “จะเกี่ยวกับท่านสุบรรณ”
ด้านสุบรรณเดินพล่านอยู่ในห้องโถงของคฤหาสน์ ปากสั่งลูกน้องดังลั่น
“แยกย้ายกันไปตามหานาถ ทุกที่ โดยเฉพาะ กับคนที่เคยมีปัญหากับฉัน”
“ครับท่าน”
ลูกน้องแยกย้ายกันไป สุบรรณนึกได้ถาม
“แล้วอำนาจล่ะ อำนาจไปไหน”
ลูกน้องอีกคนบอก “ไม่ทราบครับ ผมไม่เจอพี่อำนาจเลย”
“มันหายไปไหนของมัน”
สุบรรณฉงน กดมือถือโทร.ออก
ส่วนอำนาจที่อยู่ที่บ้านร้างกับนาถสุดา อำนาจหัวเราะหึหึ
“ป่านนี้ไอ้ผู้กองคงวิ่งพล่าน แต่...สำหรับฉัน มันยังไม่พอ” อำนาจหน้าเหี้ยมบอกเสียงเข้ม “ใครที่มันคิดทำร้ายนาย มันต้องเจอยิ่งกว่านี้” พลางกระชากแขนนาถสุดาลุกขึ้น จ้องอย่างน่ากลัว
นาถสุดากลัวจนตัวสั่น พูดเสียงสั่น “ฉันก็บอกแล้วไง ว่าไม่ได้คิดทำร้ายพี่สุบรรณ”
“แต่คุณพาคนเข้าไปทำลายท่านสุบรรณ แล้วคุณจะได้รู้ ว่าการกระทำของคุณมันจะส่งผลยังไง” อำนาจคว้ากระดาษเทปสีดำขึ้นมา
นาถสุดาตกใจ ถามรัวเร็ว “แกจะทำอะไรอีก”
อำนาจเอาเทปดำปิดปากนาถสุดาเอาไว้ นาถสุดาดิ้นรน แต่สู้ไม่ได้ ถูกอำนาจจับมัดมือเอาไว้อีกด้วย เสียงมือถือดัง อำนาจกดรับสาย
“ครับนาย!”
“แกอยู่ไหน”
“อยู่ในที่ที่ควรจะอยู่ครับนาย” อำนาจบอกตาวาววับ
สุบรรณสงสัย “หมายความว่ายังไง”
“ผู้กองไพศิษฐ์ ลอบเข้าไปในคฤหาสน์ของนาย มันรู้ความลับของนายครับ”
สุบรรณหน้าตึง ดวงตาวาวโรจน์ นึกถึงเหตุการณ์ที่อำนาจสั่งติดกล้องวงจรปิดเพิ่ม และสั่งบอดี้การ์ดเข้ม
“ไอ้ไพศิษฐ์” สุบรรณนึกแค้น
อำนาจบอกต่อ “และตอนนี้ผมกำลังวางแผนลวงมันมาจัดการอยู่ครับนาย”
ดวงตาของสุบรรณลุกโพลง ขณะที่อำนาจกระชากเทปดำที่ปิดปากนาถสุดาออก
“อยากร้องก็ร้องไป อยากรู้เหมือนกัน ไอ้ผู้กองไพศิษฐ์จะช่วยอะไรคุณได้”
อำนาจหัวเราะร่าอย่างสะใจ ไม่มีเสียงร้องให้ช่วยของนาถสุดาหลุดออกมา มีแต่เสียงปล่อยโฮ สะอึกสะอื้น หวาดกลัวเหลือเกินกับสิ่งที่เจอ
ด้านไพศิษฐ์ถือมือถือไว้ในมือตลอดเวลา
“ผมกำลังหาทางช่วยคุณอยู่นะนาถ” มองหาลูกน้องคนสนิท “จะได้ความมั้ยเนี่ยจ่าชิด”
จ่าชิดเดินออกมาจากห้องทำงานแผนกไอทีของสน. ไพศิษฐ์รีบเดินเข้าไปหา
“ไง? จ่า ได้พิกัดหรือยัง”
“ได้แล้วครับ สัญญาณมือถือของคุณนาถ ปรากฏแถวหนองจอกครับ”
“หนองจอก!” ไพศิษฐ์พึมพำ
ไม่นานต่อมาที่ป่าบริเวณหนองจอก สุบรรณ จ่าชิด พันเอกนรินทร์ และตำรวจลูกน้อง เดินเข้ามาตรงมุมหนึ่ง ไพศิษฐ์ซึ่งตรวจสถานที่อยู่หันไปบอกสุบรรณ
“บริเวณนี้แหละครับที่ปรากฏสัญญาณมือถือของนาถ”
“แยกย้ายกันตามหานาถให้ทั่ว เร็ว!”
ทุกคนแยกย้ายกันตามหานาถสุดาอย่างร้อนใจ สุบรรณลอบมองไพศิษฐ์ ด้วยแววตาประสงค์ร้าย แต่พยายามซ่อนความน่ากลัวเอาไว้ในสีหน้า เพราะห่วงนาถสุดา
ทุกคนต่างแยกย้ายตามหาเบาะแสของนาถสุดา เวลาผ่านไปจากบ่าย ตะวันเริ่มคล้อยต่ำลงไป ใกล้จะตกดินแล้ว
สีหน้าผู้พันนรินทร์เพ่งมองไปตรงหน้า เห็นภาพเคลื่อนไหวของอำนาจที่กำลังฉุดกระชากลากถูนาถสุดาอยู่ ภาพที่เห็นเลือนๆ ดูเหมือนสภาพเป็นบ้านร้าง สัมผัสพิเศษ ทำให้ผู้พันผู้มีญาณทิพย์ เห็นได้เพียงแว้บๆ แต่ก็พอจะจับสังเกตได้
“นาถอยู่แถวนี้ เหมือนในบ้านร้าง” พันเอกนรินทร์บอก
ไพศิษฐ์สั่งลูกน้องเสียงเข้ม “ค้นหาดูอีกที เร็ว”
ทุกคนแยกย้ายกันค้นหานาถสุดาด้วยความร้อนใจ
ตกตอนกลางคืนที่บ้านร้าง อำนาจแกะเทปมัดมือนาถสุดาออกให้
“ลุก”
นาถสุดาขืนตัวไม่ยอม “แกจะเอาฉันไปไหน ปล่อยฉัน ไม่งั้นฉันจะฟ้องพี่สุบรรณ”
“ถ้านายรู้ว่าผมจับคุณมาเพื่ออะไร นายไม่มีทางทำอะไรผมหรอก” อำนาจสั่งเสียงเข้ม “จะไปกับผมดีๆ หรืออยากจะเจ็บตัว”
อำนาจกระชากร่างนาถสุดาอย่างแรง นาถสุดาขืนตัวสู้ไม่ไหว เซตามแรงลากนั้น และปล่อยให้อำนาจลากออกไปด้วยความหวาดกลัว
ทุกคนเร่งตามหานาถสุดาแข่งกับเวลา ในที่สุดสายตาของจ่าชิดเห็นบ้านร้าง
“ตรงนั้นมีบ้านร้าง”
ไพศิษฐ์สั่ง “รีบไปดูเร็ว”
ทุกคนตรงไปที่บ้านร้าง กำลังตำรวจแต่ละคนเตรียมพร้อม ถืออาวุธ
สุบรรณ ผู้พันนรินทร์ และไพศิษฐ์ อยู่หน้าประตูตะโกนเรียก พร้อมๆ กัน
“นาถ...นาถ...”
“นาถอยู่ในนั้นมั้ยลูก” ผู้พันนรินทร์ร้องตะโกนออกไปอีก?
แต่ทุกอย่างเงียบกริบไม่มีเสียงตอบ สุบรรณพยักหน้าเป็นสัญญาณให้เข้าไป ไพศิษฐ์ถือปืนระวังตัวเต็มที่ก่อนยกเท้าถีบเข้าไป ทุกคนเห็นแต่ความมืด และไม่มีร่างของนาถสุดาแต่อย่างใด
จ่าชิดเหมือนจะเห็นบางอย่าง “ผู้กองครับ ผู้กอง”
ทุกคนหันไปมองจ่าชิด ก็เห็นในมือจ่าชิดมีสก๊อตเทปสีดำ ไพศิษฐ์คว้ามาดู กวาดสายตามองเห็น
ตามพื้นมีร่องรอยการต่อสู้
“มันพานาถหนีไปแล้ว”
สุบรรณหงุดหงิด “มันไปไหนของมัน ติดต่อนาถอีกทีเร็ว”
ไพศิษฐ์โทร.หานาถสุดา ก่อนจะหันมาบอก
“มือถือติดต่อไม่ได้แล้วครับ...”
“เหมือนมันจงใจหลอกล่อให้เรามาที่นี่” พันเอกนรินทร์เปรยขึ้น
สุบรรณหันมามองนรินทร์ เสียงของอำนาจเมื่อกลางวันดังก้อง
“ผู้กองไพศิษฐ์ ลอบเข้าไปในคฤหาสน์ของนาย มันรู้ความลับของนาย และตอนนี้ผมกำลังรอจัดการมันอยู่ครับนาย”
สุบรรณหันไปมองไพศิษฐ์ ดวงตาเปล่งประกายวาววามเหมือนจะรู้ เสียงของสุบรรณสงบขณะบอก
“ทำทุกวิถีทางหาให้ได้ว่าตอนนี้ นาถอยู่ที่ไหน”
“ครับ”
สีหน้าแต่ละคนเคร่งเครียด
ที่แท้อำนาจพานาถสุดาหลบอยู่ที่โรงงานป่นกระดูกเพื่อเอาไปทำอาหารสัตว์ของสุบรรณ ซึ่งอยู่ละแวกเดียวกัน
อำนาจลากนาถสุดามา ท่าทางของนาถสุดาอ่อนแรงลงมาก และทำจมูกฟุดฟิดเหม็นสาบ
“ทำไมมันเหม็นอย่างนี้”
อำนาจหัวเราะเยาะ “ไม่น่าถาม ก็...ที่นี่มีแต่ซากศพ”
นาถสุดาตกใจมาก เสียงสั่นเครือ “ซากศพ”
พร้อมกันนั้นนาถสุดากวาดสายตามองโดยรอบ แลเห็นกระดูกสัตว์มากมายกองอยู่
“นี่มันคืออะไร”
“โรงงานป่นกระดูกเพื่อทำอาหารสัตว์ของท่านสุบรรณ”
นาถสุดาเพิ่งรู้ “ทำไมฉันไม่เคยรู้”
“หลายสิ่งที่เกี่ยวกับท่านสุบรรณ คุณนาถก็ไม่ได้รู้...แต่ไหนๆ คุณก็มาที่นี่แล้ว ผมจะบอกให้รู้ก็แล้วกัน...ที่นี่ไม่ได้มีแค่กระดูกของสัตว์ แต่มันเคยมีกระดูกของคนรวมอยู่ด้วย”
นาถสุดาเสียงแผ่วใจหายกลัวมาก “กระดูกคน”
“คนหลายคน และรายต่อไปก็คือผู้กองไพศิษฐ์ของคุณนาถ”
นาถสุดาปล่อยโฮ “อย่า...อย่าทำเค้า...”
อำนาจหัวเราะอารมณ์ดี “ผมไม่เคยคิดอย่างทำ ถ้าผู้กองไพศิษฐ์สุดที่รักของคุณนาถไม่รนหาที่
เอง”
อำนาจหัวเราะดังก้อง นาถสุดากลัวจับใจ ได้แต่ร้องไห้โฮออกมา แต่ดวงตามีประกายเด็ดเดี่ยว
“ปล่อยฉัน ฉันรับปาก จะไม่แพร่งพรายเรื่องทุกอย่างนี้ออกไป”
“ผมไม่เชื่อ”
นาถสุดาอ้อนวอน “เชื่อเถอะ เชื่อฉันนะ ฉันจะไม่พูดอะไร และฉันก็จะบอกผู้กองไม่ให้มายุ่งเรื่อง
ของพี่สุบรรณด้วย”
“วินาทีนี้ผมเชื่อคุณนาถไม่ได้ เพราะถ้าพลาด มันหมายถึงความพินาศของผมรวมทั้งท่านสุบรรณด้วย”
สุ้มเสียงของอำนาจเต็มไปด้วยความจงรักภักดีที่มีต่อสุบรรณ นาถสุดาหายใจระรัว กลัวมาก
“ช่วยด้วย...ใครก็ได้ ช่วยด้วย”
นาถสุดาได้แต่คร่ำครวญ กวาดสายตามองไปรอบๆ พยายามหาทางช่วยตัวเอง แล้วก็เห็นเหล็กสนิมเขรอะท่อนหนึ่งที่ใช้ทุบกระดูกซุกอยู่ในบริเวณกองกระดูกสัตว์
นาถสุดามองท่อนเหล็กสลับกับอำนาจ หาทางหนีทีไล่อยู่ในใจ
เวลาเดียวกันที่บ้านของลุงแสง ริมแม่น้ำโขง ใน จ.นครพนม เป็นหมู่บ้านของชาวบ้านแถบริมน้ำโขง ในบ้านพะนอฤดีนอนอยู่ โดยมีลุงแสง เมียลุงแสงและชาวบ้านมาคอยดูแล
พะนอฤดีที่นอนหมดสติอยู่นาน เริ่มรู้สึกตัว แต่สติยังฟื้นคืนมาไม่เต็ม
ภาพในมโนนึกของพะนอฤดี ที่เห็นดวงหน้าของเจ้าอุรคาหันมามองพะนอฤดีชนิดที่เรียกว่าจ้องฉกใบหน้าของเจ้าอุรคาน่ากลัวมาก
พะนอฤดีกระสับกระส่าย ส่ายหน้าไปมา ทุกคนชะโงกหน้าเข้ามาดู
“รู้สึกตัวแล้วๆๆ”
พะนอฤดีร้องทั้งที่ยังหลับตาอยู่ ท่าทางหวาดผวากลัวมาก “ช่วยด้วยๆๆๆ กลัวๆๆๆ อย่าทำอะไรฉันเลย อย่า”
ชาวบ้านมองหน้ากันสงสัย เมียลุงแสงถามงงๆ
“ใครทำอะไรเค้า”
“ไม่รู้” ลุงแสงเรียกปลุก “หนูๆๆๆ”
พะนอฤดียังไม่รู้สึกตัว ส่ายไปมา พูดรัวเร็ว “น่ากลัวเหลือเกิน โอย..กลัวๆ แล้ว”
เมียลุงแสงเรียก “แม่หนูๆๆ”
ทุกคนช่วยกันปลุกพะนอฤดีขึ้นมา พะนอฤดีรู้สึกตัวขึ้นมาสะดุ้งพรวด ท่าทีหวาดกลัวตลอดเวลา
“แม่หนูกลัวอะไร” ลุงแสงถาม ตามด้วยเมียที่ถามอย่างเป็นห่วง
“ไปเห็นอะไรมาเหรอลูก”
พะนอฤดีทำท่าจะตอบ แต่แล้วก็ต้องชะงัก นั่งตัวแข็งทื่อ เมื่อสังเกตเห็นชรายุในชุดชาวบ้าน รวมอยู่ในกลุ่มชาวบ้านเหล่านั้นนั่งจ้องอยู่ ดวงตาของชรายุแดงวาบเหมือนดวงตาของงู
“ชรายุ”
พร้อมกันนั้นส่วนศีรษะของชรายุค่อยๆ กลายเป็นหัวของงู พะนอฤดีเนื้อตัวสั่นเทา ร้องกรี๊ดขึ้นมาอีก ท่าทีหวาดผวา
“อย่า! อย่าทำอะไรฉัน อย่า ฉันกลัว กลัวๆๆๆๆ”
พะนอฤดีออกอาการผวา กอดชาวบ้านที่นั่งอยู่ตรงนั้นเนื้อตัวสั่นเทา ชาวบ้านเห็นอย่างนั้นก็กลัว กวาดสายตามองไปรอบๆ ก็เห็นแต่พวกชาวบ้านที่คุ้นหน้ากันนั่งหน้าสลอนอยู่ โดยไม่มีใครเห็นชรายุสักคน
เมียลุงแสงยิ่งงง “หนูๆ กลัวอะไรหนู เห็นอะไร”
“นั่นไง! มันอยู่นั่น ผีๆ ผีงู”
พะนอฤดีชี้ ชรายุที่นั่งนิ่งถลึงตาใส่ เพียงเท่านั้นพะนอฤดีก็กรี๊ดแตก แล้วเป็นลมหมดสติไปอีก
“หนูๆ” ทุกคนต่างตกใจ
“หมดสติไปอีกแล้ว” เมียลุงแสงว่า
“ผีงงผีงูอะไรกัน?” ลุงแสงงงหนัก
ทุกคนหันมองตามมือพะนอฤดีที่ชี้ แต่ก็ไม่เห็นอะไร แต่ชาวบ้านก็นึกกลัว เขยิบเข้าหากันโดยอัตโนมัติ
“ต้องมีอะไรแน่ๆ เลย” ลุงแสงคาใจ
“จะมีอะไร? เราอยู่นี่ตั้งแต่เกิด จนแก่ปูนนี้ ก็ไม่เคยมีผีสางอะไร” เมียว่า
“หรือว่าแม่หนูคนนี้ไปทำอะไรผิดผีมา” ลุงแสงตั้งข้อสังเกต
ทุกคนได้แต่มองหน้ากันท่าทีหวาดผวา และสงสัย
ขณะเดียวกันที่ห้องโถงวังนาเคนทร์ หม่อมภาณีเดินพล่าน ร้อนใจที่ไม่ได้ข่าวภุชคินทร์จากพะนอฤดี โดยมีภิงคาร เฟื่องฟ้า และเฟื่องวลี อยู่ด้วย ภิงคารปลอบอีก
“ใจเย็นๆ ก่อนพี่ภาณี”
หม่อมภาณีโกรธจัด “เลิกพูดซะทีได้มั้ยให้พี่ใจเย็น ลูกพี่ทั้งคนหายไปนะ”
“แล้วพี่ร้อนอย่างนี้พี่ทำอะไรได้” ภิงคารท้วง
“งั้นเธอก็ช่วยคิดสิ...จะช่วยหลานยังไง? ตอนนี้นายชายอยู่กับเจ้าอุรคานะ จะเป็นจะตาย
ยังไงก็ไม่รู้”
“ผมก็เห็นนายชายไปไหนมาไหนกับเจ้าอุรคาตลอด แต่ก็ไม่เคยเห็นนายชายจะเป็นอันตรายตรงไหน”
“เธอหมายความว่าพี่เป็นบ้าคิดไปเองใช่มั้ย?” หม่อมภาณีเริ่มจะโวยวายหนักขึ้น
ภิงคารรีบบอก “มันก็ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ...แต่ผมอยากให้พี่ใจเย็นๆ รอให้นายชายกลับมาก่อนแล้วผมจะคุยกับเจ้าอุรคาเองว่ามันยังไง”
“คุยกับผีสางเนี่ยรู้เรื่องเหรอ” หม่อมภาณีพาลพาโล วีน เหวี่ยงสุดๆ
ภิงคารถอนหายใจ หม่อมภาณีแขวะอย่างไม่พอใจ
“อย่ามาทำท่าอย่างนี้กับพี่นะ ใช่ซี้ เธอไม่เคยเห็นเจ้าอุรคาเหมือนที่พี่เห็น ขึ้นชื่อว่าผู้หญิงจะผีหรือคนมันก็มีมารยากับผู้ชายทั้งนั้นล่ะ”
“พี่ภาณี มันจะไปกันใหญ่แล้วนะ ไม่ใช่ว่าผมไม่เชื่อพี่ แต่ถ้าพี่ใช้อารมณ์ พี่จะคิดหาหนทางแก้ปัญหาไม่ได้เลย” ภิงคารชักทนไม่ไหว
“ได้สิ เพราะถ้ารู้ว่านายชายอยู่ที่ไหน พี่จะไปตามตัวนายชายกลับมาเดี๋ยวนี้ พี่จะไม่มีทาง
ปล่อยให้นายชายอยู่กับเจ้าอุรคาเด็ดขาด ไม่งั้น ลูกพี่ได้ตายเป็นผีก่อนพี่แน่”
หม่อมภาณีอัดอั้นร้องไห้โฮออกมา ภิงคารเห็นแล้วกลุ้มหนัก เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีที่นั่งอยู่อีกมุม มองด้วยใจเต้นระทึก
ระหว่างนั้นนารีวรรณซึ่งออกไปโทร.หาพะนอฤดีเดินเข้ามา หม่อมภาณีถามทันที
“พะนอฤดีติดต่อมาหรือยังลูก”
“ยังเลยค่ะคุณแม่ หนูโทร.ไปเป็นสิบๆ ครั้งแล้วก็ไม่มีคนรับ”
“เอามานี่ แม่โทร.เอง”
หม่อมภาณีคว้ามือถือมาจากมือนารีวรรณแล้วกดโทร.ออก
มณีสวาท ตอนที่ 13 (ต่อ)
ส่วนที่ริมน้ำโขงบริเวณที่ภุชคินทร์จอดรถเอาไว้ เสียงมือถือของพะนอฤดีดังอยู่ในรถ แต่ไม่มีคนรับ หม่อมภาณีแสนจะขัดใจ
“ทำไมไม่รับ” หม่อมกดอีก “นายชายอีก โอ๊ย! ไม่มีใครรับโทรศัพท์ฉันซักคน”
เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีมองหน้ากัน ก่อนที่เฟื่องวลีจะพูดขึ้นมา
“ไม่ใช่ผีเจ้าอุรคา ฆ่าคุณพะนอฤดีไปแล้วเหรอคะ”
“แล้วเจ้าอุรคาก็คงจะเอาคุณชายไปอยู่ด้วย” เฟื่องฟ้าผสมโรง
“ไม่...ฉันไม่ยอม”
หม่อมภาณีกรีดร้อง ร่ำไห้ปานจะขาดใจตาย เอาแต่คร่ำครวญ
“ชาย..กลับมาหาแม่นะชาย.....”
ทุกคนได้แต่มองอย่างเห็นใจ ภิงคารหันมาบอก
“เฟื่องฟ้า ฟีบี้ ออกมาคุยกับฉันหน่อย”
เสียงภิงคารดุดันเอาเรื่องมาก เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีได้แต่ทำหน้าจ๋อยขณะตามออกไป
ภิงคารเดินออกมานอกวังสีหน้าเครียดเคร่ง สองแม่ลูกหน้าจ๋อย หวั่นเกรงอยู่ในที ภิงคารดุว่า
“หม่อมยิ่งขวัญเสียอยู่ด้วย เธอสองคนจะพูดให้เรื่องมันบานปลายขึ้นทำไม”
เฟื่องฟ้าท้วง “ฟ้าก็พูดความจริงนี่คะ...โทร.ไปเป็นร้อยครั้งพันครั้ง แต่ไม่รับสาย จะให้หมายความว่ายังไง”
“นายชายอาจไม่อยากโทร.กลับ” ภิงคารว่า
เฟื่องวลีแทรกขึ้น “แล้วคุณพะนอฤดีล่ะคะ ในเมื่อหม่อมกับคุณหนูนาส่งไปเป็นสปายทำไมไม่โทร.กลับ”
คราวนี้ภิงคารอึ้งไป เฟื่องฟ้าว่าต่อ
“จริงๆ คุณพี่ก็คิดเหมือนกันนั่นล่ะค่ะ แต่คุณพี่กำลังหลอกตัวเอง เพราะไม่รู้จะแก้ปัญหายังไง”
“ฉันไม่คิดว่าการที่คนสองคนรักกันจะมีปัญหา”
“มีค่ะ...เพราะพี่ชายไม่ได้รักกับคน แต่พี่ชายรักกับผี” เฟื่องวลีทำท่าขนลุกขนพอง
ภิงคารสวนออกมา “จะผีหรือคน ถ้ามีความรักต่อกัน...เค้าไม่ทำร้ายกันหรอก”
เฟื่องฟ้าตำหนิ “คุณพี่กำลังผลักปัญหา ร้อยทั้งร้อย ไม่มีใครยอมให้ลูกตัวเองไปรักกับผีหรอก”
“แต่อย่างน้อย เจ้าอุรคาก็ไม่เคยทำร้ายนายชาย” ภิงคารบอก
“แล้วการที่พี่ชายหน้าตาหมองคล้ำ ไร้สง่าราศีเหมือนโดนของล่ะคะ หมายความว่ายังไง ถ้าไม่ใช่เพราะว่า ผีเจ้าอุรคากำลังทำร้ายพี่ชายน่ะค่ะ” เฟื่องวลีบอกอีก
“ถ้าหากเค้าคู่กันมาอย่างนั้น เราจะไปแก้ไขอะไรได้ นอกจากปล่อยให้มันเป็นไปตามเวรตามกรรม” ภิงคารบอกเสียงเข้ม
ที่บริเวณรอบๆ พระธาตุพนม บรรยายามค่ำคืนสวยงาม และเงียบสงบ มีชาวบ้านมาชื่นชมและกราบไหว้ขอพรพระธาตุ ในนั้นมีภุชคินทร์และเจ้าอุรคามาไหว้พระธาตุด้วย
ภุชคินทร์มองเจ้าอุรคาด้วยสายตาเปี่ยมรัก เจ้าอุรคาก็มองราชนิกุลหนุ่มด้วยสายตาแห่งความรักเช่นกัน
“ด้วยบารมีแห่งองค์พระธาตุ ขอเป็นสักขีพยาน ไม่ว่าข้าพเจ้าจะเกิดมาภพชาติไหน ขอเกิดเป็นคู่บุญบารมีของเจ้าอุรคาทุกภพทุกชาติไป และข้าพเจ้าขอถอนคำสาบานที่เคยมีในอดีตชาติทุกประการ”
ภุชคินทร์ถอนสัตย์สาบานต่อหน้าพระธาตุอย่างเป็นทางการ เจ้าอุรคาหันมายิ้ม ทันใดนั้นเอง ลมก็พัดแรง น้ำในลำน้ำโขง กระเพื่อมเป็นคลื่นสวย สายฟ้าสว่างวาบแปลบปลาวดุจร่วมเป็นสักขีพยาน สองคนยิ้มให้กัน เจ้าอุรคาบอกภุชคินทร์
“อานิสสงค์ของการทำบุญร่วมกัน จะทำให้เราเกิดในภพภูมิเดียวกันได้เร็วขึ้น”
“ผมจะตั้งจิตปรารถนาให้ได้เจอแต่เจ้า นับตั้งแต่วันนี้ผมจะหมั่นทำบุญทำกุศล”
“เราสองคนจะหยุดทำบาป” เจ้าอุรคาเสริม
ภุชคินทร์ยิ้มแย้ม “เพื่อบุญของเราจะได้เสมอกัน เราสองคนจะได้อยู่ในภพภูมิที่ดี”
สองคนยิ้มให้กันและหลับตาลงนั่งทำสมาธิ
ยิ่งดึกทุกคนยิ่งมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างเห็นได้ชัด พันเอกนรินทร์เพ่งมอง เห็นเป็นภาพนาถสุดาดิ้นรนต่อสู้ มีคนลากไปและไปอยู่อีกสถานที่หนึ่ง
แต่ลักษณะภาพเหมือนเดิมไม่ชัดเจนนัก เห็นแค่เป็นเค้าลางๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้พันนรินทร์ใจคอไม่ดี
“นาถอย่าเป็นอะไรไปนะลูก? ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองลูกด้วยเถิดครับ”
สุบรรณฉงน “คุณอาเห็นอะไรครับ”
“คนร้ายมันพานาถไปที่อื่นแล้ว” ผู้พันบอก
ไพศิษฐ์ซักทันที “ที่ไหนครับ”
ผู้พันนรินทร์หลับตา “ไม่รู้...อาเห็นแต่ความรกมีพลังของความตาย ข้างในก็..เต็มไปด้วย...ซาก...อะไรซักอย่าง”
สีหน้าสุบรรณ ฉายแววบางอย่าง ถามรัวเร็ว
“แล้วติดต่อนาถได้หรือยัง”
“ยังครับ...มันยังไม่ติดต่อกลับมาอีกเลย” ไพศิษฐ์บอกสีหน้าหม่น
พันเอกนรินทร์มองจ้องสุบรรณ “สุบรรณต้องช่วยน้องให้ได้”
“ครับ คุณอา! ไม่ว่านาถอยู่ที่ไหน ผมจะตามตัวนาถกลับมาให้ได้”
สีหน้าสุบรรณเคร่งเครียด
กลางดึกนาถสุดานั่งพิงฝาผนังในสภาพหมดเรี่ยวแรง ตามองอำนาจอ้อนวอน อำนาจถาม
“หิวล่ะสิ เดี๋ยวผมจะออกไปซื้ออะไรให้กิน”
“ฉันไม่กิน” อ้อนวอน “ปล่อยฉันไปเถอะนะอำนาจ”
“เป็นตัวประกันให้ผมก่อน จัดการผู้กองไพศิษฐ์ได้เมื่อไหร่ ผมปล่อยคุณแน่”
อำนาจหยิบมือถือของนาถสุดาขึ้นมา กดโทร.ออก นาถสุดาส่งเสียงโวยวาย
“อย่านะ อย่า” นาถสุดาตะโกน “คุณศิษฐ์อย่ารับนะ คุณศิษฐ์”
นาถสุดาตะโกนไปเรื่อยๆ ทั้ง...อย่ารับนะ-อย่ามานะ พยายามส่งเสียงตลอดเวลา ส่วนที่สถานีตำรวจ ไพศิษฐ์เพิ่งเดินขึ้นสน.กับจ่าชิด เสียงมือถือของไพศิษฐ์ดัง ไพศิษฐ์ตะครุบโดยทันที และรับสาย
“นาถ!”
“อย่านะคุณศิษฐ์ อย่ามา!”
ไพศิษฐ์ได้ยินเสียงนาถสุดาก็ตกใจมาก “นาถ! คุณอยู่ที่ไหน นาถ”
อำนาจรีบกดปิดมือถือ พร้อมกับหัวเราะร่วน
“ขอบคุณที่เสียงของคุณ ช่วยส่งไอ้ไพศิษฐ์ให้มาตายเร็วยิ่งขึ้น อดทนหน่อยนะนาถสุดา อีกไม่นาน คุณจะเป็นอิสระแล้ว”
อำนาจหัวเราะดังกึกก้อง ส่วนนาถสุดาร้องไห้โฮ
“คุณศิษฐ์ คุณอย่ามานะ อย่ามา”
ขณะเดียวกันไพศิษฐ์ ถามจ่าชิดเสียงเข้ม
“ได้ข่าวนาถบ้างหรือยัง”
“ยังเลยครับผู้กอง”
เสียงของไพศิษฐ์มีแต่ความว้าวุ่นใจ สบถออกมาอย่างหงุดหงิด
“มึงเล่นอะไรของมึงวะ”
สุบรรณเดินหน้าเครียดเข้ามาในคฤหาสน์ ครุ่นคิดเรื่องที่อำนาจบอกว่าจะล่อหลอก ผู้กอง
ไพศิษฐ์มาจัดการ สุบรรณได้แต่ถามตัวเอง
“หรือว่าอำนาจพานาถไป” แล้วหันไปถามลูกน้อง “อำนาจมันกลับมารึยัง”
“ยังครับ”
“ติดต่อมันให้ฉันด่วน”
“ครับ”
ลูกน้องรีบไป สุบรรณหน้าเครียด
ส่วนอำนาจเดินหันหลังออกไป เสียงมือถือดัง อำนาจล้วงเอามือถือ นาถสุดาฉวยโอกาสนั้น หยิบท่อนเหล็กที่เล็งไว้แล้วฟาดเข้าที่ด้านหลังของอำนาจเต็มแรง แต่ปรากฏว่าไม่ถูกจุดสำคัญ
อำนาจร้องสุดเสียง “โอ๊ย!” อำนาจเซเกือบล้ม ร้องห้าม “อย่าคุณนาถ”
ทว่านาถสุดายังคงหลับหูหลับตาฟาดๆๆ แบบผู้หญิงที่ไม่รู้วิชาการต่อสู้ ตีมั่วไปหมด กะเอาตัวรอด เหล็กในมือตีถูกอำนาจบ้างไม่ถูกบ้าง จนอำนาจชักโมโห
“บอกให้หยุด ปั๊ดโธ่เว้ย!”
อำนาจคว้าท่อนเหล็กในมือของนาถสุดาจับไว้มั่น นาถสุดาแย่ง
“ปล่อย นะปล่อย”
อำนาจไม่พูดอะไร แต่กระชากท่อนเหล็กในมือของนาถสุดาเต็มแรง นาถสุดาต้านไม่ไหวล้มลง เซไปยังกองกระดูก เห็นกระดูกท่อนใหญ่ข้างๆตัว นาถสุดาคว้ามาฟาดอำนาจเต็มแรง อำนาจโมโหอย่างที่สุด ฟาดท่อนเหล็กในมือเข้าบริเวณศีรษะอย่างจัง เท่านั้นร่างของนาถสุดาก็ร่วงผล็อยล้มลง
อำนาจตกใจ “คุณนาถ”
อำนาจตรงเข้าไปยังร่างนาถสุดา เห็นเลือดสดๆไหลซึมออกมาจากบริเวณบาดแผล เสียงมือถือที่ตกพื้นดังลั่น อำนาจมองเห็นเป็นเบอร์โทร.มาจากคฤหาสน์สุบรรณ อำนาจใจหายทั้งกลัวสุบรรณและกลัวนาถสุดาจะเป็นอะไร คว้ามารับสาย ทันทีที่รับ ปลายสายก็บอกทันที
“ทำอะไรอยู่พี่? นายจะคุยด้วย”
อำนาจตกใจ ในขณะที่ลูกน้องเดินไปหาสุบรรณ บอกนอบน้อม
“นายครับ ติดต่อพี่อำนาจได้แล้วครับ” พลางยื่นมือถือให้
สุบรรณถามทันที “อำนาจ...นาถอยู่กับแกใช่มั้ย”
สีหน้าของอำนาจซีดเผือด ขณะมองไปยังร่างของนาถสุดาที่เลือดไหลรินออกมาไม่หยุด
อำนาจไม่ยอมตอบสุบรรณของขึ้นตะคอกถามอีก “อำนาจ...นาถอยู่กับแกใช่มั้ย”
ด้วยความกลัว อำนาจกดปิดมือถือทันที สีหน้าสุบรรณรับรู้ถึงความผิดปกตินั้น
“อำนาจ!”
อำนาจเนื้อตัวสั่นระริก ค่อยๆ เอามือแตะบริเวณจมูกของนาถสุดา เห็นว่านาถสุดายังหายใจรวยริน อำนาจถอนหายใจโล่ง
“ถ้าคุณเป็นอะไร นายเอาผมตายแน่ ทำไมคุณต้องทำให้เรื่องมันยุ่งยากด้วยนะคุณนาถ”
ร่างของนาถสุดายังนอนแน่นิ่ง ลมหายใจรวยรินอยู่อย่างนั้น
ส่วนสุบรรณ ตะโกนบอกลูกน้อง ท่าทีร้อนใจมาก
“ติดต่อไอ้อำนาจให้ฉันเดี๋ยวนี้”
ท่าทางของสุบรรณดุดัน และน่ากลัวมาก
ด้านพันเอกนรินทร์นั่งสมาธิอยู่ที่บ้าน เห็นภาพในนิมิตมีแต่ความยุ่งเหยิง เลือด เงาดำเต็มไปหมด สับสนวุ่นวาย จนไม่สามารถเห็นภาพอะไรที่แน่ชัด ผู้พันนรินทร์พยายามเพ่งสมาธิ
“นาถ...เมื่อเจ้ากรรมนายเวรของลูกมาตามทวงคืน ลูกจงชดใช้คืนให้แก่เค้า จะได้สิ้นเวรกรรมต่อกันซะที” ผู้พันผู้มีญาณทิพย์หลับตาลงตั้งจิตอธิษฐาน “ขอให้ผลบุญที่กระผมได้ทำ จงแผ่ไปถึงนาถสุดา ลูกสาวของกระผมที่กำลังเผชิญวิบากกรรม ขอให้เธออย่าได้มีอันตรายถึงชีวิตเลย”
เวลาเดียวกันที่วัดพระธาตุพนม เจ้าอุรคา และภุชคินทร์ กำลังนั่งสมาธิอยู่ที่บริเวณหน้าพระธาตุ จู่ๆ เจ้าอุรคาลืมตาขึ้น ภุชคินทร์รู้สึกตัว ลืมตาตาม
“มีอะไรครับเจ้า”
“เราเห็นนาถสุดากำลังได้รับอันตรายหนักหนาสาหัส”
ภุชคินทร์มองอย่างงุนงน เจ้าอุรคามองภุชคินทร์บอก
“ผู้กองไพศิษฐ์ด้วย”
“ไพศิษฐ์”
“นาถสุดา เคยดีต่อเรา เราจะปล่อยให้นาถสุดาเผชิญวิบากกรรมจนถึงแก่ชีวิตไม่ได้ เราต้องทดแทน ท่านก็เหมือนกันภุชเคนทร์ รีบกลับไปช่วยผู้กองไพศิษฐ์ เพราะท่านสามารถช่วยได้ เร็วเข้าภุชเคนทร์ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป”
ภุชคินทร์มองหน้าเจ้าอุรคา สองคนสบตากันด้วยความเข้าใจ ก่อนที่ร่างของเจ้าอุรคาจะหายวับไป
ภุชคินทร์เองก็ผลุนผลันลุกเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
พระอาทิตย์เพิ่งทอแสงทองของวันใหม่ สุบรรณที่ท่าทางอิดโรยเหมือนยังไม่ได้หลับได้นอน เดินหน้าเคร่งถามอย่างร้อนใจ ลูกน้องเข้ามารายงาน
“นายครับ ติดต่อพี่อำนาจไม่ได้เลยครับ”
สุบรรณหน้ายุ่ง เครียดมาก “มันรู้ว่าฉันจะคุยกับมัน ทำไมมันไม่โทร.กลับ”
ลูกน้องเงียบกริบ สุบรรณอาละวาด ปัดของที่อยู่ใกล้ตัวจนกระเด็นกระดอน สุบรรณตะโกน
ถามลูกน้อง
“มีใครรู้บ้างว่ามันไปไหน”
ลูกน้องเงียบทั้งแถบ สุบรรณยิ่งโกรธ
“ปั๊ดโธ่เว้ย! ถามอะไรก็ไม่รู้เรื่องซักคน อยู่บ้านกันยังไงวะ”
สุบรรณเดินลิ่วไปตรวจดูกล้องวงจรปิด เพื่อเช็คภาพดู เห็นนาถสุดาเดินเข้ามาในคฤหาสน์ท่าทางลับๆ ล่อๆ
“นาถ!”
ภาพจากกล้องเห็นนาถสุดาเดินเข้าไป สุบรรณเช็คภาพดูอย่างรวดเร็ว จนเห็นว่าอำนาจพาร่าง
ของนาถสุดาที่หมดสติออกมา
สุบรรณตกใจมาก “นาถ...ไอ้อำนาจ”
สุบรรณทุบโต๊ะเปรี้ยง โมโหสุดขีด แต่กลับฉุกคิด เสียงของอำนาจจากฉากที่3ดังก้อง
“ผู้กองไพศิษฐ์ ลอบเข้าไปในคฤหาสน์ของนาย มันรู้ความลับของนายครับ และตอนนี้ผมกำลังวางแผนลวงมันมาจัดการอยู่ครับนาย”
สุบรรณพึมพำ
“ไอ้โง่เอ๊ย” ลดเสียงเบาลงอีก “ทำอะไรน่าจะบอกกูบ้าง”
สุบรรณหน้าเครียดจัด ส่วนที่สถานีตำรวจจ่าชิดเดินมารายงานไพศิษฐ์
“ผู้กองครับ ทราบแล้วครับว่าพิกัดของคุณนาถอยู่”
เสียงมือถือสุบรรณดังลั่น สุบรรณรีบรับ
“ว่าไงผู้กอง”
“เช็คดูแล้วครับ จากสัญญาณโทรศัพท์ นาถห่างจากจุดเดิมในรัศมี 50 กิโล”
สุบรรณวางสายหน้าเครียด “บรรลัยแล้วไอ้อำนาจ”
สุบรรณผลุนผลันออกไปทันที
อำนาจลืมตาตื่นขึ้นมาด้วยอาการเหนื่อยล้า อ่อนเพลียเป็นที่สุด สิ่งแรกที่อำนาจทำคือ มองไปที่
นาถสุดา ร่างของนาถสุดายังคงนอนแน่นิ่ง อำนาจกระโจนไปที่ร่างของนาถสุดา ปลุก
“คุณนาถ...คุณนาถ...”
นาถสุดานอนแน่นิ่ง หน้าซีดเผือด เลือดยังซึมออกมาจากบาดแผล อำนาจหน้ายุ่ง
“ทำไงดีวะอำนาจ?”
อำนาจได้แต่ถามตัวเองว้าวุ่นใจ ได้แต่เดินพล่าน แต่แล้วต้องสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงเรียกของเจ้าอุรคาดังแผ่วๆ “อำนาจ...อำนาจ”
อำนาจนึกว่าเป็นเสียงเรียกของนาถสุดาจึงหันขวับไปมอง ด้วยสีหน้าดีใจ
“คุณนาถฟื้นแล้ว”
อำนาจตรงเข้าไปที่ร่างของนาถสุดา ยิ้มด้วยความดีใจ ร้องเรียกเบาๆ
“คุณนาถ”
ร่างของนาถสุดายังคงนอนแน่นิ่งไร้สติเหมือนเดิม อำนาจมองงงๆ ค่อยๆ เอามือแตะดูอาการนาถ
สุดาอีก
“หรือเราหูฝาด...” จับร่างของนาถสุดาเขย่า ทว่านาถสุดายังนอนนิ่งเหมือนเดิม “คุณนาถอดทนไว้นะ ผมจะพาคุณไปหาหมอ”
อำนาจช้อนร่างของนาถสุดาขึ้นมาทันที อย่างเป็นห่วงเป็นใย เพราะยังไงก็เป็นน้องสุบรรณ
ส่วนที่ด้านหลัง เจ้าอุคายืนอยู่ และมองมายังอำนาจ คิดอยู่ในใจ
“นับว่าโชคดีที่เจ้ามีใจช่วยนาถสุดา แต่จากนี้ไป คงต้องแล้วแต่เวรแต่กรรมของเจ้าแล้วล่ะอำนาจ”
เจ้าอุรคามองตามนาถสุดา ด้วยสายตาห่วงใย ก่อนบอกนาถสุดา
“นาถสุดา...ฟังไว้นะ...เราจะอยู่ข้างๆ คอยปกป้องเจ้า...คอยปกป้องเจ้า นาถสุดา
นาถสุดาซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของอำนาจ กะพริบตาถี่ๆ คิ้วขมวดเหมือนรับรู้ในสิ่งที่เจ้าอุรคาบอก
มณีสวาท ตอนที่ 13 (ต่อ)
รุ่งเช้าวันต่อมา ในขณะที่ไพศิษฐ์ขับรถอยู่เสียงมือถือดังจึงกดรับด้วยอุปกรณ์รับสาย และทันทีที่รับเสียงภุชคินทร์ก็ถามขึ้นอย่างร้อนใจ
“ศิษฐ์ ตอนนี้นายอยู่ไหน”
ไพศิษฐ์ตอบจุดที่ตนอยู่
“อย่าทำอะไรบุ่มบ่ามนะ ฉันรู้ว่าคุณนาถกำลังตกอยู่ในอันตราย แล้วเจอกัน”
ภุชคินทร์วางสาย ไพศิษฐ์งุนงง
“เฮ้ย! นายชายรู้ได้ยังไงวะ”
ไพศิษฐ์ได้แต่ถามตัวเอง จ่าชิดหันมามองหน้า
“คุณชายรู้อะไรหรือครับ”
“ก็รู้ว่าเรากำลังไปตามนาถน่ะสิ”
“รู้ได้ยังไงครับ” จ่าชิดซัก
“ผีบอกมั้ง!”
ไพศิษฐ์ตอบตัดรำคาญ ก่อนจะพึมพำกับตัวเอง
“เจ้าอุรคา”
เช้าวันเดียวกันนั้นที่บ้านลุงแสง ริมแม่น้ำโขง นครพนม พะนอฤดีที่นอนอยู่ พึมพำ
“เจ้าอุรคาอย่าทำอะไรฉัน...อย่า”
“ใครวะ เจ้าอุรคา” เมียลุงแสงงง
ทุกคนหันมามองหน้ากัน ลุงแสงเอ่ยขึ้น
“จะเอาอะไรกับคนหมดสติวะ”
“แต่ฉันว่าเค้าเจออะไรแน่ๆ นะแก แถมยัง...ไปว่ายบกที่ริมน้ำโขงอีก” เมียลุงแสงคาใจ
หญิงชาวบ้านคนหนึ่งเสริม “นี่ล่ะเล่นกับผีกับเจ้า...ฉันว่าต้องพาแม่หนูนี่ไปขอขมาดีกว่านา”
“จริงด้วยตาแสง ไม่งั้นแม่หนูนี่ตายแน่” เมียลุงแสงเห็นด้วย
“เออจริง เอาก็เอาวะ”
ลุงแสงสรุป ชาวบ้านช่วยกันประคองร่างของพะนอฤดีที่ไม่ได้สติออกไป
ไม่นานต่อมา ชาวบ้านช่วยกันแบกร่างไร้สติของพะนอฤดีนอนลงบนเสื่อที่ปูอยู่ ส่วนเมียลุงแสงและชาวบ้านคนอื่นๆ จุด ดอกไม้ธูปเทียนไว้ที่ริมน้ำโขง
เมียลุงแสงกล่าวนำขอขมา “ผู้เป็นเจ้าแห่งลำน้ำโขง ข้าน้อยได้เอาเครื่องไหว้สังเวยทั้งหลายทั้งปวงนี้ มาขอขมา”
“ถ้าแม่หนูคนนี้ทำอะไรผิดพลาดไปโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ขอให้ท่านให้อภัยเถิด อย่าให้ถึงแก่ชีวิตหรือสติไม่สมประกอบเลย” ลุงแสงเอ่ยขอขมา
“สาธุ!” ทุกคนสาธุพร้อมๆ กัน
ระหว่างนั้นมีหญิงพยาบาลคนหนึ่งที่อยู่ละแวกนั้น เดินผ่านมาเห็นจึงเข้ามาถาม
“นี่! เค้าจะตายก็เพราะพวกลุงๆ นี่ล่ะ คนหมดสติเอามานอนตากแดดทำไม? รีบพาไปโรงพยาบาลเร็ว”
ชาวบ้านมองหน้ากันไม่ยอม
เมียลุงแสงเป็นคนบอก “แต่แม่หนูคนนี้เค้าทำผิดผี”
“ใช่! ดูจากอาการก็รู้....จู่ๆ ก็ไปว่ายบก จนเนื้อตัวถลอกปอกเปิกหมด” ลุงแสงว่า
“มันต้องขอขมาอย่างนี้ล่ะถูกแล้ว” ชาวบ้านอีกคนเสริม
“แล้วฟื้นรึยังล่ะ” พยาบาลตัดบท “ปะ! พาไปทำแผลที่โรงพยาบาลก่อน ฟื้นแล้วค่อยพาเค้ามาขอขมาใหม่ ไป”
ชาวบ้านมองหน้ากัน พยาบาลว่าต่อ
“เร็ว! ถ้าเค้าตายอยู่นี่ พวกลุงต้องรับผิดชอบนะ”
คราวนี้ทุกคนแตกฮือพูดทำนองเดียวกัน
“ไม่ๆ”
“ไม่! ก็พาไปโรงพยาบาลเร็ว”
พยาบาลสรุป ชาวบ้านทุกคนมองหน้ากัน ก่อนจำใจพาพะนอฤดีออกไป
ส่วนที่วังนาเคนทร์ นารีวรรณเดินพล่านอยู่ในห้องโถง สีหน้าหวาดวิตก
“หายไปไหน อย่าเป็นอะไรเลยนะพี่ฤดี...พี่ชายด้วย...”
สีหน้าของนารีวรรณมีแต่ความว้าวุ่นใจ อีกมุมหนึ่งก็เห็นหม่อมภาณีนั่งน้ำตาซึมไร้หัวจิต
หัวใจ นารีวรรณเดินมาหา
“แม่คะ?”
หม่อมภาณีทักตอบแบบคนไม่มีเรี่ยวแรง “อะไรลูก”
“หรือเราจะไปตามหาพี่ชายที่ธาตุพนมเลย”
“ถึงเราจะตามไป แต่ถ้าเจ้าอุรคาพรางตาเราเราก็มองไม่เห็น เราไม่มีทางตามหานายชายเจอ ถ้าเจ้าอุรคาไม่ให้เจอ”
“แต่ยังไงก็ยังดีกว่าเราอยู่เฉยๆ นะคะ”
หม่อมภาณีนิ่ง นารีวรรณบอกอีก
“หนูนาจะไปจัดกระเป๋า แล้วเราไปกันเลยค่ะ”
หม่อมภาณีพยักหน้า นารีวรรณลุกขึ้น จังหวะนั้นภิงคารก้าวฉับๆ เข้ามาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น
“พี่ภาณี นายชายติดต่อมาแล้วนะ”
หม่อมภาณีดีใจจนจะร้องไห้ “ชาย...ชายกลับมาแล้ว ! ชายอยู่ที่ไหน”
ฝ่ายภุชคินทร์กับไพศิษฐ์ขับรถมาคนละคันแล้วมาจอดเจอกันตรงจุดนัด สองคนลงมาจากรถ
“คุณนาถถูกจับตัวมา ตามพิกัด เรารู้แล้วว่าอยู่โรงงานแถวนี้” ไพศิษฐ์บอก
“นายนำไปเลยศิษฐ์ เร็ว”
สองคนแยกย้ายกันขึ้นรถคนละคัน ขับตามกันไป ขณะเดียวกันทางด้านสุบรรณขับรถ หน้าตา
เคร่งเครียด
“ถ้าพวกตำรวจบุกไปที่โรงงาน บรรลัยแน่ๆ ไอ้อำนาจเอ๊ย”
สุบรรณได้แต่เร่งเครื่องไปรวดเร็ว
รถของไพศิษฐ์และภุชคินทร์มุ่งไปตามทางที่คาดการณ์ตามพิกัดว่าอำนาจ เป็นเวลาเดียวกับที่ รถของอำนาจแล่นสวนมาเห็นตรารถตำรวจ ก็ตกใจ
“รถตำรวจ....บรรลัย!”
อำนาจมองไปที่นาถสุดา ตัดสินใจในวินาทีนั้น เลี้ยวรถไปทางอื่นอย่างมีพิรุธ จ่าชิดร้องลั่น
“รถคันนั้นมีพิรุธผู้กอง”
“ตามมันไปเร็ว”
“แล้วที่โรงงานล่ะครับ”
“อาจจะเป็นแผนของพวกมันเบี่ยงเบนความสนใจของเราก็ได้” ไวเท่าความคิดผู้กองหยิบมือถือโทร.ออกหาภุชคินทร์ “ชาย..นายรีบไปที่โรงงาน ฉันจะตามรถคันนั้นเอง”
“ได้”
ไพศิษฐ์มองตามไปเห็นทะเบียนรถอำนาจจำได้แม่นยำ
ด้านอำนาจขับรถหนีสุดชีวิต ตาคอยมองที่กระจกหลังตลอด เห็นไพศิษฐ์ขับรถตามมาอย่างกระชั้นชิด
“ผู้กองไพศิษฐ์!”
อำนาจหน้านิ่ว เร่งเครื่องหนี จู่ๆ ใบหน้าเจ้าอุรคาโผล่ขึ้นมาที่หน้ารถ อำนาจร้องสุดเสียง
“เฮ้ย”
อำนาจหักหลบอย่างรวดเร็วเข้าข้างทาง รถแทบชนต้นไม้ เจ้าอุรคาปรากฏกายขึ้น ในลักษณะโอบกอดประคองนาถสุดาเอาไว้ ร่างของเจ้าอุรคาดุจเบาบางดุจสำลี แต่แข็งแกร่งเหมือนกำแพงแน่นหนา นาถสุดาจ้องมองเจ้าอุรคานิ่ง ท่าทางสะลึมสะลือเหมือนเพิ่งฟื้นคืนสติ ยินเสียงสบถของอำนาจแว่วๆ มา
“ปั๊ดโธ่เอ๊ย! รถมาเสียอะไรตอนนี้วะ”
นาถสุดาหันกลับไปมอง เห็นอำนาจพยายามสตาร์ทรถ แต่ไม่ติด
ส่วนที่ด้านหลังรถของไพศิษฐ์จี้ตามมา อำนาจรีบลงจากรถ ตรงลงมาเปิดประตูกระชากร่างของนาถสุดาออกมา
“มานี่!”
นาถสุดายังสะลึมสะลืออยู่ ขณะที่อำนาจกระชากลงมา ไพศิษฐ์ที่อยู่ด้านหลังมองเห็นพอดี
“นาถ! เร็วจ่า”
“ครับผู้กอง”
จ่าชิดเร่งเครื่อง ขณะที่อำนาจลากร่างนาถสุดาที่ยังอ่อนระโหยโรยแรงเข้าป่าข้างทางไป
รถของไพศิษฐ์วิ่งมาจอด ไพศิษฐ์และจ่าชิดกระโจนลงจากรถ ไพศิษฐ์กวาดตามอง แต่ไม่เห็นร่างของอำนาจและนาถสุดา จ่าชิดบ่นอุบ
“มันหายไปไหนเร็วชิบ”
“ผมจะตามไปทางนั้น จ่าไปทางโน้นแล้วกัน”
“ครับผู้กอง”
สองคนแยกย้ายกันไป
ครู่ต่อมาไพศิษฐ์กวาดตามองหาตามบริเวณทาง ส่วนจ่าชิดที่อยู่คนละมุม สองคนตะโกนเรียกนาถสุดาไม่ยอมหยุด
“นาถ นาถอยู่ไหน นาถ”
“คุณนาถครับคุณนาถ
อำนาจลากร่างนาถสุดาที่กระปลกกระเปลี้ยมาตามทางได้ยิน อำนาจหน้านิ่ว
“มันตามมาแล้ว” กระชากดุดัน “เร็วหน่อยคุณนาถ”
นาถสุดาโรยแรง “ปล่อย...ปล่อยฉัน” แทบไม่มีแรงก้าว
“ผมบอกให้เร็ว” อำนาจกระชากเต็มแรง
“โอ๊ย!”
นาถสุดาร้องสุดเสียง เท่าที่แรงจะอำนวย เพราะแทบไม่มีแรงแล้ว
ไพศิษฐ์และจ่าชิดได้ยิน
ไพศิษฐ์ตกใจ เป็นห่วงมากๆ “นาถ”
“คุณนาถ”
สองคนรีบตามเสียงไปทันที จ่าชิดที่ไปทางเดียวกับอำนาจ เมื่อเห็นรอยทางหญ้าที่ถูก
เหยียบย่ำแหวกเพราะลากนาถสุดาเป็นทาง
“ทางนี้นี่หว่า...” รีบตะโกน “ผู้กอง ทางนี้”
ไพศิษฐ์รีบไปตามเสียงของจ่าชิดทันที
อำนาจหันไปเห็น หน้าตาเหี้ยมเกรียมโกรธมากๆ
“รนหาที่จริงๆ” กระชากร่างของนาถสุดาอีก “มานี่”
อำนาจลากร่างของนาถสุดาเข้าป่าลึกไปอีก
ขณะเดียวกันสุบรรณจอดรถที่หน้าโรงงาน ก้าวเข้าไปอย่างรวดเร็ว ลูกน้องที่เป็นรองผู้จัดการโรงงาน เห็นรีบถลามาต้อนรับ ยกมือไหว้
“สวัสดีครับท่าน”
“พูนสินอยู่ไหน”
“อยู่ในห้องครับ”
สุบรรณเดินเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว
ขณะที่พูนสินทำงานอยู่ที่ด้านในออฟฟิศ เห็นสุบรรณเปิดประตูพรวดพราดเข้ามา พูนสินตกใจ ยกมือไหว้แทบไม่ทัน
“สวัสดีครับท่าน”
“อำนาจอยู่ไหน”
พูนสินมองอย่างงุนงง สุบรรณตวาด
“ฉันถามว่าไอ้อำนาจอยู่ไหน”
“ผมไม่ทราบครับ แต่วันก่อน เห็นเข้ามาบอกจะเข้าไปดูโรงงาน ส่วนที่เก็บกระดูกรอป่น
ไม่ให้ใครเข้าไปยุ่ง”
สุบรรณหรี่ตา รับรู้ จะก้าวออกไป แต่หันไปบอก
“จำที่ฉันสั่งได้ใช่มั้ย โรงงานนี้ของนาย ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับฉัน”
“ครับท่าน” พูนสินฉุกคิดสงสัย “มีอะไรหรือเปล่าครับ”
“จะมีหรือไม่มี หน้าที่ของแกมีอย่างเดียว คือ” สุบรรณย้ำคำเสียงเข้ม “เป็นเจ้าของที่นี่”
สุบรรณเดินพรวดออกจากส่วนออฟฟิศ มุ่งหน้าไปทางส่วนผลิตด้านหลัง คล้อยหลังของสุบรรณ
รถของตำรวจก็วิ่งเข้ามา ตามด้วยรถภุชคินทร์ พูนสินหน้าซีด
“ตำรวจ? มีเรื่องอะไรกันวะ”
ตำรวจและภุชคินทร์เดินเข้ามา ตำรวจบอก
“มีคนหาย ทางจนท.ได้ติดต่อประสานงาน จากข้อมูล คาดว่า คนร้ายน่าจะพามาหลบซ่อนตัวที่นี่”
พอได้ฟังที่ตำรวจบอก พูนสินงง ตกใจมาก “อะไรนะครับ”
ตำรวจไม่ตอบ แต่ยื่นหมายค้นให้ พูนสินตกใจ รีบถาม
“อะไรครับ คนหาย อะไร ยังไง” พูนสินถามเป็นชุด
“คุณนาถสุดา น้องสาวของท่านสุบรรณหายตัวไปครับ”
“น้องสาวท่านสุบรรณ มิน่า...ท่านถึงเข้ามาที่นี่”
“ท่านสุบรรณมาที่นี่แล้วหรือครับ” ภุชคินทร์ถาม
“ครับ ท่านอยู่ที่โรงป่นกระดูก” พูนสินชี้มือไปทางหนึ่ง
ภุชคินทร์มองตามมือชี้ทันที
สุบรรณเดินเข้าไปในโรงงาน ส่วนที่เก็บกระดูกรอป่น เป็นที่ค่อนข้างมืด และอับ มีเพียงแสง
จากภายนอกลอดส่องเข้ามาเห็นแสงรำไร ทันทีที่เข้าไป สุบรรณก็รีบเอามือปิดจมูก ด้วยความเหม็นชวนอาเจียน สุบรรณเงยหน้าขึ้นมา กวาดตามองโดยรอบ
“อำนาจมันอยู่ที่ไหนของมันวะ อำนาจ...อำนาจ”
เงียบไม่มีเสียงตอบ แต่กลับมีเสียงสะท้อนกลับมา เสียงนั้นเย็นยะเยือก
“ในที่สุด มึงก็มา”
สุบรรณสะดุ้งเฮือกสุดตัว กวาดตามอง แต่แล้วต้องขนลุกซู่ เมื่อปรากฏเงาดำของบรรดาภูตผี วิญญาณที่เคยเป็นเหยื่อของสุบรรณ ปรากฏร่างขึ้น
เงาดำเหล่านั้นค่อยๆ แผ่ขยายครอบคลุมไปทั่วบริเวณสุบรรณผงะ แต่ไม่มีจะเหลือบมองบริเวณไหนก็เห็นแต่ภูตผี วิญญาณ ต่างคืบคลานเข้ามาหา สุบรรณร้องได้คำเดียว
“อย่า”
ภุชคินทร์ที่อยู่อีกส่วน ได้ยินเสียงของสุบรรณดังแว่วมา ภุชคินทร์บอก
“เสียงท่านสุบรรณ ทางนั้น”
ภุชคินทร์และเจ้าหน้าที่ตำรวจไปตามเสียงของสุบรรณอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมา ภุชคินทร์ตะลึงกับภาพสุบรรณที่นอนสลบอยู่ท่ามกลางซากกระดูก รีบเข้าไปช่วยเหลือดูแล สุบรรณฟื้นขึ้นมา แต่ไม่พูดจาอะไร ถามหาแต่นาถสุดา
ส่วนไพศิษฐ์ตามมาจนทันเห็นหลังนาถสุดาไวๆ จึงสั่งจ่าชิดให้กระจายกำลังไปอีกทางเพื่อล้อมจับ
“นาถ นาถ นาถ” ไพศิษฐ์ตะโกนเรียกชื่อแฟนสาวดังลั่นแต่ไม่มีเสียงตอบ
อำนาจชักใจไม่ดี ฉุดกระชากลากถูร่างนาถสุดาที่โรยแรงเต็มทีมาอย่างดุดันเพราะกลัวถูกจับได้ ลึกเข้าไปในป่า
สุดท้ายก็หนีไม่พ้น ไพศิษฐ์ตรงเข้าไปช่วยนาถสุดา ต่อสู้กับอำนาจอย่างดุเดือด ไม่มีใครยอมใคร ไฟศิษฐ์เป็นต่อหมายจะจับกุม แต่โดนอำนาจชักปืนออกมาขู่
นาถสุดาซึ่งรู้สึกตัวนิดๆ “คุณศิษฐ์”
หญิงสาวฮึดรวบรวมเรี่ยวแรงครั้งสุดท้ายพยายามจะช่วยไพศิษฐ์
เสียงปืนแผดเสียงดังเปรี้ยงขึ้น ปรากฏว่าลูกกระสุนโดนนาถสุดาจนบาดเจ็บสาหัสเกือบเอาชีวิตไม่รอด
ไพศิษฐ์แค้นจัดซัดอำนาจจนลงไปกองกับพื้น จ่าชิดและกองกำลังเข้าจับกุมอำนาจ
นาถสุดาถูกนำส่ง โรงพยาบาลทันที ทีมแพทย์สามารถช่วยชีวิตไว้ได้ทันแต่ต้องพักรักษาตัวอีกนานหลายวัน
ส่วนอำนาจซึ่งบาดเจ็บจากการต่อสู้กับไพศิษฐ์และเจ้าหน้าที่ตำรวจ ถูกนำตัวมารักษาที่โรงพยาบาลแต่ทนความกดดันเรื่องคดีและความรู้สึกผิดต่อสุบรรณที่เป็นสาเหตุทำให้นาถสุดาเกือบตายไม่ไหว จึงชิงฆ่าตัวตายในห้องพักของโรงพยาบาล
สุบรรณกลายเป็นข่าวใหญ่ในหน้าหนังสือพิมพ์ ฉาวกว่าเดิมด้วยข้อกล่าวหาเกี่ยวโยงกับคดีโจรกรรมเพชร แต่เพราะหลักฐานสำคัญคืออำนาจที่ชิงฆ่าตัวตายไปก่อน ในที่สุดก็โดนปลดออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี
มณีสวาท ตอนที่ 13 (ต่อ)
ภายในห้องนั่งเล่นวังนาเคนทร์ เฟื่องฟ้ากำลังตกใจ นึกไม่ถึงหลังฟังนารีวรรณเล่าจบ
“ถึงขั้นใช้มีดกันเลยเหรอจ๊ะคุณหนูนา”
นารีวรรณกำลังคุยกับเฟื่องฟ้า และเฟื่องวลีด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ถ้าคุณแม่ไม่ทำถึงขนาดนั้น ก็คงพาตัวพี่ชายกลับมาไม่ได้หรอกค่ะ” นารีวรรณพูดด้วยความเจ็บใจ “เพราะพี่ชายหลงเจ้าอุรคาซะจนไม่สนใจแม่กับน้องแล้ว เอ่อ แล้วคุณน้ากับคุณฟีบี้หายดีแล้วเหรอคะ
เฟื่องฟ้ากับเฟื่องวลีหันมามองหน้ากัน ท่าทางยังหวาดๆ อยู่
เฟื่องวลียิ้มแหยๆ “ก็ดีขึ้นเยอะแล้วล่ะค่ะ แต่ก็เล่นเอาผวาซะแทบแย่ นี่เห็นว่ายัยพะนอฤดีก็โดนหนักเหมือนกันเหรอคะ”
นารีวรรณไม่สบายใจมาก สงสารเพื่อนรุ่นพี่ “ค่ะ แต่ตอนนี้พี่ฤดียังแย่อยู่เลยค่ะ” เด็กสาวหน้าบึ้งตึง เจ็บใจ “หนูนาเคยคิดอยากได้เจ้าอุรคามาเป็นพี่สะใภ้นะคะ แต่ทำกันแบบเนี้ย หนูนาไม่มีวันให้อภัยเด็ดขาด คอยดูนะ คืนนี้เจ้าอุรคาต้องโดนสั่งสอนบ้าง”
เฟื่องฟ้าสนใจ “คืนนี้เหรอคะ ทำไมคะ คืนนี้จะเกิดอะไรขึ้น”
นารีวรรณหน้าเจื่อน รู้ตัวว่าพลั้งปากออกไป เลยไม่รู้จะเริ่มต้นเล่ายังไงดี
เหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ โดยหม่อมภาณี กับนารีวรรณ ไปขอให้อุบาสิกาวรรษา หรือที่ลูกศิษย์เรียกว่า คุณแม่วรรษา ถึงห้องพัก เพื่อให้ช่วยเหลือในการแยกภุชคินทร์ออกจากเจ้าอุรคา และขณะนั้นวรรษากำลังนั่งสมาธิอยู่ โดยมีหม่อมภาณี กับนารีวรรณคอยฟังผลอยู่ใกล้ๆ
สักครู่หนึ่งวรรษาลืมตาขึ้น
หม่อมภาณีถามอย่างร้อนใจ “เป็นยังไงบ้างคะคุณแม่ ตอนนี้ตาชายอยู่ที่ไหนคะ แล้วปลอดภัยดีรึเปล่า”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ คุณชายปลอดภัยดี ตอนนี้อยู่กับเจ้าอุรคาที่บ้านของเจ้าค่ะ แต่พรุ่งนี้ หม่อมต้องไปพาตัวคุณชายกลับมาให้ได้ ไม่ว่าจะต้องใช้วิธีไหนก็ตาม” วรรษาบอก
หม่อมภาณีสงสัย “ทำไมเหรอคะ”
“ตกดึกคืนพรุ่งนี้ ฉันจะไปส่งเจ้าอุรคากลับภพภูมิของเค้า แต่ก็คงต้องสู้กันหนักทีเดียว ฉันกลัวว่าคุณชายจะมีอันตราย เลยอยากให้หม่อมรีบไปพาตัวกลับมาก่อนค่ะ”
นารีวรรณได้ฟังก็เครียดหนัก “แต่พี่ชายจะยอมกลับมาง่ายๆ เหรอคะ แค่ห่างจากเจ้าอุรคาไม่กี่วันทำท่าเหมือนจะตายตามด้วยซ้ำ”
“จะยากยังไง ตาชายก็ต้องกลับ” หม่อมภาณีแววตาแข็งกร้าว พูดอย่างเอาจริง “แม่ยอมตายซะดีกว่าถ้าจะต้องเห็นตาชายเป็นอะไรไป”
นารีวรรณเล่าจบ เฟื่องฟ้า กับเฟื่องวลีก็ถึงบางอ้อ
“มิน่าล่ะ หม่อมถึงได้พยายามจะพาตัวพี่ชายกลับมาให้ได้” เฟื่องวลียิ้มร้าย “ที่แท้ ก็เตรียมแผนเด็ดเอาไว้นี่เอง”
เฟื่องฟ้ายกมือไหว้ “เจ้าประคู๊น ขอให้คุณแม่วรรษาจับพวกมันถลกหนังมาทำกระเป๋าให้หายเฮี้ยนทีเถอะ” เฟื่องฟ้ามีท่าทีแค้นจัด “จะได้สาสมกับที่พวกมันทำกับเรานะลูก”
“ใช่ค่ะคุณแม่ ถ้าหม่อมกำจัดนังเจ้าไปได้ ฟีบี้กับพี่ชายก็จะได้แต่งงานกันซะทีไงคะ”
นารีวรรณหน้าเสีย รีบท้วง “ไม่ใช่แล้วมั้งคะคุณฟีบี้ ที่คุณแม่ทำไปก็เพื่อปกป้องพี่ชาย ส่วนเรื่องที่พี่ชายจะลงเอยกับคุณฟีบี้รึเปล่า มันคนละเรื่องกันนะคะ”
“ก็เรื่องเดียวกันล่ะค่ะคุณหนูนา ฟีบี้เป็นแฟนพี่ชาย ถ้านังเจ้าไม่เข้ามายุ่ง ฟีบี้ก็ต้องแต่งงานกับพี่ชายอยู่ดีล่ะค่ะ” เฟื่องวลีว่า
นารีวรรณจ๋อยปนเครียด ไม่คิดว่าเฟื่องวลีจะหน้าด้านขนาดนี้ เด็กสาวเลยชักไม่แน่ใจว่า ระหว่างพญานคอย่างเจ้าอุรคากับคนอย่างฟีบี้
ฝ่ายไหนหรือใครจะเป็นผลเสียกับครอบครัวตนมากกว่ากัน
อุบาสิกาวรรษาพาตัวเองมาหยุดยืนอยู่หน้าเฮือนภูจำปาในยามค่ำคืน ซึ่งแลเห็นพระจันทร์เต็มดวงสุกสกาวอยู่บนท้องฟ้าเหนือเฮือนภูจำปา
วรรษามีท่าทีสำรวมและสงบนิ่ง เริ่มบริกรรมคาถา เพียงครู่เดียว ประตูทางเข้าเฮือนภูจำปาก็เปิดออก วรรษาเดินเข้าไปในเฮือนภูจำปาอย่างสงบนิ่ง ปราศจากความกลัวใดๆ
เจ้าอุรคากำลังนั่งสมาธิเสริมพลังสร้างตบะ โดยมีชรายุนั่งสมาธิอยู่ใกล้ๆ อยู่ที่ห้องลับในเฮือนภูจำปา เจ้าอุรคาลืมตาโพลง รับรู้การมาถึงของวรรษา
“มีคนบุกรุกเข้ามา” เจ้าอุรคาบอก
ชรายุยิ้มเยาะ “พวกไม่เจียมตัว อยู่ดีไม่ว่าดี อยากแส่มาหาที่ตาย”
“แต่คนๆ นี้ไม่เหมือนพวกที่แล้วๆ มา เราสัมผัสได้ถึงตบะสมาธิที่กล้าแข็ง แต่ในขณะเดียวกันก็อ่อนโยนบริสุทธิ์ แสดงว่าเค้าไม่ใช่คนชั่วร้าย” เจ้าอุรคาว่า
“แต่ก็คงไม่มาดีหรอกค่ะเจ้า” ชรายุยิ้มอย่างมั่นใจ “แต่ไม่ว่าใคร จะแข็งแกร่งแค่ไหน ในคืนพระจันทร์เต็มดวงแบบนี้ ก็ไม่มีใครเอาชนะพวกเราได้หรอก”
วรรษาเดินเข้ามาข้างในเรื่อยๆ จนถึงประตูหน้าโถง ทันใดนั้น ฝูงงูจำนวนมาก ก็เลื้อยออกมาล้อมวรรษาไว้ทุกทิศทุกทาง
วรรษาหยิบหุ่นพยนต์เสือโคร่งออกมา 3 ตัว ก่อนจะบริกรรมคาถา
ทันใดนั้น หุ่นเสือโคร่งทั้งสามตัว ก็ขยายร่างเท่าเสือจริงๆ พร้อมกับคำรามลั่น แล้วกระโจนออกไปต่อสู้กับพวกงูทันที
เสือกับงูต่อสู้กันอย่างดุเดือด ในขณะที่วรรษาเดินนิ่งๆ เข้าโถงเฮือนภูจำปาไป
ขณะที่วรรษาเดินเข้ามาข้างใน ทันใดนั้นเอง ชรายุก็เดินออกมาขวางหน้าไว้
“เป็นอุบาสิกาหรอกเหรอ มิน่าล่ะ เจ้าถึงบอกว่าเจ้าไม่ใช่คนชั่วร้าย งั้นก็กลับไปซะเถอะ พวกเราไม่อยากทำร้ายผู้ทรงศีล”
วรรษายิ้มบางๆ ขณะบอก “ฉันกลับไม่ได้หรอก จนกว่าเจ้าอุรคาจะเลิกยุ่งเกี่ยวคุณชายภุชคินทร์ ท่านก็รู้ ว่ามนุษย์กับพญานาคอยู่ร่วมกันไม่ได้ คุณแม่ของคุณชายก็เป็นทุกข์เพราะเรื่องนี้มาก ท่านไปเตือนเจ้าอุรคาให้ปล่อยคุณชายไปซะเถอะ”
ชรายุไม่พอใจ “เจ้ากับคุณชายเป็นคู่กัน ไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิ์มาพรากทั้งคู่ออกจากกัน แล้วถ้าคนอื่นเป็นทุกข์ เจ้าอุรคาก็ทุกข์ยิ่งกว่าใครทั้งหมด คนอย่างพวกท่านไม่มีวันเข้าใจหรอก”
วรรษาถอนใจ “ถ้าอย่างงั้น ฉันก็จำเป็นต้องทำ”
วรรษาหยิบหุ่นพยนต์เสือโคร่งขึ้นมาตัวหนึ่ง ก่อนจะโยนใส่ชรายุ หุ่นพยนต์ขยายร่างเท่าเสือโคร่งจริงๆ แล้วคำรามลั่นพร้อมกับกระโจนเข้าใส่ชรายุอย่างรวดเร็ว
ชรายุยื่นมืออกมาจับคอเสือโคร่งไว้ แล้วหักคอเสียงดังกร๊อบ ก่อนจะเหวี่ยงเสือโคร่งทิ้งไป กลายเป็นหุ่นพยนต์ตัวเล็กๆ ที่คอหัก ตกอยู่บนพื้นแทน
ชรายุยิ้มเยาะ “วิชาเสกหุ่นพยนต์ เก่งไม่เบานี่”
วรรษาหยิบหุ่นออกมาอีกตัว คราวนี้เป็นรูปยักษ์ มีแต่ท่อนบน ไม่มีท่อนล่าง
ที่แท้เป็นหุ่น “เจ้าอสูรพลี” ซึ่งในตามตำนานเป็นยักษ์ที่มีฤทธิ์เดชมาก อาศัยอยู่ในบาดาลภพเดียวกับพญานาค และพวกพญานาคไม่พอใจที่อสูรพลีมาแบ่งอำนาจในบาดาล เลยยกทัพไปรบแต่ก็พ่ายแพ้กลับมา
วรรษาบริกรรมคาถา ก่อนที่หุ่นรูปยักษ์ครึ่งตัวจะขยายร่างใหญ่ขึ้น แล้วร้องคำรามดังกึกก้องอย่างดุร้าย
ชรายุตกใจมาก “เจ้าอสูรพลี”
ชรายุกลายร่างเป็นงูใหญ่ แล้วเลื้อยเข้าต่อสู้กับหุ่นเจ้าอสูรพลีทันที ทั้งสองสู้กันอย่างดุเดือด
ด้วยดวงจิตที่ส่งถึงกัน ทำให้ภุชคินทร์นอนกระสับกระส่ายอยู่บนเตียง อาการทุรนทุราย ร้อนรนเหมือนนอนอยู่บนกองไฟและกำลังโดนไฟแผดเผา
“โอ๊ยๆ ร้อนๆ โอ๊ย”
ภุชคินทร์พลิกตัวตกลงมาจากเตียง ก่อนจะกระเสือกกระสนเข้าห้องน้ำ พอเข้าไปได้ก็รีบเปิดฝักบัว ใช้น้ำรดตัวดัวความร้อนทันที
ภุชคินทร์สังหรณ์ไม่ดี เป็นห่วงอุรคาจับจิต
“เจ้าอุรคา”
ภายในเฮือนภูจำปาเวลานั้น ชรายุในร่างงูยักษ์กำลังต่อสู้กับหุ่นเจ้าอสูรพลีอย่างดุเดือด งูยักษ์ชรายุทั้งฉก ทั้งกัดสู้ยิบตา ทั้งใช้หางฟาด หุ่นอสูรก็ชกกลับ ฟาดฟันกันโดยไม่มีใครยอมใคร
จังหวะหนึ่งงูยักษ์เลื้อยเข้ารัดหุ่นอสูรพลี กะรัดให้แตกหักไปเลย แต่หุ่นมีพลังมาก ดึงตัวงูยักษ์ออกแล้วฟาดลงกับพื้นอย่างหนักหน่วงรุนแรง หุ่นอสูรพลีฟาดอยู่หลายที จนงูยักษ์ชรายุแน่นิ่งไป
ก่อนจะกลายสภาพกลับเป็นชรายุที่บาดเจ็บสาหัส กระอักเลือดจนลุกไม่ขึ้น
วรรษาถอนใจปลงๆ “ท่านไม่น่าดื้อรั้นเลย ท่านก็รู้ว่าเจ้าอสูรพลี เป็นยักษ์ผู้ครองบาดาลซึ่งแม้แต่เหล่าพญานาคก็ยังต้องพ่ายแพ้ แม้จะเป็นเพียงแค่หุ่นพยนต์ แต่ก็มีพลังเหนือเหล่าพญานาคเช่นท่านมากนัก”
พูดจบวรรษาเดินก็เข้าข้างในไป โดยไม่ทำร้ายชรายุอีก
ชรายุมองตามด้วยความหวาดหวั่น รู้ว่าอุรคาต้องเจอศึกหนักแน่
ภุชคินทร์จะวิ่งเตลิดออกจากวัง เพื่อจะไปช่วยอุรคา โดยมีหม่อมภาณี และนารีวรรณวิ่งตามมา
หม่อมภาณีตะโกนเรียกคนรับใช้ “จับคุณชายไว้เร็ว อย่าให้คุณชายออกไปได้ รีบจับไว้เร็ว”
พวกคนรับใช้ รีบกรูกันเข้ามาจับตัวภุชคินทร์ไว้ ต่างคนต่างช่วยกันล็อกจนหนีไม่ได้ ภุชคินทร์ตะโกนลั่น พยายามดิ้นรนสุดฤทธิ์
“ปล่อยๆ ปล่อยฉัน บอกให้ปล่อยไง ปล่อย”
หม่อมภาณี กับนารีวรรณรีบตามเข้ามา
หม่อมภาณีพูดปลอบอย่างเป็นห่วง “ชาย ลูกจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้นนะ ลูกต้องอยู่ที่นี่”
ภุชคินทร์ห่วงอุรคาสุดๆ อ้อนวอนขอร้องมารดา
“ปล่อยผมเถอะครับคุณแม่ ผมจะไปช่วยเจ้าอุรคา ผมรู้ว่าตอนนี้เจ้ากำลังตกอยู่ในอันตราย”
“แต่ถ้าลูกไป ลูกต่างหากที่จะเป็นอันตราย แม่ไม่ยอมให้ลูกไปเด็ดขาด”
นารีวรรณห่วงพี่จนหลุดปาก “อดทนอีกหน่อยนะคะพี่ชาย อีกไม่นาน ทุกอย่างก็เรียบร้อยแล้ว”
ภุชคินทร์ฟังแล้วแปลกใจ “ทำไมพูดอย่างงั้นล่ะหนูนา” แล้วฉุกคิดขึ้น “นี่ฝีมือคุณแม่เหรอครับ คุณแม่ส่งคนไปทำร้ายเจ้าใช่มั้ยครับ”
สีหน้าหม่อมภาณีหน้าขรึมลง “แม่จำเป็นตาชาย ถ้าแม่ไม่ทำอย่างงี้ แม่ก็ต้องเสียลูกไป” หันไปสั่งคนรับใช้ “พาคุณชายกลับเข้าไปข้างใน
พวกคนรับใช้ช่วยกันพาภุชคินทร์เข้าข้างในไป
ภุชคินทร์ร้องลั่น พยายามดิ้นสู้ แต่ก็ไม่เร็จ “อย่ามายุ่งกับฉัน ปล่อย ปล่อยฉันซิ ปล่อย”
นารีวรรณได้แต่มองตามด้วยความสงสารพี่ชาย แต่ตอนนี้ก็ไม่มีทางเลือกอย่างอื่นแล้ว
ประตูห้องลับถูกเปิดออกช้าๆ วรรษายืนอยู่หน้าห้องลับ ก่อนจะเดินเข้ามาในห้อง เจ้าอุรคานั่งสมาธิอยู่ในห้อง ก่อนจะลืมตาขึ้น
“เรากับท่านไม่เคยมีเวรกรรมต่อกัน ทำไมท่านต้องมาขัดขวางความรักของเราด้วย”
“เพราะความรักของท่านทำร้ายคนจำนวนมาก ความรักที่ต่างภพภูมิ มีแต่จะทำให้ทั้งตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน หยุดไว้ตรงนี้เถอะค่ะ” อุบาสิกาพูดด้วยดีๆ
เจ้าอุรคาส่ายหน้าช้าๆ “ท่านไม่เข้าใจ เราต้องทนทุกข์เฝ้ารอท่านภุชเคนทร์มานานเหลือเกิน และกว่าเราจะทำให้ท่านภุชเคนทร์จดจำความรักระหว่างเราสองคนและถอนคำสัตย์สาบานได้ ก็ยิ่งลำบากแสนสาหัส ความสุขของเราอยู่แค่เอื้อมแล้ว ท่านจะให้เราทอดทิ้งมันไปอย่างงั้นเหรอ”
“ถ้าอย่างงั้น เราก็คงไม่มีทางเลือกอย่างอื่นแล้วเหมือนกัน” วรรษาบอก
ขาดคำ หุ่นเจ้าอสูรพลีก็เข้ามาในห้อง แล้วตรงเข้าทำร้ายเจ้าอุรคาทันที
เจ้าอุรคากลายร่างเป็นพญานาคตัวใหญ่ แถมยังเพิ่มศีรษะขึ้นจนกลายเป็นพญานาคเจ็ดเศียร เข้าต่อสู้กับหุ่นอสูรทันที
ส่วนภุชคินทร์พยายามจะกระแทกประตูห้องนอนให้เปิดออก แต่ก็ไม่สำเร็จ
ภุชคินทร์ใช้ไหล่กระแทกประตู ปากก็ร้องตะโกน “คุณแม่ๆ เปิดประตูให้ผมเถอะครับคุณแม่ ผมจะไปช่วยเจ้าอุรคา คุณแม่สงสารผมเถอะครับ”
ที่หน้าห้องตอนนั้น หนูนากำลังใช้โซ่คล้องประตูไม่ให้ภุชคินทร์ออกมา โดยมีหม่อมภาณียืนกำกับอยู่ใกล้ๆ
นารีวรรณไม่สบายใจเอาเสียเลย “เราต้องทำกับพี่ชายขนาดนี้เลยเหรอคะคุณแม่”
หม่อมภาณีถอนใจหนักหน่วง “แม่ก็ไม่อยากทำหรอกหนูนา แต่มันก็ยังดีกว่าเสียตาชายไปไม่ใช่เหรอ ถ้าเราปล่อยตาชายไป ตาชายก็ต้องไปหาเจ้าอุรคา แล้วก็ไม่กลับมาหาเราอีก หนูนาจะเอาอย่างงั้นเหรอลูก”
นารีวรรณอึ้งพูดไม่ออก ภาณีเดินเลี่ยงไป สงสารลูกชายแต่ก็ต้องตัดใจ ด้วยไม่มีทางเลือก นารีวรรณได้แต่ยืนมองไปที่ประตู และได้ยินเสียงทั้งเสียงเคาะเสียงกระแทกประตู และเสียงอ้อนวอนขอร้องของภุชคินทร์ให้เปิดประตู
นารีวรรณสงสารพี่ชายจับใจ แต่ก็จำต้องใจแข็งเช่นกัน
พญานาคเจ็ดเศียรอุรคา กำลังต่อสู้กับหุ่นอสูรพลีอย่างดุเดือด หุ่นอสูรชกพญานาคก็กัดสวน เศียรอื่นก็ช่วยกันรุมกัด ต่างฝ่ายต่างผลัดกันรุกรับอย่างสูสี
จังหวะต่อมาหุ่นอสูรจับพญานาคเหวี่ยงไปชนกับกำแพง พญานาคอุรคาชูคอขึ้น แล้วพ่นไฟใส่หุ่นอสูรทันที
หุ่นอสูรเจอไฟพญานาคเข้าไปจนร่างกายร้อนจัด เปลี่ยนเป็นสีแดงขึ้นเรื่อยๆ ด้วยความร้อน ก่อนจะเกิดการปริแตก แล้วพังทลายลงมา กลับสภาพเป็นหุ่นตัวเล็กๆ เหมือนเดิมที่พังเป็นชิ้นๆ
แม่ชีวรรษาหลับตา บริกรรมคาถา ท่วงทีสงบ
ทันใดนั้น ก็เกิดแสงสว่างขึ้นรอบๆ ตัวพญานาค ก่อนที่แสงสว่างจะกลายเป็นห่วงแสงรัดตัวพญานาคเอาไว้
พญานาคคำรามก้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะล้มลงกับพื้น แล้วกลับกลายร่างเป็นอุรคาที่ถูกห่วงแสงรัดอยู่จนดิ้นไม่หลุด
เจ้าอุรคามีสีหน้าหวาดกลัวสุดๆ รู้ดีว่าเป็นอะไร
“มนต์อาลัมพายน์”
แม่ชีวรรษาเอ่ยขึ้น “รู้จักมนต์บทนี้ด้วยเหรอ ถ้างั้นท่านก็คงจะรู้ ว่าครั้งที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเสวยชาติเป็นพระภูริทัตพญานาค ก็เคยพ่ายแพ้ต่อมนต์บทนี้จนถูกพราหมณ์จับได้มาแล้ว มนต์อาลัมพายน์มีอำนาจเหนืออสรพิษทั้งปวง แม้แต่พญานาคราชผู้ทรงฤทธิ์ก็ไม่มีข้อยกเว้น ท่านยอมแพ้ซะเถอะ”
ทันใดนั้นเอง งูยักษ์ชรายุ ก็เลื้อยโผล่มาที่ด้านหลัง แม่ชีวรรษาตกใจหันกลับไปมอง งูยักษ์ฉกมาที่แม่ชีวรรษา แต่แม่ชีรีบเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาติญาณทันท่วงที
งูยักษ์รีบฉวยโอกาสเลื้อยเข้าไปหาเจ้าอุรคา ก่อนจะกลายร่างเป็นชรายุ ชรายุยังมีสภาพบาดเจ็บจากการต่อสู้อยู่
“อย่าดื้อรั้นอีกเลย ถึงยังไงพวกท่านก็เอาชนะมนต์อาลัมพายน์ไม่ได้หรอก” แม่ชีว่า
“เอาชนะไม่ได้ แต่ก็สามารถช่วยให้เจ้าอุรคาหนีไปได้”
ขาดคำ ชรายุก็จับไปที่ห่วงแสงที่รัดตัวอุรคาอยู่ แล้วออกแรงสุดชีวิตดึงห่วงแสงจนขาดออกจากกัน
เจ้าอุรคาตกใจสุดขีด “อย่า ชรายุ!”
ทันทีที่ห่วงแสงขาด ก็เกิดเป็นเปลวไฟโหมไหม้เนื้อตัวชรายุ จนร่างชรายุคืนกลับเป็นงูยักษ์ที่ถูกไฟไหม้ลุกท่วมตัว งูยักษ์ชรายุร้องคำรามด้วยความเจ็บปวด ในขณะที่ไฟไหม้ลุกท่วมตัว ตายอย่างน่าอนาถ และสยดสยอง
เจ้าอุรคารีบกลายร่างเป็นพญานาค แล้วเลื้อยหนีไปทันที
แม่ชีวรรษามัวแต่ตกใจ ไม่คิดว่าชรายุจะยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อนายขนาดนี้ จึงขัดขวางเจ้าอุรคาไม่ทัน
แม่ชีวรรษาเลยได้แต่มองงูยักษ์ชรายุถูกไฟไหม้จากมนต์อาลัมพายน์ตายต่อหน้า ด้วยความสลดหดหู่ใจเป็นที่สุด
เช้าวันต่อมาทันทีที่หม่อมภาณีรู้เรื่องก็ตกใจ
“หนีไปได้เหรอคะคุณแม่”
หม่อมภาณี นารีวรรณ กำลังคุยกับแม่ชีวรรษาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ค่ะ ฉันคิดไม่ถึงเหมือนกันว่าบริวารของเค้าจะยอมสละชีวิตเพื่อเจ้านายได้ขนาดนี้”
นารีวรรณมีสีหน้าสลดลง เคร่งเครียด “แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดีล่ะคะคุณแม่ อย่างงี้เจ้าอุรคาก็ต้องกลับมาหาพี่ชายอีกสิคะ”
แม่ชีวรรษาบอก “ถ้าเค้ายังมีจิตยึดมั่นต่อกัน ก็คงจะเป็นอย่างงั้นล่ะค่ะ” แม่ชีหน้าเศร้าลง) ครั้งนี้ฉันทำบาปหนัก ถึงขั้นผิดศีลข้อปาณา แม้ว่าจะไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่ต่อไปฉันคงช่วยเหลืออะไรพวกคุณไม่ได้อีกแล้ว ทุกอย่างก็คงต้องสุดแล้วแต่กรรมของทั้งคู่แล้วล่ะค่ะ”
หม่อมภาณีหน้าเสีย “แต่ถ้าคุณแม่ไม่ช่วย แล้วเจ้าอุรคากลับมา เราจะทำยังไงล่ะคะ”
“คุณแม่คะ คุณแม่วรรษาต้องศีลขาดเพราะช่วยพวกเรา เราอย่ารบกวนคุณแม่วรรษามากไปกว่านี้เลยค่ะ จะเป็นบาปติดตัวกันเปล่าๆ”
คำพูดของนารีวรรณทำให้หม่อมภาณีได้คิด เลยหน้าสลดลงไป แต่ยังไงก็ยังห่วงลูกชายอยู่ดี
ฝ่ายภุชคินทร์นั่งซึมอยู่บนเตียง สีหน้าท่าทางหมดอาลัยตายอยาก แทบไม่อยากจะมีชีวิตอยู่แล้วขณะนั้นเอง ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ก่อนที่เฟื่องวลีจะเปิดประตูพร้อมกับถือถาดใส่ข้าวต้มเข้ามา
เฟื่องวลีทักทายยิ้มแย้ม “พี่ชายคะ ฟีบี้เอาข้าวต้มร้อนๆ มาให้ค่ะ”
ภุชคินทร์ท่าทียังดูเซื่องซึม “ขอบใจ แต่พี่ไม่หิว ฟีบี้เอากลับไปเถอะ”
เฟื่องวลีทำหูทวนลม เอาถาดมาวางแล้วหยิบชาวข้าวต้มเดินมาหาภุชคินทร์ “แต่พี่ชายยังไม่ได้กินอะไรเลยนะคะ รับข้าวต้มซะหน่อยเถอะค่ะ จะได้มีแรง”
ภุชคินทร์หงุดหงิดบอกย้ำ “พี่บอกแล้วไง ว่าพี่ไม่หิว”
เฟื่องวลีเซ้าซี้ตักข้าวต้มมาจะป้อน “ทานซะหน่อยเถอะค่ะ นะคะ ฟีบี้ป้อนให้”
ภุชคินทร์เริ่มรำคาญ ปัดมือเฟื่องวลีออก “ก็บอกแล้วไงว่าไม่กิน”
และภุชคินทร์ปัดแรงไป จนข้าวหกเกือบหมด ภุชคินทร์หน้าเสีย รู้สึกผิด
“พี่ขอโทษนะฟีบี้ เดี๋ยวพี่จะให้เด็กมาทำความสะอาดเอง ฟีบี้ออกไปซะเถอะ”
เฟื่องวลีโมโห กระแทกชามข้าวต้มลงบนโต๊ะหัวเตียง “ฟีบี้ทนไม่ไหวแล้วนะ เมื่อไหร่พี่ชายจะเลิกเพ้อถึงนังเจ้านั่นซะที นังเจ้านั่นมันไม่ใช่คนนะคะ มันเป็นงูผี”
ภุชคินทร์โมโห “ไม่รู้อะไร ก็อย่ามาพูดถึงเจ้าเสียๆหายๆอย่างงี้นะ พี่รักเจ้าอุรคา เราทั้งสองคนรักกัน เธอไม่มีวันเข้าใจเรื่องพวกนี้หรอก”
เฟื่องวลีโมโหจัด “ทำไมจะไม่เข้าใจ ฟีบี้ก็รักพี่ชายเหมือนกันแหละ รักมานานแล้วด้วย”
ภุชคินทร์ชะงักไป ไม่คิดว่าเฟื่องวลีจะกล้าพูด สีหน้าราชนิกุลหนุ่มขรึมลง
“ขอบคุณนะฟีบี้ แต่พี่คงรักใครไม่ได้อีกแล้ว ความรักของพี่มีไว้สำหรับเจ้าอุรคาเท่านั้น”
เฟื่องวลียิ่งโกรธหนัก “ทำไมคะ ฟีบี้สู้นังเจ้านั่นไม่ได้ตรงไหน อย่างน้อยที่สุดฟีบี้ก็เป็นคนเหมือนพี่ชาย ไม่ใช่เป็นงูผีแบบนั้น”
“พี่ถึงบอกว่าเธอไม่เข้าใจไง ความรักของพี่กับเจ้า มันผ่านอะไรมามากมายนัก ทั้งความทุกข์ความสุข ความทรมานจากการพลัดพราก จากการเฝ้ารอที่ไร้จุดหมาย ไม่มีใครที่จะรักพี่ได้มากเท่ากับที่เจ้ารัก แล้วพี่ก็คงไม่สามารถรักใครได้ นอกจากเจ้าอุรคาเช่นกัน” ภุชคินทร์ระบาย
“แล้วถ้านังเจ้าตายไปแล้วล่ะคะ พี่ชายจะรักอีกมั้ย” เฟื่องวลียิ้มเยาะสะใจ “พี่ชายรู้รึเปล่า ว่าเมื่อคืนหม่อมส่งคนไปจัดการนังเจ้าอุรคาแล้ว ป่านนี้กลายเป็นงูดินไปแล้วมั้ง”
ภุชคินทร์น้ำตาคลอ เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้น “พี่รู้ แต่ที่คุณแม่ทำไป ก็เพราะท่านรักและเป็นห่วงพี่ พี่ไม่โกรธท่านหรอก แต่ถ้าเจ้าตายไปจริง พี่ก็จะตายตาม แล้วก็จะไม่มีใครมาขัดขวางเราสองคนได้อีก”
เฟื่องวลีทั้งโกรธทั้งริษยาจับใจ ก่อนจะสะบัดหน้าเดินออกจากห้องไปโดยไม่พูดอะไรอีก
ภุชคินทร์น้ำตาคลอเบ้า รักและเป็นห่วงเจ้าอุรคาเหลือแสน แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะคราวนี้ศัตรูของเจ้าอุรคาคือแม่บังเกิดเกล้าของตนนั่นเอง
โปรดติดตาม "มณีสวาท" ตอนที่ 14 (อวสาน)